การเพาะเลยี้ งเนอ้ื เยือ่
ปจจุบันนี้ เทคโนโลยีดานการเกษตรไดกาวหนาไปอยางมาก เปนท่ีรูจักกันมากในขณะนี้คือ การตัด
ตอยีนสเพื่อใหสายพันธุพืชสายใหมที่ทนตอโรค แมลง และใหผลผลิตสูง หรือรูจักกันในนามพืช GMO ท่ี
กําลังเปนปญหาถกเถียงกันในขณะนี้วาพืชบางอยางไดตัดตอยีนสแลวบางตัวมีผลทําใหแมลงตาง ๆ ตาย ซ่ึง
แมลงบางตัวเปนแมลงทีมีประโยชน อาจสงผลใหสภาพความสมดุลทางธรรมชาติสูญเสียไปดวย การ
เพาะพันธุตนไมในสภาพที่ปลอดเช้ือหรือ การเพาะเลี้ยงเนื้อเย่ือพืช (Tissue Culture) เปนอีกวิธีหนึ่งของ
เทคโนโลยีดานการเกษตรชนิดอ่ืนที่นอกเหนือจากพืชสวน พืชไร ไมดอก เชนการเพาะเลี้ยงเย่ือสมุนไพร
เพราะวิธีการน้ีสามารถขยายพันธุไดเร็วและจํานวนมาก แตมีขอเสียอยูคือตนทุนในการจัดต้ังหองปฏิบัติการ
คอนขางสูง และข้ันตอนในการปฏิบัติการขยายพันธุคอนขางยาก ถาเทียบกับการขยายพันธุไมดอก กลวยไม
หรือไมประดับ เพราะวาสมุนไพรในแตละชนิดจะมียาง ซึ่งในยางนั้นจะมีตัวยาแตกตางกันไป และตัวยาใน
ยางของสมนุ ไพรนเี่ องทม่ี กั จะทําปฏิกริยากบั ธาตอุ าหารสงั เคราะหท่ใี ชเล้ยี งตน พชื สมุนไพร บางครงั้ อาจทําให
พืชนั้นไมเจริญเติบโต ไมแตกกอ ไมดูดสารอาหาร และจะทําใหพืชนั้นตายในที่สุด แตถาหากทดลองสูตร
อาหารไดสูตรทีเ่ หมาะสมกับพืชนั้นๆ ก็จะเจรญิ เติบโตไดดี
การเพาะเลย้ี งเน้ือเยอ่ื พืช คือ การนําสวนใดสว นหนึ่งของพืชไมว า จะเปน สวนเนื้อเยือ่ อวัยวะตาง ๆ ของพืช
หรอื เซลล มาเล้ยี งในสภาพที่ปลอดเชอ่ื จุลินทรีย โดยมกี ารควบคมุ สภาพแวดลอม เชน อณุ หภูมิ แสง ความชน้ื
สว นตางๆ ของพชื เหลานีจ้ ะสามารถเจริญเตบิ โตพัฒนาเปนตน ใหม โดยท่พี ชื ทกุ ตนจะมีลักษณะเหมอื นกนั
ดว ยเหตนุ ้กี ารเพาะเลย้ี งเนอ้ื เยอ่ื พืชจึงมีประโยชนอ ยา งกวางขวางในหลายสาขา เชน ทางดานการเกษตรทําให
สามารถขยายพนั ธไุ ดจ าํ นวนมากในเวลาอนั รวดเรว็ หรือสามารถผลิตตน พันธทุ ป่ี ลอดเชอ้ื ไดจ าํ นวนมาก และ
ยงั สามารถสรางพันธุใ หม ๆ ไดโดยการเพาะเลยี้ งคพั ภะ (Embryo) อบั ละอองเกสร (Anther Culture)
นอกจากนเ้ี ทคนิคการเพาะเลีย้ งเน้ือเย่ือพืชยงั มคี วามสาํ คัญ สาํ หรบั การเกบ็ รักษาพันธุพ ชื ในสภาพปลอดเชอ้ื ได
ดี
ประโยชนข องการเพาะเลยี้ งเนอื้ เยอื่
คุณสมบตั ิทถ่ี กู นํามาใชใ หเกิดประโยชนข องวธิ เี พาะเลี้ยงเนอ้ื เยือ่ มีหลายขอพอสรุปไดด ังนี้
1. สามารถผลิตตนพันธุพืชปรมิ าณมาณมากในระยะเวลาอนั รวดเรว็ ตัวอยางเชน หากพชื สามารถเพิม่
ปรมิ าณได 3 เทา ตอการยา ยเนอื้ เยื่อลงอาหารใหมท ุกเดอื นๆ ละ 1 ครงั้ เมอื่ เวลาผานไป 6 เดือน จะ
สามารถผลิตตนพนั ธุพชื ไดถึง 243 ตน
2. ตน พชื ท่ผี ลติ ไดจะปลอดโรค โดยเฉพาะโรคท่ีมสี าเหตจุ ากเช้อื ไวรสั มายโคพลาสมา ดว ยการตดั
เน้อื เยือ่ เจรญิ ทอ่ี ยูบริเวณปลายยอดของลาํ ตน ซึง่ ยงั ไมม ีทอ นํ้าทออาหาร อนั เปนทางเคลื่อนยายของ
เชอ้ื โรค
ดงั กลา ว
3. ตนพืชทผี่ ลติ ได จะมลี ักษณะทางพันธกุ รรมเหมือนตน แม คือ มลี ักษณะตรงตามพันธุ ดว ยการใช
เทคนคิ ของการเลยี้ งจากชิน้ ตาพืชพฒั นาเปน ตนโดยตรง หลีกเล่ียงขั้นตอนการเกดิ กลมุ กอ นเซลลที่
เรียกวา แคลลัส
4. ตน พืชท่ีผลติ ไดจ ะมขี นาดสม่ําเสมอ ผลผลติ ทีไ่ ดมีมาตรฐานและเกบ็ เก่ียวไดคราวละมากๆ พรอ มกนั
หรอื ในเวลาเดยี วกัน
5. เพอื่ การเก็บรกั ษาหรอื แลกเปล่ยี นพันธพุ ชื ระหวา งประเทศ เชน การมอบเช้อื พันธุกลว ยในสภาพ
ปลอด
เช้ือขององคก รกลว ยนานาชาติ (INIBAP) ใหกรมสง เสรมิ การเกษตร เมอื่ ป พ.ศ. 2542
