เอกภพ
และ
กาแล๊กซี่
THE UNIVERSE
AND GALAXIES
จัดทำโดย
นางสาวพิชามญชุ์
วันดี 23 นวิสาิงทสธิ์าไวพภั
ศทารลีดา25
นาใงจสสาุ ยวอะ
ร3ป9รียา
นางสาวรวิษฎา
เตชะนา 27
เสนอ
ครู ธัญจิรา บุญช่วย
หัวข้อ
กำเนิ ดขแอลงะเวอิวกัฒภนพาการ
หลัทกฤฐษานฎีทีบ่ิสกนแั บบสงนุน
และ
กาแล็ทกาซีงแช้ลางะเกผืาอแกล็กซี
กำเนิ ดและวิวัฒนาการของเอกภพ
การศึ กษาดาราศาสตร์ในอดีต
1.แบบจำลองเอกภพของชาวสุ เมเรียนและชาวบาบิโลน
(THE SUMERIANS AND BABYLONIANSMODEL)
-ชาวสุเมเรียนเชื่อว่าท้องฟ้ าเป็
นตัวแทนของสวรรค์และวัตถุ
บนท้องฟ้ าโคจรรอบโลกแบน ที่หยุดนิ่ ง ณ ศูนย์กลางของ
สวรรค์ โดยปรากฏการณ์ต่าง ๆ เช่น กลางวัน กลางคืน
และดาวตก เกิดจากการบันดาลของเทพเจ้า
-ชาวบาบิโลนเริ่มสังเกตและบันทึกการเคลื่อนที่ขึ้น – ตก
ของดาวต่าง ๆ ทำให้สามารถ ทำนายการเปลี่ยนแปลง
ฤดูกาล ปรากฏการณ์ต่าง ๆ บนท้องฟ้ าเกิดจากการบันดาล
ของเทพเจ้า
กำเนิ ดและวิวัฒนาการของเอกภพ
2.แบบจำลองเอกภพของชาวกรีก
(THE GREEK COSMOLOGY)
-มีการบัญญัติคำว่า คอสโมโลจี (COSMOLOGY) ซึ่งมีความ
หมายว่าจักรวาลวิทยา คำว่า COSMO นั้ นมาจาก KOSMOS
ในภาษากรีกแปลว่าสมมาตร และสอดคล้องกลมกลืน
-อริสโตเติล (ARISTOTLE) ได้เสนอแนวคิดที่ขัดแย้งต่อ
แนวความคิดในสมัยนั้ น คือ โลกมีสัณฐานเป็ นทรงกลม
-อาริสตาร์คัสแห่งซามอส (ARISTARCHUS OF SAMOS)
เป็ นผู้ระบุว่าโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ซึ่งเป็ นศูนย์กลาง
(HELIOCENTRIC)
กำเนิ ดและวิวัฒนาการของเอกภพ
3.แบบจำลองเอกภพของเคปเลอร์
(THE KEPLER’S MODEL)
-ดาวเคราะห์โคจรรอบดวงอาทิตย์เป็ นวงรี
โดยมีดวงอาทิตย์อยู่ที่โฟกัสจุดหนึ่ ง
-เวลาที่ดาวเคราะห์ใช้โคจรรอบดวงอาทิตย์
คาบเวลาเท่ากัน จะมีพื้นที่เท่ากัน
-กฎการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์รอบดวง
อาทิตย์
กำเนิ ดและวิวัฒนาการของเอกภพ
4.แบบจำลองเอกภพของกาลิเลโอ
(THE GALILEO’S MODEL)
-เชื่อว่าดวงอาทิตย์เป็ นศูนย์กลางของระบบสุริยะ
-เป็ นคนแรกที่ใช้กล้องโทรทรรศน์ สังเกตการณ์ทาง
ดาราศาสตร์ และพบว่าผิวของดวง จันทร์มีภูเขาและหลุม
อุกกาบาตมากมาย พบดาวฤกษ์จำนวนมากที่อยู่ไกลจากโลก
บนทางช้างเผือก
-พบดวงจันทร์ของดาวพฤหัสบดี 4 ดวง
(ดวงจันทร์ของกาลิเลโอ)
เ อกภพเกิดขึ้นได้อย่างไร.....?
