พระราชมงคลวสิ ทุ ธิ์ พระมหาเถร ๕ แผน ดิน ๔๓
๑. หนังสือบันทึกตํานาน หมายถึง คัมภีร
ใบลานและพับสา ซ่ึงคนลานนาสมัยกอนได
จารหรือเขียนบันทึกเร่ืองราวตาง ๆ ไวดวย
ตัวอักษรลานนาหรือตัวเมือง ปกติถาเปนคัมภีร
ใบลานจะใชบันทึกเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา
เชน พระไตรปฎก ชาดก บทสวด ตํานาน สวน
พับสานิยมใชบันทึกเร่ืองทั่วไป เชน โหราศาสตร
เลขยันต คาถา วรรณกรรม
พบั สา
ตํานานพระธาตุแชโ หวแ ละพญาล้นิ กาน ๔๔
คมั ภรี ใบลาน
๒. ผอบทองคํา หมายถึง ตลับหรือภาชนะ
มีเชิง ฝาครอบมียอด ทําดวยทองคํา สรางขึ้น
สําหรับใสพระบรมสารีริกธาตุของพระสัมมาสัม
พุทธเจา
ผอบทองคํา
พระราชมงคลวสิ ุทธิ์ พระมหาเถร ๕ แผน ดนิ ๔๕
๓. ปราสาททองคํา หมายถึง เรือนมียอดเปน
ชั้น ๆ ทําดวยทองคํา ใชสําหรับเปนท่ีประดิษฐาน
ผ อ บ ท อ ง คํ า ที่ บ ร ร จุ พ ร ะ บ ร ม ส า รี ริ ก ธ า ตุ ข อ ง
พระสมั มาสมั พทุ ธเจา
๔. โปน้ํา หมายถึง ถังน้ําสังกะสี ใชสําหรับ
ตักนาํ้ หรอื บรรจนุ ้าํ ไปใชอุปโภคบรโิ ภค
ชาวบานใช “โปนํ้า” รองเอานาํ้ บาดาล
วัดบุญเกดิ พ.ศ. ๒๕๑๒
♦♦♦♦♦
พระราชมงคลวสิ ทุ ธ์ิ พระมหาเถระ ๕ แผนดนิ ๔๖
พระราชมงคลวิสทุ ธิ์
( ก้าํ กลฺยาณธมโฺ ม )
ตาํ นานพระธาตแุ ชโ หวแ ละพญาล้ินกา น ๔๗
บทที่ ๒
ตาํ นานพญาลน้ิ กาน
ตาํ ¢�ฯ ฯาลฯกิ า่ ฯ
พญาล้นิ กาน เจาเมอื งเวียงหาว
พระราชมงคลวสิ ทุ ธ์ิ พระมหาเถระ ๕ แผน ดนิ ๔๘
ตาํ นานพญาล้ินกา น
ตามตํานานกลาวไววา ในสมัยกอนนานมา
แลว ยังมีเมืองที่ตั้งอยูบนเนินดอยและมีกําแพง
ลอมรอบอยูเมืองหน่ึง ช่ือวา “เวียงหาว” ซ่ึง
ปจจุบันน้ีตั้งอยูบริเวณเขตบานปาง ต.คือเวียง
อ.ดอกคําใต จ.พะเยา
เวียงหา ว
ตํานานพระธาตแุ ชโ หวและพญาล้ินกาน ๔๙
เวียงหาว เปนเมืองท่ีมีความอุดมสมบูรณ
ฝนตกตองตามฤดูกาล ในน้ํามีปลาในนามีขาว
และมีหมูบานอยูภายในเวียง มีช่ือวา “บานปาสกั
หลวง” มเี จา เมืองปกครอง ชอ่ื วา “พญาล้ินกา น”
(ล้นิ มีแถบพาดดาํ ) มีนิสัยหาวหาญ
พญาลิน้ กาน เจา เมอื งเวียงหาว
พระองคไดทําบุญโดยการสรางวัดซ่ึงตั้งอยู
บนยอดดอยในเมืองแหงน้ี ไดถวายปจจัยและ
ควบคมุ ดูแลทัง้ การสรา งกุฏิ ศาลา วหิ ารและเจดีย
พระราชมงคลวิสทุ ธิ์ พระมหาเถระ ๕ แผนดิน ๕๐
องคใหญครอบเจดียองคเล็กที่มีแตเดิมจนเสร็จ
สมบูรณแ ละไดต งั้ ช่ือวา “วัดพระธาตุแชโ หว”
วดั พระธาตุแชโ หว
พญาลิ้นกานไดปกครองดูแลทุกขสุขของ
ชาวบานทั้งท่ีอยูในเมืองและนอกเมืองอยางท่ัวถึง
ตางก็ อยูดวยกันอยางมีความสุข บานเมืองมี
ความเจรญิ รุงเรืองตลอดมา
ณ ชายปาใกลเวียงหาว มีชางปาขนาดใหญ
ตัวหนึ่งหากินอยูในบริเวณนั้น มันมีพละกําลังเปน
อันมาก มีชื่อวา “ชางปูกํ่างาเขียว” ลําตัวมันยาว
ตํานานพระธาตแุ ชโ หวแ ละพญาล้ินกาน ๕๑
ถึง ๑๒ ศอก ผิวหนังสีดํากํ่า (ดํามวง) มีงาสีเขียว
ดั่งนิลผักตบชวา (ดําเขียวเปนเงา) จากลักษณะ
ของชาง คนทั้งหลายจึงพากัน เรียกวา “ชางปูกํ่า
งาเขียว”
ชางปูกาํ่ งาเขยี ว
ในเวลาตอมา ชางตัวนี้ก็เกิดการตกมัน
มีอาการดุราย ทําลายทุกส่ิงที่ขวางหนา แลวมันก็
ออกจากปามา เขามาในหมูบานรอบเมือง มันว่ิง
ไลทํารายผูคนจนลมตายเปนจํานวนมาก สวน
พระราชมงคลวสิ ุทธิ์ พระมหาเถระ ๕ แผน ดิน ๕๒
บานเรือน ขาวของ พืชสวน ไรนาก็ถูกชางปูก่ํา
งาเขียวทําลายจนเกิดความเสียหายเปน อนั มาก
ชา งปกู ํา่ งาเขยี วตกมันอาละวาท
ชาวบานตางก็แตกตื่นตกใจ จะอยูไหนก็ไมได
จึงพากันหอบลูกหอบหลาน ขนขาวขนของ
หนตี ายเขา ไปอยใู นตัวเมอื งเวียงหาว ทบ่ี า นปา สัก
หลวงที่พญาลน้ิ กา นอาศัยอยนู ั้น
ตาํ นานพระธาตแุ ชโ หวและพญาล้ินกา น ๕๓
ชาวบานพากนั หนีเขาไปอยูใ นตัวเมืองเวยี งหา ว
เพ่ือปองกันไมใหชางปูกํ่างาเขียวเขามาใน
ตัวเมืองเวียงหาว พญาลิ้นกานจึงเกณฑคน
ท้ังหลายใหชวยกันขุดคูนํ้า (คือ) และทําคันดิน
ลอมรอบเวียงหาว ชาวบานตางก็ชวยกันขุด
ท้งั กลางวันกลางคืน อยา งรบี เรง ไมมกี ารหยุด
