1
เอกสารประกอบการสมั มนา
โครงการสมั มนาพัฒนานกั ศึกษาวชิ าชพี ครู : แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพ่ือพฒั นา
ทักษะการอ่านจบั ใจความสำคญั โดยใช้เทคนคิ SQ6R
ภาษาไทยเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติไทย เป็นเครื่องมือการเรียนรู้ เป็นเครื่องมือการสื่อสาร
เป็นเครื่องมือในการประกอบอาชีพ และเป็นเครื่องมือต่อการปกครองประเทศ อีกทั้งยังมีความสำคัญต่อการ
ถ่ายทอดวฒั นธรรม (ประสพสขุ ฤทธิเดช, 2559 : 12) เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันกอ่ ใหเ้ กดิ ความเปน็ เอกภาพ
และเสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารเพื่อสร้างความ
เข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทำให้สามารถประกอบกิจธุระ การงาน และการดำรงชีวิตร่วมกันในสังคม
ประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุข และเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์จากแหล่งข้อมูล
สารสนเทศต่าง ๆ เพื่อพัฒนาความรู้ กระบวนการคิดวิเคราะห์ วิจารณ์ และสร้างสรรค์ ให้ทันต่อการ
เปลี่ยนแปลงทางสังคมและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลอดจนนำไปใช้ในการพัฒนาอาชีพให้
มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังเป็นสื่อแสดงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษด้านวัฒนธรรม ประเพณี
สุนทรียภาพ เป็นสมบัติล้ำค่าควรแก่การเรียนรู้ อนุรักษ์และสืบสานให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป
(กระทรวงศกึ ษาธิการ, 2551 : 37) ซง่ึ ภาษาไทยเป็นทักษะทางภาษาที่ต้องฝึกฝนจนเกดิ ความชำนาญในการใช้
ภาษาเพื่อการสื่อสาร เพื่อการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อนำไปใช้ในชีวิตจริง (กระทรวงศึกษาธิการ,
2551 : 37) โดยเฉพาะทกั ษะการอา่ นทีเ่ ป็นพ้นื ฐานในการเรยี นรู้
การอ่านมีความสำคัญต่อชีวิตมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนโต และจนกระทั่งถึงวัยชรา การอ่านทำให้รู้ข่าวสาร
ข้อมูลต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันเป็นโลกของข้อมูลข่าวสาร ทำให้ผู้อ่านมีความสุข มีความหวัง และมีความ
อยากรู้อยากเห็น อันเป็นความต้องการของมนุษย์ทุกคน การอ่านมีประโยชน์ในการพัฒนาตนเอง คือ พัฒนา
การศึกษา พัฒนาอาชีพ พัฒนาคุณภาพชีวิต ทำให้เป็นคนทันสมัย ทันต่อเหตุการณ์ และมีความอยากรู้อยาก
เหน็ การท่จี ะพฒั นาประเทศใหเ้ จรญิ รุ่งเรืองก้าวหน้าได้ตอ้ งอาศัยประชาชนท่ีมีความร้คู วามสามารถ ซ่ึงความรู้
ต่าง ๆ ก็ได้มาจากการอ่านนั่นเอง (สนุ นั ทา กินรีวงค,์ 2562 : 3) เป็นปจั จยั สำคญั อยา่ งย่ิงท่จี ะช่วยให้เกิดความ
งอกงามทางสติปัญญา ซึ่งจะส่งผลให้มนุษย์ประสบความสำเร็จ หรือล้มเหลวในการดำรงชีวิตได้ (สมพร แพ่ง
พิพัฒน์, 2542 : 1) ซึ่งปัจจุบันการอ่านเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ การอ่านถือเป็นปัจจัยที่ 5 นอกจากปัจจัย 4 คือ
อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค (ฉวีวรรณ คูหาภินันท์, 2542 : 1) หากพิจารณาตาม
มาตรฐานและตวั ชี้วัดกลุ่มสาระการเรียนรูภ้ าษาไทย ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน พุทธศักราช
2551 แล้วนั้นจะเห็นว่าการอ่านจับใจความสำคัญจะปรากฏในทุกระดับชั้น ตั้งแต่ประถมศึกษาปีที่ 1 จนถึง
มัธยมศกึ ษาปีท่ี 6 แสดงให้เห็นว่าเป็นทกั ษะการอา่ นทมี่ คี วามสำคัญและจำเป็นต่อผู้เรียน
2
การอ่านจับใจความเป็นการอ่านสารหรือเรื่องราวต่าง ๆ แล้วทำความเข้าใจสาระสำคัญของเร่ือง
รวมถงึ สรปุ ประเด็นสำคญั ของเรื่องผา่ นการพูด หรือการเรียบเรียงข้อความข้นึ มาใหม่ดว้ ยสำนวนของผู้อ่านเอง
เพอื่ เป็นการถ่ายทอดใหผ้ ู้อืน่ เข้าใจได้ (สุนนั ทา กินรีวงค,์ 2562 : 65) ซึง่ มีความสำคัญเนื่องจากทำให้ผู้อ่านน้ัน
ทราบถึงสาระสำคญั ของเรือ่ ง อีกท้งั ชว่ ยลดเนือ้ หาในการจดจำของสมอง การทราบถงึ ความสำคญั และหลักการ
อ่านจับใจความจะทำให้ผู้อ่านนั้นพัฒนาทักษะการอ่านได้เป็นอย่างดี ทั้งงานเขียนสารคดีและบันเทิงคดี เช่น
วรรณคดี เรอื่ งสั้น บทความ ข่าว นิทาน ฯลฯ ในทีน่ ้ีจะมุ่งประเด็นงานเขียนประเภทข่าว แววมยุรา เหมือนนิล
(2541 : 57) เนื่องจากข่าวคือการรายงานเหตุการณ์หรือเรื่องราวที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นช่องทางในการรับรู้
สถานการณ์ เหตุการณ์ต่าง ๆ ของคนในสังคม อีกทั้งในตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้ สาระที่ 1 การอ่าน ตาม
หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 กไ็ ด้กำหนดให้อ่านจับใจความสำคัญจากข่าวตั้งแต่
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ดังนั้นนักเรียนต้องมที ักษะในการจับใจความสำคัญของเน้ือหา
ข่าว และในฐานะนักศึกษาวิชาชีพครูจึงจำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าและทักษะในการจัดกระบวนการเรียนรู้
เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความสำคัญจากข่าว โดยอาจใช้แนวทางในการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะ
การอ่านจับใจความสำคัญโดยใช้เทคนิค SQ6R ที่จะนำเสนอต่อไปน้ีเป็นแนวทางในการจัดกระบวนการเรียนรู้
ของนกั ศึกษาวชิ าชพี ครูในอนาคตได้
1. ความรพู้ ้นื ฐานเกี่ยวกับการอา่ น
1.1 ความหมายของการอ่าน
การอ่านเป็นเครื่องมือสำคัญในการแสวงหาความรู้ และเป็นทักษะสำหรับนักเรียนที่จะนำไปสู่การ
เรียนวชิ าอื่น ๆ ซ่ึงมีนักการศกึ ษาไดใ้ หค้ วามหมายของการอา่ นดังนี้
สมพร มันตะสูตร แพ่งพิพัฒน์ (2547 : 8) กล่าวถึงการอ่านไว้ว่า การอ่าน หมายถึง การสร้างความ
เข้าใจและรับรู้ความหมายของตัวอักษรและสัญลักษณ์ ซึ่งมีส่วนช่วยให้ผู้อ่านเกิดความรู้ ความเข้าใจในเรื่อง
ตา่ ง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น
กอบกาญจน์ วงศ์วิสิทธิ์ (2551 : 86) ให้ความหมายของการอ่านว่า หมายถึง การแปลความหมาย
และการทำความเข้าใจกับความหมายของลายลักษณ์อักษรที่ปรากฏอย่างถ่องแท้ รวมถึงสิ่งเกี่ยวข้องและมี
ความหมายทป่ี รากฏร่วมกับลายลักษณ์อกั ษรดว้ ย
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 อธิบายความหมายของอ่านไว้ว่า อ่าน ก. ว่าตาม
ตวั หนงั สือ, ถ้าออกเสียงดว้ ย เรยี กว่า อ่านออกเสียง, ถ้าไม่ต้องออกเสยี ง เรยี กวา่ อา่ นในใจ
วนิดา พรมเขต (2559 : 4) สรปุ ความหมายของการอ่านไว้วา่ การอา่ น หมายถึง การทำความเข้าใจ
ความหมายของสัญลักษณ์ใด ๆ ซึ่งเป็นได้ทั้งวัจนภาษา และอวัจนภาษา ที่ต้องใช้ความคิดในการพิจารณา
เพื่อใหไ้ ดเ้ นอื้ หาสาระทถี่ ูกตอ้ ง
3
สุนันทา กินรีวงค์ (2562 : 2) สรุปความหมายของการอ่านไว้ว่า การอ่าน คือ กระบวนการแปล
ความหมายจากอกั ษร สัญลกั ษณ์ คำ กลุ่มคำ วลี หรอื ประโยคที่ปรากฏในงานเขียนออกมาเปน็ ความคิดอย่างมี
เหตุผล โดยอาศัยการแปลความ ตีความ การจับใจความสำคัญ และการสรุปเพื่อให้เข้าใจเรื่องราวท่ีอ่านอย่าง
ชัดเจน
จิรวัฒน์ เพชรรัตน์และอัมพร ทองใบ (2555 : 256) กล่าวว่า การอ่านเป็นพฤติกรรมการสนทนา
โต้ตอบระหว่างผู้อ่านกับผู้เขียนเป็นกระบวนการของการรับรู้ และเข้าใจสาระที่เขียนขึ้นเป็นการรวบรวม
ความคิด ตีความทำความเข้าใจในสิง่ ท่ีอ่าน เพอ่ื พฒั นาตนเอง ทง้ั ในด้านสติปัญญา อารมณ์ และสงั คม
จากทีก่ ลา่ วมาสรปุ ได้ว่า การอ่านเปน็ กระบวนการส่ือความหมายระหว่างผู้เขียนกบั ผู้อ่านโดยการแปล
ความหมายจากตวั อักษรให้ได้ความหมายท่ีถกู ต้องชดั เจน เปน็ เคร่อื งมือพื้นฐานทสี่ ำคัญ สำหรบั นักเรยี นในการ
เรยี น ท่มี สี ว่ นช่วยให้เกิดความรู้ ความเขา้ ใจในเรื่องท่ีอา่ น เป็นการรวบรวม ความคิด เพอื่ พฒั นาตนเอง และท่ี
