The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by watthanathum phrae, 2023-08-27 12:01:52

กลองโบราณ

กลองโบราณ

ดนตรีพื้นบ้าน หมายถึง เสียงที่ประกอบเป็นท านองเพลงทั้งที่เกิดจากการขับร้องและจากการบรรเลงโดย เครื่องมือหรือเครื่องดนตรีซึ่งสืบทอดกันมาในท้องถิ่น ทั้งนี้เพราะมนุษย์สามารถสร้างเสียงดนตรีด้วยเสียง ธรรมชาติของตนเอง (เสียงร้อง) และด้วยการสร้างเสียงขึ้นจากเครื่องดนตรีต่าง ๆ ดนตรีเป็นสิ่งที่ควบคู่มากับเพลง บางครั้งก็แยกไม่ออกระหว่างการขับเพลงด้วยปากกับการเล่นดนตรี เพราะทั้งสองอย่างนี้ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน จึงมีทั้ง ๑. บทเพลงที่เกิดจากการขับร้อง โดยไม่มีเครื่องดนตรีประกอบ ๒. บทเพลงที่เกิดจากการบรรเลงหรือเล่นดนตรีโดยไม่มีเนื้อร้อง ๓. บทเพลงที่มีทั้งการขับร้อง และเล่นเครื่องดนตรีประกอบจังหวะหรือบุคคลประสานกันไป เสียงดนตรีหรือเสียงเพลงจะมีรูปแบบ ท่วงท านอง ลีลา จังหวัด ระดับเสียงสูงต่ า หนักเบา การประสานเสียงและเป็นการสื่อความหมายหรือถ่ายทอดความรู้สึกจากผู้เล่นดนตรีหรือผู้ขับร้องไปสู่ผู้ฟัง ก่อให้เกิดอารมณ์ต่าง ๆ ซึ่งแล้วแต่ท่วงท านอง ลีลาของแต่ละเพลง เช่น ก่อให้เกิดความเพลิดเพลินเบิก บาน ครึกครื้น สนุกสนาน ปลื้มปิติ คึกคัก เข้มแข็ง เศร้าสร้อย เป็นต้น ลักษณะของดนตรีพื้นบ้าน ๑. ดนตรีพื้นบ้าน คือ เสียงดนตรีที่ถ่ายทอดกันมาโดยการจดจ าและโดยวาจา เรียนรู้ผ่านการฟัง มากกว่าการอ่าน เป็นสิ่งที่ส่งทอดมาจากปากต่อปาก ไม่มีการจดบันทึก ไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ๒. ดนตรีพื้นบ้านเป็นสมบัติของกลุ่มชนชาวบ้าน ผู้คนในสังคมพื้นบ้านมีส่วนร่วมในการสร้างบทเพลง ชาวบ้านร่วมกับขับร้อง ร่วมกันเล่นดนตรีหรืออย่างน้อยเคยฟังและรู้จักเนื้อเพลงท่วงท านอง มาแต่อดีต ไม่ สามารถระบุได้ว่าใครเป็นผู้ให้ก าหนดโดยชัดเจน ๓. ดนตรีพื้นบ้านไม่มีเนื้อร้องและท านองที่ตายตัว เนื้อร้องหรือบทเพลงอาจขยายออกไปได้เรื่อย ๆ หรือถูกตัดทอนให้สั้นลงก็ได้ตามใจคนร้องผู้เล่นดนตรีอาจพลิกแพลงท่องท านองให้แปลกแยกออกไปได้หลาย ทาง โดยไม่มีตัวโน๊ตเพลงก ากับแน่นอน ต่อเมื่อภายหลังจึงได้พัฒนามาสู่ยุคแห่งการก าหนดตัวโน๊ดและจด บันทึกเนื้อร้องไว้เป็นลายลักษณ์อักษรอีกทีหนึ่ง ๔. ดนตรีพื้นบ้านมีความเรียบง่าย ทั้งในแง่ของการแสดงออก การขับร้อง ท่วงท านอง และการใช้ ถ้อยค า เช่น ไม่ต้องใช้อุปกรณ์มาก ใช้ส านวนภาษาง่าย ๆ ซ้ าค าซ้ าวรรค มีท านองหลักเดียว ร้องหรือเล่น ดนตรีซ้ าไปซ้ ามาหลายเที่ยวได้เป็นต้น ๕. ผู้เล่นดนตรีหรือผู้ขับร้องบทเพลงในสังคมพื้นบ้าน อาจจะเป็นเพียงผู้สมัครเล่น สามารถร้องหรือ เล่นได้ในยามว่างและในโอกาสพิเศษ เช่น ในเทศกาลต่าง ๆ ที่มีผู้คนมาพบปะ ชุมนุมกันประกอบกิจกรรมต่าง ๆ มิได้ยึดถือเป็นอาชีพ และอีกประเภทหนึ่งคือผู้ที่มี ความสามารถสูง จนได้รับการยกย่องว่าเป็นศิลปิน ซึ่งสามารถร้องหรือเล่นดนตรีเป็นอาชีพได้ ในภาษาพื้นบ้านภาคเหนือจะใช้ค าว่า “ช่าง” เรียกศิลปินเหล่านี้เช่น ช่างซอ ช่างปี่ช่างซึง เป็นต้น