พระราชมงคลวิสทุ ธ์ิ พระมหาเถระ ๕ แผนดิน ๕๔
พญาลนิ้ กา นเกณฑคนขุดคูเมืองปองกนั ชาง
เมือ่ คนกลุม ใดเหนอ่ื ยออ นกใ็ หคนกลุมใหมเ ขา
มาขุดแทน ผลัดเปลี่ยนกลุมกันขุดอยางขยัน
ขันแข็งทั้งกลางวันกลางคืน ขณะขุดตางคนตางก็
ยัดเยียดเบียดเสียดกัน จนทําใหจอบและเสียมที่
ใชข ดุ ดนิ ถกู มือถูกตีน ทาํ ใหน้ิวมือนว้ิ ตนี ขาดหลุด
ตํานานพระธาตุแชโ หวและพญาล้ินกาน ๕๕
ตกอยูท่ัวบริเวณน้ัน เมื่อเก็บน้ิวมือน้ิวตีนมา
รวมกัน จะไดเต็มกระบุงทุกวัน จากการบังคับ
บัญชาการขุดคูเมืองอยางหาวหาญและรีบเรง
ของพญาลิ้นกานในคร้ังนี้ คนทั้งหลายจึงพากัน
เรยี กทา นวา “พญาเวียงหา ว”
เ มื่ อ ช า ว บ า น ช ว ย กั น ขุ ด คู เ มื อ ง ล อ ม ร อ บ
เวียงหาวเสร็จเรียบรอยแลว ชางปูก่ํางาเขียว
ก็มาถึง มันก็พยายามปนปายข้ึนคือเวียงแตก็ข้ึน
ไมได มันจึงเดินไปรอบ ๆ คูเมือง หลายรอบ
หลายวัน หลายคืน ปนปายขึ้นคร้ังใดก็ข้ึนไมได
ทําใหมันโกรธเปนอยางมากเลยเอางาแทงพื้นดิน
และตนไม ทําใหพังทลายไปท่ัวบริเวณ คนท่ีอยใู น
เมืองตางก็กลัววาวันหนึ่งชางปูกํ่างาเขียวจะเขา
มาในเมืองได จึงพากันเขาไปเฝาพญาเวียงหาว
แลวถามวาจะกระทําฉันใด พญาเวียงหาวก็
บอกใหชาวบานทั้งหลายชวยกันตกแตงเคร่ือง
บูชาแลวพากนั ไปสักการะบูชา “พระธาตุแชโ หว”
พรอมใจกันสมาทานศีลหาหรือศีลแปด แลว
พระราชมงคลวสิ ุทธ์ิ พระมหาเถระ ๕ แผนดนิ ๕๖
อาราธนาเอาบารมีอานุภาพแหงพระธาตุเจา
(เสนผมและกระดูกปลายจมูกของพระพุทธเจา)
และเทวบตุ รเทวดาชว ยปกปก รกั ษาใหชาวบานได
พน จากภัยรา ยทจ่ี ะเกิดข้ึนในคร้ังนี้
ตอจากน้ันไมนาน ชางปูก่ํางาเขียวก็เหนื่อย
และหิว มันจึงหนีเขาไปในปาและไปนอนอยูริม
หนองนํ้าแหงหนึ่ง ซ่ึงหนองน้ําแหงน้ีจะมีน้ําผุด
ข้ึนมาจากปลองถ้ํากนหนองน้ําอยูตลอดเวลา
น้ําที่ลนจากหนองน้ําก็จะไหลลงไปตามหวย
ดินแดง นํ้านี้จะเย็นใสสะอาด มีฝูงปลานอยใหญ
จํานวนมากตางก็แหวกวายไปมา สวนรอบ ๆ
บริเวณหนองนํ้าก็เต็มไปดวยตนไมเขียวชะอุม
ตอมาชาวบาน ไดเรียกชื่อหนองน้ําแหงนี้วา
“หนองหลม” อันปรากฏอยูท่ี หัวบานหนองหลม
ตําบลหนองหลม อ.ดอกคําใต จ.พะเยา ตราบจน
ทุกวันน้ี
ตํานานพระธาตุแชโ หวและพญาลิ้นกา น ๕๗
ชางปูกาํ่ งาเขียวหนมี านอนที่หนองหลม
ขาวลือเร่ืองชางปูกํ่างาเขียวไลฆาคนที่เมือง
เวียงหาว กระจายไปยังเมืองตาง ๆ ดวยเดชะบุญ
ที่พญาล้ินกานและชาวเมืองเวียงหาวไดรวมกัน
กราบไหวบูชาพระธาตุแชโหว ถือศีลภาวนา และ
อาราธนาขอส่ิงศักดิส์ ทิ ธ์ิมาชวยปกปก รักษาใหพน
พระราชมงคลวิสทุ ธ์ิ พระมหาเถระ ๕ แผนดนิ ๕๘
ภัยจากชางรายนั้น ก็ไดสงผลใหเทวดาเขาไปดล
จิตดลใจธิดาเจาเมืองนันทบุรี (เมืองนาน) ใหมีใจ
อยากจะนั่งเส่ือ (สาด) ที่ทําจากงาชางปูกํ่า
งาเขียว นางจึงนําความในใจไปบอกใหพระบิดา
ทรงทราบ พญานันทบุรีซ่ึงรักและเอาใจธิดาของ
ตนอยูแ ลว จงึ ไดเรยี กพรานปา ทั้งหลายมาถามวา
พญานนั ทบุรีเรียกพรานปา ท้ังหลายมาถาม
ตาํ นานพระธาตุแชโ หวแ ละพญาลิ้นกา น ๕๙
“ใครจะอาสาไปเอางาชางปูก่ํางาเขียวที่
เวียงหาว เมืองพะเยามาใหขาไดบาง หากใครเอา
มาใหขาได ขาจะประทานเงินพัน คํารอยใหแกผู
น้ัน”
นายพรานลอดถา้ํ มาโผลออกท่หี นองหลม
เมื่อน้ันก็มีพรานปาคนหน่ึงซ่ึงมีคาถาอาคม
แกกลา ไดรับอาสาจะไปเอางาชางปูก่ํางาเขียวท่ี
เวียงหาวมาถวาย ตอจากนั้นพรานปาคนน้ัน
พระราชมงคลวสิ ุทธ์ิ พระมหาเถระ ๕ แผน ดิน ๖๐
พรอมดวยของใชประจําตัวก็ออกเดินทาง จนถึง
ริมฝงแมน้ํายมก็ดํานํ้าลงไป พอถึงปากถ้ําใตน้ํา
แหงหน่ึงก็เดินเขาไปตามถ้ําจนมาโผลอ อกทปี่ ลอง
ถ้ําใตน้ําหนองหลม พอขึ้นบนฝงก็เห็นชางปูกํ่า
งาเขียวนอนอยู พรานปาจึงเอาปนขึ้นมาเล็งไปที่
ชางตัวนั้นแลวก็ล่ันไกยิงออกไป ลูกกระสุนปนพุง
เขาใตสะดือของชางทะลุออกสันหลัง ชางปูก่ํา
งาเขียวก็สะดุงสุดตัวและขาดใจตายในที่สุด
ตอจากนั้นพรานปาก็เล่ือยเอางาสีเขียวทั้งสอง
