แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี ๒
ภาษาไทยเพ่อื การสอื่ สาร ๒ ท ๓๐๑๐๓ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๕
หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี ๑ โวหารการเขยี น เวลา ๒ คาบ (๒ ชม.)
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
๑.สาระสาคญั
การเขียนเป็นทักษะสาคัญทักษะหน่ึงที่ชว่ ยถ่ายทอดความรู้ ความคิดและเจตคตขิ องผู้เขียนผูเ้ ขยี น
จะตอ้ งจะต้องเขียนตามกระบวนการการเขียนให้เปน็ ลาดับขนั้ ตอนเพอื่ ให้ผู้อา่ นทาความเข้าใจได้อยา่ งไมส่ ับสน
การเขยี นงานงานเขียนทุกประเภทผเู้ ขยี นจะต้องรูจ้ ักใช้กระบวนการคดิ ควบคู่ไปกบั กระบวนการเขยี นได้เป็น
อย่างดจี งึ จะได้งานเขยี นท่ีมีคุณภาพรวมท้ังยังตอ้ งรูว้ ธิ กี ารใช้ถ้อยคาสานวนท่ีดี(โวหารการเขยี น) เหมาะสมและ
ถกู ต้องในงานเขียนนอกจากนี้สง่ิ สาคัญอีกประการหนึ่งคือการรู้จักศึกษาหาข้อมลู จากแหล่งเรียนรทู้ ่มี ีคณุ ภาพ
หลากหลายและถูกต้องมาประกอบในงานเขียนรวมถงึ การเขยี นอ้างอิงแหลง่ ข้อมลู นั้นๆเพื่อให้เกียรตเิ จา้ ของ
ขอ้ มลู ดว้ ย
๒.สาระการเรยี นรู้
๑.หลักการเขยี นอธบิ าย , เขียนบรรยาย ,เขียนพรรณนา
๒.ตวั อย่างการใช้โวหารในการเขยี นอธบิ าย,เขยี นบรรยาย,เขยี นพรรณนา
๓.ตวั ชีว้ ดั ช่วงชั้น
๑.เขียนส่อื สารในรปู แบบตา่ งๆไดต้ รงตามวตั ถปุ ระสงคโ์ ดยใชภ้ าษาเรียบเรยี งถกู ต้องมีขอ้ มลู และ
สาระสาคญั ชดั เจน
๒.ประเมินงานเขยี นของผอู้ นื่ แล้วนามาพฒั นางานเขยี นของตนเอง
๓.วเิ คราะหง์ านเขียนรูปแบบต่างๆได้ถกู ต้อง
๔. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
๑. อธิบายและใช้โวหารแบบตา่ งๆอยา่ งถกู ต้อง
๒.พจิ ารณางานเขยี นของผ้อู ่ืนและแยกแยะรปู แบบงานเขยี นนนั้ ๆวา่ ใช้โวหารการเขียนอย่างไร
๕.กระบวนการจดั การเรียนรู้
ขน้ั ท่ี ๑ นาเข้าสู่บทเรยี น
๑.นกั เรยี นทาแบบทดสอบก่อนเรียนโดยพจิ ารณางานเขยี นทีใ่ ช้โวหารการเขยี นบรรยาย,เขียนอธิบาย
และงานเขยี นพรรณนา ( ใชเ้ วลา 3๐ นาที )
๒. นักเรียนตอบคาถามปากเปล่าเก่ยี วกับความรเู้ ร่ืองโวหารการเขียนอธิบาย ,การบรรยายและการ
เขียนพรรณนา ( ใชเ้ วลา 2๐ นาที )
ขั้นที่ ๒ กจิ กรรมการเรยี นรู้
๑.นักเรยี นศึกษาเรื่อง ความสาคัญของการเขียนและกระบวนการเขยี นในหนังสือเรยี นรายวชิ าพนื้ ฐาน
ภาษาไทยชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 5 (พฒั นาทักษะภาษา เลม่ 3 ) หนา้ 135 - 141
( ใช้เวลา 2๐ นาที )
๒.นกั เรียนอ่านศึกษาใบความรเู้ รอ่ื งหลกั การเขยี นบรรยาย ,การเขียนอธิบาย,การเขยี นพรรณนา
จากนนั้ ให้นกั เรยี นสรปุ เนื้อหาสาระสาคญั การใช้โวหารการเขียน ,หลกั การเขียนอธิบาย, การเขยี นบรรยายและการ
เขียนพรรณนาลงในสมดุ งานของนกั เรียน
**สามารถศึกษาขอ้ มลู เพ่มิ เติมจากหนังสอื เรยี นภาษาเพื่อพัฒนาการคิดของกระทรวงศึกษาธิการ
ขัน้ ท่ี 3 ฝีกฝนผเู้ รยี น
๑.แบง่ กลุ่มนกั เรียนออกเป็น 6 กลมุ่ แลว้ ให้นกั เรียนแตล่ ะกล่มุ ช่วยกนั ค้นหาโวหารการเขยี นจาก
สื่อตา่ งๆเชน่ โฆษณา แล้วนาเสนอให้เพือ่ นร่วมกันวิเคราะห์แยกแยะวา่ ใชโ้ วหารการเขียนอยา่ งไร
ขั้นที่ 4 นาไปใช้
๑.นกั เรยี นใชก้ ระบวนการเขียนหรอื หลักการเขียนอธบิ าย การเขยี นบรรยายและการเขียนพรรณนา
เขียนเรือ่ งต่างๆในชวี ิตประจาวันได้
ขัน้ ท่ี 5 สรปุ
๑.นักเรียนชว่ ยกนั สรุปเร่ืองหลกั การเขียน บรรยายโวหาร อธิบายและพรรณนาโดยเขียนเป็น
แผนภาพความคิด
๖. ส่อื /แหล่งการเรียนรู้
๑.ใบความรู้ / power point เรอื่ งโวหารการเขยี นแลว้ สรุปเน้ือหาสาระสาคัญ
๒.ใบงาน เรอื่ งโวหารการเขยี น
๓.แบบสรปุ เนอ้ื หาสาระสาคัญ (สมุดจดงานของนักเรียนก็ได)้
๔.หนงั สือเรยี นพัฒนาทักษะภาษา เลม่ 3 ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 5 ของ เสนีย์ วิลาวรรณ
๕.ตัวอยา่ งงานเขยี นที่มเี อกภาพ สมั พันธภาพและสารตั ถภาพ
๖.ตวั อยา่ งงานเขียนที่มีโวหารการเขียนอธบิ าย,บรรยายและพรรณนา
๗.การประเมินผลและเครอื่ งมือวัด
การประเมินผล
๑.ประเมินความรู้ความเขา้ ใจเร่อื งการเขยี นโวหารแบบต่างๆ
๒.ประเมนิ พฤตกิ รรมการเรยี นรูแ้ ละการนาเสนอหนา้ ช้นั เรียน
เกณฑก์ ารผ่าน
๑.รอ้ ยละ 70
เครอ่ื งมอื วัด
๑.แบบประเมินประเมินการเขียนโวหารแบบต่างๆ
๒.แบบสงั เกตพฤตกิ รรมรายกลมุ่ (5 คะแนน)
ใบความรู้ โวหารการเขียน
โวหารการเขียน
โวหาร หมายถึง ช้ันเชิงหรือสานวนแต่งหนงั สือ โวหารการเขยี นมีหลกั ท่ัวไปในการเขยี นมี ๓ ประเภท
ไดแ้ ก่ อธิบายโวหาร บรรยายโวหาร และพรรณนาโวหาร
1. การเขียนบรรยาย คือ การเขยี นเพ่ือเลา่ เร่ืองราวหรอื เหตกุ ารณ์ที่เกิดขึน้ ท้ังท่เี ป็นเหตกุ ารณ์จริงและ
เหตุการณส์ มมตอิ ย่างต่อเน่ือง โดยช้ีให้เห็นถึงฉาก สถานที่ เวลา และเหตุการณ์ท่เี ก่ียวข้องท้งั หมด โดยการจัดลาดบั
