The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วารสารกรมการแพทย์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by swqsnich, 2021-03-09 23:11:32

วารสารกรมการแพทย์

วารสารกรมการแพทย์

ความพรอ้ มของครอบครัวและปัจจัยท่เี ก่ียวขอ้ งกบั ความพร้อมของครอบครัว
ในการดูแลเดก็ ป่ วยประคับประคอง ณ สถาบนั สขุ ภาพเดก็ แหง่ ชาติมหาราชินี

สถถริ พาบรนั ตสขุัง้ ภจาติ พตเิพดร็กแพห.่งบช.,าตรตัมิ นหาาวรารชริณนี ถตนันนกรรุาะชวสิถสี.มแ.ข,วสงุฑทางุ่ วพรญรณาไ์ ทไชกยรมุงูลเทสพสม.มห.า, นศคศริเม1ษ04ม0ีศ0ิริ คศ.ม.

Abstract: The Family Preparedness and Associated Factors with
Their Preparedness of Caring Pediatric Palliative Patient at
Queen Sirikit National Institute of Child Health

(TQEau-nmegeajintilt:iSptiohririkrnaitpTNo, raTnta_iontn@kauhlraoIntRsmt,iatCuil.htceaoimyoaf)mCohoildl SH, eMalethe,siRriaStchathewi Rd., Phayathai, Bangkok, 10400
(Received: September 12, 2018; Revised: December 12, 2018; Accepted: March 5, 2019)

Background: Having a patient in the family affects both physical and mental health of caregivers, especially to care the
pediatric palliative patient. Impact on caregivers was even greater than other pediatric patients from the disease itself, treatment
and emotion reaction in a family. Family preparedness was important for good quality of life of pediatric palliative care patients.
So we interested in studying family preparedness and associated factors with their preparedness of caring for pediatric palliative
patients. The results of the study have been used to provide services to this target group appropriately. Method: This was a
cross-sectional analytic study. A total of 97 family caregivers of patients in consultation with the pediatric patient care team
at the Queen Sirikit National Institute of Child Health between July 1, 2015 and October 30, 2016, participated. Using the Caregiver
preparedness assessment, Family relationship assessment and general records of the patient and caregivers interviewed the
primary caregiver of pediatric palliative patients. Analyzed information by using descriptive statistic and Chi-square test, t-test,
74 Pearson correlation were used to determine the association between the variables. Result: The level of family preparedness was
moderate, with the caregiver’s preparedness for the child’s physical needs at a high level, and the preparedness to handle
emergencies with children at lower levels. Factors related to the preparedness of caring pediatric palliative patients in all aspects
including participation in primary caregivers’ religious activities, caregiver stress management, perceived support agencies, agency
assistance, good relationships between caregivers and patients, family members and outsiders. Conclusion: Factors associated
with family preparedness in each aspect of this research are consistent with the holistic care approach for pediatric palliative
care; physical, psychological, social, and spiritual care. The availability of emergency preparedness information for children was
low. Therefore, physicians and nurses should provide emergency care information to the primary caregiver to ensure that patients
could be properly managed at home.
Keyword: Family preparedness, Pediatric palliative care

บทคดั ยอ่ สมั พนั ธภาพในครอบครวั และการประเมนิ ความพรอ้ มในการดแู ล ใชส้ ถติ ิ
เชิงพรรณนา และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆ โดยใช้
ภูมิหลัง: การท่ีมีเด็กเจ็บป่วยในครอบครัว ส่งผลกระทบต่อท้ัง การทดสอบไคสแควร์ สถิติ T-test โดยก�ำหนดระดับนัยส�ำคัญทางสถิติ
สุขภาพร่างกาย และสุขภาพจิตใจของผู้ดูแล รวมถึงการเปล่ียนแปลง ที่ 0.05 ผล: ระดับความพร้อมในการดูแลผู้ป่วยโดยรวมปานกลาง
บทบาทหน้าท่ีในครอบครัว โดยเฉพาะการดูแลผู้ป่วยเด็กระยะสุดท้าย (1.90±0.88) โดยผู้ดูแลมีความพร้อมด้านการดูแลความต้องการด้าน
ผลกระทบต่อผู้ดูแลย่ิงมากขึ้น ท้ังจากตัวโรค ความไม่แน่นอนของ ร่างกายของเด็กในระดับมาก (2.44±0.87) ความพร้อมในการจัดการกับ
การดำ� เนินโรค การรักษาและผลการรักษา ปฏิกริ ยิ าทางอารมณท์ เี่ กดิ ขน้ึ ภาวะฉกุ เฉนิ ท่เี กดิ ข้นึ กบั เด็กในระดบั นอ้ ย (1.54±1.09) ปัจจัยทีเ่ กย่ี วขอ้ ง
ดังนั้น ผู้ศึกษาจึงสนใจที่จะศึกษาความพร้อมของครอบครัวและปัจจัย กับความพร้อมในการดูแลผู้ป่วยในทุกด้าน ได้แก่ การได้เข้าร่วมกิจกรรม
ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั ความพรอ้ มของครอบครวั ในการดแู ลเดก็ ปว่ ยประคบั ประคอง ทางศาสนาของผู้ดแู ลหลัก ความเครียดของผดู้ ูแล การรบั รวู้ ่ามีหนว่ ยงาน
เพอื่ นำ� ผลการศกึ ษามาใชใ้ นการจดั บรกิ ารใหก้ ลมุ่ เปา้ หมายนอี้ ยา่ งเหมาะสม ท่ีใหค้ วามชว่ ยเหลือ การไดร้ บั ความช่วยเหลือจากหน่วยงาน สมั พันธภาพ
ซงึ่ จะทำ� ใหเ้ ดก็ ปว่ ยไดร้ บั การดแู ลมคี ณุ ภาพชวี ติ ทด่ี ใี นระยะเวลาทเี่ หลอื อยู่ ที่ดีระหว่างผู้ดูแลกับผู้ป่วย, สัมพันธภาพท่ีดีระหว่างผู้ดูแลกับบุคคล
ต่อไป วิธีการ: ใช้แบบประเมินความพร้อมในการดูแล แบบประเมิน ในครอบครัว สัมพันธภาพที่ดีของผู้ดูแลกับคนนอกบ้าน สรุป: ปัจจัย
สัมพันธภาพในครอบครัว และแบบบันทึกข้อมูลทั่วไปของเด็กและผู้ดูแล ท่ีเกี่ยวข้องกับความพร้อมในการดูแลผู้ป่วยแต่ละด้านของผลการวิจัยน้ี
สัมภาษณ์ผู้ดูแลหลักของเด็กป่วยประคับประคองประเภทผู้ป่วยในที่ส่ง สอดคลอ้ งกบั การประเมนิ และดแู ลผปู้ ว่ ยเดก็ แบบประคบั ประคอง แบบองคร์ วม
ปรกึ ษาทมี ดแู ลเดก็ ปว่ ยประคบั ประคอง ทเี่ ขา้ รบั บรกิ าร ณ สถาบนั สขุ ภาพ ทง้ั ดา้ นร่างกาย ด้านจิตใจ ดา้ นสงั คม และดา้ นจติ วญิ ญาณ และจากขอ้ มูล
เด็กแห่งชาติมหาราชินีในระหว่างวันที่ 1 ก.ค. 2558 – 30 ต.ค. 2559 ความพร้อมในการจดั การกบั ภาวะฉกุ เฉนิ ทีเ่ กิดกับเด็กในระดบั น้อย ดังนน้ั
จ�ำนวน 97 คน วิเคราะห์ข้อมูลข้อมูลทั่วไปของผู้ป่วยผู้ดูแลหลัก ข้อมูล

