๑ บทที่ ๑ บทนำ ที่มาและความสำคัญ การศึกษาปฐมวัยเป็นการพัฒนาเด็กอย่างเป็นองค์รวม ตั้งแต่แรกเกิดถึง ๖ ปีบริบูรณ์บนพื้นฐานการ อบรมเลี้ยงดู และการส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ที่สนองต่อธรรมชาติละพัฒนาการ ตามวัยของเด็กแต่ละคนให้ เต็มตามศักยภาพ ภายใต้บริบทสังคมและวัฒนธรรมที่เด็กอาศัยอยู่ ด้วยความรัก ความเอื้ออาทร และความ เข้าใจของทุกคนเพื่อสร้างรากฐานคุณภาพชีวิตให้เด็กพัฒนาไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เกิดคุณค่าต่อ ตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยมุ่งพัฒนาเด็กทุกคนให้ได้รับการพัฒนาด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญาอย่างมีคุณภาพและต่อเนื่อง ได้รับการจัดประสบการณ์เรียนรู้อย่างมีความสุข และเหมาะสมตาม วัย มีทักษะชีวิตและปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นคนดี มีวินัย และสำนึกความเป็นไทย ด้วยความร่วมมือระหว่างสถานศึกษา พ่อแม่ ครอบครัว ชุมชน และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็ก เด็ก ทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการอบรมเลี้ยงดูและการส่งเสริมพัฒนาการตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กตลอดจนได้รับ การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ อย่างเหมาะสม ด้วยปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเด็กกับพ่อแม่ เด็กกับผู้สอน เด็กกับ ผู้เลี้ยงดูหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับการอบรมเลี้ยงดู การพัฒนาและให้คำปรึกษาแก่เด็กปฐมวัยเพื่อให้เด็กมีโอกาส พัฒนาตนเองตามลำดับขั้นของพัฒนาการทุกด้านอย่างเป็นองค์รวมมีคุณภาพ และเต็มศักยภาพ โดยกำหนด หลักการ เพื่อส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาการที่ครอบคลุมเด็กปฐมวัยทุกคน ยึดหลักการอบรมเลี้ยง ดูและให้การศึกษาที่เน้นเด็กเป็นสำคัญ คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลและวิถีชีวิตของเด็กตามบริบท ชุมชน สังคม และวัฒนธรรมไทย ยึดพัฒนาการและพัฒนาเด็กโดยองค์รยมผ่านการเล่นอย่างมีความหมาย และมีกิจกรรมที่หลากหลาย เด็กได้ลงมือกระทำในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้เหมาะสมกับวัย (กระทรวงศึกษาธิการ, 2560) ความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมือมัดเล็กมีความสำคัญและจำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวันสำหรับ เด็กปฐมวัย โดยกล้ามเนื้อมือมัดเล็กเป็นอวัยวะหนึ่งในการประกอบกิจวัตรประจำวันด้วยตนเอง เช่น การ ใส่,ถอด กระดุม รูดซิป การแปรงฟัน ผูกเชือกรองเท้า งานศิลปะ รวมทั้งการขีดเขียน ถ้าเด็กใช้กล้ามเนื้อมัด เล็กได้อย่างคล่องแคล้ว จะช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านต่าง ๆ การใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็กปฐมวัย ควร ส่งเสริมให้ใช้กล้ามเนื้อสายตาร่วมกับมือ เพราะการประสานงานของกล้ามเนื้อเล็กของเด็กปฐมวัยยังไม่พร้อม เท่าที่ควรการเล่นและทำกิจกรรมศิลปะต่าง ๆ จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เด็กได้พัฒนาความพร้อมทางมือและ ตาให้มากที่สุดเด็กจะเรียนรู้อย่างสนกสนาน เด็กจะใช้มือในการหยิบจับวัสดุต่าง ๆ ทำให้เข้าใจวิธีการใช้นิ้วจับ ดินสอได้อย่างถูกวิธี การพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็กให้แข็งแรง เด็กก็จะพร้อมที่จะลากลีลามือซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญ ของการเขียน เพราะความคล่องแคล้วของกล้ามเนื้อมือมีความสำคัญอย่างมากกับการเขียนของเด็ก ซึ่ง กิจกรรมหรืออุปกรณ์ที่ช่วยส่งเสริมกล้ามเนื้อมือกับสายตา (Eye Hand Coordination) ให้ประสานสัมพันธ์กัน
๒ ได้แก่ ร้อยลูกปัด ร้อยเชือก ร้อยดอกไม้ เย็บ กระดุม รูดซิป เรียงสี เรียงไม่หนีบ ตอกตะปู เป็นต้น (กระทรวง ศึกษาธิการ,๒๕๖๐) นวัตกรรมสื่อการสอน Animal Funny เป็นนวัตกรรมสื่อการสอนที่เหมาะสมกับเด็ก เพื่อกระตุ้นให้ เด็กเกิดพัฒนาการอย่างเต็มศักยภาพของเด็กแต่ละคน ซึ่งนวัตกรรมสื่อการสอน Animal Funny เป็นสื่อที่เปิด โอกาสให้เด็กได้เป็นผู้ริเริ่มสร้างสรรค์ เปิดโอกาสให้เด็กได้สังเกต และทดลองด้วยตนเอง นวัตกรรมสื่อการสอน Animal Funny ช่วยให้เด็กได้พัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก ผ่านกิจกรรมย่อย ๆ ที่หลากหลาย ซึ่งช่วยพัฒนา กล้ามเนื้อมัดเล็กได้เป็นอย่างดี เด็กได้เรียนรู้ปฏิบัติจริง สัมผัสกับสื่อผ่านประสาทสัมผัสทั้ง ๕ รวมทั้งช่วย ส่งเสริมจินตนาการความคิดสร้างสรรค์และ การแก้ปัญหา จากที่ได้กล่าวมานี้ จะเห็นได้ว่า การใช้นวัตกรรมสื่อการสอน Animal Funny เพื่อส่งเสริมพัฒนาการ ด้านกล้ามเนื้อมือมัดเล็กของเด็กปฐมวัยมีความสำคัญมากในการเตรียมความพร้อมด้านการเขียนให้กับเด็ก ปฐมวัย เพราะการเตรียมพร้อมที่ดีทำให้เด็กมีพัฒนาการด้านการเขียนที่ดีตาม ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษา การใช้นวัตกรรมสื่อการสอน Animal Funny เพื่อส่งเสริมพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อมือมัดเล็กของเด็กปฐมวัย ผลที่ได้จากการวิจัยนี้จะเป็นประโยชน์ต่อครู ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาปฐมวัยและผู้บริหาร เพื่อใช้เป็น แนวทางในการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมความสามารถด้านกล้ามเนื้อมือมัดเล็ก อันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการที่ จะพัฒนาให้เด็กปฐมวัยมีความพร้อมในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กได้ดียิ่งขึ้นในชั้นประถมศึกษาต่อไป ความมุ่งหมายของการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ตั้งความมุ่งหมายไว้ดังนี้ ๑. เพื่อส่งเสริมการใช้กล้ามเนื้อมือมัดเล็กของเด็กปฐมวัยโดยใช้นวัตกรรมสื่อการสอน Animal Funny ๒. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมืดมัดเล็กของเด็กปฐมวัยก่อนและหลัง ได้รับการจัดกิจกรรมด้วยการใช้นวัตกรรมสื่อการสอน Animal Funny ความสำคัญของการวิจัย ๑. เพื่อใหทราบความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมือมัดเล็กของเด็กปฐมวัยโดยใช้นวัตกรรมสื่อการ สอน Animal Funny ๒. เพื่อเป็นประโยชน์ต่อครู ผู้ดูแลเด็กและผู้ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาปฐมวัยในการนำกิจกรรมไปใช้ ในการพัฒนากล้ามเนื้อมือมัดเล็ก และการจัดการเรียนการสอนสำหรับเด็กปฐมวัย ขอบเขตของการวิจัย ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ เด็กปฐมวัยชาย-หญิง อายุระหว่าง ๔-๖ ขวบ ที่กำลัง ศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาลปีที่ ๒ และ ๓ ของโรงเรียนวัดผลาหาร อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี
๓ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ เด็กปฐมวัยชาย-หญิง อายุระหว่าง ๔-๖ ขวบ ที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาลปีที่ ๒ และ ๓ ของโรงเรียนวัดผลาหาร อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี จำนวน ๓๔ คน โดยมีขั้นตอนการเลือกกลุ่มตัวอย่าง ด้วยวีธีการสุ่มอย่างง่าย ตัวแปรที่ศึกษา ๑. ตัวแปรอิสระ ได้แก่ นวัตกรรมสื่อการสอน Animal Funny ๒. ตัวแปรตาม ได้แก่ การส่งเสริมพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อมือมัดเล็กของเด็กปฐมวัย นิยามศัพท์เฉพาะ ๑. ความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก หมายถึง การใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กในการทำงานที่ ละเอียดซึ่งไม่ต้องอาศัยการเคลื่อนที่ของร่างกาย แต่เป็นการใช้ความสัมพันธ์ของกล้ามเนื้อมือ นิ้วมือ แขน ไหล่ ให้ทำงานประสานสัมพันธ์กับสายตา โดยผ่านระบบประสาททางกล้ามเนื้อ ๒. นวัตกรรมสื่อการสอน Animal Funny หมายถึง สื่อการสอนที่เปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงออก ทางความคิด จิตนาการ ได้สำรวจและสังเกต โดยมีเนื้อหาสอดคล้องกับแผนการจัดประสบการณ์ ชั้นอนุบาลปี ที่ ๒ และ ๓ ของโรงเรียนวัดผลาหาร กิจกรรมดังกล่าวจะจัดวันละ ๑ ครั้ง เพื่อพัฒนากล้ามเนื้อมือมัดเล็ก ฝึก ความสัมพันธ์ระหว่างกล้ามเนื้อมือ นิ้วมือ แขน ไหล่ ห้ำงานประสานสัมพันธ์กับสายตา และส่งเสริมความคิด สร้างสรรค์เพื่อเตรียมความพร้อมในการเรียนระดับชั้นประถมศึกษาต่อไป ๓. เด็กปฐมวัย หมายถึง เด็กปฐมวัยชาย-หญิง อายุระหว่าง ๔-๖ ขวบ ที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาล ปีที่ ๒ และ ๓ ของโรงเรียนวัดผลาหาร อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี กรอบแนวคิดของการวิจัย สมมติฐานของการวิจัย เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมโดยใช้นวัตกรรมสื่อการสอน Animal Funny มีพัฒนาการด้าน กล้ามเนื้อมือมัดเล็กของเด็กปฐมวัยได้ดีขึ้น ตัวแปรอิสระ ตัวแปรตาม นวัตกรรมสื่อการสอน Animal Funny การส่งเสริมพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อมือ มัดเล็กของเด็กปฐมวัย ภาพประกอบ ๑ กรอบแนวคิดของการวิจัย
๔ บทที่ ๒ เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง และได้นำเสนอตามหัวข้อ ต่อไปนี้ ๑. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับตวามสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมือมัดเล็ก ๑.๑ ความหมายและความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมือมัดเล็ก ๑.๒ ความสำคัญของความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก ๑.๓ พัฒนาการความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมือมัดเล็ก ๑.๔ การส่งเสริมความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมือมัดเล็ก ๑.๕ ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมือมัดเล็ก ๑.๖ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อเล็ก ๒. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวของกับการจัดประสบการณ 2.1 แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับการจัดประสบการณสําหรับเด็กปฐมวัย 2.2 หลักการจัดประสบการณสาหรับเด็กปฐมวัย 2.3 ความหมายของการจัดประสบการณ 2.4 ความสําคัญของการจัดประสบการณ 2.5 งานวิจัยที่เกี่ยวของกับการจัดประสบการณ์ ๓. เอกสารและงานวิจัยเกี่ยวสื่อการสอน 3.1 ความหมาย 3.2 ความสำคัญ 3.3 ประเภท / รูปแบบ 3.4 การจำแนกสื่อ 3.5 บทบาทและคุณค่าของสื่อ 3.6 หลักการเลือกสื่อ 3.7 สื่อกับการพัฒนาการด้านต่างๆ 3.8 หลักการออกแบบ
