การพัฒนาการออกเสียงและความรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยการสอนแบบโฟนิกส์ (Phonics) ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนชุมชนที่11 วัดสุวรรณประดิษฐ์ โดย นางสาวสุนิษา สารีพรม วิจัยเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม ปีการศึกษา 2566
การพัฒนาการออกเสียงและความรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยการสอนแบบโฟนิกส์ (Phonics) ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนชุมชนที่11 วัดสุวรรณประดิษฐ์ โดย นางสาวสุนิษา สารีพรม วิจัยเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม ปีการศึกษา 2566
ก ชื่อวิจัยในชั้นเรียน: การพัฒนาการออกเสียงและความรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยการสอนแบบโฟนิกส์ (Phonics) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนชุมชนที่11 วัดสุวรรณประดิษฐ์ ชื่อผู้ทำวิจัย: นางสาวสุนิษา สารีพรม ปีการศึกษา: 2566 คำสำคัญ: การออกเสียง, ความรู้คำศัพท์, โฟนิกส์ บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเพื่อพัฒนาการออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยการสอนแบบโฟ นิกส์ (Phonics) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนชุมชนที่11 วัดสุวรรณประดิษฐ์2) เพื่อศึกษาความ พึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนชุมชนที่11 วัดสุวรรณประดิษฐ์ต่อการใช้การสอนแบบโฟนิกส์ (Phonics) เพื่อพัฒนาการออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษ กลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนชุมชนที่11 วัดสุวรรณประดิษฐ์ ตำบลไผ่ขอดอน อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งได้จากวิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง ( Purposive sampling ) จำนวน 18 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ครั้งนี้ประกอบด้วย 1) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เนื้อหาวิชาภาษาอังกฤษ 2)แบบทดสอบวัดความสามารถในการออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษก่อนการได้รับการ สอนแบบโฟนิกส์ และหลังจากได้รับการสอนแบบโฟนิกส์ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ การออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยวิธีการ สอนแบบโฟนิกส์ โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้การออกเสียงคำศัพท์ ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ผลการวิจัย พบว่า 1) คะแนนทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยการพัฒนาการออกเสียงและความรู้ คำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยการสอนแบบโฟนิกส์ (Phonics) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนชุมชนที่11 วัดสุวรรณประดิษฐ์ มีคะแนนเฉลี่ย 5.17 คะแนน และ 19.28 คะแนนตามลำดับ และเมื่อเปรียบเทียบระหว่าง คะแนนก่อนและหลังเรียน พบว่า คะแนนหลังเรียนการออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนชุมชนที่11 วัด สุวรรณประดิษฐ์ ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้การออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยวิธีการสอนแบบโฟนิกส์ ใน ภาพรวมนักเรียนมีความพึงพอใจต่อกิจกรรมการเรียนการเรียนรู้อยู่ในระดับดีมาก โดยมีค่าคะแนนเฉลี่ย(̅) เท่ากับ 3.90 แปลความหมายระดับคะแนนความพึงพอใจ อยู่ในระดับดีมาก
ข กิตติกรรมประกาศ วิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้สำเร็จได้ด้วยความกรุณาอย่างสูงจากอาจารย์ ดร. จารุวรรณ นาตัน อาจารย์ที่ ปรึกษาหลัก ที่มีความเมตตาให้คำปรึกษา แนะนำ ข้อคิด และตรวจแก้ไขข้อบกพร่องด้วยความเอาใจใส่เป็นอย่างดี มาโดยตลอด ผู้วิจัยซาบซึ้งในความเมตตากรุณาเป็นอย่างยิ่ง จึงขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ไว้ณ ที่นี้ ขอขอบพระคุณ นางบุญทิ น่วมบาง ผู้อำนวยการโรงเรียนชุมชนที่11 วัดสุวรรณประดิษฐ์ และ คณะครูทุก ท่าน ที่ให้การสนับสนุน คอยช่วยเหลือ และเป็นกำลังใจให้ด้วยดีเสมอมา และ ขอขอบใจนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 ทุกคนที่ให้ความร่วมมือในการทดลองหาคุณภาพของเครื่องมือวิจัย ขอขอบพระคุณเพื่อนนักศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาภาษาอังกฤษร่วมรุ่นทุกคน ที่ให้ความ ช่วยเหลือ เป็นที่ปรึกษา และให้กำลังใจที่ดีมอบมิตรภาพที่งดงามแก่กัน รวมถึงน้ำใจที่ดีด้วยดีเสมอมา ความสำเร็จของการวิจัยครั้งนี้ ขอบูชาพระคุณ คุณพ่อ คุณแม่และครูอาจารย์ทุกท่านที่ได้ประสิทธิ์ประสาท ความรู้แก่ผู้วิจัย และขอมอบผลของความสำเร็จให้กับครอบครัวที่ให้กำลังใจตลอดระยะเวลาในการทำวิจัย สุนิษา สารีพรม
ค สารบัญ หน้า บทคัดย่อภาษาไทย ก กิตติกรรมประกาศ ข สารบัญ ค สารบัญตาราง จ สารบัญรูป ฉ บทที่ 1 บทนำ 1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา 1 กรอบแนวคิดการวิจัย 3 คำถามการวิจัย 5 สมมุติฐานการวิจัย 5 ขอบเขตการวิจัย 5 นิยามศัพท์เฉพาะ 6 ประโยชน์ที่ได้รับ 7 บทที่ 2 เอกสารและวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง 9 การออกเสียง 10 ความหมายของการออกเสียง 10 ความสำคัญของการออกเสียง 11 องค์ประกอบสำคัญของการออกเสียงภาษาอังกฤษ 12 ปัญหาในการออกเสียงภาษาอังกฤษสำหรับคนไทย 12 ประโยชน์ของการออกเสียงภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้อง 14 โฟนิกส์ (Phonics) 15 ความหมายของโฟนิกส์ 15 ความสำคัญของโฟนิกส์ 16 วิธีการสอนโฟนิกส์ 17 ข้อแนะนำสำหรับการสอนโฟนิกส์ 20
ง ความพึงพอใจ 21 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 24 งานวิจัยในประเทศ 24 งานวิจัยต่างประเทศ 26 บทที่ 3 วิธีดำเนินงานวิจัย 28 ประชากร และกลุ่มตัวอย่าง 28 ระยะเวลาที่ใช้ในงานวิจัย 30 รูปแบบการวิจัย 30 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 30 การสร้างและการพัฒนาเครื่องมือ 31 การเก็บรวบรวมข้อมูล 34 การวิเคราะห์ข้อมูล 35 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 36 ตอนที่ 1 นำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลการเปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 36 ตอนที่ 2 นำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน 38 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 43 การดำเนินการวิจัย 43 สรุปผลการวิจัย 44 อภิปรายผล 44 ข้อเสนอแนะ 45 รายการอ้างอิง 46 ภาคผนวก 49 ภาคผนวก ก แบบประเมินเครื่องมือวิจัยของผู้เชี่ยวชาญ 50 ภาคผนวก ข แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนโฟนิกส์ 52 ภาคผนวก ค แบบสำรวจความพึงพอใจต่อการเรียนการออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยวิธีการ สอนแบบโฟนิกส์ 54 ภาคผนวก ง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 57 ภาคผนวก จ สื่อประดิษฐ์และใบความรู้ที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้โฟนิกส์ 79
จ สารบัญตาราง หน้า ตารางที่ 1 ผลการเปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและผลต่างของคะแนนก่อนเรียน และหลังเรียนโฟนิกส์ 37 ตารางที่ 2 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสถิติทดสอบที และระดับนัยสำคัญทางสถิติ 38 ตารางที่ 3 ผลสำรวจความพึงพอใจต่อการสอนแบบโฟนิกส์ 39
ฉ สารบัญรูปภาพ หน้า แผนภาพที่ 1 กรอบแนวคิดในการวิจัย 4 แผนภาพที่ 2 ภาพรวมนักเรียนต่อระดับความความพึงพอใจ 40
1 บทที่ 1 บทนำ ที่มาและความสำคัญของปัญหาวิจัย การออกเสียงภาษาอังกฤษเป็นพื้นฐานสำคัญอย่างหนึ่งที่นักเรียนจำเป็นต้องมี ตั้งแต่การออกเสียง พยัญชนะ คำ ไปจนถึงประโยค หากออกเสียงได้ถูกต้องตามหลักภาษาย่อมทำให้ผู้ฟังเข้าใจสิ่งที่ผู้พูดกำลังจะสื่อได้ แต่ทว่าปัญหาการออกเสียงภาษาอังกฤษของนักเรียน มักจะเกิดขึ้นจากการนำระบบเสียงของไทยไปเทียบกับระบบ เสียงในภาษาอังกฤษ ซึ่งเสียงในภาษาอังกฤษบางคำก็ไม่สามารถใช้เสียงในภาษาไทยไปเทียบได้ จึงทำให้เกิดการ สื่อสารที่ไม่ตรงกัน (ธูปทอง กว้างสวัสดิ์ อ้างถึงใน ธีราภรณ์ พลายเล็ก, 2555) กล่าวว่า การสื่อสารด้วยวิธีการใดๆ ก็ตาม จะไม่สมบูรณ์เท่ากับการสื่อสารที่มาในรูปของ“เสียง” ทั้งนี้เพราะ “เสียง” เป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดใน “สื่อภาษาพูด” ดังนั้นการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศจึงมีความสำคัญและจําเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้นักเรียนได้เรียนรู้ ในเรื่องการออกเสียงคําต่างๆ ในภาษานั้นๆ ได้อย่างถูกต้อง ตามหลักสูตรแกนกลางกลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช2551 มุ่งหวังให้ผู้เรียนมีเจตคติที่ดีต่อ ภาษาต่างประเทศ สามารถใช้ภาษาต่างประเทศสื่อสารในสถานการณ์ต่างๆ แสวงหาความรู้ประกอบอาชีพ และ ศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น รวมทั้งมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องราวและวัฒนธรรมอันหลากหลายของประชาคมโลก และสามารถถ่ายทอดความคิดและวัฒนธรรมไทยไปยังสังคมโลกได้อย่างสร้างสรรค์ อีกทั้งยังกำหนดคุณภาพของ ผู้เรียนเมื่อจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในด้านการออกเสียง คือ ผู้เรียนสามารถระบุตัวอักษรและเสียง อ่านออกเสียง สะกดคำง่ายๆถูกต้องตามหลักการอ่าน (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) ซึ่งในการเรียนรู้ภาษานั้น เป็นสิ่งที่ดีและ สำคัญที่จะฝึกให้ผู้เรียนได้มีการเรียนรู้ที่ถูกต้องตั้งแต่เริ่มต้น พิณทิพย์ ทวยเจริญ (2544, อ้างถึงใน ณัฐพล สุริ ยมณฑล, 2561) ได้กล่าวว่า การออกเสียงภาษาอังกฤษเป็นปัญหาที่สำคัญอย่างหนึ่งของนักเรียนไทย ทั้งนี้ เนื่องจากความแตกต่างของระบบเสียงในการเรียนภาษาต่างประเทศนั้นการรู้แต่เพียงคำศัพท์และโครงสร้าง ประโยคยังคงไม่เพียงพอ ถ้าผู้สื่อสารไม่สามารถเปล่งเสียงที่เจ้าของภาษาฟังและเข้าใจในสิ่งที่ผู้พูดสื่อออกมานั้น การเรียนรู้ภาษาอังกฤษของนักเรียนไทยนอกจากผู้เรียนจะไม่สามารถออกเสียงได้แล้วยังไม่รู้ความหมายของคำๆ นั้นอีกด้วย นอกจากนี้ Ur (2000, อ้างถึงใน ถิรวัฒน์ ตันท นิส, 2556) ได้อธิบายถึงสาเหตุของข้อผิดพลาดในการ ออกเสียงภาษาอังกฤษ โดยแบ่งออก เป็น 3 ประเด็น คือ 1)เสียงบางเสียงในภาษาอังกฤษไม่มีอยู่ในภาษาแม่ ทำให้ ผู้เรียนไม่คุ้นเคยกับการออกเสียงเหล่านั้น จึงแทนที่เสียงเหล่านั้นโดยเสียงที่ใกล้เคียงกัน คณาจารย์ภาควิชา ภาษาอังกฤษ (2562) กล่าวว่า นักเรียนที่เรียนภาษาอังกฤษ ออกเสียง th ไม่ได้ เพราะทั้งสองเสียงนี้ไม่มีใน
2 ภาษาไทย ดังนั้นเวลาที่จะต้องออกสียง th คนไทยมักจะแทนเสียง th นี้ด้วยเสียง /d/ หรือ /t/ เช่นคำว่า the ซึ่ง ปกติแล้วจะต้องออกเสียงว่า /ðə/ คนไทยส่วนใหญ่ จะออกเสียงว่า /də/ 2)เสียงบางเสียงเป็นเสียงที่มีอยู่ใน ภาษาแม่ แต่ไม่ได้ถือเป็นหน่วยเสียงที่แยกออกมาอย่างชัดเจน จึงทำให้ผู้เรียนไม่สามารถเรียนรู้เสียงดังกล่าวว่า สามารถทำให้เกิดความแตกต่างทางความหมายได้ 3)บางครั้งผู้เรียนออก เสียงถูกต้อง แต่ผู้เรียนไม่ได้เรียนรู้ถึงการ ลงเสียงหนัก(stress) ในระดับคำโดยภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่มีการลงเสียงหนักเบาที่คำหรือประโยค แต่ภาษาไทย จะเน้นทุกคำต่างกันแค่ที่วรรณยุกต์เท่านั้น ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากสำหรับนักเรียนไทยในการออกเสียงภาษาอังกฤษ ซึ่งการ stress เสียงมีความสำคัญมาก เพราะบางคำถ้าลงเสียงหนักผิดที่ก็จะกลายเป็นความหมายอื่นได้ เช่น คำว่า present ถ้าเป็นคำนามที่แปลว่า ของขวัญ จะต้อง stress ตรงพยางค์แรก (’pre.sent) แต่ถ้าเป็นกริยาที่แปลว่า นำเสนอ ต้อง stress ตรงคำว่า sent (pre.sent’) (“หลักการ stress,” 2020) นอกจากปัญหาการออกเสียงคำในภาษาอังกฤษที่มีสาเหตุมาจากข้อความข้างต้นแล้ว ยังสามารถมาจาก การจัดการเรียนการสอนของครูผู้สอนและการไม่ตระหนักถึงความสำคัญของการออกเสียงภาษาอังกฤษของ นักเรียนอีกด้วย โดย สุชานันท์ มอญถนอม และคณะ (2562) กล่าวว่า ปัญหาการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ สืบ เนื่องมาจากนักเรียนจำนวนมากไม่ตระหนักถึงความสำคัญของการออกเสียงและการสะกดคำ เน้นบทบาทของการ เรียนรู้ไวยากรณ์และความหมายของคำศัพท์และการเขียนภาษาต่างประเทศมากกว่าการออกเสียงที่ถูกต้อง การ สอนการออกเสียงจึงเป็นสิ่งที่ละเลยที่สุดของการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ด้วยเหตุนี้ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการออกเสียงภาษาอังกฤษไม่ได้ดีเท่าที่ควร ยกตัวอย่างเช่น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนวัดเสาธง พบว่า นักเรียนมีผลการเรียนรู้รายวิชาภาษาอังกฤษอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากขาดทักษะการอ่านออกเสียงสะกดคำ แต่จะใช้วิธีการจำคำศัพท์เป็นคำๆ แล้วเขียนคำอ่านเป็นภาษาไทยกำกับไว้ ทำให้ไม่สามารถอ่านออกเสียงคำศัพท์ที่ แตกต่างจากบทเรียนได้ ซึ่งเป็นปัญหาในการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษและส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนในรายวิชาภาษาอังกฤษต่ำ ถ้าหากนักเรียนไม่ได้รับการแก้ไขปัญหาจะส่งผลกระทบต่อการเรียนวิชา ภาษาอังกฤษในระดับที่สูงขึ้น (อัจจิมา ไชยชิต, 2563) ดังนั้น กลวิธีการสอนออกเสียงภาษาอังกฤษที่นิยมใช้เพื่อพัฒนาการออกเสียงภาษาอังกฤษสำหรับนักเรียน คือ โฟนิกส์ (Phonics) เป็นวิธีการสอนออกเสียงที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างเสียงและตัวอักษรโดยใช้การออก เสียงเป็นตัวกำหนดและให้ความสำคัญกับเสียงของตัวอักษรและการสะกดคำ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในกระบวนการสอน อ่านเบื้องต้น โดยขั้นตอนการสอนแบบโฟนิกส์จะเริ่มจากการวิเคราะห์การออกเสียง (analytic phonics) ซึ่งเป็น การฝึกให้ผู้เรียนรู้จักเรียนรู้และวิเคราะห์เสียงของตัวอักษรแต่ละตัว นำไปสู่การวิเคราะห์เสียงของตัวอักษรในคำ
