คำนำ
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์(e-book)เล่มนี้ผู้จัดทำ จัดทำขึ้น
เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาเรื่อง การพัฒนาทักษะการ
อ่านออกเสียงภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่
3 โดยจะประกอบไปด้วย การอ่าน การพัฒนาทักษะการอ่าน
ออกเสียงภาษาไทย
การอ่านออกเสียง มีความสำคัญและจำเป็นอย่างมาก
ในชีวิตประจำวันในปัจจุบันนี้ ผู้จัดจึงได้การอ่านออกเสียง
เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงให้กับผู้เรียน ผู้จัดทำเพื่อ
หวังหนังสือิเล็กทรอนิกส์ (e-book)เล่มนี้ จะเป็นแหล่งความ
รู้สำหรับที่ผู้สนใจไม่มากก็น้อย
ผู้จัดทำ
นางบรรจง สลางสิงค์
ความรู้พื้นฐานเพื่อการอ่าน
ความรู้พื้นฐานเพื่อการอ่าน
หลักการอ่านออกเสียง
การอ่านตัวเลข
๑. ตัวเลขตั้งแต่ ๒ หลักขึ้นไป ถ้าลงท้ายด้วยเลข
๑ อ่านออกเสียงว่า “เอ็ด”
๒. ทศนิยม หน้าจุดอ่านแบบจำนวนเต็ม หลังจุด
อ่านเรียงตัว ถ้าเป็นเงิน/หน่วยนับอ่านตามหน่วยนั้น
๓. เวลา หลังตัวเลขชั่วโมง ออกเสียงว่า
“นาฬิกา”
๔. หนังสือราชการ อ่านเรียงตัว
๕. บ้านเลขที่ สองหลักอ่านแบบจำนวนเต็ม สามหลักขึ้นแบบจำนวนเต็มหรือ
เรียงตัว ถ้าขึ้นต้นด้วยเลข ๐ ต้องอ่านเรียงตัวเสมอ เลขหลังทับอ่านเรียงตัว
๖. ป้ายทะเบียนรถ อ่านพยัญชนะและตัวเลขทีละตัว ตามด้วยอ่านชื่อจังหวัด
๗. หมายเลขโทรศัพท์ อ่านเรียงตัว เลข ๒ อ่านว่าโท แต่ถ้ารหัสทางไกล/รหัส
ประเทศต้องอ่านว่า สอง
การอ่านอักษรย่อ
ตามหลักต้องอ่านเต็มตามคำเดิม แต่มีบางคำที่อ่านตามความนิยม เช่น
ก.ท.ม. (กอ-ทอ-มอ)
การอ่านเครื่องหมายวรรคตอน
๑. ฯ อ่านเต็มตามคำเดิม
๒. ฯลฯ เมื่ออยู่ท้ายข้อความจะอ่านว่า ละ หรือ และอื่น ๆ แต่หากอยู่
กลางข้อความจะอ่านว่า ละถึง
๓. ๆ อ่านซ้ำคำ ซ้ำความหรือประโยค
๔. ( ) อ่านว่า วงเล็บเปิด ตามด้วยการอ่านข้อความในวงเล็บ แล้วจึง
อ่านว่า วงเล็บปิด
๕. ... หยุดเล็กน้อยก่อน แล้วจึงอ่านว่า ละ แล้วหยุดเล็กน้อย ก่อนอ่าน
ข้อความต่อไป
๖. “...” อ่านว่า อัญประกาศเปิด ตามด้วยอ่านข้อความในอัญประกาศ แล้ว
จึงอ่านว่า อัญประกาศปิด
การอ่านคำที่มีเสียง ร ล เป็นพยัญชนะต้น
คนส่วนใหญ่มักสับสนระหว่างเสียง ร ล จึงต้องออกเสียงให้ถูกต้อง
เพื่อสื่อความหมายได้อย่างชัดเจน
การอ่านอักษรควบ
อักษรควบแท้ออกเสียงพยัญชนะสองตัวพร้อมกัน อักษรควบไม่แท้
ออกเสียงเฉพาะพยัญชนะตัวหน้า หรือเปลี่ยนเสียง ทร เป็น ซ