ใจความให้มีเอกภาพและสมั พันธภาพ เรยี กว่า บรรยายโวหาร ซงึ่ บรรยายโวหารมกั จะปะปนอยกู่ ับพรรณนาโวหารและ
อธบิ ายโวหาร และโวหารท่ใี ช้เลา่ เรอ่ื ง หรืออธบิ ายเรอ่ื งราวต่าง ๆ ตามลาดบั เหตุการณ์ การเขยี นบรรยายโวหาร จะมุ่ง
ความชัดเจน เขียน ตรงไปตรงมา รวบรัด กลา่ วถึงแตส่ าระสาคญั ไม่จาเป็นตอ้ งมีพลความ หรือความปลีกยอ่ ยเสรมิ ใน
การเขียนทัว่ ๆ ไปมักใช้บรรยายโวหาร เพราะเหมาะในการตดิ ต่อสือ่ สารเนื่องจากสานวนประเภทน้มี ุ่งสาระเขียนอยา่ ง
สั้น ๆ ได้ความชดั เจนงานเขียนที่ควรใช้บรรยายโวหาร ได้แก่ การเขียนอธบิ ายประเภทต่าง ๆเชน่ เขียนรายงาน
วทิ ยานิพนธ์ ตารา บทความ การเขยี นเพ่อื เล่าเร่ือง เช่น บันทกึ จดหมายเหตุ การเขยี นเพอ่ื แสดงความคิดเห็นประเภท
บทความเชงิ วิจารณ์ ขา่ ว เป็นต้น
หลกั การเขียนบรรยายโวหาร
1) เร่ืองทเ่ี ขยี นต้องเป็นเรือ่ งจรงิ ผ้เู ขียนควรมคี วามรู้เกยี่ วกับเรือ่ งท่ีจะเขยี นเปน็ อยา่ งดี โดยอาจรูม้ าจากประสบการณ์
หรือการคน้ คว้าก็ได้
2) เลือกเขียนเฉพาะสาระสาคญั ไม่เน้นรายละเอียด แต่เขียนตรงไปตรงมาไมอ่ ้อมค้อม
3) ใชภ้ าษาให้เขา้ ใจงา่ ย หากตอ้ งการจะกล่าวให้ชดั อาจใช้อปุ มาโวหารและสาธกโวหารเขา้ ช่วยได้บา้ ง แต่ต้องไม่มากจน
สว่ น ที่เปน็ สาระสาคญั กลายเป็นส่วนด้อยไป
4) เรียบเรียงความคิดใหต้ ่อเน่ือง และสัมพันธก์ ัน
ประเภทของการเขียนบรรยาย
การเขยี นบรรยายแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ การบรรยายเกยี่ วกบั เร่อื งหรือประสบการณ์สว่ นตวั และ
การบรรยายเก่ียวกับเร่ืองหรือเหตุการณ์ท่สี มมตขิ นึ้
การบรรยายเรอื่ งหรือประสบการณส์ ว่ นตวั การบรรยายประเภทนี้ ใชเ้ น้ือหาท่ผี ู้เขยี นได้รู้เห็นหรอื ประสบมา
ด้วยตนเอง เช่น บนั ทึกรายวัน อตั ชวี ประวัติ ขา่ วในหนังสอื พิมพ์ จดหมายเหตุ บันทึกการเดนิ ทาง รายงานเหตุการณ์
เรือ่ งเลา่
การบรรยายเรอื่ งหรือเหตุการณ์สมมติ การเขยี นบรรยายประเภทน้ี ผเู้ ขยี นต้องคิดเร่ืองขน้ึ เอง เช่น เร่อื งเล่า
นทิ าน เรอ่ื งสัน้ นวนิยาย เร่ืองประเภทนเี้ ป็นเร่ืองสมมติไม่จริงท้ังหมดแต่ก็ต้องไม่พ้นวสิ ัย เพราะฉะนนั้ ผู้เขียนจะต้องใช้
เนอื้ หาที่อยู่ใกล้กบั ชวี ิตจรงิ ของตนหรอื ที่เคยได้สงั เกตนามาพนิ ิจพจิ ารณาจึงจะเขียนเรอ่ื งใหด้ สู มจริงได้
๑. การบรรยายเรื่องเลา่