6. เพอ่ื ประโยชนด านการสกดั สารจากตน พืช นํามาใชป ระโยชนดานตางๆ เชน ยาฆา แมลง
ยารักษาโรค เปน ตน
นอกจากนี้ ยงั มคี ุณประโยชนอ ีกหลายประการ เชน เพือ่ การผลิตพืชทนทานตอ สภาพแวดลอม ทนกรด
ทนเคม็ เปน ตน หรือการใชป ระโยชนเ กยี่ วกับการศกึ ษาทางชีวเคมี และสรีรวทิ ยาของพืช เปน ตน ในสว นของ
กรมสง เสริมการเกษตรไดน าํ ประโยชนขอ 1-4 มาเปนขอกําหนดคณุ ลักษณะพนั ธุพืชท่ผี ลิตดว ยวธิ ีการ
เพาะเลย้ี งเนื้อเย่ือกอ นนาํ เขา ระบบสงเสรมิ สเู กษตรกร คือ ตนพันธุพชื ท่ีผลิตไดต อ งปลอดโรค มีลักษณะตรง
ตามพันธุและสามารถขยายไดปริมาณมากในเชงิ อุตสาหกรรม นบั เปน หนว ยงานแรกของภาครัฐทมี่ ีการนาํ
เทคโนโลยีเพาะเลี้ยงเนอื้ เยื่อมาพัฒนาใชก บั งานขยายพันธุพืชเศรษฐกจิ ในเชิงพานิชยอ ยา งเปนรูปธรรมและ
พรอ มนําไปใชใ นระบบสงเสรมิ ตวั อยา งพันธพุ ืชเพาะเลย้ี งท่มี ีการทดลองนํารองปลูกในสภาพไร และประสบ
ผลสําเร็จเปนอยางดี ไดแ ก หนอ ไมฝรั่ง กลว ย ออ ย สบั ปะรด ไผ เบญจมาศ และสตรอเบอร่ี เปนตน
อปุ กรณ
อปุ กรณที่ใชก บั งานเพาะเลย้ี งเนือ้ เยื่อคอ นขางมมี ากชนิด การจัดวางเครอ่ื งมือตองคํานงึ ถึงความสะดวกใน การ
ใชต อ พื้นท่ีใหเ กดิ ประโยชนม ากทีส่ ุดถากําหนดชนิดของเครือ่ งมอื ตามตําแหนงของการใชง านภายในหอง
ปฏบิ ตั ิการ จะแบงออกเปน 3 หอ งใหญๆ คอื
1. หอ งเตรยี มอาหาร
2. หองตัดเน้อื เยอ่ื
3. หอ งเลย้ี งเนือ้ เยือ่
ภายในแตละหอ งจะมอี ปุ กรณแ ละเครือ่ งมือทีใ่ ชงานเปน ประจาํ แตกตา งกนั ไปตามลกั ษณะงานดงั น้ี
1 หองเตรยี มอาหาร เปน หอ งทีใ่ ช เ ก็บสารเคมแี ละวัสดุอปุ กรณเพ่อื การช่ังสาร หรอื ผสมอาหาร
หมอนงึ่ ความดันไอ ตูอบความรอนแหง ดังนี้
จดั วางในตหู รือบนชน้ั วางของอยา งเปน ระเบียบเปน หมวดหมหู รือตามอกั ษรที่สําคัญ
ควรอยบู รเิ วณเดียวกับทวี่ างเครอ่ื งชงั่
1.2 เครือ่ งชง่ั เคร่ืองวัดความเปน กรด-ดาง ควรวางอยบู นโตะ ทม่ี ่นั คงไมส นั่ สะเทอื นงาย
1.3 เคร่ืองแกวและเคร่ืองมอื อื่นๆ ควรมีท่เี กบ็ มิดชดิ และไมห า งจากอางนํ้ามากนกั
1.4 อา งนํ้า ใชส าํ หรับลางทาํ ความสะอาดเครอ่ื งมอื ตางๆ เพ่ือความสะดวกตอการปฏบิ ตั งิ าน อาจอยูมมุ หน่ึง
ของบริเวณหอง
1.5 บรเิ วณเตรยี มอาหาร ควรเปน โตะหรอื พนื้ ท่ีทีม่ คี วามสงู พอท่ีจะปฏบิ ตั ิงานในลกั ษณะยืนหรือนง่ั กไ็ ด
1.6 เครอ่ื งกรองนาํ้ อาจใชเ ครอ่ื งกรองนํา้ ดม่ื ตามบานได
1.7 เคร่อื งชงั่ มี 2 แบบ คอื เครอ่ื งชง่ั อยา งละเอยี ด และเครอ่ื งช่ังอยา งหยาบ
-- เครอ่ื งชงั่ อยา งละเอียด สามารถชั่งไดเ ปนมิลลกิ รัม หรือทศนิยม 4 ตาํ แหนง ใชสาํ หรบั ชั่งสารเคมี วติ ามิน
และสารควบคมุ การเจริญเตบิ โต ซ่งึ ใชป ริมาณนอยมาก
-- เครอ่ื งช่งั อยางหยาบ ชงั่ ไดเ ปน กรมั หรอื ทศนยิ ม 2 ตําแหนง ใชส าํ หรบั ชง่ั สารเคมีทใ่ี ชปรมิ าณมาก เชน วนุ
และนํา้ ตาล
1.8 เครอ่ื งวดั ความเปนกรด-ดา ง (pH-meter) ใชวัดคาความเปน กรด-ดา ง ของอาหารสงั เคราะห
ควรอยูทรี่ ะดบั 5.6
1.9 เคร่อื งคนสารละลาย ใชสาํ หรับคนสารละลายเมือ่ ใสแทง คนไฟฟา (Magnetic stirror) ขณะ
เตรยี มอาหาร
1.10 เตาตม อาหาร อาจเปนเตาไฟฟาหรือเตาแกส ใชสาํ หรับตม อาหารเพ่อื ใหว นุ ละลาย
1.11 ตูอบความรอ นแหง (Hot air oven) ใชใ นการอบฆาเช้อื เครือ่ งแกวและอปุ กรณใ นการตัดยา ย เนือ้ เย่อื โดย
ใชอณุ หภมู ิ 180 องศาเซลเซียส เปน เวลา 2-3 ชั่วโมง
1.12 เคร่อื งแกว ปจ จุบนั นยิ มใชเปน พลาสตกิ เพราะลดความเสยี หายจากการแตกรา วไดคอ นขางมาก