สำคญั เปน็ ทักษะทีจ่ ะคงอย่ไู ด้นานที่สดุ ซง่ึ เป็นเครือ่ งมอื ในการ แสวงหาความรขู้ องผู้เรียน
1.2 ความสำคัญของการอ่าน
ผูท้ อ่ี ยใู่ นสถานการศกึ ษา จะตอ้ งอา่ นหนังสอื ให้มากกว่าบุคคลประเภทอน่ื เพราะการอ่าน หนังสือเป็น
ชีวิต และเป็นสิง่ จำเป็นแกบ่ ุคคลประเภทนี้อย่างย่ิง ด้วยเหตุทวี่ า่ ผู้ทกี่ ำลงั อยู่ระหวา่ ง การศกึ ษา จะต้องติดตาม
ความเคลื่อนไหวทางวิชาการอย่างใกล้ชิดอยู่เสมอ ฉะนั้นจึงจำเป็นจะต้อง อาศัยการสื่อสารรับรู้เรื่องราวด้วย
การอ่านหนังสือจากสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ เป็นประจำ ดังที่มีนักวิชาการ ศึกษาได้กล่าวถึงความสำคัญของการอ่านไว้
ดังน้ี
กอบกาญจน์ วงศ์วสิ ทิ ธ์ิ (2551 : 87 - 90) กล่าวถงึ ความสำคญั ของการอา่ นวา่ เป็นทักษะ การรบั สาร
ทม่ี สี ่วนช่วยพฒั นาคณุ ภาพชีวติ ของมนษุ ยใ์ ห้เกิดขึ้นได้ และนอกจากนนั้ การอ่านยังมี ความสำคัญ ดังน้ี
1. เสริมสร้างองคค์ วามรู้ มีสว่ นชว่ ยเสรมิ สรา้ งองค์ความรู้ ทัง้ เพมิ่ พูนความรเู้ ดิมทีม่ ีอยู่ให้ มุมมองที่
แตกต่างไปจากความรหู้ รือความคดิ เดิมของผู้อ่าน
2. พัฒนาคุณค่าทางอารมณ์ ช่วยให้ผู้อ่านได้รับความสุขหรือความบันเทิงใจ ซึ่งส่งผลดีต่อ
สุขภาพจติ และสขุ ภาพกาย
3. ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ ทำให้ผู้อ่านได้รับความรู้หรือแนวคิด รวมทั้งส่งเสริม จินตนาการ
เพื่อนำมาสร้างสรรคผ์ ลงานในรปู แบบตา่ ง ๆ ใหเ้ ปน็ ประโยชนใ์ นทางใดทางหน่ึง
จิรวัฒน์ เพชรรัตน์ และอัมพร ทองใบ (2555 : 257) กล่าวว่า การอ่านมีความสำคัญ เพราะช่วยให้
ผู้อ่านเข้าใจสังคม และสิ่งแวดลอ้ มท่ีอยู่รอบตัว ส่งเสรมิ ให้ผูอ้ ่านมพี ัฒนาการในความรู้และความคิด มองโลกท่ี
กวา้ งไกล เขา้ ใจปญั หาที่เกิดขนึ้ ในสงั คมผ่านสื่อการอา่ น
จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า หนังสือ คือ ประทีปแห่งความรู้ หนทางที่จะเข้าสู่แหล่งความรู้นี้ คือ การ
อ่าน การอ่านจึงมีความสำคัญต่อชีวิตมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนโต และจนกระทั่งถึงวัยชรา มีความสำคัญต่อทุกค น
ทุกเพศ และทุกวัย ในการใช้เป็นเครื่องมือพื้นฐานในการแสวงหาความรู้และความผ่อนคลายได้อย่างไม่มี
ขดี จำกดั นอกจากนก้ี ารอา่ นยังทำให้รู้ขา่ วสารต่าง ๆ ทำให้ผู้อ่านนั้นมคี วามสุข มีความหวัง และมีความอยากรู้
4
อยากเห็น การอ่านจะช่วยในการพัฒนาตนเอง คือ พัฒนาการศึกษา พัฒนาอาชีพ พัฒนาคุณภาพชีวิต ทำให้
เป็นคนทันสมัย ทันต่อโลก มองโลกที่กว้างไกลและเป็นคนท่ีมีความคิดเหตุผลช่วยเพิ่มความมัน่ ใจในการแสดง
ความคิดเห็นจากเรือ่ งท่ีได้อา่ นจนเกิดทักษะการติดต่อส่ือสารด้านอ่ืน ๆ ดว้ ย
1.3 จุดมุง่ หมายของการอา่ น
การอ่านที่ดีนั้น ผู้อ่านควรมีจุดมุ่งหมายในการอ่านที่ชัดเจนว่าต้องการรู้สิ่งใดจากการอ่าน เพราะ
จุดมุ่งหมายของการอ่านนั้นมอี ยู่หลายประการ เช่น การอ่านเพื่อความรู้ การอ่านเพือ่ ต้องการรู้ ข่าวสารขอ้ มลู
อ่านเพื่อการแกป้ ัญหา อา่ นเพอ่ื ความเพลิดเพลนิ หากผูอ้ ่านกำหนดความมุ่งหมายใหช้ ัดเจน จะชว่ ยให้การอ่าน
เป็นไปในทิศทางที่ต้องการ ไม่ต้องเสียเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์และยังช่วยให้การอ่านนั้นมีประสิทธิภาพ
ดังทม่ี ีผเู้ สนอแนะไวด้ ังนี้
ขวัญดี อัตวาวุฒิชัย และคณะ (2546 : 49) ได้กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการอ่านไว้
4 ประการ คือ
1. อ่านเพื่อการเขียน คือ หลังจากอ่านแล้วผู้อ่านนำข้อมูลหรือแนวคิดจากเรื่องที่อ่านนั้นมาเขียน
แสดงความคดิ เห็น ทำรายงาน หรอื เขียนเชงิ สร้างสรรค์ แต่ก่อนจะนำข้อมูลหรือความคดิ ของผู้อ่านไปใช้ ผู้อา่ น
พึงวเิ คราะห์ความถูกต้องของข้อมลู คดั เลือกข้อมลู ที่เหมาะสม และนำไปใช้เขียนหรืออ้างอิงอย่างถูกต้องและมี
มารยาทด้วย
2. อ่านเพื่อหาคำตอบ เมื่อเราต้องการตอบคำถามว่า “เรียนอย่างไรจึงจะสำเร็จภายใน 4 ปี” เรา
จะคิดอ่านหนังสือที่กล่าวถึงวิธีการเรียนให้ได้รับความสำเร็จ ในการอ่านข้อนี้หากผู้อ่านรู้ แหล่งค้นคว้าจาก
เอกสารประเภทต่าง ๆ ก็จะเปน็ ผรู้ อบรแู้ ละเพมิ่ พูนความรอู้ ย่างไม่หยุดยง้ั
3. อา่ นเพื่อปฏบิ ตั ติ าม เป็นการอ่านเพือ่ ทำตามคำแนะนำในข้อความหรือหนังสอื ท่ีอ่าน
4. อ่านเพื่อสะสมความรู้ การอ่านตามจุดมุ่งหมายข้อนี้จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับนักศึกษาเมื่ ออ่าน
ตำราเรียนเล่มใดเล่มหนึ่ง หรือหนังสือหรือวัสดุการอ่านใด ๆ ก็ตาม ควรเก็บรวบรวมประเด็นสำคัญและ
นา่ สนใจไว้ โดยการบนั ทึกในบัตรข้อมลู เพื่อคน้ คว้าในโอกาสต่อไปโดยไม่ต้องอ่านทั้งหมดอกี ครั้งหนง่ึ
จิรวัฒน์ เพชรรัตน์ และอัมพร ทองใบ (2556 : 9 - 10) กล่าวถึงจุดมุ่งหมายในการอ่านไว้ว่า การ
อ่านมีจุดประสงค์ที่กำหนดขึ้นตามความต้องการของผู้อ่าน ซึ่งอาจต้องการศึกษาค้นคว้าข้อมูล เพื่อประโยชน์
เชงิ วชิ าการ หรอื อา่ นเพ่ือการพักผ่อนหย่อนใจ การอา่ นแต่ละคนมีจุดมงุ่ หมายแตกต่างกันออกไป ซึ่งจำแนกได้
ดงั นี้
1. อ่านเพอื่ หาความรหู้ รือเพิ่มพูนความรู้ เปน็ ความรู้จากหนังสือประเภทตำราทางวิชาการ สารคดี
ทางวชิ าการ การวจิ ยั ประเภทตา่ ง ๆ หรอื การอา่ นผ่านส่อื อเิ ล็กทรอนิกส์
2. อา่ นเพอื่ ใหท้ ราบขา่ วสาร ความคดิ เป็นการอ่านเพอ่ื ให้ทราบขา่ วสารความคดิ เข้าใจ แนวคดิ ซ่ึง
ไดแ้ ก่ การอา่ นหนงั สอื ประเภทบทวจิ ารณ์ขา่ ว รายงานการประชุม
5
3. อา่ นเพ่อื ความเพลดิ เพลิน หรือเพือ่ ความบันเทิง ความชื่นชม การอา่ นเป็นอาหารใจให้เกิดความ
บันเทงิ ใจ อา่ นแล้วเกิดความเพลิดเพลิน สนกุ สนาน ทีไ่ ดจ้ ากการอา่ นหนังสือประเภทบนั เทงิ คดี เช่น นวนิยาย
เรื่องส้ัน เรื่องแปล การต์ นู เปน็ ตน้
4. อา่ นเพ่อื พฒั นาวิจารณญาณและค่านิยม การอ่านเพ่ือพัฒนาวจิ ารญาณและค่านิยมจะเก่ียวข้อง
กับการพัฒนาทักษะการอ่านของนักเรียนในระดับที่สูงขึ้น และมีการเพิ่มพูนมวล ประสบการณ์ทางโลกและ
ชวี ติ ท่ีเจนจดั มากข้นึ
5. อา่ นเพือ่ กิจธรุ ะหรอื ประโยชน์อ่นื ๆ การอา่ นเพอ่ื กจิ ธุระอนื่ ๆ เป็นการอ่านเพือ่ ประโยชน์เฉพาะ
กิจ เช่น อ่านแบบฟอร์มชนิดต่าง ๆ อ่านหนังสือสัญญาเงินกู้ จำนอง และซื้อขาย อ่านใบสมัคร และระเบียบ
การ เป็นตน้
จากทก่ี ลา่ วมาสรุปได้ว่า จุดมงุ่ หมายในการอ่าน เป็นส่งิ ที่ผอู้ ่านคาดหวังไว้ก่อนท่ีอ่านหนังสือ เพื่อให้
เกิดประโยชน์ตามที่ตนต้องการ ในการอ่านทุกครั้งผู้อ่านจะต้องมีจุดมุ่งหมาย ซึ่งในการอ่านแต่ละครั้ง
จุดมุ่งหมายย่อมไม่เหมือนกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้อ่านว่าต้องการอ่านเพื่ออะไร จุดมุ่งหมายใน
การอ่านโดยทั่วไป แบ่งออกได้เป็น อ่านเพื่อหาความรู้ การแสวงหาความรู้และสั่งสมเป็นประสบการณ์นำ
เนื้อหาจากการอ่านมาใชพ้ ฒั นาความคดิ ใหเ้ กิดมมุ มองท่กี ว้างข้นึ เพือ่ นำไปสกู่ ารพัฒนาบคุ ลิกภาพของตนเอง
1.4 ประโยชนข์ องการอา่ น
การอ่าน นอกจากจะให้คุณค่าด้านความรู้ ความคิด และความบันเทิงเฉพาะของผู้อ่านแล้ว ยังเกิด
ประโยชนอ์ ีกมากมาย ดงั ที่มนี กั วิชาการศึกษาได้กลา่ วถงึ ความสำคัญของการอ่านไวด้ ังน้ี
ขวัญดี อัตวาวุฒิชัย และคณะ (2546 : 47) กล่าวถึงประโยชน์ของการอ่านไว้ว่า ในการอ่านหนังสือ
หรือเอกสารใด ๆ ย่อมได้ประโยชน์ 3 ประการ คือ
1. ความรู้ ความอยากรู้อยากเห็นเป็นปกติของมนุษย์ทั่วไป วิธีการสำคัญวิธีหนึ่งที่ช่วยให้มนุษย์มี
ความรเู้ รอ่ื งทตี่ นไม่เคยรู้มาก่อน คอื การอ่าน
2. ความเข้าใจ ในขณะที่เราอ่านหนังสือหรือตำราเรียน เราอาจสงสัยความคิดหรือไม่เข้าใจ
ความหมายของคำเฉพาะบางคำซึ่งปรากฏในหนังสือหรือตำราเล่มนั้น เมื่อเกิดความสงสัยเราจะพยายามอ่าน
ตอ่ ไปอยา่ งไมล่ ดละเพอื่ หาคำอธบิ ายแกข้ ้อสงสยั เพ่ือจะได้เขา้ ใจเร่อื งนั้น ๆ
3. ความเพลดิ เพลิน เม่อื ผู้อา่ นไดอ้ ่านหนังสอื ทแี่ ตง่ ดี น่าอา่ น เนอ้ื หานา่ สนใจ ผอู้ า่ นย่อมมี