กลอง เป็นเครื่องมือตีให้จังหวะที่มีหลายชนิด หลายขนาด ในท้องถิ่นภาคเหนือ มีทั้งประเภทขึ้น หนังหน้าเดียว และประเภทขึ้นหนังสองหน้า ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้ ประเภทขึ้นหนังหน้าเดียว ได้แก่ ๑. กลองหลวง ๒. กลองแอว หรือ กลองตึ่งนง ๓. กลองปูเจ่ ๔. กลองซิงม่อง ประเภทกลองสองหน้า ได้แก่ ๑. กลองปูจา ๒. กลองสะบัดชัย ๓. กลองมองเซิง ๔. กลองตะโล๊ดโปด ๕. กลองเต่งถิ่ง ประกอบด้วยรายละเอียดดังนี้ กลองหลวง ผศ.ณรงค์ สมิทธรรม กลองหลวง (หลวง = ใหญ่) รูปลักษณะเป็นกลองยาวคอดกลาง ปลายบานเป็นล าโพงยาวประมาณ ๓ - ๓.๕ เมตร ขนาดหน้ากลองเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ ๖๐ - ๘๐ เซนติเมตร ต้องวางบนล้อเลื่อนใช้คนลาก หลายคน เวลาตีต้องขึ้นนั่งคร่อมตีหรือยืนอยู่ด้านหน้า กลอง ใช้มือขวาตีโดยมีผ้าพันมือท าเป็นรูปกรวยแหลม ให้ผ้าพันมือกระทบหน้ากลอง ในภาคเหนือมีประเพณี การแข่งขันตีกลองหลวง และใช้ตีเป็นสัญญาณวันพระ ๘ ค่ า หรือ ๑๕ ค่ าก็ได้ กลองหลวง เป็นกลองยาวขนาดใหญ่ ต้องวาง บนล้อเลื่อนการตีกลองหลวงประกวด ผู้ตีกลองจะใช้ ผ้าพันมือท าเป็นรูปกรวยแหลม วิธีสังเกต คือ กลองหลวงจะอ้วน ล่ า และ สั้นกว่ากลองแอว พูดกันง่าย ๆ กลองแอวนั้นผอมยาว ส่วนกลองหลวงนั้นอ้วนสั้น เหตุใดจึงสร้างกลองหลวงให้อ้วนกว่ากลองแอว เนื่องจากว่าความอ้วนใหญ่ของกลองหลวงนั้น จะสร้างเสียงกลองให้ดังกึงก้องกัมปนาท คือการได้ เสียงทุ้ม เสียงใหญ่และมีความดัง(ที่สุด) เนื่องจากว่าโบราณก่อนนั้น นิยมเอากลองแอวตามวัดต่างๆ มาตีแข่งขันกัน อันเป็นธรรมดาของ มนุษย์ที่มักจะต้องมีเรื่องของศักดิ์ศรี ความมีหน้ามีตาของหมู่บ้านมาเกี่ยวข้อง กับเรื่องความดังของกลอง มองให้ลึกลงไปก็คือ การเอากลองแอวมาตีแข่งกันก็เพื่อส าแดงศักยภาพของศรัทธาชาวบ้านนั่นเอง


ไปไกลกว่านี้อีก….ก็เป็นเรื่องของบารมีของผู้น าชุมชน อาทิผู้ใหญ่บ้าน หรือเจ้าอาวาส หรือสปอนเซอร์คน ส าคัญ มองกันไปได้หลายแง่หลายมุม โบราณแต่ก่อนนั้นเมื่อหมดหน้านาเก็บเกี่ยวข้าวกันเสร็จแล้ว ก็จะเป็นหน้ากิน หน้าทาน วัดบางแห่งใน เชียงใหม่และล าพูนเมื่อจัดงานบุญขึ้นก็มักจะจัดการแข่งตีกลองแอวประกวดประชันกันว่าใครจะมีกลองที่ให้ เสียงดังกว่ากัน อย่างค ามะเก่าว่าเสงกลอง ทั้งหลายเหล่านี้จึงเกิดการพัฒนา และสร้างกลองแอวขึ้นมาแข่งขันกันเพื่อความเป็นเลิศ “ในที่สุดจาก กลองแอวก็ได้พัฒนาจนกลายเป็นกลองหลวง เพื่อความเป็นแชมป์ในการเสง กลองนั่นเอง” การเสงกลอง เริ่มฮิตขึ้นมาเมื่อหลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง ต่อมาแกนน าของ การแข่งขันได้ย้าย จากเชียงใหม่ไปอยู่ที่ล าพูน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอ าเภอป่าซาง มีท่าน พระครูเวฬุวันพิทักษ์(เขื่อนค า อัตตสันโต) เจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทตากผ้าเป็นผู้น าทาง ภูมิปัญญา ในการพัฒนากลองหลวง จนที่สุดได้ผลเป็นกลองหลวงที่มีรูปทรงอันได้มอก หรือได้มาตรฐาน เช่น ที่ปรากฏในปัจจุบัน คือ เส้นผ่าศูนย์กลางของหน้ากลอง ๒๘ นิ้ว และของตีนกลอง ๓๔ นิ้ว โดยมีความยาว ทั้งหมด ๑๓๐ นิ้ว เรียกว่าได้ลองผิดลองถูกท ามาไม่น้อยจนเป็นมอกที่นิยมส าหรับสร้างกลองไว้แข่งขัน แม้จะพัฒนาไปข้างหน้า แต่คติความเชื่อแบบโบราณ เกี่ยวกับกลองก็ไม่ละทิ้ง คือ ยังมีลวดลายประดับอยู่ที่ ท่อกลองหรือหางกลอง โดยกลึงท่อกลองให้เป็นบั้ง ๆ ไล่ไปจนถึงตีนกลองเรียกบั้งประดับท่อกลองนี้ว่า ลูกหมาก ลองสังเกตกลองยาวของเมืองเหนือทุกชนิดดู จะเห็นทุกใบมีลูกหมากทั้งนั้น หากไม่มีถือว่าเป็นกลอง มาจากภาคอื่น (อย่างแน่นอน) แม้แต่กลองยาวขนาด เล็กที่บ้านเราเรียกว่ากลองซิ่งม่องของเดิมนั้นก็มี ลูกหมาก แต่ทุกวันนี้ไม่มีแล้วเพราะเราไปเอาอย่างหรือไป ซื้อกลองทางภาคกลางมาตีก็เลยท าให้ลืมรูปแบบ ดั้งเดิมของกลองซิงม่องหายไป นอกจากการเป็นลายประดับเพิ่มความสวยงามให้กลองยาวทั้งหลายดูไม่จืดตาแล้ว ยังมีคติความเชื่อ แฝงอยู่ในเรื่องของลูกหมากอีกด้วย เรียกกันว่า โฉลกลูกหมาก กล่าวคือ จ านวนลูกหมากแต่ละลูกนั้น มีนัยยะ หรือความหมายบอกไว้ โดยมีอยู่ ๘ หน่วยด้วยกัน หากลองใบใดมีลูกหมากเกินกว่านี้ก็ให้นับเป็นทบใหม่ เช่น มีลูกหมาก ๑๒ ลูก ก็จะตรงกับโฉลกหมายเลขที่ ๔ (๑๒ = ๘ + ๔ ) จึงขอน าเอาโฉลกลูกหมาก มาเผยแพร่ไว้ณ ที่นี้ ลูกที่ ๑ ความหมาย สุขขมขี ลูกที่ ๒ ความหมาย สะหลีชมชื่น ลูกที่ ๓ ความหมาย ตื่นเมืองพรหม ลูกที่ ๔ ความหมาย สมเสกสร้าง ลูกที่ ๕ ความหมาย มล้างสังโฆ ลูกที่ ๖ ความหมาย โพธิสัตว์ ลูกที่ ๗ ความหมาย วัดพระเจ้า ลูกที่ ๘ ความหมาย เข้าสู่นิพพาน


