รายงาน เรื่อง บุริมสิทธิและความระงับแห่งหนี้ รหัสวิชา 0801231 วิชากฎหมายว่าด้วยหนี้ จัดทำโดย นางสาวกัสมา คลองมดคัน รหัสนิสิต 652081010 นางสาวพัชราภรณ์ เอียดซ้าย รหัสนิสิต 652081073 นายสุทิวัส จันสุก รหัสนิสิต 652081104 นางสาวอลิษา บุญฉิม รหัสนิสิต 652081114 นางสาวอาทิตา จันทร์พิมพ์ รหัสนิสิต 652081118 เสนอ อาจารย์มาตา สินดำ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ วิทยาเขตพัทลุง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566
ก คำนำ รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชากฎหมายว่าด้วยหนี้ รหัสวิชา 0801231 จัดทำขึ้นโดยมี วัตถุประสงค์เพื่อใช้ศึกษาคันคว้าเกี่ยวกับบุริมสิทธิและความระงับแห่งหนี้ ซึ่งรายงานนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับ ความหมายของบุริมสิทธิ เหตุที่กฎหมายกำหนดในบุริมสิทธิ ประเภทของบุริมสิทธิ ลำดับแห่งบุริมสิทธิ ผล แห่งบุริมสิทธิ และในเรื่องความระงับแห่งหนี้ ความหมายของความระงับแห่งหนี้ การชำระหนี้ การปลด หนี้ การหักกลบลบหนี้ การแปลงหนี้ใหม่ และหนี้เกลื่อนกลืนกัน ซึ่งผู้จัดทำได้ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมจาก เอกสาร วารสาร อินเทอร์เน็ตและแหล่งข้อมูลต่างๆ ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานฉบับนี้ จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ได้ศึกษาและผู้ที่สนใจเกี่ยวกับ บุริมสิทธิและความระงับแห่งหนี้หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ คณะผู้จัดทำ
ข สารบัญ เรื่อง หน้า คำนำ ก สารบัญ ข บุริมสิทธิ ความหมายของบุริมสิทธิ 1 เหตุที่กฎหมายกำหนดในบุริมสิทธิ 1 ประเภทของบุริมสิทธิ 2 ลำดับแห่งบุริมสิทธิ 14 ผลแห่งบุริมสิทธิ 17 ความระงับแห่งหนี้ ความหมายของความระงับแห่งหนี้ 22 การชำระหนี้ 22 การปลดหนี้ 26 การหักกลบลบหนี้ 27 การแปลงหนี้ใหม่ 28 หนี้เกลื่อนกลืนกัน 29 Infographic บุริมสิทธิ 31 ความระงับแห่งหนี้ 32 บรรณานุกรม 33
1 บุริมสิทธิ 1.ความหมายของคำว่าบุริมสิทธิ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 251 บัญญัติว่า "ผู้ทรงบุริมสิทธิย่อมทรงไว้ซึ่งสิทธิเหนือทรัพย์สินของ ลูกหนี้ ในการที่จะได้รับชำระหนี้อันค้างชำระแก่ตน จากทรัพย์สินนั้นก่อนเจ้าหนี้อื่นๆ โดยนัยดังบัญญัติไว้ใน ประมวลกฎหมายนี้หรือบทกฎหมายอื่น หมายความว่า เจ้าหนี้ผู้ทรงบุริมสิทธิหรือเจ้าหนี้ที่มีบุริมสิทธิ หมายถึงเจ้าหนี้ที่มีสิทธิไห้รับชำระหนี้จากทรัพย์สิน ของลูกหนี้ก่อนเจ้าหนี้รายอื่น ส่วนบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพามิชย์ มาตรา 251 ซึ่งบัญญัติว่า "โดยนัยตั้งบัญญัติไว้ในประมวล กฎหมายนี้หรือบทกฎหมายอื่น" หมายความว่า บุริมสิทธิเกิดโดยผลของกฎหมาย ซึ่งหลักกฎหมายเรื่องบุริมสิทธิ มิได้มีเฉพาะที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 2 นี้เท่านั้น แต่ยังบัญญัติไว้ในประมวกฏหมาย แพ่งและพาณิชย์ บรรพอื่นด้วย เช่น บรรพ 5 มาตรา 1598/13 บรรพ 6 มาตรา 17 นอกจากนั้น ยังมีที่ได้บัญญัติ ไว้ในกฎหมายอื่นอีกด้วย เช่น พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 130 พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 มาตรา 51 เป็นต้น โดยหลักกฎหมายเรื่อง บุริมสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 2 นี้เปืนหลักกฎหมายทั่วไป จึงใช้บังคับกับคดีแพ่งโดยทั่วไป แต่ถ้ามีกฎหมาย พิเศษบัญญัติถึงเรื่องบุริมสิทธิ ไว้เป็นการเฉพาะแตกต่างไปจากนี้ แล้วก็ต้องนำกฎหมายพิเศษนั้นมาบังคับใช้ บุริมสิทธิเป็นหนี้อุปกรณ์ ทำนองเดียวกันกับสิทธิจำนำ จำนอง และสิทธิยึดหน่วง ดังนั้นหากหนี้ประธาน ระงับไป บุริมสิทธิซึ่งเป็นหนี้อุปกรณ์ก็ย่อมระงับไปด้วย 2.เหตุที่กฎหมายกำหนดในบุริมสิทธิ ในกรณีที่ลูกหนี้มีเจ้าหนี้หลายคน หากลูกหนี้มีทรัพย์สินเพียงพอที่จะชำระหนี้ได้ทั้งหมดการกำหนดลำดับ ก่อนหลังในการชำระหนี้ย่อมไม่มีความสำคัญ แต่ถ้าทรัพย์สินของลูกหนี้มีไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้ทั้งหมดได้ หาก ไม่มีการให้สิทธิพิเศษแค่เจ้าหนี้บางประเภททรัพย์สินทั้งหมดของลูกหนี้ก็จะต้องนำมาแบ่งเฉลี่ยแก่เจ้าหนี้ทุกคน ตามส่วนแห่งหนี้ ดังนั้นเพื่อเป็นการคุ้มครองเจ้าหนี้บางประเภท กฎหมายจึงกำหนดให้มีคารจัดลำดับหรือการให้ สิทธิแก่เจ้าหนี้บางประเภทที่จะได้รับการชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่น ซึ่งเรียกว่า บุริมสิทธิ
2 3.ประเภทของบุริมสิทธิ บุริมสิทธิ์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 3.1. บุริมสิทธิสามัญ เป็นสิทธิเหนือทรัพย์สินทุกชนิคของลูกหนี้ ไม่ว่าจะเป็น 3.2. รับสิทธิพิเศษ เป็นสิทธิเหนือทรัพย์สินเฉพาะส่งเฉพาะอย่างของลูกหนี้ โดยแบ่ง ออกเป็น 2 ประเภท คือ 3.2.1. บุริมสิทธิพิเศษเหนือสังหาริมทรัพย์ 3.2.2. บุริมสิทธิพิเศษเหนือ สังหาริมทรัพย์หรืออสังหาริมทรัพย์ อสังหาริมทรัพย์ 3.1.บุริมสิทธิสามัญ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาดรา 253 บัญญัติว่า "ถ้าหนี้มีอยู่เป็นคุณแก่บุคคลผู้ใดในมูลอย่างหนึ่งอย่าง ใดจะกล่าวต่อไปนี้ บุคคลผู้นั้นย่อมมีบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินทั้งหมดของลูกหนี้ คือ (1) ค่าใช้จ่ายเพื่อประโยชน์อันร่วมกัน (2) ค่าปลงศพ (3) ค่าภาษีอากร และเงินที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับเพื่อการงานที่ได้ทำให้แก่ลูกหนี้ เป็นนายจ้าง (4) ค่าเครื่องอุปโภคบริโภคอันจำเป็นประจำวัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 253 บุริมสิทธิสามัญ จึงหมายถึง สิทธิของเจ้าหนี้ที่จะได้รับการชำระหนี้จากทรัพย์สินทุกชนิดของลูกหนี้ก่อนเจ้าหนี้ราย อื่น อันได้แก่ (1) ค่าใช้จ่ายเพื่อประโยชน์อันร่วมกัน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 254 บัญญัติว่า บุริมสิทธิในมูลค่าใช้จ่ายเพื่อประโยชน์อันร่วมกัน นั้น ใช้สำหรับเอาค่าใช้จ่ายอันได้เสียไปเพื่อประโยชน์ของเจ้าหนี้หมดทุกคนร่วมกัน เกี่ยวด้วยการรักษา การชำระ บัญชี หรือการเฉลี่ยทรัพย์สินของลูกหนี้ ถ้าค่าใช้จ่ายนั้นมิได้เสียไปเพื่อประโยชน์ของเจ้าหนี้หมดทุกคนใจร้บุริมสิทธิย่อมจะใช้ได้แค่เฉพาะต่อเจ้าหนี้ผู้ที่ ได้รับประโยชน์จากการนั้นบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 254 วรรคแรก หมายความว่า
3 ค่าใช้จ่ายเพื่อประโยชน์อันร่วมกัน หมายถึง ค่าใช้ง่ายที่เจ้าหนี้ร้ายใดรายหนึ่งได้เสียไปเพื่อประโยชน์ของเจ้าหนี้หมด ทุกคนร่วมกัน เกี่ยวด้วยการรักษาทรัพย์สินของลูกหนี้ เช่น การซ่อมแซมทรัพย์สินของลูกหนี้ การรักษาและเลี้ยงดูสัตว์ซึ่งเป็นทรัพย์สินของลูกหนี้การติดตามเอาคืนซึ่ง ทรัพย์สินของลูกหนี้ การฟ้องคดีเพื่อเพิกถอนการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 ฯลฯ หรือการชำระบัญชี หรือการเฉลี่ยทรัพย์สินของลูกหนี้ พิพากษาศาลฎีกาที่ 284/2483 โจทก์ฟ้องลูกหนี้เพื่อบังคับชำระหนี้ของตนเอง ต่อมาจำเลยต้องคำพิพากษาให้ล้มละลาย แล้วหลังจากนั้นศาลก็ พิพากษาให้จำเลย ชำระหนี้ให้โจทก์ตามฟ้องรวมทั้งค่าธรรมเนียมและค่าทนายด้วย ดังนี้ โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะได้รับ ชำระหนี้ค่าธรรมเนียมและหาทนายก่อนเจ้าหนี้รายอื่น เพราะค่าธรรมเนียมและค่าทนาย ส่วนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 254 วรรคสอง หมายความว่า ถ้าค่าใช้จ่ายนั้นมีเสียไปเพื่อ ประโยชน์ของเจ้าหนี้หมดทุกคนเจ้าหนี้ผู้ทรง บุริมสิทธินั้นจะนำเรื่องสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ก่อนมาใช้กับเจ้าหนี้ทุก รายไม่ได้ จะนำมาใช้ได้แต่เฉพาะต่อเจ้าหนี้รายนนี้ที่ได้รับประโยชน์จากค่าใช้จ่ายนั้นเท่านั้น (2) ค่าปลงศพ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 255 บัญญัติว่า "บุริมสิทธิใน มูลค่าปลงศพนั้นใช้สำหรับเอาค่าใช้จ่ายใน การปลงศพตามควรแก่ฐานานุรูปของลูกหนี้" ค่าปลงศพ หมายถึง ค่าใช้จ่ายโดยตรงในการปลงศพของลูกหนี้ เช่น ค่าโลงศพ เป็นต้น คำพิพากษาศาลฎีกาที่1761/2545 โจทก์มีอำนาจและหน้าที่จัดการศพ ผู้ตายตามกฎหมาย เมื่อโจทก์จัดการศพผู้ตายไปตามสมควร โจทก์ย่อมมีสิทธิที่ จะเรียกร้อง ค่าใช้จ่ายนั้นจากกองมรดกได้ ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1650 วรรคแรก กำหนดให้ค่าใช้จ่ายเกิดมีหนี้เป็นคุณแก่บุคคล ใดในการจัดทำศพนั้นให้บุคคลนั้นเรียก เอาได้ตามบุริมสิทธิที่ระบุไว้ในมาตรา 253 (2) ดังนั้น โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ บุริมสิทธิตามมาตรา 253 (2) จึงมีอำนาจฟ้องให้จำเลยรับผิดในค่าใช้จ่ายนั้นได้