ขาง ไปถวายพญานันทบุรี ฝายพญาก็เอาเงินพัน
คํารอยประทานใหแกพรานปาตามท่ีไดสัญญาไว
แลวพญานันทบุรีก็เรียกใหชาง (สลา) มาเลื่อย
งาชางนําไปจักสานทําเปนเส่ือ เมื่อเสื่องาชาง
เสร็จแลวก็มอบใหธิดาของตนไดนั่งนอนตามใจ
ปรารถนา คร้ันเมื่อนางไดนอนอยูเหนือเส่ืองาชาง
ปูก่ํางาเขียวแลวก็ทําใหหัวใจของนางชื่นบาน
ยินดีปรีดาเปนยิ่งนักและในเวลาเดียวกันนั้นฝาย
ตํานานพระธาตุแชโ หวแ ละพญาล้ินกาน ๖๑
ซากชางปูกํ่างาเขียวตัวน้ัน ก็เนาเปอย เบงพอง
มีกล่ินเหม็นคลุงกระจายไปท่ัวดงหนองหลม
ในขณะน้ันก็เกิดฝนตกฟาคะนองนานติดตอกัน
๗ วัน ๗ คืน ฝนหาใหญทําใหเกิดน้ําทว มไหลนอง
ไปทุกหนทุกแหง นํ้าที่ไหลเช่ียวกรากไดพัดพาเอา
ซากชางตัวน้ันไหลลองไปตามลําหวยดินแดงลง
ไปสูน้ําแมอิง ตอมาคนทั้งหลายก็เรียกช่ือหวย
ดนิ แดง แหง นี้วา “รอ งชาง” มาจนถงึ ทุกวนั น้ี
น้ํารอ งชา ง
พระราชมงคลวสิ ทุ ธ์ิ พระมหาเถระ ๕ แผน ดนิ ๖๒
น้ําไดพัดเอาช้ินสวนตาง ๆ ของซากชางท่ี
เปอยรวนใหแยกออกจากกัน แลวไหลไปตาม
ลําน้ํารองชาง สวนของหัวชางไดหลุดออกจาก
ลําตัว ไหลไปคางอยูท่ีบริเวณหนองนํ้า (บวก)
แหงหนงึ่ ตอมาคนทงั้ หลายจงึ เรยี กหนองนาํ้ แหง นี้
วา “บวกหัวชาง”
บวกหัวชาง
สวน “ไต” ของชางซ่ึงภาษาเมืองเหนือ
เรียกวา “มะแกว” ก็ไหลไปคางอยูที่รองนํ้าอีก
ตํานานพระธาตุแชโ หวแ ละพญาลิ้นกาน ๖๓
แหงหน่ึง คนท้ังหลายจึงเรียกวา “รองมะแกว”
ยังมชี อ่ื ปรากฏอยูต ราบเทา ทุกวันนเี้ ชนกัน
รอ งมะแกว
ครั้นชางปูก่ํางาเขียวตายไปแลว คนท้ังหลาย
ในเวียงหาว เมืองพะเยา ตางก็ดําเนินชีวิตดวย
ความสงบสขุ รมเยน็ กันทว่ั หนา
♦♦♦♦♦
พระราชมงคลวิสุทธิ์ พระมหาเถระ ๕ แผน ดิน ๖๔
บทวเิ คราะห
ในการวิเคราะหตํานานพญาล้ินกานในครั้งนี้
ไดทําการวิเคราะหเก่ียวกับวัฒนธรรม โดยยึด
หลักการวิเคราะหแ บบสหวิทยาการ ๔ ดาน ไดแก
ด า น ค ติ ธ ร ร ม ( Moral) เ น ติ ธ ร ร ม ( Legal)
สหธรรม (Social) และวัตถุธรรม (Material) ซึ่ง
มรี ายละเอียดแตล ะดาน ดงั น้ี
การวเิ คราะหค ตธิ รรม
คติธรรม คือวัฒนธรรมทางจิตใจท่ีไดจาก
ศาสนาที่ยึดถือเปนแบบอยางในการดําเนินชีวิต
จากเร่ืองตํานานพญาล้ินกาน สะทอนใหเห็น
คตธิ รรมท่สี าํ คญั ดังน้ี
๑. ทศพธิ ราชธรรม ๑๐
ทศพิธราชธรรม ๑๐ คือจริยวัตร ๑๐
ประการ ของพระราชาหรือผูบริหารระดับสูงที่
ปกครองบานเมืองควรยึดเปนหลัก เพื่อประโยชน
สขุ ของประชาชนหรอื ผูใตบ ังคับบัญชา ไดแก
ตํานานพระธาตุแชโ หวและพญาลิ้นกา น ๖๕
ประการท่ี ๑ ทาน (ทานํ) คือ การให
ประการที่ ๒ ศีล (สีลํ) คือ ความประพฤติ
ทดี่ ีงาม ทง้ั กาย วาจา และใจ
ประการที่ ๓ บริจาค (ปริจาคํ) คือ การ
เสยี สละความสขุ สวนตน เพ่ือความสุขสวนรวม
ประการท่ี ๔ ความซื่อตรง (อาชฺชวํ) คือ
การสุจริตตอหนาท่ีการงานของตน ตอมิตรสหาย
ตอองคก รหรอื หลักการของตน
ประการท่ี ๕ ความออนโยน (มทฺทวํ) คือ
การมีอัธยาศัยออนโยน
ประการท่ี ๖ ความเพียร (ตป) คือ ความ
เพียรพยายามในการทําความสุขเพื่อสว นรวม
ประการที่ ๗ ความไมโกรธ (อกฺโกธํ) คือ
การไมแ สดงอาการโกรธ
ประการที่ ๘ ความไมเบียดเบียน (อวิหิง-
สา) คือ การดําเนินชีวิตไปตามทางสายกลาง
ไมเ ห็นประโยชนสว นตน
ประการที่ ๙ ความอดทน (ขนตฺ )ิ คอื การ
พระราชมงคลวสิ ุทธ์ิ พระมหาเถระ ๕ แผนดิน ๖๖
รักษาปกติภาวะของตนไวได มีความหนักแนนไม
หว่นั ไหว
ประการท่ี ๑๐ ความเท่ยี งธรรม (อวโิ รธน)ํ
คือการถอื ความถูกตอ ง เที่ยงธรรมเปนหลกั
๒. ศลี ๕ และ ศลี ๘
ศีล ๕ หมายถึง การปฏิบัติตามปกติของ
ความเปนมนุษยหรือธรรมที่ทําใหเปนมนุษย
มี ๕ ขอ ไดแ ก
ศลี ขอที่ ๑ ปาณาตปิ าตา เวรมณี หมายถงึ
การละเวน จากการฆา ชีวิตสัตวทุกชนิด
ศลี ขอ ท่ี ๒ อทนิ นาทานา เวรมณี หมายถึง
การเวนจากการลักทรัพย หรือทรัพยท่ีเจาของ
เขาไมไ ดให
ศีลขอที่ ๓ กาเมสุมิสฉาจารา เวรมณี
หมายถึง การละเวนจากการประพฤติผดิ ในกาม
การประพฤติผิดลูกผิดเมียคนอ่นื