ความนิยมในการสร้างกลองหลวงและแข่งกลองหลวงยังฮิตติดลมมาจนถึงปัจจุบัน กล่าวกันว่ากลอง ใบใดที่สร้างมาแล้วไม่เป็นที่พอใจ ก็มักจะมีวัดจากต่างจังหวัดขอบูชาไป บางครั้งวัดใดที่เจ้าอาวาสหรือศรัทธา ชอบพอกันหรือเติงกัน ก็น าไปทอดผ้าป่าถวาย ความที่กลองหลวงแพร่หลายอย่างมากในจังหวัดล าพูน และเชียงใหม่ โดยเฉพาะ ในกลุ่มชาวไทย ยอง กลองหลวงจึงกลายเป็นภาพลักษณ์ของชาวไทยยอง หรือเป็นเอกลักษณ์ของเผ่าพันธุ์ไทยยองไปในที่สุด จนขยายผลให้ชาวไทยยองพัฒนาวงกลองตึ่งโนงของเชียงใหม่ โดยน าเอากลองหลวงมาแห่แทนกลอง แอว เพิ่มจ านวนฆ้องให้มากขึ้นเพื่อให้เกิดความสมดุลย์กับเสียงดังของกลองหลวง ส่วนเพลงยังใช้เพลงแหย่ง หลวงของเดิมอยู่ แล้วเรียกวงแบบใหม่นี้ว่า วงกลองถึดโมง นับเป็นวงแห่ที่อลังการ เป็นเอกลักษณ์น ามาซึ่ง ความภาคภูมิใจอย่างหนึ่ง ของชาวล าพูน กลองแอว หรือกลองตึ่งนง ค าว่า “แอว” แปลว่า สะเอว เรียกตามลักษณะกลองที่มีเอวคอด ส่วนค าว่า “ตึ่งนง” เรียกตาม ลักษณะเลียนเสียงตีกลองแอวรูปทรงแบบเดียวกับกลองหลวง แต่มีขนาดเล็กกว่า ยาวประมาณ ๑๗๕ เซนติเมตร ขนาดหน้ากลองเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๓๐ เซนติเมตร ใช้สะพายหรือใช้ตั้งกับที่ตีและใช้ตี ประสมกับกลองแอว วงกลองแอว หรือวงกลองตึ่งนง ประกอบด้วยกลองแอว ตะโล้ดโป๊ด แนหลวง แนน้อย ฆ้องโหม่ง ฆ้องหุ่ย และสว่า (ฉาบ)


กลองปูเจ่ ผศ.ณรงค์ สมิทธิธรรม เป็นกลองก้นยาวแบบของชาวไทยใหญ่ มีขนาดเล็กกว่ากลองแอว ยาวประมาณ ๑๔๐ เซนติเมตร ขนาดหน้ากลองเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๒๖ เซนติเมตร ใช้สะพายตีและเล่นประสมวงกลองปูเจ่ (วงกลองปู เจ บรรเลงประกอบการฟ้อนดาบ และน าขบวนแห่ครัวทาน ) ค าว่าปู่เจ่ เป็นค าที่เพี้ยนมาจากภาษาพม่าที่เรียกกลองยาวของตนว่า “โอสิ” ชาวพม่าเมื่อออกเสียงค านี้ ฟังคล้าย อู– เซะ หรืออู่–เจ่ ไป ๆ มา ๆ เราชาวเชียงใหม่ก็เลยเรียก ด้วยความสะดวกปากเสียเลยว่า “กลองปู่เจ่” แต่ชาวพม่าเรียกกลองยาวของคนไตว่า “ชานโอสิ” ส่วนคนไตเจ้าของกลองเองกลับเรียกว่า“กลองก้นยาว”และชาวล าปาง(แต่ก่อน)ก็เรียกว่า กลองก้น ยาวตามครูเงี้ยวของคน กลองก้นยาวใช้บรรเลงร่วมกับ สว่าหรือแส่ง และ (ฆ้อง)หม้อง เหมือนกับวงกลอง ซิงม่อง และวง กลองยาวทั้งหลายในภูมิภาคเอเชียอาคเน่ย์นี้ ไม่ว่าจะเป็นม่าน มอญ ไต ไทย ไทยอง ไทลื้อ ไทยวน ลาว ชาวเขาบางเผ่า เช่น อาข่าหรืออีก้อ ต่างก็มีการประโคม หม้องซิงม่อง มองถิ้งมอง โมงเท่งโมง หรือ ….เท่ง บ๊อง….เท่งบ๊อง สุดแล้วแต่จะเรียกกันไป ครั้งที่ชาวไตใหญ่ในล าปางยังไม่โดนกลืนกลายเป็นคนเมืองอย่างเช่นทุกวันนี้ เมืองล าปางมีวงกลองก้น ยาวอยู่หลายคณะ ลักษณะของกลองก้นยาวคือ เป็นกลองที่มีหุ่น ผอมยาวเกิน ๑.๒๐ เมตรไปจนถึง ๑.๕๐ เมตร หรืออาจยาวกว่านี้เล็กน้อย ไหกลองมีขนาดเล็กสั้นแต่ท่อกลองนั้นยาวมาก ดังนั้น ชาวไต จึงได้เรียกว่า “กลองก้นยาว” เหตุผลที่ต้องให้ มีท่อยาวก็คือ ตีแล้วได้เสียงเอ็คโค อย่าง ของกลองแอว โดยเรียกเสียงแบบนี้ว่า เสียงลงส้น หรือลูกส้น คือตีที่ หน้ากลองได้หนึ่งเสียงแล้ว ยังได้ออกเสียง ออกจากปลายท่อตามมา อีกหนึ่งเสียงลูกปลายด้วยว่าคนไตนั้นมีเทคนิคในการตีกลองไม่ เหมือนเราท่านทั้งหลาย คือใช้ทุกส่วนของมือ เป็นต้นว่าใช้ปลายนิ้ว เคาะ ฟาด ก าปั้นทุบ ตบ เอาสันมือ ฝ่ามือ ใช้มืออีกข้าง ประคบ หน้ากลอง หรือเบรคเสียง ฯลฯ ครบเครื่องเรื่องการท าเอฟเฟ็คกลอง ด้วยเทคนิคในการตีกลองดังกล่าว เสียงกลองทีได้จึงมีความ เป็นดนตรีที่หลากหลายสุดจะพรรณา ไม่ได้ดังโครม ๆ หรือ เท่ง บ๊อง……เท่งบ๊อง….เหมือนดังวงกลองยาวทุกวันนี้ ซึ่งมีลูกเล่นเพียง สองสามเสียง เอาความพร้อมเพรียงและเอาดังเป็นใหญ่ ว่ากันว่าท่าทางการเล่นกลองก้นยาวนั้นนอกจากใช้มือตี กลองแล้ว มือระดับ สล่ากลองจะออกท่าเล่นเชิง ซึ่งมีทั้ง หมัด เท้า เข่า ศอก ประเคนเข้าใส่กลอง มีการเล่นท่าตบมะผาบ ฟ้อนเชิง นอนเกลือกกลิ้งไปก็มี ฟ้อนแวดกลองไปมือก็ตีกลองไปใส่ฟิลลิ่ง กันเต็มที่จึงเป็นการโซโล กลองที่เต็มไปด้วยศิลปะการแสดงที่แท้จริง หากได้ทัศนากลองก้นยาวแล้วรับรองได้ว่าเพลิน…..อันเป็นคนละเรื่อง กับวงกลองยาวทุกวันนี้ซึ่งมีแค่เดินเรียงแถวไปตามถนนประเคน