4 3) ค่าภาษีอากร ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 256 บัญญัติว่าบุริมสิทธิในมูลค่าภาษีอากรนั้นใช้สำหรับเอาบรรดาค่า ภาษีอากรในที่ดิน ทรัพย์สินหรือค่าภาษีอากรอย่างอื่นที่ลูกหนี้ยังค้างชำระอยู่ในปีปัจจุบันและก่อนนั้นขึ้นไปอีกปี หนึ่ง" เหตุที่กฎหมายกำหนดให้หนี้ค่าภาษีอากรเป็นหนี้บุริมสิทธิ ก็เพราะเป็นหนี้ที่จะนำไปใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะ แต่หนี้ค่าภาษีอากรดังกล่าวนี้ ต้องเป็นหนี้ที่ลูกหนี้ยังค้างชำระอยู่ในปีปัจจุบัน คือ ปีที่เจ้าหนี้ฟ้องคดีต่อศาลและ ก่อนนั้นขึ้นไปอีกปีหนึ่ง คือ รวมสองปีเท่านั้น มิได้หมายความ รวมถึงหนี้ค่าภาษีอากรทั้งหมด อย่างไรก็ดี สำหรับหนี้ที่ลูกหนี้ค้างชำระค่าภาษีอากรเกินกว่า 2 ปีอันทำให้เจ้าหนี้ค่าภาษีอากรไม่เป็นเจ้าหนี้ผู้มี บุริมสิทธินั้น เจ้าหนี้ภาษีอากรก็ยังคงมีสิทธิได้รับชำระหนี้ในฐานะเจ้าหนี้สามัญ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 150/2504 แม้ผู้ร้องไม่มีบุริมสิทธิ แต่สิทธิของผู้ร้องในอันที่จะเรียกร้องเอาค่าภาษีอากรหายสูญสิ้นไปไม่ ผู้ร้องก็คงเป็นเจ้าหนี้ อยู่เพียงแต่ผู้ร้องไม่มีบุริมสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้รายอื่นเท่านั้น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 692/2506 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 256 กำหนดว่าบุริมสิทธิ์ในมูลค่าภาษีอากรนั้น ใช้สำหรับเอาบรรดาค่า ภาษีอากรที่ลูกหนี้ยังค้างชำระอยู่ในปีปัจจุบัน และก่อนนั้นขึ้นไปอีกปีหนึ่ง ดังนั้น รัฐบาลจึงมีบุริมสิทธิเพียง 2 เท่านั้น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 924/2522 บุริมสิทธิในมูลค่าภาษีอากรที่ค้างชำระ ในปีปัจจุบันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 256 นั้น คำว่า "ปีปัจจุบัน" หมายถึง ปีที่มีการฟ้องคดีต่อศาล 4) เงินที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับเพื่อการงานที่ได้ทำให้แก่ลูกหนี้ซึ่งเป็นนายจ้าง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 257 บัญญัติว่า "บุริมสิทธิในเงินที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับเพื่อการงานที่ได้ทำ ให้แก่ลูกหนี้ซึ่งเป็นนายจ้างนั้น ให้ใช้สำหรับค่าจ้าง ค่าล่วงเวลาค่าทำงานในวันหยุด ค่าล่วงเวลาในวันหยุด ค่าซด เชย ค่าชคเชยพิเศษ และเงินอื่นใดที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับเพื่อการงานที่ได้ทำให้ นับถอยหลังขึ้นไปสี่เดือน แต่รวมกัน แล้วต้องไม่เกินหนึ่งแสนบาทต่อลูกจ้างคนหนึ่ง"
5 เหตุที่กฎหมายกำหนดให้หนี้ค่าจ้างเป็นหนี้บุริมสิทธิก็เพื่อคุ้มครองลูกจ้างซึ่งเป็นบุคคลที่ด้อยโอกาสขาดอำนาจ ต่อรอง" ซึ่งค่าจ้างนี้หมายถึงค่าจ้างที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับตามกฎหมายแรงงาน โดยนับถอยหลังขึ้นไปสี่เดือน แต่รวมกันแล้ว ต้องไม่เกินหนึ่งแสนบาทต่อลูกจ้างคนหนึ่ง (5) ค่าเครื่องอุปโภคบริโภคอันจำเป็นประจำวัน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 258 บัญญัติว่า "บุริมสิทธิในมูลค่าเครื่องอุปโภคบริโภคอันจำเป็น ประจำวันนั้น ใช้สำหรับเอาค่าเครื่องอุปโภคบริโภคซึ่งยังค้างชำระอยู่นับถอยหลังขึ้นไปหกเดือน เช่น ค่าอาหาร เครื่องดื่ม โดมไฟ ฟื้น ถ่าน อันจำเป็นเพื่อการทรงชีพของลูกหนี้ และบุคคลในสกุลซึ่งอยู่กับลูกหนี้และซึ่งลูกหนี้ จำต้องอุปการะกับทั้งคนใช้ของลูกหนี้ด้วย" เหตุที่กฎหมายกำหนดบุริมสิทธิในมูลค่าเครื่องอุปโภคบริโภคไว้ ก็เพราะเป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิดของ ลูกหนี้ และบุคคลในครอบครัวที่ลูกหนี้จำต้องอุปการะ อันรวมถึงคนใช้ของลูกหนี้ด้วย โดยเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นที่กำหนดไว้ตาม บทบัญญัติมาตรานี้ เช่นค่าอาหาร เครื่องดื่ม โคมไฟ ฟื้น ถ่าน เป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น เครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็นจึงอาจเป็นสิ่งอื่น ๆ ได้ เช่น เตาแก๊ส เป็นต้น แต่ต้องเป็นหนี้ค่าเครื่องอุปโภคบริโภค ซึ่งยังค้างชำระอยู่นับถอยหลังขึ้นไปหกเดือนเท่านั้น 3.2.บุริมสิทธิพิเศษ บุริมสิทธิพิเศษ หมายถึง สิทธิของเจ้าหนี้ที่จะได้รับการชำระหนี้จากทรัพย์สินเฉพาะสิ่งเฉพาะอย่างของลูกหนี้ก่อน เจ้าหนี้อื่นๆ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ บุริมสิทธิพิเศษเหนือสังหาริมทรัพย์ และบุริมสิทธิพิเศษเหนือ สังหาริมทรัพย์ 3.2.1 บุริมสิทธิพิเศษเหนือสังหาริมทรัพย์ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 259 บัญญัติว่า "ถ้าหนี้มีอยู่เป็นคุณแก่บุคคลผู้ใดในมูลอย่างหนึ่งอย่าง ใดดังจะกล่าวต่อไปนี้ บุคคลผู้นั้นย่อมมีบุริมสิทธิเหนือสังหาริมทรัพย์เฉพาะอย่างของลูกหนี้ คือ (1) เช่าอสังหาริมทรัพย์ (2) พักอาศัยในโรงแรม
6 (3) รับขนคนโดยสารหรือของ (4) รักษาสังหาริมทรัพย์ (5) ซื้อขายสังหาริมทรัพย์ (6) ค่าเมล็ดพันธุ์ ไม้พันธุ์หรือปุ๋ย (7) ค่าแรงงานกสิกรรม หรืออุตสาหกรรม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 259 บุริมสิทธิเหนือ สังหาริมทรัพย์เฉพาะอย่างของลูกหนี้มี7 ประเภท ดังนี้ 1) เช่าอสังหาริมทรัพย์ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 260 บัญญัติว่า "บุริมสิทธิในมูลเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นใช้สำหรับเอาค่า เช่าอสังหาริมทรัพย์และหนี้อย่างอื่น ของผู้เช่าอันเกิดจากความเกี่ยวพันในเรื่องเช่า และมีอยู่เหนือสังหาริมทรัพย์ ของผู้เช่าซึ่งอยู่ใน หรือบนอสังหาริมทรัพย์นั้น" หนี้ที่มีบุริมสิทธิพิเศษเหนือสังหาริมทรัพย์ในมูลเช่าอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 260 ได้แก่ ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์และหนี้อย่างอื่นของผู้เช่าอันเกิดจากความเกี่ยวพันในเรื่องเช่า เช่น ค่าเสียหายในกรณีที่ทรัพย์สินที่เช่าเกิดความเสียหาย ฯลฯ บุริมสิทธิพิเศษเหนือสังหาริมทรัพย์ในมูลเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น จะมีอยู่เหนือสังหาริมทรัพย์ของผู้เช่าซึ่งอยู่ใน หรือบนอสังหาริมทรัพย์นั้น เช่น ลูกหนี้ค้างชำระ ค่าเช่าบ้าน เจ้าหนี้ก็จะมีบุริมสิทธิเหนือโทรทัศน์ ตู้เย็น พัดลม ฯลฯ ซึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์ ของลูกหนี้ (ผู้เช่า) ซึ่งอยู่ในบ้านเช่านั้น เป็นต้น การจำกัดทรัพย์ที่อยู่ในบังคับแห่งบุริมสิทธิในมูลเช่าอสังหาริมทรัพย์ 1. กรณีเช่าที่ดิน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 261 วรรคแรก บัญญัติว่า"บุริมสิทธิของผู้ให้เชาที่ดินนั้นมีอยู่เหนือ สังหาริมทรัพย์ทั้งหลายอันผู้เช่าได้นำเข้า มาไว้บนที่ดินที่ให้เช่าหรือนำเข้ามาไว้ในเรือนโรงอันใช้ประกอบกับทีดินนั้น และมีอยู่เหนือ สังหาริมทรัพย์เช่นสำหรับที่ใช้ในที่ดินนั้นกับทั้งเหนือดอกผลอันเกิดจากที่ดินซึงอยู่ใน ครอบครอง ของผู้เช่านั้นด้วย"
7 บุริมสิทธิของผู้ให้เช่าที่ดินนั้นมีอยู่เหนือสังหาริมทรัพย์ ทั้งหลายอันผู้เช่าได้นำเข้ามาไว้บนที่ดินที่ให้เช่า เช่นได้สร้าง โรงเรือนไว้บนที่ดินที่ให้เช่า โรงเรือนย่อมเป็นบุริมสิทธิของผู้ให้เช่าที่ดิน เป็นตัน หรือผู้เชาได้นำเข้ามาไว้ในประกอบ กับที่ดินนั้น และมีอยู่เหนือสังหาริมทรัพย์เช่น สำหรับที่ใช้ในที่ดินนั้น กับทั้งเหนือ ดอกผลอันเกิดจากที่ดินซึงอยู่ใน ครอบครองของผู้เช่านั้นด้วยเช่น การเช่าที่ดินเพื่อทำ การเกษตร รถไถ เครื่องมือเกษตร รวมถึงผลผลิตทาง การเกษตรที่ผู้เช่าได้เก็บไว้บนที่ดินที่ให้เช่าย่อมเป็นบุริมสิทธิของผู้ให้เช่าที่ดิน เป็นต้น 2. กรณีเช่าโรงเรือน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 261 วรรคสอง บัญญัติว่า"บุริมสิทธิของผู้ให้เช่าเรือนโรงย่อมมีอยู่เหนือ สังหาริมทรัพย์ซึ่งผู้เช่านำเข้ามาไว้ในเรือนโรงนั้นด้วย" เช่น การเช่าหอพักสังหาริมทรัพย์ซึ่งผู้เช่านำเข้ามาไว้ในหอพักนั้น ไม่ว่าจะเป็นที่นอน โทรทัศน์ พัดลม หม้อหุงข้าว เตาแก๊ส ย่อมเป็นบุริมสิทธิของผู้ให้เช่าหอพัก เป็นตัน กรณีที่มีการโอนสิทธิการเช่าหรือมีการเช่าช่วงอสังหาริมทรัพย์ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 262 บัญญัติว่า "ถ้าการเช่าอสังหาริมทรัพย์ใด้โอนไปก็ดีหรือได้ ให้เช่าช่วงก็ดีบุริมสิทธิของผู้ให้เช่าเดิมย่อมครอบ ไปถึงสังหาริมทรัพย์ซึ่งผู้รับโอนหรือผู้เช่าช่วงได้นำเข้ามาไว้ใน ทรัพย์สินนั้นด้วยความที่กล่าวนี้ท่านให้ใช้ได้ตลอดถึง เงินอันผู้โอนหรือผู้ให้เช่าช่วงจะพึ่งได้รับจากผู้รับโอนหรือผู้เช่า ช่วงนั้น ด้วย" ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย์ มาตรา 544 บัญญัติว่า "ทรัพย์สินซึ่งเช่านั้น ผู้เช่าจะให้เช่าช่วงหรือโอน สิทธิของตนอันมีในทรัพย์สินนั้นไม่ว่าทั้งหมด หรือแต่บางส่วนให้แก่บุคคลภายนอก ท่านว่าหาอาจทำได้ไม่ เว้นแต่ จะให้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่นในสัญญาเช่า ถ้าผู้เช่าประพฤติฝ่าฝืนบทบัญญัติอันนี้ ผู้ให้ช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาครา 545 บัญญัติว่า "ถ้าผู้เช่าเอาทรัพย์สินซึ่งตนเข้าไปให้ผู้ยืนเช่าช่วง อีกทอดหนึ่งโดยชอบท่านว่าผู้เช่าช่วงย่อมต้องรับผิดต่อผู้ให้เช่าเดิมโดยตรง ในกรณีเช่นว่านี้หากผู้เช่าช่วงจะได้ใช้คำ เช่าให้แก่ผู้เช่าไปก่อน ท่านว่าผู้เช่าช่วงหาอาจจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ผู้ให้เช่าได้ไม่ อนึ่งบทบัญญัติอันนี้ไม่ห้ามการที่ผู้ให้เช่าจะใช้สิทธิของตนต่อผู้เช่า การเช่าช่วงหรือการโอนสิทธิการเช่า หมายถึง การที่ผู้เช่ารายเดิมได้ โอนสิทธิการเราให้แก่ผู้เช่ารายใหม่โดยมี ค่าตอบแทนโดยการโอนสิทธิการเช่าไปให้บุคคลอื่นนี้ ตามกฎหมายกำหนดว่าจะทำได้ก็ต่อเมื่อผู้เช่าได้ตกลงยินยอม ไว้ในสัญญาเช่าเท่านั้น โดยหากผู้เช่าโอนสิทธิการเช่าให้แก่ผู้อื่นหรือให้ผู้อื่นเช่าช่วงโดยผู้เช่าไม่ยินยอม ผู้ให้เช่ามี