-- ฟลาสคหรือขวดรูปชมพู ขนาด 50-1,000 มิลลิลติ ร
-- บกี เกอร ใชป รบั ปรมิ าตรของอาหาร ขนาด 20-1,000 มิลลิลติ ร
-- กระบอกตวง ขนาด 5-1,000 มลิ ลิลติ ร
-- ไปเปต ใชดดู สารละลายปริมาณนอ ย ขนาด 0.1-10 มลิ ลลิ ิตร
1.13 หมอนึ่งความดนั ไอ (Autoclave) ใชน ง่ึ ฆา เชอื้ จลุ นิ ทรียในอาหารวุน โดยใชค วามรอ น ที่
อณุ หภมู ิ 121 องศาเซลเซียส ความดัน 15 ปอนดต อตารางน้ิว เปน เวลา 15-20 นาที อาจเปนแบบหมอ ไฟฟา
อัตโนมัติ หรือเปน แบบทใี่ ชค วามรอนจากเตาแกส มีทั้งแบบแนวตงั้ และแนวนอน หมอแบบแนวนอนจะมี
ความจุมากกวา หมอ แบบแนวตง้ั และมีราคาคอนขา งสงู
-- หมอ น่ึงความดันไอแบบใชไฟฟา แนวตงั้ เปนแบบที่ไดร บั ความนยิ ม มีใชใ นหอ ง
ปฏบิ ตั กิ ารเพาะเลย้ี งเนือ้ เยื่อเกือบทุกแหง
-- หมอ น่งึ ความดนั ไอ แบบใชไ ฟฟาแนวนอน สามารถนงึ่ อาหารไดปรมิ าณมากกวาหมอ
แบบแนวตง้ั
-- หมอนึ่งความดันไอ แบบใชแ กส ใชหลักการเดยี วกบั หมอ นึง่ เชอื้ เหด็ ประสทิ ธิภาพการ
ทาํ งานสงู หรอื ตา่ํ ขนึ้ อยูก ับผปู ฏบิ ัติงาน สามารถควบคุมอณุ หภมู ิ และความดันใหคงที่ตามกําหนดเวลา ได
หรอื ไม
2 หองตัดเนอ้ื เยือ่ เปนหอ งทมี่ เี จาหนา ท่ีปฏบิ ัตงิ านมากทสี่ ดุ ศูนยรวมของกิจกรรมเพาะเลี้ยงเน้ือเย่ือ
จะอยใู นหอ งน้ี ควรเปน หองทมี่ รี ะบบปอ งกันการปนเปอ นของเชอ้ื ผวิ พนื้ หอ งทกุ ดา นทงั้ ฝาผนงั พืน้ หอง ควร
มีผดิ เรียบมนั ไมเปน ท่ีสะสมของฝุนละออง ทําความสะอาดงาย วสั ดอุ ปุ กรณท ี่อยใู นหองนี้จะประกอบไปดว ย
ตตู ัดเนื้อเยื่อ จาํ นวนมากนอยเปนไปตามปริมาณการผลติ ของแตละแหง ดงั นี้
2.1 ตตู ดั เนอื้ เยอ่ื เปน ตปู ลอดเชอื้ ที่ใชกบั งานตดั ยา ยชิน้ พชื มีระบบการหมุนเวยี นของอากาศภายในตทู สี่ ะอาด
ปราศจากเช้อื จลุ นิ ทรียตลอดเวลาของการปฏบิ ัตงิ าน ดว ยระบบการถายเทอากาศผานแผนกรองทีม่ ีรูพรนุ
ขนาดเลก็ ประมาณ 0.3 ไมครอน ซ่ึงเช้อื จุลนิ ทรยี ไมสามารถเล็ดลอดผา นได ท้ังนี้ควรเช็ดทาํ ความสะอาดตทู งั้
กอ นปฏบิ ัติงานและหลังเลกิ งานในแตล ะวนั โดยเชด็
ออกดา นนอกตูเสมอดวยแอลกอฮอล 70% รวมท้งั การเปล่ียนแผน กรองเช้ือจุลนิ ทรยี ต ามกําหนดเวลาเพอื่ รักษา
ประสิทธภิ าพความเปน ตูปลอดเชือ้
2.2 วัสดุหรอื เคร่อื งมอื ทใ่ี ชตัดเนื้อเยื่อ ไดแก
- มดี ผา ตดั นยิ มใชดา มมดี เบอร 3 กบั ใบมีดเบอร 10 หรอื 11
- ปากคบี (forcepts) ใชหนีบจับชิน้ พืช มขี นาดความสัน้ ยาว ตา งกันไปขึน้ กับความสะดวกในการปฏิบัตงิ าน
- ตะแกรงสําหรบั วางมดี และปากคบี
- ตะเกียงแอลกอฮอล
- จานรองหรือกระดาษ ทผี่ า นการน่งึ ฆาเชอ้ื แลว ใชรองตดั ช้ินเนื้อเยอื่
วัสดุเหลา นก้ี อ นนาํ มาตดั เนอ้ื เยื่อตองทาํ การฆาเชื้อจุลนิ ทรยี โดยการนงึ่ ฆา เชือ้ ดว ยหมอ น่ึงความดนั ไอ
หรอื การอบความรอ นแหง ภายหลงั ส้ินสดุ การปฏิบัตงิ านทกุ ครัง้ ตองนําเครื่องมอื เหลา นัน้ มาลา งใหส ะอาดดว ย
นาํ้ ยาลางจาน เช็ดใหแ หง หอดว ยกระดาษตะกว่ั แลวจงึ นําไปฆา เช้อื จลุ นิ ทรยี เ พื่อการนาํ มาใชใ หมใ นครั้งตอ ไป
2.3 อุปกรณอ นื่ ๆ ไดแก
1. เกาอ้มี พี นกั สําหรับพนกั งานตัดเนอ้ื เย่ือ
2. รถเข็นสําหรับวางขวดอาหาร ขวดเน้ือเยือ่ พชื
2.4 อุปกรณดบั เพลงิ ควรมปี ระจาํ ทกุ ชน้ั และทกุ หอ ง โดยเฉพาะหองตัดเนอ้ื เย่ือเพราะขณะปฏบิ ตั ิ
งาน มีการลนไฟฆา เชื้อวสั ดอุ ุปกรณต ลอดเวลา อาจเกดิ อบุ ตั เิ หตุไฟลกุ ไหมภายในตไู ด
3 หอ งเล้ียงเนอื้ เยอ่ื เปนหอ งปลอดเช้ือ ควบคุมอณุ หภมู ใิ หอยูระหวา ง 25-25 องศาเซลเซียส ใชเ ปนสถานทว่ี าง