๕ ๑. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมือมัดเล็ก ๑.๑ ความหมายของความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมือมัดเล็ก นิวแมน (Neuman. ๑๙๗๘:๒๖) ให้ความเห็นว่า ความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก หมายถึง กระบวนการของการใช้ประสาทสัมผัสให้ประสานสัมพันธ์ในการทำกิจกรรมอย่างระมัดระวัง ฟอร์แมน และ ฟลีท (Forman and Fleet ๑๙๘๐ : ๓) กล่าวว่า ความสามารถในการใช้ กล้ามเนื้อมัดเล็ก หมายถึง ความสามารถในการบังคับและเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อแขน มือ และนิ้วมือ ในการ ทำกิจกรรมต่าง ๆ โดยสัมพันธ์กับการใช้สายตา กรวิภา สรรพกิจจำนง (กรวิภา สรรพกิจจำนง. ๒๕๓๒ : ๖-๗) กล่าวว่า ความสามารถในการ ใช้กล้ามเนื้อมือมัดเล็ก หมายถึง ประสิทธิภาพในการทำงานของกล้ามเนื้อแขน มือ นิ้วมือ ที่ประสานกันดีทำให้ สามารถกระทำกิจกรรมต่าง ๆ ตลอดจนช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวันได้อย่างถนัด เช่น การหยิบจับสิ่งของ ต่าง ๆ การแต่งตัว การรับประทานอาหารเป็นต้น ออเดร (วรรณี อยู่คง. ๒๕๔๗: ๒๗) ให้ความหมายของความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัด เล็ก หมายถึง ความสามารถในการใช้อวัยวะเพียงบางส่วนโดยเฉพาะมือและนิ้วมือในการทำกิจกรรม เช่น การ ตัด การเขียน หลักการทำงานที่สำคัญ คือ ความสามารถในการควบคุมการประสานสัมพันธ์กันของมือ นิ้วมือ และตา นภเนตร ธรรมบวร (๒๕๔๐:๗๓) กล่าวว่า ความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมือมัดเล็กเป็น ความสามารถในการบังคับกล้ามเนื้อเล็กส่วนต่าง ๆ ให้ทำงานประสานกัน เช่น ตากับมือ นิ้วมือ ได้แก่ การวาด ภาพ การลากเส้น การตัดกระดาษ การร้อยลูกปัด และการลากเส้นตามรอยประ เป็นต้น จากข้อความดังกล่าวสรุปได้ว่า ความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก หมายถึง กล้ามเนื้อที่ ใช้ในกรทำงานที่มีความละเอียด ที่ไม่ต้องอาศัยการเคลื่อนที่ของร่างกาย เป็นความสามารถในการบังคับ ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อมือ นิ้วมือ ไหล่ ให้ประสานสัมพันธ์กับสายตาและประสาทสัมผัส ทำให้ สามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ และช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวันได้อย่างคล่องแคล้วมีประสิทธิภาพตามความ ถนัดของแต่ละบุคคล ๑.๒ ความสำคัญของความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก กล้ามเนื้อมัดเล็กเป็นอวัยวะที่สำคัญหนึ่งในการประกอบกิจวัตรประจำวันด้วยตนเอง เช่น การใส่ - ถอดกระดุม รูดซิป การแปรงฟัน ผูกเชือกรองเท้า งานศิลปะ รวมทั้งการขีดเขียน ถ้าเด็กใช้กล้มเนื้อ เล็กได้คล่องแคล้ว จะช่วยส่งเสรมพัฒนาการด้านต่าง ๆ เช่น ด้านสติปัญญาให้ดีขึ้น เพราะกล้ามเนื้อมัดเล็กเป็น ส่วนที่ทำให้เด็กได้ใช้มือสำรวจ สังเกต จากการสัมผัสจับต้องในทุก ๆ กิจกรรม พัฒนา ชัชพงษ์ (๒๕๔๑:๑๒๒) กล่าวถึง ความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก ไว้คือการ พัฒนากล้ามเนื้อนิ้วมือให้แข็งแรงเด็กก็พร้อมที่จะลากลีลามือ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการเขียน กุลยา ตันติผลาชีวะ (๒๕๔๗:๑๐๐) กล่าวว่า การส่งเสริมพัฒนาการกล้ามเนื้อมัดเล็กเป็น พัฒนากล้ามเนื้อนิ้วมือที่มีความสำคัญต่อเด็กมาก เพราะเด็กต้องใช้มือในการทำกิจกรรมที่สำคัญ ได้แก่ การ เขียนหนังสือ การจัดกระทำหยิบจับ ปั้นแต่งสิ่งต่าง ๆ
๖ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ (๒๕๓๖:๒) กล่าวว่า ความสำคัญของ ความสามารถในกรใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กเป็นความสัมพันธ์ระหว่างมือกับตา การฝึกประสาทสัมผัสและความ คล่องแคล้วซึ่งจะนำไปสู่การอ่านและเขียนของเด็ก ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (๒๕๒๑:๑๐๑-๑๐๒) ได้กล่าวว่า ความสัมพันธ์ของความสามารถในการ ใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก ไว้ว่ามิได้หมายถึงเพียงการเขียนตัวอักษรตามความหมายของผู้ใหญ่ แต่การเขียนของเด็ก อนุบาลเพียงการขัดเขียนไปมาก็เป็นรเขียนในขั้นเริ่มต้นแล้ว ซึ่งประโยชน์ของการเขียนก็เพื่อสื่อความและ แสดงออกซึ่งความคิดเห็นเป็นสื่อในการแสดงออกที่ตามองเห็น โดยต้องใช้ความสัมพันธ์ระหว่างตากับมือใน การบังคับควบคุมการทำงาน จากข้อความที่กล่าวมาสรุปได้ว่า ความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กมีความสำคัญต่อ เด็ก กล่าวคือ กล้ามเนื้อมัดเล็กเป็นอวัยวะที่สำคัญ การเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อตา มือนิ้วมือ และแขน ที่มีความมี สัมพันธ์กันจะทำให้เด็กสามารถทำกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ ได้คล่องแคล้วว่องไว ซึ่งการบริหารกล้ามเนื้อเล็กให้ แข็งแรงจะช่วยให้พัฒนาการรับรู้และส่งผลให้เกิดการพัฒนาด้านสติปัญญาที่ดีตลอดจนเป็นพื้นฐานด้าน ความสามารถในการเขียนของเด็กต่อไป ๑.๓ การพัฒนาความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก สมาคมคหเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย (๒๕๒๕:๑๒๔) กล่าวถึง พัฒนาการความสามารถ ในการใช้กล้ามเนื้อมือมัดเล็ก ดังนี้ เมื่ออายุ ๓-๔ ขวบ จะเริ่มใช้ช้อนป้อนอาหารเองได้ เมื่ออายุ ๕-๖ ขวบ จะ ขว้างและรับลูกบอลได้คล่องแคล้ว มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมมาธิราช (๒๕๔๓:๒๔๙) กล่าวถึง พัฒนาการความสามารถในการใช้ กล้ามเนื้อมัดเล็กของเด็กปฐมวัย ดังนี้ เด็กวัย ๓ ขวบ ต่อแท่งไม้สี่เหลี่ยมได้สูงถึง ๙-๑๐ อัน เขียนวงกลมได้แต่ยังวาดรูป คนไม่ได้ เด็กวัยประมาณ ๔ -๖ ขวบ การใช้มือก็มีความละเอียดขึ้น เด็กวัยนี้จึงมี ความสามารถแต่งตัวเองได้ หวีผม แปรงฟัน ล้างหน้า ใส่รองเท้า ผูกเชือกรองเท้าได้ เมื่อปลายวัย ช่วยทำงาน เล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ ความสามารถในการเรียนดีขึ้น เด็กวัย ๕ ขวบ เขียนรูปสามเหลี่ยมได้ เด็กวัย ๖ ขวบ เขียนรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนได้ การวาดรูปคนก็ต่อเติมมี รายละเอียดเพิ่มมากขึ้นจนเป็นรูปร่างคนครบบริเวณขึ้น จันทร์เพ็ญ ศรีมันตะ (๒๕๓๑:๗๐ - ๘๑) กล่าวถึง พัฒนาการความสามารถในการใช้ กล้ามเนื้อมัดเล็กไว้ดังนี้ อายุ ๓ ปี สามารถหยิบเศษผงโดยปิดตาข้างหนึ่งได้ ตัดกระดาษด้วยกรรไกรได้ วาง บล็อก ๓ ชิ้น เป็นสะพานได้ ควบคุมดินสอให้อยู่ระหว่างหัวแม่มือและนิ้วมืออีกสองนิ้วได้ เขียนวงกลมทับตาม แบบและอักษรได้ วาดรูปคนโดยมีศีรษะและอาจมีส่วนอื่นของร่างกายอีกสักสองอย่าง
๗ อายุ ๔ ปี สามารถปิดตาข้างเดียวหยิบและวางเศษผงหรือวัสดุเล็ก ๆ ไว้ที่เดิมได้ ร้อยลูกปัดได้ แต่ยังร้อยรูเข็มไม่ได้ ต่อบล็อกเป็นหอคอยสูง ๑๐ ชั้นได้ จัดบล็อก ๖ อันเรียงเป็นบันได ๓ ชั้นได้ กดหัวแม่มือลงบนนิ้วแต่ละนิ้วได้ตามตัวอย่าง จับดินสอได้อย่างเด็กโต เขียนทับกากบาทและเขียนหนังสือที่ ง่าย ๆ บางตัว เช่น ง บ ป ได้ วาดรูปคนมีศีรษะและขาอาจจะมีแขนและลำตัวด้วย อายุ ๕ ปี สามารถร้อยรูเข็มได้ นำบล็อกมาเรียงเป็นขั้นบันได ๓-๔ ขั้น เขียนทับรูป สี่เหลี่ยมจัตุรัส (ต่อมารูปสี่เหลี่ยม) และตัวอักษรบางตัวได้ อักษรบางตัวเขียนได้โดยไม่มีคนบอก วาดรูปคนโดย เริ่มต้นที่ลำตัวก่อน แล้วจึงวาดศีรษะ แขน ขา และหน้าตา และยังวาดบ้านพร้อมหลังคา มีหน้าตา ประตู ปล่องไฟได้ด้วย ระบายสีภาพด้วยความระมัดระวัง อายุ ๖ ปี เขียนทับรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสได้อย่างถูกต้อง เขียนทับรูปบันไดได้เรียบร้อย พยายามจะวาดรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน วาดรูปสามเหลี่ยมได้ถูกต้องกว่าเมื่ออายุ ๕ ปี จากที่กล่าวข้างต้นสรุปได้ว่า พัฒนาการความสามมารถในการใช้กล้ามเนื้อมือมัดเล็กของเกปฐมวัยนั้น จะมีพัฒนาการปอย่างเป็นระบบตามช่วงอายุของเด็กแต่ละวัย โดยจะพัฒนาจากนิ้วมือต้นแขนไปสู่ปลายแขน ซึ่งความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อเล็บควบคู่ไปกับกล้ามเนื้อใหญ่ และระดับสติปัญญาตามวุฒิภาวะของสมอง ที่เป็นไปตามวัย ๑.๔ การส่งเสริมความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก เยาวพา เดชะคุปต์ (๒๕๔๒:๒๒-๒๔) กล่าวถึง อุปกรณ์ที่ส่งเสริมการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก ได้แก่ ๑. อุปกรณ์ที่ส่งเสริมการใช้กล้ามเนื้อมือกับตา (Eye Hand Coordination) เช่น การร้อยลูกปัด ร้อยเชือก ร้อยดอกไม้ เย็บกระดุม รูดซิป เรียงสี เรียงไม้หนีบ ปักหมุด ตอกตะปู เป็นต้น ๒. อุปกรณ์ประเภทหนึ่งที่จัดกระทำต่อวัตถุ (Manipulative) เช่น การต่อบล็อก ต่าง ๆ ได้แก่ บล็อกไม้ บล็อกพลาสติก บล็อกชุด บล็อกกลวง ตัวต่อพลาสติกต่าง ๆ เป็นต้น สุมนา พานิช (๒๕๓๑:๔๑-๔๒) กล่าวถึง วิธีการส่งเสริมความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัด เล็กไว้ คือ การฝึกให้เด็กใช้นิ้วมือวาดภาพ ระบายสี ปั้น ตัดกระดาษ เขียนหนังสือ ทำกิจกรรมอื่น ๆ ในเรื่อง การช่วยเหลือตนเอง เช่น ติดกระดุม รูดซิป จากเอกสารที่กล่าวมาสรุปได้ว่า การส่งเสริมความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมือมัดเล็กนั้น ทำได้โดย ให้เด็กฝึกทักษะในการใช้มือหยิบจับสัมผัสกับวัตถุ สื่อ และอุปกรณ์ ที่หลากหลาย ตลอดจนการเคลื่อนไหวของ มือให้ประสานสัมพันธ์กัน โดยการส่งเสริมให้ฝึกฝนทักษะในการทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การวาดภาพระบายสี การปั้น การฉีก ตัด ปะ พับกระดาษ การถัก การร้อย เป็นต้น ๑.๕ ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก กีเซล ซึ่งเป็นนักจิตวิทยาพัฒนาการกล่าวว่า ความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมือมัดเล็กของ เด็กสามารถแบ่งออกเป็นระยะและมีขั้นตอนพัฒนาการ โดยเริ่มจากขั้นแรก คือ การใช้มือตะปป ขั้นต่อมาจับ ของด้วยนิ้ว ๔ นิ้ว ติดกันกับฝ่ามือ โดยเริ่มใช้ฝ่ามือตรงใกล้ๆสันมือ ต่อมาเลื่อนไปใช้ใจกลางมือ จากนั้นหัวแม่ มือจึงค่อยเคลื่อนมาช่วยจับขั้นสุดท้าย คือการหยิบด้วยหัวแม่มือกับปลายนิ้ว ซึ่งทั้งหมดเป็นกล้ามเนื้อเล็กที่มี