8 สิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าได้ทันที ทั้งนี้เมื่อยู่ผู้เช่ารายเดิมได้โอนสิทธิการเช่าไปให้ผู้เช่ารายใหม่แล้ว ผู้เช่ารายใหม่ก็ เป็นผู้เช่าแทนผู้เช่ารายเดิม โดยผู้เช่ารายใหม่จะมีสิทธิและหน้าที่โดยตรงต่อผู้ให้เช่า ดังนั้น ถ้ามีการโอนสิทธิการเช่า หรือมีการเช่าช่วงอสังหาริมทรัพย์ บุริมสิทธิของผู้ให้เช่าย่อมครอบไปถึงสังหาริมทรัพย์ซึ่งผู้รับโอนหรือผู้เช่าช่วงได้ นำเข้ามาไว้ในทรัพย์สินนั้นด้วย เช่น นายแดงเช่าที่ดินจากนายดำ แล้วต่อมานายแดงได้ให้โอนสิทธิการเช่านั้นให้แก่ นายขาว ดังนี้บุริมสิทธิของนายดำย่อมครอบไปถึงสังหาริมทรัพย์ซึ่งนายขาวได้นำเข้ามาไว้ในที่ดินนั้น ด้วย เป็นต้น (2) การจำกัดจำนวนหนี้บุริมสิทธิใหมูลเช่าอสังหาริมทรัพย์ 1. กรณีผู้เช่าต้องชำระบัญชีเฉลี่ยทรัพย์สินทั่วไป ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 263 บัญญัติว่าในกรณีที่ผู้เช่าต้องชำระบัญชีเฉลี่ยทรัพย์สินทั่วไปนั้น บุริมสิทธิของผู้ให้เช่าย่อมมีอยู่แต่ เฉพาะสำหรับเอาใช้ค่าเช่าและหนี้อย่างอื่นเท่าทีมีในระยะกำหนดส่งคำเช่าเพียง สามระยะคือ ปัจจุบันระยะหนึ่ง ก่อนนั้นขึ้นไประยะหนึ่ง และต่อไปภายหน้าอีกระยะหนึ่งเท่านั้น ใช้สำหรับเอาคำ เสียหายซึ่งเกิดขึ้นในระยะกำหนดส่งค่าเช่าปัจจุบัน และก่อนนั้นขึ้นไปอีกระยะหนึ่งด้วย" กรณีที่ผู้เช่าต้องชำระบัญชีเฉลี่ยทรัพย์สินทั่วไป หมายถึง การรวบรวม ทรัพย์สินทั้งหมดของลูกหนี้มาชำระหนี้ ให้แก่เข้าหนี้ทุกรายในคราวเดียวกัน ทำนองเดียวกับ และ กรณีที่ลูกหนี้ล้มละลาย โดยในกรณีนี้ บุริมสิทธิของผู้ให้ เช่ามีอยู่แต่เฉพาะ 1.1. ดำเช่าและหนี้อย่างอื่นเท่าที่มีในระยะกำหนดส่งค่าเช่าเพียงสามระยะ คือ ระยะปัจจุบันและระยะก่อน หน้าอีกสองระยะ 1.2. ค่าเสียหายซึ่งเกิดขึ้นในระยะกำหนดส่งค่าเช่าปัจจุบันและก่อนนั้น ขึ้นไปอีกหนึ่งระยะ 2. กรณีผู้ให้เช่าได้รับเงินประกันไว้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 264 บัญญัติว่า "ในการเรียกร้องของผู้ให้เช่า ถ้าผู้ให้เช่าได้รับเงินประกัน ไว้ผู้ให้เช่าย่อมมีบุริมสิทธิแต่เพียงในส่วนที่ไม่มีเงินประกัน" หมายความว่า หากผู้ให้เช่าได้รับเงินประกันในส่วนใดไว้แล้ว ผู้ให้เช่าย่อมไม่มีบุริมสิทธิในมูลเช่าอสังหาริมทรัพย์ใน ส่วนนั้นอีก เพราะผู้ให้เช่าได้รับประโยชน์ จากเงินประกันในส่วนนั้นอยู่แล้ว
9 2) พักอาศัยในโรงแรม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 265 บัญญัติว่า "บุริมสิทธิในมูลพักอาศัยในโรงแรมนั้นใช้สำหรับเอาเงิน บรรดาที่ค้างชำระแก่เจ้าสำนักเพื่อการพักอาศัยและการอื่นๆ อันได้จัดให้สำเร็จความปรารถนาแก่คนเดินทาง หรือ แขกอาศัย รวมทั้งการชดใช้เงินทั้งหลายที่ได้ออกแทนไปและมีอยู่เหนือเครื่องเดินทาง หรือทรัพย์สิน อย่างอื่นของ คนเดินทาง หรือแขกอาศัยอันเอาไว้ในโรงแรม โฮเต็ลหรือสถานที่เช่นนั้น" หนี้ที่มีบุริมสิทธิพิเศษเหนืสังหาริมทรัพย์ ในมูลพักอาศัยในโรงแรม ตามประมวลกฎหมายแห่งและพาณิชย์ มาตรา 265 ได้แก่ 1.หนี้เงินที่ค้างชำระแก่เจ้าสำนักโรงแรมเกี่ยวกับการพักอาศัยและ การอื่นๆ อันได้จัดให้สำเร็จความปรารถนาแก่ คนเดินทางหรือแขกอาศัย เช่น ค่าห้องพัก ค่าอาหาร ค่าซักรีดเสื้อผ้า ฯลฯ 2. หนี้เงินซึ่งเจ้าสำนักโรงแรมได้ได้ออกแทนไป เช่น ค่าโทรศัพท์ เป็นต้น บุริมสิทธิพิเศษเหนือสังหาริมทรัพย์ในมูลพักอาศัยในโรงแรมนั้น จะมีอยู่เหนือสังหาริมทรัพย์อันได้แก่งหรือ ทรัพย์สินอย่างอื่นของคนเดินทาง หรือแขกอาศัย ที่นำมาไว้ในสำนักโรงแรม กระเป๋าเดินทาง เสื้อผ้า เครื่องประดับ เป็นต้น มาตรการพิเศษสำหรับผู้ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์และเจ้าสำนักโรงแรม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 266 บัญญัติว่า "ผู้ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์หรือเจ้าสำนักโรงแรมโฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้น จะใช้บุริมสิทธิของตน บังคับทำนองเดียวกับผู้รับจำนำก็ได้บทบัญญัติทั้งหลายแห่งประมวล กฎหมายว่าด้วยการ บังคับจำนำนั้น ท่านให้นำมาใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม" การจำนำ ผู้จำนำจะสมัครใจมอบทรัพย์สินบางอย่างให้แก่ผู้รับจำนำเพื่อเป็นการประกันการชำระหนี้อันต่างจาก กรณีที่ลูกหนี้ นำทรัพย์สินของตนมาไว้ในอสังหาริมทรัพย์ที่เช่าหรือโรงแรมแต่การเช่าอสังหาริมทรัพย์และ การพัก อาศัยในโรงแรมก็มีทรัพย์สินบางอย่างของลูกหนี้อยู่ในอสังหาริมทรัพย์หรือโรงแรม ของเจ้าหนี้ทำนองเดียวกับการ จำนำที่จะมีทรัพย์สินบางอย่างของลูกหนี้อยู่กับเจ้าหนี้ผู้รับ จำนำ ดังนั้นกฎหมายจึงกำหนดให้เจ้าหนี้ผู้มีบุริมสิทธิ ในหนี้ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์หรือโรงแรมมีสิทธิบังคับชำระหนี้ทำนองเดียวกับผู้รับจำนำได้ กล่าวคือ เจ้าหนี้ผู้มี บุริมสิทธิในหนี้ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์หรือโรงแรมมีสิทธินำทรัพย์สินของลูกหนี้ที่อยู่ในอสังหาริมทรัพย์หรือโรงแรม ของตนออกขายทอดตลาด เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ของตนอย่างเจ้าหนี้จำนำได้
10 3) รับขนคนโดยสารหรือของ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 267 บัญญัติว่า "บุริมสิทธิในมูลรับขนนั้นใช้สำหรับเอาค่าระวางพาหนะ ในการรับขนคนโดยสารหรือของ กับทั้งค่าใช้จ่ายอันเป็นอุปกรณ์และเป็นบุริมสิทธิมีอยู่เหนือของและเครื่องเดินทาง ทั้งหมดอัน อยู่ในมือของผู้ขนส่งหนี้ที่มีบุริมสิทธิพิเศษเหนือสังหาริมทรัพย์ในมูลรับขนคนโดยสารหรือของ ตามประมวลกฎหมายแห่งและพาณิชย์ มาตรา 267 ได้แก่ 1. ค่าระวางพาหนะในการรับขนคนโดยสารหรือของ ซึ่งหมายถึงค่าโดยสารหรือค่าระวางสินค้านั่นเอง 2. ค่าใช้จ่ายอันเป็นอุปกรณ์ เช่น ค่าจ้างของลูกจ้างในการขนย้าย สินค้าขึ้นลงพาหนะ เป็นต้น บุริมสิทธิพิเศษเหนือสังหาริมทรัพย์ในมูลรับขนคนโดยสารหรือของนั้นจะมีอยู่เหนือสังหาริมทรัพย์อันได้แก่ สิ่งของ และเครื่องเดินทางที่อยู่กับผู้ขนส่งนั้น เช่น นาย ก.ได้โดยสารรถและได้มอบกระเป๋าเดินทางไว้กับผู้ขนส่ง ดังนี้ ผู้ ขนส่งย่อมมีบุริมสิทธิใน กระเป๋าเดินทางนั้นตามประมวลกฎหมายแห่งและพาณิชย์ มาตรา 267 เป็นต้น 4) รักษาสังหาริมทรัพย์ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 269 บัญญัติว่า "บุริมสิทธิในมูลรักษาสังหาริมทรัพย์นั้นใช้สำหรับเอา ค่าใช้จ่ายเพื่อรักษาสังหาริมทรัพย์ และ มีอยู่เหนือสังหาริมทรัพย์อันนั้น อนึ่งบุริมสิทธินี้ยังใช้สำหรับเอาค่าใช้จ่ายที่จำเป็นอันได้เสียไป เพื่อที่จะสงวนสิทธิ หรือรับสภาพสิทธิหรือบังคับ สิทธิอันเกี่ยวด้วยสังหาริมทรัพย์นั้นอีกด้วย" หนี้ที่มีบุริมสิทธิพิเศษเหนือสังหาริมทรัพย์ในมูลรักษาสังหาริมทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 269 ได้แก่ 1. ค่าใช้จ่ายเพื่อรักษาสังหาริมทรัพย์ไว้ในทางกายภาพ 2. ค่าใช้ายเพื่อรักษาสังหาริมทรัพย์ไว้ในทางกฎหมายจะเป็นการสงวนสิทธิ์ หรือรับสภาพสิทธิหรือบังคับสิทธิอัน เกี่ยวด้วยสังหาริมทรัพย์นั้นให้มีการรับสภาพหนี้ การฟ้องคดี เป็นต้น บุริมสิทธิพิเศษเหนือสังหาริมทรัพย์ในมูล รักษาสังหาริมทรัพย์นั้น จะมีอยู่เหนือสังหาริมทรัพย์ที่รักษาไว้นั้น
11 5) ซื้อขายสังหาริมทรัพย์ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 270 บัญญัติว่า "บุริมสิทธิในมูลซื้อขายสังหาริมทรัพย์นั้นใช้สำหรับเอา ราคาซื้อขายและดอกเบี้ยในราคานั้น และมีอยู่เหนือสังหาริมทรัพย์อันนั้น" หนี้ที่มีบุริมสิทธิพิเศษเหนือสังหาริมทรัพย์ในมูลซื้อขาย สังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 270 ได้แก่ หนี้ที่ผู้ซื้อจะต้องชำระแก่ผู้ขาย อันได้แก่ราคาที่ผู้ซื้อยังไม่ชำระและดอกเบี้ยโดยผู้ขายจะมี บุริมสิทธิเหนือ ทรัพย์ที่ขาย เช่น นายดำได้ทำสัญญาขายรถยนต์ให้นายแดง กรรมสิทธิ์ในรถยนต์นั้นย่อมโอน ไป เป็นของนายแดงทันที ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 458 และหากนายแดงได้รับรถยนต์ไปแล้วแต่ไม่ชำระราคารถยนต์ นายดำย่อมมีบุริมสิทธิเหนือรถยนต์ที่ขายในมูลหนี้ค่ารถยนต์และดอกเบี้ยนั้นเป็นต้น อนึ่งหนี้บุริมสิทธิตามมาตรานี้ต้องเป็นกรณีที่กรรมสิทธิ์ในทรัพย์ได้ โอนไปยังผู้ซื้อซึ่งเป็นลูกหนี้แล้วเพราะบุริมสิทธิ ย่อมมีอยู่เหนือทรัพย์สินของลูกหนี้ กล่าวคือ ต้องเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา458 จะเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดที่มีเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลา ตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา 459 ไม่ได้ นอกจากนั้น หากทรัพย์นี้ได้ถูกนำไปรวมกับทรัพย์อื่นจนไม่อาจจะ แยกออกจากกันได้บุริมสิทธิก็ย่อมหายไป เช่น ซื้อน้ำตาลทรายไปทำขนม บุริมสิทธิใน น้ำตาลทรายก็ย่อมหายไป เป็นต้น บุริมสิทธิพิเศษเหนือสังหาริมทรัพย์ใน มูลซื้อขายสังหาริมทรัพย์นั้น สังหาริมทรัพย์ที่ซื้อขายนั้น จะมีอยู่เหนือ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 757/2505 มูลหนี้ที่เกิดจากสัญญาซื้อขาย ไม้แปรรูปอันเป็นสังหาริมทรัพย์ซึ่งผู้ขายมีบุริมสิทธิที่จะเอาราคาซื้อขายเหนือไม้ แปรรูปนี้ได้ก่อนเจ้าหนี้อื่นนั้นหากปรากฎว่าไม้แปรรูปนี้ได้ถูกนำไปสร้างเป็นโรงเรือน อันกลายสภาพจาก อสังหาริมทรัพย์เป็นอสังหาริมทรัพย์คือโรงเรือนเสียแล้ว ผู้ขายย่อมไม่มีสิทธิที่จะอ้างบุริมสิทธิเหนือโรงเรือนซึ่งสร้าง ด้วยไม้แปรรูปนั้นได้ 6) ค่าเมล็ดพันธุ์ ไม้พันธุ์ หรือปุ๋ย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 271 บัญญัติว่า "บุริมสิทธิ์ในมูลค่าเมล็ดพันธุ์ ไม้พันธุ์ใช้สำหรับเอาราคา ค่าเมล็ดพันธุ์ ไม้พันธุ์ หรือปุ๋ย และดอกเบี้ยในราคานั้นและมีอยู่เหนือดอกผลอันเกิดงอกในที่ดินเพราะใช้สิ่ง เหล่านั้นภายในปีหนึ่งนับแต่เวลาที่ใช้หนี้ที่มีบุริมสิทธิพิเศษเหนือสังหาริมทรัพย์ในมูลค่าเมล็ดพันธุ์ ไม้ พันธุ์ หรือปุ๋ย