ก าปั้นและฝ่ามือใส่หน้ากลองดังโครม ๆ เดินหน้าซื่อเหมือน หุ่นยนต์ ไร้ซึ่งศิลปะและท่าทาง เอาความดังเข้า ข่มกันอย่างเดียวเท่านั้น ทุกวันนี้ หากจะชมดูกลองก้นยาวหรือกลองปู่เจ่ ก็ต้องไปที่แม่ฮ่องสอนมีเยอะกว่าที่อื่น รองลงมา ตามล าดับคือ เชียงใหม่ เชียงราย ล าปาง กลองซิ่งม่อง กลองซิ่งม่อง มีลักษณะ รูปร่างคล้ายกลองยาวแบบของภาคกลาง หน้ากลองมีขนาดเท่า ๆ กับกลอง ปูเจ่แต่มีรูปทรงสั้นกว่า คือ ยาวประมาณ ๘๐– ๙๐ เซนติเมตร คนตีกลองสามารถใช้สะพายบ่าได้ใช้ในขบวน แห่ต่าง ๆ กลองซิ่งม่อง เป็นชื่อที่คนเมืองเหนือใช้เรียกชื่อ กลอง และชื่อวงดนตรีแบบวงกลองยาวพื้นบ้านในถิ่นนี้ โดยเรียกตามชื่อห รือต ามเสียงของเครื่องดนต รี อันประกอบด้วย กลองสิ้งหรือแส่ง และหม้อง (ฆ้องตีดัง หม้อง ๆ) วงกลองยาวแบบนี้ มีเครื่องดนตรีอย่างละชิ้น คือ กลอง ๑ แก่น (ใบ) แส่ง ๑ คู่ หม้อง ๑ แก่น เป็นวง กลองยาวพื้นบ้านขนาดเล็กซึ่งเหมาะส าหรับประโคมแห่ แหนกับงานวัด งานบุญในยุคก่อนที่มีพิธีการไม่เอิกเกริก อลังการเช่นทุกวันนี้ พิจารณาตามขนาดวงเมื่อเทียบกับวกลองยาว สมัยนี้แล้ว วงกลองซิ่งม่อง ก็คือวงกลองยาวขนาดจิ๋ว วัสดุอุปกรณ์และก าลังพลไม่กี่คน นับเป็นวงแห่ที่พร้อม จะเคลื่อนที่ ได้ทุกสถานการณ์และทุกโอกาส แต่เวลา ไปเล่นแห่จริงๆนั้น มิได้มีก าลังพลแค่ ๓ คน เท่านั้น ด้วยว่าต้องมีตัวส ารองคอยผลัดเปลี่ยนยามเมื่อนักดนตรี เมื่อยแขนเจ็บมือเจ้าภาพที่หาไปแห่คิดว่าวงดนตรีวงเล็กขนาดนี้ความสิ้นเปลืองในการเลี้ยงดูคงไม่เท่าไร แบบ ว่าไม่เปลือง…..คิดผิดแน่นอน ไง ๆ ก็เผื่อเหลือเผื่อขาดตีเสียว่าจ านวนพลมีประมาณ ๘-๑๐ คน คนโน่น…. ต้องเผื่อตัวส ารองและลูกหาบกองเชียร์ที่ ไชโยโห่ร้องตามขบวน บางวงอาจมี ฟ้อน เจิงแถมมาด้วย ดังเป็นทราบกันดีแล้วว่า…ดนตรี ของวัดมิได้มีไว้เพื่อพิธีกรรมเพียงอย่างเดียว วงดนตรียังเป็นสิ่งแสดงถึงความสามัคคีของ ศรัทธาชาวบ้าน สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพ ของเจ้าอาวาสและผู้น าชุมชนอีกด้วย เรื่องของศักยภาพ หน้าตาและ ศักดิ์ศรีนี่แหละ ที่เป็นต้นเหตุให้วงดนตรี