๘ ความสำคัญแก่ชีวิต เพราะเป็นรากฐานของบุคคล เมื่อเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่พฤติกรรมของบุคคลจะมีอิทธิพล มาจากสภาพความพร้อมทางร่างกาย ได้แก่ กล้ามเนื้อ ต่อกระดูกและประสาทต่างๆ สิ่งแวดล้อมเป็นเพียง ส่วนประกอบของการเปลี่ยนแปลง อีริคสัน กล่าวถึงพัฒนาการของเด็กวัย ๒-๓ ปี ค้านการควบคุมด้วยตนเองหรือสงสัย อาย โดยเด็กเริ่มเรียนรู้ที่จะช่วยตนเอง 3 ารถควบคุมตนเองและทำงานง่ายๆได้เหมาะสมกับวัย เช่นการหยิบอาหาร เข้าปากซึ่งถ้ามีการบังคับหรือเข้มงวดมากเกินไปเด็กอาจรู้สึกว่าตนเองไม่ สามารถทำได้จะส่งผลให้เด็กเกิดการ พึ่งพาผู้อื่น จากที่กล่าวข้างต้น จะเห็นว่าทฤษฎีเกี่ยวกับความ 3 ารถในการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กนั่นแสดงให้เห็นว่า เด็กมีพัฒนาการของความ 3 ารถในการใช้กล้ามเนื้อเล็กเริ่มมาจากการเคลื่อนไหวอวัยวะในส่วนของกล้ามเนื้อ ใหญ่ก่อนแล้วจึงค่อยๆพัฒนาเป็นการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก ซึ่งจะเป็นการเรียนรู้โดยใช้ความรู้ไปตามวุฒิภาวะ และการเรียนรู้ของเด็ก โดยที่การรับรู้ด้านประสาทสัมผัสของการทำงานประสานสัมพันธ์กันได้อย่าง คล่องแคล่วของกล้ามเนื้อเล็กนั้นจะอาศัยความรู้สึกและประสบการณ์ของเด็กซึ่งจะช่วยให้การควบคุม กล้ามเนื้อเล็กเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ 2. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวของกับการจัดประสบการณ 2.1 แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับการจัดประสบการณสําหรับเด็กปฐมวัย การจัดประสบการณสําหรับเด็กปฐมวัย เปนการจัดสภาพแวดลอม ประสบการณ ใหเด็กไดมีโอกาสทำ กิจกรรมตางๆ ดวยตนเองโดยการใชรางกายและประสาทรับรูตางๆ เพื่อใหเกิดความสนุกสนาน เกิดการเรียนรู ตามจุดหมายที่กําหนดไว กลาววา มีจุดมุงหมายเพื่อสงเสริมพัฒนาการทุกดานทั้งดานรางกาย อารมณ จิตใจ สังคม และสติปญญา ซึ่งแนวคิดของนักปรัชญาการศึกษา นักปฐมวัยศึกษา และนักทฤษฎี จิตวิทยาพัฒนาการ มีอิทธิพลตอการจัดประสบการณและกิจกรรมในระดับปฐมวัยศึกษานั้นมีหลายบุคคลดวยกัน (พัชรี ผลโยธิน. 2537: 121 – 125 ) ลอค (Lock) มีความเห็นวา เด็กทารกนั้นเปรียบเสมือนผาขาว ประสบการณตางๆและสิ่งแวดลอมจะ มีความสําคัญอยางมากตอการเจริญเติบโตของเด็ก ทําใหเด็กมีพัฒนาการที่แตกตางกัน สกินเนอร (Skinner) เชื่อวา พฤติกรรมของคนเรานั้น เกิดจากการปฏิสัมพันธกับสิ่งแวดลอมและ สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนั้นไดดวยตัวเสริมแรง ดังนั้นในการสอนครูสามารถนําเด็กไปพฤติกรรมหรือการ เรียนรูที่ตองการได รุสโซ (Rousseau) นักปรัชญาของชาวฝรั่งเศส ซึ่งเชื่อในพื้นฐานความดีของสัญชาตญาณในมนุษยเรา เปนนักวุฒิภาวะนิยมที่มีความเห็นวา ถาเราใหโอกาสเด็กเจริญเติบโตตามวิธีทางธรรมชาติแลว เด็กจะพัฒนาได เต็มตามศักยภาพ เพราะฉะนั้น พอ แม หรือครูควรหลีกเลี่ยงที่จะขัดขวางการเจริญเติบโตตามธรรมชาติของ เด็ก ไมบังคับเด็ก
๙ ฟรอยด (Freud) มีความเห็นวา อิทธิพลที่สําคัญที่สุดของพัฒนาการนั้นจากภายในตัวเด็ก ทั้งทาง ดานอารมณ สังคม สติปญญา และทางกาย กีเซล (Gesell) มีความเห็นวา พัฒนาการของเด็กจะเปนไปตามธรรมชาติตามอายุของเด็กเมื่อถึงวัน นั้น เด็กจะแสดงพฤติกรรมตางๆไดโดยไมตองไปเรงหรือฝกเด็ก นักการศึกษาหรือพอแมควรใหอิสระเด็กในการ ทํากิจกรรมตางๆ ตามความสนใจ เพียเจท (Piaget) นักจิตวิทยาชาวสวิสไดอธิบายถึงกระบวนการคิดและสรางความรูของเด็ก หลักการ ทางทฤษฎีพัฒนาการทางสติปญญาของ เพียเจทหลายประการ ที่ชวยครูใหคิดสรางสรรค จัดกิจกรรมและ ประสบการณที่เหมาะสมใหกับเด็ก กลาวคือ 1. การเรียนรูเปนกระบวนที่อาศัยความกระตือรือรนทั้งทางรางกายและจิตใจของผูเรียน 2. พัฒนาการแตละขั้นจะดําเนินการไปตามลําดับขั้นตอน จะขามขั้นไมไดและดวยอัตรา ที่แตกตางกันในแตละบุคคล 3. ภาษาไมใชปจจัยที่ทําใหเด็กเกิดการเรียนรูและความคิดรวบยอดเพียงอยางเดียว 4. พัฒนาการทางสติปญญาของเด็กสงเสริมไดดวยการมีปฏิสัมพันธกับเด็กอื่น ผูใหญ และสิ่งแวดลอมทางกายภาพ ดิวอี้ (Dewey) ไดพัฒนาแนวคิดที่วาประสบการณสําหรับเด็กเกิดขึ้นไดตองใชความคิดและการลงมือ ปฏิบัติกิจกรรมตางๆ ทดลองและคนพบดวยตนเอง ไมนิยมการสอนใหเด็กทองจํา แตเชื่อในการใหอิสระเด็กได สํารวจ เลนในสิ่งแวดลอมที่เต็มไปดวยกิจกรรมที่จะนําไปสูความสนใจของเด็ก ลักษณะการเรียนรูของเด็กนั้น จะเรียนรูสิ่งที่เด็กเกี่ยวของดวย หรือตอเมื่อเด็กยอมรับดวยใจเขาเอง หรือสมัครใจทําเอง การที่เด็กจะเรียนมา กนอยเพียงใดแลวแตวาสิ่งนั้นจะมีความสําคัญตอเด็กเพียงใด หรือเกี่ยวของมีความหมายกับสิ่งที่เด็กทราบอยู แลว จากที่กลาวมา จะเห็นวาการจัดประสบการณสําหรับเด็กปฐมวัยตั้งอยูบนแนวคิดพื้นฐานของ นักปรัชญาการศึกษา นักทฤษฎีจิตวิทยาพัฒนาการ และนักการศึกษาปฐมวัย โดยการจัดประสบการณให สอดคลองกับพัฒนาการของเด็กไดอยางเหมาะสมและตอบสนองความแตกตางของเด็กแตละคน เพื่อสงเสริม ใหเด็กไดพัฒนาบรรลุผลตามเปาหมายที่ตองการ 2.2 หลักการจัดประสบการณสําหรับเด็กปฐมวัย ในการจัดประสบการณสําหรับเด็กปฐมวัย ไดมีผูกลาวถึงหลักการจัดประสบการณไว ดังตอไปนี้ ภรณี คุรุรัตนะ (2523: 76 – 81) กลาววา การจัดประสบการณใหแกเด็กปฐมวัยมีเปาหมายเพื่อ กระตุนใหเด็กไดพัฒนาไปในรูปแบบที่พึงประสงคทั้ง 4 ดาน คือ รางกาย อารมณ สังคม และสติปญญา ครู
๑๐ หรือผูดูแลเด็กจึงควรมีความรูความเขาใจเกี่ยวกับสาเหตุที่มาของพฤติกรรมและลักษณะพัฒนาการโดยทั่วไป เพื่อเปนพื้นฐานในการจัดประสบการณที่จะสงเสริมพัฒนาการดังกลาว โดยใหสอดคลองกับความพรอม วุฒิ ภาวะ ความสนใจ ความตองการ และความสามารถของเด็ก ตลอดจนปองกันหรือแกไขพฤติกรรมที่อาจเปน ปญหาไดอยางเหมาะสม หลักการจัดประสบการณใหแกเด็กปฐมวัย ควรคํานึงถึงสิ่งตอไปนี้ 1. การจัดประสบการณตองเหมาะสมกับวัย ความสามารถ ความตองการ และความสนใจของเด็ก 2. การจัดประสบการณตองดัดแปลงใหเหมาะสมกับสภาพเด็ก 3. การจัดประสบการณตองสอดคลองกับสภาพทองถิ่น เพื่อใหเด็กไดมีโอกาสฝกฝนตนเองให เหมาะสมกับสภาพทองถิ่น 4. การจัดประสบการณตองเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจ อุปกรณที่ใชในการจัดควรเปนอุปกรณที่หา ไดในทองถิ่นนั้น อาจนําวัสดุในทองถิ่นมาดัดแปลงทําเปนอุปกรณตางๆ ได กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2540: 23–24) ไดกลาวถึง หลักการจัดกิจกรรมสําหรับเด็ก ปฐมวัยไวดังนี้ 1. กิจกรรมท่ีจัดควรคํานึงถึงตัวเด็กเปนสําคัญ เด็กแตละคนมีความสนใจแตกตางกัน จึงควรจัดใหมี กิจกรรมหลายประเภทที่เหมาะสมกับวัย ตรงกับความสนใจและความสนใจและความตองการของเด็ก เพื่อให เด็กไดมีโอกาสเลือกตามความสนใจและความสามารถ 2. กิจกรรมที่จัดควรมีทั้งกิจกรรมที่ใหเด็กทําเปนรายบุคคล กลุมยอยและกลุมใหญ ควรเปดโอกาสให เด็กริเริ่มกิจกรรมดวยตนเองตามความเหมาะสม 3. กิจกรรมที่จัดควรมีความสมดุล คือ ใหมีทั้งกิจกรรมในหองเรียนและนอกหองเรียน กิจกรรมที่ตอง เคลื่อนไหวและสงบ กิจกรรมที่เด็กริเริ่มและครูริเริ่ม 4. ระยะเวลาในการจัดกิจกรรมควรเหมาะสมกับวัย มีการยืดหยุนไดตามความตองการและความ สนใจเด็ก 5. กิจกรรมที่จัดควรเนนใหมีสื่อของจริงใหเด็กไดมีโอกาสสังเกต สํารวจคนควา ทดลอง แกปญหา ดวยตนเอง มีโอกาสปฏิสัมพันธกับเด็กอื่นๆ และผูใหญ สํานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแหงชาติ (2541: 20) ไดกลาวถึงแนวการจัดกิจกรรม สําหรับเด็กปฐมวัยไวดังนี้ 1. จัดกิจกรรมในรูปแบบบูรณาการโดยคํานึงถึงพัฒนาการทุกดาน
๑๑ 2. จัดกิจกรรมใหสอดคลองกับจิตวิทยาพัฒนาการเพื่อสนองตอความตองการและความสามารถใน การเรียนรูของเด็ก 3. จัดกิจกรรมการเลนที่หลากหลายใหเด็ก ไดมีโอกาสเลือกเลนตามความสนใจ 4. จัดกิจกรรมยึดเด็กเปนศูนยกลาง โดยคํานึงถึงความสนใจ ความตองการความแตกตางของเด็กแต ละคน 5. จัดกิจกรรมที่มความสมด ี ุล มีทั้งกิจกรรมที่เด็กริเริ่มและครูริเริ่ม ใชกลามเนื้อใหญและกลามเนื้อ เล็ก ในหองเรียนและนอกหองเรียน เคลื่อนไหวและสงบ 6. จัดกิจกรรมใหสอดคลองกับสภาพแวดลอม วัฒนธรรมในทองถิ่น และสามารถนําไปใชใชีวิต ประจําวันได 7. จัดกิจกรรมใหเด็กมีจิตสํานึกในความรับผิดชอบตอตนเอง ตอสวนรวม รักธรรมชาติและทองถิ่น 8. ใหเด็กมีนิสัยรักการทํางาน มีสวนรวมในการวางแผน ลงมือปฏิบัติ และบอกผลการปฏิบัติกิจกรรม ของตนเองและผูอื่นได 9. จัดสภาพแวดลอมภายในหองเรียนใหมีมุมเลนหรือมุมประสบการณหรือศูนยการเรียนตางๆใหเด็ก มีโอกาสเลนรวมกับผูอื่น 10. จัดสภาพแวดลอมและสรางบรรยากาศใหมีความอบอุน เปนกันเอง เนนใหเด็กมีความสุขในการ รวมกิจกรรม พัฒนา ชัชพงศ (2531: 7) ไดประมวลหลักการจัดประสบการณหรือกิจกรรมไวดังนี้ 1. เปนการปูพื้นฐานใหกับเด็ก โดยคํานึงความสามารถและความเหมาะสมกับวัยของเด็กเปนหลัก การจัดกิจกรรมปูพื้นฐานทักษะทางการเรียนรูเปนการฝกการใชประสาทสัมผัสทั้งหา เชน การมอง การดม การฟง การชิม และการสัมผัส 2. บูรณาการหนวยประสบการณเขาดวยกัน การจัดการศึกษาปฐมวัยไมไดแบงเปนรายวิชา แตจัด รวม (บูรณาการ) เปนหนวยประสบการณ โดยแตละหนวยจะประมวลทุกวิชาใหเด็กเรียนรูหลักบูรณาการที่ เหมาะสม คือ 2.1 ยึดเด็กเปนหลัก แนวการจัดประสบการณควรเปนเรื่องที่เด็กสนใจและใกลตัวเด็กเปด โอกาสใหเด็กเลือกทํากิจกรรมตามความสนใจ ซึ่งอาจเปนกิจกรรมกลุมหรือรายบุคคล
๑๒ 2.2 สอดคลองกับพัฒนาการ เด็กปฐมวัยมีความสนใจในสิ่งแวดลอมรอบตัว ฉะนั้น จึงเลือก สิ่งแวดลอมตัวที่เด็กคุนเคยมาใหเด็กเรียนรู 2.3 ใหประสบการณกวางขวาง เมื่อเด็กพบเหตุการณใดเหตุการณหนึ่ง เด็กมี โอกาสไดรับประสบการณหลายดานพรอมกัน ดังนั้นการชวยใหเด็กไดประโยชนเต็มที่จึงนาจะจัดประสบการณ ในรูปบูรณาการ จากหลักการจัดกิจกรรมและประสบการณดังกลาว กรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการ (2539: 1– 51) จึงไดกําหนดกิจกรรมหลักสําหรับเด็กปฐมวัยเปน 6 กิจกรรม ดังนี้ 1. กิจกรรมเสรี เปนกิจกรรมที่เปดโอกาสใหเด็กเลนอิสระตามมุม มุมประสบการณ หรือ ศูนยการ เรียนตางๆ ที่จัดไวภายในหองเรียน เพื่อชวยใหเด็กเกิดการเรียนรูเกิดความคิดสรางสรรค จินตนาการและ สามารถแกปญหาไดดวยตนเอง เชน มุมบล็อก มุมหนังสือ มุมดนตรี เปนตน 2. กิจกรรมสรางสรรค เปนกิจกรรมที่ชวยพัฒนาเด็กใหแสดงออกทางอารมณ ความรูสึก ความคิด ริเริ่มสรางสรรคโดยใชศิลปะหรือวิธีการตางๆเปนเครื่องมือ เชน การวาดภาพระบายสี การพิมพภาพ การปน การฉีก ตัด ปะ การประดิษฐ การทํากิจกรรมจะเนนกระบวนการทํางานมากกวาผลงาน ควรจัดทุกวันและ เลือกจัดตามความเหมาะสม 3. กิจกรรมเสริมประสบการณ เปนกิจกรรมในวงกลม หรือ กิจกรรมที่เปนกลุมยอย กลุมใหญ ซึ่ง จัดใหเด็กไดมีโอกาสฟง พูด สังเกต คิด และปฏิบัติ เพื่อใหเกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับเรื่องที่เรียน โดยจัดใน รูปแบบตางๆ เชน สนทนา อภิปรายซักถาม สาธิต ทดลอง ศึกษานอกสถานที่ เปนตน 4. กิจกรรมกลางแจง เปนกิจกรรมที่ชวยพัฒนากลามเนื้อใหญ กลามเนื้อเล็ก และการทํางาน ประสานสัมพันธของอวัยวะตางๆ การเลนกลางแจงเปนการตอบสนองความตองการตามธรรมชาติของเด็กช่วย ใหเด็กมีรางกายแข็งแรง อารมณ จิตใจเบิกบาน สดชื่นแจมใส มีโอกาสปฏิสัมพันธกับเด็กและผูใหญรูบทบาท ของการเลนและการอยูรวมกัน กิจกรรมกลางแจง ไดแก การเลนเครื่องเลนสนาม เลนของเลน ประเภทลาก เข็น จูง เลนทราย เลนน้ํา เคลื่อนไหวขาม เครื่องกีดขวางอยางงายๆ เกมและการละเลนพื้นเมืองตางๆ เปนตน 5. กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ เปนกิจกรรมที่ใหเด็กไดเคลื่อนไหวสวนตางๆ ของรางกายตาม จังหวะอิสระโดยใชเสียงเพลง คําคลองจอง เครื่องเคาะจังหวะ และอุปกรณอื่นๆ ประกอบการเคลื่อนไหว เพื่อสงเสริมใหเด็กเกิดจินตนาการความคิดสรางสรรค รูจังหวะและควบคุมการเคลื่อนไหวของตนเองได 6. เกมการศึกษา เปนเกมการเลนที่ฝกการสังเกต พัฒนากระบวนการคิด และเกิดความคิดรวบยอด เกมการศึกษามีกฎกติกางายๆ เด็กสามารถเลนคนเดียวหรือเลนเปนกลุมได เกมการศึกษาที่เหมาะสมสําหรับ เด็กปฐมวัย เชน เกมการจับคูสิ่งที่เหมือนกัน เกมเรียงลําดับ เปนตน