3 จากนั้นจะเป็นการการเทียบเคียงในการออกเสียง (analogic phonics instruction) จะเป็นการสอนที่ต่อยอดมา จากการสอนวิเคราะห์การออกเสียง โดยผู้เรียนจะวิเคราะห์ส่วนประกอบของคำและเทียบเคียงการออกเสียงกับคำ ที่รู้แล้ว เช่น cat, rat, hat มี/a/และ /t/ เป็นหน่วยเสียงที่เหมือนกัน เมื่อนักเรียนสามารถเทียบเคียงในการออก เสียงได้แล้ว ขั้นต่อไปจะเป็นการสังเคราะห์การออกเสียง (synthetic phonics) เป็นการสอนโดยเริ่มจากการสอน เสียงของตัวอักษรแต่ละตัว หลังจากนั้นจึงสอนการผสมเสียงกับตัวอักษรเพื่อให้ผู้อ่านสามารถอ่านออกเสียงได้ จุดมุ่งหมายของการสอนแบบนี้คือทำให้ผู้เรียนเข้าใจเสียงของตัวอักษรแต่ละตัวและผสมเสียงจนสามารถที่จะออก เสียงคำๆนั้น ได้ด้วยตนเอง (สินีนาฎ รัตนพันธุ์, 2562) กรอบแนวคิดการวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลองคือ ผู้วิจัยมีความสนใจที่จะศึกษาการจัดการเรียนรู้เพื่อ พัฒนาการ ออกเสียงและความรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ ด้วยวิธีสอนแบบโฟนิกส์ (Phonics) จึงกำหนดกรอบแนวคิด ดังนี้ 1. กรอบแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับตัวแปรต้น การศึกษารูปแบบวิธีสอนออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยโฟนิกส์ (Phonics) จะช่วยพัฒนา ความสามารถในการออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยวิธีสอนแบบโฟนิกส์ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่6 โรงเรียนชุมชนที่11 วัดสุวรรณประดิษฐ์ซึ่งรูปแบบการสอนออกเสียงด้วยโฟนิกส์เป็นวิธีการสอนออกเสียงที่แสดง ความสัมพันธ์ระหว่างเสียงและตัวอักษรโดยใช้การออกเสียงเป็นตัวกำหนดและให้ความสำคัญกับเสียงของตัวอักษร และการสะกดคำ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในกระบวนการสอนอ่านเบื้องต้น โดยขั้นตอนการสอนแบบโฟนิกส์จะเริ่มจาก การ วิเคราะห์การออกเสียง (analytic phonics) ซึ่งเป็นการฝึกให้ผู้เรียนรู้จักเรียนรู้และวิเคราะห์เสียงของ ตัวอักษรแต่ละตัว นำไปสู่การวิเคราะห์เสียงของตัวอักษรในคำ จากนั้นจะเป็นการการเทียบเคียงในการออกเสียง (analogic phonics instruction) จะเป็นการสอนที่ต่อยอดมาจากการสอนวิเคราะห์การออกเสียง โดยผู้เรียนจะ วิเคราะห์ส่วนประกอบของคำและเทียบเคียงการออกเสียงกับคำที่รู้แล้ว เช่น cat, rat, hat มี/a/และ /t/ เป็น หน่วยเสียงที่ เหมือนกัน เมื่อนักเรียนสามารถเทียบเคียงในการออกเสียงได้แล้ว ขั้นต่อไปจะเป็นการสังเคราะห์การ ออกเสียง (synthetic phonics) เป็นการสอนโดยเริ่มจากการสอนเสียงของตัวอักษรแต่ละตัว หลังจากนั้นจึงสอน การผสมเสียงกับตัวอักษรเพื่อให้ผู้อ่านสามารถอ่านออกเสียงได้จุดมุ่งหมายของการสอนแบบนี้คือทำให้ผู้เรียน เข้าใจเสียงของตัวอักษรแต่ละตัวและผสมเสียงจนสามารถที่จะออกเสียงคำๆนั้น ได้ด้วยตนเอง (สินีนาฎ รัตนพันธุ์, 2562)
4 การสอนออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยโฟนิกส์จะช่วยสร้างความเข้าใจของการออกเสียงได้อย่าง ถูกต้อง รวมถึงสร้างเจตคติที่ดีในการการเรียนวิชาภาษาอังกฤษมากขึ้น จนส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา ภาษาอังกฤษของนักเรียนสูงขึ้นด้วย 2. กรอบแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับตัวแปรตาม 2.1 ความสามารถในการออกเสียงและความรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยประเมินและออกแบบทดสอบวัด ความสามารถในการออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยผู้วิจัยวัดตามมาตรฐานและตัวชี้วัดตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 รายวิชาภาษาอังกฤษ 2.2 ความพึงพอใจต่อวิธีสอนออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยโฟนิกส์ (Phonics) สร้างแบบประเมิน ความพึงพอใจ ซึ่งยึดวิธีการตามหลักและทฤษฎีโดยผู้ใช้กรอบแนวคิด การพัฒนาการออกเสียงและความรู้คำศัพท์ ภาษาอังกฤษด้วยการสอนแบบโฟนิกส์(Phonics) สำหรับนักเรียนชั้นมัประถมศึกษาปีที่6 ดังแผนภาพหน้าต่อไป ดังนี้ แผนภาพที่ 1 กรอบแนวคิดในการวิจัย ตัวแปรต้น แผนการจัดการเรียนรู้การออกเสียงคำศัพท์ ภาษาอังกฤษด้วยการสอนแบบโฟนิกส์ (Phonics) ตัวแปรตาม 1. ผลสัมฤทธิ์ของการออกเสียง คำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยวิธีการ สอน ด้วยโฟนิกส์ (Phonics) 2. ความพึงพอใจของนักเรียนต่อ การ ใช้วิธีการสอนแบบโฟนิกส์(Phonics) เพื่อพัฒนาการออกเสียง และความรู้ คำศัพท์ภาษาอังกฤษ
5 คำถามวิจัยและวัตถุประสงค์การวิจัย คำถามวิจัย 1. ผลการพัฒนาการออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยการสอนแบบโฟนิกส์ (Phonics) ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนชุมชนที่11 วัดสุวรรณประดิษฐ์เป็นอย่างไร 2. ความพึงพอใจต่อการใช้การสอนแบบโฟนิกส์ (Phonics) เพื่อพัฒนาการออกเสียงคำศัพท์ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนชุมชนที่11 วัดสุวรรณประดิษฐ์อยู่ในระดับใด วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อพัฒนาการออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยการสอนแบบโฟนิกส์ (Phonics) สำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนชุมชนที่11 วัดสุวรรณประดิษฐ์ 2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนชุมชนที่11 วัดสุวรรณ ประดิษฐ์ต่อการใช้การสอนแบบโฟนิกส์ (Phonics) เพื่อพัฒนาการออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ขอบเขตของการวิจัย เพื่อให้งานวิจัยครั้งนี้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ผู้วิจัยได้กำหนดขอบเขตการวิจัยดังนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.1 ประชากร ได้แก่ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียน ชุมชนที่11 วัดสุวรรณประดิษฐ์จำนวน 18 คน 1.2 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียน ชุมชนที่11 วัดสุวรรณประดิษฐ์จำนวน 18 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง 2. ระยะเวลาในการทดลอง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ใช้เวลา 7 คาบ คาบเรียนละ 1 ชั่วโมง 3. ตัวแปรที่ศึกษา 3.1 ตัวแปรต้น คือ การออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยการสอนแบบโฟนิกส์ (Phonics)
6 3.2 ตัวแปรตาม คือ 3.2.1 ผลสัมฤทธิ์ของการออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยวิธีการสอนด้วยโฟนิกส์ (Phonics) 3.2.2 ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการใช้วิธีการสอนแบบโฟนิกส์ (Phonics) เพื่อพัฒนาการออกเสียง และความรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ 4. เนื้อหาที่ใช้ในการศึกษา ผู้วิจัยพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ด้านการออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นการใช้กลวิธีการออก เสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) จำนวน 7 คาบ โดยครอบคลุมเนื้อหาจากสาระการเรียนรู้แกนกลางตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ซึ่ง เกี่ยวข้องกับหลักการอ่านออกเสียง ดังนี้ 4.1 เสียงพยัญชนะทั้งหมด 4.2 เสียงพยัญชนะที่พิเศษ เช่น th/v/z/sh/ch 4.3 เสียงสระ a 4.4 เสียงสระ e และ i 4.5 เสียงสระ o 4.6 เสียงสระ u 4.7 การผสมเสียงและความหมายของคำศัพท์ นิยามศัพท์เฉพาะ 1. การออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษ คือ ลักษณะการผสมเสียงของภาษาใดภาษาหนึ่ง เข้าเป็นคําและจากคําเป็นประโยค โดยมีการ เน้นเสียงหนักเบา การลงทํานองเสียงสูง-ต่ำ การเน้นเสียงถ้อยคําการจัดช่วงทํานองจังหวะ ลีลา ท่าทาง การสื่อด้วยสายตา และการแสดงออกต่างๆ ซึ่งวิธีการออกเสียงเหล่านี้ ได้รับการยอมรับและสามารถ เข้าใจได้ง่าย
7 2. ความรู้คำศัพท์ เป็นคลังคำศัพท์ทั้งหมด เป็นกิ่งก้านของความรู้หรือสิ่งที่บุคคลรู้ศัพท์เฉพาะในภาษาหนึ่ง ๆ ประกอบด้วยคำและการพูด คำศัพท์ภาษาอังกฤษไม่ได้จำกัดอยู่ที่ความหมายของคำเพียงอย่างเดียว แต่ รวมถึงโครงสร้างของคำศัพท์ในภาษานั้นๆ การมีความรู้และความสามารถในการใช้คำศัพท์ของบุคคลๆ หนึ่ง ถือเป็นปัจจัยหลักที่จะบ่งบอกว่าบุคคลผู้นั้นสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด และ คำศัพท์เป็นรากฐานของการเรียนวิชาต่างๆ เด็กจะอ่าน พูด เขียน หรือแสดงความคิดเห็นได้ดีต้องเข้าใจ คำศัพท์จึงจะเรียนรู้เรื่องอื่นๆได้ 3. โฟนิกส์(Phonics) โฟนิกส์ (Phonics)คือ วิธีการเรียนอ่านเขียนและออกเสียงภาษาอังกฤษโดยใช้หลักการถอดรหัส เสียงและการผสมตัวอักษร a ถึง z ทั้ง 26 ตัว โดยผู้เรียนจะต้องเข้าใจระบบเสียงของตัวอักษรต่าง ๆ และ ออกเสียงให้ถูกต้องจึงจะสามารถออกเสียงมาเป็นคำได้สรียาภรณ์ นนทะปะ(2558, อ้างถึงใน สินธุมาส อินนันชัย, 2562) การสอนภาษาแบบโฟนิกส์เป็นวิธีการหนึ่งในการสอนอ่านและสะกดคำในการสอน ภาษาระดับเบื้องต้น โดยให้ผู้เรียนเห็นความสัมพันธ์ระหว่างเสียงกับตัวอักษรนั้นๆ ผู้เรียนจะเรียนรู้ที่จะ อ่านคำโดยการจำเสียงและรูปร่างของอักขระนั้นๆ เสียงและรูปร่างของพยัญชนะและสระที่ประกอบกัน ขึ้นเป็นคำจึงเป็นสิ่งสำคัญเช่นเดียวกัน 4. นักเรียน ผู้ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนชุมชนที่11 วัดสุวรรณประดิษฐ์ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 18 คน ประโยชน์ที่ได้รับ 1. นักเรียนมีความสามารถในการออกเสียงและความรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ ด้วยวิธีสอนด้วยโฟนิกส์ (Phonics) 2. เป็นแนวทางแก่ครูผู้สอนและผู้ที่เกี่ยวข้องที่ต้องการจะพัฒนา ส่งเสริมความสามารถในการออก เสียงและความรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษให้กับนักเรียนได้
8 3. เป็นแนวทางในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ สู่การบูรณาการเพื่อพัฒนาทักษะ ความสามารถด้านอื่นของการเรียนภาษาอังกฤษได้ 4. เป็นแนวทางให้หน่วยงานทางการศึกษาและผู้สนใจได้ศึกษาค้นคว้า หรือเพิ่มพูนความรู้ในเรื่องของวิธี สอนออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยโฟนิกส์ (Phonics)
9 บทที่ 2 เอกสารและวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษาวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง โดยมีประเด็นสำคัญที่ศึกษาและค้นคว้าดังต่อไปนี้ 1. การออกเสียง 1.1 ความหมายของการออกเสียง 1.2 ความสำคัญของการออกเสียง 1.3 องค์ประกอบสำคัญของการออกเสียงภาษาอังกฤษ 1.4 ปัญหาในการออกเสียงภาษาอังกฤษสำหรับคนไทย 1.5 ประโยชน์ของการออกเสียงภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้อง 2. โฟนิกส์ (Phonics) 2.1 ความหมายของโฟนิกส์ 2.2 ความสำคัญของโฟนิกส์ 2.3 วิธีการสอนโฟนิกส์ 2.4 ข้อแนะนำสำหรับการสอนโฟนิกส์ 3. ความพึงพอใจ 4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4.1 ในประเทศ 4.2 ต่างประเทศ
10 1. การออกเสียง 1.1 ความหมายของการออกเสียง การออกเสียงหรือ pronunciation ตามพจนานุกรม New Oxford Advanced Leaner’s Dictionary ได้ นิยามการออกเสียงดังนี้ ความหมายที่ 1 หมายถึง วิธีที่ภาษาใดภาษาหนึ่ง หรือ คำใดคำหนึ่ง หรือ เสียงใดเสียงหนึ่ง ถูกเปล่งออกมา ความหมายที่ 2 หมายถึง วิธีที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งเปล่งเสียงคำของภาษาใดภาษาหนึ่งออกมา นั่นก็ หมายความว่า การออกเสียงภาษาอังกฤษคือวิธีที่บุคคลเปล่งเสียงภาษาอังกฤษ คำภาษาอังกฤษ หรือเสียงที่เป็น ภาษาอังกฤษออกมา สุธามาศ คชรัตน์ และ พุทธชาด ลิ้มศิริเรืองไร (2557) การออกเสียงภาษาอังกฤษที่ถูกต้อง ตามหลักสัทศาสตร์นั้นแบ่งออกเป็น 2 เสียงหลักคือ เสียงสระและเสียงพยัญชนะ ซึ่งเสียงสระในภาษาอังกฤษมี ทั้งหมด 21 เสียงแบ่งออกเป็นเสียงเดี่ยว (Monophthongs) 12 เสียง และเสียงประสม (Diphthongs) 9 เสียง และ เสียง พยัญชนะในภาษาอังกฤษมีทั้งหมด 24 เสียง ภูมิ หุราพันธุ์ (2530, อ้างถึงใน สุธามาศ คชรัตน์ และ พุทธชาด ลิ้มศิ ริเรืองไร, 2557) ได้ให้ความหมายของการออกเสียง (Pronunciation) ที่ใช้กันอย่างกว้างๆ สำหรับ ภาษาอังกฤษว่า คือ การผสมเสียงเป็นคำและผสมคำเป็นประโยค และมีหลักใหญ่ๆที่ต้องปฏิบัติอยู่ 4 ประการ คือ 1) การทำเสียงต่างๆ แต่ละเสียงในภาษาอังกฤษให้ถูกต้อง 2) การผสมเสียงนั้นๆเข้าเป็นคำ 3) การลงเสียงหนักให้ ตรงพยางค์ในคำที่มีมากกว่าหนึ่งพยางค์ และ 4) การใช้จังหวะหนักเบาและเสียงสูงต่ำในวลี และประโยคได้อย่าง เหมะเจาะ นอกจากนี้ การออกเสียงภาษาอังกฤษมีเรื่องที่ต้องเรียนรู้อีกหลายอย่าง เช่น การกลายเสียงของคำ (Change in Pronunciation) การออกเสียงตามที่สะกด (Spelling Pronunciation) การออกเสียงที่เป็นมาตรฐาน (Standard Pronunciation) และหลัก สัทศาสตร์ (Phonetic Principles)ส่วน ฟราเซอร์ (Fraser, 2001 อ้างถึงใน สุธามาศ คชรัตน์ และ พุทธชาด ลิ้มศิริเรืองไร, 2557) ได้เสนอความหมายของการออกเสียงว่า การออกเสียงเป็น คุณลักษณะที่ช่วยทำให้การพูดคล่องและลื่นไหลได้อย่างง่ายซึ่งคุณลักษณะทั้งหมดในการออกเสียงนั้น ประกอบด้วย การเปล่งเสียงพูด การลงจังหวะ การลง ทำนองเสียงสูง-ต่ำและการเน้นเสียงถ้อยคำ รวมทั้งลีลา ท่าทาง และการสื่อด้วยสายตา นอกจากนี้ การออกเสียง เป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างยิ่งในการพูดสื่อสาร รวมถึง องค์ประกอบอื่นๆด้วย เช่น ไวยากรณ์ การเลือกใช้คำศัพท์ และการพิจารณาทางวัฒนธรรม และ เยทซ์ (Yates, 2002: 1 อ้างถึงใน สุธามาศ คชรัตน์ และ พุทธชาด ลิ้มศิริเรืองไร, 2557 ) ได้ให้ความหมายของการออกเสียงว่าเป็น เสียงที่เปล่งออกมาเพื่อใช้สื่อความหมาย โดยให้ความสนใจต่อเสียงในภาษาใดภาษาหนึ่ง รวมทั้งคุณลักษณะต่างๆ ของการพูดมากกว่าระดับของเสียงใดเสียงหนึ่ง เช่น การลงทำนองเสียงสูง-ต่ำ การเน้นเสียงถ้อยคำ การเน้นเสียง หนัก-เบา การจัดช่วงจังหวะทำนอง วิธีการเปล่ง น้ำเสียง รวมถึงลีลาท่าทางและการแสดงออกต่างๆที่สัมพันธ์ต่อ วิธีการพูดภาษา