ศีลขอที่ ๔ มุสาวาทา เวรมณี หมายถึง
การละเวนจากการพดู ปดมดเท็จ พดู จาโกหก
ตาํ นานพระธาตุแชโ หวและพญาลิ้นกาน ๖๗
พูดไมอยกู บั รอ งกับรอย
ศีลขอท่ี ๕ สุราเมรยมัฌชปะมาทัตถานา
เวรมณี หมายถึง การละเวนจากการด่ืมสุรา
เมรยั และเคร่ืองดองของมนื เมาทุกชนิด
สวนศีล ๘ หรือ อุโบสถศีล เปนศีลของ
คฤหัสถ หมายถึง อุบาสกอุบาสิกาทั่วไป มิใช
สงฆ (ซ่ึงมีศีลเฉพาะตนอยูแลว) โดยมักจะรับ
ศลี ๘ ในวนั พระ นยิ มรักษาศีล ๘ เปน เวลา ๑ วนั
หรือ ๓ วัน ซึ่งศีล ๘ จะตางกับศีล ๕ ในศีล
ขอท่ี ๓ โดยศีลขอที่ ๓ ของศีล ๘ คือ
ศีลขอท่ี ๓ อพรัมจริยา เวรมณี หมายถึง
การละเวนจากการประพฤติผิดพรหมจรรย
(ผูชายกับผูหญิงอยูใกลกันไมได แตศีล ๕ อยู
ใกลกนั ได)
ศีล ๘ มีเพ่มิ จาก ศลี ๕ อีก ๓ ขอ ดงั นี้
ศีลขอที่ ๖ วิกาลโภชนา เวรมณี หมายถึง
การละเวนจากการบริโภคอาหารในยามวิกาล
(หลังเทยี่ งวนั ถงึ รุง เชา ของวันใหม)
พระราชมงคลวสิ ทุ ธิ์ พระมหาเถระ ๕ แผนดิน ๖๘
ศีลขอที่ ๗ นัจจคีตวาทิตวิสูกทัสสนา
มาลาคันธวิเลปนธารณมัณฑนวิภูสนัฏฐานา
เวรมณี หมายถึง การละเวนจากการฟอนรํา
ขับรอง ประโคมดนตรี และประดับรางกายดวย
ดอกไมข องหอม เครื่องประดบั เครอื่ งทา เครือ่ ง
ยอ ม
ศีลขอที่ ๘ อุจจาสยนมหาสยนา เวรมณี
หมายถึง การละเวนจากการน่ังนอนเหนือ
เตยี งตัง่ ท่ีเทาสูงเกิน ภายในมนี ุนหรือสําลี
จากเร่ืองตํานานพญาล้ินกาน สะทอนใหเห็น
พฤติกรรมท่ีแสดงออกท่ีเกี่ยวกับทศพิธราชธรรม
และศีล ทเ่ี ห็นไดชดั เจน ดังน้ี
๑) “พระองคไดทําบุญโดยการสรางวดั ซ่ึง
ตั้งอยูบนยอดดอยในเมืองแหงน้ี ไดถวายปจจัย
และควบคุมดูแลท้ังการสรางกุฏิ ศาลา วิหารและ
เจดียองคใหญครอบเจดียองคเล็กที่มีแตเดิมจน
เสร็จสมบูรณและไดต้ังชื่อวา วัดพระธาตุแชโหว”
ตรงกับทศพธิ ราชธรรม ๓ ประการ คือ
ตํานานพระธาตุแชโ หวแ ละพญาลิ้นกา น ๖๙
ประการที่ ๑ ทาน คอื การให และ
ประการท่ี ๓ บริจาค คือ การเสียสละ
ความสขุ สวนตน เพื่อความสุขสวนรวม
ประการท่ี ๖ ความเพียร คือความเพียร
พยายามในการทาํ ความสขุ เพื่อสวนรวม
การท่ีพญาล้ินกานไดใหทานและบริจาค
เสียสละทรัพยสินของพระองคเองตลอดจนมี
ความเพียรพยายามในการควบคุมดูแลการสราง
วัดพระธาตุแชโหวจนสําเร็จ แสดงใหเห็นวาทาน
เปนผูมีความเล่ือมใสในพระพุทธศาสนาอยางแรง
กลาและตองการสืบทอดพระพุทธศาสนาใหคงอยู
สบื ตอไป
๒) “ชาวบานตางก็แตกต่ืนตกใจ จะอยู
ไหนก็ไมไดจึงพากันหอบลูกหอบหลาน ขนขาว
ขนของหนีตายเขาไปอยูในตัวเมืองเวียงหาว”
ตรงกับทศพิธราชธรรม ๒ ประการ คอื
ประการที่ ๓ บริจาค คือการเสียสละ
ความสขุ สว นตน เพอื่ ความสขุ สวนรวม และ
พระราชมงคลวิสุทธิ์ พระมหาเถระ ๕ แผน ดนิ ๗๐
ประการที่ ๑๐ ความเท่ียงธรรม คือการถอื
ความถกู ตอ ง เท่ยี งธรรมเปน หลกั
การท่ีพญาล้ินกานไดเสียสละสถานที่ ท่ีมี
ความปลอดภัยของตนใหคนอื่นเขามาอยูดวย
แสดงใหเห็นวา ทานยึดถือความถูกตอง มีความ
เที่ยงธรรมตอชาวบานทง้ั คนที่อยูในเมอื งและนอก
เมืองเสมอเทา เทียมกัน
๓) “พญาล้ินกานจึงเกณฑคนท้ังหลายให
ชวยกันขุดคูน้ํา (คือ) และทําคันดินลอมรอบเวียง
หาว ชาวบานตางก็ชวยกันขุด” ตรงกับทศพิธ
ราชธรรม ๕ ประการ และศีลขอ ที่ ๑ คือ
ประการท่ี ๒ ศลี คือความประพฤตทิ ดี่ งี าม
ท้ังกาย วาจาและใจ
ประการท่ี ๖ ความเพียร คือความเพียร
พยายามในการทําความสขุ เพ่อื สว นรวม
ประการท่ี ๗ ความไมโกรธ คือการไม
แสดงอาการโกรธ
ประการที่ ๘ ความไมเ บียดเบยี น คือการ
ตาํ นานพระธาตแุ ชโ หวแ ละพญาลิ้นกาน ๗๑
ดาํ เนนิ ชวี ิตไปตามทางสายกลางไมเห็นประโยชน
สวนตน
ประการที่ ๙ ความอดทน คือการรักษา
ปกติภาวะของตนไวได มีความหนักแนนไม
หวั่นไหว
ศีลขอท่ี ๑ ปาณาตปิ าตา เวรมณี หมายถึง
การละเวนจากการฆา ชีวติ สตั วทกุ ชนดิ
การท่ีพญาล้ินกานไมไดสั่งใหใครไปฆาชาง
รายตัวนั้นท้ัง ๆ ท่ีทําไดแสดงวาทานไมไดโกรธ
แคนชางแตอยางใด แตกลับสอนใหชาวบานได