ความสขุ ความเพลิดเพลิน อ่านได้นาน เกดิ อารมณ์คล้อยตามอารมณ์เร่ืองน้นั ๆ เปรยี บได้กับการสนทนาอย่าง
ถูกใจกับเพื่อนรักคนหนง่ึ
จิรวัฒน์ เพชรรัตน์ และอัมพร ทองใบ (2556 : 7) กล่าวว่า หนังสือที่ดี ย่อมให้คุณค่าแก่ผู้อ่านเสมอ
ไมว่ ่าจะเปน็ หนังสือวชิ าการ หรอื เร่ืองอา่ นเล่น ทนั ทท่ี ีห่ ยิบหนังสือขึน้ มาอ่าน แมจ้ ะเพยี ง 2–3 นาที ผู้อ่านก็จะ
ได้ประโยชน์ไม่ด้านใดก็ด้านหนึ่ง เช่น ประโยคที่ไพเราะ ประทับใจมีข้อคิดซึ่งอาจแก้ปัญหาที่คิดไม่ตกอยู่นาน
แลว้
6
จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า การอ่านมีประโยชน์แก่ผู้อ่าน ทั้งด้านความรู้ ความเข้าใจ ความบันเทิง
เพลดิ เพลิน และหากเราได้อ่านในส่ิงที่เราสนใจ มีความอยากรู้กจ็ ะทำให้เพิ่มความรู้ในสิ่งที่เราไม่เคยรู้ไม่เข้าใจ
มาก่อนจากการอา่ น
2. ความรพู้ นื้ ฐานเก่ยี วกับการอา่ นจบั ใจความสำคญั
การอ่านจับใจความสำคัญจัดเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ในยุคสังคมข้อมูล
ข่าวสาร นอกจากนี้ยังเป็นทักษะพื้นฐานที่มีความจำเป็นต่อการอ่าน เพราะหากนักเรียนไม่สามารถอ่านจับ
ใจความได้ ก็ไมส่ ามารถท่จี ะอ่านในระดบั ที่สูงและยากข้ึนได้ เพราะการอ่านทุกประเภท ต้องอาศัยการอ่านจับ
ใจความสำคัญเป็นพื้นฐาน ซึ่งมีความสำคัญต่อการอ่านมาก เพราะเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะแสวงหาความรู้
ซึ่งต้องใช้การฝึกฝนจากการอ่านอย่างสม่ำเสมอ เพื่อจะทำให้อ่านได้อย่างรวดเร็วและจับใจความได้อย่าง
ถกู ต้อง
2.1 ความหมายของการอา่ นจับใจความสำคัญ
การอ่านจับใจความสำคัญเปน็ สิ่งท่ีจำเปน็ อย่างมากในการอา่ น เมือ่ อา่ นแล้วจบั ใจความสำคัญได้จะทำ
ให้ผู้อ่านเขา้ ใจเร่อื งราวท่ผี ู้เขียนเสนอไว้ ได้มีผูใ้ หค้ วามหมายของการอา่ นจับใจความสำคัญไว้ ดังน้ี
สมบัติ จำปาเงิน และสำเนียง มณีกาญจน์ (2550 : 14-15) ได้กล่าวถึงการอ่านจับใจความสำคัญ
ไว้วา่ เปน็ การสรปุ ความคิดจากเร่อื งทอี่ ่าน โดยตลอดระยะเวลาทอี่ า่ นนนั้ ผอู้ า่ นจำเป็นต้อง คำนงึ อยเู่ สมอวา่ จะ
ได้รับความรู้หรือความคิดอะไรจากเรื่องที่อ่าน ผู้อ่านจะต้องพิจารณาอย่างละเอียด ว่าส่วนใดคือใจความหลัก
หรือส่วนสำคัญของเรื่อง ส่วนใดคือใจความรอง และส่วนใดคือส่วนประกอบ ที่จะช่วยเสริมหรือสนับสนุน
เรือ่ งราวหรือข้อความเหลา่ นั้น
ฟองจันทร์ สุขยิ่ง (2551 : 13) ให้ความหมายของการอ่านจบั ใจความไว้ว่า การอ่านจบั ใจความ คือ
การอ่านที่มุ่งค้นหาสาระสำคัญของข้อความหรือของหนังสือเล่มนั้นว่าส่วนใดเป็นใจความสำคัญที่ผู้เขียน
นำเสนอและสว่ นใดเป็นสว่ นท่ขี ยายใจความสำคญั ให้ชัดเจนยง่ิ ข้นึ สว่ นทเ่ี ป็นใจความสำคัญอาจอยชู่ ่วงต้น ช่วง
กลางหรือช่วงทา้ ยของเร่อื งหรอื ย่อหน้าน้นั ๆ กไ็ ด้
จุไรรัตน์ ลักษณะศิริ และบาหยัน อิ่มสำราญ (2552 : 42) ให้ความหมายของการอ่าน
จับใจความว่า การอ่านจับใจความ หมายถึง การจับประเด็นหลักหรือสาระสำคัญของเรื่องที่อ่านว่า ผู้เขียน
ตอ้ งการส่งสารหรือให้ข้อคิดเหน็ อะไรเปน็ สำคญั
สถิตาภรณ์ ศรีหิรัญ (2560 : 66) ได้ให้ความหมายของการอ่านจับใจความว่าเป็นกระบวนการ
สำคัญที่ผู้อ่านงานเขียนเชิงวิชาการหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่ออ่านงานเขียนเชิงวิชาการ ผู้อ่านต้ องอ่านเรื่องทาง
วิชาการนน้ั อย่างครา่ ว ๆ อย่างนอ้ ย 1 ครัง้ กอ่ นท่ีจะอา่ นอยา่ งละเอยี ดเพ่ือทำความเขา้ ใจ
จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า การอ่านจับใจความ คือ การอ่านเพื่อทำความเข้าใจสาระในเรื่องที่อ่าน
จับสาระและความคิดสำคัญของเรื่องที่อ่านได้ โดยแยกแยะประเด็นสำคัญว่าอะไรเป็นประเด็นหลัก อะไรเป็น
ประเดน็ สำคญั รองลงมาได้ และนำขอ้ ความมาสรุปใจความสำคญั เรียบเรยี งตอ่ เนื่องกันโดยใช้ภาษาตนเอง
7
2.2 ความสำคญั ของการอา่ นจบั ใจความสำคญั
การอ่านจบั ใจความมีความสำคญั ต่อการอ่าน เปน็ เคร่อื งมือในการแสวงหาความรูท้ ้ังในด้านการศึกษา
และการใช้ชีวิตประจำวัน ดังนั้น การอ่านจับใจความจึงมีความสำคัญในการพัฒนาทักษะด้านการอ่าน ดังที่
นกั วชิ าการได้กล่าวไว้ เช่น
ธนู ทดแทนคุณ และกุลวดี แพทย์พิทักษ์ (2548 : 48) กล่าวว่า การอ่านจับใจความเป็นทักษะ
เบอื้ งต้นของการอ่านหนังสอื เพือ่ ที่จะเข้าถึงแก่นของเร่ืองทผี่ ้เู ขยี นต้องการส่อื ใหผ้ ู้อา่ นทราบ
สายใจ ทองเนยี ม (2560 : 10) กลา่ ววา่ การอ่านจับใจความ เปน็ ทกั ษะทีส่ ำคญั ผเู้ รียนต้องรู้จักการ
อ่านคำ คือ อ่านออก รู้ความหมายของกลุม่ คำ สำนวน วลี ประโยค จบั ใจความสำคัญของเร่ืองท่ีอา่ นได้ เพราะ
ถ้าผู้อ่านไม่สามารถจับใจความสำคัญจากเรื่องที่อ่านได้ อาจจะส่งผลต่อการอ่านเพื่อจุดประสงค์อื่น ๆ ซึ่งยาก
กว่าและจะเปน็ สาเหตุใหผ้ ู้อา่ นไมส่ ามารถพฒั นาการอ่านของตนเองได้
จากความสำคญั ของการอ่านจับใจความสำคัญสรุปได้วา่ การอ่านจับใจความสำคัญเปน็ ทักษะเบ้ืองต้น
ของการอ่านหนังสือที่ผู้อ่านจำเป็นต้องมี เพื่อให้เข้าถึงแก่นเรื่อง การอ่านที่ถูกวิธีจะทำให้การอ่านมี
ประสิทธิภาพ ช่วยให้การอ่านประสบผลสำเร็จในการเรียนและเกิดความเข้าใจในเรื่องที่อ่าน หากมีการฝึกฝน
อยู่เสมอและมีความจำเป็นในการพัฒนาตนเองในด้านต่าง ๆ ให้มีคุณภาพที่ดีขึ้นและจะสามารถเก็บเรื่องราว
จากเร่ืองทีอ่ ่านเพ่อื นำไปใช้ได้ตรงจุดประสงค์ และเปน็ พ้ืนฐานสำคัญของการอา่ นเชิงวิเคราะห์ วจิ ารณ์
2.3 จุดม่งุ หมายของการอา่ นจบั ใจความสำคัญ
การอ่านจับใจความสำคัญเป็นสิ่งที่สำคัญต่อการอ่านทุกประเภท การที่ผู้อ่านจะสามารถอ่านจับ
ใจความได้ดีนั้น ผู้อ่านต้องมีจุดมุ่งหมายในการอ่านจึงจะทำให้เข้าใจเรื่องที่อ่านและทำให้การอ่านเกิด
ประสิทธภิ าพ
ศิริพร ลิมตระการ (2541 : 99-100) กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการอ่านจับใจความไว้
6 ประเภท ดังน้ี
ประเภทท่ี 1 ผู้อา่ นจับใจความมุ่งอ่านรายละเอียดของเน้ือเรื่องโดยไม่คำนึงถึงอัตราเร็วในการอ่าน
เป็นการอ่านอย่างละเอยี ดเพื่อจะได้ไม่พลาดเนื้อหาท่ีสำคัญ ซึง่ ผ้อู ่านมจี ุดหมายเพื่อนำรายละเอียดของเร่ืองไป
ใช้ประโยชน์ หรืออ่านเพอื่ ความบนั เทงิ
ประเภทท่ี 2 ผู้อ่านจบั ความมุ่งอ่านเรื่อง เพื่อเสริมความมน่ั ใจให้กับตนเองเปน็ การอ่านที่ผู้อ่านเคย
มีความรู้ในเรื่องนั้นมาก่อนแล้วแต่ลืมรายละเอียด จึงต้องอ่านอีกครั้งผู้อ่านไม่จำเป็นต้องอ่านรายละเอียดทุก
ตอนแตจ่ ะอ่านจับใจความอย่างคร่าว ๆ เพื่อให้ระลกึ ไดเ้ ป็นการทบทวนเนอื้ เรื่องเพ่ือใหเ้ กิดความมน่ั ใจ
ประเภทที่ 3 ผู้อ่านจับใจความมุ่งทำความคุ้นเคยกับคำศัพท์ใหม่ ๆ โดยใช้เนื้อหาของเรื่องสื่อการ
อ่านจึงมักใช้การสำรวจและตรวจสอบ ซึ่งการอ่านลักษณะนี้ผู้อ่านมักนำไปใช้ประโยชน์ในการอ่านจับใจความ
เร่อื งท่ีเป็นวชิ าการในระดับสูง
8
ประเภทท่ี 4 ผอู้ ่านจบั ใจความมุ่งอ่านเพ่ือพฒั นาความคิดให้กว้างไกลเป็นการอ่านท่ีผู้อ่านต้องอ่าน
อย่างละเอียดเพื่อพัฒนาข้อมูลให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่กำหนด เช่น การอ่านโดยใช้วิธีคาดคะเนตาม
แนวทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งลักษณะการคิดเช่นนี้จะช่วยให้ผู้อ่านสามารถรวบรวมโดยใช้วิธีอ่านจับใจความแล้ว
วิเคราะห์ สงั เคราะห์และประเมินผลต่อไป
ประเภทท่ี 5 ผอู้ า่ นจับใจความมุ่งเน้นอัตราเรว็ ในการอา่ น เปน็ การอา่ นที่ผอู้ า่ นต้องการ จับใจความ
สำคญั ของเรอ่ื งในเวลาท่จี ำกัดและตอ้ งอา่ นใหไ้ ดเ้ นือ้ เร่ืองมากทส่ี ดุ
ประเภทที่ 6 ผู้อ่านจับใจความมุ่งอ่าน เพื่อศึกษาเนื้อของเรื่องที่ตนไม่เคยมีพื้นความรู้ มาก่อน
เป็นการอ่านที่ผู้อ่านมักใช้วิธีอ่านจับใจความในลักษณะสำรวจและตรวจสอบคือในขั้นสำรวจจะใช้วิธีกวาด