วารสารกรมการแพทย์

แพทย์และพยาบาลจึงควรมีการให้ข้อมูลด้านการดูแลจัดการภาวะฉุกเฉิน จากงานวิจัยท่ีกล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่าความพร้อมในการดูแล 75
แกผ่ ู้ดูแลหลกั ใหเ้ กดิ ความมน่ั ใจเพือ่ ทสี่ ามารถดแู ลจัดการผู้ป่วยทบี่ ้านไดด้ ี ผู้ป่วยส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยประคับประคอง และช่วยให้ผู้ดูแล
คำ� สำ� คญั : ความพรอ้ มของครอบครวั การดแู ลเดก็ ปว่ ยแบบประคบั ประคอง รับทราบและเข้าใจแนวทางในการดูแลผู้ป่วยซึ่งจะช่วยลดความเครียด
ปอ้ งกนั การเกิดปัญหาทางจติ อารมณ์ของผดู้ ูแลได้ แตใ่ นผ้ปู ว่ ยเด็กประคบั
บทนำ� ประคอง ยังไม่มีการศึกษาถึงความพร้อมของครอบครัวในการดูแลผู้ป่วย
ดังน้ันทีมผู้วิจัยจึงสนใจท่ีจะศึกษาความพร้อมของครอบครัวและปัจจัย
การดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง (Palliative care) องค์การ ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั ความพรอ้ มของครอบครวั ในการดแู ลเดก็ ปว่ ยประคบั ประคอง
อนามยั โลก (WHO) ได้ใหค้ �ำจำ� กัดความวา่ หมายถึง การดูแลผ้ปู ว่ ยท่ีปว่ ย เพอ่ื นำ� ผลการศกึ ษามาใชใ้ นการจดั บรกิ ารใหก้ ลมุ่ เปา้ หมายนอ้ี ยา่ งเหมาะสม
เป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด มีแนวโน้มที่ทรุดลง หรือเสียชีวิตจากตัวโรค ซงึ่ จะทำ� ใหเ้ ดก็ ปว่ ยไดร้ บั การดแู ลมคี ณุ ภาพชวี ติ ทด่ี ใี นระยะเวลาทเี่ หลอื อยู่
ในอนาคต หรอื ปว่ ยอยใู่ นระยะสดุ ทา้ ยของชวี ติ โดยเนน้ การดแู ลแบบองคร์ วม ตอ่ ไป
ครอบคลมุ ดา้ นรา่ งกาย จติ ใจ สงั คม และจติ วญิ ญาณของทงั้ ผปู้ ว่ ย ครอบครวั
และผู้ดูแล โดยอยบู่ นเปา้ หมายหลกั คอื การเพิม่ คณุ ภาพชีวติ ของท้ังผู้ป่วย วตั ถแุ ละวิธกี าร
และครอบครวั ท่จี ะทำ� ใหผ้ ู้ป่วยได้เสยี ชวี ิตอยา่ งสงบ สมศักดิศ์ รคี วามเป็น
มนษุ ย์ ตลอดจนการดแู ลครอบครวั และญาตภิ ายหลงั การจากไปของผปู้ ว่ ย1 การศึกษานเ้ี ป็นงานวจิ ัยเชงิ วิเคราะหแ์ บบตัดขวาง ไดร้ บั อนมุ ตั จิ าก
การทม่ี เี ดก็ เจ็บป่วยในครอบครัว สง่ ผลกระทบต่อท้ังสุขภาพรา่ งกาย และ คณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติ
อารมณ์ของผู้ดูแล รวมถึงการเปลี่ยนแปลงบทบาทหน้าท่ีในครอบครัว2 มหาราชินี ประชากรของการศึกษาคือผู้ดูแลเด็กป่วยประคับประคอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการดูแลผู้ป่วยเด็กประคับประคอง จะส่งผลกระทบ ที่ส่งปรึกษาทีมดูแลเด็กป่วยประคับประคองของสถาบันสุขภาพเด็ก
ตอ่ ผดู้ แู ลและผปู้ ว่ ยมากขนึ้ ทงั้ จากตวั โรค ความไมแ่ นน่ อนของการดำ� เนนิ โรค แห่งชาตมิ หาราชินี ตงั้ แต่ 1 กรกฎาคม 2558 – 30 ตุลาคม 2559 ซง่ึ เปน็
วธิ กี ารรกั ษา ผลการรกั ษา ปฏกิ ริ ยิ าทางอารมณท์ อ่ี าจเกดิ ขนึ้ เชน่ ความกลวั กผกำู�้ดลหุู่แมนลตดหัวคอลา่ยักค่าวงมาใีอมนาคกยลาุ าร1ดศ8เึกคษปลาอ่ืีบนรคิบ�ำ0นูร.0ณว5ณ์ขขึ้นโนดไาปยดปTแaรละrะoชสาYากaมรmา1รa2ถn7สe(่ืออสา้ nางรอ=ภงิ จาาษ1กา+จไNNำ�ทนeยว2ไนด้
ความกังวล ความโกรธ การเปล่ียนแปลงของครอบครัวในด้าน บทบาท ผปู้ ว่ ยประคบั ประคองของสถาบนั สุขภาพเดก็ แหง่ ชาตมิ หาราชินี ปี 2557)
การจัดการปัญหา และสภาพเศรษฐานะของครอบครัว3 มีการศึกษาถึง ได้ 96.39 ดงั นน้ั จ�ำนวนกลุ่มตัวอยา่ งทัง้ หมดคอื 97 คน
คุณภาพชีวิตของผู้ดูแลผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวเด็ก พบว่ามีค่าเฉลี่ย เครือ่ งมือท่ีใช้ในการศึกษา
คะแนนคุณภาพชีวิตของผู้ดูแลน้อยกว่า ร้อยละ 50 ของคะแนนรวม
โดยเฉพาะในผดู้ แู ลทเี่ ปน็ เพศหญงิ 4 สง่ิ ทที่ ำ� ใหค้ ณุ ภาพชวี ติ ของผดู้ แู ลลดลง 1. แบบบันทึกข้อมูลท่ัวไปของเด็กและผู้ดูแล ผู้ท�ำการวิจัยเป็น
เกิดจากปัญหา อารมณ์ที่ไม่คงที่ และปัญหาสุขภาพร่างกาย ซ่ึงส่งผลต่อ ผ้อู อกแบบบันทกึ ข้อมลู
คุณภาพในการดแู ลผู้ปว่ ยเดก็ ท้งั ทางรา่ งกายและอารมณ์5
2. แบบประเมนิ สมั พนั ธภาพในครอบครวั อา้ งองิ จาก Chompikul18
ความพร้อมในการดูแลผู้ป่วยเป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่ส�ำคัญของ โดยมีข้อคำ� ถามดงั น้ี
การดูแลผู้ป่วยประคับประคอง6 ความพร้อมในการดูแลผู้ป่วย หมายถึง
การทผี่ ดู้ แู ลประเมนิ วา่ มคี วามสามารถทจ่ี ะปฏบิ ตั กิ จิ กรรมการดแู ลเพอ่ื ตอบ 2.1 สมั พันธภาพของผูป้ ่วยกับผูด้ แู ล มีข้อค�ำถามจ�ำนวน 8 ขอ้
สนองความต้องการด้านร่างกายและอารมณ์ของผู้ป่วยรวมถึงการจัดการ มคี ่าความเชอ่ื มน่ั 0.5974 จัดระดับสัมพนั ธภาพ ออกเปน็ 3 ระดบั โดยใช้
กับปัญหาความเครียดที่เกิดขึ้น7 Archbold8 ได้ท�ำการศึกษาวิจัย คะแนนอันตรภาคชน้ั เปน็ ระดับน้อย ปานกลาง มาก
เชงิ คณุ ภาพเกยี่ วกบั ผดู้ แู ลผสู้ งู อายทุ เี่ จบ็ ปว่ ยเรอื้ รงั โดยใชแ้ บบวดั ความพรอ้ ม
ในการดูแลผู้ป่วย โดยจากการศึกษาน้ีพบว่าผู้ดูแลที่มีความพร้อมสูงจะมี 2.2 สัมพันธภาพระหว่างผู้ดูแลกับสมาชิกในครอบครัว
ภาวะอารมณ์ซึมเศร้าในระดับต่�ำ ซ่ึงในการดูแลผู้ป่วยประคับประคอง 4 ประเดน็ ย่อย ไดแ้ ก่ 1) การใช้เวลาในการท�ำกิจกรรมร่วมกันของสมาชกิ
ผู้ดูแลย่ิงต้องมีความรู้ความสามารถในการดูแลอาการทางร่างกายของ ในครอบครัว (ค่าความเชื่อม่ัน =0.70) 2) การพูดคุยปรึกษาหารือและ
ผู้ป่วย การรักษา การช่วยเหลือทางด้านอารมณ์ สังคม และจิตวิญญาณ ตดั สนิ ใจในเร่อื งส�ำคัญต่างๆ (ค่าความเชื่อม่ัน = 0.65) 3) การแสดงออก
ท่ีมากกว่าการดูแลผู้ป่วยอื่นๆ มีหลายงานศึกษาพบว่าผู้ดูแลผู้ป่วย ซง่ึ ความรกั ความเออ้ื อาทรตอ่ กนั ทง้ั ทางกายวาจาใจ (คา่ ความเชอ่ื มน่ั = 0.62)
ประคับประคองขาดความพร้อมในการดูแลผู้ป่วย เร่ืองการดูแลอาการ 4) การปฏิบัติตามบทบาทหน้าท่ีท่ีเหมาะสมของสมาชิกในครอบครัว
ทางกาย การใช้ยารักษา และทักษะท่ีจ�ำเป็นในการดูแล9-10 การขาด (ค่าความเชือ่ มนั่ = 0.68) จดั ระดับสมั พันธภาพ ออกเป็น 3 ระดบั โดยใช้
ความพร้อมในการดูแลผู้ป่วยนี้ ส่งผลต่อการเกิดปัญหาทางอารมณ์ คะแนนอนั ตรภาคช้นั เป็นระดบั นอ้ ย ปานกลาง มาก
เชน่ วติ กกงั วล อารมณซ์ มึ เศรา้ อาการออ่ นเพลยี การแยกตวั ออกจากสงั คม
มสี ขุ ภาพรา่ งกายและคณุ ภาพชวี ติ ทแ่ี ยล่ ง งานวจิ ยั กอ่ นหนา้ นท้ี ไี่ ดศ้ กึ ษาถงึ 2.3 สัมพันธภาพผู้ดูแลกับคนนอกบ้าน 5 ประเด็นคือ
ปจั จยั ทม่ี ีเก่ยี วขอ้ งกบั ความพรอ้ มในการดูแลผ้ปู ว่ ย พบว่าผู้ดูแลท่เี ป็นเพศ 1) ด้านการเงิน 2) ด้านสิ่งของ 3) ด้านข้อมูลข่าวสาร 4) ด้านก�ำลังใจ
หญิง การอาศยั อยู่ร่วมกันกับผปู้ ว่ ย การมสี มั พนั ธภาพกับผปู้ ว่ ยทีด่ ี และได้ 5) ด้านสขุ ภาพอนามยั โดยจัดระดับสมั พนั ธภาพ ออกเปน็ 3 ระดบั โดยใช้
รบั การชว่ ยเหลอื ทางสงั คม มคี วามสมั พนั ธก์ บั ระดบั ความพรอ้ มในการดแู ล คะแนนอนั ตรภาคช้นั เป็นระดับนอ้ ย ปานกลาง มาก
ผู้ป่วยระดับสูง11-13 การศึกษาในประเทศไทยเก่ียวกับความพร้อม
ในการดูแลผู้ป่วยของผู้ดูแลผู้ป่วยพบว่า ผู้ดูแลต้องเตรียมความพร้อมทั้ง8 3. แบบประเมินความพร้อมในการดูแลผู้ป่วย ดัดแปลงมาจาก
ดา้ นเชน่ เดยี วกนั เพอ่ื ใหก้ ารดแู ลผปู้ ว่ ยมปี ระสทิ ธภิ าพ ผปู้ ว่ ยไดร้ บั การดแู ล Archbold 19 แปลเป็นภาษาไทยโดย Wirojratana20 ประเมินความพร้อม
ท่ดี ี และผูด้ แู ลมีความสามารถในการดแู ลและขจดั ความเครียดหรือปัญหา ในการดูแลผู้ปว่ ยทง้ั หมด 8 ดา้ น มีขอ้ ค�ำถามจำ� นวน 8 ขอ้ คือ 1) ด้าน
ของตนเองได้14-15 ดังน้ันความพร้อมในการดูแลผู้ป่วยประคับประคองมี ร่างกาย 2) ดา้ นจิตใจ 3) ดา้ นการหาข้อมลู การให้บริการสขุ ภาพและจดั หา
ความส�ำคัญในการช่วยลดความกดดันทางอารมณ์ ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิต แหล่งข้อมูลในการดูแล 4) การจัดการกับความเครียดที่เกิดขึ้นระหว่าง
ใหค้ นในครอบครัว ซงึ่ มีผลตอ่ การรบั มอื ต่อสถานการณข์ องผปู้ ว่ ยท่ีเกิดขึน้ การดูแล 5) ด้านการดูแลผู้ป่วยและตนเองให้เกิดความพึงพอใจ 6) ด้าน
สุขภาพร่างกายและอารมณ์ของผู้ดูแล16 และยังช่วยให้คุณภาพชีวิตของ การจดั การกบั ภาวะฉกุ เฉนิ 7) การขอความชว่ ยเหลอื และขอขอ้ มลู ทจ่ี ำ� เปน็
ผ้ปู ่วยดีขน้ึ อกี ด้วย17 จากทางโรงพยาบาล 8) ความพร้อมในการดแู ลผูป้ ่วยผู้ปว่ ยโดยรวม โดยมี
คา่ สมั ประสทิ ธแิ์ อลฟา 0.86-0.92 โดยมกี ารใชแ้ บบประเมนิ นใ้ี นกลมุ่ ผดู้ แู ล
ผู้ป่วยประคับประคอง มีค่าสัมประสิทธ์ิแอลฟา 0.90121 แบบประเมิน