11 1.2 ความสำคัญของการออกเสียง พลเรือเอกชุมศักดิ์ มัธยมจันทร์(2547, อ้างถึงใน ธัญลักษณ์ คำพรหม, 2560) กล่าวว่า ไม่ว่าจะภาษาอะไร ก็ตามการออกเสียงคำอย่างถูกต้องเป็นพื้นฐานที่สำคัญอย่างยิ่งในการสื่อสารระหว่างบุคคลทั้งโดยตรงและผ่าน เครื่องมือหรืออุปกรณ์การสื่อสาร เช่นเดียวกันกับการออกเสียงคำภาษาอังกฤษเป็นทักษะที่จำเป็นในการสื่อสาร เพราะหากผู้พูดไม่สามารถอ่านออกเสียงคำได้ถูกต้องจะก่อให้เกิดการเข้าใจที่ผิดพลาดไปจากวัตถุประสงค์ของผู้พูด ได้ นักวิชาการไทยพบว่าคนไทยใช้เสียงของภาษาแม่แทนเสียงภาษาอังกฤษเนื่องจากเป็นเสียงที่ไม่มีในภาษาไทย แต่มีจำนวนหนึ่งที่คล้ายกับเสียงภาษาไทย แต่การใช้เสียงภาษาไทยแทนเสียงภาษาอังกฤษมักทำให้เกิดความไม่ เข้าใจหรือบางครั้งความหมายของคำก็เปลี่ยนไปเลย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องออกเสียงภาษาอังกฤษให้ถูกต้อง พิณทิพย์ ทวยเจริญ (2544, อ้างถึงใน สุธามาศ คชรัตน์ และ พุทธชาด ลิ้มศิริเรืองไร, 2557) ได้กล่าวถึง ความสำคัญของการออกเสียงไว้ว่า การเรียนการสอนภาษาอังกฤษว่า ผู้เรียนจะรู้เพียงคำศัพท์และโครงสร้าง ประโยคเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องสามารถเปล่งเสียงที่เจ้าของภาษาฟังแล้วสามารถเข้าใจได้ นอกจากนี้ การ พูดภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงภาษาไทยทำให้การสื่อสารไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรเพราะว่าไม่สามารถออกเสียงที่ ถูกต้องที่ทำให้เจ้าของภาษาเข้าใจได้ นอกจากนี้ เนื่องจากคนไทยเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศ จึงพูด ได้ไม่คล่องแคล่วเท่าที่ควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในสถานศึกษาส่วนใหญ่ยังคงใช้ ภาษาไทยเป็นสื่อในการเรียนการสอน การพูดภาษาอังกฤษจะคล่องแคล่วหรือไม่ขึ้นอยู่กับความรู้ การฝึกฝนและ การมีโอกาสได้ใช้ภาษาอังกฤษโดยตรงกับเจ้าของภาษาและการฝึกฝนการออกเสียง นอกจากนี้ กนกวรรณ อินทรสูต (อ้างถึงใน ธัญลักษณ์ คำพรหม, 2560 ) ได้กล่าวถึงความสำคัญของการ ออกเสียงภาษาอังกฤษว่าเป็นสิ่งที่จะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะทางภาษาอังกฤษให้มากขึ้นจากการ เรียนรู้คำศัพท์ใหม่ๆ นอกจากนี้ยังพัฒนาทักษะการพูดให้คล่องแคล่ว ชัดเจน และมีความมั่นใจยิ่งขึ้น อีกทั้งส่งผล ให้ผู้อ่านเกิดความเขา้ใจในเรื่องของไวยากรณ์และโครงสร้างของประโยคได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นประโยชน์ใน การศึกษาเล่าเรียนในระดับสูงขึ้นต่อไป เคลลี่ (2003, อ้างถึงใน สุธามาศ คชรัตน์ และ พุทธชาด ลิ้มศิริเรืองไร, 2557) ได้กล่าวว่าการออกเสียงมี ความสำคัญต่อการวิเคราะห์ภาษาและการวางแผนบทเรียน การวิเคราะห์ภาษาครั้งใดที่ไม่ให้ความสำคัญหรือกัน เรื่องการออกเสียงออกไป ย่อมทำให้การวิเคราะห์นั้นๆ ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ในทำนองเดียวกันบทเรียนที่เน้น ไวยากรณ์หรือคำศัพท์ใดๆ เป็นพิเศษก็ควรจะสอนเรื่องการออกเสียงไปด้วยเพื่อให้ผู้เรียนเห็นภาพรวม ซึ่งจะทำให้ มีโอกาสสื่อสารได้อย่างสมบูรณ์มากขึ้น
12 สรุปได้ว่า การออกเสียงภาษาอังกฤษ เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นที่จะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และพัฒนา ทักษะทางภาษาอังกฤษ ในด้านการอ่านออกเสียงคำศัพท์ใหม่ๆ และช่วยให้ผู้อ่านเกิดความมั่นใจมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การออกเสียงที่ดีและถูกต้อง เป็นสิ่งที่สำคัญต่อการพูดและการฟังในการสื่อสาร รวมไปถึงสามารถช่วย ให้การสื่อความหมายเกิดประสิทธิภาพและเป็นผลดีต่อการดำเนินชีวิตในทุกสาขาอาชีพ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีการออก เสียงเป็นปัจจัยหลักที่สำคัญทั้งสิ้น 1.3 องค์ประกอบสำคัญของการออกเสียงภาษาอังกฤษ คูเปอร์(2008, อ้างถึงใน สุธามาศ คชรัตน์ และ พุทธชาด ลิ้มศิริเรืองไร, 2557) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบที่มี อิทธิพลต่อการออกเสียงว่า สามารถในการใช้ภาษาพูด ทัศนคติ จุดมุ่งหมาย และสภาพทางกายและอารมณ์ล้วน แล้วแต่มีอิทธิพลต่อการออกเสียง กล่าวคือ ความสามารถในการใช้ภาษาพูด (oral language) มีความสำคัญต่อ ความสามารถในการออกเสียง ผู้ที่พูดภาษาอังกฤษได้บ้างจะเข้าใจความคิดต่างๆในการออกเสียงภาษาอังกฤษ การ มีทัศนคติ (attitude) ที่ดีต่อการออกเสียงจะทำให้สามารถเข้าใจเรื่องราวในการออกเสียงได้ดี การเข้าใจ จุดมุ่งหมาย ในการออกเสียง (purpose) จะเป็นเครื่องกำหนดทิศทางในการออกเสียง ผู้ที่มีสภาพร่างกายที่พร้อม รวมถึงอารมณ์ตอบสนองที่ดีต่อการออกเสียง (physical and emotional conditions) ก็จะทำให้ออกเสียงได้ดี 1.4 ปัญหาในการออกเสียงภาษาอังกฤษสำหรับคนไทย ปัญหาและอุปสรรคในการศึกษาภาษาอังกฤษในประเทศไทยมีหลายประการ การออกเสียงที่ถูกต้องตาม เจ้าของภาษานับเป็นปัญหาสำคัญ เสียงภาษาอังกฤษบางเสียงก็ยังคงเป็นปัญหาในการออกเสียงสำหรับคนไทย ดังที่ ถิรวัฒน์ ตันทนิส (2555) พบว่า นักศึกษาชาวไทยมีปัญหาในการออกเสียงเรียงลำดับจากมากที่สุดไปน้อยดังนี้ ตำแหน่งพยัญชนะต้น คือ /θ/,/ð/, /v/, /r/, /z/, /ʃ /, /ʒ/, /ʧ/ ตำแหน่งพยัญชนะท้าย คือ /ʒ/, /ʤ/, /ʃ /, /θ/, /ð/, /z/, /ʧ/, /ɡ/, /l/ และเสียงสระ คือ /ə/,/ɒ/, /ɑ/, /ɒɪ/, /ʊə/ ซึ่งสาเหตุเกิดจากไม่มีเสียงเหล่านี้ใน ระบบเสียง ภาษาไทย นักศึกษาจึงใช้เสียงภาษาไทยแทนถือเป็นอิทธิพลจากการแทรกแซงของภาษาแม่และเป็น กระบวนการ ทำให้การออกเสียงง่ายขึ้น ในการออกเสียงผู้เรียนชาวไทยมักจะเลือกใช้เสียงที่ตนคุ้นเคยและ ใกล้เคียงกับเสียงที่มีอยู่ในภาษาแม่ของตนมาใช้แทนเสียงในภาษาอังกฤษ ตัวอย่างเช่น การใช้ “ร” ในภาษาไทย แทนเสียง “r” ใน ภาษาอังกฤษในคำว่า rain, rice, right แต่ว่าผู้เรียนเลือกใช้เสียง “l” แทน ก็จะทำให้ความหมาย ของคำเหล่านี้เปลี่ยนไปเช่น rainกลายเป็น lain, rice กลายเป็น liceและ right กลายเป็น light หรือ ใช้เสียง /tʰ/ แทนเสียง θ/ในคำว่า thin , ใช้เสียง /d/ แทนเสียง/ð/ในคำว่า then, ใช้เสียง /w/ แทนเสียง/v/ในคำว่า van , ใช้ เสียง /s/ แทนเสียง/z/ ในคำว่า zooซึ่งสอดคล้องกับ Ur (2000, อ้างถึงใน ถิรวัฒน์ ตันทนิส, 2556 ) ที่ได้อธิบายถึง สาเหตุของข้อผิดพลาดในการออกเสียงภาษาอังกฤษว่าแบ่งออกเป็น 3 ประเด็นคือ 1)เสียงบางเสียงในภาษาอังกฤษ
13 ไม่มีอยู่ในภาษาแม่ ทำให้ผู้เรียนไม่คุ้นเคยกับการออกเสียงเหล่านั้น จึงแทนที่เสียงเหล่านั้นโดยเสียงที่ใกล้เคียงกัน 2) เสียงบางเสียงเป็นเสียงที่มีอยู่ในภาษาแม่ แต่ไม่ได้ถือเป็นหน่วยเสียงที่แยกออกมาอย่างชัดเจน จึงทำให้ผู้เรียนไม่ สามารถเรียนรู้เสียงดังกล่าวว่าสามารถทำให้เกิดความแตกต่างทางความหมายได้3)บางครั้งผู้เรียนออกเสียง ถูกต้อง แต่ผู้เรียนไม่ได้เรียนรู้ ถึงการลงเสียงหนัก(stress) ในระดับคำ หรือบางครั้งผู้เรียนใช้ทำนองเสียง (intonation) ของ ภาษาแม่มาใช้ในภาษาอังกฤษจึงส่งผลให้เกิดความเข้าใจผิดในการสื่อความหมายได้ เหตุผลอีกประการหนึ่งของความผิดพลาดในการออกเสียงภาษาอังกฤษคือ พยัญชนะเกิดจากการที่ ภาษาอังกฤษไม่มีความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหนึ่งระหว่างตัวสะกดและการออกเสียงภาษาอังกฤษ ทำให้นักเรียนไม่ สามารถแยกความแตกต่างระหว่างเสียงโฆษะ/ð/ และเสียงอโฆษะ /θ/ ได้เพราะทั้งสองเสียงนี้ต่างใช้ตัวสะกด th เหมือนกัน เช่นในคำว่า then และ thin หรือในคำว่า vision นักศึกษาบางคนออกเสียง /s/แทนเสียง/ʒ/เนื่องจาก อิทธิพลของตัวอักษร s (ถิรวัฒน์ ตันทนิส, 2556) นอกจากนี้ปัญหาในการออกเสียงภาษาอังกฤษที่เกิดขึ้นกับนักเรียน อาจจะมาจากตัวนักเรียนเอง กล่าวคือ ข้อผิดพลาดในการเรียนรู้ในการออกเสียงอาจมีสาเหตุมาจากข้อบกพร่องทางกายภาพของอวัยวะที่ใช้ในการออก เสียงภายในปาก หรืออาจเกิดจากปัจจัยในตัวผู้เรียนดังต่อไปนี้ กลวิธีในการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน ความสามารถใน การได้ยิน ความถนัดในการเรียนภาษา ทัศนคติแรงจูงใจ ความพยายามส่วนบุคคล และการตั้งเป้าหมาย การอยู่ใน สิ่งแวดล้อมที่ได้ใช้ภาษาอังกฤษ (Zhang, 2009 อ้างถึงใน ถิรวัฒน์ ตันทนิส, 2556) เตือนจิตต์ จิตต์อารี (2548, อ้างถึงใน สุธามาศ คชรัตน์ และ พุทธชาด ลิ้มศิริเรืองไร, 2557) ได้เสนออีกว่า การออกเสียงภาษาอังกฤษที่ไม่ถูกต้องสามารถก่อให้เกิดการเข้าใจผิด เกิดอคติ หรือเกิดผลเสียร้ายแรงได้ และยัง กล่าวอีกว่าในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ การรู้แต่คำศัพท์และโครงสร้างประโยคเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ หากผู้เรียนไม่สามารถเปล่งเสียงที่เจ้าของภาษาฟังแล้วสามารถเข้าใจ ก็ยังถือว่าไม่สามารถใช้ภาษาในการสื่อสารได้ นอกจากนี้ การพูดภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงภาษาไทยทำให้การสื่อสารไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรเพราะว่าไม่ สามารถออกเสียงที่ถูกต้องที่ทำให้เจ้าของภาษาเข้าใจได้ และยังได้เสนอความเห็นว่า เนื่องจากคนไทยเรียน ภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศ ความคล่องแคล่วในการพูดจึงมีน้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียนการสอน ภาษาอังกฤษในสถานศึกษาส่วนใหญ่ตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาถึงระดับอุดมศึกษายังคงใช้ภาษาไทยเป็นสื่อในการ เรียนการสอนการพูดภาษาอังกฤษเป็นไปอย่างอัตโนมัติหรือไม่ขึ้นอยู่กับความรู้ การฝึกฝนและการมีโอกาสได้ใช้ ภาษาอังกฤษโดยตรง (Exposure) กับเจ้าของภาษา นอกจากนี้การนำไปใช้ด้วยการพูดนั้น จะเกิดประสิทธิผล เพียงใด ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนการออกเสียงซึ่งมีองค์ประกอบหลายอย่าง
14 การออกเสียงภาษาอังกฤษเป็นปัญหาที่สำคัญอย่างหนึ่งของนักเรียนไทย ทั้งนี้เนื่องจากความแตกต่างของ ระบบเสียงระหว่างภาษาไทย ภาษาแม่กับระบบเสียงภาษาอังกฤษ ซึ่งในการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศนั้น การรู้แต่คำศัพท์และโครงสร้างเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ นักเรียนบางคนไม่สามารถเรียนรู้การออกเสียงได้ เนื่องจากขาดความเข้าใจในเรื่องการเชื่อมโยงตัวอักษรและเสียงที่ไม่คุ้นเคยหรืออ่านออกเสียงผิดและยังไม่เข้าใจ ความหมายของคำศัพท์ที่ออกเสียงนั้นอีกด้วย ดังนั้นนอกจากการสอนให้ผู้เรียนสามารถออกเสียงได้ถูกต้องแล้ว การเข้าใจความหมายของคำศัพท์ที่ออกเสียงก็เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นด้วยเช่นกัน (บำรุง โตรัตน์, 2547 อ้างถึงใน สุธามาศ คชรัตน์ และ พุทธชาด ลิ้มศิริเรืองไร, 2557) 1.5 ประโยชน์ของการออกเสียงภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้อง พิชญา นุเสน (2554, อ้างถึงใน สุธามาศ คชรัตน์ และ พุทธชาด ลิ้มศิริเรืองไร, 2557) ได้กล่าวถึงประโยชน์ ของการออกเสียงภาษาอังกฤษได้ถูกต้องว่า มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการสื่อสารโดยใช้ภาษาอังกฤษ ทั้งยังช่วย ส่งเสริมการอ่านออกเสียงการอ่านในใจ การอ่านตีความ และการแปลทับศัพท์ โดยมีใจความและรายละเอียดที่ เกี่ยวกับ ประโยชน์ในการออกเสียงภาษาอังกฤษ กล่าวคือ 1. เป็นการส่งเสริมให้การติดต่อสื่อสารระหว่างผู้ใช้ภาษาอังกฤษได้ ถูกต้องและเป็นไป ตามวัตถุประสงค์ให้ มากที่สุด เพราะถ้าหากออกเสียงไม่ถูกต้อง ทำให้สื่อความหมายผิดได้ 2. เป็นการส่งเสริมให้มีการอ่านทั้งการออกเสียง การอ่านในใจ และการตีความหมายของ ภาษาอังกฤษซึ่ง เป็นภาษาต้นฉบับได้ดียิ่งขึ้น 3. เป็นการช่วยให้การแปลโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการแปลทับศัพท์ (transliteration) เช่น ชื่อสถานที่ ชื่อตัว ละคร และสิ่งอ้างอิงต่างๆทางประวัติศาสตร์ ทำได้ใกล้เคียงกับการออกเสียงทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษมาก ยิ่งขึ้น 4. เพื่อช่วยให้การปรับบทแปลมีความถูกต้อง ชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะนอกจากผู้แปลได้ใช้สายตาอ่านบทแปล แล้ว ยังได้ใช้หูฟังเมื่ออ่านออกเสียงบทแปลอีกด้วย นอกจากนี้ บำรุง โตรัตน์ (2544, อ้างถึงใน สุธามาศ คชรัตน์ และ พุทธชาด ลิ้มศิริเรืองไร, 2557)กล่าวว่า ผู้ที่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดีนั้นคือผู้ที่สามารถออกเสียงในภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้องและสามารถออกเสียง ได้ใกล้เคียงกับเจ้าของภาษา มีความถูกต้องของการออกเสียงสูง-ต่ำชัดเจน เจ้าของภาษาจึงจะสามารถเข้าใจผู้พูด ได้ ซึ่งสอดคล้องกับ สุธามาศ คชรัตน์ และ พุทธชาด ลิ้มศิริเรืองไร, (2557) ที่ได้กล่าวว่า การออกเสียงที่ถูกต้องมี