สายตาดเู นอื้ หาอยา่ งครา่ ว ๆ และขนั้ ตรวจสอบดว้ ยการอา่ นอย่างละเอียดอกี ครั้งหนง่ึ
วรรณี โสมประยรู (2553 : 127) กล่าวถึงจุดมุง่ หมายของการอา่ นจับใจความวา่ การอ่านจบั ใจความ
มีความสำคัญต่อการพัฒนาทักษะในการอา่ นงานเขยี นทุกประเภท ผอู้ า่ นจะพัฒนาทักษะการอ่านได้บรรลุตาม
เป้าหมายได้นั้นย่อมขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของการอ่าน จุดมุ่งหมายของการอ่านประกอบด้วยการอ่านเพื่อ
ค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติม การอ่านเพื่อหารายละเอียดของเรื่องเพื่อวิเคราะห์วิจารณ์จากข้อมูลที่ได้ เพื่อหา
ประเด็นว่าส่วนใดเป็นข้อเท็จ ส่วนใดเปน็ ข้อจริง เพื่อปฏิบัติตามคำสั่งและคำแนะนำ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ใน
ชวี ติ ประจำวัน และเพือ่ ถ่ายทอดจินตนาการสรุปเร่อื งราวทอ่ี ่านและย่อเรอ่ื งได้
จากข้างต้นสรุปได้ว่า จุดมุ่งหมายของการอ่านจับใจความนั้น เพื่อให้ผู้อ่านสามารถจับใจความของ
เรอื่ งที่ไดอ้ ่านว่า ใคร ทำอะไร ท่ไี หน เม่อื ไร และเขา้ ใจความหมาย แนวคิดของผ้เู ขยี นและเรื่องที่อา่ นได้ถูกต้อง
และเพอ่ื พัฒนาความคิดของผูอ้ ่านให้สามารถนำไปใช้ประโยชนใ์ นชีวิตประจำวันได้
2.4 ประเภทของการอ่านจับใจความสำคญั
การอ่านจับใจความสำคัญได้มีการจัดประเภทไว้ตามหลักและทฤษฎีของนักวิชาการทางการศึกษา
โดยผูว้ จิ ัยได้นำเสนอในส่วนที่สำคัญ ดงั นี้
ศริ พิ ร ลมิ ตระการ (2541 : 99 – 100) กลา่ วถึงประเภทของการอ่านจบั ใจความว่าโดยทวั่ ไปการอ่าน
จบั ใจความแบ่งได้เปน็ 6 ประเภท คือ
ประเภทที่ 1 ผู้อ่านจับใจความมุ่งอ่านรายละเอียดของเนื้อเรื่องโดยมิได้คำนึงถึงอัตราเร็วในการ
อ่าน การอา่ นในลกั ษณะนี้เป็นการอา่ นจับใจความอย่างละเอยี ดเพอ่ื จะได้ไม่พลาดเนื้อหา
ประเภทที่ 2 ผู้อ่านจับใจความมุ่งอ่านเพื่อเสริมความมั่นใจให้กับตนเอง การประเภทนี้ผู้อ่านมี
ความรู้ในเรื่องนั้นมาก่อน ซึ่งผู้อ่านไม่จำเป็นต้องอ่านอย่างละเอียดทุกตอน แต่จะจับใจความอย่างคร่าว ๆ
เพ่ือให้ระลกึ ได้
ประเภทที่ 3 ผู้อ่านจับใจความมุ่งทำความคุ้นเคยกับคำศัพท์ใหม่ ๆ เช่น การทำความเข้าใจ
ความหมายวิธีการใช้คำ และลักษณะหน้าที่ของคำ โดยใช้เนื้อหาของเรื่องเป็นสื่อเพื่อให้เข้าใจในสิ่งที่ตน
ตอ้ งการ การอ่านในลักษณะนผี้ ู้อา่ นมักนำไปใชป้ ระโยชน์ในการอ่านจบั ใจความเรอ่ื งทเี่ ป็นวิชาการในระดบั สูง
9
ประเภทที่ 4 ผูอ้ ่านจับใจความมุ่งอ่านเพื่อพัฒนาความคิดให้กวา้ งไกล ผู้อา่ นต้องอา่ นอย่าง
ละเอียดเพือ่ พจิ ารณาขอ้ มูลให้สอดคล้องกบั เป้าหมายท่ีกำหนดไว้
ประเภทท่ี 5 ผู้อา่ นจบั ใจความเนน้ อัตราเรว็ ในการอ่าน ผอู้ ่านต้องการจับใจความสำคญั ของเร่ืองใน
เวลาท่ีจำกดั และต้องอา่ นให้ไดเ้ น้อื เรอ่ื งมากทส่ี ดุ
ประเภทที่ 6 ผู้อ่านจับใจความมุ่งอ่านเพื่อศึกษาเนื้อหาของเรื่องที่ตนไม่เคยมีพื้นความรู้มาก่อน
ผู้อา่ นมักใช้วธิ ีการอ่านจับใจความในลักษณะสำรวจและตรวจสอบซงึ่ แบ่งวธิ ีอ่านเป็น 2 ขัน้ ตอน คอื ขนั้ สำรวจ
ด้วยวธิ ีการกวาดสายตาดูเน้อื หาอยา่ งคร่าว ๆ และขน้ั ตรวจสอบดว้ ยการอา่ นอย่างละเอยี ดอกี ครงั้ หน่งึ
สมบตั ิ ศิรจิ นั ดา (2549 : 40) กลา่ ววา่ การอา่ นจบั ใจความสำคญั มี 2 ลกั ษณะ คือ
1. จบั ใจความสำคัญโดยสรปุ คอื การจบั เฉพาะประเด็นสำคญั ของเรื่อง ใหท้ ราบว่าเรื่องที่อ่านเป็น
เรื่องอะไร เกย่ี วกับใคร ทำอะไร ท่ไี หน เมื่อไร อย่างไร
2. จับใจความสำคัญอย่างละเอียด คือ การทำความเข้าใจรายละเอียดอื่น ๆ ที่อธิบายขยายความ
หรอื เพมิ่ เติมใจความสำคัญให้เดน่ ชัดย่ิงข้ึน โดยเป็นการพิจารณาเรื่องของ คำ สำนวน โวหาร น้ำเสียง อารมณ์
เจตนาของผูเ้ ขยี นท่แี ฝงอยูใ่ นงานเขียนนัน้ ตลอดจนตวั อย่างตา่ ง ๆ
จากความคิดเห็นดังกล่าวสรุปได้ว่า การอ่านจับใจความสำคัญมี 2 ลักษณะใหญ่ ๆ คือ การอ่านจับ
ใจความส่วนรวมกับการอ่านจับใจความสำคัญ ซึ่งการอ่านทั้งสองนี้จะต้องมีความเกี่ยวเนื่องกัน เพราะหาก
ผอู้ ่านไม่สามารถจบั ประเดน็ ใจความสว่ นรวมได้ กไ็ มส่ ามารถอา่ นจับใจความสำคัญได้
3. ความรพู้ ้นื ฐานเก่ียวกบั ข่าว
3.1 ความหมายของข่าว
พิศิษฐ์ ชวาลาธวัช และคณะ (2546 : 25) ให้ความหมายของคำว่า “ข่าว” ว่าตรงกับภาษาอังกฤษวา่
“NEWS” ซึ่งมีที่มาจากคำว่า “North-East-West-South” ซึ่งหมายความถึง เหตุการณ์ที่มาจากทั่วทุก
สาระทิศ โดยที่นักวิชาการทางด้านวารสารศาสตร์ต่างพยายามหาคำตอบว่า “ข่าวคืออะไร” หรือ “อะไรคือ
ข่าว” แต่พบว่าคำอธิบายแตกต่างกันไปตามปัจจัยที่ปรากฏในแต่ละยุคทั้งที่เป็นประสบการณ์ส่วนตัว
สิ่งแวดล้อมของยุคสมัย เทคโนโลยีต่าง ๆ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาความหมายของ “ข่าว” ทั้งใน
ประเทศและต่างประเทศพบวา่ มีความหมายทแี่ ตกตา่ งกันโดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 นัยยะดงั นี้
นยั ยะท่ี 1 เน้นประเด็นวา่ “ข่าว” เปน็ ขอ้ มลู ใหม่หรือข้อมลู ในสถานการณ์ปัจจุบัน เป็นข้อเท็จจริงที่
สมบูรณ์ (Completely True) ยืนยันได้ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด ไม่สามารถสมมติขึ้นเองได้
เป็นเหตุการณ์ เป็นความคิดเห็นหรือข้อคิดเห็นที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีการรายงานอย่างทันท่วง ที
ผ่านสื่อมวลชนอย่างเป็นทางการไปยังผู้รับสาร (พิศิษฐ์ ชวาลาธวัช และคณะ, 2546; ปุณณรัตน์ พิงคานนท์ ,
2548)
นยั ยะท่ี 2 เนน้ ประเด็นว่า “ขา่ ว” เป็นเรอ่ื งราวท่มี คี ณุ ค่า มคี วามสำคัญ นา่ สนใจอาจเป็นเรื่องระดับ
โลก ระดับชาติ โดยที่เหตุการณ์หรือข้อเท็จจริงหรือความคิดเห็นนั้นเพิ่งจะเกิดหรือกำลังจะเกิดขึ้นภายใน
ขอบเขตของความเป็นส่วนตัวและมาตรฐานชุมชน เป็นเรื่องราวที่ยังไม่ได้รับการเปิดเผยหรือไม่เคยรู้มาก่อน
10
และมีผลกระทบหรือมีอิทธิพลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของผู้รับสาร เป็นผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่หรือมีส่วน
เกี่ยวข้องกับสาธารณชน อาจจะเป็นที่สนใจของผู้รับสารส่วนใหญ่หรอื บางส่วนก็ได้ แต่ถ้าเป็นเรือ่ งราวที่ทำให้
ผู้รับสารแสดงความคิดเห็นได้มากเท่าไหร่ก็แปลว่าข่าวนั้นยิ่งมี “คุณค่า” (นาฏยา ตนานนท์ , 2546;
ราชบณั ฑติ ยสถาน, 2546; ภาคภูมิ หรรนภา, 2554)
3.2 ความสำคัญของขา่ ว
ปุณณรัตน์ พิงคานนท์ (2548) กล่าวว่า “ข่าว” เป็นข้อมูล (Information) ประเภทหนึ่งที่ผ่านการ
คัดเลือก รวบรวมเรียบเรียง ตรวจสอบอย่างละเอียดรอบคอบนำเสนอสู่ ประชาชน โดยมีประโยชน์ท่ี
หลากหลายดังตอ่ ไปน้ี
1. เป็นข้อมูลที่ช่วยให้ประชาชนได้รับทราบเกี่ยวกับเหตุการณ์และความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ในสังคม
เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน เป็นข้อมูลช่วยในการตัดสินใจกระทำการใด ๆ เช่น การนำเสนอข่าว
เก่ียวกบั สภาวะเศรษฐกจิ กำลังตกตำ่ ซง่ึ ผ้อู ่านสามารถนำไปใชป้ ระกอบการตดั สนิ ใจในการลงทนุ
2. เป็นข้อมูลที่ช่วยเตือนภัยให้กับประชาชนในสังคม เพื่อให้ประชาชนสามารถเตรียมการรับมือกับ
เหตุการณ์อันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นทั้งที่อยู่ใกล้ชุมชนหรือห่างไกลจากชุมชน ทำให้ประชาชนได้ระมัดระวังตัว
และปอ้ งกนั ภัยอนั ตรายต่าง ๆ ลว่ งหน้าได้อย่างทนั ท่วงที
3. เป็นข้อมูลที่ช่วยคลายความวิตกกังวลของประชาชนเมื่อตกอยู่ในภาวะหวาดหวั่นกับเหตุการณ์
ตา่ ง ๆ ในสังคม รวมถงึ เป็นการกระตุ้นให้เกิดความตระหนกั ถงึ ปัญหาตา่ ง ๆ และร่วมกันหาทางแกไ้ ข
4. เปน็ ข้อมลู ท่ชี ่วยอธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในสังคมใหป้ ระชาชนเกดิ ความเข้าใจ ลดความเข้าใจ
ผดิ ในเหตุการณต์ า่ ง ๆ เป็นการเชอื่ มโยงประชาชนในสังคมเข้าด้วยกนั กอ่ ให้เกดิ ความสามัคคใี นสงั คม