รูจักวิธีปองกันตัวเองใหมีชีวิตรอดปลอดภัย โดย
ไมจําเปนตองไปเบียดเบียนชีวิตผูอ่ืน เสียสละ
ความสุขสวนตน มีความเพียรพยายามและความ
อดทนในการบังคับบัญชาการขุดคือน้ํารอบเวียง
จนสําเร็จและใชประโยชนไดดี แสดงใหเห็นวา
พญาล้ินกานไดยึดหลักของศีลธรรมควบคูไปกับ
หลักการปกครอง จึงทําใหชาวบานอยูดวยกัน
อยา งมีความสขุ บานเมืองเจริญรงุ เรืองตลอดมา
พระราชมงคลวิสทุ ธ์ิ พระมหาเถระ ๕ แผนดนิ ๗๒
๔) “พญาเวียงหาวก็บอกใหชาวบาน
ทั้งหลายชวยกันตกแตงเครื่องบูชาแลวพากันไป
สักการะบชู าพระธาตแุ ชโหว พรอมใจกันสมาทาน
ศีลหาหรือศีลแปด” ตรงกับทศพิธราชธรรม ๗
ประการ คอื
ประการท่ี ๑ ทาน คือการให
ประการที่ ๒ ศีล คอื ความประพฤติทดี่ งี าม
ท้งั กาย วาจา และใจ
ประการที่ ๕ ความออนโยน คือการมี
อัธยาศยั ออนโยน
ประการท่ี ๖ ความเพียร คือความเพียร
พยายามในการทาํ ความสุขเพื่อสวนรวม
ประการที่ ๗ ความไมโกรธ คือการไม
แสดงอาการโกรธ
ประการที่ ๘ ความไมเบียดเบียน คือการ
ดําเนินชีวิตไปตามทางสายกลางไมเห็นประโยชน
สว นตน
ประการท่ี ๙ ความอดทน (ขนตฺ )ิ คอื การ
ตํานานพระธาตุแชโ หวและพญาล้ินกา น ๗๓
รักษาปกติภาวะของตนไวได มีความหนักแนนไม
หวน่ั ไหว
หลังจากขุดคูนํ้ารอบเวียงพึ่งเสร็จลงชาวบาน
ตางก็พากันไปเขาเฝาและถามหาวิธีการแกไข
แบบอื่นอีก พญาลิ้นกานก็ไมไดแสดงความโกรธ
แตอยางใด ซ้ํายังแนะนําวิธีแกไขอยางออนโยน
ใหชาวบานนําเครื่องสักการะบูชาถวายเปนทาน
พระธาตุแชโหว และรวมกันถือศีล ๕ ศีล ๘ ดวย
ความเพียรพยายามและอดทน ตลอดจนความ
เสียสละเพื่อสวนรวมในการปฏิบัติ แสดงใหเห็น
วานอกจากพญาล้ินกานจะเปนผูมีศีลธรรมอันดี
ในการดําเนินชีวิตแลว ชาวเมืองเวียงหาวตางก็
เปน ผทู ี่อยใู นศลี ในธรรมดวยเชน กัน
การวิเคราะหเนติธรรม
เนติธรรม คือวัฒนธรรมทางกฎหมายและ
ระเบียบประเพณีปฏิบัติท่ยี อมรับกัน เพ่ือใหค นอยู
รวมกันในสังคมอยางมีความสุข จากเร่ืองตํานาน
พญาล้นิ กา นสะทอนใหเห็นเนติธรรมท่สี ําคัญ ดงั น้ี
พระราชมงคลวสิ ทุ ธ์ิ พระมหาเถระ ๕ แผนดนิ ๗๔
๑. “พญาลิ้นกานจึงเกณฑคนทั้งหลายให
ชว ยกนั ขดุ คนู ้ําและทาํ คนั ดนิ ลอ มรอบเวยี งหาว”
๒. “พญานันทบุรีก็เรียกใหชาง (สลา) มา
เล่อื ยงาชา งนาํ ไปจกั สานทําเปนเสอื่ ”
จะเห็นวาในสมัยโบราณนั้น “กฎหมาย”
ก็คือคําสั่งของพระเจาแผนดินที่ไดโปรดใหกดไว
และหมายไว เพ่ือใชบังคับควบคุมทุกส่ิงทุกอยาง
ในเมืองภายใตก ารปกครองเปน การถาวร
วิเคราะหส หธรรม
สหธรรม คือวัฒนธรรมทางสังคม ท้ังดาน
ภาษา ความเชื่อถือ มารยาท และกิจกรรมตาง ๆ
ในสังคม จากเร่ืองตํานานพญาลิ้นกาน สะทอนให
เหน็ สหธรรมท่สี ําคัญ ดังนี้
๑. “เวียงหาว” เชื่อวาคงเปนเวียงท่ีมีความ
เจริญรุงเรืองอยูจริง เพราะยังคงมีหลักฐานจนถึง
ทุกวันนี้ คือมีคูคันดินเปนแนวยาวรอบเนินดอย
ของบานปาง (บานปาสัก) นอกจากน้ัน ยังมีเนิน
อิฐโบราณอยหู ลายที่ ซึง่ แสดงวา บรเิ วณน้นั เคย
ตาํ นานพระธาตุแชโ หวและพญาลิ้นกา น ๗๕
เนินอิฐวิหาร-เจดียว ดั รา ง เวยี งหา ว
เ ป น ท่ี ตั้ ง ข อ ง เ จ ดี ย แ ล ะ วิ ห า ร โ บ ร า ณ ม า ก อ น
นักแสวงโชคคนหนึ่งเคยเลาใหฟงวา ในอดีตท่ี
เวียงหาวมีกองเนินเจดียเกาของวัดรางเปน
จํานวนมาก เคยไปขุดหาของมีคากับพรรคพวก
เดียวกันท่ีวัดรางเวียงหาวหลายคร้ัง สวนใหญก็
จะไดพ ระพิมพเ นอื้ ดินยอดขนุ พล สว นของโบราณ
ท่ีมีคาอื่น ๆ ไมคอยเจอ อาจเปนเพราะนักแสวง
โชครนุ กอ น ๆ ไดของมคี าเหลา นัน้ ไปหมดแลว
พระราชมงคลวิสทุ ธ์ิ พระมหาเถระ ๕ แผนดนิ ๗๖
๒. “ชางปูกํ่างาเขียว” ก็เช่ือวานาจะมีจริง
เพราะปจจุบันยังปรากฏงาชางดํา ของคูบาน
คูเมอื ง จังหวดั นาน เหลอื อยอู กี ขางหนึง่ ซึง่ ถูกเก็บ
ไวในพิพิธภัณฑสถานแหงชาตินาน เขาใจวาตอน
นั้นพญานันทบุรี เจาเมืองนานสมัยนั้นคงจะใช
งาชางทําเปนเส่ือใหธิดาเพียงขางเดียว อีกขาง
หน่ึงก็เก็บรักษาไว สวนสีของงาชางปูกํ่างาเขียว