เอกภพเกิดจากทฤษฎีบิกแบง
(BIG BANG)
ทฤษฎีบิกแบง (BIG BANG THEORY) กล่าวว่า เอกภพเกิดจากการ
ระเบิดครั้งใหญ่ โดยช่วงแรกเอกภพมีขนาดเล็กมาก จากนั้ นมี
การขยายตัวและมีการเปลี่ยนแปลงของสสารและพลังงาน
หลักฐานที่สนั บสนุนทฤษฎีบิกแบง
การขยายตัวของเอกภพ
ไมโครเวฟพื้นหลังจากอวกาศ
หลักฐานที่สนั บสนุนทฤษฎีบิกแบง
การขยายตัวตัวของเอกภพ
เอ็ดวิน ฮับเบิล (EDWIN HUBBLE)
เป็ นหนึ่ งในนั กดาราศาสตร์คนแรกๆ
ที่ได้วัดการเคลื่อนที่ของกาแล็กซี ในปี ค.ศ.
1929 จึงเรียกลักษณะการเคลื่อนที่หนี ออกไป
ของกาแล็กซีต่างๆ ว่า “กฎของฮับเบิล”
(HUBBLE’S LAW)
หลักฐานที่สนั บสนุนทฤษฎีบิกแบง
การขยายตัวตัวของเอกภพ
สิ่ งที่ HUBBLE ค้นพบ
กาแล็กซีทางช้างเผือก
เป็ นเพียงหนึ่ งในกาแล็กซี
ของเอกภพเท่านั้ น
กาแล็กซีทั้งหมด
เคลื่อนที่ห่างออก
จากกันและกัน
กาแล็กซี่ ที่ อยู่ไกล
เคลื่อนที่ออกจาก
ผู้สั งเกตด้วยความเร็วที่
มากกวา่กาแล็กซี่ ที่ อยู่ใกล้
เอกภพ
มีการ
ขยายตัว
หลักฐานที่สนั บสนุนทฤษฎีบิกแบง
การขยายตัวตัวของเอกภพ
กฎของฮับเบิล (HUBBLE’S LAW)
V = H0D
ศั พท์น่ ารู้
พาร์เซก (PARSEC ; PC) คือ
หน่ วยวัดระยะทางทางดาราศาสตร์โดยที่
1พาร์เซก =3.26 ปี แสง (LY)
1 เมกะพาร์เซก =1ล้านพาร์เซก
หลักฐานที่สนั บสนุนทฤษฎีบิกแบง
ไมโครเวฟพื้นหลังจากอวกาศ
รอเบิร์ตวิลสั น
อาร์โน เพนเซียส
ค.ศ. 1964ค้นพบรังสี
ไมโครเวฟที่มาจากท้องฟ้ า
เป็ นพลังงานที่หลงเหลือ
อยู่จากช่วง RECOMBINATIPN
ค.ศ. 1978 รับรางวัลโนเบล
สาขาฟิ สิกส์
หลักฐานที่สนั บสนุนทฤษฎีบิกแบง
ไมโครเวฟพื้นหลังจากอวกาศ
คุณสมบัติของไมโครเวฟพื้นหลังจากอวกาศ
เป็ นรังสีที่แผ่รังสี
จากทุกทิศทาง
และปริมาณเท่ากัน
ทุกส่ วน
มีอุณหภูมิ 2.7 K โฟตอนถือ
ซึ่ งสอดคล้อง กำเนิ ดมาจาก
รังสี ไมโครเวฟ
กับการแผ่รังสี ของ
วัตถุดำ
กาแล็กซี และกาแล็กซี ทางช้ างเผือก
กาแล็กซี (GALAXY)
• ถือกำเนิ ดขึ้นหลังปรากฏการณ์บิกแบง
1,000 ล้านปี
• ประกอบไปด้วยดาวฤกษ์จำนวนมาก เนบิ
วลํา ฝุ่ น ก๊าซ สสารระหว่างดาว และที่ว่าง
ในระบบสุริยะ ซึ่งอยู่รวมตัว
กันด้วยแรงโน้ มถ่วง
• กาแล็กซีมีรู ปทรงและขนาดแตกต่างกัน