๑๓ ซึ่งกิจกรรมหลักทั้ง 6 กิจกรรมนี้สามารถนํามาจัดลงในตารางกิจกรรมประจําวันไดหลายรูปแบบ โดย ยึดหลักการจัดกิจกรรมทั้งในและนอกหองเรียนในอัตราสวนที่เหมาะสม กิจกรรมที่ตองใชความคิดทั้งในกลุมย อยและกลุมใหญ ควรใชเวลาประมาณ 15-20 นาที และกิจกรรมที่เด็กมีอิสระเลือกเลนเสรีควรใชเวลา ประมาณ 30-60 นาทีมีความสมดุลระหวางกิจกรรมที่ใชกลามเนื้อใหญกับกลามเนื้อเล็ก กิจกรรมสงบและ เคลื่อนไหว กิจกรรมใชความคิดและกิจกรรมผอนคลายควรจัดใหครบทุกประเภท ดังตัวอยางการจัดตาราง กิจกรรมประจําวัน (กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. 2540: 45- 46 ) ตัวอยางการจัดตารางกิจกรรมประจําวัน 08.00 - 08.30 น. รับเด็ก 08.30 - 08.45 น. เคารพธงชาติ 08.45 - 09.00 น. ตรวจสุขภาพไปหองน้ำ 09.00 - 09.20 น. กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ 09.20 - 10.20 น. กิจกรรมสรางสรรคและกิจกรรมเสรี 10.20 - 10.30 น. พัก (ของวางเชา) 10.30 - 10.45 น. กิจกรรมเสริมประสบการณ 10.45 - 11.30 น. กิจกรรมกลางแจง 11.30 - 12.00 น. พัก (รับประทานอาหารกลางวัน) 12.00 - 14.00 น. นอนพักผอน 14.00 - 14.20 น. เก็บที่นอน ลางหน้า 14.20 - 14.30 น. พัก (ของวางบาย) 14.30 - 14.50 น. เกมการศึกษา 14.50 - 15.00 น. เตรียมตวกลับบ้าน หมายเหตุ สามารถปรับใหเหมาะสมกับสภาพชุมชน โรงเรียน ตัวเด็ก อาจสลับกิจกรรมกอนหลังเร็ว หรือชากวาตารางที่นําเสนอ แตควรจัดใหครบทุกประเภท สรุปไดวา หลักการจัดประสบการณสําหรับเด็กปฐมวัยมีจุดมุงหมายเพื่อเนนใหเด็กมีพัฒนาการทั้ง 4 ดาน คือ รางกาย อารมณ สังคม และสติปญญา โดยยึดหลักการจัดในลักษณะบูรณาการ ยึดเด็กเปนศูนยกลาง
๑๔ ใหเด็กไดรับประสบการณตรงจากกิจกรรม มีรูปแบบกิจกรรมที่หลากหลาย สามารถสนองตอบความตองการ และความแตกตางระหวางบุคคล ยืดหยุนไดตามเหตุการณเปนกิจกรรมที่มีความหมายตอตัวผูเรียน ซึ่งในการ ปฏิบัติกิจกรรมดังกลาว เด็กตองใชอวัยวะสวนตางๆของรางกายในการปฏิบัติยอมจะสงผลผูเรียน ซึ่งในการ ปฏิบัติกิจกรรมดังกลาว เด็กตองใชอวัยวะสวนตางๆ ของรางกายในการปฏิบัติยอมจะสงผลทําใหเกิดการ พัฒนาในดานตางๆ โดยเฉพาะพัฒนาการทางดานรางกายในการเคลื่อนไหวและปฏิบัติกิจกรรม 2.3 ความหมายการจัดประสบการณ กูด (Good. 1959: 214) กลาววา ประสบการณคือกระบวนการในการไดรับความรูทักษะ หรือเกิด ทักษะ โดยการกระทําหรือการเห็นสิ่งตางๆ หรือกระบวนการของจิตสํานึกในการรับรูถุงความรูทักษะ และ ทัศนคติ โดยการมีสวนรวมในการกระทําสิ่งตางๆ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (2526: 194 ) ) กลาววา การจัดประสบการณ หมายถึงการจัดสิ่ง แวดลอมรอบตัวเด็ก การจัดวัสดุอุปกรณ สื่อจําลอง และสื่ออื่นๆ ที่มีลักษณะและคุณสมบัติเหมาะสม อันจะ เปนสถานการณที่กระตุนใหเด็กทํากิจกรรมเพื่อตอบสนองตอสถานการณนั้น และเกิดประสบการณตางๆตาม จุดมุงหมาย ราศีทองสวัสดิ์; และคนอื่นๆ (2529: 2) ไดใหความหมายของการจัดประสบการณไววา หมายถึง การจัดกิจกรรมตามแผนการจัดประสบการณและการจัดสภาพแวดลอมทั้งภายในและภายนอก หองเรียน ใหกับเด็กปฐมวัย โดยใหไดรับประสบการณจากการเลน ลงมือปฏิบัติ ซึ่งทําใหเด็กเกิดการเรียนรูไดดีและเพื่อ สงเสริมพัฒนาการใหครบทุกดานทั้งดานรางกาย อารมณ จิตใจ สังคมและสติปญญา พัฒนา ชัชพงศ (2530: 24) กลาววา การจัดประสบการณ หมายถึง การจัดการศึกษาใหกับเด็ก ปฐมวัยเพื่อพัฒนาครบทุกดาน มิไดมุงอานเขียนไดดังเชนระดับประถมศึกษา แตเปนการปูพื้นฐานใหโดย คํานึงถึงวัยและความสามารถของเด็กและการจัดกิจกรรมเพื่อสงเสริมพัฒนาใหพรอมที่จะเรียนรูในระดับตอไป สํานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแหงชาติ (2536: 58) ไดใหความหมายของการจัดประสบ การณไววา หมายถึง การจัดกิจกรรมตามแผนการจัดประสบการณและสภาพแวดลอมทั้งภายในและ ภายนอกหองเรียนใหกับเด็กปฐมวัยใหไดรับประสบการณตรงจากการเลน การลงมือปฏิบัติซึ่งจะทําใหเกิดการ เรียนรูไดดี และเพื่อสงเสริมพัฒนาการใหครบทุกดานทั้งทางดานรางกาย อารมณ – จิตใจ สังคมและสติปญญา โดยมิใชมุงใหอานเขียนแตปูพื้นฐานหรือพัฒนาทักษะที่จําเปนตอการเรียนรู จากที่กลาวมาสรุปไดวา การจัดประสบการณ คือ การจัดสภาพแวดลอมทั้งภายในและภายนอกหอง เรียน สื่อและวัสดุอุปกรณตางๆ โดยใหเด็กไดมีสวนรวมในการกระทําและลงมือปฏิบัติ เพื่อใหเด็กเกิดการเรียน รูและสงเสริมใหเกิดการพัฒนาที่ทางดานรางกาย อารมณ – จิตใจ สังคมและสติปญญา ไดอยางเหมาะสมตาม วัย พรอมที่จะเรียนรูในระดับตอไป
๑๕ 2.4 ความสําคัญของการจัดประสบการณ เนื่องจากเด็กปฐมวัย มีพัฒนาการดานตางๆ เปนไปอยางรวดเร็วทั้งทางดานรางกาย อารมณ สังคม และสติปญญา การสงเสริมการจัดประสบการณโดยใหเด็กลงมือปฏิบัติเองเพื่อใหเกิดการเรียนรู(Learning by Doing ) โดยยึดเด็กเปนศูนยกลางจึงมีความสําคัญมาก ดังที่ ดิวอี้ (Dewey) ไดกลาววา เด็กเรียนรูไดดีเมื่อการ เรียนการสอนและประสบการณที่จัดใหกับเด็กเปนประสบการณตรง เด็กจะไดฝกการคิด การแกปญหาและ การแสดงออกอยางอิสระและสามารถนําความรูที่ไดรับจากประสบการณนั้นๆ มาใชในการแกปญหาของคน และสวนรวมดวย (จักรสิน พิเศษสาทร. 2521: 232) ซึ่งสอดคลองกับคันนิ่งแฮม; และคนอื่นๆ (Ragan; & Shepherd. 1 9 7 1 : 7 0 1 ; citing Cunniham; & others. 1 9 7 1 . Devoloping Teaching Competencies) ที่ไดกลาววา ประสบการณที่มีความหมายตอผูเรียน คือ การใหผูเรียนไดมีปฏิสัมพันธหรือ มีสวนรวมในกลุมซึ่งจะทําใหผูเรียน มีโอกาสพัฒนาทักษะทางสังคม ความคิดสรางสรรค ทักษะของการอยูรวม กันในสังคมประชาธิปไตยและการเรียนรูเนื้อหาวิชา ผลของการเรียนรูนี้ชวยใหผูเรียนมีความตองการเรียน มี ทักษะของความเปนผูนํา รูจักทํางานเปนกลุม การแกปญหา ตลอดจนสามารถประเมินผลการเรียนรูของ ตนเองได จากที่กลาวมาจะเห็นไดวา เด็กปฐมวัยเปนวัยที่มีการพัฒนาดานตางๆ อยางรวดเร็ว โดยเฉพาะ พัฒนาการดานรางกาย การไดรับการจัดประสบการณใหเด็กมีประสบการณตรง ไดลงมือปฏิบัติจริง เปนการเป ดโอกาสใหเด็กไดฝกฝนการคิดและการแสดงออกอยางอิสระ จะสงผลใหเกิดการเรียนรูและพัฒนาทั้งดานราง กาย อารมณ สังคม และสติปญญา ดังนั้นจึงมีความจําเปนที่จะตองจัดกิจกรรมที่เหมาะสมใหกับเด็กเพื่อกระตุ นใหเกิดการพัฒนาอยางเต็มตามศักยภาพของเด็กแตละคน 2.5 งานวิจัยที่เกี่ยวกับการจัดประสบการณ งานวิจัยตางประเทศ ไบรแอนท; และฮังเกอรฟอรด (Bryant; & Hungerforc. 1977: 44–49) ไดศึกษาเกี่ยวกับการวิ เคราะหกลวิธีการสอนความคิดรวบยอดและคานิยมทางสิ่งแวดลอมในโรงเรียนสอนเรื่อง สิ่งแวดลอมและป ญหามลพิษ ใชเวลาทดลอง 1 เดือน ผลปรากฏวา นักเรียนอนุบาลสามารถสรางความคิดรวบยอดเกี่ยวกับผล สืบเนื่องของสิ่งแวดลอมและสํานึกในหนาที่ของพลเมืองที่มีตอสิ่งแวดลอม และไดอภิปรายผลเพิ่มเติมวา ขอค นพบนี้มีความสําคัญมาก เนื่องจากวรรณกรรมที่เกี่ยวของกับการสอนเชนนี้ในระดับอนุบาลมีนอยมาก และการ สอนเชนนี้กิใชสิ่งที่กระทําไดโดยงาย ความสําเร็จในการสรางความคิดรวบยอดและคานิยมขึ้นอยูกับการพัฒนา แบบสอนดวย ผูสอนจะตองใหความรูอยางเพียงพอ และตองกระตุนใหนักเรียนรูจักคิดเกี่ยวกับหนาที่ของ ตนเองและผูอื่น สิ่งสําคัญที่ควรพิจารณาคือตองสอนใหเด็กเขาใจสิ่งแวดลอมกอนที่จะสอนถึงผลสืบเนื่องของ ปญหาสิ่งแวดลอม
๑๖ ดิกสัน; และคนอื่นๆ (Dixon; & others . 1977: 367- 373 ) ไดทําการศึกษาเด็ก 4 กลุม โดยเด็ก ในจํานวน 3 กลุม ไดรับการเลานิทานใหฟงหลังจากไดทํากิจกรรม คือ ฟงนิทานแลวมีการสนทนาหรือพาไป ศึกษานอกสถานมี่ หรือแสดงบทบาทเลียนแบบตัวคน และ อีก 1 กลุม ฟงนิทานโดยไมมีกิจกรรมอื่นๆ ผลการ ทดลองพบวา ในการฟงนิทานนั้นถาเด็กไดแสดงบทบาทเลียนแบบตัวละครในเรื่องไปดวยจะพัฒนาความคิดต างๆ ใหดีที่สุด แสดงวาหลังจากเด็กไดฟงนิทานแลวเด็กไดมีการสนทนาเลาเรื่อง ไดไปศึกษานอกสถานที่และได มีการเลียนแบบตัวละคร จะพัฒนาความคิดไดดีกวาเด็กฟงนิทานโดยไมมีกิจกรรมอื่นๆ งานวิจัยภายในประเทศ สรรชัย ศรีสุข (2530: 68-69 ) ไดทําการศึกษาผลการใชกิจกรรม นิทานและปริศนาคําทาย เพื่อ ศึกษาองคประกอบของความคิดสรางสรรคทั้ง 4 ดาน ไดแก ความคิดริเริ่ม ความคิดคลองตัว ความคิด ยืดหยุ น และความคิดละเอียดลออของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปที่ 5 ผลการทดลองพบวา นักเรียนที่ไดรับการสอน โดยการใชกิจกรรมเกม นิทาน และ ปริศนาคําทาย มีความคิดริเริ่ม ความคิดยืดหยุน และความคิด ละเอียดลออไมแตกตางกัน และนักเรียนที่ไดรับการสอนโดยกิจกรรมนิทาน และปริศนาคําทายหลังการสอนมี ความคิดริเริ่ม ความคิดคลองตัว ความคิดยืดหยุน และความคิดละเอียดลออสูงกวากอนทําการสอน วิยะดา บัวเผื่อน (2531: บทคัดยอ ) ไดศึกษาความสนใจในการเลนเกมการศึกษาของเด็กปฐมวัย โดยมีครูชี้แนะและเลนดวยตนเอง ทําการศึกษาจากกลุมตัวอยาง 2 กลุม กลุมที่ 1 เปนกลุมทดลองเลนเกม การศึกษาโดยมีครูชี้แนะ กลุมที่ 2 เปนกลุมควบคุมการเลนเกมการศึกษาดวยตนเอง เด็กทั้ง 2 กลุมเลนเกม การศึกษาตามแผนการจัดประสบการณชั้นอนุบาลปที่ 1 เปนระยะเวลา 10 สัปดาห ใชเวลาเลน 20 นาทีทุก วัน ผลการทดลอง ปรากฏวา เด็กปฐมวัยที่เลนเกมการศึกษาดวยตนเองมีความสนใจในการเลนเกมการศึกษาสู งกวาเด็กปฐมวัยที่เลนเกมการศึกษาโดยมีครูชี้แนะ รักตวรรณ ศิริถาพร (2532: 56) ไดทําการศึกษาความสามารถในการรับรูและเขาใจทัศนะของผูอื่น ของเด็กปฐมวัยที่ไดเลนกิจกรรมการเลนเพื่อคลายการยึดตนเองเปนศูนยกลาง โดยศึกษากับเด็กอายุ 5- 6 ป จํานวน 65 คน แบงเปนกลุมทดลอง 34 คน และกลุมควบคุม 31 คน จากนั้นทําการทดลอง โดยใหกลุมทดล องไดรับการจัดกิจกรรมการเลนที่เปดโอกาสใหเด็กมีปฏิสัมพันธกับสิ่งแวดลอมทางวัตถุและบุคคลซึ่งผูวิจัยสราง ขึ้น จํานวน 40 กิจกรรม ใชระยะเวลาในการทดลอง 8 สัปดาห ผลการศึกษาพบวา เด็กปฐมวัยที่ไดรับการจัด กิจกรรมการเลนเพื่อคลายการยึดตนเอง เปนศูนยกลาง มีความสามารถในการรับรูและเขาใจทัศนะของผูอื่น สูงกวาเด็กปฐมวัยที่ไมไดรับการจัดกิจกรรมการเลนเพื่อคลายการยึดตนเองเปนศูนยกลางอยางมีนัยสําคัญทาง สถิติที่ระดับ .01 วรดี เลิศไกร (2533: 60 – 65 ) ไดทําการศึกษาและเปรียบเทียบผลการจัดประสบการณที่มีตอ พัฒนาการของเด็กปฐมวัย ผลการวิจัยพบวา