12 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 271 ได้แก่ ค่าเมล็ดพันธุ์ ไม้ พันธ์ หรือปุ๋ย และดอกเบี้ยบุริมสิทธิ พิเศษเหนือสังหาริมทรัพย์ในมูลค่าเมล็ดพันธุ์ ไม้พันธุ์ หรือปุ๋ยนั้น จะมีอยู่เหนือสังหาริมทรัพย์ดอกผลอันเกิดงอก ในที่ดินเพราะใช้เมล็ดพันธุ์ ไม้พันธุ์หรือปุ๋ยเหล่านั้น ภายในปีหนึ่งนับแต่เวลาที่ใช้ ตัวอย่าง นายดำไปซื้อเมล็ดพันธุ์ส้มจากนายแดง แล้วนายดำไม่ ชำระราคาค่าเมล็ดพันธุ์ส้ม นายแดงย่อมมีบุริมสิทธิ ผลส้มที่เกิดงอกในที่ดินเพราะใช้เมล็ดพันธุ์ส้มนั้นภายในปีหนึ่งนับแต่เวลาที่ใช้เมล็ดพันธุ์ส้มนั้น 7) ค่าแรงงานกสิกรรมหรืออุตสาหกรรม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 272 บัญญัติว่า"บุริมสิทธิในมูลค่าแรงงานเพื่อกสิกรรมและอุตสาหกรรม นั้น ในส่วนบุคคลที่ได้ทำการงานกสิกรรมใช้สำหรับเอาค่าจ้างนับถอยหลังขึ้นไปปีหนึ่ง และในส่วนบุคคลที่ได้ทการ งานอุตสาหกรรมใช้สำหรับเอาค่าจ้างนับถอยหลังขึ้นไปสามเดือน และเป็นบุริมสิทธิมีอยู่เหนือดอกผลหรือสิ่งของที่ ประดิษฐ์ขึ้นอันเกิดแต่แรงงานของบุคคลนั้นๆ" หนี้ที่มีบุริมสิทธิพิเศษเหนือสังหาริมทรัพย์ในมูลค่าแรงานกสิกรรมหรืออุตสาหกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา 272 ได้แก่ หนี้ของลูกจ้างในมูลค่าแรงงานที่ได้เพื่อกสิกรรมและอุตสาหกรรม โดยในกรณีลูกจ้างที่ ได้ทำการงานกสิกรรมจะมีบุริมสิทธิในมูลหนี้ค่าจ้างนับถอยหลังขึ้นไป 1 ปี ส่วนลูกจ้างที่ได้ทำการงานอุตสาหกรรม จะมีบุริมสิทธิในมูลหนี้ค่าจ้างนับถอยหลังขึ้นไป 3 เดือนบุริมสิทธิพิเศษเหนือสังหาริมทรัพย์ในมูลค่าแรงงานกสิกร รมหรือ อุตสาหกรรมนั้นจะมีอยู่เหนือสังหาริมทรัพย์ อันได้แก่ ดอกผลหรือสิ่งของที่ประดิษฐ์ขึ้นอันเกิดแต่แรงงาน ของลูกจ้างนั้น 3.2.2 บุริมสิทธิพิเศษเหนืออสังหาริมทรัพย์ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 273 บัญญัติว่า ถ้าหนี้มี อยู่เป็นคุณแก่บุคคลผู้ใดในมูลอย่างหนึ่งอย่าง ใดดังกล่าวต่อในนี้ บุคคลผู้นั้นย่อมมีสิทธิ เหนืออสังหาริมทรัพย์เฉพาะอย่างของลูกหนี้ คือ (1 ) รักษาอสังหาริมทรัพย์ (2) จ้างทำของเป็นการงานทำขึ้นบนอสังหาริมทรัพย์ (3) ซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 273 อสังหาริมทรัพย์มี 3 ประเภท ดังนี้
13 1. รักษาอสังหาริมทรัพย์ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 274 บัญญัติว่า "บุริมสิทธิในมูลรักษาอสังหาริมทรัพย์นั้น ใช้สำหรับเอาค่าใช้จ่ายเพื่อรักษาสังหาริมทรัพย์ และ อยู่เหนืออสังหาริมทรัพย์อันนั้น" อนึ่ง บทบัญญัติแห่งมาตรา 269 วรรคสองนั้น ท่านให้นำมาใช้บังคับ กรณีที่กล่าวมาในวรรคก่อนนี้ด้วย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 269 วรรคสอง บัญญัติว่า อนึ่งบุริมสิทธินี้ยังใช้สำหรับเอาค่าใช้จ่ายที่ จำเป็นอันได้เสียไปเพื่อที่จะสงวนสิทธิ หรือ รับสภาพสิทธิ หรือบังคับสิทธิอันเกี่ยวด้วยสังหาริมทรัพย์นั้นอีกด้วย" หนี้ที่มีบุริมสิทธิพิเศษเหนืออสังหาริมทรัพย์ในมูลรักษาอสังหาริมทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 274 ได้แก่ 1. ค่าใช้จ่ายเพื่อรักษาสังหาริมทรัพย์ไว้ในทางกายภาพ 2. ค่าใช้จ่ายเพื่อรักษาสังหาริมทรัพย์ในกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็น การสงวนสิทธิหรือรับสภาพสิทธิ หรือบังคับสิทธิ อัน เกี่ยวด้วยสังหาริมทรัพย์นั้น เช่น การจัด การฟ้อง เป็นต้น บุริมสิทธิพิเศษเหนือสังหาริมทรัพย์ในอสังหาริมทรัพย์นั้นจะมีอยู่เหนืออสังหาริมทรัพย์ รักษาไว้ (2) จ้างทำของเป็นการงานทำขึ้นบนอสังหาริมทรัพย์ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 275 บัญญัติว่า "บุริมสิทธิในมูลจ้าง ขอเป็นการงานทำขึ้นบน อสังหาริมทรัพย์นั้น ใช้สำหรับเอาสินจ้าง คำทำของเป็นการงานอันผู้ก่อสร้าง ลถาปนิค หรือผู้รับจ้างได้ทำลงบน อสังหาริมทรัพย์ของ ลูกหนี้ และมีอยู่เหนืออสังหาริมทรัพย์อันนั้น อนึ่งบุริมสิทธินี้ย่อมเกิดมีขึ้นต่อเมืออสังหาริมทรัพย์นั้นมีราคา เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน เพราะการที่ใด้ทำขึ้นนั้นและมีอยู่ เพียงเหนือราคาที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น หนี้ที่มีบริมสิทธิพิเศษเหนืออสังหาริมทรัพย์ในมลจ้างทำของเป็นการ งานทำขึ้น บนอสังหาริมทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย์ มาตรา275 ได้แก่ มูลหนี้สินจ้างคำทำของที่ผู้ก่อสร้าง สถาปนิก หรือผู้รับข้างได้ทำลงบนอสังหาริมทรัพย์นั้น โดยบุริมลิทธินี้ย่อมเกิดมีขึ้นต่อเมื่ออสังหาริมทรัพย์นั้นมี ราคาเพิ่มขึ้นในปัจจุบัน เพราะการที่ได้ทำขึ้นนั้น เช่นสร้างบ้านลงบนที่ดินแล้วทำให้ราคาที่ดินนั้นเพิ่มสูงขึ้น เป็นตัน (3) ซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย์ มาตรา 276 บัญญัติว่า "บุริมสิทธิในมูลซื้อขายอสังหาริมทรัพย์นั้นใช้สำหรับเอา ราคาอสังหาริมทรัพย์และดอกเบี้ย ในราคานั้น และมีอยู่เหนืออสังหาริมทรัพย์อันนั้น"
14 หนี้ที่มีบุริมสิทธิพิเศษเหนืออสังหาริมทรัพย์ในมูลซื้อขาย อสังหาริมทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 276 ได้แก่หนี้ที่ผู้ซื้อจะต้อง ชำระแก่ผู้ขาย อันได้แก่ราคาที่ผู้ซื้อยังไม่ชำระและดอกเบี้ย บุริมสิทธิพิเศษ เหนืออสังหาริมทรัพย์ในมูลซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ นั้น จะมีอยู่เหนืออสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อขายนั้น ตัวอย่าง นายดำได้ทำสัญญาขายที่ดินให้นายแดง หากนายแดงได้รับ โอนกรรมสิทธิในที่ดินนั้นไปแล้ว แต่ไม่ชำระ ราคาค่าที่ดินนายดำย่อมมีบุริมสิทธิเหนือที่ดิน ในมูลหนี้ค่าที่ดินและดอกเบี้ยนั้น เป็นตัน 4.ลำดับแห่งบุริมสิทธิ หลักเกณฑ์ในการจัดลำดับแห่งบุริมสิทธิมีดังนี้ 4.1 ระหว่างบุริมสิทธิสามัญด้วยกัน ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย์ มาตรา 277 วรรคแรก บัญญัติว่า "เมื่อมีบุริมสิทธิสามัญหลายรายแย้งกันท่าน ให้ถือว่าบุริมสิทธิทั้งหลายนั้นมีสำคับที่จะให้ผลก่อนหลัง ดังที่ได้เรียงลำดับไว้ในมาตรา 253 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 277 วรรคแรก และมาตรา 253 บุริมสิทธิสามัญเป็นไปตามลำดับ ก่อนหลัง ดังนี้ (1 ) ค่าใช้จ่ายเพื่อประโยชน์อันร่วมกัน (2) ค่าปลงศพ (3) ค่าภาษีอากร และเงินที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับเพื่อการงานที่ได้ทำให้แก่ลูกหนี้ซึง (4) ค่าเครื่องอุปโภคบริโภคนจำเป็นประจำวัน เป็นนายจ้าง 4.2 ระหว่างบุริมสิทธิสามัญกับบุริมสิทธิพิเศษ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 277 วรรคสอง บัญญัติว่า "เมื่อมีบุริมสิทธิสามัญแย้งกับบุริมสิทธิพิเศษ ท่านว่าบุริมสิทธิพิเศษย่อมอยู่ในลำดับก่อน แต่บุริมสิทธิในมูลค่าใช้จ่ายเพื่อประโยชน์ร่วมกันนั้น ย่อมอยู่ในลำดับ ก่อนในฐานที่จะใช้สิทธินั้นต่อเจ้าหนี้ผู้ใด้รับประโยชน์จากการนั้นหมดทุกคนด้วยกัน" ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 277 วรรคสอง หมายความว่า ใน ระหว่างบุริมสิทธิสามัญกับบุริมสิทธิ พิเศษ บุริมสิทธิพิเศษย่อมอยู่ในลำดับก่อนบุริมสิทธิสามัญ เว้นแต่บุริมสิทธิสามัญในมูลค่าใช้จ่ายเพื่อประโยชน์ ร่วมกันนั้น ย่อมอยู่ในลำดับก่อนบุริมสิทธิพิเศษ