การอ่านตัว ฤ
เมื่ออยู่หน้าคำ ออกเสียง เรอ ริ รึ เช่น ฤกษ์ (เริก) ฤทธิ์ (ริด) ฤดี (รึ-
ดี) เมื่อประสม ก ต ท ป ศ ส ออกเสียง ริ เช่น ทฤษฎี (ทริด-สะ-ดี) เมื่อ
ประสม ด ค น พ ม ห ออกเสียง รึ เช่น หฤทัย (หะ-รึ-ทัย) คฤหาสน์ (คะ-
รึ-หาด) ยกเว้น มฤต (มะ-ริด, มะรึด) พฤนท์ (พริน, พรึน) อมฤต (อะ-มะ-
ริด)
การอ่านตัว ฑ
ออกเสียง ด ท เช่น บัณฑิต (บัน-ดิด) มณฑป (มน-ดบ) มณฑา
(มน-ทา) ขัณฑสีมา (ขัน-ทะ-สี-มา)
การอ่านอักษรนำ-อักษรตาม
คำสองพยางค์ พยางค์แรก อะ กึ่งเสียง พยางค์หลังออกเสียงตาม
สระที่ประสม เช่น เจริญ แสดง แต่หากเป็นอักษรสูง/กลางนำอักษรเดี่ยว
พยางค์หลังออกเสียงวรรณยุกต์ตามอักษรนำ เช่น ขนม ตลก ส่วน ห นำ
อักษรเดี่ยว หรือ อ นำ ย ออกเสียงเฉพาะพยัญชนะตัวตาม ใช้เสียง
วรรณยุกต์ตามอักษรนำ เช่น อย่า หนา นอกจากนี้ยังมีบางคำ
ที่ไม่ใช่อักษรนำ แต่ออกเสียงอย่างอักษรนำ เช่น กะรัต
(กะ-หรัด) บัญญัติ (บัน-หยัด)
การอ่านคำหรือพยางค์ที่ไม่มีรูปสระกำกับ
๑. ออกเสียง อะ และบางคำอ่านแบบอักษรนำร่วมด้วย เช่น ปราชัย
จรัญ สรุป จรวด
๓. ตัว บ ที่ไม่มีรูปสระ ออกเสียง ออ เช่น บรม บริสุทธิ์ บริการ
๔. พยัญชนะที่ไม่มีรูปสระและตามด้วยตัว ร ออกเสียง ออ และเสียงตัว
สะกดแม่กน เช่น ศร กร
๕. พยัญชนะที่ไม่มีรูปสระและตามด้วยตัว ร ออกเสียง ออ ส่วนตัว ร
ออกเสียง อะ เช่น กรณี
๖. พยัญชนะ ๒ ตัวเรียงกัน ตัวแรกออกเสียงโอะ ตัวหลังเป็นตัวสะกด
(สระโอะลดรูป) เช่น งง ทม จม
๗. พยัญชนะตัวแรกเสียง อะ ตัวที่ ๒ เสียง โอะ ตัวที่ ๓ ตัวสะกด และ
อาจมีการันต์ เช่น ถนน อนงค์
๘. บางคำมีสระหลายเสียงปนอยู่ ทั้งสระ อะ โอะ ออ เช่น ทศพร
ทศวรรษ กรรมกร
๙. บางคำต้องแยกพยางค์จึงจะอ่านถูกและมีความหมาย เช่น กลลวง
แยกเป็น กล-ลวง
การอ่านอักษรที่ไม่ออกเสียง
๑. ไม่ออกเสียงตัว ร หรือ ห ที่อยู่กลางคำ เช่น สารท พรหม
๒. ไม่ออกเสียงตัว ร ที่อยู่หลังพยัญชนะตัวสะกด เช่น มิตร เกษตร
กอปร
๓. ไม่ออกเสียงตัว ห อ ที่เป็นอักษรนำ เช่น หญิง อย่า
๔. ไม่ออกเสียงตัว ร ในคำควบไม่แท้ เช่น ไซร้ สร้าง เศร้า
๕. ไม่ออกเสียงตัว ร ในคำว่า โทร
๖. ไม่ออกเสียงตัว ญ ธ ที่อยู่หลังตัวสะกด เช่น
พุทธ สรรเพชญ
๗. ไม่ออกเสียง และ ที่ใช้กำกับพยัญชนะสะกด หรือตัวการันต์
เช่น ญาติ ธาตุ พันธุ์ ต้นโพธิ์
๘. ไม่ออกเสียงตัวการันต์ เช่น เสิร์ฟ ฟิล์ม จันทร์ พิมพ์
การอ่านพยางค์ที่มี รร (รอหัน)