๑๗ 1. เด็กปฐมวัยไดรับการจัดกิจกรรมตามแผนการจัดประสบการณและเด็กปฐมวัยที่ไดรับการจัด กิจกรรมไมเปนไปตามแผนการจัดประสบการณ มีพัฒนาการทางดานรางกาย อารมณ จิตใจ สังคม และสติปญญาสูงขึ้น 2. เด็กปฐมวัยไดรับการจัดกิจกรรมตามแผนการจัดประสบการณมีพัฒนาการ ทุกดานคือ ดานราง กาย อารมณ จิตใจ สังคม และสติปญญา สูงกวาเด็กปฐมวัยที่ไมไดรับการจัดกิจกรรมตามแผนการจัดประสบ การณอยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เมื่อพิจารณาพัฒนาการแตละดานพบวาเด็กปฐมวัยที่ไดรับการจัด กิจกรรมตามแผนการจัดประสบการณมีพัฒนาการดานรางกายสูงกวาอยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส วนพัฒนาการทางดานอารมณ จิตใจ สังคม และสติปญญาสูงกวาอยางมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มาณวิกา ผลพิรุฬห (2533: 81- 82) ไดศึกษาความสามารถในการเลาเรื่องเหตุการณของเด็ก ปฐมวัยที่ไดรับการสอนโดยใชทักษะพื้นฐานละครสรางสรรค ซึ่งประกอบไปดวยการเรียนรูเกี่ยวกับตนเอง การ ใชพื้นที่ ระดับและทิศทาง ลักษณะเฉพาะประสาทสัมผัส การสื่อความหมาย และการแสดงละครกับการสอน ตามแผนการจัดประสบการณ พบวาเด็กปฐมวัยที่ไดรับการสอนโดยใชทักษะพื้นฐานละครสรางสรรคมี ความสามารถในการเลาเหตุการณสูงกวาเด็กปฐมวัยที่ไดรับการสอนตามแผนการจัดประสบการณ จากเอกสารและงานวิจัยที่กลาวมาขางตนสรุปไดวา การจัดประสบการณและกิจกรรมสําหรับเด็ก ปฐมวัยเพื่อพัฒนาความพรอมใหเด็กเกิดการเรียนรูมีรูปแบบและวิธีการที่หลากหลาย สามารถพัฒนาเด็กได หลายดาน และบทบาทครูมีสวนสําคัญที่จะชวยใหเด็กเกิดการเรียนรูตามเปาหมายของการจัดกิจกรรมนั้นๆ ซึ่ง ประสบการณเหลานั้น เปนองคประกอบสําคัญที่สงผลทําใหเด็กเกิดความพรอมทุกดานเปนพื้นฐานของ การศึกษาในระดับตอไป ๓. เอกสารและงานวิจัยเกี่ยวสื่อการสอน 3.1 ความหมายของสื่อ คำว่า "สื่อ" ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ได้ให้ ความหมายของคำนี้ไว้ดังนี้ "สื่อ (กริยา) หมายถึง ติดต่อให้ถึงกัน เช่น สื่อความหมาย , ชักนำให้รู้จักกัน สื่อ (นาม) หมายถึง ผู้หรือสิ่งที่ติดต่อให้ ถึงกันหรือชักนำให้รู้จักกัน เช่น เขาใช้จดหมายเป็นสื่อติดต่อกัน, เรียกผู้ที่ทำหน้าที่ชักนำให้ชายหญิงได้แต่งงาน กันว่า พ่อสื่อ หรือ แม่สื่อ; (ศิลปะ) วัสดุต่างๆ ที่น ามาสร้างสรรค์งานศิลปกรรม ให้มีความหมายตามแนวคิด ซึ่งศิลปินประสงค์แสดงออกเช่นนั้น เช่น สื่อผสม" นักเทคโนโลยีการศึกษาได้มีการนิยามความหมายของค าว่า "สื่อ" ไว้ดังต่อไปนี้ Heinich และคณะ (1996) Heinich เป็นศาสตราจารย์ ภาควิชาเทคโนโลยีระบบการเรียนการสอน ของมหาวิทยาลัยอินเดียน่า (Indiana University) ให้คำจำกัดความคำว่า "media" ไว้ดังนี้ "Media is a channel of communication." ซึ่งสรุปความเป็นภาษาไทยได้ดังนี้ "สื่อ คือช่องทางในการติดต่อสื่อสาร"
๑๘ Heinich และคณะยังได้ขยายความเพิ่มเติมอีกว่า "media มีรากศัพท์มาจากภาษาลาติน มีความหมายว่า ระหว่าง (between) หมายถึง อะไรก็ตามซึ่งทำการบรรทุกหรือนำพาข้อมูลหรือสารสนเทศ สื่อเป็นสิ่งที่อยู่ ระหว่างแหล่งก าเนิดสารกับผู้รับสาร" A. J. Romiszowski (1992) ศาสตราจารย์ทางด้านการออกแบบ การพัฒนา และการประเมินผล สื่อการเรียนการสอน ของมหาวิทยาลัยซีราคิวส์ (Syracuse University) ให้คำจำกัดความคำว่า "media" ไว้ ดังนี้ "the carriers of messages, from some transmitting source (which may be a human being or an inanimate object) to the receiver of the message (which in our case is the learner)" ซึ่ง สรุปความเป็นภาษาไทยได้ดังนี้ "ตัวนำสารจากแหล่งก าเนิดของการสื่อสาร (ซึ่งอาจจะเป็นมนุษย์ หรือวัตถุที่ ไม่มีชีวิต ) ไปยังผู้รับสาร (ซึ่งในกรณีของการเรียนการสอนก็คือ ผู้เรียน)" ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า สื่อ หมายถึง สิ่งใดๆ ก็ตามที่เป็นตัวกลางระหว่างแหล่งกำเนิดของสารกับผู้รับสาร เป็นสิ่งที่นำพาสารจากแหล่งกำเนิดไปยังผู้รับสาร เพื่อให้เกิดผลใดๆ ตามวัตถุประสงค์ของการสื่อสารที่มา : http://uto.moph.go.th/hcc/media1.html 3.2 ความสำคัญของสื่อ หน่วยศึกษานิเทศก์ สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ ( 2526 : 52 ) ได้กล่าวไว้ ว่า สื่อการสอนเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การเรียนการสอนดำเนินไปด้วยดีและมีประสิทธิภาพหรืออาจกล่าวได้ว่า สื่อ คือ วัสดุ อุปกรณ์ หรือวิธีการสำหรับถ่ายทอดความรู้ ความคิด และเจตคติจากครูไปสู่นักเรียน และ ทำให้ การเรียนการสอนเป็นไปตามจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ สื่อการสอนมีความสำคัญต่อการเรียนการสอน คือ 1. กระตุ้นให้นักเรียนเกิดความสนใจในการเรียน อยากเรียนและช่วยให้เกิดการเรียนรู้และเกิด ประโยชน์กับตัวนักเรียน 2. ให้โอกาสนักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมอย่างทั่วถึง 3. สามารถทำให้นักเรียนเกิดแนวคิดและความเข้าใจได้ถูกต้องรวดเร็ว 4. นักเรียนสามารถศึกษาหาความรู้ได้ด้วยตนเอง 5. ช่วยให้นักเรียนจดจำเรื่องราวและสิ่งต่างๆ ที่เรียนรู้ได้นานถูกต้องแมนยำ 6. มีส่วนช่วยเพิ่มพูนประสบการณ์ของนักเรียนและเปลี่ยนแปลงเจตคติไปในทางที่พึงปรารถนาได้
๑๙ 3.3 ประเภทของสื่อ การแบ่งประเภทของสื่อการสอนตามแนวทางของเทคโนโลยีทางการศึกษา แบ่งได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้ ( สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแหงชาติ ,2536 : 5-6 ) 1. สื่อประเภทวัสดุ ( Software ) หมายถึง สื่อที่เก็บความรู้อยู่ในตนเองซึ่งจำแนกย่อยได้เป็น 2 ลักษณะ คือ 1.1 วัสดุประเภทที่สามารถช่วยถ่ายทอดความรู้ได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องอาศัยอุปกรณ์ การเรียน เช่น แผนที่ ลูกโลก รูปภาพ หุ่นจำลอง ฯลฯ 1.2 วัสดุประเภทที่ไม่สามารถถ่ายทอดความรู้ได้ด้วยตนเอง จำเป็นต้องอาศัยอุปกรณ์อื่น ช่วย เช่น แผ่นเสียง ฟิล์มภาพยนตร์ สไลด์ 2. สื่อประเภทอุปกรณ์ (Hardware) หมายถึงสิ่งที่เป็นตัวผ่านที่ทำให้ข้อมูลหรือความรู้ที่อยู่ภายใน วัสดุสามารถถ่ายทอดออกมาใช้หรือเรียนรู้ได้เช่น เครื่องฉายสไลด์เครื่องฉายภาพยนตร์เครื่องเล่น แผ่นเสียง เป็นต้น 3. สื่อประเภทเทคนิคและวิธีการ ( Techniques and Method ) หมายถึง สื่อที่มีลักษณะเป็น แนวความคิดหรือรูปแบบขั้นตอนในการเรียนการสอน ซึ่งไม่มีลักษณะเป็นวัสดุหรืออุปกรณ์ แต่ก็สามารถใช้สื่อ วัสดุอุปกรณ์เหล่านั้นมาใช้ช่วยในการดำเนินการงานได้ เช่น การจัดระบบการสอนแบบจุลภาค การสาธิต เป็น ตน ๓.๓.๑ ประเภทของสื่อเพื่อพัฒนาเด็กในวัยเรียน สื่อเพื่อพัฒนาเด็กในวัยเรียนอาจจำแนกได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้ (ชัยยงศ พรหมวงศ . 2538 : การ สัมมนาทางวิชาการ “ เรื่อง สื่อเพื่อพัฒนาเด็กไทยวัยเรียนรู้” ) 1. สื่อบุคคล หมายถึง คนที่ทำหน้าที่ส่งความรู้ผ่านไปให้แก่เด็ก และมีผลทำให้เกิดการ เรียนรู้จากการเลียนแบบ หรือได้ความรู้เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาหรือค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติม เช่น ครู พ่อแม่ ญาติ เพื่อน ดาราภาพยนตร์ นักร้อง ฯลฯ ที่ทำตนเองให้เด็กเอาอย่างครูหรือพ่อแม่จะเป็นสื่อได้ก็เฉพาะเมื่อท าหน้าที่เป็นสื่อกลางในการส่งผ่านความรู้ ( บุรุษไปรษณีย ) แต่ถ้าครูพร่ำสอนให้ทำโน่นทำนี่ หรือเป็นโน่นเป็นนี่ ก็ไม่ถือว่าเป็นสื่อแต่จะเป็นเพียงผู้ส่งสารเท่านั้น 2. สื่อสิ่งของ หมายถึงสื่อกลางที่มีการสิ้นเปลือง ( วัสดุ ) หรือมีความคงทนถาวร ( อุปกรณ์) ได้แก่สื่อโสตทัศน สื่อมวลชน สื่ออิเล็กทรอนิกสและโทรคมนาคม ที่นำมาใชในการพัฒนาเด็กในวัยเรียน สื่อโสตทัศน์( Audio-Visual Media ) หมายถึง สื่อที่ส่งความรู้ เพื่อให้เด็กเรียนรู้โดยผ่าน การฟัง และการเห็น เช่น ภาพชุด หุ่นจำลอง หนังสือ เทปบันทึกเสียง เทปบันทึกภาพ/วีดีโอ เครื่องฉาย ภาพยนตร์ สไลด์ฯลฯ
๒๐ สื่อมวลชน ( Mass Media ) ได้แก่ สื่อพิมพ์( หนังสือ ต ารา วารสาร ฯลฯ ) รายการ วิทยุกระจายเสียง รายการวิทยุโทรทัศน์ ภาพยนตร์ ละคร เป็นต้น สื่ออิเล็กทรอนิกส์และโทรคมนาคม ( Electronic and telecommunication Media ) ได้แก่ สื่อคอมพิวเตอร์ ( บทเรียนคอมพิวเตอร์ ) ไปรษณียอิเล็กทรอนิกส์( E-Mail ) ระบบบริการรวมเครือข่าย ดิจิตอล ( Integrated Services Digital Network –ISDN ) เป็นตน 3. สื่อวิธีการ หมายถึง กิจกรรม เกม สถานการณ์จำลอง รายการที่ทำหน้าที่สื่อสาร ความรู้ และประสบการณ์ให้แก่เด็กในวัยเรียน เช่น กิจกรรมกลุ่ม สัมพันธ์ที่ใช้สอนให้เด็กรู้จักทำงานร่วมกัน การให้ และการรับความไวต่อความรู้สึกของคนอื่น เป็นต้น สรุปได้ว่า สื่อที่ใช้สำหรับเพื่อพัฒนาเด็กในวัยเรียนนั้นมีหลายประเภท ซึ่งสื่อส่วนใหญ่เป็นสื่อที่ สิ้นเปลืองบางสื่อใช้เพียงวิธีการ หรือใช้ตัวบุคคลที่มีความสามารถเฉพาะด้านในการจัดการเรียนการสอน 3.4 การจำแนกสื่อการเรียนรู้ การจำแนกสื่อการเรียนรู้ตามทรัพยากรการเรียนรู้( Learning Resources ) โดยการแบ่งสื่อการ เรียนรู้ที่ออกแบบขึ้นเพื่อจุดมุ่งหมายทางการศึกษา และสื่อทั่วไป นำมาประยุกต์ใช้สร้าง ประสิทธิภาพในการ เรียนรู้ดังนี้ 1. สื่อสิ่งพิมพ์ หนังสือพิมพ์รายงาน นิตยสาร หนังสือเรียน การ์ตูน เอกสารประกอบการสอนบทเรียน ต่างๆ 2. สื่อเทคโนโลยี สื่อการเรียนรู้ที่ได้ผลิตขึ้นเพื่อใช้ควบคู่กับเครื่องมือ โสตทัศนวัสดุ หรือเครื่องมือที่ เป็นเทคโนโลยีใหม่ๆ สื่อการเรียนรู้ ดังกล่าว เช่น แถบบันทึกภาพ พร้อมเสียง (วิดิทัศน์)เทปบันทึกเสียง สไลด์ สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน นอกจากนี้สื่อเทคโนโลยียังรวมถึงกระบวนการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีมา ประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน เช่น การใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อการเรียนการสอน การศึกษาผ่านดาวเทียม การ สื่อสารทางไกล 3. สื่ออื่น ๆ 1) คน ( People ) : บุคคลที่มีความรู้ความชำนาญในแต่ละสาขา ทั้งนักการศึกษาและศิลปิน นักการเมือง นักธุรกิจ ช่างซ่อม ฯลฯ 2) กิจกรรม (Activities ) เป็นเทคนิควิธีการ เพื่อพัฒนาการเรียนการสอน เช่น เกม สถานการณ จำลอง ทัศนศึกษา การท าโครงงาน บทบาทสมมติ ฯลฯ 3) แหล่งการเรียนรู้ สิ่งแวดล้อม สถานที่สำคัญในการศึกษา เช่น อินเทอร์เน็ต ห้องสมุด ศูนย์การ เรียนรู้โรงงาน สถานที่ทางประวัติศาสตร์ วัด พิพิธภัณฑ์ สถานประกอบการ สำนักงาน ชุมชน ฯลฯ 4) วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ ฯลฯ