15 4.3 ระหว่างบุริมสิทธิพิเศษเหนือสังหาริมทรัพย์ด้วยกัน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 278 วรรคแรก บัญญัติว่า "เมื่อมีบุริมสิทธิแย้งกันหลายรายเหนือ อสังหาริมทรัพย์อันหนึ่งอันเดียวกันท่านให้ถือลำดับก่อนหลัง ดังที่เรียงไว้ต่อไปนี้ คือ (1) บุริมสิทธิในมูลเช่าอสังหาริมทรัพย์ พักอาศัยในโรงแรมและรับขน (2) บุริมสิทธิในมูลรักษาสังหาริมทรัพย์ แต่ถ้ามีบุคคลหลายคนเป็นผู้รักษา ท่านว่าผู้ที่รักษาภายหลังอยู่ในลำดับ ก่อนผู้ที่ใด้รักษามาก่อน (3) บุริมสิทธิในมูลซื้อขายสังหาริมทรัพย์ ค่าเมล็ดพันธุ์ ไม้พันธุ์ หรือปุ๋ย และ ค่าแรงงานกสิกรรมและอุตสาหกรรม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 278 วรรคแรก ลำดับแห่ง บุริมสิทธิพิเศษเหนือสังหาริมทรัพย์ ด้วยกันมิได้เป็นไปตามลำดับก่อนหลังเหมือนกับลำดับ แห่งบุริมสิทธิสามัญ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 277 วรรคหนึ่ง ประกอบ มาตรา 253 แต่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 278 ได้กำหนดลำดับ แห่ง บุริมสิทธิพิเศษเหนือสังหาริมทรัพย์ไว้ตามลำดับก่อนหลังดังนี้ 1. บุริมสิทธิพิเศษเหนือสังหาริมทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 2. บุริมสิทธิพิเศษเหนือสังหาริมทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 259 (4) แต่ถ้ามีบุคคลหลาย คนเป็นผู้รักษาผู้ที่รักษาภายหลังอยู่ในลำดับ พาณิชย์ มาตรา 259 (1), (2), (3) ก่อนผู้ที่ได้รักษามาก่อน 3. บุริมสิทธิพิเศษเหนือสับหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์ มาตรา 259 (5), (6),(7) นอกจากนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 278 วรรคสองและวรรคท้ายยังได้กำหนดหลักเกณฑ์ ยกเว้นลำดับแห่งบุริมสิทธิทั้งสามลำดับตามที่กำหนดไว้ใน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 278 วรรค แรก อีก 2 ประการ คือ 3.1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 278 วรรคสอง บัญญัติว่า "ถ้าบุคคลผู้ใดมีบุริมสิทธิอยู่ใน ลำดับเป็นที่หนึ่งและรู้อยู่ในขณะที่ตนได้ประโยซน์แห่งหนี้มานั้น ว่ายังมีบุคคลนซึ่งมีบุริมลิทธิอยู่ในลำดับที่สองหรือ ที่สามไซร้ ท่านห้ามมิให้บุดคลผู้นั้นใช้สิทธิในการที่ตนอยู่ในลำดับก่อนนั้นต่อบุคคลอื่นเช่นว่ามา และท่านห้ามมิให้ ใช้สิทธินี้ต่อผู้ที่ได้รักษาทรัพย์ไว้เพื่อประโยชน์แก่บุคคลผู้มีบุริมสิทธิในลำดับที่หนึ่งนั้นเองด้วย" ถ้าผู้ที่มีบุริมสิทธิอยู่ในลำดับเป็นที่หนึ่ง ได้รู้อยู่ในขณะที่ตนได้ประโยชน์แห่ง หนี้มานั้นว่ายังมีผู้อื่นซึงมีบุริมสิทธิอยู่ ในลำดับที่สองหรือที่สาม ดังนี้ผู้อื่นซึ่งมีบุริมสิทธิอยู่ใน ลำดับที่สองหรือที่สามย่อมมีสิทธิดีกว่าผู้ที่มีบุริมสิทธิอยู่ใน
16 ลำดับที่หนึ่ง เช่น นายดำซื้อกล้องถ่ายรูปจากนายแดงและยังค้างชำระราคาแก่นายแดงอยู่ ต่อมานายดำได้ไปเช่า บ้านของนายขาวและค้างชำระค่าเช่า ดังนี้ นายแดงย่อมมีบุริมสิทธิในมูลซื้อขายสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็น บุริมลิทธิในลำดับที่สาม ส่วนนายขาวในมูล อสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็น บุริมสิทธิในลำดับที่หนึ่ง ซึ่งหากนายชาวได้รู้ว่ายังมีนายแดงที่มีบุริมสิทธิอยู่ในลำดับที่สาม นายแดงย่อมมีสิทธิดีกว่านายขาว นอกจากนั้น ผู้ที่รักษาทรัพย์เพื่อประโยชน์แก่บุคคลผู้ที่หนึ่ง ย่อมมีสิทธิดีกว่าผู้มีบุริมสิทธิในลำดับที่หนึ่ง 3.2. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 278 วรรคท้าย บัญญัติว่า "ในส่วนตลาดท่านให้บุคคลผู้ได้ทำ การงานกสิกรรม ในลำดับที่หนึ่งผู้ส่งเมล็ดพันธุ์ ไม้พันธุ์ หรือปุ๋ย อยู่ในลำดับที่สอง และให้ผู้เช่าที่ดินอยู่ในลำดับที่ เกาะในส่วนดอกของที่ดิน ให้เรียงสำดับบุริมสิทธิ คือ 1.ผู้ได้ทำการงานกสิกรรม 2.ผู้ส่งเมล็ดพันธุ์ ไม้พันธุ์หรือปุ๋ย 3. ผู้เช่าที่ดิน 4.4 ระหว่างบุริมสิทธิพิเศษเหนืออสังหาริมทรัพย์ด้วยกัน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 279 บัญญัติว่า "เมื่อมีสิทธิพิเศษแย้งกันหลายรายเหนืออสังหาริมทรัพย์ อันหนึ่งอันเดียวกัน ท่านให้ถือลำดับก่อนหลังดังที่ได้เรียงลำดับไว้ในมาตรา 273 ถ้าได้ซื้อขายอสังหาริมทรัพย์นั้นรีบต่อกันไปอีก ผู้ขายด้วยกันนั้น ท่านให้เป็นไปตามลำตับที่ได้ซื้องานก่อนและหลัง" ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 273 วรรคแรก ได้กำหนดลำดับแห่ง บุริมสิทธิพิเศษเหนือ สังหาริมทรัพย์ได้ลำดับก่อนหลังตามที่ได้เรียงลำดับไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 273 กล่าวคือ 1. รักษาอสังหาริมทรัพย์ 2. จ้างทำของเป็นการงานทำขึ้นบนอสังหาริมทรัพย์ 3. ซื้อขาย สังหาริมทรัพย์ 4.5 ระหว่างบุริมสิทธิที่อยู่ในลำดับเดียวกัน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 280 บัญญัติว่า "เมื่อบุคคลหลายคนมีบุริมสิทธิในลำดับเสมอกันเหนือ ทรัพย์อันหนึ่งอันเดียวกัน ท่านให้ต่างคนต่างได้รับชำระ หนี้เฉลี่ยตามส่วนมากน้อยแห่งจำนวนที่ตนเป็นเจ้าหนี้"
17 หลักประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 280 เป็นกฎหมายทั่วไป กล่าวคือ เจ้าหนี้ที่มีบุริมสิทธิอยู่ในลำดับ เดียวกัน ย่อมได้รับชำระหนี้เฉลี่ยตามส่วนมากน้อย แห่งจำนวนที่ตนเป็นเจ้าหนี้ ตัวอย่างที่ 1 นาย ก. และนาย ข. ต่างเป็นเจ้าหนี้ค่าเครื่องอุปโภคบริโภค อันจำเป็นประจำวัน นาย ก. และนาย ข.จึงเป็นเจ้าหนี้ ที่มีบุริมสิทธิอยู่ในลำดับเดียวกัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 253 (4) จึงมีสิทธิได้รับชำระหนี้ เฉลี่ยตามส่วนมากน้อยแห่งจำนวนที่ตนเป็นเจ้าหนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 280 ตัวอย่างที่ 2 เจ้าหนี้ในมูลเช่าอสังหาริมทรัพย์ พักอาศัยในโรงแรมและรับขน เป็นเจ้าหนี้ที่มีบุริมสิทธิอยู่ในลำดับเดียวกันตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 278 (1) จึงมีสิทธิได้รับชำะหนี้เฉลี่ยตามส่วนมากน้อยแห่งจำนวนที่ตน เป็นเจ้าหนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 280 5. ผลแห่งบุริมสิทธิ ในเรื่องผลแห่งบุริมสิทธิสามารถอธิบายได้ดังนี้ 5.1. ผลเกี่ยวกับความสมบูรณ์แห่งสิทธิ หมายความว่าบุริมสิทธินั้นจะมีผลสมบูรณ์ บังคับได้เมืjออยู่ภายใต้ หลักเกณฑ์ดังนี้ 5.1.1 กรณีบุริมสิทธิอันมีอยู่เหนือสังหาริมทรัพย์ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 281 บัญญัติว่า "บุริมสิทธิอันมีอยู่เหนือสังหาริมทรัพย์นั้น ท่านห้ามมิให้ใช้เมื่อบุคคลภายนอกได้ทรัพย์นั้นจากลูกหนี้ และได้ส่งมอบ ทรัพย์ให้กันไปเสร็จแล้ว" ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 281 หมายความว่า บุริมสิทธิอันมีอยู่เหนือสังหาริมทรัพย์นั้นไม่ว่า จะเป็นบุริมสิทธิสามัญหรือบุริมสิทธิพิเศษเหนือสังหาริมทรัพย์ จะมีผลบังคับได้ก็ต่อเมื่อกรรมสิทธิในทรัพย์สินนั้น ยังคงเป็นของลูกหนี้อยู่แต่หากบุคคลภายนอกได้ทรัพย์นั้นจากลูกหนี้คือ กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นได้โอนไปเป็น ของบุคคลภายนอกแล้วและได้มีการส่งมอบทรัพย์ให้กันไปเสร็จแล้ว บุริมสิทธิอันมีอยู่เหนือสังหาริมทรัพย์ย่อมไม่ อาจบังคับได้
18 ตัวอย่างที 1 นายแดงทำสัญญาชายรถยนต์ให้แก่นายดำ โดยนายดำค้างชำระค่ารถยนต์อยู่ ต่อมานายดำทำสัญญาขายรถยนต์ คันนี้ให้แก่นายขาวกรรมสิทธิ์ในรถยนต์จึงได้โอนไปเป็นของนายขาวทันทีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 458 และเมื่อได้ส่งมอบรถยนต์ให้นายขาวแล้ว ดังนี้ นายแดงย่อมไม่มีบุริมสิทธิพิเศษเหนือรถยนต์ คันนี้ ตัวอย่างที 2 แดงทำสัญญาขายรถยนต์ให้แก่นายดำ โดยนายดำค้าง ชำระค่ารถยนต์อยู่ ต่อมานายดำทำสัญญาขายรถยนต์คันนี้ กรรมสิทธิ์ในรถยนต์จึงได้โอนไปเป็นของนายขาวทันทีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 458 แต่เมื่อ ยังไม่ได้ส่งมอบรถยนต์ให้นายขาวนายแดงจึงยังคงมีบุริมสิทธิพิเศษเหนือรถยนต์คันนี้ 5.1.2 กรณีบุริมสิทธิอันมีอยู่เหนืออสังหาริมทรัพย์ 1. บุริมสิทธิสามัญเหนืออสังหาริมทรัพย์ ประมวกฎหมายแห่งและพาณิชย์มาตรา 284 บัญญัติว่า "บุริมสิทธิ ถึงแม้จะมิได้ไปลงทะเบียนเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ก็ดี ย่อมจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้เจ้าหนี้ใด ๆ ที่ไม่มีหลักประกัน พิเศษนั้นได้แต่ความที่กล่าวนี้ท่านมิให้ใช้ไปถึงการ ต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้ไปลงทะเบียนสิทธิไว้ตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 284 หมายความว่า บุริมสิทธิสามัญนั้นย่อมมีผลสมบูรณ์บังคับได้ ถึงแม้จะมิได้ ไปลงทะเบียนเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์นั้นก็ตาม 2. บุริมสิทธิพิเศษเหนืออสังหาริมทรัพย์ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 285 บัญญัติว่า "บุริมสิทธิในมูลรักษาอสังหาริมทรัพย์นั้นถ้าหากว่าเมื่อ ทำการเพื่อบำรุงรักษานั้นสำเร็จแล้ว ไปบอกลงทะเบียนไว้โดยพลันไซร้ บุริมสิทธิก็คงให้ผลต่อไป" ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 286 บัญญัติว่า บุริมสิทธิใหมูลจ้างทำของเป็นการงานทำขึ้นบน อสังหาริมทรัพย์นั้นหากทำรายการประมาณราคาชั่วคราวไปบอกลงทะเบียนไว้ก่อนเริ่มลงมือการทำไซร้ บุริมสิทธิก็ คงให้ผลต่อไป แต่ถ้าราคาที่ทำจริงนั้นราคาที่ได้ประมาณไว้ชั่วคราวท่านว่าบุริมสิทธิในส่วนจำนวน ที่ล้ำอยู่นั้นหามี ไม่ ส่วนการที่จะวินิจฉัยว่าอสังหาริมทรัพย์นั้นมีราคาเพิ่มขึ้น เพราะการอันได้ทำขึ้นบนอสังหาริมทรัพย์มากน้อย เพียงใดนั้นท่านให้ศาลตั้งแต่งผู้เชี่ยวชาญขึ้นเป็นผู้กะประมาณ ในเวลาที่มีแย้งขัดในการแบ่งเฉลี่ย