15 ประโยชน์หลายประการ นอกจากเจ้าของภาษาจะสามารถเข้าใจผู้พูดได้แล้ว ช่วยให้สื่อสารกันได้เข้าใจถูกต้อง ยัง ช่วยส่งเสริมการอ่านออกเสียง การอ่านในใจ การอ่านตีความ และการแปลทับศัพท์ ดังนั้น การที่ออกเสียงภาษาอังกฤษได้ตรงตามหลัก ออกเสียงชัดเจน หรือแม้แต่การขึ้นเสียงสูง-ต่ำตาม ความถูกต้อง ย่อมส่งผลให้การสื่อสารนั้นมีความชัดเจนตามจุดประสงค์ของการสื่อสาร เพราะหากออกสียง ภาษาอังกฤษไม่ถูกแล้ว อาจจะทำให้การสื่อสารไม่บรรลุจุดประสงค์ และอาจทำให้คนฟังเข้าใจในสิ่งที่สื่อถึงผิด 2. โฟนิกส์ (Phonics) 2.1 ความหมายของโฟนิกส์ โฟนิกส์ (Phonics) คือ วิธีการเรียนอ่านเขียนและออกเสียงภาษาอังกฤษโดยใช้หลักการถอดรหัสเสียงและ การผสมตัวอักษร a ถึง z ทั้ง 26 ตัว โดยผู้เรียนจะต้องเข้าใจระบบเสียงของตัวอักษรต่างๆ และออกเสียงให้ถูกต้อง จึงจะสามารถออกเสียงมาเป็นคำได้(สรียาภรณ์ นนทะปะ, 2558 อ้างถึงใน สินธุมาส อินนันชัย, 2562) การสอน ภาษาแบบโฟนิกส์เป็นวิธีการหนึ่งในการสอนอ่านและสะกดคำในการสอนภาษาระดับเบื้องต้น โดยให้ผู้เรียนเห็น ความสัมพันธ์ระหว่างเสียงกับสัญลักษณ์ (สุธีรา บุนนาค, 2559 อ้างถึงใน สินธุมาส อินนันชัย, 2562) ซึ่งคล้องจอง กับ Florida Department of Education 38 ได้กล่าวว่า โฟนิกส์เป็นหลักการทางภาษาอังกฤษอย่างหนึ่งที่แสดง ถึง ความสัมพันธ์ระหว่างตัวอักษรและเสียงของตัวอักษรนั้นๆ ผู้เรียนจะเรียนรู้ที่จะอ่านคำโดยการจำเสียงและ รูปร่าง ของอักขระนั้นๆ เสียงและรูปร่างของพยัญชนะและสระที่ประกอบกันขึ้นเป็นคำจึงเป็นสิ่งสำคัญ เช่นเดียวกัน ได้กล่าวไว้ว่า โฟนิกส์เป็นระบบเสียงในภาษาที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างรูปตัว พยัญชนะ เสียง สระ เป็นระบบที่ นำมาใช้ในการสอนอ่านออกเสียง ซึ่งผู้เรียนจะสามารถออกเสียงได้โดยต้องสังเกตจากรูปและเสียง ตัวอักษร โฟนิกส์เป็นระบบเสียงของตัวอักขระในภาษาซึ่งแต่ละตัวมีเสียงเฉพาะของตัวเอง ในการอ่านออกเสียงนั้น ผู้เรียนต้องศึกษา ในเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างเสียงและรูปร่างของอักขระนั้นๆ ในการอ่านออกเสียงนั้นมี กฎเกณฑ์ทางภาษาที่ชัดเจนว่าตัวอักษรแต่ละตัวจะมีเสียงใดและเมื่อสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไปจะมีเสียงใด นอกจากนี้ Rose (2007, อ้างถึงใน ก็ก่อ พิสุทธิ์และ กัลยรัตน์ ชาวันดี, 2561) กล่าวไว้ว่า โฟนิกส์เป็นการ ประยุกต์ใช้สัทศาสตร์ หรือสาขาวิชาที่ว่าด้วยการศึกษาธรรมชาติของการ ออกเสียงและการเปล่งเสียงพูด อย่าง เฉพาะเจาะจง และยังเป็นวิธีการสอนให้เกิดการอ่านและการเขียน จากการประยุกต์และปรับใช้สัทศาสตร์อย่าง ง่าย โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีความเข้าใจในสัญลักษณ์ ทางภาษาศาสตร์ที่ซับซ้อน ตลอดจน เป็นวิธีการสอนเพื่อให้เกิด การอ่านและการสะกดซึ่งเน้นความ เข้าใจในความสัมพันธ์ระหว่างสัญลักษณ์และเสียงตั้งแต่เริ่มต้นเป็นแนวทางการ สอนที่เน้นถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวอักษรและเสียงของตัวอักษรอย่างมีระบบแบบแผนตลอดจนเรียนรู้ที่จะ
16 เชื่อมโยง เสียงระหว่างตัวอักษรหลายตัวเข้าด้วยกันเพื่อออกเสียงเป็นคำศัพท์ ทั้งนี้ยังเป็นการสอนให้เข้าใจถึง ความสัมพันธ์ระหว่างตัวอักษรและเสียงของตัวอักษรอย่างชัดเจน มีลำดับขั้นตอนและเป็นระบบในอีกแง่หนึ่งคือ การสอนความสัมพันธ์ของเสียงและสัญลักษณ์ระหว่างภาษาพูดและภาษาเขียน สรุปได้ว่า โฟนิกส์ คือ ระบบเสียงในภาษาที่มีความสัมพันธ์กันระหว่างตัวอักษรและเสียงของตัวอักษร นั้นๆ โดยจะมีหลักเกณฑ์ทางภาษาที่ชัดเจนในการออกเสียงเหล่านั้น โดยผู้เรียนต้องจดจำอักขระที่เป็นสัญลักษณ์ ของ เสียงและตัวอักษรแต่ละตัว และสามารถนำไปประสมกันเพื่ออ่านเป็นคำ โฟนิกส์จึงหมายถึง เสียงในภาษาซึ่งเน้นที่ เสียงของพยัญชนะและสระที่ผู้เรียนจะต้องเปล่งออกมาให้ถูกต้อง 2.2 ความสำคัญของโฟนิกส์ ความต้องการการเรียนการสอนแบบโฟนิกส์วางอยู่บนพื้นฐานที่ค่อนข้างได้รับการยอมรับว่าความ ตระหนักในหน่วยของเสียง (Phonemic Awareness) นั้นเป็นทักษะก่อนการอ่านที่จำเป็นต่อการรู้จักตัวอักษรใน ภาษา เขียน ทั้งนี้เนื่องจากระบบการเขียนในภาษาอังกฤษนั้นระบบการออกเสียงและหน่วยของเสียงที่สอดคล้อง กันไม่ ค่อยจะตรงกัน นักซึ่งบางครั้งอาจทำให้เกิดความสับสนสำหรับผู้เรียนหลายๆ คนทั้งที่เป็นเจ้าของภาษาเอง หรือผู้ซึ่งเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศ โดยพื้นฐานแล้วในภาษาอังกฤษประกอบด้วยตัวอักษรโรมัน 26 ตัว ซึ่ง ใช้แทนเสียงต่างๆ มากกว่า 40 เสียง ในการสร้างสรรค์หลายร้อยรูปแบบการสะกดคำ และบางครั้งมีคำที่ใช้ โดยทั่วๆไป ซึ่งทำให้การเรียนการสอนแบบโฟนิกส์มีประโยชน์สำหรับผู้ที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่นั้นการแยก คำมาเป็นพยางค์มักเป็นไปโดยธรรมชาติแต่ทักษะของการวิเคราะห์ภาษาใน รูปหน่วยของเสียง (Phonemes) นั้น ต้องได้รับการสอน วันเพ็ญ เดียวสมคิด (2551, อ้างถึงใน สินธุมาส อินนันชัย, 2562) ได้อธิบายว่า ความสำคัญของการเรียน การสอนโดยวิธีโฟนิกส์ว่า จุดประสงค์ที่แท้จริงของการสอนแบบโฟนิกส์ คือ ต้องการให้เด็กเข้าใจหลักการว่าเสียง และตัวอักษรนั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างเป็นระบบ เมื่อความสัมพันธ์พื้นฐานของเสียงและตัวอักษรได้รับการสอน แล้ว วิธีการที่ดีที่สุดต่อเด็กต่อมาคือ การขยายความรู้เหล่านี้โดยการมีโอกาสได้ฝึกฝนโดยการอ่าน สุไปรมา ลีลามณี (2553, อ้างถึงใน สินธุมาส อินนันชัย, 2562 ) กล่าวไว้ว่า วิธีโฟนิกส์ได้รับการยอมรับว่า เป็นวิธีการสอน ที่เหมาะสำหรับนักเรียนที่ปัญหาด้านการอ่าน และนักเรียนกลุ่มเสี่ยงต่อปัญหาการอ่าน เพราะช่วย ให้นักเรียนเกิดการตระหนักรับรู้ระบบเสียงในภาษา ซึ่งเป็นทักษะพื้นฐานสำคัญของกระบวนการอ่าน และช่วย กระตุ้นให้นักเรียนสนใจเรื่องความสัมพันธ์รูปแบบคำพูดกับรูปแบบคำเขียน โฟนิกส์เป็นวิธีสอนอ่านวิธีหนึ่งที่มี
17 บทบาทสำคัญที่ช่วยให้เด็กมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องตัวอักษร มีเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างเสียงกับตัวอักษร ซึ่งเป็น สิ่งจำเป็นที่นำไปสู่การอ่านออกเขียนได้ โฟนิกส์เปรียบเหมือนเครื่องมือสำหรับอ่านคำศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยได้อีก นอกจากนี้ โฟนิกส์ยังได้รับการยอมรับว่าเป็นวิธีการสอนอ่านที่เหมาะสำหรับเด็กที่มีปัญหาด้านการอ่าน และเด็กกลุ่มเสี่ยงต่อปัญหาการอ่าน เพราะเป็นวิธีที่ช่วยให้เด็กเข้าใจความสัมพันธ์ รูปแบบคำพูดกับรูปแบบคำ เขียน และเป็นวิธีที่กระตุ้นให้เด็กเกิดการตระหนักรับรู้ระบบเสียงในภาษา ซึ่งเป็นทักษะพื้นฐานสำคัญของ กระบวนการอ่าน สรุปได้ว่า โฟนิกส์เป็นวิธีสอนอ่านวิธีหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญที่ช่วยให้นักเรียนมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องตัวอักษร มีความเข้าใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเสียงกับตัวอักษร ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่จะนำไปสู่การอ่านออกเขียนได้ วิธีโฟนิกส์ยังได้รับการยอมรับว่าเป็นวิธีการสอนอ่าน ที่เหมาะสำหรับนักเรียนที่บกพร่องทางการเรียนรู้ด้านการอ่าน และนักเรียนกลุ่มเสี่ยงต่อปัญหาการอ่าน เพราะเป็นวิธีที่ช่วยให้นักเรียนเข้าใจความสัมพันธ์รูปแบบคำพูดกับ รูปแบบคำเขียน และเป็นวิธีที่กระตุ้นให้เกิดการตระหนักรับรู้ระบบเสียงในภาษาซึ่งเป็นทักษะพื้นฐานสำคัญของ กระบวนการอ่าน 2.3 วิธีการสอนโฟนิกส์ Fitzgerald (1967) กล่าวว่าทักษะการฟังควรได้รับการสอนและฝึกฝนในระยะแรกเพื่อช่วยในการจำการ ยกตัวอย่างคำศัพท์ที่มีความหมายเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ที่สุด การสอนเสียงที่ประกอบอยู่ในรูปคำต้องเริ่มต้นมาจาก เสียงพยัญชนะต้น เสียงสระ และเสียงพยัญชนะท้าย การแทนที่ตัวอักษรของเสียงพยัญชนะต้นในคำต้องเริ่มต้นมา จากการจัดการเรียนการสอนควรเริ่มจากการสอนให้เข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวอักษรและเสียงของตัวอักษร ซึ่งเป็นพื้นฐานก่อน เมื่อผู้เรียนตระหนักในเสียงและสามารถระบุเสียงของตัวอักษรได้ตรงกับตัวอักษรที่เห็นได้อย่าง แม่นยำแล้วจึงจะทำการสอนทักษะการผสมเสียงเพื่อให้สามารถอ่านออกเสียงคำศัพท์ กลุ่มคำ วลี และประโยคได้ ในขณะเดียวกันควรจะต้องมีการนำเสนอความหมายของคำศัพท์ที่เกิดจากการผสมเสียงควบคู่ตามไปด้วยเพื่อ นำไปสู่ความเข้าใจในบริบทของการใช้งานจริง การจัดการเรียนการสอนโฟนิกส์เพื่อให้เกิดการอ่าน การสะกด และการเขียนนั้น ในส่วนของการจัดการ เรียนการสอนจะต้องประกอบไปด้วยขั้นตอนพื้นฐานสำคัญหลัก คือ ขั้นการนำเสนอความสัมพันธ์ระหว่างตัวอักษร และเสียงของตัวอักษร (Letter-Sound Correspondence) ขั้นการนำเสนอเทคนิคการผสมเสียงเพื่อให้เกิดการ อ่าน (Blending)และขั้นการเรียนรู้การสร้างคำ (Word 31 Building) ทั้งนี้ในทุกขั้นตอนมีความเชื่อมโยงซึ่งกันและ กัน ในขั้นของการนำเสนอซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างตัวอักษรและเสียงของตัวอักษรนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง
18 คำนึงถึงหลักการสำคัญ 3 ประการ ประการแรกคือลำดับในการนำเสนอตัวอักษรและจำนวนเสียงที่จะ นำเสนอใน แต่ละครั้งการสอน ในขั้นการนำเสนอเทคนิคการผสมเสียงเพื่อให้เกิดการอ่าน (Blending) หัวใจสำคัญคือครูผู้สอน มีหน้าที่ แนะนำให้ผู้เรียนรู้จักการแยกองค์ประกอบของเสียงในคำออกเป็นส่วนๆ จากนั้นทำการผสมเสียงที่แยก ออกมาได้นั้นเข้าเป็นการออกเสียงคำ โดยในช่วงแรกของการนำเสนอเทคนิคเสียงตัวอักษรแต่ละเสียงในคำจะถูก ผสมเข้าด้วยกันด้วยการใช้การลากเสียงแต่ละเสียงในคำต่อเนื่องกันจนเกิดเป็นเสียงของคำนั้นๆ ดังเช่น เมื่อ ครูผู้สอน ต้องการสอนการผสมเสียงเพื่ออ่านคำศัพท์คำว่า “bat” เริ่มต้นครูผู้สอนจะชี้นำให้ผู้เรียนเห็นว่าใน คำศัพท์คำว่า “bat” นี้ประกอบด้วยเสียงของพยัญชนะสามเสียง นั่นคือเสียงของตัวอักษร b เสียงของตัวอักษร a และเสียงของ ตัวอักษร t จากนั้นกระตุ้นให้ผู้เรียนเริ่มออกเสียงตัวอักษรเสียงแรกคือ เสียงตัวอักษร b ลากเสียงของ เสียงแรกมา เชื่อมต่อกับเสียงที่สอง คือ เสียงของตัวอักษร aและลากเสียงมาจนจบกับเสียงที่สามนั่นก็คือเสียงของ ตัวอักษร t จนเกิดเป็นการออกเสียงคำว่า “bat” สำหรับขั้นการเรียนรู้การสร้างคำ (Word Building) เป็นการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะการถอดรหัสเสียงใน คำ การแทนที่เสียงในคำและการจดจำรูปคำศัพท์ในขั้นนี้ผู้เรียนจำเป็นต้องให้ความสนใจกับตัวอักษรแต่ละตัวที่ ประกอบขึ้นมาเป็นคำศัพท์หนึ่งคำ สามารถที่จะระบุลำดับก่อนหลังของตัวอักษรในคำศัพท์แต่ละคำได้ ทั้งนี้เพื่อให้ ผู้เรียนพัฒนาความรู้ความเข้าใจในวิธีเขียนอ่านและรูปแบบการสะกดคำในภาษาอังกฤษได้ ความสามารถในการ ทำนายการสะกดคำเป็นองค์ประกอบที่สำคัญยิ่งในการได้มาซึ่งภาษา ยกตัวอย่างเช่น เมื่อผู้เรียนเห็นรูป คำศัพท์คำ ว่า “brain”ผู้เรียนจะต้องสามารถบอกได้ว่า ถ้าไม่มีตัวอักษร “b”อยู่ในคำศัพท์นี้ คำศัพท์นี้จะเป็นคำศัพท์คำใหม่ คือคำว่า“rain”และเมื่อแทนที่ตัวอักษร “b”ด้วยตัวอักษร “t”จะเกิดเป็นคำใหม่คือคำว่า“train” นอกจากนี้แล้ว ครูผู้สอนจะต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ฐานคำศัพท์ที่มีความเกี่ยวข้องกัน เช่น กลุ่มของคำศัพท์คำว่า “man” “can” “cat” “hat” “hit” “hid”เป็นต้น Harrisand Hodges(1995, อ้างถึงใน ก็ก่อ พิสุทธิ์ และ กัลยรัตน์ ชาวันดี, 2561) นิยามว่า วิธีการสอน แบบโฟนิกส์สามารถแบ่งออกเป็น 11 ประเภท ได้แก่ 1. การออกเสียงตามอักษร (letters phonics) เป็นการสอนโดยเน้นออกเสียงของอักษรแต่ละตัวเป็นหลัก 2. การสอนออกเสียงเป็นคำ (whole-word phonics) เป็นการสอนอ่านเป็นคำโดยไม่แยกเสียงของ ตัวอักษรในคำ 3. การออกเสียงควบกล้ า (cluster phonics) เป็นการสอนเสียงที่เน้นเสียงควบกล้ำของตัวอักษร
19 4. การวิเคราะห์การออกเสียง (analytic phonics) เป็นการสอนวิเคราะห์เสียงของตัวอักษรแต่ละตัว ซึ่ง เป็นการ อ่านออกเสียงส่วนประกอบของคำ 5. การสังเคราะห์การออกเสียง (synthetic phonics) เป็นการสอนอ่านที่ฝึกให้นักเรียนเรียนรู้เสียงของ ตัวอักษร การผสมตัวอักษรหรือเรียกว่าการสะกดคำ 6. การออกเสียงแบบอุปนัย (inductive phonics) เป็นการสอนโดยเริ่มจากการยกตัวอย่างจากส่วนย่อยๆ เป็นสิ่งแรก หลังจากนั้นจึงให้ผู้เรียนสรุปออกมาเป็นกฎ ซึ่งเป็นการเรียนจากส่วนย่อยไปหาส่วนรวม โดย เริ่มจากการสอนอ่านสะกดคำก่อนแล้วจึงมาสอนอ่านคำในภายหลัง 7. การออกเสียงแบบนิรนัย (deductive phonics) เป็นการสอนกฎหรือข้อมูลเกี่ยวกับภาษาให้แก่ผู้เรียน เป็นสิ่งแรก หลังจากนั้นจึงยกตัวอย่างเสียงจากคำนั้นๆ เป็นการเรียนจากส่วนรวมไปหาส่วนย่อยโดย เริ่ม สอนจากคำก่อนแล้วจึงมาสอนสะกดคำในภายหลัง 8. การออกเสียงโดยนัย (implicit phonics) เป็นการสอนคำเพิ่มเติมจากคำที่กล่าวออกมาแล้ว โดยใช้การ ตีความหมายจากถ้อยคำ 9. การออกเสียงที่ชัดเจน (explicit phonics) เป็นการสอนกระบวนการออกเสียงที่ฝึกให้ผู้เรียนออกเสียง ได้ชัดเจนและถูกต้อง 10. การออกเสียงที่แท้จริง (intrinsic phonics) เป็นวิธีการฝึกออกเสียงจากหน่วยเสียงอย่างเป็นระบบ 11. การออกเสียงเพิ่มเติม (extrinsic phonics) โดยใช้การสอนออกเสียงเป็นเครื่องมือช่วยในการเรียนรู้ เพิ่มเติมมากกว่าการเป็นส่วนหนึ่งในการสอนอ่าน มีการแยกแบบฝึกหัดมาใช้ในการสอนซึ่งเป็น ช่วงเวลา เพิ่มเติม สรุปได้ว่า วิธีการสอนแบบโฟนิกส์คือการสอนให้ผู้เรียนเริ่มเรียนรู้จากเสียงพยัญชนะต้น เสียงสระและ เสียงพยัญชนะท้าย การแทนที่ตัวอักษรของเสียงพยัญชนะต้นในคำ ซึ่งจะนำไปสู่การผสมเสียงในคำและสามารถ พัฒนาไปถึงการเรียนรู้สร้างคำ โดยการสอนแบบโฟนิกส์สามารถช่วยพัฒนาการออกเสียงของผู้เรียนได้ทำให้ ผู้เรียนออกเสียงได้ถูกต้องเพราะมีความเข้าใจในระบบความสัมพันธ์ระหว่างเสียงตัวอักษร