ปี ท่ี 44 • ฉบับท่ี 2 • มนี าคม - เมษายน 2562

ก�ำหนดเป็นค�ำถามแบบประมาณค่า (Rating Scale) โดยใช้คะแนน 2. ข้อมลู ผดู้ แู ลหลกั ผดู้ แู ลหลกั เป็นมารดา ร้อยละ 72.2 แตง่ งาน
อันตรภาคชั้น เป็นระดับไม่มีความพร้อม มีความพร้อมเล็กน้อย มีความ อยูด่ ว้ ยกัน ร้อยละ 71.1 อาศยั เป็นครอบครวั เดี่ยว รอ้ ยละ 41.2 สขุ ภาพดี
พรอ้ มปานกลาง มีความพรอ้ มมาก มีความพรอ้ มมากท่ีสดุ วเิ คราะหข์ ้อมลู ไม่มีโรคประจ�ำตัว ร้อยละ 83.5 ออกจากงานเนื่องจากดูแลผู้ป่วย
ข้อมูลท่ัวไปของผู้ป่วย ข้อมูลทั่วไปของ ผู้ดูแลหลัก ข้อมูลสัมพันธภาพ ร้อยละ 52.6 มีความเครยี ดระดบั มาก รอ้ ยละ 51.5 ไดร้ ับขอ้ มูลการดูแล
ในครอบครัว และการประเมนิ ความพร้อมในการดแู ลผู้ปว่ ยผปู้ ว่ ย ใช้สถิติ จากทมี รกั ษา รอ้ ยละ 100 ไดเ้ ขา้ รว่ มประชมุ วางแผนการกั ษา รอ้ ยละ 73.2
เชงิ พรรณนา ไดแ้ ก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลีย่ สว่ นเบี่ยงเบน 3. ข้อมลู สัมพนั ธภาพในครอบครวั สัมพันธภาพระหวา่ งผูป้ ว่ ยและ
มาตรฐาน วิเคราะห์ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความพร้อมของครอบครัว ผู้ดูแลโดยรวมอยู่ในระดับมาก สัมพันธภาพระหว่างผู้ดูแลกับสมาชิก
ในการดูแลผู้ป่วยประคับประคองโดยใช้ t-test, ANOVA เพ่ือหา ในครอบครวั โดยรวมอยใู่ นระดบั ปานกลาง โดยมารดามหี นา้ ทใี่ นการตดั สนิ ใจ
ความแตกตา่ งของปจั จยั ตา่ งๆ กบั ความพรอ้ มในการดแู ลผปู้ ว่ ย ในสว่ นของ เรอ่ื งการดแู ลสขุ อนามยั ของผปู้ ว่ ย รอ้ ยละ 74.2 สมั พนั ธภาพระหวา่ งผดู้ แู ล
ANOVA หากพบความแตกตา่ งระหวา่ งกลมุ่ จะทำ� การทดสอบความแตกตา่ ง กับคนนอกบ้านโดยรวมอยู่ในระดับมาก โดยสัมพันธภาพระหว่างผู้ดูแล
รายคู่โดย Scheffe test Pearson correlation เพือ่ หาความสัมพนั ธ์ของ กับคนนอกบ้านด้านสขุ ภาพอนามัยอยู่ในระดับนอ้ ย
ปจั จยั ด้านสัมพนั ธภาพกบั ความพรอ้ มในการดแู ลผปู้ ว่ ย โดยก�ำหนดระดบั ส่วนที่ 2 ข้อมลู ความพร้อมในการดูแลผูป้ ่วย
นยั ส�ำคัญทางสถติ ทิ ี่ 0.05 ระดบั ความพรอ้ มในการดแู ลผปู้ ว่ ยโดยรวมปานกลาง (X_  1.90 ± 0.88)
ใโเกดนิดยระผขดู้ึ้ดนับูแกมลับามผกีคู้ปว(่วาX_ยมใพ2น.ร4ร้อะ4ม±ดดั0บ้า.น8น้7อก)ยาคร(ดวX_าูแมล1พค.5รว4้อา±มม1ใตน.้อ0กง9าก)ราจรคัดดวก้าาานมรรพก่ารับง้อกภมาายใวนขะกอฉางุกรผเฉดู้ปินูแ่วทลย่ี
ผล ความต้องการด้านอารมณ์ของผู้ป่วย การหาข้อมูลเกี่ยวกับการบริการ
และจดั บรกิ ารขอผปู้ ว่ ย การจดั การกบั ความเครยี ดทขี่ น้ึ ระหวา่ งดแู ลผปู้ ว่ ย
สว่ นท่ี 1 ขอ้ มูลทัว่ ไป การดูแลผู้ป่วยให้เกิดความพึงพอใจ การขอความช่วยเหลือและขอข้อมูล
1. ขอ้ มูลผปู้ ว่ ย เพศชาย ร้อยละ 53.6 เพศหญงิ ร้อยละ 46.4 สว่ น ท่จี �ำเปน็ อยใู่ นระดับปานกลาง (ตารางท่ี 1)

ใหญ่อายุต�่ำกว่า 5 ปี ร้อยละ 59.8 ได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคทางสมอง
ร้อยละ 41.2 โรคมะเรง็ รอ้ ยละ 23.7 มีระยะเวลาทเ่ี จบ็ ปว่ ย ตำ่� กว่า 3 ปี
ร้อยละ 64.9 นอนรักษาตัวในโรงพยาบาลต่�ำกว่า 7 ครั้ง ร้อยละ 64.9
ความรนุ แรงของโรค (PPS) 0-30 จ�ำนวน รอ้ ยละ 55.7

ตารางที่ 1 ขอ้ มลู ความพร้อมในการดแู ลผู้ป่วย

ความพร้อมในการดูแลผู้ป่วย X_ S.D. แปลผล

76 1. การดแู ลดา้ นรา่ งกาย 2.44 0.87 มาก
2. การดูแลด้านอารมณ ์ 1.67 1.15 ปานกลาง
3. การหาข้อมลู เกย่ี วกับการบริการและจดั หาบริการของผูป้ ว่ ย 1.97 0.95 ปานกลาง
4. การจดั การกับความเครยี ดท่ีเกิดขน้ึ ระหว่างดแู ล 1.61 1.07 ปานกลาง
5. การดแู ลเดก็ ใหเ้ กดิ ความพึงพอใจทัง้ ตวั ผปู้ ่วยและผ้ดู ูแล 2.01 0.94 ปานกลาง
6. การจดั การกบั ภาวะฉุกเฉิน 1.54 1.09 นอ้ ย
7. การขอความช่วยเหลือและขอขอ้ มูลทจ่ี �ำเปน็ จากทางโรงพยาบาล หรือศูนยบ์ รกิ ารสาธารณสุข 1.98 0.90 ปานกลาง