19 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 288 บัญญัติว่า "บุริมสิทธิในมูลซื้อขายอสังหาริมทรัพย์นั้นหากว่าเมื่อไป ลงทะเบียนสัญญาซื้อขายนั้น บอกลงทะเบียนไว้ด้วยว่าราคาหรือดอกเบี้ยในราคานั้นยังมิได้ชำระไซร้ บุริมสิทธินั้นก็ คงให้ผล ต่อไป" ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย์ มาตรา 289 บัญญัติว่า "ว่า ถึงผลแห่งบุริมสิทธินอกจากที่ได้บัญญัติไว้ในมาตรา 281 ถึง มาดรา 288 นี้แล้ว ท่านให้นำบทบัญญัติทั้งหลายแห่งลักษณะจำนองมาใช้บังคับด้วยตามแต่กรณี ประมวลกฎหมายแพ่และพาณิชย์ มาตรา 285 มาตรา 286 และมาตรา 288 หมายความว่าบุริมสิทธิพิเศษเหนือ อสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 273 ทั้ง 3 ประเภท จะมีผลลมบูรณ์ทะเบียน บุริมสิทธิพิเศษเหนืออสังหาริมทรัพย์แล้ว 5.2. ผลในการบังคับชำระหนี้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 283 บัญญัติว่า " บุคคลมีบุริมสิทธิสามัญต้องรับชำระหนี้เอาจาก สังหาริมทรัพย์ของลูกหนี้ก่อนต่อเมื่อยังไม่พอจึงให้เอาชำระหนี้จากอสังหาริมทรัพย์ใด้ ในส่วนอสังหาริมทรัพย์นั้น ก็ต้องรับชำระหนี้เอาจากอสังหาริมทรัพย์อันมิได้ ตกอยู่ในฐานเป็นหลักประกัน พิเศษเสียก่อนถ้าบุคคลใดมีบุริมสิทธิสามัญและละเลยด้วยความประมาทเลินเล่อ ไม่สอดเข้า แย้งขัดในการแบ่ง เฉลี่ยทรัพย์ตามความที่กล่าวมาในวรรคทั้งสองข้างบนนี้ไซร้ อันบุคคลนั้นจะใช้บุริมสิทธิของตนต่อบุคคลภายนอกผู้ ได้จดทะเบียนสิทธิไว้แล้วเพื่อจะเอาใช้จนถึงขนาด เช่นที่ตนจะหากได้รับเพราะได้สอดเข้าแย้งขัดนั้นท่านว่าหา อาจจะใช้ได้ไม่ อนึ่งบทบัญญัติที่กล่าวมาในวรรคทั้งสามข้างต้นนี้ ท่านมีไห้ใช้บังคับหากว่าเงินที่ขายอสังหาริมทรัพย์ได้นั้นจะพึ่ง ต้องเอามาแบ่งเฉลี่ยก่อนเงินที่ขายทรัพย์สินอย่างอื่นก็ดีหรือหากว่าเงินที่ขายอสังหาริมทรัพย์อันตกอยู่ในฐานเป็น หลักประกันพิเศษนั้นจะพึงต้องเอามาแบ่งเฉลี่ยก่อนเงินที่ขายอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่นก็ดุจกัน" ในกรณีการบังคับชำระหนี้ของผู้มีบุริมสิทธิพิเศษนั้น ผู้มีบุริมสิทธิพิเศษย่อมบังคับเราจากทรัพย์สินเฉพาะสิ่งเฉพาะ อย่างของลูกหนี้ แต่กรณีของผู้มีบุริมสิทธิสามัญนั้นแม้โดยหลักแล้ว ผู้มีบุริมสิทธิสามัญจะมีสิทธิบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินทุกชนิด ของลูกหนี้แต่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 283 ก็ได้กำหนดลำดับของการบังคับ ชำระหนี้จาก ทรัพย์สินของลูกหนี้ไว้ ดังนี้
20 1. ผู้มีบุริมสิทธิสามัญต้องบังคับชำระหนี้เอาจากสังหาริมทรัพย์ของลูกหนี้ก่อนเมื่อยังไม่พอจึงบังคับชำระหนี้เอา จากอสังหาริมทรัพย์ได้ 2. ในส่วนสังหาริมทรัพย์นั้น ผู้มีบุริมสิทธิสามัญต้องบังคับชำระหนี้เอาจากอสังหาริมทรัพย์ที่มิได้ตกอยู่ในฐานะเป็น หลักประกันพิเศษ คือการจำนองเสียก่อน 3. ในกรณีที่มีการบังบคดีตามที่เข้าหนี้ร้ายอื่นได้ฟ้องคดีไว้ ถ้าผู้มีบุริมสิทธิสามัญละเลยด้วยความประมาทเลินเล่อ ไม่สอดเข้าแย้งขัดในการแบ่งเฉลี่ยทรัพย์เพื่อขอรับชำระหนี้ของตน ผู้มีบุริมสิทธิสามัญนั้นจะใช้บุริมสิทธิของตนต่อ เจ้าหนี้รายอื่นที่ใด้จดทะเบียนสิทธิไว้แล้วไม่ได้ 4. ในกรณีที่มีการบังคับคดีจากอสังหาริมทรัพย์หรืออสังหาริมทรัพย์ที่ติดจำนอง ตามที่เจ้าหนี้รายนี้ได้ฟ้องคดีไว้ ผู้มีบุริมสิทธิสามัญไม่ต้องใช้บุริมสิทธิเรียงตามลำดับดังกล่าว ข้างต้น แต่ลามารถขอรับการเฉลี่ยทรัพย์จาก อสังหาริมทรัพย์นั้นได้ทันที 5.3. ผลในการใช้ยันเจ้าหนี้ผู้มีหลักประกันพิเศษ การเป็นเจ้าหนี้ผู้มีบุริมสิทธิเกิดจากผลของกฎหมาย ส่วนการเป็นเจ้าหนี้ผู้มีหลักประกันพิเศษ เช่น จำนำ จำนอง ฯลฯ เกิดขึ้นจากสัญญา แต่อย่างไรก็ดี ทั้งเจ้าหนี้ผู้มีบุริมสิทธิและเข้าหนี้ผู้มีหลักประกันพิเศษต่างก็มีสิทธิได้รับ ชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้สามัญ เช่นเดียวกัน ดังนั้นในส่วนนี้จะเป็นการอธิบายว่าในระหว่างเจ้าหนี้ผู้มีบุริมสิทธิและ เจ้าหนี้ผู้ มีหลักประกันพิเศษใครมีสิทธิดีกว่ากัน 5.3.1 กรณีจำนำ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 282 บัญญัติว่า "เมื่อมีบุริมสิทธิแย้งกับสิทธิจำนำสังหาริมทรัพย์ท่านว่า ผู้รับจำนำย่อมมีสิทธิเป็นอย่างเดียวกันกับผู้ทรงบุริมสิทธิในลำตับที่หนึ่งดังที่เรียงไว้ในมาตรา 278 นั้น" ดังนั้น ผู้รับจำนำจึงมีสิทธิ เท่ากับผู้มีบุริมสิทธิในมูลเช่าอสังหาริมทรัพย์ พักอาศัยในโรงแรมและรับขน และเมื่อผู้ที่มี บุริมสิทธิในมูลเช่าอสังหาริมทรัพย์ พักอาศัยในโรงแรมและรับขนซึ่งเป็นผู้มีบุริมสิทธิพิเศษมี สิทธิดีกว่าผู้มีบุริมสิทธิ สามัญตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 277 วรรคสอง ผู้รับจำนำจึงมีสิทธิดีกว่าผู้ที่มีบุริมสิทธิสามัญ
21 5.3.2 กรณีจำนอง 1. บุริมสิทธิสามัญ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 284 บัญญัติว่า "บุริมสิทธิสามัญนั้น ถึงแม้จะมิได้ไปลงทะเบียนเกี่ยว ด้วยอสังหาริมทรัพย์ก็ดีย่อมจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้เจ้าหนี้ใดๆ ที่ไม่มีหลักประกันพิเศษนั้นได้ แต่ความที่กล่าวนี้ท่านมิ ให้ใช้ไปถึงการต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ใด้ไปลงทะเบียนสิทธิไว้" ดังนั้น เจ้าหนี้จำนองจึงมีสิทธิดีกว่าเข้าหนี้ ผู้มีบุริมสิทธิสามัญ 2. บุริมสิทธิพิเศษเหนืออสังหาริมทรัพย์นมูลรักษาอสังหาริมทรัพย์และในมูลจ้างทำของเป็นการงานทำขึ้นบน อสังหาริมทรัพย์ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 287 บัญญัติว่า "บุริมสิทธิใดได้ไปจดลงทะเบียนแล้วตามบทบัญญัติแห่ง มาตราทั้งสองข้างบนนี้บุริมสิทธินั้น ท่านว่าอาจจะใช้ได้ก่อนสิทธิจำนอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 287 หมายความว่า บุริมสิทธิพิเศษเหนืออสังหาริมทรัพย์ในมูล รักษาอสังหาริมทรัพย์และในมูลจ้างทำของเป็นการงานทำขึ้นบนอสังหาริมทรัพย์ ที่ได้ไปจดลงทะเบียนแล้วตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 285 และมาตรา 286 นั้นมีสิทธิดีกว่าสิทธิจำนอง ไม่ว่าจะบุริมสิทธิ พิเศษนั้นจะได้ไปจดทะเบียนก่อนหรือหลังการจดทะเบียนจำนองก็ตาม 3. บุริมสิทธิพิเศษเหนืออสังหาริมทรัพย์ในมูลขายอสังหาริมทรัพย์ สำหรับในกรณีนี้เมื่อไม่มีบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 281 ถึงมาตรา 288 กำหนดไว้ โดยเฉพาะจึงต้องนำบทบัญญัติทั้งหลายแห่งลักษณะจำนองมาใช้บังคับ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 289 กล่าวคือ ต้องนำ ประมวลกฎหมายแพ่งและพณิชย์ มาตรา 790 บัญญัติว่า "เมื่อทรัพย์สินอันหนึ่งอัน เดียวได้จำนองแก่ผู้รับจำนองหลายคนด้วยกัน ท่านให้ผู้รับจำนองเรียงตามวันและเวลาจดทะเบียน และผู้รับจำนอง คนก่อนจักได้รับใช้หนี้ก่อนผู้รับจำนองคนหลัง พิจารณาว่าเจ้าหนี้ผู้มีบุริมสิทธิพิเศษเหนืออสังหาริมทรัพย์ในมูลซื้อขายอสังหาริมทรัพย์หรือเจ้าหนี้ผู้รับจำนองจด ทะเบียนสิทธิก่อนกัน เจ้าหนี้นั้นมีสิทธิดีกว่า
22 ความระงับแห่งหนี้ ความระงับหนี้บัญญัติอยู่ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 2 หมวดที่ 5 ความระงับหนี้ทำให้หนี้ที่ มีอยู่นั้นสิ้นผลบังคับไป เจ้าหนี้จึงไม่อาจอ้างอำนาจแห่งหนี้ เพื่อใช้สิทธิใด ๆ เช่น ยึดหน่วงทรัพย์ หรือฟ้องร้องบัง ดับให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้สำหรับลูกหนี้ร่วมคนหนึ่งชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ ในส่วนของลูกหนี้ร่วมและเจ้าหนี้คนนั้นหนี้ ก็ระงับไป แต่ในส่วนของลูกหนี้อีกคนหนึ่งก็จะถูกลูกหนี้รวมคนที่ชำระหนี้นั้นไล่เบี้ยได้เพราะฉะนั้นในส่วนของ ลูกหนี้คนที่ถูกไล่เบี้ยจะอ้างว่าไม่ต้องชำระหนี้อีกแล้วคงไม่ได้ในกรณีแปลงหนี้ใหม่โดยเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้หรือโอน สิทธิเรียกร้อง เมื่อเจ้าหนี้โอนสิทธิเรียกร้องไปให้แก่เจ้าหนี้คนใหม่ ลูกหนี้ก็คงอ้างไม่ได้ว่าลูกหนี้สิ้นความผูกพันไป เพราะลูกหนี้ยังต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้คนใหม่อยู่นอกจากความระงับหนี้ที่ทำให้หนี้นั้นสิ้นความผูกพันไป ก็ยังมีเหตุอื่น อีกหลายประการ ที่ทำให้หนี้นั้นไม่สามารถที่จะบังคับได้หรือว่าไม่มีความผูกพันที่จะต้องรับผิดตามหนี้สิน บาง มาตราก็ใช้คำว่าลูกหนี้เป็นอันหลุดพันจากหนี้ เช่น การชำระหนี้เป็นพันวิสัยตามมาตรา 217 ถึง 219 การเลิก สัญญาเท่ากับว่ามูลแห่งหนี้นั้นถูกทำลายไป หนี้ตามสัญญานั้นก็ไม่มีความผูกพันจะต้องชำระ แต่ยังมีผลตามมาตรา 381 ที่ต้องให้คู่กรณีกลับคืนสู่ฐานะ ความระงับแห่งหนี้หรือสิ้นสุดความผูกพันในหนี้ลงได้โดยอาศัยเหตุต่าง ๆ ซึ่งบัญญัติไว้ในมาตรา 315-353 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 2 หมวดที่ 5 ว่าด้วยความระงับแห่งหนี้ ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 5 กรณี คือ 1. การชำระหนี้ 2. ปลดหนี้ 3. หักกลบลบหนี้ 4. แปลงหนี้ใหม่ 5. หนี้เกลื่อนกลืนกัน 1.การชำระหนี้ การชำระหนี้อันจะมีผลทำให้หนี้ระงับได้นั้น ต้องเป็นการชำระหนี้โดยสิ้นเชิงหรือทั้งหมดโดยลูกหนี้ต้องปฏิบัติการ ชำระหนี้ให้ถูกต้องตามความประสงค์ที่แท้จริงของมูลหนี้และเมื่อเจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ไว้โดยถูกต้องแล้ว หนี้นั้นก็ เป็นอันระงับไป 1.1 ผู้ชำระหนี้มีหลักทั่วไปอยู่ในมาตรา 314 ผู้มีอำนาจชำระหนี้ได้แก่บุคคลดังต่อไปนี้