น้ัน ท่ีจริงแลวเปนสีเขียวนิลผักตบ คือมีสีนิลดํา
ปนกับสีเขียวผักตบชวานั่นเอง เมื่อกาลเวลา
ผา นไป ยอ มทําใหส ขี องงาชางซดี จางลงได
งาชางดํา ในพิพธิ ภนั ฑสถานแหง ชาตินา น
ตํานานพระธาตุแชโ หวแ ละพญาลิ้นกา น ๗๗
๓. “หวยดินแดง” นั้น ก็เช่ือวามีการเรียก
เชนนั้นจรงิ เพราะเมอ่ื ถงึ ฤดูฝนมวลนา้ํ จะมากและ
ไหลเชี่ยว สีของน้ําท่ีไหลมาตามลํานํ้าแหงน้ีก็
ยังคงเปนสีแดงลูกรังอยูจนถึงปจจุบันน้ี สวนมา
เปลี่ยนเปนช่ือเปน “รองชาง” คงเนื่องมาจาก
สมัยนั้นชาวบานเห็นซากชางปูกํางาเขียวเนา
เหม็นไหลมาตามลําน้ําผานหมูบานไปหรือไม
เชนนั้นอาจเนื่องมาจากบริเวณตนน้ําเปนปาอุดม
สมบูรณเปนที่อาศัยของโขลงชางปาจํานวนมาก
สองฝงลําหวยบริเวณน้ันเปนทางเดินหาอาหาร
ของโขลงชาง มีบอยคร้ังท่ีเดินเบียดเสียด ดันกัน
จนตกลงมาไปในลําหวยทําใหเสียชีวิต กระแสนํ้า
ก็จะพัดพาซากชางไปตามลํานํ้า ไหลผานหมูบาน
เมื่อชาวบานไดเห็นบอย ๆ ก็เลยเรียกหวยดินแดง
เสยี ใหมว า “รอ งชาง” กอ็ าจเปน ได
อําเภอดอกคําใตเปนท่ีราบ พ้ืนท่ีทางทิศใตจะ
อยูสูงกวาทางทิศเหนือ ดังน้ัน “น้ํารองชาง” จะ
ไหลจากทิศใตผานตัวอําเภอลงไปทางทิศเหนือ
พระราชมงคลวิสทุ ธิ์ พระมหาเถระ ๕ แผนดนิ ๗๘
แลวลงสูแมน้ําอิง เน่ืองจากคนดอกคําใตใชทิศ
ทางการไหลของน้ํารองชางเปนหลักในการเรียก
ช่ือทศิ “ทิศเหนือ” หมายถงึ ทศิ เหนือของนาํ้ และ
“ทิศใต” หมายถึง ทิศใตของนา้ํ มาแตโบราณ ซ่ึง
จะตรงขามกับทิศของทางภูมิศาสตรโลกปจจุบัน
ทําใหลูกหลานท่ีเกิดมาภายหลังเกิดความสับสน
ร ะ ห ว า ง ทิ ศ เ ห นื อ กั บ ทิ ศ ใ ต แ ล ะ ป จ จุ บั น ค น
ดอกคําใตก็ยังใชทิศตามการไหลของน้ํารองชาง
อยูเชนเดิม เชน ถาเรายืนอยูท่ีถนนขางสถานี
ตํารวจภูธรดอกคําใต บานเหนือ ก็หมายถึง บาน
บุญเกิด บานบุญเรือง (อยูทางทิศใต) และบานใต
ก็หมายถึง บานสันชางหิน บานดอนเหล็ก บาน
สนั กลาง บานศรีชมุ (อยูทางทศิ เหนือ) เปนตน
ในฤดฝู นน้ําจะไหลหลากมาตามลํานํา้ รอ งชาง
เร่ิมจากตําบลหนองหลม ลงมายังตําบลบานปน
ตําบลคือเวียง ตําบลบานถ้ํา ตําบลดอนศรีชุม
ตําบลบุญเกิด ตําบลดอกคําใต และเขามาในเขต
ตําบลสุดทายคอื ตาํ บลสวา งอารมณ เริ่มจากบาน
ตาํ นานพระธาตแุ ชโ หวแ ละพญาล้ินกาน ๗๙
ศรีชุมไปยังบานบุญโยชน น้ําจะไหลไปตามลํานํ้า
ร อ ง ช า ง ซึ่ ง อ ยู ท า ง ด า น ทิ ศ ต ะ วั น ต ก ข อ ง บ า น
บุญโยชนและกอนถึงหมูบานสุดทายมวลนํ้าสวน
ใหญก็จะจวา (แผกระจาย) ออกไปยังกลางทุงนา
ตลอดแนวฝงน้ํารองชางทางดานทิศตะวันตก ซึ่ง
เปนพ้ืนท่ีตํ่ากวา แลวคอย ๆ ไหลไปรวมกันท่ี
ค ล อ ง ห น อ ง ข ว า ง ซึ่ ง อ ยู ไ ก ล อ อ ก ไ ป ท า ง ทิ ศ
ตะวันตกของหมูบานแหงนี้ สวนมวลน้ําท่ีไมได
จวาไปตามทุงนาก็ยังคงไหลไปตามลําน้ํารองชาง
แคบ ๆ ผานเขาไปในหมูบานแหงน้ี เมื่อพน
หมบู านไปแลวกก็ ลบั มารวมกบั ลาํ น้ําทไ่ี หลมาจาก
คลองหนองขวางอีกคร้ังกอนท่ีจะไหลลงแมน้ําอิง
ตอไป ตอมาไดเรียกช่ือหมูบานที่อยูปลายนํ้าแหง
น้ีวา “บานรองจวา” ซึ่งหมายถึง หมูบานท่ีนํ้า
รองชางไหลจวา (แผกระจาย) ออกไปตามทุงนา
นน้ั เอง
“ช่ฯา” เปนตัวเมือง คําเมืองอานวา “จวา”
หมายถึง การแผกระจายออกไป มี “ช”ฯ คือ “จว”
พระราชมงคลวิสทุ ธิ์ พระมหาเถระ ๕ แผนดนิ ๘๐
เปนพัญชนะควบกล้ําแท จะตองออกเสียงพรอม
กันทั้ง “จ” และ “ว” เมื่อประสมกับสระอาและ
ไมเอก ก็จะอานออกเปนคําเมืองวา “จวา” แต
เน่ืองจากคนเมืองลานนาจะอานออกเสียงคํา
ควบกล้ําที่ประสมกับสระ –า ไมได สวนใหญจะ
ออกเสียง สระ -า เปน สระ –วั แทน เชน
“กวา” ก็อานวา “ก่ัว” ที่ถูกควรอานออก
เสียงวา “กวุ า” เรว็ ๆ จะออกเสียงเปน “กวา ” ได
“จวา” ก็อานวา “จั้ว” ท่ีถูกควรอานออก
เสียงวา “จวุ า ”เรว็ ๆ กจ็ ะออกเสียงเปน “จวา ”ได
ดังน้ันเราควรออกเสียงสําเนียงคําเมืองให
ถูกตอ ง
สุดทายนี้ ขอญาติโยมทั้งหลายจงชวยกัน
อนุรักษลํานํ้ารองชาง อยาไดถมที่สองฝงน้ํา