ส่วนท่ี 3 ปัจจยั ท่ีเกยี่ วข้องกับความพรอ้ มในการดแู ลผปู้ ่วย 3.1.3 ปัจจัยท่ีไม่มีความแตกต่างกันทางนัยส�ำคัญทางสถิติ
3.1 ปจั จยั ทมี่ ผี ลตอ่ ความพรอ้ มในการดแู ลผปู้ ว่ ย เมอ่ื นำ� ขอ้ มลู ของ ได้แก่ วินิจฉัยโรคของผู้ป่วย อายุของผู้ดูแล สถานภาพสมรสของผู้ดูแล
อาชีพของผู้ดูแล ความสัมพันธ์กับผู้ป่วย รายได้ท้ังหมดของครอบครัว
ผู้ป่วยและ ผู้ดูแลหลัก มาทดสอบด้วยสถิติ t-test, ANOVA เพื่อหา สขุ ภาพของผดู้ แู ล ผลกระทบตอ่ การทำ� งาน การไดเ้ ขา้ รว่ มตดั สนิ ใจเกย่ี วกบั
ความแตกต่างของปัจจัยตา่ งๆ และความพรอ้ มในการดแู ลผู้ปว่ ย พบว่า การรกั ษา การไดร้ บั ขอ้ มลู การดแู ลจากทมี ไมไ่ ดท้ ำ� การทดสอบความแตกตา่ ง
เนือ่ งจากผู้ดูแลได้รบั ข้อมูลในการดแู ลทุกครอบครัว
3.1.1 ปจั จยั ของผปู้ ว่ ย เกยี่ วกบั ระยะเวลาทเี่ จบ็ ปว่ ย ทแ่ี ตกตา่ ง
กันมีผลต่อความพร้อมในการดูแลผู้ป่วย โดยรวมแตกต่างกันท่ีระยะเวลา 3.2 การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของปัจจัยด้านสัมพันธภาพ
0-3 ปี กับ 4-7 ปี โดยมีรายละเอียดของปัจจัยต่างๆ กับความพร้อม ในครอบครัวทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั ความพรอ้ มในการดแู ลผู้ป่วย
ในการดแู ลแต่ละด้านท่แี ตกต่างกนั (ตารางที่ 2)
จากการวิเคราะห์ข้อมูลด้วย ANOVA test ของปัจจัยด้าน
3.1.2 ปจั จยั ของผดู้ แู ลหลกั เกย่ี วกบั การเขา้ รว่ มกจิ กรรมทาง สัมพันธภาพพบว่า สัมพันธภาพของผู้ดูแลกับผู้ป่วย ผู้ดูแลกับบุคคล
ศาสนา จ�ำนวนสมาชิกในครอบครัวท่ีอยู่บ้านเดียวกัน จ�ำนวนสมาชิก ในครอบครัว ผู้ดูแลกับคนนอกบ้านท่ีแตกต่างกันมีผลต่อความพร้อม
ในครอบครวั ทที่ ำ� งานและมรี ายได้ ระยะเวลาในการดแู ลผปู้ ว่ ย ความเครยี ด ในการดูแลผู้ป่วยโดยรวมท่ีแตกต่างกัน และเม่ือวิเคราะห์ข้อมูลต่อด้วย
ของผู้ดูแล การมีส่วนร่วมในการวางแผนการรักษา การมีหน่วยงานท่ีให้ Pearson correlation พบว่า ปัจจัยด้านสัมพันธภาพระหว่างผู้ดูแลกับ
ความช่วยเหลือ ที่แตกต่างกันมีผลต่อความพร้อมในการดูแลผู้ป่วย ผู้ป่วย ผู้ดูแลกับบุคคลในครอบครัว และผู้ดูแลกับคนนอกบ้าน มีความ
โดยรวมแตกต่างกัน โดยมีรายละเอียดของปัจจัยต่างๆ กับความพร้อม สัมพันธ์ทางบวกกับปัจจัยความพร้อมในการดูแลผู้ป่วย ท้ัง 8 ด้าน
ในการดแู ลแต่ละดา้ นทแ่ี ตกตา่ งกัน (ตารางท่ี 3) กล่าวคือ การมีสัมพันธภาพท่ีดีจะส่งผลให้มีความพร้อมในการดูแล
ผูป้ ่วยเดก็ ประคับประคองในระดบั มาก (ตารางท่ี 4)

วารสารกรมการแพทย์

ตารางท่ี 2 ผลการเปรยี บเทียบความแตกต่างของความพรอ้ มในการดูแลผ้ปู ว่ ย จาแนกตามขอ้ มูลผปู้ ว่ ย

1. เพศ 2. อายุ 3. ศาสนา 4. ระยะเวลาท่ีป่วย 5. จานวนครั้งที่นอน รพ. 6. ความรุนแรงของโรค (PPS)

ด้านรา่ งกาย F=4.521, p=0.013*
SS=6.48, df=2, MS=3.24 a
SS=67.45, df=95, MS=0.7 b

ตา่ งกันที่0-30 และ 40-70

ดา้ นอารมณ์ t=-2.504 p=0.014* F= 3.891, p=0.011* F=3.376, p=0.038* F=3.491, p=0.034*
ดา้ นข้อมูลการบรกิ าร ชาย Mean 1.75 S.D .0.90 SS=14.23, df=3, MS=4.74 a SS=5.95, df=2, MS=2.84 a SS=5.87, df=2, MS=2.93 a
ด้านการจดั การความเครียด หญงิ Mean 2.22 S.D. 0.95 SS=113.23, df=94, MS=1.2 b SS=79.29, df=95, MS=0.84b SS=79.11, df=95, MS=0.84b
ดา้ นความพึงพอใจ ตา่ งกนั ทีอ่ ายุ <5, 6-11 ปี
ด้านการจดั การภาวะฉกุ เฉิน t=-2.265 p=0.026* ต่างกนั ทีอ่ ิสลามกับพทุ ธ ต่างกนั ที่ 0-3 ปกี บั 4-7 ปี
ชาย Mean 1.31 S.D. 1.03 F=4.093, p=0.009*
ดา้ นการขอความชว่ ยเหลอื หญงิ Mean 1.80 S.D. 1.10 SS=12.96, df=3, MS=4.32 a F=5.191, p=0.002*
ความพร้อมโดยรวม SS=98.15, df=94, MS=1.1 b SS=16.37, df=3, MS=5.49 a
ต่างกันท่ที ่อี ายุ<5, 18 ปีขึน้ ไป SS=97.75, df=94, MS=1.05 b
F=4.572, p=0.005*
ต่างกันที่< 7 ครง้ั กับ>16 ครง้ั
SS=10.92, df=3, MS=3.64 a
SS=74.07, df=94, MS=0.79 b
ต่างกันทอ่ี ายุ <5, 6-11 ปี
F=5.567, p=0.001*
SS=17.37, df=3, MS=5.79 a
SS=96.75, df=94, MS=1.04 b
ต่างกันทที่ ่อี ายุ <5, 6-11 ปี
และอายุ <5, 18 ปขี น้ึ ไป
77
F=3.892, p=0.024*
ปี ท่ี 44 • ฉบบั ท่ี 2 • มีนาคม - เมษายน 2562 SS=7.11, df=2, MS=3.55 a
SS=85.87, df=95, MS=0.9 b

ตา่ งกันท่ี 0-3 ปกี บั 4-7 ปี

หมายเหตุ : * ท่ีระดับนยั สาคญั ทางสถติ ิ p<0.05, a ระหวา่ งกลมุ่ , b ภายในกลมุ่

78

วารสารกรมการแพทย์
ตารางที่ 3 ผลการเปรยี บเทียบความแตกตางของความพรอ มในการดูแลผูปว ย จาํ แนกตามขอมูลผูด แู ล