20 2.4 ข้อแนะนำสำหรับการสอนโฟนิกส์ สุธีรา บุนนาค (2559, อ้างถึงใน สินธุมาส อินนันชัย, 2562) ได้แนะนำในการสอนภาษาแบบโฟนิกส์ไว้ ดังนี้ 1. การเรียนการสอนแบบโฟนิกส์ควรเป็นไปตามความต้องการของเด็กหรือกลุ่มเด็กที่ต้องการ 2. การเห็นคำศัพท์ พัฒนาจากคำที่มีความหมาย คำที่มีประโยชน์ที่สุดและการเริ่มการอ่านเป็นส่วนสำคัญ พื้นฐานสำหรับการสอนภาษาแบบโฟนิกส์ 3. การฝึกการฟัง ควรได้รับการสอนและฝึกฝนในระยะแรก เพื่อช่วยการจำ เช่น manและ meและการ แยกความแตกต่างของเสียง เช่น mine, fine, line เป็นต้น 4. ทิศทางของกระบวนการสอนในการวิเคราะห์คำ ต้องมาจากซ้ายไปสู่ขวาและควาสนใจต้องเริ่มจากเสียง ต้น กลาง และเสียงท้าย 5. เด็กๆอาจใช้บริบท ตำแหน่ง และช่วยอื่นๆขณะเริ่มการฝึกการออกเสียง 6. การสอนเด็กในการจดจำหลักการพื้นฐานเพื่อความคุ้นเคยในคำที่จำเป็นการแปลเสียง และการสะกด คำ 7. การแทนที่ตัวอักษรของเสียงต้นในคำ เป็นกิจกรรมที่ให้ผลดี เช่น จากคำว่า canเด็กๆ อาจค้นพบคำอื่นๆ เช่น man, pan, fan 8. การจับคู่เสียงและสัญลักษณ์อาจได้รับการฝึก ครูอาจออกเสียงคำ เช่น cap และเด็กๆอาจบอกคำที่เป็น ตัวเขียนในระหว่างกลุ่มคำว่า map, nap, tap, cap 9. เด็กๆควรได้แยกแยะ phonogram เช่น -and ในคำว่า hand และ land หรืออาจประสมคำควบกล้ำ และรูปของเสียงเพื่อสร้างคำ -br ในคำว่า brown หรือ –ing ในคำว่า sing และ bring 10. เด็กจะมีความกระตือรือร้นเมื่อเขาพบว่า เขาสามารถปลดรหัสคำใหม่ๆ ได้ด้วยความรู้ด้านโฟนิกส์ ผดุง อารยะวิญญู และสุวิทย์ พวงสุวรรณ (2554, อ้างถึงใน สินธุมาส อินนันชัย, 2562) ได้ให้คำแนะนำใน การนำเสนอวิธีการสอนแบบโฟนิกส์ไว้ว่า
21 1. เสียงที่มีมากในการพูดคือ เสียงพยัญชนะ ดังนั้นจึงเป็นส่วนที่น าเสนอก่อนเป็นอันดับแรกตามหลักการ สอนแบบโฟนิกส์ 1.1 เริ่มต้นด้วยพยัญชนะที่มีลักษณะการเขียนและเสียงที่คล้ายกัน (s, m, p) 1.2 ไม่ควรสอนพยัญชนะที่คล้ายกันพร้อมกันในครั้งเดียวเพราะจะทำให้เกิดความสับสน (b, d, p, m, n) 1.3 ควรสอนพยัญชนะที่มีเสียงไม่ชัดเจนในตอนท้าย (c, g, h, w) 1.4 เริ่มต้นด้วยการสอนพยัญชนะต้น สอนเสียงเดี่ยวก่อนเสียงพยัญชนะคู่ (sh, ch, th, ph) สอน พยัญชนะ คู่พยัญชนะประสม (bl, fr, str, sl) 2. การสอนแบบโฟนิกส์ควรเริ่มจากกิจกรรมที่ทำให้นักเรียนได้ฝึกทักษะในการฟัง นักเรียนได้ฝึกการฟัง และ การแยกแยะความแตกต่างของเสียงต่างๆ 3. การฝึกลักษณะนี้ควรทำโดยอาศัยบริบท นักเรียนจะไม่ได้ประโยชน์เลยถ้าได้รับการฝึกจากเสียงที่ไม่มี ความสัมพันธ์กัน ดังนั้นจึงควรฝึกด้วยการใช้บริบทหรือฝึกเป็นคำ 3. ความพึงพอใจ 3.1 ความหมายของความพึงพอใจ มนต์ชัย แก้วหลวง (2543, อ้างถึงใน มาลินี พุ่มมาลัย, 2558) กล่าวว่า ความพึงพอใจเป็นความรู้สึกของ บุคคลที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งความพึงพอใจจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อบุคคลนั้นได้รับสิ่งที่ตนเองต้องการหรือเป็นไปตาม เป้าหมายที่ต้องการ ซึ่งระดับความพึงพอใจที่แตกต่างกันย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยหรือองค์ประกอบที่ต่างกัน นริษา นราศรี (2544, อ้างถึงใน มาลินี พุ่มมาลัย, 2558) ได้กล่าวถึงความหมายของความพึงพอใจ สรุปได้ ว่า ความพึงพอใจเป็นต้องการด้านร่างกาย มีความรุนแรงในตัวบุคคลในการร่วมกิจกรรมเพื่อตอบสนองความ ต้องการ ทางร่างกายเป็นผลทำให้เกิดความพึงพอใจแล้วจะรู้สึกต้องการความมั่นคง ปลอดภัยเมื่อบุคคลได้รับการ ตอบสนอง ความต้องการของร่างกายและความต้องการความมั่นคง ปลอดภัยเมื่อบุคคลได้รับการตอบสนองความ ต้องการของ ร่างกายและความต้องการความมั่นคงแล้วบุคคลจะเกิดความผูกพันมากขึ้น เพื่อให้เป็นที่ยอมรับว่าตน เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม ชริณี เดชจินดา (2536, อ้างถึงใน ลลิตา ทองรัตน์, 2553) ได้กล่าวว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึก หรือ ทัศนคติที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือปัจจัยต่างๆที่เกี่ยวข้อง ความพอใจจะเกิดขึ้นเมื่อความต้องการของบุคคลได้รับ การ ตอบสนอง หรือลดลงหากความต้องการนั้นไม่ได้รับการตอบสนอง
22 ปรียาพร วงศ์อนุตโรจน์ (2539, อ้างถึงใน ลลิตา ทองรัตน์, 2553) ได้ให้ความหมายของความพึงพอใจไว้ว่า ความพึงใจคือความรู้สึกของบุคคลที่มีต่อการทำงานในทางบวก เป็นความรู้สึกของบุคคล ที่เกิดจากการปฏิบัติงาน และได้รับผลตอบแทน คือผลที่เป็นความพึงพอใจที่ทำให้บุคคลเกิดความรู้สึกกระตือรือร้นมุ่งมั่นที่จะทำงาน สายจิตร เหมทานนท์ (2546, อ้างถึงใน มาลินี พุ่มมาลัย, 2558) ได้สรุปว่า ความพึงพอใจเป็นความรู้สึกที่ มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นไปได้ทั้งทางบวกและทางลบ แต่ถ้าเมื่อใดที่สิ่งนั้นสามารถตอบสนองความต้องการ หรือทำ ให้ บรรลุจุดมุ่งหมายได้ ก็จะเกิดความรู้สึกทางบวกแต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าสิ่งใดสร้างความรู้สึกผิดหวังไม่บรรลุ จุดมุ่งหมาย ก็จะทำให้เกิดความรู้สึกทางลบเป็นความรู้สึกไม่พึงพอใจ อรรถพร หาญวานิช (2546, อ้างถึงใน มาลินี พุ่มมาลัย, 2558) ได้สรุปว่า ความพึงพอใจ หมายถึง ทัศนคติ หรือ ระดับความพึงพอใจของบุคคลต่อกิจกรรมต่างๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพของกิจกรรมนั้นๆ โดยเกิด จากพื้นฐานของการรับรู้ ค่านิยมและประสบการณ์ที่แต่ละบุคคลได้รับ ระดับของความพึงพอใจจะเกิดขึ้นเมื่อ กิจกรรมนั้นๆ สามารถตอบสนองความต้องการแก่บุคคลนั้นได้ จารุวรรณ พุ่มพิศ (2553, อ้างถึงใน มาลินี พุ่มมาลัย, 2558) ได้สรุปความพึงพอใจ คือ ความรู้สึกหรือเจต คติในด้านบวกของบุคคลที่ได้รับการตอบสนองทางประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของสิ่งรอบข้างทั้งในด้านวัตถุและจิตใจ ทำ ให้มีผลต่อความรู้สึกนึกคิด ความรู้สึกชอบ ยินดี เต็มใจ พอใจ หรือมีเจตคติที่ดีต่อการจัดการเรียนรู้ สรุปได้ว่า ความพึงพอใจ เป็นเรื่องของความรู้สึกของแต่ละบุคคลต่อการปฏิบัติงานหรือสิ่งใดๆนั้น สามารถ เปลี่ยนแปลงได้ตามกาลและเวลา และสภาพแวดล้อม ซึ่งในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ให้ความหมายของความพึง พอใจ คือ ความคิดเห็น ความรู้สึกในด้านดีของนักเรียนที่มีต่อการตอบสนองเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในระดับหนึ่ง โดยได้จากแบบประเมินความพึงพอใจ 3.2 วิธีสร้างความพึงพอใจในการเรียน ความพึงพอใจเป็นองค์ประกอบที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ที่ดี การเรียนการสอนจะประสบผลสำเร็จ ได้นั้น ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งก็คือ ความพึงพอใจในการเรียน ซึ่งเป็นสิ่งที่ครูควรสร้างให้เกิดขึ้นในตัวของผู้เรียน ตั้งแต่เริ่มต้น เพราะจะทำให้เกิดการเรียนรู้ต่อบทเรียนนั้นๆได้เป็นอย่างดี อารีย์ พันธ์มณี (2542, อ้างถึงใน มาลินี พุ่มมาลัย, 2558) กล่าวว่า ความพึงพอใจในการเรียนรู้นั้นมีผลต่อพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนที่ครูควรส่งเสริม ให้เด็กเกิดพฤติกรรมที่ส่งผลต่อการเรียนรู้โดยสร้างความพึงพอใจให้เกิดแก่ผู้เรียน ดังนี้ 1. การชมเชยและการตำหนิ ทั้ง 2 ประเภทจะมีผลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน
23 2. การทดสอบบ่อยครั้ง การทดสอบเป็นแรงจูงใจให้ผู้เรียนสนใจการเรียนมากขึ้น เพราะอาจหมายถึงการ เลื่อนขั้นการสำเร็จการศึกษา การทดสอบบ่อยครั้งจะช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนสนใจเรียนอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ซึ่งจะ ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนสูงและเป็นความพึงพอใจของผู้เรียน 3. การค้นหาความรู้ด้วยตนเอง ครูควรส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง เสนอแนะหรือกำหนด หัวข้อที่ผู้เรียนสนใจ เพื่อให้ผู้เรียนค้นคว้าเพิ่มเติมด้วยตนเอง 4. ใช้วิธีการเรียนการสอนที่แปลกใหม่ เพื่อเร้าความสนใจเพราะวิธีการที่แปลกใหม่ที่ผู้เรียนยังไม่ประสบมา ก่อน จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความตื่นตัว และมีแรงจูงใจในการเรียนรู้มากขึ้น 5. ตั้งรางวัลสำหรับงานที่มอบหมายเพื่อยั่วยุให้ผู้เรียนเกิดความพยายามให้งานที่ ด้รับมอบหมายประสบ ผลสำเร็จด้วยดี และเกิดความพึงพอใจกับความสำเร็จนั้นๆ 6. ยกตัวอย่างจากสิ่งที่เด็กยังไม่เคยพบ หรือคาดไม่ถึง การยกตัวอย่างประกอบ กิจกรรมการเรียนการสอน ควรเป็นตัวอย่างที่ผู้เรียนคุ้นเคย เพื่อให้เข้าใจบทเรียนได้ง่ายและเร็วขึ้น 7. เชื่อมโยงบทเรียนใหม่กับสิ่งที่เรียนรู้มาก่อน การเชื่อมโยงสิ่งใหม่ให้สัมพันธ์กับสิ่งที่เป็นประสบการณ์เดิม จะทำให้เข้าใจง่ายและชัดเจนขึ้น และจะทำให้ผู้เรียนสนใจบทเรียนยิ่งขึ้น เพราะผู้เรียนคาดหวังไว้ว่าจะ นำสิ่งที่ เรียนไปใช้ประโยชน์และเป็นพื้นฐานต่อไป สรุปได้ว่า การสร้างความพึงพอใจให้กับผู้เรียนสามารถทำให้พฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนเปลี่ยนแปลง ซึ่ง การสร้างความพึงพอใจสามารถทำได้หลายอย่าง เช่น การชมเชย การตำหนิ การทดสอบ การค้นคว้าด้วยตนเอง การใช้วิธีการสอนที่แปลกใหม่ การให้รางวัล การยกตัวอย่างสิ่งแปลกใหม่ที่นักเรียนไม่เคยพบ และการเชื่อมโยง ความรู้ใหม่กับประสบการณ์เดิมของนักเรียน 3.3 การวัดความพึงพอใจ ศจีอนันต์นพคุณ (2542, อ้างถึงใน มาลินี พุ่มมาลัย, 2558) กล่าวถึงวิธีการวัดความพึงพอใจว่าสามารถใช้ วิธีการสำรวจเป็นเครื่องมือวัดก็ได้ซึ่งมีวิธีการสำคัญอยู่ 4 วิธีคือ 1. การสังเกตการ โดยผู้บริหารสังเกตการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้ปฏิบัติงาน จากการแสดงออก การ ฟัง จากการพูด สังเกตจากการกระทำ แล้วนำข้อมูลที่ได้จากการสังเกต มาวิเคราะห์ 2. การสัมภาษณ์ เป็นวิธีการวัดความพึงพอใจโดยการสัมภาษณ์จะต้องมีการเผชิญหน้ากันเป็นส่วนตัวหรือ สนทนากันโดยตรง แลกเปลี่ยนข่าวสารและความคิดเห็นต่างๆด้วยวาจา
24 3. การออกแบบสอบถาม เป็นวิธีที่นิยมกันมาก โดยให้ผู้ปฏิบัติงานแสดงความคิดเห็นและความรู้สึกลงใน แบบสอบถาม การสร้างคำถามต้องพิจารณาอย่างดีเพื่อจะตั้งคำถามให้ครอบคลุมวัตถุประสงค์ทั้งหมด และลักษณะ ของคำถามจะต้องอยู่ในข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับความพึงพอใจสมบูรณ์ครบถ้วน วิธีที่นิยมใช้ใน ปัจจุบันคือ มาตราส่วน แบบลิเคิร์ท (Likert Scales) ประกอบด้วยข้อความที่แสดงถึงทัศนคติของบุคคลที่ มีต่อสิ่งเร้าอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว มีคำตอบที่แสดงถึงระดับความรู้สึก 5 คำตอบ เช่น มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยที่สุด 4. การเก็บบันทึก เป็นการเก็บประวัติเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของผู้ปฏิบัติงานแต่ละคน ในเรื่องเกี่ยวกับ ผลงาน การร้องทุกข์การขาด การลางาน การฝ่าฝืนระเบียบวินัยอื่นๆ ในการดำเนินกิจกรรมการเรียนการ สอน ความพึงพอใจเป็นสิ่งที่สำคัญที่จะกระตุ้นให้ผู้เรียนทำงานที่ได้รับมอบหมายหรือต้องการปฏิบัติให้ บรรลุผลตาม วัตถุประสงค์ครูผู้สอนซึ่งในสภาพปัจจุบันเป็นเพียงผู้อำนวยความสะดวกหรือให้คำแนะนำ ปรึกษา จึงต้องคำนึงถึง ความพึงพอใจในการเรียนรู้ 5. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง งานวิจัยในประเทศ จากการวิจัยการสอนแบบโฟนิกส์สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบุญคุ้มราษฎร์บำรุง อ. คลองหลวง จ.ปทุมธานีมีคุณภาพในระดับมากที่สุด เมื่อนำไปจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในรายวิชา ภาษาอังกฤษ สามารถทำให้ผู้เรียนมีความสามารถทางด้านการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษและพัฒนาการทางด้าน การพูดและ การฟังเพิ่มมากขึ้น ชุดการสอนจอลลี โฟนิกส์ ที่ได้มีการพัฒนารูปแบบและกระบวนการจัดการเรียนรู้ สามารถ พัฒนาการอ่านของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี2ในหลักสูตรโปรแกรมภาษาอังกฤษที่มีความสามารถใน การอ่าน ออกเสียงและการอ่านเพื่อความเข้าใจไม่ผ่านเกณฑ์ตามหลักสูตรทที่ร้อยละ 60ให้ผ่านเกณฑ์การอ่านตาม หลักสูตร ได้ โดยผลการทดสอบการอ่านออกเสียงของนักเรียนทั้งหมดก่อนการทดลองอยู่ระหว่างร้อยละ 29-57 และหลัง การทดลองเพิ่มเป็นร้อยละ 64-79ซึ่งนักเรียนที่เรียนด้วยการสอนแบบโฟนิกส์สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีท่ี2 มีความสามารถทางด้านการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษหลังเรียนสูงขึ้นกว่าก่อนเรียนอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .01 (จิราภรณ์ เสืออินทร์และ ทัศนีย์ ชาติไทย, ม.ป.ป.) น้ำทิพย์ ขจรบุญ (2553, อ้างถึงใน ก็ก่อ พิสุทธิ์ และ กัลยรัตน์ ชาวันดี, 2561) ทำการวิจัยเรื่องการใช้โฟ นิกส์เพื่อส่งเสริมความสามารถในการออกเสียงภาษาอังกฤษและความรู้คำศัพท์ โดยมีกลุ่มตัวอย่าง คือ เด็ก นักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนปรินส์รอแยลส์วิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 15คน มีเครื่องมือ ที่ใช้ในการทดลอง คือ แผนการสอนวิชา ภาษาอังกฤษโดยใช้โฟนิกส์จำนวน 6แผน แผนการสอนละ 3 คาบ คาบละ 50 นาที โดยทั้งก่อนและหลังทดลอง ได้ทำการทดสอบการออกเสียงภาษาอังกฤษ และทดสอบความรู้ คำศัพท์ ภาษาอังกฤษเพื่อนำผลที่ได้มาเปรียบเทียบกันจากการวิเคราะห์ผลพบว่าเด็กนักเรียนสามารถออกเสียง