ขนาดจิ๋วต้องขยายตัวออกกลายเป็นวงขนาดใหญ่ยิ่งมาผสมผสานไปกับความบันเทิงอันมีอยู่ในหัวใจ ของตน ชอบม่วนอยู่แล้ว วงกลองซิ่งม่องที่มีกลองเพียงใบเดียว ก็ได้เพิ่มจ านวนกลองยาว เข้าไปกลายเป็นวงกลองยาว ตามกระแสนิยม คือต้องมีจ านวนกลองหลายใบจนเรียกได้ว่า เป็นขบวนกลองยาว ส่งเสียงกึกก้องกั๊บกอง(คับ คลองหรือครรลอง) อย่างที่พบเห็นทั่วไป ในปัจจุบัน ทั้งหลายทั้งมวลนี้เป็นผลส่งให้รูปทรงของกลองยาวตามแบบเบ้าโบราณเปลี่ยนไปเป็นทรงกลองยาว แบบภาคกลางจนหมดสิ้น จนป่านนี้ยังคิดไม่ตกว่า กลองยาวและกลอง ซิ่งม่องตามท้องถิ่นต่าง ๆ นั้น อย่างไหนเป็นของโบราณ และรูปทรงจริง ๆ นั้นเป็นเช่นไรกันแน่ เท่าที่เจอตามหลายที่หลายแหล่งนั้น ผู้เขียนได้เพียร ถามผู้เฒ่าผู้แก่หลายท่านในเรื่องรูปทรงของกลองสิ้งหม้องโบราณ ก็ยังหาค าตอบที่ลงตัวไม่ได้ดังนั้น จึงใคร่น าเอาภาพกลองซิ่งม่อ งและกลองยาวบ้านเราที่ไปพบเห็นมา ให้ท่านผู้อ่านช่วย พิจารณาว่ากลองซิ่งม่อง ยุคก่อนสงครามสมัยที่กลองยาวแบบภาคกลางยังไม่แพร่เข้ามา วิธีเล่นกลองซิ่งม้องนั้น ผู้เฒ่าผู้แก่เคยเล่าให้ฟังว่า เคย เห็นมือกลองรุ่นก่อนเล่นเชิง เล่นลาย ตามแบบฉบับจอม ยุทธในการตีกลอง เช่น กลองมองเซิง กลองก้นยาวแบบว่ามี การละเล่นประกอบการแห่แหนตามแบบพื้นบ้าน อันเป็นที่นิยม ของผู้มีวิทยายุทธทั้งหลายมีผู้กล่าวไว้ว่า ประวัติกลองยาวมี ก าเนิดมาจากที่ไทยเห็นพม่าเล่นกลองยาวก็เลยเอาอย่างพม่าบ้าง นั่นเป็นประวัติวงกลองยาวของทางภาคกลางส าหรับเมืองเหนือ เรานั้นคงมิได้เอากลองยาวมาจากพม่าแน่ หากจะว่าเราเอาอย่าง จากตนไต่หรือชาวเงี้ยว เหตุผลนี้ยังพอจะกล้อมแกล้มฟังได้อยู่ ด้วยว่าตนเมืองเหนือกับตนไตนั้นมีความใกล้ชิดกัน ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของภาษา คาถา อาคม การสักหมึก และเชิงดาบ ต้อง ไม่ลืมว่าครูข่ามครูคงในเมืองเหนือบางตนนั้น ท่านมีครูเค้ามา จากครูชาวเงี้ยว นอกจากนี้ครูดาบ บางตนทีเมืองเหนือก็มีเชิง แบบ เชิงดาบเงี้ยว เชิงดาบแสนหวีเป็นต้น อีกประการหนึ่งกลองยาวในเมืองเหนือนั้นมีแพร่หลายอยู่ทั่วไป มีทั้งระดับซูเปอร์ เฮฟวีเวทขนาดใส่ล้อเข็นอันได้แก่กลองแอว และระดับฟลายเวทสามารถห้อยสะพายได้สบายอันได้แก่ กลอง ซิ่งม่อง……. จากการศึกษาพบว่า ชาวพม่านั้นไม่มีกลองยาวขนาดใหญ่ เช่นกลองแอวอย่าง คนเมืองเหนือ และชาวพม่าเองยังกล่าวว่า กลองโอสิของเขานั้น น ามาจากกลองก้นยาว ของชาวไต ซึ่ง พม่า เรียกว่า ชานโอสิ เมื่อเรามีกลองแอวซึ่งเป็นกลองยาวขนาดใหญ่แล้ว จะไม่มีกลองยาวขนาดเล็ก เช่นกลองซิ่งม่องก็ดู กระไรอยู่ จึงขอสรุปในชั้นต้น ที่นี้ว่า คนเมืองเหนือมีวัฒนธรรม กลองยาวเป็นของตนเอง คงไม่ได้ เอาอย่างมาจากพม่าอย่างแน่นอน


กลองปูจา ผศ.ณรงค์ สมิทธิธรรม หอกลองปูจา (บูชา) ตามวัดในภาคเหนือ กลองปูจาประกอบด้วยกลองขนาดใหญ่ ๑ ใบ และ กลองเล็ก(ลูกตุบ) อีก ๓ ใบ การตีกลองปูจา ใช้ผู้ตี๒ คน คนหนึ่งถือไม้ค้อน ๒ มือ ทั้งกลองใหญ่ และกลอง เล็ก อีกคนหนึ่งถือไม้และตีขัดจังหวะ กลอง ยืนท านองไปตลอด นอกจากนี้หากเป็นการตีประกวดกัน ก็ยังมีคนตีฆ้องโหม่งและฉาบประกอบด้วย กลองปูจา (กลองปูจา) เป็นกลองขึ้นหนังสองหน้าขนาดใหญ่ตั้งอยู่กับที่ แต่ใช้ตีหน้าเดียวปกติจะ ตั้งไว้ที่ศาลาไว้กลอง หรือตั้งไว้ภายในวัด ประกอบด้วยกลองขนาดใหญ่ ๑ ใบ ซึ่งมีขนาดหน้ากลองเส้นผ่าศูนย์กลาง ประมาณ ๑ เมตร ความยาวของตัวกลองประมาณ ๑.๕ เมตร และ กลองขนาดเล็กเรียกว่า “กลองแสะ” หรือ “ลูกตุบ” ความเชื่อ ชาวบ้านมีความเชื่อว่าเป็นการตีบอกกล่าวพระอินทร์ พระพรหม เทวดาอารักษ์ ให้ช่วย ดูแลการประกอบศาสนากิจ เอาพระอินทร์พระพรหมได้ยินเสียงกลองก็จะอ านวยอวยพรให้มนุษย์อยู่เย็นเป็น สุข ข้าวกล้าในนา ธัญญพืชทั้งหลายจะเจริญงอกงามไม่มีศัตรูมาท าลาย ถ้าไม่ได้ยินเสียงกลองบูชา เทวา อารักษ์เบื้องบนท่านจะถือว่ามนุษย์ละเลยพระพุทธศาสนา อาจจะสาปแช่งและบันดาลให้เกิดความหายนะ เกิดเหตุอาเภทต่าง ๆ ได้ การตีกลองปูจา จะตีในกรณีที่จะเตือน ให้ขาวบ้านรู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นวันพระ บอกเตือนญาติโยมเกรงว่าจะลืมไป ท าบุญ จะตีในตอนหัวค่ าก่อนวันพระ กรณีที่สอง จะตีเพื่อฟังเทศน์ นิยมตี ในตอนเที่ ยงวัน มั่นแสดงว่าจะมี เทศนาฟังธรรมในตอนบ่ายของวันนั้น ก ร ณี ที่ ส า ม ตี สั่ง ล า ห ลั ง จ า ก ประกอบศาสนพิธีเสร็จแล้ว กรณีที่สี่ ตีในอกาลิกเวลา คือตีในวันที่ไม่ปกติ คือจะตีในกรณีงานบุญพิเศษ เช่น การทอดกฐิน งานกินสลาก ลักษณะ การตีต้องตีตามจังหวะ และมีลีลาซึ่ง เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น