1.เพศ 2.กจิ กรรมทางศาสนา 3.จาํ นวนสมาชิกใน 4.จํานวนสมาชิกที่ 5.ความเครยี ดของผูดแู ล 6.การไดเ ขารวม 7.การรับรวู ามี 8.ไดร ับความชว ยเหลอื จาก ขอมูลอืน่ ๆ
ประชุมกบั ทีม หนว ยงานในชมุ ชน หนว ยงาน
(ชาย/หญิง) (เขา รวม/ไมเขา รวม) ครอบครวั ท่ีอยบู านเดียวกนั ทาํ งานและมรี ายได F=27.6 ,p=< 0.00* (ไดร บั /ไมไ ดรับ) (ทราบ/ไมทราบ) (ไดร ับ/ไมไ ดร ับ) 9.ระดับการศกึ ษา
SS=47.1,df=2, MS=23.6a t=-2.61 p=0.01* t=3.087 p=< 0.00* t=4.414 p=< 0.00* F=3.146 ,p=0.012*
(1-2 คน/3 คนขน้ึ ไป) SS=80.29,df=95, Mean 2.41 S.D. Mean 3.05 S.D. Mean 3.04 S.D. 0.528 SS=12.8,df=5, MS=2.56a
MS=0.8b 0.857 0.498 Mean 2.23 S.D. 0.882 SS=74.09,df=92, MS=0.8b
ดานรา งกาย t=-2.021 p=0.046* t=3.794 p=<0.001* F=3.127 ,p=0.048* t=-3.89 p=<0.001* แตกตางกันทุกคู Mean 4.00 S.D Mean2.28 S.D. แตกตางทปี่ ระถมกบั มธั ยม
Mean 1.89S.D. 0.92 Mean2.71 S.D. 0.803 SS=4.61,df=2, MS=2.31a Mean 2.3 S.D. 0.842 F=17.97 ,p=< 0.00* .0.000 0.888 t=4.483 p=< 0.00*
SS=24.04,df=2, t=-3.008 p=< 0.00* t= p=< 0.00* Mean 2.46 S.D. 1.029 10.ศาสนา:ตา งท่พี ุทธกับ
Mean 2.5 S.D. 0.85 Mean 2.07 S.D. 0.848 SS=69.33,df=95, Mean 3.20 S.D. MS=12.1a Mean 1.62 S.D. Mean 2.57 S.D. Mean 1.38 S.D. 1.061 อิสลาม
MS=0.7b 0.676 SS=62.87,df=95, 1.113 0.926 F=3.379 ,p=0.038*
MS=0.6b Mean 4.00 S.D. Mean 1.42 S.D. t=3.233 p=< 0.00* SS=5.70,df=3, MS=2.85a
ตา งกนั ที่ >3 คนกบั >6 คน แตกตางกันทุกคู 0.000 1.086 Mean 2.46 S.D. 0.948 SS=79.28,df=94, MS=0.8b
F=36.01 ,p=< 0.00* t=-3.193 p=< 0.00* t= p=< 0.00* Mean 1.70 S.D 0.893. 11.ลกั ษณะของครอบครัว
ดา นอารมณ t=7.146 p=<0.001* F=3.409 ,p=0.037* t=-3.03 ,p=<0.001* SS=48.21,df=2, Mean 1.93 S.D. Mean 2.48 S.D. F=3.289 ,p=0.042*
Mean 2.25 S.D. 1.100 SS=8.62,df=2, MS=4.31a Mean 1.52 S.D. MS=24.1a 0.914 1.030 t=4.197 p=< 0.00* SS=7.46,df=2, MS=3.73 a
SS=62.91,df=95, Mean 4.00 S.D. Mean 1.83 S.D. Mean 2.31 S.D. 0.928 SS=106.6,df=95, MS=1.1b
Mean 0.88 S.D. 0.640 SS=118.8,df=95, 1.057 MS=0.6b 0.000 0.885 Mean 1.35 S.D. 1.016 ตางที่ครอบครวั เดยี่ วกับขยาย
MS=1.2b Mean 2.47 S.D. แตกตางกันทุกคู
F=17.78 ,p=< 0.00* t=-2.586 p=0.01* t= p=< 0.00* t=4.143 p=< 0.00*
ตางกนั ที่ <3 คนกบั 3-5 คน 1.356 SS=23.33,df=2, Mean 1.57 Mean 2.38 S.D. Mean 2.62 S.D. 0.571
MS=11.7a S.D.1.048 0.921 Mean 1.79 S.D. 0.955
ดานขอมลู การ t=0.347 p=<0.001* SS=61.66,df=95, Mean 3.50. S.D. Mean 1.39 S.D.
MS=0.7b 0.707 1.021 t=3.835 p=< 0.00*
บรกิ าร Mean2.23 S.D .1.027 แตกตา งกันทุกคู Mean 2.19 S.D. 0.849
F=22.61 ,p=< 0.00* t=-3.160 p=< 0.00* t= p=< 0.00* Mean 1.30 S.D. 1.074
Mean 1.61 S.D 0.703. SS=37.07,df=2, Mean 1.97 S.D. Mean 2.67 S.D.
MS=18.6a 0.905 0.577 t=3.972 p=< 0.00*
ดานการจดั การ t=6.017 p=<0.001* F= 3.245,p=0.043* t=-2.372 ,p=0.020* SS=77.05,df=95, Mean 4.00 S.D. Mean 1.83 S.D. Mean 2.54 S.D. 0.582
ความเครียด Mean 2.09 S.D 1.049. SS=7.18,df=2, MS=3.59a Mean 1.5 S.D MS=0.8b 0.000 0.944 Mean 1.77 S.D. 0.913
Mean 0.95 S.D. 0.705 SS=103.9,df=95, .1.033 แตกตา งกันทกุ คู
MS=1.1b Mean2.20 F=28.11 ,p=< 0.00* t=-3.403 p=< 0.00* t= p=< 0.00*
ตา งกันที่ <3 คนกับ 3-5 คน S.D.1.146 SS=29.17,df=2, Mean 1.48 S.D. Mean 2.29 S.D.
MS=14.6a 1.040 0.845
ดานความพงึ t=-2.725 p=0.008* t=6.706 p=<0.001* t= -3.06,p=<0.001* Mean 4.00 S.D. Mean 1.33 S.D.
พอใจ Mean 1.22 S.D Mean 2.46 S.D. 0.808 Mean1.89 S.D 0.000 1.063
.0.92 Mean 1.39 S.D .0.737 .0.903
Mean 2.09 S.D. 0.90 Mean 2.67 t-3.373 p=< 0.00* t= p=< 0.00*
S.D.0.900 Mean 1.94 S.D. Mean 2.52 S.D.
0.861 0.602
ดา นการจดั การ t=5.342 p=<0.001* t=-2.93 ,p=<0.001*
ภาวะฉกุ เฉนิ Mean 1.98 S.D. 1.036 Mean 1.4 S.D
Mean 0.93 S.D. 0.848 1.004.
Mean2.27 S.D. 1.28

ดานการขอความ t=4.856 p=<0.001* t=-2.23 ,p=0.020*
ชว ยเหลือ Mean 2.32 S.D. 0.876 Mean 1.89 S.D
Mean 1.51 S.D. 0.711 .0.875

ตารางท่ี 3 ผลการเปรียบเทยี บความแตกตา งของความพรอมในการดแู ลผปู ว ย จําแนกตามขอมูลผดู แู ล (ตอ่ )
M4.eจําaนn2วน.4ส7มาSช.Dิก.ที่ MS5S.Sค==ว4า08ม..5เ7bค9ร,dยี fด=ข9อ5ง,ผูดแู ล M6.eกaารnได4เ.0ข0า รวSม.D. M7.eกaารnร1บั .ร8วู3ามS.ี D.
1.เพศ 2.กิจกรรมทางศาสนา 3.จํานวนสมาชิกใน 0ป.ร0ะ0ชุมกบั ทมี 0ห.น91ว ย5งานในชุมชน 8.ไดร บั ความชว ยเหลอื จาก ขอมลู อ่ืนๆ
ครอบครวั ท่ีอยบู านเดยี วกนั 0ท.ํา9ง1า5นและมรี ายได หนว ยงาน
(ชาย/หญงิ ) (เขารวม/ไมเ ขา รวม) (1-2 คน/3 คนขน้ึ ไป) แตกตางกันทกุ คู (ไดร ับ/ไมไดร บั ) 12.ระยะเวลาในการดูแล
t=4.543114 p=< 0.00* F=3.892 ,p=0.024*
(ไดรบั /ไมไ ดรบั ) (ทราบ/ไมทราบ) MMeeaann 23..6094 SS.D.D..00.7.53268 SS=7.11,df=2, MS=3.56a
MMeeaann 12..7263 SS..DD.. 00..984882 SS=85.88,df=95, MS=0.9b
คดาวนามรพา งรกอามย t=-2.021 p=0.046* t=53.974934 p=<0.001* F=3.51427,p,p==0.00.3034*8* t=-3.5889 ,pp==<<00..000011** F=28.03 ,p=< 0.00* t=-32.06018pp==0<.010*.00* t=3p.0=8<70p.0=0<* 0.00* ตา งกนั ท่ี 0-3 กบั 4-7 ป
โดยรวม Mean 1.89S.D. 0.92 MMeeaann22..4751 SS.D.D..00.8.90333 SSSS==64..5611,,,ddff==22,, MMSS==23..3216aa MMeeaann 12..837S.DS..D0..842 SS=34.74,df=2, MMeeaann 12..9471 SS.D.D.. MMeeaann 23..6075 SS.D.D.. t=4.483 p=< 0.00*
Mean 2.5 S.D. 0.85 MMeeaann 12..4017 SS.D.D..00.8.74086 ตSMตFSMS=SาาSSง=ง=3==กก8.6400ันัน690..ทท.9.7493bbี่ี่ 73<>,,,p33dd=ffกค==0ับน9.90ก5533,ับ,-75>*6คนคน 0M.8e9a9n 3.20 S.D. MS=17.4a 00..98557 00..743908 Mean 2.46 S.D. 1.029
ดานอารมณ SS=8.62,df=2, MS=4.31a M0.e67an6 2.8 S.D. 1.082 SS=58.25,df=95, 0M.Mt0=.0e.e-003aa0.nn000448..00p00=<SS..DD0..00* 0MtM0=..9e8e7p8aa1n8n=2<1.2.088.30S0.S*D.D. . Mean 1.38 S.D. 1.061
t=7.146 p=<0.001* MแFSตS=S=ก2=ต740.7า.6ง6.1กb,,pนั d=ทf=<ุก2ค0, ู .M00S*=23.6a Mean 1.62 S.D. Mean 2.57 S.D.
Mean 2.25 S.D. 1.100 t=-3.03 ,p=<0.001*
Mean 1.52 S.D.

Mean 0.88 S.D. 0.640 SS=118.8,df=95, 1.057 SS=80.29,df=95, 1.113 0.926
MS=1.2b Mean 2.47 S.D. MS=0.8b Mean 4.00 S.D. Mean 1.42 S.D.