23 1.1.1. ตัวลูกหนี้ 1.1.2. ผู้มีส่วนได้เสียในการชำระหนี้ เช่น ผู้ค้ำประกัน ลูกหนี้ร่วม 1.1.3. บุคคลภายนอก (มาตรา 314) เป็นผู้ชำระหนี้แทนได้ แต่มีข้อจำกัดว่า บุคคลภายนอกจะมาชำระหนี้ ไม่ได้ 3 ประการคือ ก. สภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้ คือ เป็นเรื่องเฉพาะตัวของลูกหนี้เท่านั้นที่จะทำได้ เช่น จ้างร้องเพลง ข. ขัดกับเจตนาอันคู่กรณีได้แสดงไว้ เมื่อคู่กรณีตกลงห้ามบุคคลภายนอกชำระแทนก็ต้องบังคับตามเจตนา ค. เมื่อเป็นการขืนใจลูกหนี้ คือลูกหนี้ไม่ประสงค์จะให้บุคคลภายนอกชำระแทนเพราะอาจเป็นเรื่องเกี่ยวกับ เกียรติยศชื่อเสียงของลูกหนี้ที่ไม่ต้องการให้ผู้อื่นซึ่งไม่มีส่วนได้เสียอะไรในหนี้เข้ามาใช้หนี้แทนตน คำพิพากษาฎีกาที่ 1393/3536 จำเลยเป็นแต่เพียงทายาทโดยธรรมแต่ไม่ได้เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ดังนั้นแม้จำเลยจะทำหนังสือยอมรับ ชำระหนี้สินต่าง ๆ ของผู้ตายให้แก่โจทก์จนครบถ้วนก็ตาม แด่ความรับผิดของจำเลขในฐานะทายาทเกี่ยวกับหนี้สิน ของผู้ตายไม่จำต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตกทอดได้แก่ตน จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวหนี้อันหนึ่งอาจมี ลูกหนี้หลายคนได้ ทั้งเป็นลูกหนี้ร่วมหรือไม่ได้เป็นลูกหนี้ร่วมผู้ค้ำประกันหนี้อันใดก็ถือเสมือนเป็นลูกหนี้ของหนี้ ประธานด้วย จึงเป็นผู้มีสิทธิชำระหนี้ได้โดยชอบบุคคลภายนอกจึงหมายความถึงบุดคลอื่นนอกเหนือจากบุคคลที่ กล่าวข้างต้นบุคคลที่ลูกหนี้ตั้งให้เป็นตัวแทนหรือมอบหมายให้ทำการชำระหนี้ก็ถือว่าเป็นบุคคลภายนอกเช่นกัน 1.2 ผู้รับชำระหนี้โดยหลักแล้ว หนี้จะระงับก็ต่อเมื่อชำระต่อเจ้าหนี้ผู้มีอำนาจรับชำระหนี้คือ 2.1. ตัวเจ้าหนี้เอง และผู้มีอำนาจรับชำระหนี้แทน (มาตรา 315) 2.2. บุคคลอื่นที่อาจทำให้หนี้ระงับ การชำระหนี้แก่บุคคลผู้ไม่มีสิทธิรับชำระหนี้ นั้นจะมีผล ดังนี้ 1) ถ้าเจ้าหนี้ให้สัตยาบัน การชำระหนี้ก็สมบูรณ์ (มาตรา 315) 2) ถ้าไม่มีการให้สัตยาบัน จะสมบูรณ์เพียงเท่าที่เจ้าหนี้ได้ลาภงอกแต่การนั้น (มาตรา 317)
24 1.3 สถานที่ชำระหนี้(มาตรา 324) 1.3.1. หากคู่กรณีตกลงกันไว้อย่างไรก็เป็นตามนั้น เช่น ทำสัญญากู้ยืมเงินที่กรุงเทพฯ แต่คู่กรณีได้ตกลงกันให้ชำระ หนี้เงินกู้รายนี้ที่สุพรรณบุรีเมื่อหนี้นั้นถึงกำหนดชำระก็ต้องไปชำระกันที่สุพรรณบุรีตามที่ตกลงกันไว้ 1.3.2. ถ้าเป็นการส่งมอบทรัพย์เฉพาะสิ่ง ต้องส่งมอบกัน ณ สถานที่ซึ่งทรัพย์ได้อยู่ในเวลาเมื่อก่อให้เกิดหนี้ เช่น ใน กรณีซื้อวัวนม ถ้าในขณะทำสัญญาซื้อขาย วัวนมนั้นอยู่ในโรงวัวของนาย ก ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ผู้ขายก็ต้องส่ง มอบวัวนมแก่ผู้ซื้อที่โรงวัวของ นาย ก นั้น 1.3.3. การชำระหนี้โดยประการอื่น ลูกหนี้ต้องชำระหนี้ ณ สถานที่ซึ่งเป็นภูมิลำเนาของเจ้าหนี้ 1.4 หลักฐานแห่งการชำระหนี้ มีบัญญัติในมาตรา 326 และ 327 สรุปสาระสำคัญได้ดังต่อไปนี้ 1.4.1. ลูกหนี้มีสิทธิเรียกร้องให้ผู้รับชำระหนี้ออกใบเสร็จแสดงการรับชำระหนี้ได้ไม่ว่าจะเป็นการชำระหนี้ทั้งหมด หรือบางส่วน 1.4.2. หนี้ที่มีเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้ ถ้ามีการชำระหนี้สิ้นเชิง ผู้ชำระหนี้ชอบที่จะได้เวนคืนเอกสารอันเป็น หลักฐานแห่งหนี้ หรือให้ขีดฆ่าเอกสารนั้นเสีย 1.4.3. ถ้าเอกสารสูญหายไปและมีการชำระหนี้สิ้นเชิง ผู้ชำระหนี้จะขอให้จดแจ้งข้อความระงับหนี้ลงในใบเสร็จ, เอกสารอื่นต่างหากก็ได้ 1.4.4. ในกรณีที่ชำระดอกเบี้ยหรือชำระหนี้อย่างอื่นอันมีกำหนดชำระเป็นระยะเวลา เช่น ค่าเช่ารายเดือน ถ้า เจ้าหนี้ออกใบเสร็จให้เพื่อระยะหนึ่งโดยไม่อิดเอื้อน 1.4.5. ถ้าเจ้าหนี้ออกใบเสร็จให้เพื่อการชำระต้นเงิน ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเจ้าหนี้ได้รับดอกเบี้ยแล้ว 1.4.6. ถ้าเอกสารแห่งหนี้ได้เวนคืนแล้วต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าหนี้ระงับสิ้นไปแล้ว 1.5 การจัดสรรชำระหนี้มาตรา 328มาตรา 328 มีสาระสำคัญ ดังนี้คือ 1.5.1. ลูกหนี้มีหนี้หลายรายซึ่งจะต้องชำระแก่เจ้าหนี้ของตน เช่น นาย ก เป็นหนี้เงินกู้นาย ข แล้วต่อมา นาย ก ยังคงค้างค่าเช่าบ้าน นายข อีกเป็นต้น และการชำระหนี้หลายรายนั้นมีลักษณะเป็นการอย่างเดียวกัน เช่น กรณี ตามตัวอย่าง ทั้งนี้เงินกู้และหนี้ค่าเช่าบ้านเป็นการใช้เงินจึงมีลักษณะอย่างเดียวกัน 1.5.2. การชำระหนี้ครั้งหนึ่ง ๆ ไม่เพียงพอที่จะเปลื้องหนี้สินได้หมดทุกราย
25 1.6 การวางทรัพย์เพื่อชำระหนี้(มาตรา331) 1.6.1. การวางทรัพย์อาจเกิดขึ้นได้ในกรณีดังนี้ ก. เจ้าหนี้บอกปัดไม่ยอมรับชำระหนี้ ข. เจ้าหนี้ไม่สามารถรับชำระหนี้ได้ ค. ลูกหนี้ไม่รู้ตัวเจ้าหนี้แน่นอนโดยไม่ใช่ความผิดของตนกรณีเหล่านี้ผู้ชำระหนี้อาจวางทรัพย์ไว้เพื่อประโยชน์แก่ เจ้าหนี้ เพราะการที่เจ้าหนี้ไม่ยอมรับชำระหนี้ หรือไม่อาจรับชำระหนี้นั้น แม้จะทำให้ลูกหนี้ไม่ผิดนัดชำระหนี้ (มาตรา205) แต่ก็ไม่ทำให้ลูกหนี้หลุดพ้นจากหนี้ ดังนั้น เพื่อจะให้หลุดพ้นจากหนี้ ลูกหนี้จึงต้องวางทรัพย์ 1.6.2. สถานที่วางทรัพย์ การวางทรัพย์นั้นต้องวาง ณ สำนักงานวางทรัพย์ประจำตำบลที่จะต้องชำระหนี้(มาตรา 333 วรรคแรก) ถ้าไม่มี กฎหมายหรือกฎข้อบังคับเฉพาะการเรื่องสำนักงานวางทรัพย์ ผู้ชำระหนี้สามารถร้องขอต่อศาล ศาลจะต้องกำหนด สำนักงานวางทรัพย์ และแต่งตั้งผู้พิทักษ์ทรัพย์ที่วางนั้นขึ้น 1.6.3. การแจ้งเจ้าหนี้ ผู้วางทรัพย์ต้องแจ้งให้เจ้าหนี้ทราบถึงการที่ได้วางทรัพย์นั้นโดยพลัน (มาตรา 333วรรคสาม) 1.7 การขายทอดตลาดทรัพย์ที่วางไว้ (มาตรา 336) บางกรณีแทนที่จะวางทรัพย์ไว้ อาจขายทอดตลาดทรัพย์นั้น แล้วเอาเงินที่ได้จากการขายทอดตลาด มาวางก็ได้ ได้แก่ ก. ทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งหนี้ ไม่ควรจะวางไว้ เช่น ทรัพย์ที่เป็นของใหญ่โตตึกรามบ้านช่อง ข. ทรัพย์ที่เป็นที่พึงวิตกว่าทรัพย์นั้นเกือบจะเสื่อมเสีย หรือทำลายหรือบุบสลายได้ ค. ทรัพย์ที่ค่ารักษาทรัพย์จะแพงเกิน 1.8 วิธีการขายทอดตลาด การขายทอดตลาด และเอาเงินวางแทนนี้ ลูกหนี้จะดำเนินการโดยมีเงื่อนไข ดังนี้ 1.8.1. ได้รับอนุญาตจากศาลก่อน (มาตรา336)
26 1.8.2. บอกให้เจ้าหนี้ได้รู้ตัวก่อน เว้นแต่ทรัพย์นั้นจะเสียหาย ถ้าจะหน่วงการขายทอดตลาดไว้หรือเป็นกรณีที่ไม่ เป็นอันจะทำได้ (มาตรา337) 1.8.3. บอกกล่าวแก่เจ้าหนี้ในการขายทอดตลาด เว้นแต่ไม่อาจทำได้ มิฉะนั้นลูกหนี้ต้องรับผิดในค่าสินไหมทดแทน 1.8.4. ประกาศโฆษณาเวลา และสถานที่ขายทอดตลาด ทั้งพรรณนาลักษณะแห่งทรัพย์ 1.9 ค่าฤชาธรรมเนียม ค่าฤชาธรรมเนียมในการวางทรัพย์และการขายทอดตลาด เจ้าหนี้เป็นผู้ออกเว้นแต่ลูกหนี้จะได้ถอนทรัพย์ที่วาง ลูกหนี้ต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายดังกล่าว (มาตรา 338) 1.10 สิทธิของเจ้าหนี้เหนือทรัพย์ที่วางเจ้าหนี้มีสิทธิเหนือทรัพย์ที่วางเป็นเวลา10 ปี นับแต่ได้รับคำบอกกล่าว (มาตรา 339 วรรคแรก) คือเจ้าหนี้มีสิทธิมารับทรัพย์ที่วางนั้นเมื่อไรก็ได้ภายใน 10 ปี นับแต่วันบอกกล่าวถ้าเจ้าหนี้ ไม่มารับไปภายใน 10 ปี สิทธิของเจ้าหนี้ก็ระงับและลูกหนี้ย่อมรับทรัพย์สินกลับคืนได้แม้จะได้สละสิทธิถอนทรัพย์ แล้วก็ตาม 2. ปลดหนี้ (มาตรา 340) การปลดหนี้อันจะมีผลทำให้หนี้ระงับไปก็คือการที่เจ้าหนี้แสดงเจตนาต่อลูกหนี้สละสิทธิเรียกร้องที่มีอยู่ในมูลหนี้ ให้แก่ลูกหนี้ไปโดยไม่เรียกร้องประโยชน์ตอบแทนแต่อย่างใด หลักเกณฑ์ในการปลดหนี้ มีสาระสำคัญดังนี้ 2.1. การปลดหนี้ทำได้ด้วยเจ้าหนี้ แสดงเจตนาต่อลูกหนี้ว่าจะปลดหนี้ให้ (มาตรา 340 วรรคแรก) 2.2. ถ้าหนี้มีหลักฐานเป็นหนังสือ การปลดหนี้ก็ต้องทำเป็นหนังสือด้วย หรือต้องเวนคืนเอกสารอันเป็นหลักฐาน แห่งหนี้ให้แก่ลูกหนี้ หรือขีดฆ่าเอกสารนี้เสีย (มาตรา 340 วรรคสอง) 2.3. ผลของการปลดหนี้ (ที่ทำถูกต้อง) หนี้ระงับ (มาตรา 340 วรรคแรก) 2.4. การปลดหนี้เป็นนิติกรรมฝ่ายเดียว ดังนั้นการปลดหนี้โดยการทำเป็นหนังสือเจ้าหนี้ลงลายมือชื่อฝ่ายเดียวก็พอ 2.5. การปลดหนี้จะปลดให้ทั้งหมด หรือแต่เพียงบางส่วนก็ได้ เช่น นายแดงเป็นหนี้นายดำอยู่5,000 บาท ถ้านาย ดำ ปลดหนี้นายแดงทั้งหมด5,000 บาท หนี้ก็เป็นอันระงับ แต่ถ้านายดำปลดหนี้ให้เพียง 2,000 บาท นายดำก็ ยังคงมีสิทธิเรียกร้องให้นายแดงชำระหนี้ที่เหลืออีก 3,000 บาท ได้
27 คำพิพากษาฎีกาที่ 2432/2540 คำแถลงของโจทก์ที่ขอถอนการยึดและการบังคับคดีมีข้อความว่า ขณะนี้โจทก์และจำเลยตกลงกันได้แล้ว และ ได้รับชำระหนี้เป็นที่พอใจแล้วโจทก์ไม่ประสงค์บังคับคดีนี้ต่อไป จึงขอถอนการยึดทรัพย์คดีนี้และขอถอนการบังคับ คดีเสียทั้งสิ้นต่อไปด้วย ข้อความดังกล่าวชัดแจ้งว่าโจทก์ขอถอนการยึดทรัพย์ และการบังคับคดีเพราะได้รับชำระ หนี้จากจำเลยทั้งสองเป็นที่พอใจแล้วตามที่โจทก์และจำเลยทั้งสองได้ตกลงกัน ดังนี้เมื่อโจทก์ตกลงยกหรือปลดหนี้ ส่วนที่เหลือให้แก่จำเลยแล้ว หนี้ส่วนที่เหลือจึงเป็นอันระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 340 โจทก์ไม่อาจจะนำหนี้ดังกล่าวมาเป็นมูลฟ้องให้จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลายได้การปลดหนี้เป็นการสละ สิทธิไม่บังคับตามสิทธิเรียกร้องที่เจ้าหนี้มีอยู่โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงในส่วนที่เกี่ยวกับมูลแห่งหนี้การตกลงเลิก สัญญาหรือการประนีประนอมยอมความจึงไม่ถือว่าเป็นการปลดหนี้ 3. หักกลบลบหนี้(มาตรา 341-348) การหักกลบลบหนี้เป็นวิธีการระงับหนี้อีกวิธีหนึ่งในเมื่อบุคคลสองฝ่ายต่างมีความผูกพันเป็นเจ้าหนี้ลูกหนี้ซึ่งกันและ กัน โดยวัตถุแห่งหนี้เป็นอย่างเดียวกันและหนี้ทั้งสองรายนั้นถึงกำหนดชำระแล้วต่างฝ่ายต่างก็ขอหักกลบลบหนี้กัน ได้ ซึ่งมีบัญญัติไว้ในมาตรา 341 - 348 3.1 หลักเกณฑ์การหักกลบลบหนี้ได้แก่ 1.3.1. บุคคลสองฝ่ายต่างมีความผูกพันซึ่งกันและกันในมูลหนี้ เช่น นาย ก ให้ นาย ข ยืมเงินไป1,000 บาท แล้ว ต่อมา นาย ข ขายข้าวสารให้นาย ก1 กระสอบ เป็นเงิน 500 บาท แล้วเช่นนี้ นาย ข ก็กลับเป็นเจ้าหนี้ นาย ก ใน ราคาข้าวสาร 500 บาทที่นาย ก ยังไม่ได้ชำระ 1.3.2. วัตถุแห่งหนี้ในหนี้ทั้งสองรายนั้นเป็นอย่างเดียวกัน เช่น เป็นหนี้เงินเหมือนกันหรือเป็นหนี้ต้องส่งมอบทรัพย์ ชนิดเดียวกัน 1.3.3. หนี้ทั้งสองรายต่างถึงกำหนดชำระแล้วในเวลาที่ขอหักกลบลบหนี้ ถ้าหนี้ของฝ่ายหนึ่งถึงกำหนดแล้ว แต่ของ อีกฝ่ายหนึ่งยังไม่ถึงกำหนดชำระก็จะหักกลบลบหนี้กันไม่ได้ เช่น ตามอุทาหรณ์ในข้อ1ถ้านาย ข จะต้องชำระหนี้ เงินยืมในวันที่ 1 มกราคม2544 แต่นาย ก จะต้องชำระราคาข้าวสารในวันที่ 16กุมภาพันธ์ 2544 เช่นนี้ นาย ข จะ ขอหักกลบลบหนี้กับนาย ก ก่อนวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2544 ไม่ได้