กลองสะบัดชัย ผศ.ณรงค์ สมิทธิธรรม กลองสะบัดชัย มี ๒ แบบ แบบแรก คือกลองสะบัดแบบดั้งเดิม ดัดแปลงมาจากกลองปูจา (บูชา) ให้มีขนาดเล็กลง เพื่อใช้ หากน าหน้าขบวนแห่ได้ ใช้ตีเพื่อความเป็นศิริมงคลในงานมงคลต่าง ๆ (ยกเว้นงาน อวหมงคล) โดยเฉพาะ น าขบวนแห่ครัวทาน มีกลองใหญ่ ๑ ใบ ขนาดหน้ากลองเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑ เมตร ด้านข้างหนา ประมาณ ๓๐ เซนติเมตร มีกลองเล็กเรียกว่า “ลูกตุบ” อีก ๒ ใบ ใช้ผู้ตีคนเดียว มือซ้ายถือไม้แสะ มือ ขวาถือไม้ค้อนตีสลับกันไป และมีคนตีฆ้อนโหม่ง ๑ ใบ ตีประกอบจังหวะ แบบที่สอง เป็นกลองสะบัดชัยที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อประมาณปีพ.ศ. ๒๔๘๐ เป็นกลองสะบัดชัยแบบ ใบเดียวไม่มี “ลูกตุบ” รูปทรงและขนาดคล้ายกับแบบแรก มีคานหามซึ่งมีไม้ประกอบกลองและสลักงดงาม ใช้ผู้หาม ๒ คน มีคนตีฆ้อง ๒ คน และคนตีฉาบอีก ๑ คน ตีประกอบการตีกลองต้องให้เข้าจังหวะกับฆ้องและ ฉาบ เริ่มตีจากจังหวะช้าและเร็วขึ้นตามล าดับ ผู้ตีกลองจะแสดงท่า “ฟ้อนเจิง” พลิกแพลง ผาดโผนต่าง ๆ รวมทั้งใช้ศีรษะ ไหล่ ศอก เข่า และเท้าแทนไม้ค้อนตีกลอง วงกลองสะบัดชัยได้มีการพัฒนาตนเอง ล าหน้าวงกลองทั้งหลาย มีบทบาทใหม่เพิ่มขึ้นขณะที่วง กลองอื่นๆ ยังเป็นเพียงดนตรีประโคมอยู่ตามงานบุญ แต่บทบาทใหม่ของวงกลอง สะบัดชัย ได้ท าหน้าที่เป็น ทั้งดนตรีส าหรับประโคมในพิธีเปิดงานดนตรีส าหรับแห่น าขบวน การแสดงในกิจกรรมการท่องเที่ยวดนตรี ส าหรับแสดงโดยเฉพาะ กล่าวคือ วงกลองสะบัดชัได้กลายเป็นดนตรีส าหรับการแสดงจากวงกลองสะบัดชัย แล้วยังเป็นเพียงแค่การละเล่น ที่ยังหาความลงตัวเช่นกลองสะบัดชัยยังไม่ได้ อีกอย่างหนึ่งมือกลองสะบัดชัย ไม่ได้ห้อยกลองไว้กับหน้าอกอย่างมือกลองมองเซิง และไม่ได้สะพาย กลองไว้ข้างตัวอย่างประดามือกลองยาวทั้งหลาย ความคล่องตัวที่จะฟ้อนร าต าเต้นจึงมีโอกาสท า ได้มากว่า ส่วนมากนั้นก่อนจะลงมือประเคน ฆ้องใส่หน้ากลอง ศิลปินเหล่านี้จะท าการไหว้ครู โดยร่ายร าตามแบบศิลปะป้องกันตัวของเมือง เหนืออย่างที่เรียกว่า ตบมะผาบฟ้อนเจิง(เชิง) อวดความสามารถเป็นการเกริ่นน าเรียกน้ าย่อย ได้ไปแล้วฉากหนึ่ง จากนั้นจึงเป็นเรื่องของการ สร้างลีลาของจังหวะโดยใช้เสียงกลอง ซึ่งมีทั้ง ลูกขัด ลูกส่ง ลูกรัว ซึ่งเป็นบทบาททาง ดนตรี ไม่แต่เท่านั้น ลีลาในการบรรลือเสียงกลองยังแฝงด้วยแม่ไม้มวยไทย โดยใช้ทั้งศรีษะ ศอก เข่า ระดม ใส่หน้าหนังกลอง ซึ่งสามารถสร้างความตื่นตัวแก่ผู้ชมได้อย่างดีในแง่ของศิลปะที่จ าเป็นต้องมีสีสันให้ หลากหลาย การบรรเลงในวงกลองสะบัดชัย จึงได้เพิ่มบทบาทของแส่งหรือฉาบ โดยให้ท าหน้าที่เป็นผู้ เล่นมุขล้อกันกับมือกลองเพื่อให้การแสดงสมบูรณ์มากขึ้นการแสดงจะต้อง ใช้มือแส่งออกมาเดี่ยวหรือโซโลใน ลีลาท่าทางต่างๆ