ขวดเน้ือเยอ่ื พชื เปน หอ งท่ไี มค วรอนุญาตใหผทู ไ่ี มม หี นา ท่เี ก่ียวของเขา ออกโดยเดด็ ขาดเพราะจะทําใหเกดิ การ
ปนเปอ นของเชอ้ื จลุ ินทรยี ใ นขวดเนื้อเย่อื พชื อาจทาํ ใหเ กิดความเสียหายกับตนพันธพุ ชื ในภาพรวมได อปุ กรณ
ทสี่ าํ คัญท่ีติดต้ังอยใู นหอง ไดแก
3.1 ชัน้ วางเนอ้ื เยอ่ื วัสดุทีป่ ระกอบเปนชนั้ อาจทาํ ดว ยไม เหลก็ ฉาก แสตนเลส หรืออลมู ิเนยี ม
เปน ตน ขนาดกวาง x ยาว x สงู ประมาณ 60 x 125 x 200 มชี ั้นวาง 5 ชน้ั แตละชนั้ หา งกนั ประมาณ 30
เซนติเมตร โดยสว นท่ที ําเปน พื้นควรจะเปน กระจกหรือฟอรไ มกา สีขาว หรือเปนตาขายโปรง มีหลอดไฟฟาท่ี
ใหความสวา งแกพ ืชเพ่อื การสังเคราะหแสง นิยมใชห ลอดไฟทเี่ รยี กวา Grolux เพราะมีคุณสมบัตขิ องการให
แสงสีแดง ซึ่งเหมาะกับการสงั เคราะหแสงของพชื แตหลอดชนดิ น้ีมรี าคาคอนขางสูง จงึ อาจใชห ลอดไฟ
ฟลอู อเรสเซนต ชนิดธรรมดาท่ีใชกบั อาคารบา นเรือนก็ได ทั้งนี้การติดต้ังหลอดไฟควรใหห ลอดอยหู างจากชนั้
วางเนือ้ เยื่อในระยะประมาณ 20 เซนติเมตร และแตละหลอดอยูหา งกนั ประมาณ 30 เซนตเิ มตร เพอ่ื ใหได
ความเขมแสง 2,000-3,000 ลักซ เมื่อวดั ดวยเคร่อื งมือ ทเ่ี รยี กวา Lux meter โดยเปด ไฟติดตอ กนั นาน
16 ชว่ั โมงตอ วนั จึงควรมนี าฬกิ าควบคมุ การปด -เปดไฟฟา (timer) ดวย
3.2 เครอ่ื งเขยาแบบโยก ใชส ําหรบั เนอ้ื เยอ่ื พืชท่เี ลีย้ งในอาหารเหลว มีลกั ษณะการเคลอื่ นทใ่ี นแนว
ขนานกับพน้ื โลกอัตรา 100-150 รอบตอ นาที เปน การเพมิ่ ออกซิเจนลงไปในอาหารเพอื่ ใหเน้ือเย่ือพืชไดรับ
ออกซเิ จนอยา งเพยี งพอตอ การเจรญิ เตบิ โต
กิจกรรมภายในหองเตรยี มอาหาร
การปฏบิ ตั งิ านภายในหอ งเตรยี มอาหาร จะเริ่มตนจากการชั่งสารตามสูตรอาหารที่ตองการผสมเปน สตอ็ ก
สารละลาย ปรับคาความเปนกรด-ดา ง หลอมอาหาร และบรรจขุ วดกอนนง่ึ ฆาเชื้อเพอื่ รอการนาํ ไปใช
ตามลาํ ดบั ดงั นี้
1. ช่งั สารเคมี เปนขนั้ ตอนทส่ี ําคญั ขน้ั ตอนหน่งึ ตองการความแมน ยาํ สงู โดยเฉพาะสารเคมที ีใ่ ชป รมิ าณนอย
จึงตอ งช่ังดว ยเครอ่ื งชั่งอยา งละเอียด สามารถช่งั ไดทศนยิ ม 4 ตาํ แหนง
2. สาํ หรับสารเคมที ใี่ ชป ริมาณมาก จะช่ังดว ยเครอ่ื งช่งั อยา งหยาบ ชัง่ ไดท ศนิยม 2 ตําแหนง เชน นาํ้ ตาล หรือ
วุน
3. ผสมสารเคมี ตองทาํ ใหส ว นประกอบของสารเคมลี ะลายผสมเขา กันไดห มด โดยใชเ ครือ่ งคนสารละลาย
รว มกบั แทงคนไฟฟา
4. วัดความเปน กรด-ดา ง (pH) ใหป รบั ใชท ร่ี ะดับ 5.6 ซ่ึงเหมาะสมตอ การทพ่ี ชื จะนาํ ธาตอุ าหารไปใชใ นการ
เจรญิ เติบ แตในอาหารบางสูตรอาจใชทีร่ ะดับ pH 5 เชน อาหารกลวยไม
5. หลอมอาหาร เมอื่ ผสมอาหารเสรจ็ เรียบรอยแลว นาํ มาหลอมวนุ ใหล ะลายบนเตาแกสหรือไมโครเวฟกไ็ ด
6. กรอกอาหาร ลงภาชนะตา งๆ เชนขวดหรือถงุ หรอื กลองพลาสตกิ เปนตน แตภ าชนะที่ตองทนความรอ น
และสิง่ ทีต่ อ งระมดั ระวงั ขณะกรอกอาหาร คอื พยายามอยา ใหอาหารเลอะปากภาชนะ เพราะเปน สาเหตขุ อง
การปนเปอนจากเชอ้ื จลุ ินทรยี ไ ดง าย
7. อาหารวุนในขวด กรอกอาหารลงขวดขนาด 4 ออนซ (ขวดน้าํ พรกิ เผา) ปรมิ าณอาหารที่กรอกขวดละ 20-25
มลิ ลลิ ิตร (1 ลติ รกรอกไดป ระมาณ 40-45 ขวด) ปด ฝาใหส นทิ นาํ ไปนงึ่ ฆาเช้ือ
8. อาหารวนุ ในถุง กรอกอาหารลงถงุ ขนาด 4*6 น้ิว (ถุงรอน) ปริมาณอาหารที่กรอกถุงละ30-35 มลิ ลลิ ิตร (1
ลติ ร กรอกไดป ระมาณ 25-30 ถุง) นําไปนง่ึ ฆาเชอ้ื