เรอ่ื งเล่าคือ เร่ืองหรือเหตุการณ์ซึง่ อาจเป็นจริงหรอื สมมตขิ ้ึน นามาสู่กันฟัง มลี กั ษณะคล้ายนิทานแตม่ ีความ
จรงิ มากกวา่ นิทานและไม่เนน้ คตธิ รรมอยา่ งนิทาน
๒. การบรรยายชวี ประวตั ิ
ชวี ประวัติ คือ เรื่องราวเกยี่ วกับประวัติชีวิตของบุคคล การเขยี นชวี ประวัติมี ๒ วธิ ี คือ การเขียนชีวประวตั ิของ
ตนเองซึ่งเรยี กวา่ อัตชีวประวัติ และการเขียนชวี ประวตั ขิ องบุคคลอื่น
๓. การบรรยายการเดินทาง
การบรรยายการเดนิ ทางควรประกอบด้วยหลกั เกณฑ์ทว่ั ไปของการเขียนบรรยายและลักษณะเฉพาะ ดังนี้
๓.๑. กล่าวถงึ โอกาสและพาหนะในการเดนิ ทาง
๓.๒. กล่าวเฉพาะส่งิ พบเห็นท่ีน่าสนใจ
๓.๓. เรียงใจความตามลาดับเวลา
๓.๔. อาจใช้โวหารอธิบาย พรรณนา เปรียบเทยี บหรอื ยกตวั อยา่ งประกอบตามความเหมาะสม
๓.๕. แทรกขอ้ คดิ เหน็ เร่ืองประกอบตามความเหมาะสม
๔. การบรรยายสถานทที่ ่องเที่ยว
การบรรยายสถานที่ทอ่ งเท่ียวควรประกอบดว้ ยหลกั เกณฑ์ทัว่ ไปและลักษณะเฉพาะ ดังน้ี
๔.๑. กลา่ วเฉพาะสิง่ ทีน่ ่าสนใจ
๔.๒. เรยี งใจความตามลาดบั ความสาคญั หรือเวลาตามความเหมาะสม
๔.๓. ใชโ้ วหารอธิบาย พรรณนา เปรียบเทยี บหรอื ยกตัวอย่างประกอบตมความเหมาะสม
๔.๔. แทรกข้อคิดเห็น เร่ืองประกอบตามความเหมาะสม
๕. การบรรยายเหตกุ ารณ์
๕.๑. กล่าวเฉพาะเหตกุ ารณท์ ี่น่าสนใจ
๕.๒. เรยี งลาดบั ใจความตามลาดบั เวลา
๕.๓. ใชโ้ วหารอธบิ าย พรรณนา เปรียบเทียบหรือยกตัวอย่าประกอบตมความเหมาะสม
๕.๔. แทรกข้อคดิ เหน็ เรื่องประกอบตามความเหมาะสม
ตวั อย่างบรรยายโวหาร
“ … ทกุ คร้ังที่พอ่ ไปเมืองนอก พ่อหาโอกาสไปดสู ถานท่ีน่าสนใจและดคู วามเปล่ยี นแปลง ความก้าวหนา้ ของ
ชาตติ ่างๆอยู่เสมอ และพ่อจะกลบั มาเล่าให้ฟงั อย่างมรี ะบบและละเอยี ดลออพรอ้ งทั้งของฝากท่นี า่ สนใจ คร้งั
หนงึ่ พอ่ ซอื้ ตุ๊กตามาฝากจุ๊ เป็นต๊กุ ตาประหลาด เพราะมันหลับตาและลมื ตาได้ สวยจนเราแทบไมน่ า่ จบั แต่จี๊ด
สนใจมาก จนอยากรอ้ื ออกมาดูว่ามีกลไกอะไรทท่ี าให้มนั หลบั ตาได้… ”
จากเรือ่ ง “ พอ่ เล่า ” ของ จารุณี สตู ะบุตร
2. การเขียนพรรณนา การพรรณนา คือ การเขยี นท่มี ุ่งให้ผอู้ า่ นเหน็ ภาพและทาให้เกิดความประทบั ใจ
กลา่ วคอื โวหารพรรณนามลี ักษณะเป็นจิตวสิ ยั คอื มุ่งแสดงความร้สู ึกสะเทือนอารมณ์พร้อมๆ กบั มองเหน็ ภาพน่ันเอง
แตกตา่ งจากการเขียนอธบิ าย หรือบรรยายรายละเอียดทวั่ ๆไป ทมี่ ุง่ ให้เหน็ ภาพโดยตรง โดยมิไดแ้ ทรกอารมณ์ของ