กาแล็กซี และกาแล็กซี ทางช้ างเผือก
รู ปร่างของกาแล็กซี
1.กาแล็กซีปกติ (REGULAR GALAXY)
: กําแล็กซีที่มีรู ปร่ํางชัดเจน
1.1 กาแล็กซีทรงรี (ELLIPTICAL GALAXY)
: รู ปร่างเป็ นวงรี(สัญลักษณ์ E0-E7)
กาแล็กซีทรงรี เรียงลำดับจากความรีน้ อยไปความรีมาก
(E0-E7) ดาวฤกษ์ในกาแล็กซีนี้ อยู่หนาแน่ นใกล้
ศูนย์กลางกาแล็กซี เช่น M87
กาแล็กซี และกาแล็กซี ทางช้ างเผือก
รู ปร่างของกาแล็กซี
1.2 กาแล็กซีกังหันหรือก้นหอย (SPIRAL GALAXY)
: รู ปร่างคล้ายกังหัน มี 2 แบบ คือ
- กาแล็กซีกังหันปกติ (สัญลักษณ์ SA, SB และ SC)
- กาแล็กซีกังหันแบบมีคาน (สัญลักษณ์ SBA, SBB และ SBC)
- กาแล็กซีกังหันมีลักษณะ
กลมนูนที่ใจกลางกาแล็กซี
เช่นเดียวกับกาแล็กซีรี แต่มี
แขนยื่นออกมาจากใจกลาง
กาแล็กซีจำนวน 2 แขนหรือ
มากกว่า เช่น กาแล็กซีแอนดร
อเมดา (M31)
- กาแล็กซีกังหันมีคานจะมี
ดาวฤกษ์วางตัวหนาแน่ นอยู่ใน
แนวที่พาดผ่านจุดศูนย์กลาง
ของกาแล็กซี จึงทำให้มี
ลักษณะคล้ายคาน เช่น
กาแล็กซี ทางช้ างเผือก
กาแล็กซี และกาแล็กซี ทางช้ างเผือก
รู ปร่างของกาแล็กซี
1.3 กาแล็กซีเลนส์ (LENTICULAR GALAXY)
: รู ปร่างคล้ายเลนส์ (สัญลักษณ์ S0)
กาแล็กซีเลนส์ มีรู ปร่าง
คล้ายเลนส์ ในกลาง
สว่าง ล้อมรอบด้วย
โครงสร้างคล้ายแผ่น
จานเช่นเดียวกับ
กาแล็กซี กังหั น
สิ่ งที่แตกต่าง คือ
แผ่นจานไม่มี
โครงสร้างของแกน
กังหันที่มองเห็นได้
ด้วยตาเปล่าเช่น กํา
แล็กซี M85
กาแล็กซี และกาแล็กซี ทางช้ างเผือก
รู ปร่างของกาแล็กซี
2.กาแล็กซีไร้รู ปร่าง (IRREGULAR GALAXY) :
กําแล็กซีที่มีรู ปร่ํางไม่ชัดเจน
เช่น กาแล็กซีแมกเจลแลนใหญ่
และกาแล็กซี แมกเจลแลนเล็ก
กาแล็กซี และกาแล็กซี ทางช้ างเผือก
กาแล็กซีทางช้างเผือก
• กาแล็กซีทางช้างเผือกประกอบด้วย
ดาวฤกษ์จำนวนมากกว่า
200,000 ล้านดวง
• ดาวฤกษ์อยู่รวมกันหนา
แน่ นบริเวณศูนย์กลาง
เรียกว่า นิ วเคลียส (NUCLEUS)
• บริเวณรอบนิ วเคลียสมีลักษณะนูนตรงกลาง เรียกว่า
ดุมกาแล็กซี (BULGE) ซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 10,000
ปี แสง และมีดาวฤกษ์หนาแน่ นวางตัวอยู่ในแนวพาด