9. นําอาหารวนุ เขาหมอน่ึงความดนั ไอ เพอ่ื น่ึงฆา เชอื้ เมอื่ เตรียมอาหารเรียบรอ ยแลว ควรทาํ ใหปลอดเชอ้ื
ภายในวนั เดยี วกนั ดว ยหมอ นึ่งความดนั ไอทอ่ี ณุ หภมู ิ 121 องศาเซลเซียส ความดัน 15 ปอนดตอ ตารางน้วิ เปน
เวลา 15-20 นาที (เวลาอาจปรบั เปลยี่ นตามขนาดของภาชนะและปริมาตรของอาหาร) เมอ่ื น่งึ ฆา เชอื้ เรยี บรอย
แลว รีบนาํ อาหารออกจากหมอ น่ึงความดนั ไอทันทที ค่ี วามดนั ลดลงเปน 0 ถา เปนขวดควรปด ฝาใหแ นน
เน่ืองจากฝาขวดอาจขยายตัว เม่อื ผา นการนง่ึ ฆา เชื้อแลว และควรเกบ็ ไวป ระมาณ 1 สัปดาหกอนนาํ ไปใช เพอ่ื
ตรวจสอบอกี ครง้ั วา ไมม กี ารปนเปอ นของเชอื้ จลุ นิ ทรยี
10. สต็อกอาหารวนุ ผา นการนึง่ ฆา เชอ้ื แลว เก็บไวประมาณ 1 สปั ดาห กอ นนํามาใช
กจิ กรรมภายในหองตดั เนอ้ื เยอ่ื
จะเปนการตัดยายเนอื้ เยือ่ ไปเล้ยี งบนอาหารใหม ซึง่ ตองอาศยั เทคนคิ ปลอดเชื้อ เจาหนา ท่ปี ระจํา
หองปฏบิ ัติการ ตองเตรียมตวั ใหอ ยใู นสภาพท่ีพรอมทํางานตงั้ แตทาํ ความสะอาด มอื และแขนดวยสบู สวมผา
คลุมผม ใสถ ุงมือ ผา ปด ปากปด จมกู และสวมชดุ ปฏิบัติการ เปน ตน ตามลําดบั ดังนี้
1. การรักษาความสะอาดดว ยการลางมือใหสะอาดดว ยสบู และสวมชดุ ปฏบิ ตั กิ าร ประกอบดว ยถงุ มือ ผาคลมุ
ผม ผาปด ปากปด จมูก และเปลี่ยนรองเทากอ นเขาหองปฏิบัตกิ ารทกุ ครั้ง
2. เชด็ ทําความสะอาดตูปลอดเชอื้ กอนใชงานและควรเปด สวิทซต ใู หร ะบบตางๆ ภายในตูทาํ งานกอ น
ปฏบิ ตั ิงาน 15-30 นาที
3. วางอปุ กรณท ่ใี ชตัดเน้ือเยอ่ื ในตาํ แหนง ท่ีเหมาะสมและสะดวกตอการปฏบิ ัติงาน
4. การลนไฟเคร่ืองมือทใ่ี ชปฏิบตั ิงานเพอ่ื ฆาเชอ้ื จลุ นิ ทรยี กอ นเร่มิ ตดั เน้อื เยื่อ
5. ตดั เนอื้ เย่อื ปลายยอด apical meristem ในกรณที ่ผี ลิตปลอดโรค
6. ตดั เนือ้ เยอื่ ระยะเพิ่มปริมาณภายในตปู ลอดเช้ือ
7. นําชิ้นพชื ทตี่ ดั แบง วางเลยี้ งบนอาหารในขวดกอนปด ฝา
8. ลนไฟปด ปากถงุ
9. ลงบันทกึ ชนดิ พชื และ วนั /เดือน/ป ทตี่ ดั ยา ย
10. เนื้อเยือ่ พชื พรอมนาํ เขาเรียงบนช้ันในหอ งเลยี้ งเนอื้ เยอื่ ทีค่ วบคมุ แสง และอุณหภมู ิ
กจิ กรรมภายในหอ งเล้ียงเนอ้ื เยอื่
1. นําขวดเน้ือเย่อื พชื ทเ่ี ปล่ยี นอาหารใหม เขา หองเลี้ยงเนอื้ เยือ่
2. ทําความสะอาดช้ันเรียงพชื ดวยแอลกอฮอล 70% กอนเรียงเน้ือเยือ่ พชื
3. นําถงุ เน้อื เยอื่ พืชวางเรยี งบนชน้ั ทมี่ คี วามเขม แสง 2,000-3,000 ลักซ
4. เน้อื เยอื่ พืชระยะเพมิ่ ปริมาณในขวด
5. เนอ้ื เยอ่ื พืชระยะสดุ ทา ย (เกดิ ราก) ในถุง
6. ตรวจสอบการปนเปอ นเชอื้ จลุ นิ ทรียหากพบจะตองเกบ็ ทิ้งทนั ที หากปลอยทงิ้ ไวจ ะทาํ
ใหสปอรของเช้อื ราแพรกระจายออกจากขวดสบู รรยากาศของหองได
7. คัดเลือกแมพ นั ธุ เพ่อื การตดั -ขยาย
8. บนั ทกึ รายละเอียดและลักษณะของชนิ้ พชื
9. เตรยี มสง พชื เน้ือเย่อื ออกปลกู ในสภาพโรงเรือน
เมื่อตน พันธุพชื เพาะเลีย้ งเนอ้ื เยอ่ื ผลติ ไดครบจาํ นวนตามเปาหมาย จะถกู จัดเตรยี มเพอื่ นาํ ออก
อนบุ าล ในสภาพโรงเรอื น
วธิ ีการเพาะเลี้ยงเนอื้ เย่ือโดยสังเขปการเพาะเลี้ยงเนือ้ เยอ่ื พืชประกอบดว ยข้นั ตอนสาํ คญั หลัก 6 ข้ันตอน คอื
1. การคัดเลอื กเน้ือเยือ่ พชื
2. การฟอกฆาเชื้อ
3. การเตรยี มอาหารสาํ คัญเพาะเล้ยี งเนอื้ เย่ือ
4. การขยายพนั ธเุ พมิ่ จํานวน
5. การชักนํารากพืช
6. การยา ยออกปลกู
การทจ่ี ะทาํ การเพาะเลีย้ งเนอ้ื เยอื่ พชื ใหไดผ ลน้ันขน้ั แรกตองฆาเช้ือหองปฏิบตั ิการเพราะการเพาะเล้ยี งเน้ือเย่ือ
พืชนเ้ี ปนการเลี้ยงในสภาพท่ปี ลอดเชื้อ หองปฏบิ ตั ิการและเครอื่ งมอื ทุกอยา งตองปลอดเชื้อจลุ ินทรยี เพราะจลุ ิ