28 3.2 วิธีการหักกลบลบหนี้(มาตรา 342 วรรคแรก) 3.2.1. ต้องแสดงเจตนาแก่อีกฝ่ายหนึ่งโดยไม่จำต้องได้รับความยินยอมของอีกฝ่ายหนึ่ง(ฎีกาที่ 893/2516) และ การแสดงเจตนานี้ไม่มีแบบโดยเฉพาะ เช่น ตกลงให้นำเงินฝากประจำหักกลบลบหนี้ ก็ไม่ต้องทำเป็นหนังสือ (ฎีกาที่ 148/2534) คำพิพากษาฎีกาที่ 650/2520 แม้ตามสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยข้อหนึ่งมีว่าในระหว่างหนึ่งปีนับแต่วันทำสัญญา โจทก์จะช่วยจำเลยเสีย ดอกเบี้ยครึ่งหนึ่งในการกู้เงินธนาคารมาไถ่ถอนที่ดินในวงเงินต้นสองแสนหนึ่งหมื่นบาท และได้ความว่าพันกำหนด หนึ่งปีแล้ว โจทก็ยังไม่เคยช่วยจำเลยเสียดอกเบี้ยเลยก็ตาม แต่เมื่อตามสัญญาข้ออื่น จำเลยกลับเป็นฝ่ายจะต้อ’ ชำระเงินให้โจทก็อีกหลายประการรวมเป็นจำนวนถึง 120,000 บาท จำเลยจึงมีสิทธิหักหนี้ค่าดอกเบี้ยได้อยู่แล้ว เมื่อจำเลยไม่ใช้สิทธิหักหนี้ จำเลยก็จะถือว่าโจทก์ผิดสัญญาไม่ช่วยเสียดอกเบี้ยหาได้ไม่ 4. การแปลงหนี้ใหม่ (มาตรา 349-352) การแปลงหนี้ใหม่ คือ การตกลงเปลี่ยนจากหนี้เดิมมาเป็นหนี้ใหม่ และเป็นผลให้หนี้เดิมระงับ 4.1 หลักเกณฑ์การแปลงหนี้ใหม่ 4.1.1. ต้องทำเป็นสัญญาระหว่างคู่กรณีที่เกี่ยวข้อง (มาตรา 349 เพื่อเลิกหรือระงับหนี้เดิมโดยก่อหนี้ใหม่ขึ้นมา แทน ดังนั้น หนี้เก่าจึงต้องมีอยู่แล้วและมีผลผูกพันคู่กรณีโดยสมบูรณ์ มิฉะนั้นการแปลงหนี้ใหม่ก็ไม่เกิดขึ้น และหนี้ ที่เกิดใหม่นั้นก็ต้องมีผลสมบูรณ์เช่นเดียวกัน มิฉะนั้นอาจมีผลทำให้หนี้เดิมไม่ระงับได้ ถ้าหนี้ใหม่มิได้เกิดหนี้ หรือ ต้องยกเลิกเสียเพราะมูลหนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือเพราะเหตุใด อันมิรู้ถึงคู่กรณี (มาตรา 351) เช่น ทำสัญญา ซื้อขายฝิ่นกัน ซึ่งเป็นการต้องห้ามตกเป็นโมฆะตามมาตรา150 แล้วจะแปลงมาเป็นหนี้เงินกู้ก็ไม่ทำให้มีผลเป็นการ แปลงหนี้ใหม่ เพราะไม่มีหนี้เก่าโดยสมบูรณ์เพราะเกิดจากมูลหนี้ที่มิชอบด้วยกฎหมาย 4.1.2. ต้องมีการเปลี่ยนแปลงสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ คือ ก. เปลี่ยนวัตถุแห่งหนี้ เช่น บิดาตกลงให้สินสอดแก่มารดาหญิงตอบแทนการที่หญิงยอมสมรส แต่ไม่มีเงิน จึงทำสัญญากู้ให้ไว้ ต่อมาชายหญิงทำพิธีแต่งงานแล้วแต่เพิกเฉยไม่ไปจดทะเบียนสมรสจนเลิกกันไปใน 3 เดือน ต่อมา ชายเรียกสินสอดคืนไม่ได้เพราะสัญญากู้มีมูลหนี้ต้องรับผิดตามสัญญากู้ที่แปลงหนี้ใหม่
29 ข. เปลี่ยนตัวเจ้าหนี้ เช่น ก เป็นเจ้าหนี้ ข ต่อมาได้ตกลงกันให้ ค เป็นเจ้าหนี้แทน กซึ่งกฎหมายให้นำ หลักเกณฑ์การโอนสิทธิเรียกร้องมาใช้บังคับ ดังนั้น การทำสัญญาแปลงหนี้ใหม่โดยเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้จึงต้องทำเป็น หนังสือ ค. เปลี่ยนตัวลูกหนี้โดยจะทำเป็นสัญญาระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้คนใหม่ก็ได้ แต่จะเป็นการขืนใจลูกหนี้ เดิมไม่ได้ เช่น ก เป็นหนี้ ข อยู่ต่อมาภายหลัง ข และ ค ตกลงทำสัญญากันว่า ค จะเป็นผู้ใช้หนี้รายนี้แทน สัญญา เช่นนี้จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อก ลูกหนี้มิได้คัดค้าน และหนี้เดิมระหว่าง ก และ ข ก็เป็นอันระงับไปโดยเกิดหนี้ใหม่ระหว่าง ข และ ค ขึ้นมาแทน 4.1.3. ผลของการแปลงหนี้ใหม่ คู่กรณีที่เกี่ยวข้องอาจโอนสิทธิจำนำ หรือจำนองที่ให้ไว้ประกันหนี้เดิมไปเป็น ประกันหนี้รายใหม่ได้เพียงเท่าที่เป็นประกันวัตถุแห่งหนี้เดิม และหลักประกันเหล่านี้ถ้าบุคคลภายนอกเป็นผู้ให้ไว้ ก็ ต้องได้รับความยินยอมจากบุคคลภายนอกนั้นด้วย (มาตรา352) ทั้งนี้ เพราะการแปลงหนี้ใหม่มีผลทำให้หนี้เดิม ระงับ ดังนั้น เมื่อหนี้อันเป็นประธานระงับไปแล้วหนี้อุปกรณ์ เช่น จำนำ จำนอง ก็ย่อมระงับตามไปด้วยดังนั้น หาก คู่กรณีในการแปลงหนี้ใหม่ประสงค์จะโอนสิทธิ จำนำ จำนอง ที่ให้ประกันหนี้เดิมไปประกันหนี้รายใหม่แล้วก็ต้อง ทำความตกลงในเรื่องนี้ไว้ และโอนไปได้เท่าที่เป็นประกันวัตถุแห่งหนี้เดิมเท่านั้น เช่นก จำนองที่ดินเป็นประกันหนี้ เงินกู้ของ ข ต่อ ค ต่อจำนอง ที่ให้ประกันหนี้เดิมไปประกันหนี้รายใหม่แล้วก็ต้องทำความตกลงในเรื่องนี้ไว้ และ โอนไปได้เท่าที่เป็นประกันวัตถุแห่งหนี้เดิมเท่านั้น เช่น ก จำนองที่ดินเป็นประกันหนี้เงินกู้ของ ข ต่อ ค ต่อมา ก และค แปลงหนี้ใหม่โดย ก รับใช้หนี้แทน ข และตกลงให้ถือว่าจำนองผูกพันตามหนังสือรับใช้หนี้ด้วย ดังนั้นจำนอง มีผลบังคับต่อไปโดยไม่ต้องจดทะเบียนจำนองใหม่ (ฎีกาที่ 1949/2516) คำพิพากษาฎีกาที่ 2237/2519 ให้สินสอดโดยทำสัญญากู้ให้ แม้เงินที่ลงไว้ในสัญญากู้จะไม่ใช่สินสอดตามความหมายของประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1436 เพราะเป็นการแต่งงานกันตามประเพณีโดยคู่กรณีไม่ถือเอาการจดทะเบียนสมรส เป็นสำคัญก็ตาม แต่เมื่อจำเลยตกลงจะให้เงินตอบแทนแก่โจทก์ในการที่บุตรสาวของโจทก์จะแต่งงานอยู่กันกับ บุตรชายของจำเลยโดยทำสัญญากูให้ไว้ดังกล่าว เมื่อได้มีการแต่งงานอยู่กินเป็นสามีภรรยากันแล้ว จำเลยก็ต้อง ชำระเงินดังกล่าวแก่โจทก์ โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้ได้ 5. หนี้เกลื่อนกลืนกัน (มาตรา353) หนี้เกลื่อนกลืนกัน หมายถึง กรณีที่สิทธิและหน้าที่ของความเป็นเจ้าหนี้ลูกหนี้ได้มารวมอยู่ในบุคคลเดียวกัน บรรดา หนี้สินที่มีอยู่ก็เป็นอันเกลื่อนกลืนกันไปในตัวเองตามธรรมดาที่บุคคลไม่อาจเป็นเจ้าหนี้ลูกหนี้ของตัวเองได้
30 5.1 หลักเกณฑ์เมื่อสิทธิและความรับผิดตกอยู่แก่บุคคลคนเดียวกัน หนี้เป็นอันระงับ 5.2 ข้อยกเว้นที่ทำให้หนี้ไม่ระงับ เพราะเกลื่อนกลืนกันไม่ได้ 5.2.1. เมื่อหนี้นั้นตกไปอยู่ในบังคับแห่งสิทธิของบุคคลภายนอก เช่น ก เป็นหนี้ ข อยู่ 5,000บาท และ ข ได้ โอนสิทธิเรียกร้องในหนี้รายนี้ให้แก่ คไป ต่อมา ข ตายแม้จะได้รับมรดกของ ข แต่ผู้เดียวหนี้ 5,000 บาท นี้ก็ไม่ เกลื่อนกลืนไปใน ก เพราะได้ตกไปอยู่ในบังคับแห่งสิทธิของ ค แล้ว ก จึงยังต้องรับผิดใช้หนี้ให้ ค อยู่หนี้ไม่ระงับ 5.2.2. เมื่อสลักหลังตั๋วเงินกลับคืนมาตรา 917 วรรคสาม ซึ่งบัญญัติว่า "อนึ่ง ตั๋วเงินจะสลักหลังให้แก่ผู้จ่ายก็ ได้ ไม่ว่าผู้จ่ายจะได้รับรองตั๋วนั้นหรือไม่หรือจะสลักหลังให้แก่ผู้จ่ายหรือให้แก่คู่สัญญาฝ่ายอื่นใดแห่งตั๋วเงินนั้นก็ได้ ส่วนบุคคลทั้งหลายเหล่านี้ก็ย่อมจะสลักหลังตั๋วเงินนั้นต่อไปอีกได้" เช่น ก ออกตั๋วแลกเงินสั่ง ข จ่ายเงินให้ ค 5,000 บาท ค สลักหลังโอนตั๋วนั้นให้ ง ง สลักหลังส่งมอบตั๋วแก่ ก เพื่อชำระหนี้ค่าซื้อสินค้า แม้ว่าสิทธิแห่งตั๋วแลก เงินในฐานะผู้ทรงตกอยู่แก่ ก และความรับผิดชอบในฐานะผู้ออกตั๋วก็ตกแก่ ก ก็ไม่ทำให้หนี้ระงับ ก ยังคงสามารถ สลักหลังตั๋วแลกเงินนั้นต่อไปอีกได้ ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการหมุนเวียนเปลี่ยนมือของตั๋วเงินซึ่งเป็นตราสารอันอาจ โอนต่อกันไปได้หลายทอดเพื่อความสะดวกคล่องตัวในวงการธุรกิจที่ใช้ตราสารเหล่านี้
31
32
33 บรรณานุกรม หนังสือ จรัญ ภักดีธนากุล. กฎหมายแพงและพาณิชย์ ว่าด้วย ผลและความระงับแห่งหนี้, พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพมหานคร: บริษัท พี. เพรส จำกัด, 2561. จิ๊ด เศรษฐบุตร (แก้ไขเพิ่มเติมโดยดาราพร ภิระวัฒน์). หลักกฎหมายแพ่งลักษณะหนี้.พิมพ์ครั้งที่ 19. กรุงเทพมหานคร: โครงการตำราและเอกสารประกอบการสอนคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2553. ปราโมทย์ จารุนิล. กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้. พิมพ์ครั้งที่ 9. กรุงเทพมหานคร:สำนักพิมพ์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2556. ไพโรจน์ วายุภาพ. คำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้. พิมพ์ครั้งที่ 12. กรุงเทพมหานคร: สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา, 2561 ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554. พิมพ์ครั้งที่ 2.กรุงเทพมหานคร: ราชบัณฑิตยสถาน, 2556. วิเชียร ดิเรกอุดมศักดิ์. วิ.แพ่งพิสดาร เล่ม 1 (ฉบับปรับปรุงใหม่ ปี 2564).กรุงเทพมหานคร: หจก. แสง จันทร์การพิมพ์, 2563.