ตดาารนาขงอทมี่ลู 4การการวิเคราะหความสมั พันธรtะ=ห0.ว34า 7งปp=จ<จ0ยั .0ด0า1น* สัมพนั ตธาภงกาันพทก่ี <บั 3คควนากมับพ3ร-5อคมนในกา1ร.3ด5แู6 ลผูป ว ย แตกตา งกันทุกคู 0.000 1.086 t=3.233 p=< 0.00* 9.ระดบั การศกึ ษา
F=17.97 ,p=< 0.00* t=-3.193 p=< 0.00* t= p=< 0.00*

บรกิ าร Mean2.23 S.D .1.027 สมั พนั ธภาพระหวา งผูด ูแลกับผูปวย MSSS==2142.0.14aP,defa=r2s,oสnัมพCันoธrrภeาlพatรiะo0Mหn.ว9e(า1arง4n)ผ1ูด.ูแ93ลกSับ.Dบ.ุคคSลiใgน.(ค2ร-1Mtอ.a0eบi3alคe0nรdัว2).48 S.D. PeMMareesaaonnnส1200มัC..47..พo336053ันrrS41ธSe.**Dภ.lDaา0.tพi.0o8ร.9n9ะ34ห(.8วr)า งผดู แู แSFSล=SSตก==ก3บั 1.7ต1ค24า4นง..860Sทน,9idีป่,gอ,pdf.ร<ก(==0fะ20=บ50.ถ-0.,.9าt0ม00aM2น01ก1,i12lSับMe*=มdS2ธั )=.ย50ม6.a8b

ปจจยั ดา นความพรอมในการดแู Mลผeปูanวย1.61 S.D 0.703. Pearson Correlation (r) Sig.(2-tailed)

1. ดานรา งกาย 0.498* <0.001 SS=62.87,df=95, 0.562* Mean 4.00 S.D. <<000M..00.8e008a115n 1.83 S.D.
MS=0.6b 0.758* 0.000
2. ดานอารมณ 0.646* <0.001 แตกตางกนั ทกุ คู

ด3า.นดกาานรขจดัอกมาลู รเกยี่ วกบั การบริการแแลละะจจัดัดหหาบาบรกิรากิ tร=าข6รอข.0งอ1เดง7เก็ ดp็ก=<0.001* F= 3.245,0p.4=809.0*43* t=-2.372 ,p<=00..000210* F=36.01 ,p=< 0.000*.570* t=-2.586 p=0.01* <0t.0=0p1=< 0.00* t=4.1970p.2=4<9*0.00* 0.014
ค4ว.าดมาเคนรกียาดรจดั การกบั ความเครยี ด SS=7.18,d0f.6=320, *MS=3.59a Mean 1.5 <S0.D.001 SS=48.21,df=2, 0.649* Mean 1.57 <0M.0e0a1n 2.38 S.D. Mean 20.3.3103S*.D. 0.928 0.003
Mean 2.09 S.D 1.049. MS=24.1a
5. ดานการดแู ลเด็กใหเ กิดความพงึ พอใจ Mean 0.95 S.D. 0.705 SS=62.91,df=95,
SMSS==110.31.b90,d.6f0=89*5, .1.033 <0.001 0.666* S.D.1.048 <00M.0.9e02a11n 1.39 S.D. Mean 10.3.3551S*.D. 1.016 <0.001
ทงั้ ตัวผปู วยและผดู ูแล Mean2.20 Mean 3.50. S.D.
MS=0.6b
6. ดานการจัดการกับภาวะฉุกเฉิน ตางกันท่ี <03.5ค3น1*กบั 3-5 คน S.D.1.146 <0.001 0.652* 0.707 <01.0.00211 0.416* <0.001
แตกตา งกันทกุ คู
ดพ78าอ..นใขดดจคอาา วขนนาอกกมมาาพรรลู งึ ดขทแูอี่จลคาํ เเวดปาก็นม โชจด.Mt0าว=ย.กeย-9ร2aทเ2วห.nา7มลง21โือ5.ร2แงp2ลพ=ะย0Sา..0Dบ0า8ล* 0.506* t= -3.06,p=<<0.001* F=17.78 ,p=< 0.000*.689* t=-3.160 p=< 0.00* <0t.0=0p1=< 0.00* t=4.1430p.3=7<8*0.00* 10.ศาสนา:ต<า0งท.0พี่ 0ทุ1ธกบั
t=6.706 p=<0.001* 0.602*
Mean 2.46 S.D. 0.808 Mean1.89 <S0..D001 SS=23.33,df=2, 0.710* Mean 1.97 S.D. <00M.0.5e07a17n 2.67 S.D. Mean 120..67.3923S5S.*D.D..00.9.55751 อสิ ลาม ,p=00.0.00318*
Mean 1.39 S.D .0.737 .0.903 MS=11.7a 0.905 Mean F=3.379
79 SS=5.70,df=3, MS=2.85a
Mean 2.09 S.D. 0.90 Mean 2.67 SS=61.66,df=95, Mean 4.00 S.D. Mean 1.83 S.D. SS=79.28,df=94, MS=0.8b
ปี ท่ี 44 • ฉบบั ท่ี 2 • มีนาคม - เมษายน 2562 S.D.0.900 MS=0.7b 0.000 0.944

แตกตางกันทกุ คู

ดา นการจัดการ t=5.342 p=<0.001* t=-2.93 ,p=<0.001* F=22.61 ,p=< 0.00* t=-3.403 p=< 0.00* t= p=< 0.00* t=3.835 p=< 0.00* 11.ลักษณะของครอบครัว
Mean 2.19 S.D. 0.849 F=3.289 ,p=0.042*
ภาวะฉกุ เฉนิ Mean 1.98 S.D. 1.036 Mean 1.4 S.D SS=37.07,df=2, Mean 1.48 S.D. Mean 2.29 S.D. Mean 1.30 S.D. 1.074 SS=7.46,df=2, MS=3.73 a
Mean 0.93 S.D. 0.848 1.004. MS=18.6a 1.040 0.845 SS=106.6,df=95, MS=1.1b
ตางทคี่ รอบครัวเดย่ี วกับขยาย
Mean2.27 S.D. 1.28 SS=77.05,df=95, Mean 4.00 S.D. Mean 1.33 S.D.
MS=0.8b 0.000 1.063

แตกตา งกนั ทกุ คู

ดา นการขอความ t=4.856 p=<0.001* t=-2.23 ,p=0.020* F=28.11 ,p=< 0.00* t-3.373 p=< 0.00* t= p=< 0.00* t=3.972 p=< 0.00*
Mean 2.54 S.D. 0.582
ชวยเหลอื Mean 2.32 S.D. 0.876 Mean 1.89 S.D SS=29.17,df=2, Mean 1.94 S.D. Mean 2.52 S.D. Mean 1.77 S.D. 0.913
Mean 1.51 S.D. 0.711 .0.875 MS=14.6a 0.861 0.602