25 ภาษาอังกฤษได้ถูกต้องมากขึ้น และมีความรู้คำศัพท์เพิ่มมากขึ้นภายหลังจากผ่านการเรียนรู้จากแผนการสอนโดย ใช้โฟนิกส์ สุนันทา ปัญญารัตน์ (2554, อ้างถึงใน ก็ก่อ พิสุทธิ์ และ กัลยรัตน์ ชาวันดี, 2561) ทำการวิจัยเพื่อศึกษา ผลการพัฒนาการสอนอ่านออกเสียง และเขียนสะกดคำภาษาอังกฤษด้วยวิธีสอนแบบโฟนิกส์ จากนักเรียนจำนวน 40 คน โรงเรียนลำสนุ่น จังหวัดปทุมธานี โดยการพัฒนาการสอนอ่านออกเสียงและเขียนสะกดคำภาษาอังกฤษ ผ่านแผนการเรียนรู้ที่จัดทำขึ้น ซึ่งก่อนและหลังได้รับการเรียนรู้ผ่านแผนการเรียนรู้เพื่อพัฒนาการสอนอ่านออก เสียง และเขียนสะกดคำภาษาอังกฤษด้วยวิธีสอนแบบโฟนิกส์ เด็กนักเรียนจะได้รับการทดสอบความสามารถใน การอ่านออกเสียงและความสามารถในการเขียน สะกดคำภาษาอังกฤษ ภายหลังจากการวิจัยวิเคราะห์ผลสรุปว่า เด็กนักเรียนกลุ่มตัวอย่างมีความสามารถในการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษและความสามารถในการเขียนสะกด คำศัพท์ในภาษาอังกฤษที่เพิ่มสูงขึ้น ดังเห็นได้จากค่าเฉลี่ยคะแนนจากแบบทดสอบทั้งสองแบบทดสอบที่สูงขึ้น ภายหลังจากผ่านการเรียนการสอนด้วยแผนการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาการสอนอ่านออกเสียง และเขียนสะกดคำ ภาษาอังกฤษด้วยวิธีสอนแบบโฟนิกส์ อาจารี ศิริรัตนศักดิ์ (2552) ศึกษาเรื่อง กรณีศึกษาการพัฒนาความสามารถในการอ่านของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้ชุดการสอน จอยลี่ โฟนิกส์ การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาการใช้ชุดการสอนจอย ลี่โฟนิกส์ ที่ได้มีการพัฒนารปแบบและกระบวนการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่มีความสามารถในการอ่านไม่ผ่านเกณฑ์การอ่านของโปรแกรมภาษาอังกฤษของโรงเรียน อัสสัมชัญแผนกประถม กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนที่เรียนโปรแกรมภาษาอังกฤษในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่มี ความสามารถในการอ่านไม่ผ่านเกณฑ์การอ่าน ของโปรแกรมภาษาอังกฤษจำนวน 4 คน ผลการวิจัยพบว่า ชุดการ สอนจอยลี่โฟนิกส์ ที่ได้มีการพัฒนารูปแบบและกระบวนการจัดการเรียนรู้ สามารถพัฒนาการอ่านของนักเรียน ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2ในหลักสูตรโปรแกรมภาษาอังกฤษที่มีความสามารถในการอ่านออกเสียงและการอ่านเพื่อ ความ เข้าใจไม่ผ่านเกณฑ์ตามหลักสูตรที่ร้อยละ 60ให้ผ่านเกณฑ์การอ่านตามหลักสูตรได้ โดยผลการทดสอบการ อ่าน ออกเสียงของนักเรียนทั้งหมดก่อน การทดลองอยู่ระหว่างร้อยละ 29-57และหลังการทดลองเพิ่มเป็นร้อยละ 64-79 ชลลดา กัวหา (2556, อ้างถึงใน สินธุมาส อินนันชัย, 2562) ศึกษาเรื่อง การเปรียบเทียบความสามารถใน การอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษและเจตคติต่อการเรียนภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการ สอนแบบโฟนิกส์กับการสอนอ่านเป็นคำ การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการอ่าน ออกเสียงภาษาอังกฤษของนักเรียนก่อนและหลังได้รับการสอนแบบโฟนิกส์ ความสามารถในการอ่านออกเสียง ภาษาอังกฤษของนักเรียนก่อนและหลังได้รับการสอนอ่านเป็นคำ ความสามารถในการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ ของนักเรียนหลังได้รับการสอนแบบโฟนิกส์และการสอนอ่านเป็นคำ และเจตคติต่อการเรียนภาษาอังกฤษของ นักเรียนหลังได้รับการสอนแบบโฟนิกส์กับการสอนอ่านเป็นคำ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยเป็นนักเรียนระดับชั้น
26 ประถมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2555 โรงเรียนชุมชนวัดดักคะนน และโรงเรียนวัดศรีวิชัย สำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาชัยนาท ผลการวิจัยพบว่า ความสามารถในการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษของนักเรียนที่ได้รับ การสอนแบบโฟนิกส์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สุชาดา อินมี (2556) ได้ศึกษาเรื่อง การพัฒนาการออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ด้วยสื่อโฟนิกส์โปสเตอร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่3 การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาสื่อการอ่านออกเสียงคำศัพท์ ภาษาอังกฤษแบบโฟนิกส์โปสเตอร์ สำหรับฝึกทักษะการออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่3 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์เปรียบเทียบความสามารถในการอ่านออกเสียงคำศัพท์ ภาษาอังกฤษของนักเรียนก่อนและหลังได้รับการฝึกทักษะการอ่านออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ด้วยสื่อโฟนิกส์ โปสเตอร์และศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการฝึกอ่านออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยสื่อโฟนิกส์ โปสเตอร์ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดธงชัยธรรมจักร สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาประจวบคีรีขันธ์ เขต1 จำนวน 40 คน โดยเลือกแบบเจาะจง ดำเนินการทดลองในภาคเรียน ที่ 1 ปีการศึกษา 2556 เครื่องมือ ที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ สื่อโฟนิกส์โปสเตอร์ แบบวัดความสามารถในการออก เสียง คำศัพท์ภาษาอังกฤษ และแบบประเมินความพึงพอใจ ผลการวิจัย พบว่าสื่อโฟนิกส์โปสเตอร์ สำหรับฝึกทักษะ การ อ่านออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีประสิทธิภาพ 78.17/76.75 ความสามารถ ในการอ่านออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ก่อนและหลังได้รับการ ฝึกทักษะการ อ่านออกเสียงด้วยสื่อ โฟนิกส์โปสเตอร์ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยหลัง ได้รับการฝึก ทักษะ ด้วยสื่อโฟนิกส์โปสเตอร์ นักเรียนมีความสามารถในการอ่านออกเสียงสูงกว่าก่อนได้รับการฝึก และนักเรียนมี ความพึงพอใจต่อการฝึกอ่านออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยสื่อโฟนิกส์โปสเตอร์ อยู่ในระดับมาก โดยเฉพาะใน ด้านภาพประกอบมีสีสันสวยงามน่าสนใจ และมีจำนวน คำศัพท์แต่ละชุดเหมาะสม การวิจัยครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า การพัฒนาสื่อการอ่านออกเสียง ภาษาอังกฤษแบบโฟนิกส์ในรูปโปสเตอร์ช่วยให้นักเรียนฝึกออกเสียงให้ดีขึ้น งานวิจัยต่างประเทศ Smith (1998, อ้างถึงใน สินธุมาส อินนันชัย, 2562) ได้สรุปว่าจุดประสงค์ของการศึกษานี้เพื่อที่จะหา ผลกระทบของวิธีการสอนภาษาโดยรวมและวิธีการสอนโดยใช้โฟนิกส์มาร่วมด้วย สำหรับความสำเร็จในการอ่าน ของเด็กก่อนวัยเรียนอายุ 4 ขวบ ที่อาศัยอยู่ในเมือง กลุ่มตัวอย่างวิจัยได้แก่เด็กก่อนวัยเรียน จำนวน 114 คน จาก 4 โรงเรียนในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐเวอร์จิเนีย โดยเป็นเด็กชาย 57 คน เด็กหญิง 57 คน โดย 99 คนเป็น เด็ก สัญชาติอัฟริกัน-อเมริกัน และ 15 คน เป็นคนผิวขาว โดยสุ่มมาจากประชากรเด็กก่อนวัยเรียนทั้งหมด 400 คน การศึกษาทดลองนี้ใช้แบบควบคุมโดยมีการทดสอบก่อนและหลังกลุ่มควบคุม (จำนวน=58) ได้รับวิธีการสอนภาษา โดยรวมและกลุ่มทดลอง (จำนวน=56) ได้รับวิธีการสอนโดยใช้โฟนิกส์มาร่วมด้วย กลุ่มทดลองที่ใช้วิธีการสอนโดย ใช้โฟนิกส์มาร่วมด้วยได้รับคำสั่งที่ตระหนักถึงการออกเสียงมาผสมผสานด้วย โดยรวมถึงคำคล้องจองกัน, คำสัมผัส
27 กัน, และกิจกรรมคอมพิวเตอร์ มีการใช้แบบทดสอบความสำเร็จของ วูดคอร์ก-จอห์นสัน (ที่ปรับปรุงแล้ว) แบบ เอ และ บี ได้ถูกนำมาใช้รวมถึงการแบ่งแยกตัวอักษร, การจู่โจมคำศัพท์, ความเข้าใจ, คำศัพท์ใหม่และการเขียนตาม คำบอกกับกลุ่มทดลองทั้งสอง การทดสอบก่อนทดลองชี้ให้เห็นว่าทั้งสองกลุ่มเหมือนกันโดยที่การทดสอบหลัง ทดลองชี้ว่ามีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในประสิทธิภาพของทั้งสองกลุ่ม ที่ระดับความเชื่อมั่น 0.01 กลุ่มทดลอง ที่ใช้วิธีการสอนโดยใช้โฟนิกส์มาร่วมด้วย ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าวิธีการสอนภาษาโดยรวมมาก จากการทดสอบ ย่อยทั้ง 5 ครั้ง สิ่งเหล่านี้ทำให้สรุปได้ว่า ความต้องการสำหรับวิธีการสอนโดยใช้โฟนิกส์มาร่วมด้วย เหมาะสำหรับ เด็กก่อน วัยเรียนที่อยู่อาศัยในเมือง Groff, (2002, อ้างถึงใน มาลินี พุ่มมาลัย, 2558) ได้ทำการศึกษา นักเรียนตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงเกรด 3 ต้องเรียน PA & Phonics เพื่อวางพื้นฐานในการอ่านเรื่อง พบว่า ถ้าเอาห้องเรียนสองห้องที่ผู้เรียนมีคุณสมบัติ เหมือนกัน ห้องหนึ่งสอนอ่านด้วยระบบโฟนิกส์อีกห้องหนึ่งยังคงสอนอ่านแบบ whole language ในตลอดปี การศึกษา ผลปรากฎว่าห้องเรียนที่ใช้การสอนภาษาอังกฤษด้วยระบบโฟนิกส์จะมีผลสัมฤทธิ์ที่ชนะห้องเรียนที่สอน ด้วยวิธีอ่านเป็นคำในทุกเรื่องที่เกี่ยวกับวิชาภาษาอังกฤษ
28 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัย เรื่อง การพัฒนาการออกเสียงและความรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยการสอนแบบโฟนิกส์ (Phonics) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนชุมชนที่11 วัดสุวรรณประดิษฐ์ครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิง ทดลอง (Experimental Research) แบบแผนการวิจัยแบบ One-Group Pretest-posttest Design โดยมีหน่วย การวิเคราะห์ (Unit of analysis) คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6โรงเรียนชุมชนที่11 วัดสุวรรณประดิษฐ์ตำบล ไผ่ขอดอน อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 เพื่อให้งานวิจัยครั้งนี้เกิดประสิทธิภาพ สูงสุดและเป็นไปตามจุดประสงค์การวิจัย ผู้วิจัยจึงได้กำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับระเบียบวิธีการวิจัยประกอบด้วย 1) ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2) ตัวแปรที่ศึกษา 3) เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย 4) ระยะเวลาในการทดลอง 5) แบบ แผนการวิจัย 6) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 7) การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 8) การเก็บข้อมูล 9) การวิเคราะห์ ข้อมูล ดังรายละเอียดดังนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง เพื่อให้งานวิจัยในครั้งนี้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ผู้วิจัยได้กำหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ดังนี้ 1.1 ประชากร คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนชุมชนที่11 วัดสุวรรณประดิษฐ์ตำบลไผ่ขอดอน อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 18 คน 1.2 กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนชุมชนที่11 วัดสุวรรณประดิษฐ์ตำบลไผ่ขอ ดอนอำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 18คน ได้จากวิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่าง แบบเจาะจง ( Purposive sampling ) 2. ตัวแปรที่ศึกษา ในงานวิจัยครั้งนี้ประกอบไปด้วยตัวแปร 2 ประเภท คือ 1. ตัวแปรต้น (Independent Variable) ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้การออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ด้วยการสอนแบบโฟนิกส์ (Phonics) 2. ตัวแปรตาม (Dependent Variable) 2.1 ผลสัมฤทธิ์ของการออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยวิธีการสอนด้วยโฟนิกส์ (Phonics)
29 2.2 ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการใช้วิธีการสอนแบบโฟนิกส์ (Phonics) เพื่อพัฒนาการออก เสียงและความรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษ 3. เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย เนื้อหาที่นำมาใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้คือแผนการจัดการเรียนรู้ด้านการออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นการใช้กลวิธีการออกเสียงแบบโฟนิกส์ (Phonics) จำนวน 7 คาบ โดยครอบคลุมเนื้อหาจากสาระการเรียนรู้ แกนกลางตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งเกี่ยวข้องกับหลักการอ่านออกเสียง ดังนี้ 3.1 เสียงพยัญชนะทั้งหมด 3.2 เสียงพยัญชนะที่พิเศษ เช่น th/v/z/sh/ch 3.3 เสียงสระ a 3.4 เสียงสระ e และ i 3.5 เสียงสระ o 3.6 เสียงสระ u 3.7 การผสมเสียงและความหมายของคำศัพท์ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เสียงพยัญชนะทั้งหมด เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับวิธีการออกเสียงพยัญชนะตั้งแต่ A-Z ว่าแท้จริงแล้วในภาษาอังกฤษต้องออกเสียงอย่างไรจึงจะถูกต้อง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เสียงพยัญชนะที่พิเศษ เป็นเนื้อหาที่จะลงลึกหรือเน้นเกี่ยวกับวิธีการออกเสียง พยัญชนะที่นักเรียนไทยออกเสียงผิดบ่อยเช่น ch /t∫/, sh /∫/, th /ð/, th /Ѳ/, z /z/, และ v /v/ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เสียงสระ a เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับวิธีการออกเสียงสระเสียงเดี่ยวและผสมของเสียง สระ a แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 เสียงสระ e และ i เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับวิธีการออกเสียงสระเสียงเดี่ยวและเสียง ผสมของเสียง สระ e และ i แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 เสียงสระ o เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับวิธีการออกเสียงสระเสียงเดี่ยวและเสียงผสม ของเสียงสระ o