นทรียเปน ศัตรตู ัวฉกาจที่จะทําใหก ารทาํ งานของเรามีปญ หาท่สี ุด และนอกจากฆาเช้ือหอ งและอปุ กรณแลว
ช้ินสวนพืชทจ่ี ะนาํ มาขยายพนั ธตุ อ งทําการฆา เช้ือดว ย เรยี กวา วธิ ีฟอกฆา เชอ้ื ขนั้ ตอนในการทําก็คอื
1. เลอื กช้นิ สว นพชื ท่ีอยใู นชว งเจริญเตบิ โต เชน ยอดออ น เมลด็ ตาขาง ปลายราก แลว แตชนดิ ของพชื นั้น ๆ
2. นาํ ช้นิ สวนนัน้ มาตดั เปน เปน ทอ นใหส วนขอท่ีจะออกรากควรอยตู รงกลาง .....หรอื ถาเปน เมล็ดควรทําความ
สะอาดแตถ าเมลด็ นนั้ แข็งควรนาํ ไปแชน าํ้ อนุ สัก 1 คืน
3. เตรียมน้าํ ปรมิ าณขวดละ 90 ml นําไปนง่ึ ฆาเช้ือที่อณุ หภมู ิ 121 Cํ เปนเวลา 15 นาที
4. เม่ือไดนาํ้ ทผี่ านการฆาเชอื้ แลว ตวง Chlorox ปริมาณ 10-15 ml หยด Tween ประมาณ 2-3 หยด ถา เปนพืชท่ี
คอ นขา งสกปรกใสย าฆา เชอื้ (Anti biotic) ดว ย
5. นาํ ชน้ิ สว นทีล่ างสะอาดแลว ใสล งไปในขวด แลว เขยา ประมาณ 15 นาที
6. หลงั จากเขยา ครบ 10-15 นาทแี ลว ลางดว ยนา้ํ กล่ัน 3 ครัง้ คร้ังละ 15 นาที แตควรทาํ ภายใตสภาพปลอดเชอ้ื
7. หลงั จากทําการฟอกฆาเชอื้ แลว นําช้นิ สวนลงปลกู ในขวดอาหารทเี่ ตรยี มไว
วธิ กี ารเลอื กชิน้ สวนเนือ้ เยอื่ ทจี่ ะนาํ มาฟอกฆาเชอื้
1. พืชทเ่ี ปนเมล็ดควรเลือกเมล็ดที่มคี วามสมบรู ณท่ีสดุ เมล็ดออนหรือแกก ็ได
2. พชื ทีใ่ ชใ บขยายพนั ธุ เชน แอฟรกิ นั ไวโอเลต กลอกซเี นีย หรือกกุ ลายหิน ควรเลือกใบเพ่ิงแตกใหม
....เพราะการปนเปอนนอ ยและเย่อื กาํ ลงั เจริญ
3. พืชท่ีใชย อดขยายพนั ธุ ควรเลอื กยอดที่เพ่ิงจะแตกตาใหม เพราะเปน ชว งทพ่ี ืชพรอมจะเจรญิ เปน ตน
4. พชื ที่เปน หวั เปนเหงาหรอื แงง เชน กลว ย ขงิ ดาหลา ควรเลือกที่มตี าสมบรู ณ ถาเปนกลวย
.... ควรเลือกหนอ ทม่ี ีใบแคบหรือหนอ ทก่ี าํ ลังงอก
5. พชื ทีใ่ ชคพั ภะ ควรเลอื กคพั ภะทแี่ ก ไมค วรเลือกทอี่ อนเกนิ ไปจะไมงอก
ชนดิ ของเนือ้ เยือ่
เนอื้ เยือ่ ของพชื แบงเปน 2 ประเภท ตามความสามารถในการแบง ตัวของเนอื้ เยอื่ คอื
1. เนอื้ เย่อื เจริญ (meristematic tissue) จาํ แนกเปน 3 ชนดิ ตามตําแหนงที่อยใู นสว นตา ง ๆ ของพืช คือ
1.1 เน้อื เยอื่ เจรญิ สวนปลาย (apical meristem) พบตามบรเิ วณปลายรากและปลายยอดพชื
เม่อื แบงเซลลทําใหร ากและลําตน ยืดยาวออก
1.2 เนอ้ื เยอ่ื เจริญเหนือขอ (intercalary meristem) อยูบริเวณเหนอื ขอหรอื โคนของปลอง
1.3 เน้อื เย่อื เจรญิ ดา นขา ง (lateral meristem) จะแบงตวั ออกทางดานขา ง ทําใหร าก และ
ลําตน ขยายขนาดใหญขึ้น
2. เนือ้ เย่ือถาวร (permanent tissue) เปนเนอื้ เยอ่ื ที่เจรญิ เปล่ียนแปลงมาจากเนอ้ื เยอ่ื เจรญิ แบง ออกเปน 2
ประเภท คอื
2.1 เนือ้ เยอื่ ถาวรเชิงเดยี่ ว (simple permanent tissue) แบงไดห ลายชนิดตามหนา ทแี่ ละสวนประกอบภายใน
เซลล ไดแก
1. เอพิเดอรมิส (epidermis) คือ เน้อื เย่อื ทอ่ี ยูช้นั นอกสุดของสว นตาง ๆ ของพืช มกั เรยี งตัวช้ันเดียว
เซลลมลี ักษณะแบน แวควิ โอลขนาดใหญ เซลลเ รยี งตวั อดั แนน จนไมมชี อ งวางระหวา งเซลล ผนงั เซลลท่อี ยู
ดา นนอกมกั หนากวาผนังเซลลท่ีอยดู านใน มีควิ ทิน ( cutin )เคลอื บท่ีผนงั เซลล
2. พาเรงคมิ า (parenchyma) เน้ือเยื่อชนดิ นพี้ บไดท ว่ั ๆ ไปในพืช เซลลมีรปู รา งหลายแบบ ไดแ ก
คอ นขา งกลม รี หรอื รูปทรงกระบอก เม่อื เรียงตัวตดิ กันจงึ เกิดชอ งวางระหวางเซลล แวคิวโอลมขี นาดใหญ
เกือบเต็มเซลล พาเรงคมิ าทม่ี ีคลอโรพลาสอยูดว ย อาจเรยี กใหมว า คลอเรงคมิ า (chlorenchyma) ผนงั เซลล