วิจารณ์ ปัจจัยเรื่องความเครียดของผู้ดูแลหลัก ความเครียดในการดูแล
การดูแลผู้ป่วยเด็กแบบประคับประคอง ต้องอาศัยความร่วมมือ ผู้ป่วยเกิดจากความรู้สึกที่ผู้ดูแลหลักไม่สามารถจัดการกับวิกฤตการณ์
จากสหวิชาชีพเพื่อมุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและครอบครัว22 จาก ที่เกิดข้ึนทัง้ จากผู้ป่วยและจากครอบครัว การรู้สกึ วา่ เปน็ ภาระในการดูแล
ผลการศึกษาพบว่า ผลกระทบจากการดูแลผู้ป่วย ท�ำให้ผู้ดูแลหลักต้อง ผู้ป่วย หมดพลังในการดูแล ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลถึงความพร้อมในการดูแล
ออกจากงานเกินกว่าคร่ึง เกิดความเครียดระดับมาก ผู้ดูแลส่วนใหญ่ ผู้ป่วย27 การช่วยท�ำให้ผู้ดูแลจัดการความเครียดได้มีอารมณ์ท่ีดีข้ึน
ไม่ทราบว่ามีหน่วยงานให้ความช่วยเหลือในชุมชนและไม่ได้รับความ สามารถท�ำโดยการท่ีทีมดูแลมีการยอมรับ เห็นอกเห็นใจ ช่ืนชมผู้ดูแล
ชว่ ยเหลอื จากหนว่ ยงานในชมุ ชน ซงึ่ เปน็ ขอ้ มลู สำ� คญั ทางอารมณ์ และสงั คม มีการสอนผู้ดูแลให้สามารถมองตัวเองในมุมมองด้านบวก มีวิธีการ
ที่ทีมดูแลผู้ป่วยประคับประคองควรประเมินประเด็นผลกระทบเหล่านี้ แก้ปัญหา และผ่อนคลายความเครียด28 ดังนั้น กิจกรรมต่างๆ ท่ีกล่าวมา
เพ่ือท่ีจะได้ให้ความช่วยเหลือและให้ข้อมูลแก่ครอบครัวผู้ป่วย เนื่องจาก ท้ังหมดนี้ ท้ังด้านสัมพันธภาพในครอบครัว การได้รับการช่วยเหลือทาง
การได้รับการช่วยเหลือทางสังคมเป็นหน่ึงในปัจจัยที่ส�ำคัญ ที่ช่วยป้องกัน สังคม กิจกรรมทางศาสนา และกิจกรรมลดความเครียดของผู้ดูแล จึงเป็น
ผดู้ แู ลจากผลกระทบทไี่ มด่ ี ดา้ นรา่ งกาย จติ ใจ และสงั คมตอ่ การดแู ลผปู้ ว่ ย12 ปัจจัยส�ำคัญที่มีผลที่ช่วยให้เกิดความพร้อมในการดูแลผู้ป่วย
ผลการศึกษาเรื่องความพร้อมในการดูแลผู้ป่วย พบว่า ผู้ดูแลผู้ป่วยเด็ก
80 ประคับประคองมีความพร้อมในการดูแลผู้ป่วยโดยรวมในระดับปานกลาง ปัจจัยเร่ืองเพศของผู้ดูแลที่จากการศึกษาในผู้ป่วยประคับประคอง
เชน่ เดยี วกบั งานวจิ ยั ในผดู้ แู ลผปู้ ว่ ยประคบั ประคองในผใู้ หญ7่ ,11,20 แตร่ ะดบั ผู้ใหญ่พบว่าเป็นปัจจัยท่ีเกี่ยวข้องกับความพร้อมในการดูแลผู้ป่วย11
ความพรอ้ มในรายด้าน พบวา่ ความพรอ้ มในการดแู ลผ้ปู ่วยความต้องการ จากการศึกษาน้ีพบว่า เพศของผู้ดูแลที่แตกต่างกันส่งผลต่อความพร้อม
ด้านร่างกายของเด็กอยู่ในระดับมาก แตกต่างจากงานวิจัยในผู้ใหญ่ที่มี ในการดแู ลผปู้ ว่ ยดา้ นรา่ งกายและความพรอ้ มในการดแู ลผปู้ ว่ ยและตนเอง
ความพร้อมด้านน้ีน้อย9-10 โดยอาจจะเกิดจากโรคและการด�ำเนินโรค ให้เกิดความพึงพอใจโดยเพศหญิงมีความพร้อมมากกว่าเพศชาย ส่วน
ของผู้ป่วยเด็กและผู้ใหญ่ท่ีมีความแตกต่างกัน ในผู้ป่วยเด็กโรคมักจะมี ความพร้อมในด้านอ่ืนๆ ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติ
ความหลากหลาย คาดการณ์ไม่ได้ โรคสามารถดีขึ้นหรือแย่ลงได้ และ
การด�ำเนินโรคอาจมีระยะเวลายาวนาน แต่ในผู้ใหญ่โรคส่วนมากมัก ปัจจัยเร่ืองการไม่ได้เข้าร่วมการวางแผนรักษามีความพร้อมในการ
คาดการณไ์ ดว้ า่ โรคมแี นวโนม้ ทจ่ี ะแยล่ ง ดแู ลจดั การกบั อาการไดย้ ากกวา่ 23 ดูแลผู้ป่วยมากกว่าการเข้าร่วม อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติ ซึ่งปัจจัยน้ี
สว่ นความพรอ้ มในการจดั การกบั ภาวะฉกุ เฉนิ ทเี่ กดิ กบั เดก็ อยใู่ นระดบั นอ้ ย ไม่สอดคล้องกับหลักการให้การดูแลรักษาแบบประคับประคอง อาจ
ซ่ึงเป็นข้อมูลส�ำคัญเน่ืองจากเป็นสาเหตุหน่ึงที่ท�ำให้ผู้ป่วยเด็กต้องกลับมา เนื่องจากในงานวิจัยน้ีจ�ำนวนผู้ดูแลที่ไม่ได้เข้าร่วมการวางแผนมีจ�ำนวน
รกั ษาในโรงพยาบาลทห่ี อ้ งฉกุ เฉนิ และไดร้ บั การรกั ษาทม่ี ากเกนิ ความจำ� เปน็ น้อย ร่วมกับทุกครอบครัวได้รับข้อมูลการดูแลจากทีมสหวิชาชีพท้ังหมด
ไมส่ อดคลอ้ งกบั การดแู ลผปู้ ว่ ยประคบั ประคอง24 ดงั นน้ั แพทยแ์ ละพยาบาล จึงอาจท�ำให้ผลนี้ไม่สอดคล้องได้
จึงควรมีการให้ข้อมูลด้านการดูแลจัดการภาวะฉุกเฉินแก่ผู้ดูแลหลัก
ตามการดูแลแบบประคับประคอง เพ่ือให้ผู้ดูแลเกิดความพร้อมและ ปัจจัยของผู้ป่วยท่ีส่งผลต่อความพร้อมในการดูแลผู้ป่วยจากงาน
ความมนั่ ใจทจ่ี ะสามารถดูแลจัดการผู้ป่วยที่บา้ นไดด้ ี วิจัยได้แก่ ระยะเวลาในการเป็นโรค จ�ำนวนครั้งในการได้รับการรักษา
ในโรงพยาบาล อายุของผู้ป่วย ระดับ PPS ส่งผลต่อความพร้อมในการ
ผลการศึกษาคร้ังนี้ พบว่า ปัจจัยท่ีเกี่ยวข้องกับความพร้อมในการ ดูแลผู้ป่วยด้านการจัดการกับภาวะฉุกเฉิน การจัดการอารมณ์ ความ
ดูแลผู้ป่วยทุกด้าน ได้แก่ การไดเ้ ขา้ รว่ มกจิ กรรมทางศาสนาของผดู้ แู ลหลกั พึงพอใจและการจัดการร่างกายตามล�ำดับ ซึ่งงานวิจัยที่เก่ียวข้องกับ
ความเครียดของผู้ดูแลหลัก การไม่ได้เข้าร่วมในการวางแผนรักษา การดูแลผู้ป่วยประคับประคองเด็กพบว่าระดับความรุนแรงของโรคของ
การรับรู้ว่ามีหน่วยงานท่ีให้ความช่วยเหลือ การได้รับความช่วยเหลือจาก ผู้ป่วยส่งผลต่อความเครียดของผู้ดูแลซึ่งจะส่งผลต่อการจัดการอารมณ์
หน่วยงาน สัมพันธภาพระหว่างผู้ดูแลกับผู้ป่วย ผู้ดูแลกับบุคคล และความพร้อมในการดูแลผู้ป่วย29
ในครอบครัว ผู้ดูแลกับบุคคลนอกบ้าน โดยปัจจัยด้านสัมพันธภาพและ
การได้รับการช่วยเหลือทางสังคม เป็นปัจจัยท่ีสอดคล้องกับการศึกษา ข้อจ�ำกัดในงานวิจัยนี้เน่ืองจากเป็นการศึกษาแบบภาคตัดขวาง
ในผู้ป่วยประคับประคองผู้ใหญ่11-13,16 ส่วนสัมพันธภาพในครอบครัว จึงได้ข้อมูลในการศึกษาแค่ช่วงระยะเวลาหน่ึง ดังนั้นเพ่ือให้เกิดประโยชน์
มคี วามสำ� คญั ตอ่ การเกดิ ความพรอ้ มในการดแู ลผปู้ ว่ ยเดก็ โดยสมั พนั ธภาพ มากขึ้น การศึกษาที่ควรท�ำต่อในอนาคตคือการศึกษาไปข้างหน้าเก่ียวกับ
ที่ดีของครอบครัวจะเกิดขึ้นได้จาก การชื่นชมคุณค่าของคนในครอบครัว ผลกระทบของความพร้อมในการดูแลผู้ป่วยที่ไม่ดี คุณภาพชีวิตของผู้ป่วย
มีเวลาอยู่ร่วมกัน ท�ำกิจกรรมร่วมกัน มีพันธะต่อความสุขและสวัสดิภาพ กับความพร้อมในการดูแลผู้ป่วย ข้อจ�ำกัดอีกข้อคือการศึกษาเกี่ยวกับ
ของคนในครอบครัวร่วมกัน มีการติดต่อส่ือสารกันอย่างดี ซ่ึงส่ิงเหล่าน้ี อารมณ์ของผู้ดูแลยังไม่ละเอียดมากพอ เป็นแค่การวัดระดับความเครียด
สามารถวัดระดับความกังวล หรือภาวะซึมเศร้าได้เพิ่มเติมเพ่ือการน�ำไป
ใช้ในการช่วยเหลือได้มากข้ึน
ความพร้อมของผู้ดูแลมีความส�ำคัญของคุณภาพชีวิตของทั้งผู้ป่วย
จะชว่ ยให้มผี ้ดู แู ล มสี มรรถนะในการจดั การกับวกิ ฤตการณ์ของครอบครวั
ไดด้ ี รวมถึงได้รับความช่วยเหลือจากสังคม25 จากงานวิจัยนี้พบว่าศาสนา และผู้ดูแล ดังนั้นจึงเป็นสิ่งจ�ำเป็นที่ผู้ดูแลและครอบครัวควรได้รับการ
ทแ่ี ตกตา่ งกนั สง่ ผลตอ่ ความพรอ้ มในการดแู ลผปู้ ว่ ยแตกตา่ งกนั เปน็ เพราะ ช่วยเหลืออย่างเหมาะสม30 ดังนั้นผู้ศึกษาจะน�ำผลการศึกษาไปใช้ใน
ภมู หิ ลงั ทางความเชอื่ สง่ ผลกระทบตอ่ บทบาทและความคาดหวงั ในการดแู ล การจัดการบริการเพื่อเตรียมความพร้อมแก่ผู้ดูแลได้ ดังนี้
ของครอบครัว3  แต่สิ่งหนึ่งของแต่ละศาสนาที่เหมือนกันคือเรื่องการ 1. การให้ความรู้และการฝึกฝนทักษะเก่ียวกับการจัดการกับ
เข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนา จากงานวิจัยนี้พบว่าปัจจัยเร่ืองการเข้าร่วม ภาวะฉุกเฉินท่ีเกิดข้ึนกับเด็ก
กิจกรรมทางศาสนาน้ันมีความสอดคล้องกับงานวิจัยในผู้ดูแลผู้ป่วยเด็ก 2. การส่ือสารเก่ียวกับการดูแลผู้ป่วย และค้นหาครอบครัวท่ีมี
ประคับประคอง ในงานวิจัยน้ีศึกษาถึงผลของการได้เข้าร่วมกิจกรรมทาง ความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาอารมณ์
ศาสนาและการได้รับการช่วยเหลือด้านจิตวิญญาณของผู้ดูแล พบว่า 3. จัดกิจกรรมคลายเครียดในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น การท�ำ
มีประโยชน์ต่อผู้ดูแลในการจัดการกบั วกิ ฤตการณ์ของครอบครัว ไมว่ า่ จะ กิจกรรมกลุ่ม
เป็นกิจกรรมทางศาสนาที่ท�ำในชุมชม หรือท�ำด้วยตัวเอง26 ดังนั้น 4. เสริมสร้างสัมพันธภาพ สัมพันธภาพในครอบครัวและ
ไม่ว่าศาสนาใดเราสามารถส่งเสริมให้เกิดความพร้อมในการดูแลผู้ป่วยได้ สัมพันธภาพกับบุคคลนอกครอบครัว
โดยการเข้าใจความเช่ือ หลักปฏิบัติของแต่ละศาสนา รวมท้ังการส่งเสริม 5. เสริมความรู้ให้กับผู้ดูแลเก่ียวกับเครือข่ายต่างๆ ในชุมชน และ
ใหผ้ ปู้ ว่ ยและผู้ดแู ลได้เขา้ ร่วมกิจกรรมทางศาสนา ด�ำเนินการส่งต่อข้อมูลให้ชุมชน

วารสารกรมการแพทย์

6. สนับสนุนหรือจัดให้มีกิจกรรมท่ีเก่ียวข้องกับศาสนาให้ 9. Funk L, Stajduhar K, Toye C, Aoun S, Grande G, Todd C. 81
ครอบคลุมทุกศาสนา Part 2: home-based family caregiving at the end of life:
a comprehensive review of published qualitative research
สรุป (1998–2008). Palliat Med 2010; 24: 594–607.