30 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 6 เสียงสระ u เป็นเนื้อหาที่จะเน้นเกี่ยวกับวิธีออกเสียงสระเสียงเดี่ยวและเสียง ผสม ของเสียงสระ u แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 7 การผสมเสียงและความหมายของคำศัพท์เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับการนำความรู้ เรื่องการออกเสียงตั้งแต่เสียงพยัญชนะต้น สระ และพยัญชนะท้ายมาผสมกันให้เกิดเป็นคำ และอ่านออกเสียงให้ ถูกต้องตามวิธีโฟนิกส์ รวมไปถึงการเรียนรู้คำศัพท์ที่เกิดจากการผสมคำด้วย 4. ระยะเวลาในการทดลอง ผู้วิจัยได้กำหนดระยะเวลาในการดำเนินการทดลองเนื้อหาวิชาภาษาอังกฤษ ที่จัดการเรียนรู้ด้วยวิธีการ สอน แบบโฟนิกส์ (Phonics) โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้ด้านการออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ระยะเวลา 7 คาบ คาบเรียนละ 1 ชั่วโมง ในสัปดาห์ที่ (ระหว่างวันที่ 4 สิงหาคม – 22 กันยายน 2566) ในภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2566 5. แบบแผนการวิจัย งานวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Design) โดยมีแผนการวิจัยแบบ One-Group Pretest-posttest Design ดังนี้ O1 = การทดสอบก่อนการจัดการเรียนรู้แบบโฟนิกส์ (Phonics) X = การจัดการเรียนรู้แบบโฟนิกส์ (Phonics) O2 = การทดสอบหลังการจัดการเรียนรู้แบบโฟนิกส์ (Phonics) 6. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้กำหนดเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 6.1 แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เนื้อหาวิชาภาษาอังกฤษ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนการออก เสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยวิธีการสอนแบบโฟนิกส์ (Phonics) โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้ด้านการออกเสียง O1 X O2
31 คำศัพท์ภาษาอังกฤษ ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 7 แผน ใช้เวลาจัดกิจกรรมการเรียนรู้แผนละ 1 ชั่วโมง (ระหว่างวันที่ 4 สิงหาคม – 22 กันยายน 2566) ดังนี้ 1. เสียงพยัญชนะทั้งหมด จำนวน 1 ชั่วโมง 2. เสียงพยัญชนะที่พิเศษ เช่น th/v/z/sh/ch จำนวน 1 ชั่วโมง 3. เสียงสระ a จำนวน 1 ชั่วโมง 4. เสียงสระ e และ i จำนวน 1 ชั่วโมง 5. เสียงสระ o จำนวน 1 ชั่วโมง 6. เสียงสระ u จำนวน 1 ชั่วโมง 7. การผสมเสียงและความหมายของคำศัพท์ จำนวน 1 ชั่วโมง 6.2 แบบทดสอบวัดความสามารถในการออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษก่อนการได้รับการสอนแบบโฟ นิกส์ และหลังจากได้รับการสอนแบบโฟนิกส์โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้การออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วย การสอนแบบโฟนิกส์ซึ่งแบ่งเป็นแบบวัดความสามารถก่อนเรียน 1 ฉบับและหลังเรียนจำนวน 1 ฉบับ เป็น แบบทดสอบการออกเสียงคำศัพท์ทั้งหมด 30 คำ ซึ่งได้มีการกำหนดการให้คะแนน คือ ออกเสียงถูกต้องได้ 1 คะแนน ออกเสียงผิดได้ 0 คะแนน จำนวน 30 คำ 30 คะแนน 6.3 แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้การออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยวิธีการ สอนแบบโฟนิกส์ โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้การออกเสียงคำศัพท์ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 1 ฉบับ ซึ่งสอบถามในประเด็น 1) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 2) เนื้อหาข้อมูลวิธีการออกเสียง 3) บรรยากาศ ในการเรียนรู้ และ 4)ประโยชน์ที่ได้รับจากการเรียนรู้ โดยมีลักษณะการประเมินแบบมาตราส่วน (Rating Scale) แบ่งเป็น5 ระดับ คือ พึงพอใจมากที่สุด พึงพอใจมาก พึงพอใจ พึงพอใจน้อย และ พึงพอใจน้อย ที่สุด ประกอบด้วย ข้อคำถาม 10 ข้อ 7. การสร้างเครื่องมือ การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยตามขั้นตอน ดังนี้ 1. แผนการสอนการออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยสื่อโฟนิกส์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนชุมชนที่11 วัดสุวรรณประดิษฐ์ผ่านการจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีสอนแบบโฟนิกส์
32 การสร้างแผนการสอน มีขั้นตอนการสร้างและหาคุณภาพ ดังนี้ 1.1 ขั้นการวิเคราะห์ 1.1.1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระ ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) สำหรับช่วงชั้นที่ 2 (ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6) เกี่ยวกับหลักการ จุดมุ่งหมาย โครงสร้าง เวลาเรียน การวัดผลประเมินผล คุณภาพผู้เรียนเมื่อจบ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 1.1.2 วิเคราะห์หลักสูตร โดยวิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น ช่วงชั้นที่ 2 (ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6) ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จากหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) เพื่อกำหนดขอบเขตเนื้อหา บทเรียน สาระการ เรียนรู้ จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม วิธีการสอน การวัดผลและประเมินผล 1.1.3 วิเคราะห์ผู้เรียน โดยศึกษาความสนใจ ความต้องการของผู้เรียน วิเคราะห์สภาพปัญหาที่ เกิดขึ้นจาก การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในชั้นเรียน ศึกษาแนวคิดในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ศึกษาวิธีการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ที่ เหมาะสมกับผู้เรียน เอื้อต่อการเรียนรู้และกระตุ้นให้นักเรียนสนใจเรียนมากขึ้น จากเอกสารคู่มือครูและตำราต่าง ๆ 1.1.4 วิเคราะห์เนื้อหา โดยวิเคราะห์ขอบข่ายเนื้อหาสาระ จากตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 ที่กำหนดไว้ในหลักสูตร จากหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่ม สาระภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) และวิเคราะห์เนื้อหารายวิชา ภาษาอังกฤษพื้นฐาน สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนชุมชนที่11 วัดสุวรรณประดิษฐ์จากเอกสาร ตำรา คู่มือครูและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อ กำหนด ขอบข่ายเนื้อหาบทเรียน จุดประสงค์การเรียนรู้ สื่อ ประกอบการเรียนรู้ การวัดผลประเมินผล 1.1.5 กำหนดเนื้อหาเกี่ยวกับรายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียน ชุมชนที่11 วัดสุวรรณประดิษฐ์จากเอกสาร ตำรา คู่มือครู 1.2 ขั้นออกแบบแผนการสอน ขั้นการออกแบบแผนการสอน ผู้ศึกษาได้ดำเนินการดังนี้ 1.2.1 ศึกษาหลักการ แนวคิด รูปแบบและวิธีการสร้างแผนการสอนการออกเสียงคำศัพท์ ภาษาอังกฤษ ด้วยวิธีสอนแบบโฟนิกส์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนชุมชนที่11 วัดสุวรรณประดิษฐ์ 1.2.2 แบ่งเนื้อหา หน่วยการเรียนรู้ โดยกำหนดเวลาเรียนเรื่องที่ 1-7 รวม 7 ชั่วโมง 1.2.3 กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ให้สอดคล้องกับเนื้อหาที่กำหนดไว้
33 1.2.4 กำหนดรายละเอียดของสาระการเรียนรู้แต่ในแต่ละแผน โดยพิจารณาถึงผลการจัดการ เรียนรู้และ พฤติกรรมที่พึงประสงค์ของผู้เรียนที่จะเกิดขึ้นระหว่างการจัดการเรียนรู้ 1.2.5 กำหนดขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยคำนึงถึงเทคนิคการสอน ธรรมชาติของสาระ และ ความแตกต่างระหว่างบุคคล 1.2.6 กำหนดสื่อการเรียนรู้และแหล่งเรียนรู้ สำหรับแผนการสอนแต่ละแผน ให้เหมาะสมกับการ จัด กิจกรรมการเรียนรู้ 1.2.7 กำหนดเครื่องมือ วิธีการวัดและประเมินผล ให้ครอบคลุมเนื้อหาสาระ มาตรฐาน ตัวชี้วัด และ จุดประสงค์การเรียนรู้ 1.2.8 เขียนแผนการสอน โดยจัดทำให้สอดคล้องกับสาระ มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด จำนวน 7 แผน ดังนี้ 1. เสียง A-Z Alphabet จำนวน 1 ชั่วโมง 2. เสียงพยัญชนะที่พิเศษ เช่น th/v/z/sh/ch จำนวน 1 ชั่วโมง 3. เสียงสระ a และ e จำนวน 1 ชั่วโมง 4. เสียงสระ i และ o จำนวน 1 ชั่วโมง 5. เสียงสระ u จำนวน 1 ชั่วโมง 6. เสียงพยัญชะท้าย จำนวน 1 ชั่วโมง 7. การผสมเสียงและความหมายของคำศัพท์ จำนวน 1 ชั่วโมง 2. แบบทดสอบการออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยการสอนแบบโฟนิกส์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 6 โรงเรียนชุมชนที่11 วัดสุวรรณประดิษฐ์จำนวน 30 คำ การสร้างแบบทดสอบ มีขั้นตอน ดังนี้ 2.1 ศึกษาเนื้อหาและวิธีการสร้างแบบทดสอบ 2.2 วิเคราะห์เนื้อหา สาระการเรียนรู้ และจุดประสงค์การเรียนรู้ของการพัฒนาการออกเสียงคำศัพท์ ภาษาอังกฤษด้วยวิธีการสอนแบบโฟนิกส์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนชุมชนที่11 วัดสุวรรณ ประดิษฐ์
34 2.3 สร้างแบบทดสอบการออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยวิธีการสอนแบบโฟนิกส์ ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนชุมชนที่11 วัดสุวรรณประดิษฐ์จำนวน 30 คำ โดยคำศัพท์ที่นำมาใช้ในแบบทดสอบ คัดเลือกมาจากคำศัพท์ภาษาอังกฤษพื้นฐานสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และคัดเลือกคำศัพท์ในแผนการ จัดการเรียนรู้การออกเสียงคำศัพท์ 2.4 นำแบบทดสอบไปให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 คน เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องของ วัตถุประสงค์ โดย ใช้คำถามที่มีค่า IOC ตั้งแต่ 0.5 ขึ้นไป แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไข 2.5 จัดทำแบบทดสอบฉบับสมบูรณ์เพื่อนำไปใช้กับประชากรต่อไป 3. แบบสัมภาษณ์ความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อการพัฒนาการออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วย วิธีการสอนแบบโฟนิกส์ (Phonics) การสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจ มีขั้นตอนดังนี้ 3.1 ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องในการสร้างแบบสอบถามความพึงพอใจ โดยศึกษา ความหมาย และองค์ประกอบของความพึงพอใจที่ต้องการประเมิน และศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่ เกี่ยวข้องกับการวัดความ พึงพอใจของผู้เรียน 3.2 ออกแบบแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการพัฒนาการออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ด้วยวิธีการสอนแบบโฟนิกส์เนื่องจากประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียน ชุมชนที่11 วัดสุวรรณประดิษฐ์จำนวน 18 คน 3.3 นำแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการพัฒนาการออกเสียงคำศัพท์ ภาษาอังกฤษด้วย วิธีการสอนแบบโฟนิกส์ที่สร้างเสร็จแล้วให้ผู้เชี่ยวชาญ 3 คน เพื่อตรวจสอบคุณภาพ ของแบบสอบถาม จากนั้นนำ ข้อเสนอแนะมาปรับปรุงแก้ไข 3.4 จัดทำแบบสอบถามความพึงพอใจฉบับสมบูรณ์เพื่อนำไปใช้กับประชากรต่อไป 8.การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้เก็บข้อมูลการพัฒนาความสามารถด้านการออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยวิธีการสอนแบบโฟ นิกส์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนชุมชนที่11 วัดสุวรรณประดิษฐ์ โดยใช้ทดลองกับประชากร คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6โรงเรียนชุมชนที่11 วัดสุวรรณประดิษฐ์อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์จำนวน 80 คน โดยได้ดำเนินการ เก็บรวบรวม ข้อมูลตามขั้นตอน ดังนี้
35 1. นำแบบทดสอบการออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยวิธีการสอนแบบโฟนิกส์ ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนชุมชนที่11 วัดสุวรรณประดิษฐ์จำนวน 30 คำ ไปทดสอบกับนักเรียนประชากร บันทึก คะแนนที่ได้จากการทดสอบครั้งนี้เป็นการทดสอบก่อนการสอนแบบโฟนิกส์ 2. ดำเนินการสอนตามแผนการสอน โดยใช้เวลาในการสอน 7 ชั่วโมง และมีการบันทึกผลการทดสอบ ระหว่างเรียนในแต่ละแผนการสอน 3. ดำเนินการทดสอบหลังการได้รับการสอนแบบโฟนิกส์ โดยใช้แบบทดสอบการออกเสียงคำศัพท์ ภาษาอังกฤษด้วยวิธีการสอนแบบโฟนิกส์ ซึ่งเป็นชุดเดียวกันกับแบบทดสอบก่อนการสอนแบบโฟนิกส์ 4. หลังการทดสอบดำเนินการสอบถามประชากรด้วยแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการ พัฒนาการออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยวิธีการสอนแบบโฟนิกส์ 9. การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้ศึกษาได้นำข้อมูลที่ได้จากการทดลองมาวิเคราะห์หาค่าสถิติและอภิปราย ผลการวิจัย ดังนี้ 1. วิเคราะห์หาประสิทธิภาพของแผนการสอนการออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยวิธีการสอนแบบโฟ นิกส์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนชุมชนที่11 วัดสุวรรณประดิษฐ์ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ที่ 80/80 2. คะแนนจากแบบทดสอบการออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยวิธีการสอนแบบโฟนิกส์ของนักเรียน ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนชุมชนที่11 วัดสุวรรณประดิษฐ์ก่อนการได้รับการสอนแบบโฟนิกส์และหลังการได้รับ การสอน แบบโฟนิกส์นำมาวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย () และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน () และทดสอบความแตกต่าง ของ คะแนนเฉลี่ยก่อนการสอนแบบโฟนิกส์และหลังการสอนแบบโฟนิกส์ของประชากรด้วยค่าสถิติt–test 3. ผลการสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนการออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยวิธีการ สอนแบบโฟนิกส์ นำเสนอในรูปแบบความเรียง แล้วสรุปผลโดยการบรรยาย สรุปผลวิจัยและเสนอแนะการนำผลวิจัยไปใช้ ผู้วิจัยนำข้อมูลที่วิเคราะห์ได้มาสรุปและอภิปรายผลการวิจัย รวมทั้งให้ข้อเสนอแนะ สำหรับการทำวิจัย ใน ครั้งต่อไป