ประกอบดว ยเซลลูโลส (cellulose)
3. คอลเลงคมิ า (collenchyma) เปนเนื้อเยื่อทีม่ ีเซลลรูปรางคลา ยคลงึ กบั พาเรงคิมา ผนงั เซลล
ประกอบดว ยเพกติน (pectin) และเซลลโู ลส ผนงั เซลลจะมคี วามหนาไมเ ทา กันโดยสวนหนามักอยตู ามมุม
เซลล พบเน้ือเย่อื ชนดิ นอี้ ยูตามกา นใบ เสน กลางใบ และในสว นคอรเ ทกซ (cortex) ของพชื ลม ลกุ คลอเรงคิมา
จะทําหนา ที่เพมิ่ ความแข็งแรงใหกับพืช
4. สเกลอเรงคิมา (sclerenchyma) เนอ้ื เย่ือชนิดน้ปี ระกอบดวยเซลลทมี่ ผี นงั หนามาก เพราะมีสาร
ลกิ นนิ (lignin) เคลือบผนงั เซลล จงึ เปน สวนท่ีทําใหพชื มีความแข็งแรง สเกลอเรงคมิ าประกอบดว ยเซลล 2
ชนดิ คอื ไฟเบอร (fiber) และสเกลอรีด (sclereid) ซ่งึ แตกตา งกนั ท่รี ปู รา งของเซลล
- ไฟเบอร เปนเซลลเ รยี งและยาว สว นสเกลอรีด เซลลม ีลักษณะสั้นกวาและมรี ปู รางตา งกัน
พบไดต ามสว นทีแ่ ข็งแรงของเปลอื กตนไม และเปลือกหมุ เมลด็ หรอื เนอื้ ผลไมส าก ๆ
2.2 เนื้อเยื่อถาวรเชงิ ซอ น (complex permanent tissue) ประกอบดว ยกลมุ เซลลห ลายชนดิ มาทาํ งานรว มกัน
ไดแก เน้อื เยือ่ ทอลําเลยี ง (vascular tissue) ซ่งึ ประกอบดว ย
1.ไซเลม (xylem)
เปนเน้ือเยอื่ ทที่ ําหนา ท่ลี ําเลียงนํ้าและแรธาตตุ าง ๆ ไปสสู วนตาง ๆ ของพชื ประกอบดว ยกลมุ เซลลท ีท่ ําหนาท่ี
หลักในการลําเลยี งน้ํา คอื
- เทรคดี (tracheid) เปน เซลลท ่ีมีรูปรางยาว ปลายคอนขา งแหลม ผนังเซลลหนามี สารพวกลิกนนิ สะสม เม่ือ
เซลลโตเต็มท่ีจะตาย โพรโทพลาสซึมสลายทาํ ใหเ กดิ ชอ ง ตรงกลางลําเลียงนาํ้ ไดด ี
- เวสเซล (vessel) มีขนาดใหญแตส ั้นกวา เทรคดี ประกอบดว ยเวสเซลเมมเบอร (vessel member) ซ่ึงเปน เซลล
ท่ีมผี นังหนามสี ารพวกลิกนนิ สะสม เซลลม ีรปู รางยาวหรอื สนั้ ปลายเซลลอาจเฉยี งหรือตรงและมชี อ งทะลุถงึ
กนั เวสเซลเมมเบอรห ลาย ๆ เซลลม าเรียงตอ กนั มลี กั ษณะคลา ยทอ นาํ้ เรียกวาเวสเซล
2.โฟลเอ็ม (phloem)
เปน เนือ้ เยอื่ ทที่ ําหนา ทลี่ าํ เลยี งสารอาหารทีใ่ บสงั เคราะหข นึ้ ไปสูสว นตา ง ๆ ของพชื ประกอบดว ยกลมุ เซลล
- ซีฟทวิ บเ มมเบอร (sieve tube member) มีรปู รา งเปน ทรงกระบอกยาว ท่ปี ลายผนังเซลลทง้ั 2 ดานจะมรี พู รนุ
เรียกวา
ซีฟเพลต (sieve plate) ซีฟทวิ บเมมเบอรห ลาย ๆ เซลลมาเรียงตอกันเรยี กวา ซีฟทวิ บ (sieve tube)
- คอมพาเนยี นเซลล (companion cell)
ตวั อยา งการเพาะเลยี้ งเนือ้ เยื่อ
การขยายพันธดุ าหลาโดยวธิ กี ารเพาะเล้ยี งเนอ้ื เย่ือ
นําหนอขา ง ท่ีแตกออกมาจากเหงาเดิม ซ่งึ ปลกู เลีย้ งไวในแปลงปลกู ตัดเอาหนอ ขางมีขนาดความ
กวา ง 3 ซม. ยาว 5 ซม. ออกจากเหงา ลางทําความสะอาดดว ยน้ําไหลเอาเศษดนิ ทต่ี ิดมาออกใหห มด
แลวจึงลางดว ยสบเู หลว พรอ มกับลอกกาบใบท่ีหมุ อยทู เี่ ปนแผล หรอื ทเี่ สียหายออกทิง้ ไป 2 - 3 ช้นั หลงั จาก
นัน้ ลา งดว ยนํ้ากลั่นอีกครง้ั แลวซับน้ําท่ีติดมาดว ยกระดาษทิชชู เม่ือแหง แลว ทาํ การฆาเชอ้ื ท่ีผิวนอกของหนอ
โดยเชด็ ดวยแอลกอฮอลเ ขมขน 70 เปอรเซน็ ต ใหทวั่ ท้ังหนอ หลังจากน้นั ทาํ การฆา เชื้อครัง้ ท่ี 2 โดยนาํ ไป
เขยา ในสารละลาย คลอรอ กซท่ีมคี วามเขม ขน 10 เปอรเซน็ ต เปนเวลานาน 15 นาที เมอื่ ครบเวลาจงึ
นาํ มาลางดว ยน้ํากลั่นท่นี ึ่งฆา เชอ้ื แลว 3 คร้ัง ทาํ ภายในตูปลอดเช้อื หนอ ทผี่ านการฆา เช้ือแลว มาตัดโดยเรม่ิ
จากการลอกกาบใบออกทลี ะช้ัน จนถึงสว นของปลายยอด (shoot tip) ตัดชนิ้ สวนใหม ีขนาด 0.5 x 0.5 ซม.