5. เป็นข้อมูลที่ช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความคิดและพฤติกรรมของผู้คนในสังคมไปในทิศทาง
ที่ดีขึ้น เช่น ข่าวเกี่ยวกับแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง
สามารถใช้เป็นแนวทางในการแกไ้ ขปญั หาเศรษฐกจิ ของประชาชนและประเทศ
6. เป็นข้อมูลที่สามารถก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นปัญหา หรือเรื่องราวต่าง ๆ ซึ่งอาจ
นำไปสู่การสรา้ งประชามติ (Public Opinion) ก่อให้เกดิ การเปล่ยี นแปลงท่ดี ีในสงั คม
3.3 ประเภทของข่าว
ในการแบง่ ประเภทของข่าวพบว่ามีการใชเ้ กณฑ์การจำแนกประเภทของข่าวที่แตกต่างกันซ่ึงโดยทั่วไป
สามารถจำแนกได้ 5 เกณฑ์ดังนี้ คือ 1) การจำแนกข่าวตามประเภทของหนังสือพิมพ์ 2) การจำแนกข่าวตาม
วิธีการรวบรวมข่าว 3) การจำแนกข่าวตามพื้นที่ขอบเขตการทำข่าว 4) การจำแนกข่าวตามความซับซ้อนของ
การรายงานข่าว และ 5) การจำแนกข่าวตามเนื้อหาข่าว ซง่ึ หากใชเ้ กณฑ์การจำแนกที่แตกต่างกันย่อมทำให้ได้
ประเภทของข่าวที่มีลักษณะต่างกัน โดยในการศึกษาครั้งนี้มุ่งเน้นการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการ
บริโภคข่าว ดังนั้นเกณฑ์การแบ่งประเภทของข่าวจึงจำแนกตามเนื้อหาข่าวที่ผู้รับสารบริโภคซึ่งมีรายละเอียด
11
ดังตอ่ ไปนี้ (สมหมาย ปาริจฉัตต์ และอมรพรรณ ซมุ้ โชคชัยกลุ , 2547; ปณุ ณรตั น์ พิงคานนท์ , 2548; ศภุ วรรณ
พพิ ิธสมบตั ิ , 2550)
1. ข่าวในพระราชสำนัก มกั เปน็ ข่าวเกย่ี วกับพระราชกรณียกิจของพระบรมวงศานวุ งศ์ตามลำดับชั้น
นับแตอ่ งคพ์ ระบาทสมเด็จพระวชริ เกล้าเจ้าอยูห่ ัว สมเด็จพระนางเจา้ สุทดิ า พระบรมราชินี สมเด็จพระนางเจ้า
สิริกิติ์ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา
สมเด็จเจา้ ฟา้ ฯ กรมพระศรีสวางควฒั น วรขตั ติยราชนารี และบรมวงศานุวงศ์ท่ีสำคญั เป็นตน้
2. ข่าวการเมือง เป็นข่าวเกี่ยวกับการบริหารงานของรัฐบาล ข่าวเกี่ยวกับพรรคการเมืองทั้งพรรค
ฝ่ายรัฐบาลและพรรคฝ่ายค้าน สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นายกรัฐมนตรี ประธานรัฐสภา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวง การปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐ เช่น กระทรวง กรม รัฐวิสาหกิจ ความ
เคลื่อนไหวต่าง ๆ ข่าวติดตามความก้าวหน้า การดำเนินงานตามนโยบายและแผนงานทั้งของพรรคการเมือง
และรัฐบาลในด้านต่าง ๆ ที่ประชาชนควรจะได้รับทราบ ข่าวเกี่ยวกับฝ่ายนิติบัญญัติ คือ รัฐสภาซึ่งเกี่ยวข้อง
กัการออกพระราชบัญญัติหรือกฎหมาย การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา
ความเป็นไปของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และองค์กรเอกชนซึ่งเกี่ยวข้องและเคลื่อนไหวในเรื่อง
การเมอื งและประชาธิปไตย เป็นตน้
3. ข่าวเศรษฐกิจ เป็นข่าวความเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับเศรษฐกิจในระดับชาติและภาวะเศรษฐกิจใน
ระดับองค์กรธรุ กิจ โดยสามารถแบ่งเปน็ ประเดน็ ยอ่ ย ๆ ดังตอ่ ไปน้ี
3.1 การค้าการพาณิชย์ ได้แก่ ข่าวการค้าขายประเภทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการค้าปลีก การค้าส่ง
และการทำสัญญาธุรกรรมต่างๆ
3.2 การตลาด ได้แก่ ข่าวการนำเสนอผลิตภัณฑ์สินคา้ และบริการใหม่ ๆ ที่จะออกวางตลาด
3.3 การเงินและการธนาคาร ได้แก่ ข่าวเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้น อัตราส่วนลดและอัตราดอกเบ้ี ย
การแลกเปลี่ยนเงนิ ตรา สนิ เชอ่ื และความก้าวหน้าและบริการด้านตา่ ง ๆ ของธนาคาร
3.4 การอุตสาหกรรม ได้แก่ ข่าวเกี่ยวกับการขยายกิจการ การเปิดกิจการใหม่ วัตถุดิบการผลิต
และการดำเนนิ กิจการของโรงงานตา่ ง ๆ
3.5 แรงงาน ได้แก่ ข่าวเกี่ยวกับตลาดแรงงาน นายจ้าง ลูกจ้างแรงงาน ค่าครองชีพ อัตราค่าจ้าง
การเพิม่ หรือลดอัตราคา่ จา้ งแรงงานขนั้ ต่ำ การวา่ งงาน การประทว้ ง การปิดโรงงาน และการหยดุ งาน
3.6 การคมนาคม ได้แก่ ข่าวเกี่ยวกับการเดินรถ เดินเรือ เดินอากาศ หรือรูปแบบทิศทางการ
คมนาคม การใช้เสน้ ทางคมนาคม รวมท้งั อตั ราคา่ โดยสารและการขนสง่ ตา่ งๆ
3.7 ข่าวธุรกิจ ได้แก่ ข่าวเกี่ยวกับแนวโน้มของธุรกิจในอนาคต การแข่งขันทางธุรกิจ การดำเนิน
ชีวิตของประชาชนทั่วไปซึ่งจะถูกตีค่าอยู่ในรูปของธรุ กิจ ความสนใจในเรื่องค่าครองชีพ และเทคนิคที่จะทำให้
ประสบความสำเร็จในด้านธรุ กจิ
4. ข่าวอาชญากรรม เป็นข่าวความขัดแย้งและความรุนแรงที่สูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน ข่าวความ
ปลอดภยั ในชวี ิตและทรัพย์สินของประชาชน รวมถึงข่าวอบุ ตั เิ หตทุ ท่ี ำใหส้ ูญเสียชวี ติ และทรัพย์สิน ได้แก่ รถชน
เรือคว่ำ เคร่อื งบินตก ไฟไหม้ และการวางระเบดิ และการกอ่ วินาศกรรม เปน็ ต้น
12
5. ข่าวการเกษตร เป็นข่าวเกี่ยวกับเกษตรกร พืชผักผลไม้ ราคาสินค้า ผลิตผลการเกษตร ปริมาณ
การขาย วิธีการเกษตรกรรมต่าง ๆ เช่น เกษตรทฤษฎีใหม่ ไร่นาสวนผสม เป็นต้น การส่งออกของพืชผลทาง
การเกษตร การเลี้ยงสัตว์ การขยายพันธุ์พืชและสัตว์ โรคระบาดของพืชและสัตว์ รวมถึงเทคโนโลยีที่ใช้ในการ
ผลิต เชน่ พืชตัดแต่งพนั ธกุ รรมหรอื จีเอ็มโอ เปน็ ตน้
6. ขา่ วการศึกษา เป็นขา่ วที่เก่ยี วกบั ระบบการทำงานและการบรหิ ารงานของสถานศึกษาในทุกระดับ
เช่น โรงเรียน วิทยาลัย และมหาวิทยาลัยทั้งภาคเอกชนและรัฐบาล การรายงานความก้าวหน้าและความ
เคลื่อนไหวในวงการศึกษาในทุก ๆ ด้านทั้งด้านหลักสูตรการเรียนการสอน การบริหารงาน ผู้สอน ผู้เรียน
กจิ กรรมส่งเสริมการศกึ ษาในแตล่ ะดา้ น และการใชเ้ ทคโนโลยเี ขา้ ช่วยในกจิ กรรมการเรียนการสอน
7. ข่าวศลิ ปะและวฒั นธรรม เป็นข่าวท่ีเกี่ยวข้องกบั ความเจริญงอกงามของอารยธรรมแหง่ สังคม เช่น
การแตง่ กาย ภาษา ประเพณี วถิ ชี ีวิต ความคิด ความเช่อื รวมถึงศลิ ปินและศลิ ปะแขนงตา่ ง ๆ เป็นต้น อันเป็น
การอนุรักษ์ทำนุบำรุงวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของชาติซึ่งเป็นการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนในการ
“เฝ้าระวงั ” ทางวฒั นธรรม
8. ข่าววิทยาศาสตร์และวิจัย เป็นเรื่องเกี่ยวกับการค้นคว้าวิจัย การค้นพบในศาสตร์แขนงต่าง ๆ
โดยทั่วไปจะมีเนื้อหาเกี่ยวกับการค้นพบหลักการหรือทฤษฎีและข้อเท็จจริงใหม่ ๆ เพิ่มเติมจากความรู้เดิม
เปน็ การพิสูจน์ ประยกุ ตใ์ ชห้ ลกั การ ทฤษฎขี องแตล่ ะศาสตร์ การทดลอง คน้ ควา้ พัฒนา ประดษิ ฐส์ งิ่ ใหม่ ๆ เชน่
การทดลองวัคซีนโรคเอดส์ การค้นคว้าเกี่ยวกับระบบจักรวาล การพัฒนาเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์อันจะ
นำไปสู่ความเจริญกา้ วหนา้ ในดา้ นต่าง ๆ ของมวลมนุษยชาติ เปน็ ต้น
9. ข่าวสังคม เป็นข่าวเกี่ยวกับบุคคลระดับต่าง ๆ ในสังคมในส่วนของกิจกรรมความเคลื่อนไหว
การดำเนินชีวิตต่าง ๆ เช่น ข่าวการแต่งงาน การเปดิ ธุรกจิ ใหม่ งานเลยี้ ง เปน็ ต้น
10. ข่าวเด็กและสตรี เป็นข่าวความเคลื่อนไหวของกิจกรรมสตรี เด็กและเยาวชนด้านต่าง ๆ ทั้งใน
ส่วนที่เป็นสาระ เช่น ข่าวความเคลื่อนไหวของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิง อาทิ การสัมมนาพิเศษ
การอภิปราย การประชุม งานเลี้ยงแสดงความยินดี การบริจาคเพื่อการกุศล การทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม
การประกอบธุรกิจของผู้หญิง ปญั หาสังคมทเ่ี กี่ยวกับสตรี เดก็ และเยาวชน เป็นต้น และส่วนทเี่ ป็นความบันเทิง
ซง่ึ รวมถงึ ข่าวเกีย่ วกับความสวย ความงาม เชน่ แฟช่ัน เคลด็ ลับความงาม การเลยี้ งลูก เป็นต้น
11. ข่าวกีฬา ส่วนใหญ่จะเป็นการรายงานรายละเอียดของเกมการแข่งขันกีฬาและผลของการ
แข่งขันกีฬานานาประเภท ประวัติความเป็นมาของเกมการแข่งขัน ผู้แข่งขันแต่ละฝ่าย สถิติของการแข่งขัน
สภาพสนามที่ใช้แข่งขัน สภาพอากาศ การทำนายผลการแข่งขันล่วงหน้า การฝึกซ้อมก่อนการแข่งขัน