๒๑ 4. สื่อประสม (Multimedia) นักเทคโนโลยีการศึกษา แบ่งสื่อประสมออกเป็น 2 ความหมาย คือ สื่อประสมในความหมายที่หนึ่ง (Multimedia) เป็นสื่อประสมที่ใช้โดยการนำสื่อหลายประเภทมาใช้ร่วมกันใน การเรียนการสอน เช่น นำวีดิทัศน์มาใชประกอบการบรรยายของผู้เรียน โดยมีสื่อสิ่งพิมพ์ประกอบด้วย หรือ การใช้ชุดการเรียนหรือชุดการสอน การใช้สื่อประสมนี้ผู้เรียนและสื่อจะไม่มีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกัน และจะมี ลักษณะเป็น “ สื่อหลายแบบ ” ตามศัพท์บัญญัติของราชบัณฑิตยสถาน สื่อประสมในความหมายที่สอง (Multimedia) เป็นสื่อประสมที่ใช้คอมพิวเตอร์ เป็นฐานในการเสนอ สารสนเทศหรือการผลิตเพื่อเสนอข้อมูลประเภทต่าง ๆ เช่น ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว ตัวอักษร และเสียงใน ลักษณะของสื่อหลายมิติ โดยที่ผู้ใช้มีการโต้ตอบกับสื่อโดยตรง การใช้คอมพิวเตอร์ในสื่อประสมนี้ใช้ได้ใน 2 ลักษณะ คือ 1. การใช้คอมพิวเตอร์เป็นฐานในการเสนอสารสนเทศ โดยการควบคุมอุปกรณ์ร่วมต่างๆ ในการ ทำงาน ได้แก่ การเสนอในรูปแบบของแผ่นวีดิทัศน์เชิงโตตอบ ( Interactive Video ) การใช้ในลักษณะนี้ คอมพิวเตอร์จะเป็นตัวกลางในการควบคุมการทำงานของเครื่องเลนวีดิทัศน์และเครื่องเล่นซีดี – รอม ให้เสนอ ภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวตามเนื้อหาบทเรียนที่เป็นตัวอักษรที่ปรากฎอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ รวมถึง ควบคุมเครื่องพิมพ์ในการพิมพ์ข้อมูลต่าง ๆ ของบทเรียนและผลการเรียนของผู้เรียนและคนด้วย 2. การใช้คอมพิวเตอร์เป็นฐานในการผลิตแฟ้มสื่อประสม โดยการใช้โปรแกรมส าเร็จรูปต่างๆ เช่น Toolbook และ Authorware โปรแกรมสำเร็จรูปเหล่านี้จะช่วยในการผลิตแฟ้มบทเรียน / ฝึกอบรม หรือการ เสนองานในลักษณะของสื่อหลายมิติ โดยในแต่ละแฟ้มจะมีเนื้อหาในลักษณะของตัวอักษร ภาพกราฟก ภาพ กราฟฟิกเคลื่อนไหว ภาพเคลื่อนไหวแบบวีดิทัศน์ และเสียง รวมอยู่ในแฟ้มเดียวกัน ผู้ใช้เพียงแต่เปิดแฟ้ม เพื่อ เรียนหรือเสนองานตามโปรแกรมสำเร็จรูปที่ได้จัดทำไว้ก็จะได้เนื้อหาลักษณะต่างๆ อย่างครบถ้วน การนำเสนอข้อมูลของสื่อประสมนี้จะเป็นไปในลักษณะสื่อหลายมิติที่ชวยให้ผู้ใชสามารถดูข้อมูลบน จอภาพได้หลายลักษณะ คือ ทั้งตัวอักษร ภาพ และเสียง และถ้าต้องการจะทราบข้อมูล มากกว่านั้น ผู้ใช้ก็ เพียงแต่คลิกที่คำหรือสัญลักษณ์รูปที่ทำเป็นปุ่มในการเชื่อมโยง ก็จะมีภาพ เสียง หรือข้อความอธิบายปรากฏ ขึ้นมา 3.5 บทบาทและคุณค่าของสื่อ จากคุณสมบัติที่แสดงออกจากตัวของสื่อเองก็ดี และจากผลการวิจัยต่าง ๆ แสดงให้เห็นว่าสื่อมี บทบาทและคุณค่าหลายประการ ดังนี้ 1. ช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ดีขึ้น จากประสบการณ์ที่มีความหมายในรูปแบบต่าง ๆ 2. ช่วยให้ผู้เรียน เรียนรู้ได้มากขึ้น โดยใช้เวลาน้อยลง
๒๒ 3. ช่วยให้ผู้เรียนมีความสนใจในการเรียน และมีส่วนร่วมในการเรียนอย่างกระฉับกระเฉง 4. ช่วยให้ผู้เรียนเกิดความประทับใจ มั่นใจ และจดจำได้นาน 5. ช่วยส่งเสริมการคิด การแก้ปัญหาในการเรียนรู้ 6. ช่วยให้สามารถเอาชนะข้อจำกัดต่าง ๆ ในการเรียนรู้ได้ 6.1 ทำให้สิ่งที่ซับซ้อนให้ง่ายขึ้น 6.2 ทำให้สิ่งที่เป็นนามธรรมให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น 6.3 ทำสิ่งที่เคลื่อนไหวเร็วให้ดูช้าลง 6.4 ทำสิ่งที่เคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนแปลงช้าให้ดูเร็วขึ้น 6.5 ทำสิ่งที่ใหญ่มากให้เล็กเหมาะสมกับการศึกษา 6.6 ทำสิ่งที่เล็กมากให้มองเห็นชัดเจนขึ้น 6.7 ทำสิ่งที่เกิดในอดีตมาศึกษาในปัจจุบัน 6.8 นำสิ่งที่ไกลมาศึกษาในปัจจุบัน 7. ช่วยลดการบรรยายของผู้สอนลงแต่ช่วยผู้เรียนให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น 8. ช่วยลดการสูญเปล่าทางการศึกษาลงเพราะช่วยให้การเรียนมีประสิทธิภาพมากขึ้นผู้เรียนสอบ ตก น้อยลง 3.6 หลักการเลือกสื่อ การจัดกิจกรรมที่สงเสริมทักษะกระบวนการคิดของเด็กต้องใช้สื่อที่เหมาะสมมาประกอบการสอน เพื่อที่จะได้สร้างบรรยากาศให้น่าตื่นเต้น เร้าใจ ประกอบกับเด็กได้มีโอกาสได้เล่นหรือทำกิจกรรมโดยมีสื่อ เครื่องมือและวัสดุอุปกรณ์เข้ามาใช้ ทำใหเด็กอยากที่จะเข้ามาทำกิจกรรม ครูมีหน้าที่คอยเลือกหรือจัดหาสิ่ง ต่างๆ เหล่านี้ให้เหมาะสมกับเด็กและเหมาะสมกับลักษณะทางความคิดที่ต้องการ ในการเลือกวัสดุอุปกรณ์ เหล่านี้ มีหลักการในการพิจารณาหลายอย่างด้วยกัน (วิมลักษณ์ ขวัญมงคล,2545) 1. สามารถพัฒนาทักษะความคิดระดับสูงได้ ความคิดระดับสูงมีหลายคุณลักษณะ ดังนั้น สื่อแต่ละ ประเภทก็อาจมุ่งเน้นทักษะกระบวนการคิดต่างๆ กันไป ครู/ผู้ปกครองควรเข้าใจหลักเกณฑ์ของคุณภาพทาง ความคิดแต่ละด้าน แล้วใช้เกณฑ์ในการประเมินว่าจะใช้สื่อนี้หรือไม่ (ดูแนวทางการฝึกความคิดด้านต่างๆ )
๒๓ 2. ปลอดภัย การเลือกใช้สื่ออุปกรณ์ให้กับเด็กหลักสำคัญที่สุดนั้นคือ จะต้องเป็นสื่อที่ปลอดภัย เพราะ เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาลำดับแรก บางครั้งสื่อบางชนิดเป็นสื่อที่ดี แต่ไม่ปลอดภัย คำว่าปลอดภัยในที่นี้ หมายความถึงความปลอดภัยทั้งทางร่างกายและความปลอดภัยทางความคิด นั้นคือ ต้องมีลักษณะที่ไม่ทำ อันตรายต่อเด็กตลอดจนความปลอดภัยทางการคิด เพราะอุปกรณ์บางอย่างสามารถสร้างให้เกิดความคิด ในทางที่ไม่ถูกไม่ควร ครูจำเป็นต้องพิจารณาให้เหมาะสม 3. เป็นสื่อที่เหมาะสมตามวัย และตามความสามารถของเด็กที่สามารถรับได้ การจัดหาสื่อต้องจัดให้ เหมาะสมกับความต้องการและระดับความสามารถของเด็กด้วย เพราะเด็กบางคนถึงแม้จะอยูในวัยเด็ก แต่ถ้า ระดับความคิดและความสามารถของเขาอยู่ในระดับที่สูงกว่าเด็กโดยทั่วไป ครูต้องจัดสื่อที่สนองต่อการ เรียนรู้ ของเขา 4. สามารถสอดแทรกเนื้อหาวิชาที่เรียน การสอนทักษะทางการคิดนั้นไม่จำเป็นที่ครูจะต้องนำมา สอนแยกอย่างเดียว เราสามารถที่จะบูรณาการเข้ากับเนื้อหาวิชาที่เรียน ดังนั้น สื่อที่ใช้ถ้าเราสามารถผนวก กับ วิชาที่เรียนได้ก็จะดีอย่างยิ่ง เพราะเด็กจะคิดโดยได้เนื้อหาที่เรียนด้วย 5. มีความยืดหยุ่น และใช้ได้หลายทิศทาง สื่อที่ใช้ประกอบในการส่งเสริมทักษะทางการคิดนั้นควร ใช้ได้หลายอย่างหรือประยุกต์ให้ใช้กับทักษะที่เราต้องการที่จะฝึกได้หลากหลายอย่าง เพราะในบางครั้งการฝึก ความคิดเราไม่สามารถฝึกความคิดเฉพาะอย่างได้ จึงต้องรวมหลายๆ ทักษะเข้าด้วยกันโดยนำสื่อนั้นๆ มาใช้ ประกอบเพื่อที่จะส่งเสริมการคิดของเด็ก 6. สื่อที่สร้างทักษะกระบวนการกลุ่ม จากการศึกษางานวิจัยทั้งในและต่างประเทศปรากฏว่า เด็กที่มี ความสามารถพิเศษทางการคิดมักจะเล่นหรือทำกิจกรรมเพียงคนเดียว ซึ่งการที่เราจะสร้างเด็กที่มีคุณภาพได้ นั้นเด็กจะต้องสามารถปฏิสัมพันธ์กันสังคมได้ สามารถอยู่ร่วมกับคนในสังคมได้ ดังนั้นถ้าเราจัดสื่อให้เด็ก ได้มี โอกาสทำร่วมกับผู้อื่นได้ ก็จะเป็นการพัฒนาทั้งทักษะการคิดและทักษะทางสังคมของเด็กไปด้วย 7. สื่อและอุปกรณ์ที่ใช้ควรเป็นสื่อที่เปิดกว้างทางความคิด เพราะความคิดของเด็กแต่ละคนนั้น หลากหลายและมีคุณค่าเกินกว่าที่จะทิ้งไปได้ ถาสื่อบางอย่างไม่เปดโอกาสให้เด็กได้คิดในแนวกว้างอาจจะทำ ให้เด็กคิดหาคำตอบตามที่ครูต้องการเท่านั้น 8. ส่งเสริมพัฒนาการทุกด้าน การจัดสื่อและอุปกรณ์ให้กับเด็กควรส่งเสริมพัฒนาการทุกๆ ด้าน ของ เด็กไปด้วยทั้งร่างกาย อารมณ์และจิตใจ สังคม และความสามารถทางการคิด ในบางครั้งเราไม่อาจ แยก กิจกรรมที่ทำออกเป็นส่วนๆ ได้ ถ้าเราให้เด็กทำกิจกรรมที่ส่งเสริมการคิดและส่งเสริมพัฒนาการของ เด็กก็ ย่อมจะเป็นสิ่งที่ได้เปรียบเพราะทำกิจกรรมหนึ่งอย่างแต่พัฒนาได้ทุกๆ ด้าน
๒๔ สื่อประเภทวัสดุ จากเอกสารข้างต้นจะเห็นได้ว่า สื่อประเภทวัสดุ มีความสำคัญต่อเด็กปฐมวัย เพราะเป็นเครื่องใช้ใน การเรียนรู้ของเด็ก และเป็นสื่อที่ก่อให้เกิดความรู้เบื้องต้นแก่เด็กในวิชาต่าง ๆ ได้แก่ ภาษาไทย คณิตศาสตร์ สุขศึกษา ธรรมชาติศึกษา สังคมศึกษา ศิลปะ เพลง ดนตรี จังหวะเคลื่อนไหวและเกมและการเล่น ดังนั้นใน การเลือกใช้สื่อเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการเรียนการสอน วัสดุที่ใช้เป็นสื่อการสอนจึงสามารถจำแนกได้ดัง ตอไป ( มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมธิราช ,2538 : 34-41 ) 1. วัสดุท้องถิ่น หมายถึง สิ่งของที่มีอยู่ในท้องถิ่นตามภูมิประเทศ ท้องถิ่นที่อยู่ในภูมิประเทศ ต่างกัน อาจมีวัสดุแตกต่างกันไปบ้าง เช่น ท้องถิ่นภาคเหนือมีใบเมี่ยง ใบตอง เขาสัตว์มาก แต่ภาคใตแถวทะเลมีเปลือก หอย กระดูกปลา ปะการัง เป็นต้น สิ่งต่าง ๆ แม้แต่สิ่งที่เกิดตามธรรมชาติ เช่น ดิน ทราย หิน เหล่านี้ ก็ถือว่า เป็นวัสดุทองถิ่นได้จะเห็นได้ว่า เด็กเรียนจากสิ่งที่อยู่แวดล้อมตัวเขา ฉะนั้น สิ่งที่อยู่ในท้องถิ่นที่เด็กอยู่ถือว่า วัสดุที่นำมาเป็นสื่อให้เด็กเรียนได้ทั้งสิ้น 3.7 สื่อกับการพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของเด็กในวัยเรียน สื่อเพื่อการพัฒนาด้านต่าง ๆ ของเด็กในวัยเรียน หมายถึง เครื่องมือที่จะช่วยนำเนื้อหาสาระและ ประสบการณ์จากพ่อแม่และครู ไปยังเด็กในวัยเรียนเพื่อให้สามารถพัฒนาและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่พึง ประสงค์ทั้ง 5 ด้าน (ชัยยงค์ พรหมวงศ์. 2538 ) สื่อสำหรับการพัฒนาทางร่างกาย ได้แก่ เครื่องสนาม ที่ปีนป่าย ม้าหมุน อุปกรณ์ฝึกการทำงาน ของ มอเตอร์ (อวัยวะของร่างกายที่เคลื่อนไหวได้) ฯลฯ สื่อเพื่อพัฒนาสติปัญญา ได้แก่ เครื่องมือที่ช่วยในการฝึกให้เด็กคิดใคร่ครวญ สร้างสรรค์ แก้ปัญหา ได้แก่ ตัวต่อ ภาพฉงน เกมคอมพิวเตอร์ สื่อเพื่อพัฒนาอารมณ์ ได้แก่ ศิลปะ ดนตรี สุนทรีย์วัตถุต่าง ๆ สื่อเพื่อพัฒนาด้านสังคม ได้แก่ กิจกรรม กลุ่มสัมพันธ์ วิธีการที่ฝึกให้เด็กรู้จักการทำงาน เล่น หรืออยู่ร่วมกับผู้อื่น สถานการณ์จำลอง ฯลฯ สื่อเพื่อพัฒนาพลังชีวิต ได้แก่ การตั้งสติมั่น การท าสมาธิโดยหาวัตถุ ( กสิณ ) ให้เป็นที่เกาะยึด ของ จิต การเดินจงกรม การสวดมนต์ ภาวนา เป็นต้น แนวคิดการใช้สื่อเพื่อจัดประสบการณ์ด้านภาษา จะเห็นได้ว่าเด็กสามารถเรียนรู้ได้จากสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเขาก่อน แล้วจึงขยายกว้างออกไป ยิ่งโตขึ้น เขา พบเห็นสิ่งแปลกสิ่งใหม่มากขึ้น เขาก็รู้มากขึ้น ภาษาของเขาก็เจริญขึ้น เป็นลำดับ และภาษานี่เองเป็น ส่วน หนึ่งของชีวิตประจำวันของเขา เป็นพื้นฐานของการเรียนวิชาต่าง ๆ ต่อไป โดยเฉพาะเด็กปฐมวัยแล้ว สื่อที่จะ
๒๕ จัดประสบการณ์ด้านภาษานั้นก็คือ สิ่งที่อยู่ใกล้ชิดกับตัวเขาเอง และสิ่งที่เขาพบเห็นขยายเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ได้แก่ (มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมธิราช,2538 : 83 – 84 ) 1. บุคคล เช่น แม่ พ่อ พี่ น้อง ตา ยาย ปู่ ย่า น้า อา ลุง ป้า พี่เลี้ยง ครู เพื่อน 2. สิ่งของเครื่องใช้ของเด็ก เช่น ถ้วยแก้ว เสื้อผ้า หมอน ที่นอน ผ้าเช็ดหน้า แปรงสีฟัน ฯลฯ 3. ของเล่น เช่น ตุ๊กตา ลูกบอล รถลาก หนังสือภาพ 4. อาหาร เช่น นม ข้าว กล้วย ส้ม หมู ไข่ 5. สิ่งของต่าง ๆ เช่น ตู้ โต๊ะ เตียง ชั้น วิทยุ นาฬิกา จาน ชาม ช้อน ถาด หม้อ ฯลฯ 6. เครื่องใช้ในสถานศึกษา เช่น กระดาษ แปรง ชอล์ก ดินสอ 7. ครุภัณฑ์ในสถานศึกษา เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ตู้ กระดานดำ ชั้น 8. เครื่องเล่นสนาม เช่น ชิงช้า กระดานหก ราวไต่ บ่อทราย 9. ธรรมชาติรอบตัว เช่น ต้นไม้ ดอกไม้ ดิน ทราย หิน นก ผีเสื้อ 10. ยวดยาน เช่น รถ เรือ จักรยาน รถไฟ เครื่องบิน ภาษาของเด็กปฐมวัยแสดงให้เห็นถึงแนวความคิด ความสนใจ และความสัมพันธ์ของเด็กที่มีต่อ สิ่งแวดล้อมครูหรือผู้เกี่ยวข้องสามารถช่วยพัฒนาภาษาของเด็กได้โดยจัดหาสื่อเพื่อประสบการณ์เหล่านี้ 1. การฟัง 2. การพูด 3. การอ่าน 4. การเขียน ครูและผู้ที่เกี่ยวข้องกับเด็กมีหน้าที่ส่งเสริมเด็กเพื่อพัฒนาด้านภาษาโดยการจัดสื่อให้เหมาะสมกับ เด็ก ดังนี้ 1. สื่อที่นำมาจัดประสบการณ์ต้องตรงกับความมุ่งหมาย เช่น ครูจะส่งเสริมการฟังของเด็ก ครูหาสื่อที่ มีเสียงมาให้เด็กฟัง โดยการนำเทปเพลงเด็กมาเปิด เป็นต้น 2. สื่อที่นำมาจัดประสบการณ์ต้องเหมาะสมกับวัยและความสามารถของเด็ก เช่น ครูจะส่งเสริม การ อ่านของเด็ก ครูจัดหาหนังสือภาพซึ่งมีภาพชัด ตัวหนังสือขนาดใหญ่ประกอบภาพเพียงเล็กน้อย