ผเู้ ขียนเขา้ ไวด้ ้วย พรรณนาโวหาร มีจุดมุ่งหมายในการเขยี นตา่ งจากบรรยายโวหาร คือมุ่งใหค้ วามแจม่ แจ้ง
ละเอยี ดลออ เพ่อื ใหผ้ ู้อา่ นเกดิ อารมณ์ซาบซง้ึ เพลดิ เพลนิ ไปกบั ข้อความนัน้ การเขยี นพรรณนา โวหารจึงยาวกว่าบรรยาย
โวหารมาก แต่มิใช่การเขียนอย่างเย่ินเยอ้ เพราะพรรณนาโวหารต้องมุ่งให้ภาพ และอารมณ์ ดงั นนั้ จงึ มักใช้การเลน่ คา
เล่นเสยี ง ใชภ้ าพพจน์ แม้เนื้อความท่เี ขียนจะน้อยแตเ่ ตม็ ดว้ ยสานวนโวหารทไ่ี พเราะ อ่านไดร้ สชาตเิ ปน็ โวหารท่ใี ช้
ถ้อยคาอธบิ ายหรือบรรยายสงิ่ ที่พบเห็นอย่าง ละเอียด โดยใชส้ านวนโวหารท่ไี พเราะสอดแทรกอารมณ์ความรูส้ กึ ของ
ผู้เขียน เพอื่ ใหผ้ อู้ า่ นเกิดความประทับใจและความซาบซึง้ มีความร้สู กึ และเหน็ ภาพตามไป ดว้ ยกบั คาพรรณนาโวหาร
วิธีการเขียนพรรณนาโวหาร ผู้เขียนต้องร้จู ักใช้ถ้อยคาทปี่ ระณีตให้ความรสู้ กึ โดยหยิบยกลักษณะสาคญั มากล่าว การใช้
ถอ้ ยคาในการบรรยายลักษณะจะใชถ้ ้อยคาท่แี สดงรูปธรรม เช่น บอกลักษณะ สสี นั รูปร่าง เวลาเพ่อื ให้ผู้อา่ นเห็นภาพ
ชัดเจน หรอื ใช้ถอ้ ยคาทาให้เกิดความไพเราะ
หลกั การเขยี นพรรณนาโวหาร
1) ต้องใชค้ าดี หมายถงึ การเลอื กสรรถ้อยคา เพอื่ ให้ส่ือความหมาย ส่ือภาพ สือ่ อารมณเ์ หมาะสมกบั เน้ือเรื่องทีต่ อ้ งการ
บรรยายควรเลือกคา ท่ีให้ความหมายชดั เจน ทัง้ อาจตอ้ งเลอื กให้เสียงคาสัมผสั กันเพือ่ เกิดเสยี งเสนาะอย่างสัมผัสสระ
สมั ผสั อกั ษรในงานรอ้ ยกรอง
2) ตอ้ งมีใจความดี แมจ้ ะพรรณนายืดยาว แต่ใจความต้องมุ่งให้เกดิ ภาพ และอารมณ์ความรู้สกึ สอดคล้องกับเนอื้ หาที่
กาลงั พรรณนา
3) อาจต้องใชอ้ ุปมาโวหาร คอื การเปรยี บเทียบเพื่อให้ไดภ้ าพชัดเจน และมักใชศ้ ิลปะการใชค้ าท่เี รยี กว่า ภาพพจน์
ประเภทตา่ ง ๆ ทั้งนี้เป็นวิธกี ารท่ีจะทาใหพ้ รรณนาโวหารเดน่ ทัง้ การใชค้ า และการใช้ภาพทแ่ี จม่ แจ้ง อา่ นแล้วเกิด
จินตนาการและความรูส้ ึกคล้อยตาม
4) ในบางกรณีอาจต้องใช้สาธกโวหารประกอบด้วย คือ การยกตวั อย่างเพอื่ ใหเ้ กิดความแจม่ แจง้ โดยยกตวั อย่างสง่ิ ท่ี
ละม้ายคล้ายคลึงกนั เพ่ือใหเ้ กดิ ภาพและอารมณ์เด่นชดั พรรณนาโวหารมักใชก้ บั การชมความงามอื่น ๆ เชน่ ชมสถานที่
สรรเสรญิ บคุ คล หรือใชพ้ รรณนาอารมณ์ ความรสู้ ึก เช่น รัก เกลียด โกธร แค้น เศร้าสลด เป็นตน้