ความพร้อมของผู้แข่งขันของแต่ละฝ่าย เงินรางวัล รวมทั้งการสัมภาษณ์ข้อคิดเห็นต่อการแข่งขันของ
ผู้เกี่ยวข้องกับการแข่งขันกีฬาประเภทนั้น ๆ เช่น ผู้สนับสนุนการแข่งขัน ผู้จัดการแข่งขัน ผู้จัดการทีมและ
ผ้ฝู กึ สอน เป็นตน้
12. ข่าวบนั เทิง มกั จะเป็นการรายงานเรอ่ื งที่เกยี่ วข้องกบั วงการบันเทงิ ทั้งในวงการภาพยนตร์ ดนตรี
หนงั สือ ศิลปกรรม วิทยโุ ทรทัศน์ วทิ ยุกระจายเสียงและการละคร เปน็ ตน้ โดยทว่ั ไปข่าวบันเทิงมีแนวโน้มท่ีจะ
เสนอขา่ วกจิ กรรมความเคลอ่ื นไหวในวงการดงั กล่าว รวมท้ังเม่อื มผี ลงานหรือผลผลิตออกมาใหม่ เช่น การสรา้ ง
13
ภาพยนตร์เรื่องใหม่ การผลิตรายการละครทางวิทยุโทรทัศน์ การผลิตเพลงชุดใหม่ เป็นต้น นอกจากนี้จะเป็น
เนอื้ หาสาระของข่าวเกี่ยวกับบุคคลท่ีสำคัญหรอื มีส่วนเกยี่ วข้องกับวงการบนั เทิงทัง้ ที่เปน็ ผู้ที่อยู่ในวงการบันเทิง
โดยตรงหรอื ไมก่ ต็ าม เชน่ ดาราหรอื นักแสดง นักร้อง ผกู้ ำกับ ผอู้ ำนวยการสร้าง เปน็ ต้น ซึง่ จะมขี ่าวที่เกีย่ วข้อง
ในประเด็นต่าง ๆ เช่น การเตรยี มตัวของดาราหรือนกั แสดง นักรอ้ ง เพอ่ื ผลิตงานชุดใหม่
13. ข่าวสิ่งแวดล้อม มักจะเป็นข่าวเกี่ยวกับสภาพสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันและอนาคต เช่น สภาพป่า
แม่น้ำ ลำคลอง หนองบึง ทะเล ป่าชายเลน เป็นต้น รวมถึงเรื่องนิเวศวิทยา โรงงานอุตสาหกรรมที่ปล่อยของ
เสยี ชนิด ต่าง ๆ ไดแ้ ก่ น้ำเสยี อากาศเป็นพิษ ฝนุ่ ผงละออง ขยะ เปน็ ต้น นอกจากน้ียงั มีเรอ่ื งทรพั ยากรประเภท
ต่าง ๆ ที่มีการค้นพบและนำออกมาใช้อย่างไม่รู้คุณค่านำมาซึ่งความเสื่อมโทรมของทรัพยากรและสิ่งแวดลอ้ ม
เป็นอย่างมากจนเกิดกลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติต่าง ๆ ขึ้นมาแล้วรณรงค์เพื่อการอนุรักษ์ พิทักษ์ ตลอดจนการนำ
ทรัพยากรมาใชอ้ ยา่ งประหยัด
14. ข่าวเทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์ มักจะเป็นข่าวที่เกี่ยวกับการคิดค้นพัฒนาความก้าวหน้าของ
เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับคอมพิวเตอร์ โปรแกรมประยุกต์
คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์เคลื่อนที่ รวมถึงเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้แก่ อินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต เป็นต้น ทั้งนี้ยัง
อาจรวมถึงข่าวเกี่ยวกับระบบเทคโนโลยีการสื่อสารอันทันสมัยต่าง ๆ ได้แก่ การสื่อสารผ่านดาวเทียม
การสอื่ สารผ่านเส้นใยนำแสงและการส่ือสารแบบไร้สายระบบดิจทิ ัล เปน็ ต้น ซง่ึ เปน็ ข่าวทไ่ี ดร้ ับความสนใจเป็น
อยา่ งสงู ในยคุ ปัจจบุ ัน
15. ข่าวศาล เป็นข่าวที่เกิดขึ้นตามกระบวนการยุติธรรม ตามคำพิพากษาของศาลทั่วประเทศ
ข่าวศาลจะได้ รบั ความสนใจมากหรือน้อยขนึ้ อยู่กบั คู่กรณีเปน็ คนดังหรือไม่ หรอื ผลเสยี หายท่ีเกิดข้ึนกับฝ่ายใด
ฝา่ ยหน่ึงมากมายขนาดไหน
16. ข่าวบริการ ได้แก่ แจง้ ความ รบั สมคั ร พยากรณ์อากาศ ราคาสนิ ค้าประจำวนั เปน็ ต้น
อย่างไรกต็ ามเน่ืองจากในสังคมยุคปัจจุบนั มคี วามเคลอื่ นไหวและเปลยี่ นแปลงอย่ตู ลอดเวลา จึงเปน็ ผล
ให้ผู้บริโภคข่าวในแต่ละช่วงวัยอาจมีความต้องการในการบริโภคข่าวใหม่ ๆ ซึ่งมีเนื้อหาที่แตกต่างกันอยู่
ตลอดเวลากเ็ ปน็ ได้
3.4 โครงสรา้ งของขา่ ว
โครงสรา้ งของข่าวแบ่งออกเปน็ 3 สว่ น ดังนี้ แวมมยรุ า เหมือนนิล (2541 : 59-61)
1. พาดหัวขา่ ว (Headline) เป็นจุดดงึ ดดู ความสนใจและบอกใหผ้ ู้อ่านและบอกใหผ้ ู้อ่านรู้ว่าประเด็น
สำคัญที่สุดของข่าวนั้นคืออะไร ข่าวที่หนังสือพิมพ์เห็นว่าสำคัญจะพาดด้วยตัวอักษรใหญ่กว่าข่ าวที่มี
ความสำคัญน้อย สำหรับข่าวทีม่ ีความสำคัญมาก ไม่สามารถเก็บไว้ในพาดหัวข่าวได้เพียงพอ อาจมีการ “พาด
หัวขา่ วรอง” (Sub headline) เพ่มิ เตมิ อกี สว่ นหน่ึง
14
2. ความนำหรือวรรคนำ (Lead) เป็นส่วนที่อยู่ต่อเนื่องจากพาดหัวข่าวและพาดหัวข่าวรอง โดย
ผเู้ ขยี นขา่ วจดั จบั ประเดน็ สำคญั ของเหตุการณ์ทั้งหมดมารายงานอย่างสัน้ ๆ วา่ มอี ะไรเกิดขึน้ บา้ ง
3. เนื้อข่าว (Body) เป็นรายละเอียดของเหตกุ ารณห์ รือเรือ่ งราวท่ีเกิดข้ึน โดยมีรูปแบบการนำเสนอ
ได้หลายอย่าง เช่น เรียงลำดบั ตามความสำคญั ของเหตุการณ์หรือเรียงลำดบั ตามระยะเวลาทเี่ หตุการณ์ เป็นต้น
แต่ที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือการรายงานข่าวโดยเรยี งลำดับตามเหตุการณส์ ำคัญมากไปยงั เหตุการณ์สำคัญน้อย
เพือ่ ให้ผู้อา่ นจบั สาระสำคญั ของขา่ วไดร้ วดเร็วทสี่ ดุ โดยใช้เวลาอา่ นน้อยทส่ี ดุ
4. ความรู้พ้นื ฐานเกี่ยวกบั เทคนิค SQ6R
4.1 ความหมายของการจดั การเรยี นรู้ดว้ ยเทคนิค SQ6R
มาธา (Metta, 2007 อ้างถึงใน อารีย์ ทองเพ็ง, 2556 : 70) กล่าวว่า การจัดการเรยี นการสอนด้วยวิธี
SQ6R เปน็ การสอนอ่านทเ่ี นน้ ใหผ้ เู้ รียนได้เกิดการเรยี นรู้จากบทอา่ นอย่างเป็นระบบ เป็นขน้ั ตอน เชน่ การอ่าน
และสำรวจเน้อื หาในบทอา่ นเพ่ือหาความหมายโดยรวมและประเดน็ สำคญั ๆ ของการอ่าน การถามคำถามจาก
หัวข้อต่าง ๆ ที่พบในขั้นตอนที่สำรวจเนือ้ หา การอ่านเนื้อหาในบทอ่าน การตอบคำถามดัง ๆ ในตอนท้ายของ
แต่ละข้อความเพื่อให้จำเนื้อหาท่ีอ่านได้ การทบทวนประเด็นสำคัญต่าง ๆ ในรูปของงานเขียน นอกจากนี้การ
อ่านเพื่อการเรียนรู้ยังเสริมให้ผู้อ่านได้ฝึกการคิดอย่างเป็นระบบ ผู้อ่านจะต้องอ่านอย่างพินิจพิเคราะห์เพื่อให้
เข้าใจความคดิ ของผูแ้ ต่ง การอ้างอิงสอื่ ต่าง ๆ และการเชือ่ มโยงความคดิ จากสง่ิ หนง่ึ ไปสสู่ ่ิงหนึ่ง เปน็ ต้น
ปิยาภรณ์ ศรีจันทร์ (2557 : 21) ได้สรุปเกี่ยวกับเทคนิค SQ6R ว่า การสอนอ่านด้วยวิธีสอนแบบ
SQ6R เป็นวิธีการสอนอ่านที่พัฒนามาจากวิธี SQ3R (Survey, Question, Read, Recite, Review) โดยเพิ่ม
ข้ันจดบันทึก (Record) เข้าไปหลังจากขั้นอ่านรายละเอียด (Read) ของบทอ่านเพื่อให้นักเรียนบันทึกในสิ่งท่ี
สำคัญ ๆ และสิ่งที่จำเป็นตามความเข้าใจของผู้เรียน และเพิ่มขึ้นสะท้อน (Reflect) หลังจากได้ทบทวน
(Review) เรื่องที่อ่านทั้งหมดแล้ว เพื่อนำไปสู่การมองเห็นภาพโดยรวมได้ชัดเจนขึ้น สุดท้ายเพิ่มขั้นสร้างใหม่
(Reshape) ให้ผู้เรียนได้มีการเปลี่ยนรูปแบบข้อมูลจากบทอ่านที่ผู้เรียนอ่านด้วยวิธีที่ตัวเองถนัด เช่น ทำ
แบบทดสอบตนเอง หรือเขียนสังเคราะห์สิ่งที่ได้เรียนรู้ ซึ่ง SQ6R สามารถสรุปได้ 8 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นสำรวจ
(Survey), ขั้นตั้งคำถาม (Question), ขั้นอ่าน (Read), ขั้นบันทึก (Record), ขึ้นจดจำหรืออ่านออกเสียง
(Recite), ข้นั ทบทวน (Review), ขัน้ สะทอ้ น (Reflect) และข้นั สร้างใหม่ (Reshape)
จากขอ้ ความข้างตน้ พอสรุปได้วา่ การจดั การเรียนรู้ดว้ ยเทคนิค SQ6R เป็นกระบวนการจัดการเรยี นการ
สอนด้วยวิธีการสอนอ่านที่เป็นระบบ มุ่งให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากการอ่าน ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจเรื่องที่อ่าน
และพัฒนาทักษะการอา่ นให้มีประสิทธภิ าพมากยงิ่ ขึน้ ประกอบดว้ ย 8 ขั้นตอน ไดแ้ ก่ ข้ันสำรวจ (Survey), ขั้น
ตั้งคำถาม (Question), ขั้นอ่าน (Read), ขั้นบันทึก (Record), ขึ้นจดจำหรืออ่านออกเสียง (Recite), ข้ัน
ทบทวน (Review), ข้นั สะท้อน (Reflect) และขัน้ สรา้ งใหม่ (Reshape)
15
4.2 ความเป็นมาของการจดั การเรยี นรู้ดว้ ยเทคนิค SQ6R
วิลเลียม (Williams, 2010 อ้างถึงใน จันทนา สุขสมบูรณ์, 2554 : 18-19 อยู่ในธันยาลักษณ์) กล่าว
ว่าในปี ค.ศ. 1946 นักจิตวทิ ยาชอื่ ฟรานซิล โรบินสัน (Francis Robinson) ไดพ้ ัฒนาเทคนคิ การอา่ น และ การ
เรียนรู้เนื้อหาในบทอ่าน เรียกว่า SQ3R ซึ่งย่อมาจากค้นคว้า (Survey) ถาม (Question) อ่าน (Read) จดจำ