๒๖ 3. สื่อที่นำมาจัดประสบการณ์นั้นมีทั้งสิ่งที่มีสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต สิ่งที่มีอันตรายและไม่มีอันตราย ครู ควรพิจารณาตามเห็นสมควรว่าด็กสมควรสัมผัสอยางไร เช่น ครูนำปลามาเป็นสื่อเด็กก็ดูปลาซึ่งว่ายน้ำ อยู่ใน อ่างแก้ว เป็นต้น 3.8 การออกแบบสื่อ องค์ประกอบที่สำคัญในการเรียนการสอนคือสิ่งที่ครูมักนำไปประกอบการเรียนการสอนนั่นก็คือ สื่อ การสอนนั่นเอง สื่อการสอนนับว่ามีประโยชน์มากเพราะสื่อการสอนเปรียบเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ผู้เรียน ได้เข้าใจในเนื้อหาและได้เห็นภาพได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้นมากกว่าที่ครูผู้สอนจะสอนโดยการมาบรรยายหรือสอน ตามเนื้อหา โดยไม่มีอุปกรณ์ช่วยสอนเลยที่มาhttp://aphichitsiriwong.blogspot.com/2007/09/4.html 3.8.1 การออกแบบสื่อการเรียนรู้ (Material Design) สิ่งที่นำมาพิจารณาประกอบการตัดสินใจ จัดหา จัดเตรียม และเลือกใชประกอบ การเรียนการสอน ต้องคำนึงถึงหลักการ - วัตถุประสงคการเรียนรู้ - ลักษณะผู้เรียน ความเหมาะสมกับวัย ความสนใจ ระดับชั้น ความรู้ทักษะ พื้นฐาน และ ประสบการณ์ของผู้เรียน - รูปแบบการเรียนการสอน และการเรียนรู้ - ธรรมชาติเนื้อหาสาระการเรียนรู้และวิธีการนำเสนอที่เหมาะสม - สภาพการเรียน - ทรัพยากรต่างๆ เช่น วัสดุอุปกรณ์ ครุภัณฑ์งบประมาณ - ราคาที่เหมาะสม ในการพิจารณาออกแบบสื่อการเรียนรู้เพื่อประกอบการเรียนรู้ของผู้เรียนใหสอดคล้องกับรูปแบบการ เรียนการสอนที่กำหนดไว้ บุคลากรที่รับผิดชอบในการจัดหาสื่อเพื่อประกอบการเรียนรู้คือ คณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐานของสถานศึกษา ครูผู้สอน หรือผู้รับผิดชอบสาระการเรียนรู้ ซึ่งต้องมีความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับ 1) การออกแบบการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้และจัดประสบการณ์ให้ผู้เรียน 2) ลักษณะเฉพาะของสื่อต่างๆ การน าไปใช้และการออกแบบ สามารถเร้าความสนใจให้ความหมาย และมีผลต่อประสบการณ์การเรียนรู้แก่ผู้เรียนได้อย่างไรบ้าง
๒๗ 3) การจัดหาสื่อการเรียนรู้จากแหล่งการเรียนรู้ทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษา ความคุ้มค่าในการ ผลิตเอง การหายืม การปรับปรุงดัดแปลง หรือเลือกจัดซื้อ 4) การประเมินคุณภาพสื่อการเรียนรู้ 3.8.2 การออกแบบสื่อการเรียนรู้ การออกแบบการเรียนรู้และพัฒนาระบบการเรียนการสอน ( Kearsley , 1984 ) ได้ให้ความหมาย ว่า ต้องมีลักษณะ 3 ประการ คือ ต้องมีการวิเคราะห์งาน หรือกิจกรรมการเรียนการสอน ต้องมีการประเมิน ทุกขั้นตอน และต้องมีการระบุ กลยุทธการเรียน ระบุสื่อที่ใช้สร้างสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อผู้เรียนให้เกิด กระบวนการเรียนรู้ขึ้น องค์ประกอบใช้ในการออกแบบการเรียนรู้จากทฤษฎีการเรียนรู้ เช่น แรงจูงใจ ความ แตกต่างระหว่างบุคคล จุดมุ่งหมายการเรียนรู้การจัดลำดับเนื้อหาความรู้ การเตรียมล่วงหน้า ผู้เรียน ข้อมูล ย้อนกลับ การเสริมแรง การฝึก ปฏิบัติ การนำไปใช้ ฯลฯ รายงานการสังเคราะห์เอกสาร เรื่อง วิธีการสอนและ รูปแบบการเรียนการสอน (กองวิจัยทางการศึกษา กรมวิชาการ , 2543 : 137 ) พบวิธีสอนและการเรียนรู้ ทั่วไปที่ เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง มี 24 วิธี ถ้าพิจารณาจากขั้นตอนการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนในแต่ ละวิธีแล้วไม่มีข้อจำกัดว่าวิธีการเรียนการสอนใดจะเหมาะสมกับเนื้อหาใดเนื้อหาหนึ่ง แต่ละวิธีเน้น บทบาท ผู้เรียน และผู้สอนแตกต่างกันไป และสามารถปรับกิจกรรมบางขั้นตอนให้นักเรียนมีส่วนร่วม ในการวางแผน และได้ลงมือปฏิบัติมากขึ้น การเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเปนศูนย์กลาง 24 วิธี ได้แก่ วิธีการเรียนแบบแก้ปัญหา วิธีการเรียนแบบปฏิบัติการหรือวิธีสอนแบบการทดลอง วิธีการเรียนแบบร่วมรู้สืบเสาะ วิธีการเรียนแบบที่เน้นกระบวนการ วิธีการเรียนแบบหน่วย วิธีการเรียนแบบเล่นปนเรียน วิธีการเรียนแบบให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน วิธีการเรียนแบบสร้างสรรค์ความคิด วิธีการเรียนแบบสร้างสรรค์ วิธีการเรียนแบบการพัฒนาบุคลิกภาพ วิธีการเรียนแบบแสดงบทบาทสมมติ วิธีการเรียนแบบวิธีการทางวิทยาศาสตร์ วิธีการเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ วิธีการเรียนแบบใช้สถานการณ์จ าลอง วิธีการเรียนแบบโครงการ วิธีการเรียนแบบ “ พินิจหมวดหมู่” วิธีการเรียนแบบการระดมความคิด วิธีการเรียนแบบใช้เกมจ าลองสถานการณ์ วิธีการเรียนโดยใช้กิจกรรมกลุ่มเกมแข่งขัน วิธีการเรียนแบบพัฒนาความสามารถด้านการใช้เหตุผล
๒๘ วิธีการเรียนแบบซินดิเคท วิธีการเรียนแบบบูรณาการ วิธีการเรียนแบบสเตค วิธีการเรียนแบบเอสคิว 3 อาร์ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้กิจกรรมการเรียนการสอน โดยมุ่งไปที่ผลการเรียนรู้ของ ผู้เรียนจสอดคล้อง กับการเลือกสื่อการเรียนรู้ เช่น - ผลการเรียนรู้ด้านทักษะปัญญา ต้องการให้มีข้อมูลย้อนกลับ (Feed back) ต่อผู้เรียน ทั้งพฤติกรรม ที่ถูกต้อง และ ไม่ถูกต้อง สื่อที่ใช้ควรมีลักษณะแบบปฏิสัมพันธ์ เช่น จากผู้สอน จาก VDO , CAI - ผลการเรียนรู้ด้านมโนทัศน์ หรือกฎเกณฑ์ต้องการจัดกลุ่มด้านระยะ (spatial) ด้านเวลาใช้ตัวอย่าง ต่างๆ และสิ่งที่ไม่ต้องใช้ตัวอย่างที่หลากหลายสื่อที่ใช้เป็นภาพ โดยเฉพาะภาพที่ เหมือนจริงจะให้ผลสัมฤทธิ์ได้ ดีกว่าสื่อที่เป็นเสียง - ผลการเรียนรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงทัศนคติสิ่งที่นำเสนอ น่าเชื่อถือ ลำดับข้อมูลตามลักษณะผู้ฟัง สื่อ ที่ดีในการนำมาใช้ เช่น บุคคลที่ เป็นต้นแบบ สื่อการเรียนรู้ ในการศึกษาแบบดั้งเดิมสื่อการเรียนรู้เป็นสื่อกลางที่ถ่ายทอดให้ผู้เรียนเข้าใจและบรรลุการเรียนรู้ได้ ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ผู้สอนจะเป็นแหล่งข้อมูลและเพื่อหาความรู้ทั้งหลาย และเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ ในการเรียนรู้ ปัจจุบันเทคโนโลยีแหล่งข้อมูลก้าวหน้าามากขึ้น การเก็บข้อมูล มีประสิทธิภาพมากขึ้นสามารถ ถ่ายทอดความรู้โดยตรงให้แก่ผู้เรียนได้ ผู้สอนจะไม่ใช่เป็นแหล่ง ข้อมูล และแหล่งถ่ายทอดข้อมูลเพียงผู้เดียว อีกตอไป ผู้สอนจึงต้องเปลี่ยนบทบาทใหม่ เช่น - ชี้แนวทางการเรียน วิธีการค้นคว้าหาความรู้ - ชี้แนะแหล่งข้อมูลให้ผู้เรียน ถายทอดให้ผู้เรียนบางส่วน ตามลักษณะเฉพาะ ของสาระการ เรียนรู้ - ผู้สอนมีบทบาทในการวางแผน จัดทำหลักสูตร ค้นคว้าข้อมูล หาวิธีการใหผู้เรียนและแนะ แนวผู้เรียน ประเมินผล ผู้เรียน โดยลดบทบาทการเป็นผู้เสนอเนื้อหา - ช่วยผู้เรียนกระทำข้อมูลเป็นลำดับขั้นตอนหรือให้ง่าย และเข้าใจแจ่มแจ้งขึ้นสื่อการเรียนรู้ ( Educational Material ) เป็นตัวกลาง ที่ช่วยให้การสื่อสารระหว่างผู้สอนและผู้เรียนดำเนินไปได้อย่างมี ประสทธิภาพ ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ เข้าใจเนื้อหาความรู้ได้ตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ
๒๙ สื่อการเรียนรู้ หมายถึง วิธีการ หรือกระบวนการ วัสดุ ของจริง เครื่องมือที่จัดทำขึ้นเพื่อใช้ในการเรียน การสอน ซึ่งมีสาระที่เป็นประโยชน์ต่อประสบการณ์การเรียนรู้ สำหรับนำไปใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการ สอนให้เป็นไปตามหลักสูตรที่กำหนดไว้ สื่อกลางที่ถ่ายทอดความรู้ และการเรียนรู้ให้ผู้เรียน ไม่ใช่เป็นวัตถุอุปกรณ์เพียงอยางเดียว ยังรวมถึง กระบวนการ วิธีการใหม่ ๆ และบุคลากรด้วย สื่อการเรียนรู้เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษาขั้น พื้นฐานจึงน่าจะหมายรวมถึงเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา และนวัตกรรม การศึกษาด้วยเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ( Educational Technology ) สมาคมเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ให้ความหมายไว้ว่า “ เทคโนโลยีการศึกษา เป็นความรู้ทาง ทฤษฎี และการปฏิบัติของการออกแบบ การพัฒนา การใช้การจัดการ และการประเมิน ของกระบวนการ และ ทรัพยากรสำหรับการเรียนรู้” เทคโนโลยีการศึกษา ( ในความหมายที่นิยมใช้ ) เป็นบูรณาการ บุคคล วิธีการ แนวคิด วัสดุอุปกรณ์ สิ่งต่างๆ ทฤษฎีการเรียนรู้และกระบวนการออกแบบพัฒนาระบบการเรียนการสอน เพื่อ การแก้ปัญหา และพัฒนาการเรียนรู้ซึ่งเป็นแนวทางการแก้ปัญหาที่เหมาะสม ลดช่องว่างระหว่างทฤษฎีและ แนวปฏิบัติ สามารถนำไปปฏิบัติจริงได้มีคำที่นำมาใช้ในความหมายเดียวกัน เช่น - เทคโนโลยีการสอน ( Instructional Technology ) - สื่อการเรียนรู้( Educational Material ) - เทคโนโลยีการเรียนรู้( Learning Technology ) ( ทั้ง 3 ข้างต้น เกี่ยวข้องกับบุคคล กระบวนการ เครื่องมืออุปกรณ์)
๓๐ บทที่ ๓ วิธีดำเนินการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการตามขั้นตอน ดังนี้ ๑. การกำหนดกลุ่มประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ๒. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ๓. การดำเนินการทดลอง ๔. การจัดกระทำและการวิเคราะห์ข้อมูล การกำหนดประชากร และการเลือกกลุ่มตัวอย่าง ประชากร ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ เด็กปฐมวัยชาย-หญิง อายุระหว่าง ๔-๖ ขวบ ที่กำลังศึกษาอยู่ใน ชั้นอนุบาลปีที่ ๒ และ ๓ ของโรงเรียนวัดผลาหาร อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ เด็กปฐมวัยชาย-หญิง อายุระหว่าง ๔-๖ ขวบ ที่กำลังศึกษา อยู่ในชั้นอนุบาลปีที่ ๒ และ ๓ ของโรงเรียนวัดผลาหาร อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี จำนวน ๓๔ คน โดยมีขั้นตอนการเลือกกลุ่มตัวอย่าง ด้วยวีธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมีดังนี้ ๑. แผนการจัดกิจกรรมด้วยนวัตกรรมสื่อการสอน Animal Funny ๒. แบบทดสอบวัดความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมือมัดเล็ก กำหนดตารางทำการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิจัยตามแผนการจัดประสบการณ์ตามปกติ ในกิจกรรมเกม การศึกษา โดยดำเนินการสอนในตาราง ดังนี้ ๑. ดำเนินการจัดประสบการณ์ให้กับเด็กตามตารางที่วางแผนไว้