อยาทิง้ ส่ิงสกปรก ขยะมูลฝอยลงไปในนํ้า อยา
สรางบานเรือนลุกล้ําเขาไปในลํานํ้า อยาสราง
สวมติดหอยตามลําน้ําจะเปนบาป ขอชวยกันขุด
ลอกรองนํ้าใหลึก ใหมีน้ําอยูตลอดป จะไดใชนํ้า
ตาํ นานพระธาตุแชโ หวและพญาลิ้นกา น ๘๑
เมื่อเกิดไฟไหมไตลาม ใชเปนที่พักผอนหยอนใจ
ชวยกันอนุรักษเพาะพันธสัตวน้ํา ปูปลาและสัตว
น้ํ า ทั้ ง ห ล า ย จ ะ ไ ด มี ใ ห ลู ก ห ล า น ไ ด เ ห็ น บ า ง
คนโบราณก็อาศัยสายนํ้ารองชาง เปนสายนํ้า
แหงชีวิตจิตใจ ทานพากันอพยพจากเมืองอ่ืน
มาต้ังบานเรือนอยูที่น่ี ก็เพราะตองการอาศัย
สายนํ้ารองชางแหงนี้ไวทําไรไถนาหลอเล้ียงชีวิต
ทําให “ในนํ้ามีปลาในนามีขาว” ถาเราไมชวยกัน
อนุรักษลูกหลานของเราจะอยูอยางทุกขยาก
ลําบากตอไปและเมื่อตัวเราเสียชีวิตไปแลว
กลับมาเกิดอีกคร้ังก็จะไดรับกรรมตามที่เราเอง
ทําเอาไวในชาตินี้ ดังนั้นจงชวยกันอนุรักษไวเถิด
จะไดบุญมาก
๔. ในสวนของช่ือของสถานที่ ท่ีปรากฏอยูใน
ตํานานตามลําน้ํารองชาง เชน พระธาตุแชโหว
หนองหลม (ตนน้ํารองชาง) บวกหัวชาง และรอง
มะแกว ก็ยังใชเรียกกันอยูในปจจุบันนี้ นอกจาก
น้ันหากเราไดไปสํารวจชื่อสถานท่ีตามลํานํ้ารอง
พระราชมงคลวสิ ทุ ธิ์ พระมหาเถระ ๕ แผน ดนิ ๘๒
ชางท่ีไหลผาน เราจะพบช่ือสถานท่ี ท่ีสอดคลอง
กันอีก ๓ แหง คือ “หนองขวาง” ซ่ึงเช่ือวาเปน
สถานที่ซากชา งไหลมาขวางทางนํ้าอยู “บวกสาม
ขา” เชื่อวาขาชา งสามขาไดมาหยดุ คางอยูบรเิ วณ
บวกแหงน้ี และ “หนองถุ” ก็เชือ่ วา ณ หนองแหง
นี้ ช้ินสวนตาง ๆ ของซากชางไดไหลไปรวมกัน
ท่ีทายหนองน้ํา และตอมาก็ถูกนํ้าพัดพาให
ชิ้นสวนเหลานั้นฟุงกระจาย (ทะลุถุถาก) ไปกับ
สายนํ้าจนไมเหลืออะไรใหเห็นอีก คนท้ังหลายจึง
เรียกช่อื หนองน้าํ แหงน้วี า “หนองถ”ุ จนทุกวันน้ี
๕. “คาถาอาคม” หรอื “เวทมนตรคาถา” ซง่ึ
หมายถึง อักขระหรือขอความที่เช่ือวา ทองบน
หรือเสกเปาแลวศักด์ิสิทธ์ิ ในตํานานพญาลิ้นกาน
ไดกลาวถึงความสามารถของพรานปาซ่ึงเปนผูมี
คาถาอาคมจนทํางานไดส าํ เร็จ คาถาอาคมนนั้ เปน
ของลัทธิไสยศาสตรมาแตเดิม ตอมาโบราณจารย
ไดด ังแปลงแกไขมาเปน “พทุ ธมนต” คนลา นนามี
ความเช่ือเร่ืองคาถาอาคมมาแตโบราณ เชน พระ
ตาํ นานพระธาตุแชโ หวแ ละพญาลิ้นกา น ๘๓
คาถาไจยะเบ็งชร (ชินบัญชร) คาถาแผเมตตา
คาถาเมตตามหานิยม คาถาคงกระพนั ชาตรี คาถา
แคลวคลาด คาถาแผกุศล หัวใจพระคาถาตาง ๆ
คาถาบูชาพระพุทธรูปตาง ๆ คาถาบูชาเทพเจา
คาถากันของไมดี การทองจําพระคาถาใหจํา
ไดง าย มขี นั้ ตอน ดงั นี้
๑) มคี วามต้ังใจมน่ั ทาํ ใจใหบ รสิ ุทธิ์
๒) อาบน้ําชาํ ระรางกายใหสะอาด
๓) นําดอกไม ธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย
ขอพรบุญบารมใี หทอ งจําได จาํ ไดแมน แลว กราบ
ตาํ ราหรอื หนงั สอื นน้ั ๓ ครง้ั
๔) เปดข้ึนมาทอ งจาํ หนังสอื นน้ั อยาเหยีบ
อยาขาม อยาน่ังอยานอนทับ ขณะทองอยานอน
หลับใหหนังสือทับอก เพราะจะทาํ ใหปญญาเสอื่ ม
เม่ือจะใชพระคาถา ใหป ฏบิ ตั ิ ดงั นี้
๑) ต้งั นะโมตสั สะฯ ๓ จบ อยา งมีสติ
๒) โนมนา วจิตใจตามวัตถปุ ระสงค
พระราชมงคลวิสุทธ์ิ พระมหาเถระ ๕ แผน ดนิ ๘๔
๓) ต้ังจิตใหม่ันแลวภาวนาคาถาตาม
ตองการ
พระคาถาจะศักด์ิสิทธ์ิประสบผลสําเร็จได
ตองมีองคป ระกอบ ดงั น้ี
๑) ผูทองคาถาจะตองเปนผูคิดดี ทําดี
ละเวน ความชว่ั ไมเบยี ดเบยี นผูอ ื่น
๒) ผูทองคาถาจะตองมีความเช่ือศรัทธา
ความตงั้ ใจมัน่ และมีสจั จะความจรงิ ใจเปนสาํ คัญ
๓) ตัวบทพระคาถา ไมวาจะบันทึกเปน
ตัวอักษรภาษาใดก็ตาม ไมวาสําเนียงการออก
เสียงจะผิดเพ้ียนแตกตางกัน พระคาถาน้ันก็ยังคง
ความศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิในตัวเองเสมอ
ตัวอยาง พระคาถาเมตตามหานิยมและ
แคลวคลาดปลอดภัยของหลวงปูกํ้า กลั ยาณธัมโม
มีดงั น้ี
“สะทะปะโต อัตถะวสี ะติ พทุ ธะจะ ชิตังเม
พทุ โธ ชัยโย ชัยยะ ชัยชนะ ตลอดปลอดภัย
ไชโย ไชโย ไชโย...”