(Recite) และทบทวน (Review) เป็นเทคนิคที่สอนให้ผู้เรียนรู้จักตั้งคำถามก่อน การอ่านเนื้อหา ซึ่งจะช่วยให้
ผู้เรียนเข้าในเนื้อหาที่มีความสลับซับซ้อนมากขึ้น ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา นักวิชาการหลายๆ ท่านก็ได้นำกล
ยุทธการอ่านแบบ SQ3R เขา้ ไปใช้ในงานวจิ ยั ทีเ่ ก่ียวกบั การอ่านเพื่อ ความเขา้ ใจและการเรียนรู้เรอื่ ยมา
ต่อมาปี ค.ศ. 1972 Thomas and Robinson ได้พัฒนาเทคนิค PQ4R ซึ่งย่อมาจาก Preview
(ดมู าก่อน) Question (ถาม) Read (อ่าน) Reflect (สะท้อนกลับ) Recite (จดจำ) Review (ทบทวน)
ปี ค.ศ. 1994 Michael Shaughnessy ได้พัฒนาเทคนิค SQ10R ขึ้นเพื่อช่วยให้ผู้เรียน ชั้นปีที่ 1 ใน
มหาวิทยาลัยมีความสามารถในการอ่านหนังสือและงานวิจัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ Jeweleane
Whittaker พัฒนาเทคนิคชื่อ FAIRER เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถอ่านได้เข้าใจและอ่านได้ เร็วไปพร้อม ๆ กัน
FAIRER ย่อมาจาก Scan for Facts (อ่านแบบกวาดสายตาหาความจริง), Ask Question (ตั้งคำถาม),
Identity Details as Major or Minor (หารายละเอียดของเนื้อหาและสามารถบอกได้ว่าเป็นเนื้อหาสำคัญ
หรือเนื้อหาย่อย), Read the Work as a whole (อ่านงานโดยรวม), Evaluate Comprehension (วัดความ
เข้าใจ), Review by Summarizing Each Subheading (ทบทวนความเขา้ ใจโดยทำการสรุปแต่ละหวั ข้อยอ่ ย)
ปี ค.ศ. 1999 Feldt and Moore ได้ดัดแปลง SQ3R จากเทคนิคดั้งเดิม เล็กน้อยในขั้น Survey ให้
อ่านบทนำหรือบทคัดย่อก่อน เพื่อให้สามารถนำความรู้เดิมกับข้อมูลใหม่ มารวมเข้า ด้วยกัน และขั้นการต้ัง
คำถาม ใชค้ ำถามของผเู้ รยี นท่ถี ามไว้มาหาคำตอบรว่ มกัน
ปี ค.ศ. 2010 วิลเลี่ยม (Willianm) ได้แนะนำให้ผู้เรียนใช้วิธี SQ6R ในการอ่านงานวิจัย หรือบทอ่าน
ซงึ่ พฒั นามาจากทั้งของโรบินสนั Robinson, Felt and Moore, whittaker and Shaughnessy
และ จันทนา สุขสมบูรณ์ (2554 : 21) ยังได้สรุปไว้ว่า การอ่านการสอนอ่านด้วยเทคนิค SQ6R
(Survey, Question, Read, Record, Recite, Review, Reflect, Reshape) เป็นเทคนิคการสอนอ่านที่
พัฒนามาจากเทคนิค SQ3R (Survey, Question, Read, recite, review) โดยเพิ่มข้ัน จดบันทึก (Record)
เข้าไปหลังจากขั้นอ่านรายละเอียด (Read) ของบทอ่าน เพื่อให้นักเรียนบันทกึ ในสิ่งทีส่ ำคญั ๆ และสิ่งที่จำเป็น
ตามความเข้าใจของผู้เรียน และเพิ่มข้ันสะท้อน (Reflect) หลังจากได้ ทบทวน (Review) เรื่องที่อ่านทั้งหมด
แล้ว เพื่อนำไปสู่การมองเห็นภาพโดยรวมได้ชัดเจนขึ้น สุดท้ายเพิ่มขั้นก่อร่างใหม่ (Reshape) ให้ผู้เรียนได้มี
การเปลี่ยนรูปแบบข้อมูลจากบทอ่านที่ผู้เรียนอ่านด้วยวิธีที่ตัวเองถนัด เช่น ทำแบบทดสอบตนเอง ทำภาพ
โพสเตอร์ หรอื เขียนสังเคราะห์ส่ิงที่ไดเ้ รียนรู้
16
4.3 ลักษณะการจัดการเรียนรดู้ ว้ ยเทคนคิ SQ6R
อารี ทองเพ็ง (2556 : 77–78) กล่าวถึงลักษณะการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิค SQ6R ว่า ในแต่ละ
ข้นั ตอนนัน้ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ฝึกการใชก้ ลวธิ ตี ่าง ๆ ในการอ่านเพ่อื ชว่ ยให้เกดิ ความเข้าใจในการอ่านท้ังส้ิน
ผู้เรียนได้มีโอกาสได้ฝึกกลวิธกี ารเรยี นรู้ตา่ ง ๆ เพราะว่าการสำรวจเนือ้ หาเพื่อหาความหมายโดยภาพรวม การ
ตั้งคำถามเป็นคำถามทีเ่ กี่ยวขอ้ งกับเรื่องท่ีอา่ น โดยคำถามนั้นช่วยใหก้ ารอ่านเป็นไปอย่างมีจดุ มุง่ หมาย ทีส่ ำคัญ
ได้การกลับมาอ่านเนื้อหาอีกครั้งเป็นการอ่านสำหรับหาคำตอบที่ได้ตั้งไว้ การใช้คำพูดของตนเอง ตอบคำถาม
หรือพูดจากความจำออกมา เพราะการพูดออกมาเป็นการแสดงให้เห็นถึงความจำของตนเองว่าสามารถถอด
ความหมายของเรื่องที่อ่านได้อย่างครบถ้วน การบันทึกสิ่งทีไ่ ด้อ่านและตอบโดยใช้คำและกลุ่มคำท่ีง่ายต่อการ
จดจำไม่ยากจนเกินไป อาจบันทึกให้ออกมาในรูปแบบของแผนผังความคิด เมื่อสามารถบนั ทึกสิ่งที่ได้อ่านแล้ว
การเขียนสิ่งที่ได้จากเรื่องที่อ่านสรุปใจความที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่อ่าน ประกอบด้วยใจความหลักของเรื่อง
ใจความรองของเรื่อง ซึ่งจะต้องกรอบคลุมเนื้อหาทั้งหมด เพื่อเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงทักษะกระบวนการ
เขียนของผู้เรียนผ่านทางการเขียนสรุปความหลังจากที่ได้อ่านจนจบแล้ว การทบทวนเรื่องทั้งหมดและหากไม่
แนใ่ จส่วนใด ตอนใดของเรอ่ื ง ให้กลบั ไปอ่านช้ำใหม่ เพ่อื ใหเ้ ข้าใจเร่ืองทอี่ า่ นไดม้ ากข้นึ ซ่งึ ในระหวา่ งการดำเนิน
กิจกรรมทั้ง 8 ขั้นตอน ผู้สอนสามารถสอนวิธีการ การเขียนสรุปความและถามคำถามเก่ียวกับเนื้อหาวิชา
เพิ่มเติม เพื่อที่จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถใช้ความรู้เชื่อมโยงให้ สัมพันธ์กับสภาพและระดับความเหมาะสมของ
ผู้เรียนได้
ในส่วนของการเรียนรู้จากการปฏิบัติตามขั้น Reshape การจัดการเรียนการสอนด้วยวิธี SQ6R ท่ี
เพิ่มขึ้นนั้นจะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจความหมายที่ถูกต้องของบทอ่าน เช่น ทักษะการจดบันทึก การจัดลำดับ
ความคิด การแก้ปญั หาต่าง ๆ ท่ีปรากฏในบทอา่ น เปน็ ตน้ นอกจากผ้เู รียนจะได้ประสบการณ์การเรียนรู้วิธีการ
นำเสนอข้อมูลของสื่อต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ นอกจากนี้กิจกรรมที่สำคัญของการเรียนรู้จากการจัดการเรียน
การสอนด้วยวธิ ี SQ6R คือ กิจกรรมการจดบันทึก กิจกรรมการอภิปราย การได้พูดคุยหลังการอ่านช่วยให้เกดิ
การเรียนร้ภู าษาและการเรียนรเู้ นื้อหา ผู้เรยี นควรไดร้ บั โอกาสให้แสดงความคิดเห็น และในระหว่างการดำเนิน
กจิ กรรมดังกล่าว ผสู้ อนสามารถถามคำถามเกยี่ วกับเน้ือหาทจี่ ะช่วยใหผ้ ู้เรียนดึงเอาความรู้และแนวคิดจากบท
อ่านใหไ้ ปสัมพันธ์ในชวี ติ จรงิ ของผู้เรียน
การจัดการเรียนการสอนด้วยวิธี SQ6R ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นความรู้เดิมของผู้เรียนเกี่ยวกับ
เนอื้ หาที่อา่ นและการสอนองคป์ ระกอบของภาษาทจ่ี ำเปน็ สำหรับการอ่าน รามไปถงึ การกระตุ้นความสนใจของ
ผเู้ รียนใหอ้ ยากอา่ น เพราะสง่ ผลตอ่ ความเข้าใจในการอ่าน
4.4 ข้ันตอนการจัดการเรยี นรดู้ ว้ ยเทคนิค SQ6R
การจัดการเรียนการสอนจะยึดวิธีสอนแบบ SQ6R มีขั้นตอนดังน้ี อะวิลา (Avila, 2010 อ้างถึงใน
จันทนา สุขสมบูรณ์, 2554 : 20-21) กล่าวว่า SQ6R พัฒนามาจาก SQ3R เพื่อให้ผู้เรียนได้ตรวจสอบความ
เขา้ ใจของตัวเอง สามารถสร้างและตอบคำถามด้วยตวั เอง สามารถวเิ คราะหโ์ ครงสร้างของเน้ือหา และสามารถ
สะท้อนการเรยี นรู้ของตัวเองได้ ประกอบไปด้วย 8 ข้นั ตอน ดังนี้
17
1. ขั้นสำรวจ (Survey) โดยครูให้นักเรียนสำรวจเรื่องที่อ่านอย่างคร่าว ๆ ว่ามีหัวเรื่อง หรือหัวข้อ
ยอ่ ยอะไรบ้าง
2. ขั้นตั้งคำถาม (Question) การตั้งคำถามจะทำให้ผู้อ่านมีความอยากรู้อยากเห็น ดังนั้นจึงเพ่ิม
ความเข้าใจในการอ่านมากยิ่งขึ้น คำถามจะช่วยให้ผู้อา่ นระลกึ ถึงความรู้เดิมที่มอี ยู่เกี่ยวกับเร่ืองที่กำลังอ่านใน
เวลาเดียวกันก็การจะต้องถามตัวเองดูว่าใจความสำคัญที่ผู้เขียนกำลังพูดถึงอยู่นั้นคืออะไร ทำไมจึงสำคัญ
สำคัญอย่างไร และเกี่ยวข้องกับอะไรหรือใครบ้าง ตอนไหนและเมื่อไร อย่างไรก็ตามควรพยายามตั้งคำถามให้
ได้ เพราะจะช่วยให้การอ่านในข้ันต่อไปเป็นไปมีจุดมุ่งหมายและสามารถจับประเด็นสำคัญได้ถูกต้องไม่
ผดิ พลาดในข้ันอา่ น
3. ขั้นอ่าน (Read) เป็นการอ่านข้อความในบทหรือตอนน้ัน ๆ ซ้ำอย่างละเอียด และขณะเดียวกันก็
ค้นหาคำตอบสำหรับคำถามที่ได้ตั้งไว้ ในขั้นนี้จะเป็นขั้นอ่านเพื่อจับใจความและจับประเด็นสำคัญ ๆ โดย
แทจ้ รงิ ขณะทีก่ ำลงั อ่านอยูถ่ า้ นกึ คำถามได้อกี กอ็ าจใชว้ ิธจี ดบนั ทึกไวใ้ นท่ีวา่ งริมหนา้ หนงั สือก่อน แลว้ ต้งั ใจอา่ น