๓๑ ตารางที่ ๑ ตารางทำการวิจัย สัปดาห์ที่ เนื้อหา กิจกรรม เครื่องมือ สัปดาห์ที่ ๑ พัฒนาการกล้ามเนื้อ มัดเล็ก ติดกระดุม สื่อ Animal Funny แบบทดสอบ สัปดาห์ที่ ๒ พัฒนาการกล้ามเนื้อ มัดเล็ก ร้อยเชือก สื่อ Animal Funny แบบทดสอบ สัปดาห์ที่ ๓ พัฒนาการกล้ามเนื้อ มัดเล็ก รูดซิป สื่อ Animal Funny แบบทดสอบ สัปดาห์ที่ ๔ พัฒนาการกล้ามเนื้อ มัดเล็ก ร้อยมักกะโรนี สื่อ Animal Funny แบบทดสอบ สัปดาห์ที่ ๕ พัฒนาการกล้ามเนื้อ มัดเล็ก ติดกระดุม สื่อ Animal Funny แบบทดสอบ สัปดาห์ที่ ๖ พัฒนาการกล้ามเนื้อ มัดเล็ก ร้อยเชือก สื่อ Animal Funny แบบทดสอบ สัปดาห์ที่ ๗ พัฒนาการกล้ามเนื้อ มัดเล็ก รูดซิป สื่อ Animal Funny แบบทดสอบ สัปดาห์ที่ ๘ พัฒนาการกล้ามเนื้อ มัดเล็ก ร้อยมักกะโรนี สื่อ Animal Funny แบบทดสอบ สัปดาห์ที่ ๙ พัฒนาการกล้ามเนื้อ มัดเล็ก ติดกระดุม สื่อ Animal Funny แบบทดสอบ สัปดาห์ที่ ๑๐ พัฒนาการกล้ามเนื้อ มัดเล็ก ร้อยเชือก สื่อ Animal Funny แบบทดสอบ สัปดาห์ที่ ๑๑ พัฒนาการกล้ามเนื้อ มัดเล็ก รูดซิป สื่อ Animal Funny แบบทดสอบ สัปดาห์ที่ ๑๒ พัฒนาการกล้ามเนื้อ มัดเล็ก ร้อยมักกะโรนี สื่อ Animal Funny แบบทดสอบ 2. ในการสอนทุกสัปดาห์ ผู้วิจัยได้ดำเนินการใช้วิธีการประเมินที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ดังนี้ การสังเกตการสอนของครู แบบมีข้อมีข้อเสนอแนะ และข้อคิดเห็น 3. วิธีการสอนทั้งใน 12 สัปดาห์ ผู้วิจัยได้ดำเนินการสอน ดังต่อไปนี้
๓๒ การจัดกิจกรรมการสอน ขั้นนำ ๑. เด็กและครูสนทนาทักทาย พร้อมกับร้องเพลง “สวัสดี” ๒. ครูแนะนำชื่อกิจกรรมเกมการศึกษา เรื่อง สัตว์แสนสนุก animal funny ขั้นสอน 1. ครูอธิบายถึงกิจกรรมเกมการศึกษา เรื่อง สัตว์แสนสนุก animal funny 2. เด็กและครูร่วมกันสนทนาถึงเกมที่อยู่ในสื่อการสอน 3. ครูเรียกเด็กตัวแทนออกมาเล่มเกม สัตว์แสนสนุก animal funny ให้เพื่อนๆ ดู 4. ครูแบ่งกลุ่มนักเรียนเท่าๆ กัน และเริ่มเล่นเกมสัตว์แสนสนุก animal funny ขั้นสรุป 1. เด็กและครูร่วมกันสรุปกิจกรรมเกมที่ได้เล่นไปในวันนี้ 2. ครูให้นักเรียนทำแบบทดสอบวัดความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมือมัดเล็ก
๓๓ บทที่ ๔ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยเรื่องการส่งเสริมพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อมือมัดเล็กของเด็กปฐมวัยด้วยชุดนวัตกรรมสื่อการ สอน Animal Funny ด้วยวิธีการประเมินที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ผู้วิจัยได้เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ตามลำดับ ดังนี้ 1. สัญลักษณ์ที่ใช้ในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 2. ลำดับขั้นตอนในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 3. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 1. สัญลักษณ์ที่ใช้ในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูลและแปลความหมายของข้อมูลเพื่อเข้าใจตรงกัน ผู้วิจัยได้กำหนดความหมาย ของสัญลักษณ์ในการนำเสนอข้อมูล ดังนี้ N แทน จำนวนของนักเรียนในกลุ่มตัวอย่าง x̅ แทน ค่าเฉลี่ย % แทน ร้อยละ 2. ลำดับขั้นตอนในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามลำดับ ดังนี้ ผลการวิเคราะห์การส่งเสริมพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อมือมัดเล็กของเด็กปฐมวัยด้วยชุดนวัตกรรม สื่อการสอน Animal Funny ด้วยวิธีการประเมินที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน 3. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ตาราง ๒ ผลการวิเคราะห์การส่งเสริมพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อมือมัดเล็กของเด็กปฐมวัยด้วยชุดนวัตกรรมสื่อ การสอน Animal Funny ด้วยวิธีการประเมินที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญก่อน เรียนและหลังเรียน
๓๔ ตาราง ๒ ผลการวิเคราะห์การส่งเสริมพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อมือมัดเล็กของเด็กปฐมวัยด้วยชุดนวัตกรรมสื่อ การสอน Animal Funny ด้วยวิธีการประเมินที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญก่อน เรียนและหลังเรียน รายชื่อนักเรียน คะแนนทดสอบวัดพัฒนาการด้าน กล้ามเนื้อมือมัดเล็กของเด็กปฐมวัย ด้วยชุดนวัตกรรมสื่อการสอน Animal Funnyก่อนเรียน (20 คะแนน) คะแนนทดสอบวัดพัฒนาการด้าน กล้ามเนื้อมือมัดเล็กของเด็กปฐมวัย ด้วยชุดนวัตกรรมสื่อการสอน Animal Funnyหลังเรียน (20 คะแนน) ด.ช. ภัคพล แก่นเพ็ชร์ 8 18 ด.ช.ธนกฤต ชมชื่น 9 19 ด.ญ.นภัสสร หินกอง 7 18 ด.ญ. เตชินี ทักทาย 8 19 ด.ญ. พิมพ์มาดา - 9 19 ด.ญ. เมษา - 7 18 ด.ญ. ทัศศิกาญนต์ ญาติคำ 9 18 ด.ช. กวีวัธน์ กานนท์ 8 19 ด.ช. ชนาธิป ปิตตังละพา 7 18 ด.ญ. ชนัญชิดา ธิษณามณี 9 18 ด.ช. วริษฐิภา ศรีแก้ว 7 18 ด.ญ. ธารารินทร์ กล่อมบาง 9 19 ด.ช. อาชวิน เสาะแสวง 7 19 ด.ช. สุกฤษฐิ์ อยู่เจริญ 8 19 ด.ช.นันทกร เพ็ดดาววอน 9 18 ด.ญ.โนอา สารสิน 8 19 ด.ญ.สุชาดา สียัน 7 18 ด.ช.รัชชานนท์ ภิรวม 9 19 ด.ช.กิตติพัศ แสงหงส์ 8 18 ด.ช.ชลธีพ่วงศรี 7 17 ด.ช. ปัณณทัต ยอดศรี 9 19 ด.ช. วรานนท์กริ่มใจ 7 19 ด.ช. สุภวิท จันครุฑ 8 18 ด.ช. กวินธิดา แฟมไธสง 9 19 ด.ญ.ภุชกร ธัญบวรธรรม 7 18 ด.ญ. รัดดาวรรณ ยี่สุ่น 9 19 ด.ญ. สุชานาฎ จันทร์เซ็ง 8 19
๓๕ ด.ญ. สุนิสา จันท์ครุฑ 7 18 ด.ญ.สุนิสา สังข์สุวรรณ 9 19 ด.ญ. สุดารัตน์ พูลชัย 9 19 ด.ญ.นันทิพร สะอาดแพน 8 18 ด.ญ. อริษา มิยะเศษ 7 17 ด.ญ.วรัชยา เย็นใจ 9 19 ด.ช.ธเนศ งานคณะ 8 18 ΣX 274 627 ̅ 8.05 18.44 ร้อยละ 40.29 92.30 จากตาราง ๒ พบว่า พัฒนาการด้านกล้ามเนื้อมือมัดเล็กของเด็กปฐมวัย ทั้งหมดเฉลี่ย ๓๔ คน มี คะแนนเฉลี่ย (X̅) เท่ากับ 8.05 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 40.29 จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน และหลังเรียนมี คะแนนเฉลี่ย (X̅) เท่ากับ 18.44 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 92.30 จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน เปรียบเทียบ ความสามารถการเขียนวิชาภาษาไทย ดังภาพประกอบ 1 ภาพประกอบ 1 0 50 100 ผลการเปรียบเทียบคะแนนก่อน เรียนและหลังเรียน ผลการเปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน หลังเรียน 82.32 ก่อนเรียน 40.29
๓๖ บทที่ 5 สรุป ข้อคิดที่ได้จากการวิจัย และข้อเสนอแนะ การส่งเสริมพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อมือมัดเล็กของเด็กปฐมวัยด้วยชุดนวัตกรรมสื่อการสอน Animal Funny ผู้วิจัยได้สรุปผล อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ ดังนี้ 1. ความมุ่งหมายของการวิจัย 2. สรุปผล 3. อภิปรายผล 4. ข้อเสนอแนะ ความมุ่งหมายของการวิจัย เพื่อส่งเสริมพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อมือมัดเล็กของเด็กปฐมวัยด้วยชุดนวัตกรรมสื่อการสอน Animal Funny สรุปผล จากผลในการวิจัยในเรื่องการส่งเสริมพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อมือมัดเล็กของเด็กปฐมวัยด้วยชุด นวัตกรรมสื่อการสอน Animal Funny จำนวน ๓๔ คน ผลการวิจัย พบว่ามีปัญหาในด้านร่างกาย เรื่อง พัฒนาการกล้ามเนื้อมัดเล็ก ผู้วิจัยจึงได้ทดสอบด้วยแบบทดสอบการเรียน และโดยใช้ชุดนวัตกรรมสื่อการสอน Animal Funny ที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อมัดเล็ก โดยให้เด็กได้เล่นเกมจากชุดนวัตกรรมสื่อการ สอน Animal Funny จำนวน ๑๒ ครั้ง อย่างต่อเนื่อง หลังจากนั้นครูได้ใช้ชุดแบบทดสอบหลังเรียน เมือเด็กได้ ทำกิจกรรมครบ ๑๒ ครั้ง ผลปรากฏว่านักเรียนมีพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อมือมัดเล็กดีขึ้น คิดเป็นร้อยละ ๘๒.๓๒ ข้อคิดที่ได้จากการวิจัย ๑. เพื่อใหทราบความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อมือมัดเล็กของเด็กปฐมวัยโดยใช้นวัตกรรมสื่อการ สอน Animal Funny ๒. เพื่อเป็นประโยชน์ต่อครู ผู้ดูแลเด็กและผู้ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาปฐมวัยในการนำกิจกรรมไปใช้ ในการพัฒนากล้ามเนื้อมือมัดเล็ก และการจัดการเรียนการสอนสำหรับเด็กปฐมวัย ข้อเสนอแนะ จากการวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะที่เห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการจัดการเรียนรู้ และ การศึกษาวิจัยครั้งต่อไป ซึ่งประกอบด้วย ข้อเสนอแนะสำหรับการนำผลการวิจัยไปใช้และข้อเสนอแนะเพื่อ การศึกษาวิจัยครั้งต่อไป ดังนี้ 1. ข้อเสนอแนะในการนำไปใช้ควรเปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงผลงานของตนเองเพื่อเป็น การเสริมแรงให้นักเรียนได้เห็นตัวอย่างผลงานที่หลากหลาย กระตุ้นให้นักเรียนได้เห็นคุณค่าและเกิดควาภูมิใจ ในผลงานของตนและเพื่อเป็นแนวทางในการนำไปปรับปรุงพัฒนาผลงานของตนให้ดียิ่งขึ้น
๓๗ ภาคผนวก
๓๘ ภาคผนวก ก รายชื่อนักเรียนนักเรียนที่ได้รับการส่งเสริมพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อมือ มัดเล็ดระดับปฐมวัย
๓๙ รายชื่อนักเรียนนักเรียนที่ได้รับการส่งเสริมพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อมือมัดเล็ดระดับปฐมวัย โรงเรียนวัดผลาหาร รายชื่อนักเรียน ชั้น ด.ช. ภัคพล แก่นเพ็ชร์ อ.๒ ด.ช.ธนกฤต ชมชื่น อ.๒ ด.ญ.นภัสสร หินกอง อ.๒ ด.ญ. เตชินี ทักทาย อ.๒ ด.ญ. พิมพ์มาดา - อ.๒ ด.ญ. เมษา - อ.๒ ด.ญ. ทัศศิกาญนต์ ญาติคำ อ.๒ ด.ช. กวีวัธน์ กานนท์ อ.๒ ด.ช. ชนาธิป ปิตตังละพา อ.๒ ด.ญ. ชนัญชิดา ธิษณามณี อ.๒ ด.ช. วริษฐิภา ศรีแก้ว อ.๒ ด.ญ. ธารารินทร์ กล่อมบาง อ.๒ ด.ช. อาชวิน เสาะแสวง อ.๒ ด.ช. สุกฤษฐิ์ อยู่เจริญ อ.๒ ด.ช.นันทกร เพ็ดดาววอน อ.๒ ด.ญ.โนอา สารสิน อ.๒ ด.ญ.สุชาดา สียัน อ.๒ ด.ช.รัชชานนท์ ภิรวม อ.๒ ด.ช.กิตติพัศ แสงหงส์ อ.๓ ด.ช.ชลธีพ่วงศรี อ.๓ ด.ช. ปัณณทัต ยอดศรี อ.๓ ด.ช. วรานนท์กริ่มใจ อ.๓ ด.ช. สุภวิท จันครุฑ อ.๓ ด.ช. กวินธิดา แฟมไธสง อ.๓ ด.ญ.ภุชกร ธัญบวรธรรม อ.๓ ด.ญ. รัดดาวรรณ ยี่สุ่น อ.๓ ด.ญ. สุชานาฎ จันทร์เซ็ง อ.๓ ด.ญ. สุนิสา จันท์ครุฑ อ.๓ ด.ญ.สุนิสา สังข์สุวรรณ อ.๓ ด.ญ. สุดารัตน์ พูลชัย อ.๓
๔๐ ด.ญ.นันทิพร สะอาดแพน อ.๓ด.ญ. อริษา มิยะเศษ อ.๓ด.ญ.วรัชยา เย็นใจ อ.๓ด.ช.ธเนศ งานคณะ อ.๓
๔๑ ภาคผนวก ข แบบทดสอบการทำกิจกรรม และหลังทำกิจกรรม
๔๒ แบบทดสอบพัฒนาการกล้ามเนื้อมือมัดเล็ก ชื่อ ชั้น
๔๓ แบบทดสอบพัฒนาการกล้ามเนือ้มือมัดเล ็ ก ชื่อ ชั้น
๔๔ แบบทดสอบพัฒนาการกล้ามเนือ้มือมัดเล ็ ก ชื่อ ชั้น
๔๕ แบบทดสอบพัฒนาการกล้ามเนือ้มือมัดเล ็ ก ชื่อ ชั้น
๔๖ แบบทดสอบพัฒนาการกล้ามเนือ้มือมัดเล ็ ก ชื่อ ชั้น
๔๗ ภาคผนวก ค ผลงานนักเรียน