ข้อสังเกตที่น่าสนใจก็คือ หากมีการให้มือแส่งได้อวดความสามารถ วงกลอง สะบัดชัย จักต้องมี ฉาบใหญ่คอยตีคุมจังหวะอีกที ริทึ่มหรือจังหวะของดนตรีที่ได้จึงจะหนักแน่นและด าเนินไปอย่างราบรื่น เคยพบว่าบางคณะอาจมีมือกลองสองคน หรือสามคนก็มี ซึ่งจะออกมาผลัดกันเดี่ยวโชว์ชั้นเชิงในการ ตีกลองประชันแข่งกัน เป็นการเพิ่มสีสันให้กับการแสดงให้ฉูดฉาดยิ่งขึ้น จ านวนฆ้องในวงกลองสะบัดชัยอาจมีตั้งแต่ ๔ - ๙ ใบ ทั้งนี้เพื่อให้ได้เสียงประสาน ครึกครื้นมากขึ้น บางครั้งอาจเจอวงกลองประเภทนี้ใช้ฆ้องราว (มองเซิง) แบบไทใหญ่มาประสมวงด้วย กลองสะบัดชัยมีอยู่สองแบบ คือ กลองสะบัดชัยแบบเดี่ยว กับกลองสะบัดชัย แบบมีลูกตุ๊บ ซึ่งเป็นกลองสะบัดชัยแบบดั้งเดิม ที่จ าลองมาจากกลองปูจา โดยมีการพ่วงเอา กลองใบเล็กหรือ ลูกตุ๊บ จ านวน ๓ ใบ ให้ มือกลองไว้ไล่ลูกล้อลูกขัด ต่อมามีการตัดลูก ตุ๊บให้เหลือ ๒ ใบ เพื่อให้บรรจุได้พอดีกับ กรอบหรือโครงไม้ที่ใช้ยึดตัวกลองไว้ จากนั้น จึงพัฒนาการเล่นจนกลายเป็นกลองสะบัดชัยที่ มีกลองเพียงใบเดียวมากกว่าแบบที่มีลูกตุ๊บ ครูค า กาไวย์ ศิลปินแห่งชาติ ชาวอ าเภอหางดง เชียงใหม่ นับเป็นศิลปินต้นเค้าของกลองสะบัด ชัยในยุคนี้ แม่ท่าอันเป็นลีลาในการแสดงกลองสะบัดชัยในปัจจุบันเป็นแนวคิดที่ ครูค า กาไวย์ ได้ ออกแบบไว้แทบทั้งสิ้น กลองมองเซิง ผศ.ณรงค์ สมิทธิธรรม กลองมองเซิง รูปลักษณะคล้ายกลอง ปูจา แต่มีขนาดเล็กกว่า ขนาดหน้ากลองมี เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๔๕ - ๖๐ เซนติเมตร ด้านซ้ายยาวประมาณ ๗๕ - ๙๐ เซนติเมตร สามารถใช้สะพายตีได้ ปกติจะใช้ตี ประกอบวงมองเซิง ซึ่งเป็นวงดนตรีแบบของ ไทยใหญ่ มีฆ้องชุดซึ่งมีขนาดและเสียงไล่ระดับ และมีสว่า (ฉาบ) ตีประกอบ ฆ้องเป็นเครื่องดนตรีศักดิ์สิทธิ์ มีเสียง เป็นมงคล ผู้คนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มี ความเชื่อกันอย่างนี้ ดังนั้นในการประโคมฆ้องให้มีความขลังยิ่งขึ้น คนโบราณจึงน าเอากลองและหางเครื่อง ทั้งหลายมาตีประกอบจังหวะไปด้วย อย่างที่โบราณว่าไว้ในนิราศ หริภุญไชยว่า มีฆ้องย่อมมีกลอง มีจองวองกับแส่งฯ นอกจากจะได้ความขลังและความตึแล้ว ยังได้บรรยายกาศครึกครื้นอีกด้วย