ออกเสียง อัน อะ โดยในบางคำพยัญชนะที่ตาม รร อาจเป็นเสียง
ตัวสะกด หรืออาจเป็นเสียงพยัญชนะต้นของพยางค์ถัดไปด้วย เช่น
กรรไกร พรรค กรรมการ สรรพางค์ บางคำอ่านได้หลายอย่าง เช่น
ภรรยา (พัน-ยา, พัน-ระ-ยา) สรรเสริญ (สัน-เสิน, สัน-ระ-เสิน)
การอ่านคำแผลงหรือคำกลายเสียง
หากแผลงจากคำเดิมที่มีพยัญชนะตัวเดียว ให้ออกเสียงตามพยัญ
ชนะที่แผลงใหม่ เช่น แจก แผลงเป็น จำแนก (จำ-แนก) แต่หากแผลง
จากคำเดิมที่พยัญชนะต้นเป็นอักษรควบ ให้ออกเสียงวรรณยุกต์ตรง
กับคำเดิม เช่น ตรัส แผลงเป็น ดำรัส (ดำ-หรัด)
การอ่านคำสมาส
คำสมาสให้อ่านออกเสียงพยางค์ของคำประกอบ เช่น ราชธิดา
(ราด-ชะ-ทิ-ดา) เชตุพน ( เช-ตุ-พน) แต่บางคำไม่ออกเสียงพยางค์
ดังกล่าว เช่น ชลบุรี (ชน-บุ-รี) ชัยนาท (ชัย-นาด) นอกจากนี้ยังมีบาง
คำที่ไม่ใช่คำสมาสแต่อ่านออกเสียงเหมือนคำสมาส เช่น พลความ
(พน-ละ-ความ)
การใช้พจนานุกรม
หลักการใช้พจนานุกรม
๑. การเรียงลำดับพยัญชนะ ก-ฮ
๒. การเรียงลำดับสระตามรูป คำที่มีอักษรตัวที่ 2 เป็นพยัญชนะ มา
ก่อนคำที่มีอักษรตัวที่ 2 เป็นสระ
๓. การบอกเสียงอ่าน จะอยู่ในวงเล็บใหญ่ [ ] ติดกับคำศัพท์ โดยจะไม่
บอกเสียงอ่านในคำที่สะกดตรงตามมาตรา หากคำนั้นสามารถอ่านได้หลาย
อย่าง จะบอกคำอ่านหลักไว้ก่อน
๔. การบอกชนิดและหน้าที่ของคำ เช่น น.=นาม ก.=กริยา
๕. การบอกประวัติของคำ เช่น (จ.)=จีน (ป.)=บาลี
๖. การบอกลักษณะของคำที่ใช้เฉพาะแห่ง เช่น (กฎ)=ใช้ในกฎหมาย
(ปาก)=คำที่ใช้เป็นภาษาปาก
๗. การบอกความหมาย
๘. เครื่องหมายในพจนานุกรม แต่ละเครื่องหมายมีการใช้งานต่างกัน
เช่น จุลภาค (,) ใช้คั่นบทนิยาม มหัพภาค (.) ใช้เมื่อจบนิยามหรืออักษรย่อ
อัฒภาค (;) ใช้คั่นบทนิยามที่ต่างกันแต่ยังสัมพันธ์กันอยู่ ยัติภังค์ (-) ใช้แยก
เสียงอ่านหรือแทนคำที่อยู่ข้างหน้า/ข้างหลัง
หลักการค้นความหมายของคำศัพท์
ในพจนานุกรมจะบอกความหมายของคำนั้นในทุกหน้าที่ ดังนั้นหาก
ต้องการรู้ความหมายของคำในประโยคใดโดยเฉพาะ จะต้องรู้หน้าที่ของคำ
นั้นก่อน โดยสังเกตจากบริบทและตำแหน่งของคำในประโยคนั้น แล้วจึง
เทียบความหมายจากพจนานุกรม
สรุป
การสื่อสารโดยการพูดหรือการอ่านจำเป็นต้อง
ออกเสียงให้ถูกต้องและชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจ
ผิด ทั้งนี้การเรียนภาษาให้เกิดประสิทธิภาพต้องรู้จักการ
ใช้พจนานุกรม เพราะจะช่วยให้เราสามารถเขียน อ่าน และรู้
ความหมายของคำได้อย่างกว้างขวาง