ประเภทของพรรณนา
การเขียนพรรณนาใชก้ ับส่ิงตา่ ง ๆ ไดท้ วั่ ไปเช่นเดียวกบั การเขยี นแบบอืน่ ๆ แตเ่ หมาะกบั บุคคล สถานที่
ธรรมชาตแิ ละเหตุการณ์ท้งั ที่เปน็ จรงิ และจินตนาการ
๑. การพรรณนาบุคคล
การพรรณนาบคุ คลจาเป็นตอ้ งสังเกตรูปร่าง หนา้ ตา การเดิน นา้ เสยี ง กิริยาอาการ ลักษณะนสิ ัย
อารมณ์ ความรูส้ ึก แยกแยะลักษณะทเี่ ดน่ ชดั เชน่ สน้ รองเท้าทีส่ ึกบาง ผมทีห่ วีไว้เรยี บไม่มีเส้นแตก การยืน
หลงั ค่อม การเขยี นลกั ษณะนี้จะต้องพยายามเฟ้นหาบคุ ลกิ ลกั ษณะเฉพาะของบคุ คลน้ัน ๆ จะต้องสร้างความ
ประทับใจอยา่ งใดอย่างหนง่ึ แก่ผอู้ า่ น
๒. การพรรณนาสถานท่ี
ควรจะได้สงั เกตลกั ษณะเด่นของสถานที่ ไมว่ า่ จะเป็นท่ีคุ้นเคยมาแล้วหรือที่เพง่ิ เคยเหน็ เปน็ คร้งั แรก
จะต้องพิจารณาสี รูปร่าง ขนาดและการจัดวางสง่ิ ของ สิง่ ประทบั ใจทั่วไป
๓. การพรรณนาธรรมชาติ
ควรกลา่ วถงึ ทวิ ทศั น์ บรรยากาศ ตลอดจนพชื สัตว์ต่างๆ เชน่ นก แมลง ถ้าเปน็ ทะเลควรเนน้ หาด
ทราย สีของน้าทะเล คลนื่ ลม ท้องทะเล ถา้ เป็นฤดูกาลควรเขียนลักษณะพเิ ศษของฤดนู ้นั ๆ ให้เหน็ เดน่ ชัด
๔. การพรรณนาเหตกุ ารณ์
ควรพิจารณาลาดบั เหตุการณ์นน้ั เปน็ สาคญั วา่ ตอนใดเกิดก่อนตอนใดเกิดตามมา กล่าวถึงเฉพาะส่ิงที่มี
ความสาคญั ต่อการดาเนนิ เรอื่ งต้งั แต่ต้นจนจบ มักใช้การบรรยายประกอบดว้ ย
ตัวอย่างการพรรณนาโวหาร
“ … จิวยนื อยูห่ ่างจากเตา่ นน้ั เล็กนอ้ ย เขานุง่ กางเกงขาสน้ั สนี า้ เงนิ เข้ม ท่อบนของรา่ งกายเปล่าเปลอื ยผวิ ขาว
จัดของเขาถูกกระไอร้อนของนา้ มนั ท่ีเดือด พลา่ นอยู่ในกระทะรมเสยี จนข้นึ เสียระเรือ้ แดง และเหงอ่ื ที่พรง่ั ผดุ
ออกมาตามขุมขนสะท้านกบั เปลวไฟท่แี ลบเลยี อยขู่ อบกระทะแล เป็นเงาวับเขากาลงั ใช้ตะหลิวด้าวยาวคนกวน
ช้นั มันหมูทีก่ าลังถกู เค่ยี วลอย ฟ่องอย่มู นกระทะอยา่ งขะมักเขม้น สองมือของเขากาอยู่ท่ีดา้ วตะหลิวทอ่ นแขน
ทีค่ ่อยๆกวนตะหลวิ ไปมาน้ันเกรง็ เลก็ นอ้ ย จนแลเหน็ กลา้ มเน้อื ข้ึนเปน็ ลอนเมื่อมองผาดผ่านมายงั ลาตัวของเขา
หลอ่ นก็ ประจักษถ์ ึงความล่าสนั แข็งแรงแผงอก แมจ้ ะไม่กายาผายกว้าง แต่ก็มีมดั กล้ามขึน้ เปน็ ลอนดูทรงพลัง
หนา้ ท้องราบเรยี บบ่งบอกว่าทางานออก กาลงั อยู่เป็นนิจ เอวคอ่ นขา้ งคอดเป็นรปู สวยรับกบั ทอ่ นขาที่ยาวแบบ
คนสูงเมือ่ เขายนื แยกขาออก ห่างจากกันเพื่อได้รบั น้าหนักได้เหมาะสมดว้ ยเช่นน้ี แลดเู หมือนเสากลมเรยี วสอง