ด้วยเหตุนี้ จึงก่อให้เกิดเป็นวงแห่กลองมากมายหลายชนิดในเมืองเหนือ เช่น วงกลองซิ่งม่อง วงกลองยาว วงกลองแอว วงกลองปู่เจ่ วงกลองปู่จา วงกลองมองเซิง วงกาหลอ วงโนราของชาวใต้ วงมังคละของชาวสุโขทัยและพิษณุโลก วงตุ้มโมงของอีสานใต้วงกลองชนะภาคกลาง เป็นต้น ส่วนประเภทอื่น ๆ ในแถบใกล้เคียงก็มีการแห่ฆ้องแห่กลองมากพอ ๆ กับเมืองไทยเรา จะมีก็แต่ชาวเกาะในฟิลิปปินส์ อินโดนีเซียและบางเผ่าพันธุ์ที่อยู่ตามเขตชายแดน จีนตอนใต้เท่านั้น ที่ไม่เอากลองมาประสมวงแห่ไปกับฆ้อง ข้อสังเกตที่น่าสนใจเกี่ยวกับชื่อ ของวงเหล่านี้ ส่วนมากจะเรียกชื่อโดยมี กลองน าหน้า จะมีก็แต่วงมองเซิงเท่านั้น ที่ สามารถเรียกได้ทั้งเอากลองน าหน้าเป็นวง กลองมองเซิง หรือไม่มีกลองน าหน้า โดย เรียกเป็นวงมองเซิงเฉย ๆ เครื่องดนตรีในวงกลองมองเซิง อันดับแรก คือ ฆ้อง หรือ หม้อง หาก เป็นวงมองเซิงแบบคนเมืองจะใช้ฆ้องเดี่ยว ๕ – ๗ ใบตีพร้อมกันโดยใช้คนตี๕ - ๗ คนตามจ านวนฆ้อง เหตุที่คนเมืองไม่ใช้ฆ้อง ฮาวนั้น อาจเป็นด้วยว่าเราใช้ฆ้องท าหน้าที่ในวงดนตรีหลายวง หากเอามาใส่ฮาวให้เป็นชุดส าหรับวงมองเซิง เสียแล้ว คงไม่สะดวกหากน าไปเล่นกับวงกลองปู่จาและวงกลองซิ่งม่อง เครื่องดนตรีอันดับต่อไป คือ แส่ง คนสมัยนี้รู้จักในนามของฉาบ (ขนาดกลาง) นั่นเองเตเคยเห็นบาง วงใช้ทั้งแส่หรือสว่า(ฉาบใหญ่) โดยให้สว่าท าหน้าที่เดินจังหวะหลัก ปล่อยให้แส่ง ตีขัดจังหวะ ใส่ลูกเล่นลูกล้อ เพิ่มอรรถรสในดนตรีให้มากขึ้น เครื่องหลักที่ขาดไม่ได้คือกลองขึงหนังสองหน้าใบเขื่องขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ๓๐ เซนติเมตร ยาวประมาณ ๔๐ - ๖๐ เซนติเมตร อาจใหญ่ยาวกว่านี้ไม่มากนักด้วยเกรงว่าจะหนักและใช้แขนเอื้อมตีไม่ถนัด ใช้ผ้าหรือเชือกผูกกลองคล้องกับคอผู้ตีโดยพักกลองไว้ที่หน้าทอง ตีด้วยมือทั้งสองข้าง บางแห่งใช้ไม้ตีก็มี ข้อสังเกตที่น่าสนใจคือ ชาวไทใหญ่ ใช้มองเซิงหรือฆ้องฮาว ในวงดนตรีแห่ของตน ที่เรียกว่าวงกลอง ก้นยาว แต่คนเมืองไม่มีฆ้องฮาวกลับไปเรียกชื่อวงแห่ของตนว่าวงกลองมองเซิง จากพจนานุกรมภาษาพม่า มอง หมายถึง ฆ้อง ซึ่งเป็นค าใช้เรียกชื่อเครื่องดนตรีตามเสียงอันเป็นที่ นิยมชองชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหลาย ที่มักเรียกฆ้องคล้าย ๆ เช่น มอง หม้อง เหม่ง โมง หรือโหม่ง ว่ากันไปตามถนัด ส่วนค าว่า เซิง พม่าจะออกเสียงเป็น ไฉอิน มีความหมายหลายอย่าง เช่น จูม(ชุม) ชุด ร้าน (ฮ้าน) ฮาว (ราว) ก็ได้ มองเซิง จึงหมายถึง ฆ้องจุม ฆ้องฮาว (ราว) หรือฆ้องชุด ตามประวัติดนตรีของพม่านั้น มองเซิง (แบบพม่า) เป็นเครื่องดนตรีที่พึ่งพัฒนาขึ้นมาเพิ่มในวงปี่พาทย์ ราว พ.ศ. ๒๔๖๓ - ๒๔๗๓ เพื่อให้มีเสียงทุ้มกว่าฆ้องวง (จีเวง) ฆ้องชุดใหม่นี้ มีลูกฆ้อง ๑๘ - ๑๙ ใบ ถูก ขึงด้วยเชือกร้อยอยู่ในกรอบไม้สี่เหลี่ยมขนาดต่างกัน มีอยู่ด้วยกัน ๕ กรอบ แต่ละกรอบมีลูกฆ้องจ านวนไม่ เท่ากัน คือ ๓ - ๔ -๕ - ๖ ใบ เวลาเล่นจะเอากรอบวางเอียงกับพื้น บ้างก็พิงกับเครื่องอื่นในวง หากเป็นมองเซิงแบบไทใหญ่ หรือที่บ้านเราเรียกว่าฆ้องฮาวนั้น ประกอบด้วยฆ้องจ านวน ๔ - ๕ ใบ มีค้อนส าหรับตีร่วมแจมกันอยู่ ค าว่ามองเซิง เราคงจะออกเสียงเลียนแบบไทใหญ่ มากกว่า ในความหมายของคนเมืองเหนือนั้นค าว่า มองเซิง ใช้จังหวะหมายถึงรูปแบบหรือกระสวนของจังหวะ อย่างที่เราเรียกกันว่า จังหวะมองเซิง ตัวอย่างจังหวะแบบนี้คือเพลงฟ้อนเงี้ยว หรือเสเลเมา ที่คุ้นหูกันดีว่า


อะโหล……โล…..โล…..จะไปเมืองโกกับพี่เงี้ยว หนทางคดเคี้ยว ข้าน้อยจักใคร่ขอถาม ฯลฯ เมื่อจบวรรคเพลง ก็จะเป็นจังหวะดนตรี โมง…แซะ…โมง – แซะ…….แซะ-โมง…..ตะลุ้มตุ้มโมง วงมองเซิงของเรา ซึ่งไม่มีตัวของมองเซิงอยู่เลยนั้นคงจะได้แนวคิดมาจาก วงบองจี ของพม่า มากกว่า เพราะวงแบบนี้ใช้กลแงสองหน้าเหมือนบ้านเรา แต่ของเขามีแนมาช่วยเดินท านอง และพิเศษอีก หน่อยคือมีไม้เหิบตบให้จังหวะด้วย กลองตะโล้ดโป๊ด กลองตะโล้ดโป๊ด เป็นกลองสองหน้าขนาดเล็ก มักนิยมแขวนติดกันกลางหลวงหรือกลองแอวให้ตี ประกอบการฟ้อนเล็บหรือฟ้องเมือง ขนาดหน้ากลองมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑๕ - ๒๐ เซนติเมตร ตัว กลองยาวประมาณ ๖๐ เซนติเมตร


กลองเต่งถิ้ง กลองเต่งถิ้ง หรือกลองโป่งป่ง เป็นกลองขึ้นหนังสองหน้ามีขาตั้ง ใช้ฝ่ามือทั้งสองหน้าลักษณะ เดียวกับตะโพนไทย และตะโพนมอญ ใช้เล่นประสมรง “เต่งถิ่ง” หรือวง “ป้าด” (วงปี่พาทย์มอญ) และวงสะล้อ – ซึง (ดูการประสมวงต่อไป) กลองชนิดนี้มีหลายขนาด มีตั้งแต่ขนาดหน้ากลอง เส้นผ่าศูนย์กลาง ๒๐ - ๔๐ เซนติเมตรและความยาวของตัวกลองตั้งแต่ ๔๕ - ๖๐ เซนติเมตร ถ้าเป็นขนาดเล็กบางที่เรียกว่า “กลองโป่งปิ้ง” หรือ “กลองตัด”


บรรณานุกรม กรมการศึกษานอกโรงเรียน. ๒๕๓๘. แบบเรียนวิชาส่งเสริมคุณภาพชีวิต (วิชาเลือก) ภาคเหนือ. คุรุสภาลาดพร้าว : กรุงเทพมหานคร. ณรงค์ สมิทธิธรรม. ๒๕๔๕. ดนตรีพื้นบ้าน คนเมืองเหนือ. จิตรวัฒนการพิมพ์: ล าปาง. เผ่า วัชรเมขลา. มปป. กลองปูจา. เอกสารอัดส าเนา. เผ่า วัชรเมขลา. มปป. ฟ้อนเชิง. เอกสารอัดส าเนา.


Click to View FlipBook Version