36 บทที่ 4 การวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัย เรื่อง “การพัฒนาการออกเสียงและความรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยการสอนแบบโฟนิกส์ (Phonics) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนชุมชนที่11 วัดสุวรรณประดิษฐ์” ครั้งนี้ผู้วิจัยกำหนดขั้นตอน การนำเสนอผลการวิเคราะห์ตามลำดับจุดประสงค์การวิจัย ดังรายละเอียดตามลำดับ ดังนี้ 1. เพื่อพัฒนาการออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยการสอนแบบโฟนิกส์ (Phonics) สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนชุมชนที่11 วัดสุวรรณประดิษฐ์ 2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนชุมชนที่11 วัดสุวรรณประดิษฐ์ ต่อการใช้การสอนแบบโฟนิกส์ (Phonics) เพื่อพัฒนาการออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่1 เพื่อพัฒนาการออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยการสอนแบบโฟนิกส์ (Phonics) สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนชุมชนที่11 วัดสุวรรณประดิษฐ์ เพื่อตอบวัตถุประสงค์การวิจัยข้อที่ 1 ที่ว่า เพื่อพัฒนาการออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยการสอน แบบโฟนิกส์ (Phonics) สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนชุมชนที่11 วัดสุวรรณประดิษฐ์ผู้วิจัยได้ใช้ กลุ่มตัวอย่างจำนวน 18 คน ซึ่งเป็นนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนชุมชนที่11 วัดสุวรรณประดิษฐ์ที่ กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ทำแบบทดสอบวัดความสามารถการออกเสียงคำศัพท์ ภาษาอังกฤษ ก่อนเรียนและหลังเรียน จำนวน 30 ข้อ มีคะแนนเต็ม 30 คะแนน จากนั้นผู้วิจัยหาค่าเฉลี่ยคะแนน ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ( S.D. ) และ หาค่าทดสอบค่า t เทียบกับเกณฑ์ (Paired Samples T-Test) ของกลุ่ม ตัวอย่างได้ผลการวิเคราะห์ข้อมูลดังแสดงรายละเอียดในตารางที่ 2 ดังนี้ ตาราง 1 แสดงถึงผลการเปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและผลต่างของคะแนนก่อนเรียน (Pre-test) และคะแนนหลังเรียน (Post-test) โดยการทดสอบค่า (T-Test dependent samples หรือPaired Samples T-Test ) โดยการพัฒนาการออกเสียงและความรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยการสอนแบบโฟนิกส์ (Phonics) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนชุมชนที่11 วัดสุวรรณประดิษฐ์จำนวน 18 คน
37 คนที่ ก่อนเรียน (30 คะแนน) หลังเรียน (30 คะแนน) 1 30 30 0 0 2 0 24 24 576 3 3 27 24 576 4 11 30 19 361 5 6 21 15 225 6 14 26 12 144 7 16 25 9 81 8 0 26 26 676 9 0 11 11 121 10 1 6 5 25 11 1 7 6 36 12 1 19 18 324 13 2 16 14 196 14 1 27 26 676 15 1 21 20 400 16 2 4 2 4 17 1 4 3 9 18 3 23 20 40 รวม 93 347 254 4830 เฉลี่ย 5.17 19.28 64516 S.D. 7.68 8.78 n 18 จากตาราง 1 พบว่า ผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนการออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยโฟนิกส์คะแนนสูงสุดคือ 30 คะแนน คะแนนน้อยที่สุดคือ 0 คะแนน ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 5.17 คะแนน ส่วนผลสัมฤทธิ์หลังเรียนการออกเสียง คำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยโฟนิกส์คะแนนสูงสุดคือ 30 คะแนน คะแนนน้อยที่สุดคือ 4 คะแนน คะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 19.28 คะแนน จากคะแนนผลสัมฤทธิ์จะเห็นได้ว่าผลสัมฤทธิ์หลังเรียนการออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยโฟ นิกส์ สูงกว่าก่อนเรียนการออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยโฟนิกส์
38 ตาราง 2 แสดงค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสถิติทดสอบที และระดับนัยสำคัญทางสถิติของการ ทดสอบเปรียบเทียบคะแนนทางการเรียนก่อนและหลังเรียน โดยการพัฒนาการออกเสียงและความรู้คำศัพท์ ภาษาอังกฤษด้วยการสอนแบบโฟนิกส์ (Phonics) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนชุมชนที่11 วัด สุวรรณประดิษฐ์ (n = 18) การทดสอบ ̅ S.D. t-test Sig. ก่อนเรียน 5.17 7.68 6.99 0.00 หลังเรียน 19.28 8.78 *มีนัยความสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จากตาราง 2 พบว่า คะแนนทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยการพัฒนาการออกเสียงและความรู้ คำศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยการสอนแบบโฟนิกส์ (Phonics) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนชุมชนที่11 วัดสุวรรณประดิษฐ์ มีคะแนนเฉลี่ย 5.17 คะแนน และ 19.28 คะแนนตามลำดับ และเมื่อเปรียบเทียบระหว่าง คะแนนก่อนและหลังเรียน พบว่า คะแนนหลังสอบการออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ข้อที่ 1 ตอนที่2 เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนชุมชนที่11 วัดสุวรรณประดิษฐ์ ต่อการใช้การสอนแบบโฟนิกส์ (Phonics) เพื่อพัฒนาการออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษ เพื่อตอบวัตถุประสงค์การวิจัยข้อที่ 2 ผู้วิจัยได้ใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 18 คน ซึ่งเป็นนักเรียนระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนชุมชนที่11 วัดสุวรรณประดิษฐ์ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ทำ แบบประเมินความพึงพอใจที่มีต่อการสอนแบบโฟนิกส์ (Phonics) เพื่อพัฒนาการออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้แผนการสอน 7 ชั่วโมง ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น แสดงผลการวิเคราะห์ข้อมูลในตารางที่ 3
39 แบบสำรวจความพึงพอใจต่อการสอนแบบโฟนิกส์(Phonics) เพื่อพัฒนาการออกเสียงคำศัพท์ ภาษาอังกฤษ (กลุ่มตัวอย่าง 18 คน) ข้อ รายการ ระดับความพึงพอใจ เฉลี่ย ระดับ 5 4 3 2 1 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 1 นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีความ หลากหลาย 5 7 6 3.94 ดีมาก 2 นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการสอนออกเสียงภาษาอังกฤษด้วยโฟ นิกส์ 6 4 5 3 3.72 ดีมาก เนื้อหาข้อมูลวิธีการออกเสียง 3 มีเนื้อหาสาระครบถ้วน 6 4 8 3.88 ดีมาก 4 ภาพประกอบสื่อการสอนโฟนิกส์มีความสวยงาม มีสีสันน่าสนใจ 6 5 7 3.94 ดีมาก 5 เนื้อหาและตัวอย่างเข้าใจง่าย 1 0 4 4 3.77 ดีมาก บรรยากาศในการเรียนรู้ 6 นักเรียนสนุกกับกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนแบบโฟนิกส์ 8 5 1 4 3.94 ดีมาก 7 นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้มากขึ้น 1 0 3 4 1 4.22 ดีมาก ประโยชน์ที่ได้รับจากการเรียนรู้ 8 กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนแบบโฟนิกส์ช่วยให้นักเรียน เรียนรู้การอ่านออกเสียงได้ 7 4 7 4 ดีมาก 9 การสอนโฟนิกส์ช่วยให้นักเรียนอ่านออกเสียงคำศัพท์ที่ไม่คุ้นเคย ได้ 5 7 5 1 3.88 ดีมาก 10 นักเรียนสามารถนำโฟนิกส์ไปใช้อ่านออกเสียงคำศัพท์ในอนาคต ได้ 5 5 7 1 3.77 ดีมาก เฉลี่ยรวม 4 ด้าน 3.90 ดีมาก จากตารางที่ 3 พบว่า ความพึงพอใจของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างที่มีต่อ การสอนแบบโฟนิกส์(Phonics) เพื่อ พัฒนาการออกเสียงคำศัพท์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนชุมชนที่11 วัดสุวรรณประดิษฐ์ โดย
40 ภาพรวมนักเรียนมีระดับความความพึงพอใจในระดับ ดีมาก (ค่าเฉลี่ย = 3.90) ซึ่งแปลความหมายคะแนนระดับ ความพึงพอใจอยู่ในระดับ ดีมาก สามารถพิจารณารายด้านได้ดังแผนภาพที่ 2 จากแผนภาพที่ 2 พบว่าความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนชุมชนที่11 วัดสุวรรณ ประดิษฐ์ต่อการใช้การสอนแบบโฟนิกส์ (Phonics) เพื่อพัฒนาการออกเสียงคำศัพท์ภาษาอังกฤษ สามารถแยก พิจารณาเป็นรายด้าน 4 ด้านใหญ่ได้ ดังนี้ ด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีความหลากหลาย จากนักเรียน 18 คน มีความพึง พอใจมาก 7 คนซึ่งเยอะเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือพึงพอใจ 6 คนและพึงพอใจมากที่สุดอีก 5 คน ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.94 นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการสอนออกเสียงภาษาอังกฤษด้วยโฟนิกส์ จากนักเรียน 18 คน มีความพึง พอใจมากที่สุด 6 คนซึ่งเยอะเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือพึงพอใจ 5 คน พึงพอใจมาก 4 คน และพึงพอใจน้อย 3 คน ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.72 5 6 6 6 10 8 10 7 5 5 7 4 4 5 4 5 3 4 7 5 6 5 8 7 4 1 4 7 5 7 3 4 1 1 1 0 2 4 6 8 10 12 ความพึงพอใจต่อการใช้การสอนแบบโฟนิกส์เพื่อพัฒนาการออกเสียงค าศัพท์ พึงพอใจมากที่สุด พึงพอใจมาก พึงพอใจ พึงพอใจน้อย พึงพอใจน้อยที่สุด
41 ด้านเนื้อหาข้อมูลวิธีการออกเสียง มีเนื้อหาสาระครบถ้วน จากการสำรวจความพึงพอใจของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 18 คน พบว่า มี ความพึงพอใจ 8 คนซึ่งเยอะเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือพึงพอใจมากที่สุด 6 คนและพึงพอใจมาก 4 คน ค่าเฉลี่ย อยู่ที่ 3.88 ภาพประกอบสื่อการสอนโฟนิกส์มีความสวยงาม มีสีสันน่าสนใจ จากการสำรวจความพึงพอใจของนักเรียน กลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 18 คน พบว่า มีความพึงพอใจ 7 คนซึ่งเยอะเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือพึงพอใจมากที่สุด 6 คนและพึงพอใจมาก 5 คน ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.94 เนื้อหาและตัวอย่างเข้าใจง่าย จากการสำรวจความพึงพอใจของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 18 คน พบว่า มีความพึงพอใจมากที่สุด10คนซึ่งเยอะเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือพึงพอใจมากและพึงพอใจอย่างละ 4 คน ตามลำดับเท่ากัน ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.77 ด้านบรรยากาศในการเรียนรู้ นักเรียนสนุกกับกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนแบบโฟนิกส์ จากการสำรวจความพึงพอใจของ นักเรียนกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 18 คน พบว่า มีความพึงพอใจมากที่สุด 8 คนซึ่งเยอะเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือพึง พอใจมาก 5 คน พึงพอใจน้อย 4 คน และพึงพอใจอีก 1 คน ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.94 นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้มากขึ้น จากการสำรวจความพึงพอใจของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 18 คน พบว่า มีความพึงพอใจมากที่สุด 10 คนซึ่งเยอะเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือพึงพอใจ 4 คน พึงพอใจมาก 3 คน และพึงพอใจน้อยอีก 1 คน ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4.22 ด้านประโยชน์ที่ได้รับจากการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนแบบโฟนิกส์ช่วยให้นักเรียนเรียนรู้การอ่านออกเสียงได้ จากการ สำรวจความพึงพอใจของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 18 คน พบว่า มีความพึงพอใจมากที่สุดและพึงพอใจเท่ากัน อย่างละ 7 คนซึ่งเยอะเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือพึงพอใจมาก 4 คน ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 4 การสอนโฟนิกส์ช่วยให้นักเรียนอ่านออกเสียงคำศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยได้ จากการสำรวจความพึงพอใจของ นักเรียนกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 18 คน พบว่า มีความพึงพอใจมาก 7 คนซึ่งเยอะเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือพึงพอใจ มากที่สุดและพึงพอใจอย่างละ 5 คน และพึงพอใจน้อยอีก 1 คน ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.88
42 นักเรียนสามารถนำโฟนิกส์ไปใช้อ่านออกเสียงคำศัพท์ในอนาคตได้ จากการสำรวจความพึงพอใจของ นักเรียนกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 18 คน พบว่า มีความพึงพอใจ 7 คนซึ่งเยอะเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือพึงพอใจมาก ที่สุดและพึงพอใจมากอย่างละ 5 คน และพึงพอใจน้อยอีก 1 คน ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.77