ตํานานพระธาตแุ ชโ หวแ ละพญาล้ินกา น ๘๕
๖. “การอาราธนา” หรือ “การออนวอนขอ
สิ่งศักดิ์สิทธ์ิใหมาชวยเหลือ” คนลานนาเชื่อวา
การออนวอนสิ่งศักดิ์สิทธ์ิไมวาจะเปนพระธาตุ
เจดียก็ดี พระพุทธรูปก็ดี เทวดาอารักษก็ดี
จะประสบความสําเร็จตามใจปรารถนาไดน้ัน
ผูออนวอนจะตองถือศีล ๕ หรือศีล ๘ ใหบริสุทธ์ิ
เสียกอน แลวจึงน่ังสมาธิภาวนาและแผเมตตา
เมือ่ ครบขั้นตอนแลว จงึ จะมพี ลงั มากพอที่จะทําให
สิ่งศักด์ิสิทธิ์ไดรับรูและชวยเหลือได เชน การที่
พญาล้ินกา นและชาวเมืองเวยี งหาวไดร วมกนั ถือ
ศีล ภาวนา และอาราธนาขอส่ิงศักด์ิสิทธ์ิมาชวย
ปกปกรักษาใหพนภัยจากชางราย ก็สงผลให
เทวดาไดมาชวยเหลอื จนสําเรจ็
การวิเคราะหว ตั ถุธรรม
วัตถุธรรม คือวัฒนธรรมทางวัตถุส่ิงของที่ได
สรางขึ้นเพ่ือนําไปใชประโยชน จากเร่ืองตํานาน
พญาล้ินกาน สะทอนใหเห็นวัตถุธรรมท่ีสําคัญ
ดงั น้ี
พระราชมงคลวสิ ุทธ์ิ พระมหาเถระ ๕ แผน ดิน ๘๖
๑. เวียงหาว หมายถึง เมืองปาสักหรือปาสัก
หลวงซึ่งเปนเมืองท่ีมีความเจริญรุงเรืองมีกําแพง
ลอมรอบเมือง เวียงหาวมีพญาเจาเมืองช่ือวา
พญาล้ินกาน ซึ่งเปนผูสรางเมืองแหงนี้ขึ้น เพื่อให
ชาวบานไดมาอาศัยอยูดวยกันและทํามาหากิน
อยางมีความสุข
๒. พระธาตุแชโหว หมายถึง พระธาตุเจดียที่
บรรจุพระบรมเกศาธาตแุ ละกระดูกปลายจมูกของ
พระสัมมาสัมพุทธเจาไวภายใน เพ่ือใหพุทธศาส-
นิกชนไดกราบไหวส กั การบชู า
๓. กําแพงเมือง หมายถึง สิ่งกอสรางท่ที ําเปน
เคร่ืองก้ันซ่ึงอาจจะกอดวยอิฐ หิน หรือดินก็ได
โดยสรา งลอ มรอบเมอื งเอาไวด านใน เพือ่ ชว ยปอง
กนั ไมใ หศตั รูบุกโจมตีเขามาในเมือง
๔. คูเมือง หรือ คูเมือง หมายถึง รองน้ําหรือ
คลองน้ํารอบเมือง โดยการขุดดินขึ้นมาแลวทํา
เปนคันดินไวดานในติดกับกําแพงเมือง เพื่อชวย
ปองกันศัตรูหรอื ชา งเขามาในเมอื งกอ นถึงกาํ แพง
ตาํ นานพระธาตแุ ชโ หวและพญาลิ้นกา น ๘๗
๕. พระยอดขุนพล กรุเวียงหาว หมายถึง
พระเนื้อดิน พิมพตาง ๆ ที่คนสมัยกอนไดจัดทํา
ข้ึนแลวบรรจุไวในหองใตฐานเจดียและฐานใต
แทนบูชาของพระประธานในพระวิหาร เพื่อสืบ
ทอดพระพทุ ธศาสนา
พระยอดขุนพล
พมิ พซุมปกโพธิ์ใบเม็ด ฐานตาราง กรุเวียงหาว
พระราชมงคลวสิ ทุ ธิ์ พระมหาเถระ ๕ แผน ดนิ ๘๘
ตอมาบานเมืองเกิดการเปล่ียนแปลง ผูคน
อพยพไปอยูท่ีอ่ืน ทําใหกลายเปนวัดรา ง เมืองรา ง
คนรุนตอมาก็ไปขุดหาสมบัติตามวัดรางตาง ๆ ใน
เวียงหาว และไดพบพระเนื้อดินดังกลาว บางก็
นําไปขาย บางก็่นําไปเก็บไวบูชา
พระยอดขุนพล
พมิ พซมุ กลด ตาลปตร ฐานสูงตาราง กรเุ วยี งหาว
ตํานานพระธาตุแชโ หวแ ละพญาลิ้นกา น ๘๙
พระยอดขุนพล
พมิ พซุมเถาวัลย ฐานตาราง กรเุ วยี งหา ว
๖. งาชาง หมายถึง ฟนเข้ียวคูหนาแถวบน
ของชาง ซึ่งงอกออกมาจากขากรรไกรบนของชาง
ขางละอัน งาชางมีลักษณะนามเปน “ก่ิง” คนมัก
นํางาชางไปประดับตามโตะหมูบูชา หองรับแขก
หรือไมก็นําไปแกะสลักทําเปนเคร่ืองประดับ หรือ
พระราชมงคลวิสทุ ธ์ิ พระมหาเถระ ๕ แผนดนิ ๙๐
เครื่องรางของขลัง เพ่ือสวมใสหรือพกไวติดตัว
เพราะถือวางาชางเปนสัญลักษณของความ
บริสุทธิ์และเปนมงคล ผูท่ีไดครอบครองจะมีพลัง
อํานาจเพิ่มข้ึน ชวยใหสามารถฟนฝาอุปสรรค
และมีชัยเหนอื ศตั รูได
ป จ จุ บั น ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย มี พ ร ะ ร า ช บั ญ ญั ติ
งาชาง พ.ศ.2558 เปนกฎหมายควบคุมการคา
การครอบครอง นําเขา สงออก และการนําผาน
ซึ่งงาชาง หรือผลิตภัณฑที่ทําจากงาชาง การมี
ง า ช า ง ห รื อ ผ ลิ ต ภั ณ ฑ ท่ี ทํ า จ า ก ง า ช า ง ไ ว ใ น
ครอบครอง กําหนดใหตองแจงการครอบครองตอ
เจา หนา ท่ี ผใู ดฝา ฝนมีโทษปรับไมเ กนิ 3 ลา นบาท
๗. เสื่อ หรือ สาด หมายถึง เคร่ืองสานชนิด
หน่ึง โดยท่ัวไปทํามาจากตนกก ตนธูปฤาษี ไมไผ
ใชสาํ หรับปนู ง่ั และปูนอน
♦♦♦♦♦
บทที่ ๓
ภาษาลานนา
( ภาษาลา้ ฯ¢ )
พระราชมงคลวสิ ทุ ธ์ิ พระมหาเถระ ๕ แผนดนิ ๙๒
ภาษาลา นนา
ความเปน มา
บ ริ เ ว ณ ท า ง ภ า ค เ ห นื อ ข อ ง ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย
สมัยกอนเคยเปนรัฐอิสระ ท่ีเรียกวา “อาณาจักร
ลานนา” มีหัวเมืองใหญนอยมากถึง ๕๗ เมือง
มีความเจริญรุงเรืองสืบเน่ืองกันมาอยางยาวนาน
จนถึง ป พ.ศ. ๒๑๐๑ ก็ตกเปนเมืองขึ้นอยูภายใต
การปกครองของกรุงหงสาวดี (พมา) นานถึง
๒๑๖ ป ตอจากน้ันก็ตกไปเปนเมืองประเทศราช
ของกรงุ ธนบรุ ีและกรุงรัตนโกสนิ ทรต ามลาํ ดับ
บริเวณภาคกลางเปนที่ต้ังของ อาณาจักร
อยุธยา อาณาจักรธนบุรีและอาณาจักรรัตน
โกสินทรสบื ทีส่ บื ตอกันมา อาณาจักรรัตนโกสินทร
มีกรุงรัตนโกสินทรหรือกรุงสยามเปนราชธานี
มีความเจริญรุงเรืองกวาลานนาเปนอันมาก
มีภาษาไทยใชในการสื่อสาร คือมีทั้งภาษาพูด
(คําไทย) และภาษาเขียน (ตัวอักษรไทย) มี
โรงเรยี นเปน สถานที่ใหก ารศกึ ษาแกน กั เรียน