จากกลุ่มผู้ดูแลหลักที่ศึกษา จ�ำนวน 97 ครอบครัว ส่วนใหญ่เป็น 10. Hudson P, Payne S (eds). Family carers in palliative care.
มารดา มคี วามพรอ้ มในการดแู ลผปู้ ว่ ยโดยรวมในระดบั ปานกลาง โดยผดู้ แู ล Oxford: Oxford University Press; 2009.
มีความพร้อมด้านการดแู ลความต้องการดา้ นร่างกายของเด็กในระดับมาก
ความพร้อมในการจัดการกับภาวะฉุกเฉินท่ีเกิดขึ้นกับเด็กในระดับน้อย 11. Henriksson A, Arestedt K. Exploring factors and caregiver
ปจั จัยท่เี กย่ี วขอ้ งกับความพร้อมในการดูแลผปู้ ่วยในทุกด้าน ได้แก่ การได้ outcomes associated with feelings of preparedness for
เข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาของผู้ดูแลหลัก ความเครียดของผู้ดูแล caregiving in family caregivers in palliative care: a
การรับรู้ว่ามีหน่วยงานท่ีให้ความช่วยเหลือ การได้รับความช่วยเหลือจาก correlational, cross-sectional study. Palliat Med 2013;
หนว่ ยงาน สมั พนั ธภาพทดี่ รี ะหวา่ งผดู้ แู ลกบั ผปู้ ว่ ย สมั พนั ธภาพทดี่ รี ะหวา่ ง 27:639-46.
ผู้ดูแลกับบุคคลในครอบครัว สัมพันธภาพที่ดีของผู้ดูแลกับคนนอกบ้าน
ส่วนปัจจัยท่ีเกี่ยวข้องกับความพร้อมในการดูแลผู้ป่วยในแต่ละด้านน้ัน 12. Ergh TC, Rapport LJ, Coleman RD, Hanks RA. Predictors of
สอดคล้องกับการประเมินและดูแลผู้ป่วยเด็กแบบประคับประคอง caregiver and family functioning following traumatic brain
แบบองค์รวม ท้ังด้านร่างกาย ด้านจิตใจ ด้านสังคม และด้านจิตวิญญาณ31 injury: social support moderates caregiver distress. J Head
Trauma Rehabil 2002; 17: 155–74.
กติ ตกิ รรมประกาศ
13. Hudson PL, Thomas K, Trauer T, Remedios C, Clarke D.
ขอขอบพระคุณ ศาสตราจารยค์ ลินกิ แพทย์หญิงวนิ ดั ดา ปิยะศลิ ป์ Psychological and social profile of family caregivers on
ผู้ก่อตั้งทีมดูแลผู้ป่วยเด็กประคับประคองของสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติ commencement of palliative care. J Pain Symptom Manage
มหาราชนิ ี ผู้ให้ความชว่ ยเหลอื และเปน็ แรงผลักดนั ในการท�ำงานวจิ ยั ชนิ้ น้ี 2011; 41:522-34.
กลุ่มงานวิจัยและประเมินเทคโนโลยีทางการแพทย์ สถาบันสุขภาพเด็ก
แห่งชาติมหาราชินี ผู้ให้ทุนส�ำหรับงานวิจัย ทีมดูแลผู้ป่วยเด็ก 14. Srisupat B. Factors affecting the readiness of caregivers in
ประคบั ประคองของสถาบันสขุ ภาพเดก็ แหง่ ชาตมิ หาราชนิ ี และครอบครัว caring for the elderly before discharge. [Thesis in Geriatric
ผูป้ ่วยเด็กประคบั ประคองของสถาบนั สขุ ภาพเดก็ แหง่ ชาตมิ หาราชนิ ี Nursing ], Khon Kaen; Khon Kaen University; 2009.

References 15. Srithares W. The factors influencing caregiver role strain of
cerebrovascular disease patients’ wives [Thesis Master
1. WHO. [Internet]. Geneva: World Health Organization; 1998 Degree of nursing science], Nakornpathom; Mahidol
[cited 2018 Jun 7] Available from: http://www.who.int/ University; 2003.
cancer/palliative/definition/en.
16. Schumacher KL, Stewart BJ, Archbold PG, Caparro M, Mutale
2. Raina P, O’Donnell M, Rosenbaum P, Brehaut J, Walter SD, F, Agrawal S, et al. Effects of caregiving demand, mutuality,
Russell D, et al. The health and well-being of caregivers of and preparedness on family caregiver outcomes during
children with cerebral palsy. Pediatrics 2005; 115:e626-36. cancer treatment. Oncol Nurs Forum 2008; 35: 49–56.

3. Jones BL. The challenge of quality care for family caregivers 17. Huang HL, Kuo LM, Chen YS, Liang J, Huang HL, Chiu YC,
in pediatric cancer care. Semin Oncol Nurs 2012; 28:213-20. et al. A home-based training program improves caregivers’
skills and dementia patients’ aggressive behaviors: a
4. Khanjari S, Oskouie F, Eshaghian Dorche A, Haghani H. randomized controlled trial. Am J Geriatr Psychiatry 2013;
Quality of life in parent of children with leukemia and its 21:1060–70.
related factors. Iran J of Nurs 2013; 26:1-0.
18. Chompikul J, Suthisukon P, Sueluerm K, Dammee D. Rela-
5. Rubira EA, Marcon SR, Belasco AG, Gaíva MA, Espinosa MM. tionship in Thai Families. ASEAN institute of Health devel-
Burden and quality of life of caregivers of children and opment. Nakhonprathom 1999. p.109.
adolescents with chemotherapy treatment for cancer. Acta
Paulista de Enfermagem 2012; 25:567-73. 19. Archbold PG, Stewart BJ. Family caregiving inventory.
Unpublished manuscript, Oregon Health Sciences University,
6. Seow H, Bainbridge D. A review of the essential components School of nursing, Department of Family Nursing, Portland;
of quality palliative care in the home. J Palliat Med 2018; 1986.
21:S-37.
20. Wirojratana V. Development of the Thai family care
7. Koonnarong O, Thaniwatananont P, Kitrungrote L. Caregiving inventory [dissertation]. Portland, OR: Oregon Health
Preparedness, Family Relationships and Role Strain among and Science University; 2002
Caregivers of Muslim Stroke Patients. Princess of Naradhivas
University Journal 2011; 4: 14-27. 21. Henriksson A, Hudson P, Öhlen J, Thomas K, Holm M,
Carlander I, et al. Use of the preparedness for caregiving
8. Archbold PG, Stewart BJ, Greenlick MR, Harvath T. Mutuality scale in palliative care: a rasch evaluation study. J Pain
and preparedness as predictors of caregiver role strain. Symptom Manage 2015; 50:533-41.
Res Nurse Health 1990; 13:375-84.
22. Chambers TL. When Children Die: Improving Palliative and
End-of-Life care for Children and their Families. LRSM 2003:
419-20.

ปี ท่ี 44 • ฉบบั ท่ี 2 • มีนาคม - เมษายน 2562

23. Spathis A, Harrop E, Robertshaw C, Elverson J, Lapwood S. 28. Kim Y, Schulz R, Carver CS. Benefit - finding in the cancer
Learning from paediatric palliative care: Lessons for adult caregiving experience. Psychosomatic Med 2007; 69:283-91.
practice. Palliat Med 212; 26: 777-9.
29. Janze A, Henriksson A. Preparing for palliative caregiving
24. Forero R, McDonnell G, Gallego B, McCarthy S, Mohsin M, as a transition in the awareness of death: family carer
Shanley C, et al. A literature review on care at the experiences. Int J palliat Nurs 2014; 20:494–501.
end-of-life in the emergency department. Emerg Med Int
2012;2012:486516. 30. Gans D, Hadler MW, Chen X, Wu SH, Dimand R, Abramson
JM, et al. Impact of a pediatric palliative care program on
25. Isaranurag S. Health and family principle. Bangkok: the caregiver experience.journal of Hospice & Palliative
Charerndeekanpim; 1999. Nursing 2015; 17: 559-65.

26. Hexem KR, Mollen CJ, Carroll K, Lanctot DA, Feudtner C. 31. Piyasil V. Introduction in pediatric palliative care. In: Vinadda
How parents of children receiving pediatric palliative Piyasil ,Wandee Ningsanon, editors. Pediatric palliative care.
care use religion, spirituality, or life philosophy in tough 1st. Bangkok: Pentagonadvertising; 2015. p 19-29.
times. J Palliat Med 2011; 14:39-44.

27. Scherbring M. Effect of caregiver perception preparedness
on burden in an oncology population. Oncol Nurs Forum
2002; 29:E70-6.

82

วารสารกรมการแพทย์




Click to View FlipBook Version