ตน้ ที่ประสานลาค้าจนุ รา่ งกายของเขาอย่างมนั่ คง… ”
จาก “กตญั ญูพศิ วาส” ของ หยก บรู พา
ตัวอย่าง
“ ชว่ั เหยีย่ วกระหยับปกี กลางเปลวแดด รอ้ นท่ีแผดก็ผ่อนเพลาพระเวหา
พอใบไหวพลิกรกิ ริกมา ร้วู ่าวนั น้มี ลี มวก
เพยี งกระเพื่อมเลื่อมรับวบั วับไหว ก็รูว้ า่ น้าใสใช่กระจก
เพยี งแววตาคู่นน้ั หว่นั สะทก ก็รวู้ า่ ในอกมีหัวใจ “
( เพียงความเคลอื่ นไหว ของเนาวรตั น์ พงศ์ไพบลู ย์ )
เปรียบเทียบข้อความที่ใช้บรรยายโวหารและพรรณนาโวหาร
ข้อความที่ใช้บรรยายโวหาร : ผ้ึงหลายตวั กาลงั บินตอมดอกบัวในสระ
ข้อความที่ใช้พรรณนาโวหาร : ผ้ึงตัวใหญต่ ัวน้อยหลายตวั สุดที่จะคณานบั กาลังบนิ ขวักไขว่ไปมาตอมดอกบัว
ซึ่งกาลงั แบ่งบานดุจหญิงสาววัยแรกแย้มในสระสเี ขียวใสด่งั มรกต
๓. อธิบายโวหาร การเขียนอธบิ าย คอื การเขยี นไขความหรือยายความ เพื่อให้เขา้ ใจประเดน็ ใดประเดน็
หนง่ึ อย่างแจ่มชดั ลักษณะของภาษาท่ีใช้จะกระชบั และตรงไปตรงมา การอธบิ ายมีหลายวิธี แต่อาจสรปุ ได้ ๕ วิธี
สาคัญ ดงั น้ี
วธิ กี ารอธิบาย ตัวอยา่ ง
(๑) โพงพาง คือ เครอื่ งมือดักปลาชนิดหนึง่ เปน็ ถุงตาข่ายรปู ยาวรี ใชผ้ ูกกับเสาใหญ่
การใหค้ านยิ าม ๒ ตน้ ท่ปี ักขวางลาน้า สาหรบั จับปลาหรอื กุ้งทกุ ขนาด
นกส่วนใหญ่บินได้ แต่กม็ ีนกหลายชนิดที่ไมส่ ามารถบินได้ เช่น นกกระจอกเทศ,
(๒) นกกวี ี ,นกเพนกวิน ฯลฯ
การใชต้ วั อยา่ ง การทาความสะอาดเครื่องทองเหลือง ทาได้งา่ ย ๆ เริม่ จาก การนาเครอ่ื ง
ทองเหลืองมาล้างทาความสะอาดเศษฝุ่นก่อน จากนน้ั นาไปแช่นา้ ทผ่ี สมผงชรู ส
(๓) ท้งิ ไวป้ ระมาณ ๑-๒ ชว่ั โมง แล้วนาขน้ึ มาขดั คราบสนิมหรือคราบสกปรกออก
การอธบิ าย อวัยวะบริเวณส่วนหวั ทงี่ อกยาวออกมา คลา้ ยเขา อย่างนอ้ ย ๑ คู่ เปน็ ลกั ษณะเด่น
ตามลาดบั ขั้น ของดว้ งกวา่ งท่ีตา่ งจากด้วงหรอื แมลงปีกแข็งชนดิ อื่น
(๔) ปรากฏการณ์โลกร้อนทีเ่ กดิ ข้ึนในปจั จบุ นั ส่วนใหญ่ เปน็ ผลมาจาก การกระทาหรือ
การเปรยี บเทียบ กจิ กรรมของมนุษย์
ความเหมือนความตา่ ง
(๕)
การอธบิ ายจาก
สาเหตุไปหาผลลพั ธห์ รือ
ผลลัพธไ์ ปหาสาเหตุ
แหล่งอ้างอิง
เสนีย์ วิลาวรรณ. พฒั นาทักษะภาษา เล่ม ๓ กลุม่ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย ชว่ งชนั้ ที่ ๔ ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี ๕.
หนา้ ๑๙๗ – ๒๐๒