ผ่านจุดศูนย์กลาง มีลักษณะคล้ายคาน
กาแล็กซี และกาแล็กซี ทางช้ างเผือก
กาแล็กซีทางช้างเผือก
• บริเวณที่ต่อจากปลายคานทั้งสองข้างมีแขนของ
กาแล็กซีวางตัวอยู่ในแนวระนาบมีลักษณะเป็ น
จาน (DISC) มองเห็นเป็ นเกลียวคล้ายกังหัน
ล้อมรอบนิ วเคลียสและคาน เส้นผ่านศูนย์กลาง
ประมาณ 100,000 ปี แสง ความหนาประมาณ
10,000 ปี แสง ระบบสุริยะอยู่ห่างจากศูนย์กลาง
กาแล็กซีประมาณ 30,000 ปี แสง
กาแล็กซี และกาแล็กซี ทางช้ างเผือก
กาแล็กซีทางช้างเผือก
• บริเวณที่ไกลออกไปมีลักษณะเป็ นทรงกลมกว้างใหญ่
ครอบคลุมนิ วเคลียสและจาน มีดําวฤกษ์และกระจุก
ดาวกระจายตัวอย่างเบาบาง เรียก ฮาโล (HALO)
• โลกอยู่ภายในกาแล็กซีทางช้างเผือก คนบนโลก
จึงเห็ นกาแล็กซี ทางช้ํ างเผือกได้ เพียงบางส่ วน
ส่วนที่มองเห็นจากโลก เรียกว่า ทางช้างเผือก
(MILKY WAY)
กาแล็กซี และกาแล็กซี ทางช้ างเผือก
กาแล็กซี ทางช้ างเผือก
การสั งเกตกาแล็กซี ทางช้ างเผือก
• หากสังเกตทางช้างเผือกในทิศทาง
กลุ่มดาวแมงป่ อง และกลุ่มดาวคนยิง
ธนูจะเห็นเป็ นแถบฝ้ า
ชัดเจน
• หากสังเกตในทิศทางอื่น
จะเห็นเป็ นแถบฝ้ าจางๆ
• ช่วงเวลาที่สังเกตทางช้าง
เผือกได้ชัดเจนที่สุด คือ
ปลายเดือนเมษายนถึงต้น
เดือนตุลาคม
กาแล็กซี และกาแล็กซี ทางช้ างเผือก
เพื่อนบ้านกาแล็กซี
1. กาแล็กซีแอนดรอเมดา
(ANDROMEDA)
- เป็ นฝ้ าจาง ๆ ขนาดเล็ก อยู่ในกลุ่มดาว
แอนดรอเมดา
- เป็ นกาแล็กซีกังหัน
- มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 220,000 ปี แสง
และอยู่ห่างจากโลก 2.5 ล้านปี แสง
กาแล็กซี และกาแล็กซี ทางช้ างเผือก
เพื่อนบ้านกาแล็กซี
2. กําแล็กซีแมกเจลแลนใหญ่
(LORGE MAGELLANIC CLOUD)
- มีเส้นผ่าน - อยู่ห่างจากกาแล็ก
ศูนย์กลาง 20,000 ซีทางช้ํางเผือก
ปี แสง 160,000 ปี แสง
- อยู่ทางขอบฟ้ํ าทางทิศ
ใต้ ประเทศไทยสังเกต
เห็นได้ยาก
กาแล็กซี และกาแล็กซี ทางช้ างเผือก
เพื่อนบ้านกาแล็กซี
3. กาแล็กซีแมกเจลแลนเล็ก
(SMALL MAGELLANIC CLOUD)
- อยู่ห่างจากกาแล็กซีทาง
ช้างเผือก 200,000 ปี แสง
- มีเส้นผ่าน - อยู่ทางขอบฟ้ าทําง
ศูนย์กลาง 7,000 ทิศใต้ ประเทศไทย
สั งเกตเห็ นได้ยาก
ปี แสง
THANK