แลว นาํ ไปเลย้ี งบนอาหารวนุ สตู ร MS (1962) ท่ีเตมิ BAP ความเขม ขน 2 มก/ล. เลีย้ งในหอ งเลี้ยงท่ใี ห
ความเขมแสงประมาณ 1,900 ลักซ เปนเวลานาน 16 ชั่วโมงตอ วัน อุณหภมู ิ 25 2 cํ หลังจากเลีย้ ง
เน้อื เยอื่ ไดนานประมาณ 60 - 80 วนั เรม่ิ แทงใบออกมาและคลอ่ี อก ยอดประกอบดว ยใบออ นทอ่ี ดั กันแนน
มีการพฒั นาขนาดใหญและมีใบจาํ นวนมากข้ึน
สําหรบั การขยายเพ่อื เพิ่มจํานวนตน สามารทาํ ไดโดยใชย อด (shootlet) ท่ีไดจ ากการเลี้ยง
เนอื้ เยอ่ื ในสภาพปลอดเช้อื โดยเลือกตน ทมี่ คี วามสมํ่าเสมอกันสูงประมาณ 4 ซม. และมใี บ 3 - 5 ใบ แลว
ตัดใบทิ้งโดยใหช นิ้ สว นบรเิ วณลําตนมีขนาดยาว 1 ซม. แลว ทาํ การผา แบงครง่ึ ตามแนวยาว นาํ ไปเลย้ี งบน
อาหารเหลวสตู ร MS (1962) ทเ่ี ติม BAP ความเขม ขน 2 มก/ล. นานประมาณ 30 วนั โดยมีอตั ราการ
ขยายพนั ธุ 1 ชน้ิ สวน สามารถพฒั นาเปน ยอดได 2 - 3 ยอด โดยข้นึ อยูก บั จาํ นวนตาขา งของชิ้นสว น สามารถ
ทําการยา ยเปลีย่ นอาหารเพ่อื เพ่มิ จํานวน ควรทาํ การยายประมาณ 2 - 3 ครั้ง เนือ่ งจากเมอ่ื เลี้ยงในอาหารเหลว
เปน เวลานานจะทาํ ใหช ้นิ สว นหรอื ยอดมลี ักษณะฉาํ่ นา้ํ ใบมลี กั ษณะเปราะหักงา ยดงั นน้ั จงึ ควรทาํ การยายเลี้ยง
ขยายเพือ่ เพิม่ จาํ นวนโดยเลี้ยงบนอาหารวนุ สูตร MS (1962) ทเ่ี ตมิ BAP ความเขม ขน 2 มก/ล. นานประมาณ
45 วัน
การชกั นาํ ใหเ กดิ ราก หลงั จากนัน้ เม่อื ยอดทเี่ ลย้ี งมีขนาดความสูงประมาณ 6 - 7 ซม. นาํ ยอด
มากระตุนใหเ กิดรากโดยยายยอดดาหลาทมี่ ีขนาดดงั กลา วเลย้ี งบนอาหารวนุ สูตร MS ที่ไมเตมิ สารควบคมุ การ
เจรญิ เตบิ โตพชื เลย้ี งนานประมาณ 30 วัน จงึ ทาํ การยายออกปลูก
สวนการยา ยตน กลา ดาหลาออกปลกู โดยนําตนกลาทีม่ รี ากแลว นาํ ตน กลามาลา งเอาเศษวนุ
ที่ติดมากับรากออกใหห มด แลว ทําการตดั รากออกใหมีขนาดความยาวประมาณ 1 - 2 ซม. แลวนาํ ไปปลกู ใน
ถุงพลาสตกิ สดี าํ ขนาด 2 x 4 นิว้ โดยใชว ดั สปุ ลูก คือ ทราย, ขเี้ ถา แกลบ และ ขุยมะพรา ว อตั ราสว นผสม 1
ตอ 1 ตอ 1 หลงั จากนน้ั นาํ ไปไวใ นแปลงพนหมอก เพาะชาํ นานประมาณ 1 - 2 เดือน จงึ ยา ยออกปลกู ลง
แปลงตอไป
ข้นั ตอนการขยายพนั ธดุ าหลาดวยวธิ กี ารเพาะเล้ยี งเนือ้ เยอ่ื
หนอขางที่แตกมาจากเหงา โดย
มีขนาด 3 x 5 ซม.
การชักนําใหเกดิ ยอดเม่ือเลี้ยงบนอาหารสูตร MS
ทเี่ ติม BAP 2 มก/ล. นาน 60 - 80 วัน
การเพ่ิมจาํ นวนยอดจาํ นวนมากเมอ่ื เลีย้ งใน
อาหารเหลวสตู ร MS ทเ่ี ตมิ BAP 2 มก/ล. นาน
30 วัน ในชวงแรก
การเพม่ิ จํานวนยอดจาํ นวนมากเมอื่ เล้ียงบน
อาหารสตู ร MS ทีเ่ ติม BAP 2 มก/ล. นาน 30 วนั
ในชวงหลัง
ยอดจํานวนมากเมื่อเลย้ี งในอาหารเหลวสตู ร MS
ไมท เี่ ตมิ สารควบคุมการเจรญิ เตบิ โตพืช นาน 30
วัน
การยายตน กลา ออกปลกู นาน 30 วนั