ตอ่ ไปจนกว่าจะได้รบั คำตอบที่ต้องการ
4. ข้ันบันทึก (Record) ใหผ้ เู้ รยี นจดบนั ทกึ ข้อมูลตา่ ง ๆ ทีไ่ ดอ้ ่านจากขัน้ ตอนท่ี 3 โดยมุง่ จดบันทกึ ใน
ส่วนที่สำคญั และสง่ิ ทีจ่ ำเปน็ โดยใชข้ ้อความอย่างรัดกุมหรอื ยอ่ ๆ ตามความเขา้ ใจของผ้เู รยี น
5. ขั้นจดจำหรืออา่ นออกเสยี ง (Recite) ให้นักเรียนทำความเข้าใจคำตอบและเน้ือเรือ่ งจากการอ่าน
แล้วจดจำ โดยการจดบันทกึ ยอ่ หรือขดี เส้นใตเ้ พือ่ เตอื นความจำของตนเอง
6. ขั้นทบทวน (Review) ให้นักเรียนทบทวนเรื่องที่อ่านทั้งหมด โดยการอ่านคำถามที่นักเรียนได้ตง้ั
ไว้ และคำตอบของแต่ละขอ้ ให้ครแู ละเพ่ือนฟัง
7. ขั้นสะท้อน (Reflect) ผู้เรียนขยายความในสิ่งที่ตนเองเรียนรู้ โดยการตั้งคำถาม โดยพิจารณาว่า
คำถามที่ตนสร้างขึ้นกับข้อความที่ตนจดบันทึกสามารถช่วยให้ตัวเองมุ่งความสนใจและเรียนรู้ประเด็นสำคัญ
ของเนื้อหาหรือไม่
8. ขั้นก่อร่างใหม่ (Reshape) นักเรียนเปลี่ยนรูปแบบข้อมูลจากบทอ่านที่อ่าน โดยผ่านวิธีการท่ี
ตัวเองถนัด เชน่ ทำแบบทดสอบตนเอง ทำภาพโพสเตอร์ หรอื เขยี นแบบสงั เคราะหจ์ ากสง่ิ ทต่ี นเองเรยี นรู้
นอกจากนี้ วิลเลียม (Wiliams, 2010 : 199 อ้างถึงใน จันทนา สุขสมบูรณ์, 2554 : 19-20) ยังได้
กล่าวว่า S06R ได้มีการแนะนำให้ผู้เรียนใช้ในการอ่านงานวิจัยหรือบทอ่าน ซึ่งพัฒนามาจากทั้งของโรบินสัน,
เฟลท์และมัวร์ และวิทแทงเคอร์และฌองเนสซี (Robinson, Felt and Moore, and Whittaker and
Shaughnessy) โดยมีการสอนด้วยเทคนิค SQ6R ดังน้ี
Survey (สำรวจ) เช่น จดชื่อเรื่องของบทความ อ่านบทสรุปที่อยู่ใกล้กับชื่อเรื่อง (ถ้ามี)
อ่านแบบกวาดสายตาอยา่ งรวดเรว็
Question (ตั้งคำถาม) เป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความอยากรู้อยากเห็น รวมทั้งการชี้ให้เห็นถึง
คว ามสำคัญและประโ ยช น์ของเนื้อหาที่มีต่อผู้เรียนโ ดย ตรง ส ามารถช ่ว ยให้ผู้เรียนมี
ความกระตือรอื รน้ ที่จะอ่านบทความมากขึน้
18
Read (อ่าน) อ่านบทความแล้วสรุปใจความสำคัญของแต่ละหัวข้อให้อยู่ในรูปหัวข้อย่อยแต่ละส่วน
ให้เหลือเพียงประโยคเดียว เพื่อช่วยให้ผู้เรียนบอกได้ว่า อะไรคือใจความสำคัญของแต่ละย่อหน้า หรือจด
บันทึกและหาความหมายของคำศพั ท์ใหม่ ๆ ชว่ ยใหผ้ ู้เรียนมั่นใจมากขึน้ เพือ่ ลดความสับสน
Reflect (การสะท้อน) เป็นขั้นให้ความสนใจกับรายละเอียดเพื่อนำไปสู่การเห็นภาพโดยรวมได้
ชดั เจนข้นึ
Review (ทบทวน) เป็นขั้นทบทวนหัวข้อเรื่อง บทสรุปใจความสำคัญ สรุปย่อ สำรวจตารางและ
แผนภมู ิตา่ ง ๆ เพ่อื หาความสำคญั เพ่อื เตรียมตัวสำหรบั อภปิ รายในชน้ั เรียน
Rehash (ปรบั ปรงุ ใหม่) เป็นข้ันท่ีผูเ้ รียนได้แสคงความคิดเหน็ และรบั ฟังความคิดเหน็ ซง่ึ กันและกันใน
ชั้นเรยี น
Rethink (คิดอกี รอบ) เปน็ ข้ันท่ีผู้เรียนคดิ ทบทวนและเขียนส่ิงทเี่ พ่ือนแนะนำ
Revaluate (ประเมินผลอีกครั้ง) เป็นขั้นที่ผู้เรียนได้แก้ไขหัวเรื่อง บทสรุป และบทสรุปโดยย่อ (ถ้า
จำเปน็ ) และสรา้ งแผนการเพือ่ ใช้ข้อมูลที่มีถ้าผูเ้ รียนอยใู่ นสถานการณ์อยา่ งน้ี
จากแนวคิดดังกล่าวสามารถสรุปขั้นตอนการสอนด้วยเทคนิค SQ6R ได้ 8 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นสำรวจ
(Survey) ขั้นตั้งคำถาม (Question) ขั้นอ่าน (Read) ขั้นบันทึก (Record) ขั้นจดจำ (Recite) ขั้นทบทวน
(Review) ข้ันสะท้อนกลบั (Reflect) และข้ันสรา้ งใหม่ (Reshape) แสดงรายละเอยี ดไดด้ งั นี้
1. ขั้นสำรวจ (S : Survey) เป็นขั้นการอ่านอย่างคร่าว ๆ เพื่อสำรวจหาหัวข้อเรื่อง ใช้เวลาในการ
อา่ นไม่นานเกนิ ไป จะช่วยให้ผ้อู ่านเรียบเรียงแนวคดิ ขอบขา่ ยของเร่ืองตา่ ง ๆ ได้
2. ขน้ั ตง้ั คำถาม (Q : Question) เปน็ ขั้นทผ่ี อู้ า่ นต้งั คำถามเกย่ี วกบั เรอ่ื งที่อ่าน การต้ังคำถามจะทำ
ให้ผู้อ่านมีความอยากรู้อยากเห็น ดังน้ันจึงเพิ่มความเข้าใจในการอ่านมากยิ่งขึ้น คำถามจะช่วยให้ผู้อ่านระลึก
ถงึ ความรู้เดิมทีม่ ีอยเู่ ก่ยี วกับเรื่องที่อ่าน ชว่ ยใหผ้ ู้อา่ นเขา้ ใจเร่อื งได้เร็ว และที่สำคญั ก็คือ คำถามจะต้องสัมพันธ์
กับเรื่องราวที่กำลังอ่าน ในเวลาเดียวกันก็ควรถามตัวเองว่าใจความสำคัญคืออะไร ทำไมจึงสำคัญ สำคัญ
อย่างไร และเกี่ยวข้องกับอะไรหรือใครบ้าง ตอนไหนและเมื่อไร อย่างไรก็ตามควรพยายามตั้งคำถามให้ได้
เพราะจะช่วยให้การอ่านในขั้นต่อไปเป็นไปอย่างมีจุดมุ่งหมายและสามารถจับประเด็นสำคัญได้ถูกต้องไม่
ผิดพลาด
3. ขั้นอ่าน (R1 : Read) เป็นขั้นที่อ่านข้อความในบทหรือตอนนั้น ๆ อย่างละเอียด และใน
ขณะเดียวกันก็ค้นหาคำตอบสำหรับคำถามที่ได้ตั้งไว้ ในขั้นนี้จะเป็นการอ่านเพื่อจับใจความและจับประเด็น
สำคัญ ๆ โดยแท้จริง ขณะที่กำลังอ่านอยู่ถ้านึกคำถามได้อีกก็อาจใช้วิธีจดบันทึกไว้ก่อน แล้วตั้งใจอ่านต่อไป
จนกวา่ จะได้รบั คำตอบทต่ี ้องการ
4. ขั้นบันทึก (R2 : Record) เป็นขั้นที่ผู้อ่านจดบันทึกข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้จากขั้นอ่าน โดยมุ่งจด
บนั ทกึ ในส่วนที่สำคญั และสิง่ ทีจ่ ำเป็น โดยใชข้ ้อความอย่างรดั กุมหรอื ยอ่ ๆ ตามความเข้าใจของผู้อา่ น
19
5. ขั้นจดจำ (R3 : Recite) เป็นขั้นที่ผู้อ่านทำความเข้าใจกับคำตอบที่ได้แล้วจดจำ อาจใช้การจด
บันทึกย่อหรือขีดเส้นใต้ การท่องจำ เขียนสรุปใจความสำคัญ ๆ ไว้ โดยพยายามใช้ถ้อยคำเป็นของตนเอง
อาจจะเริม่ ตน้ ด้วยการอ่านทวนคำถามซำ้ อีก เพ่ือจะได้สรปุ คำตอบไดง้ ่ายข้ึน
6. ขั้นทบทวน (R4 : Review) เป็นขั้นที่ผู้อ่านทบทวนเรื่องราวทั้งหมด หัวข้อหรือประเด็นต่างๆ
อาจจะอา่ นทบทวนคำถามท่ีตั้งไว้และคำตอบในแต่ละข้อก็ได้ หากไม่แน่ใจตอนใดให้กลับไปอ่านซ้ำใหม่เพ่ือจะ
ได้จำไดด้ ขี ้ึน
7. ขั้นสะท้อนกลับ (R5 : Reflect) เป็นขั้นที่ผู้อ่านแสดงความคิดเห็นในประเด็นที่ผู้เรียนมีความ
คิดเห็นสอดคล้องหรือความคิดเห็นไม่สอดคล้อง บางครั้งอาจขยายความสิ่งที่ไดอ้ ่านโดยการเชือ่ มโยงความคดิ
จากบทอ่านกับความรู้เดิมโดยใช้ภาษาอย่างถูกต้อง พิจารณาว่าคำถามและคำตอบที่ได้ว่าสามารถช่วยให้
ตนเองบรรลุวัตถปุ ระสงคห์ รือเรยี นรปู้ ระเด็นสำคญั ของเรอื่ งไดห้ รือไม่
8. ขั้นสร้างใหม่ (R6 : Reshape) เป็นขั้นที่ ผู้อ่านเปลี่ยนแปลงรูปแบบของข้อมูลที่ได้จากบทอ่าน
ขึน้ มาใหมใ่ หเ้ ป็นข้อมูลของตนเอง ด้วยวธิ กี ารที่ตนเองถนัด เช่น การเขียนสรุปด้วยภาษาของตนเอง สร้างภาพ
โพสเตอร์ การสรา้ งแผนผังความคิด เป็นต้น
วธิ ีการนำเทคนคิ SQ6R มาจดั การเรยี นการสอน
ครูในรายวิชาภาษาไทยสามารถนำนิทาน บทความ เรื่องสั้น กวีนิพนธ์ รวมถึงข่าวสารต่าง ๆ มาให้
นักเรียนอ่านโดยต้องเลือกเรื่องที่มีความเหมาะสมกับระดับชั้น และตรงกับความสนใจของนักเรียน โดยใช้
วิธีการสอนแบบยกตัวอย่างประกอบการอธิบาย และใช้เทคนิค SQ6R เข้ามามีส่วนร่วมในการจำแนก
องค์ประกอบ ซง่ึ ครูผสู้ อนต้องมคี วามรู้ความเข้าใจเก่ยี วกบั เทคนิค SQ6R เป็นอยา่ งดี
ตัวอย่าง
ภาพท่ี 1 เปดิ ที่มาไอเดยี "ก๋วยเตีย๋ วเรือ 50 สตางค"์
ทม่ี า : https://www.thairath.co.th/news/society/2292113
20
เจ้าของรา้ นเปิดทม่ี าไอเดยี "ก๋วยเต๋ียวเรือ 50 สตางค์" พรอ้ มบอกในปจั จบุ นั สินค้าราคาแพงขนึ้
หลายอย่าง หวังชว่ ยลกู คา้ ประหยัดเงนิ
“วันที่ 20 ม.ค. 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่จังหวัดเชียงรายมีร้านชื่อ "ก๋วยเตี๋ยวเรือเหาะ" เปิดเป็น
อาคารพาณิชย์ 2 คูหา เปิดมานานแล้วกว่า 1 ปี และที่นี่เปิดขายก๋วยเตี๋ยวราคาพิเศษถ้วยละเพียงแค่
50 สตางค์
ทางด้าน น.ส.ทัศนา วงเวียน อายุ 26 ปี เจ้าของรา้ น เล่าวา่ ก๋วยเตยี๋ ว 50 สตางค์ นน้ั เกดิ มาจากเพื่อน
ที่มาทานก๋วยเตี๋ยวที่ร้าน แล้วตักเอาเส้นก๋วยเตี๋ยว ผัก และลูกชิ้น ไปวางในถ้วยใส่กากหมู เพื่อจะถ่ายเล่น ๆ
ไปลงในแอปติ๊กต๊อก โดยบอกว่าเป็นก๋วยเตี๋ยวถ้วยละ 50 สตางค์ แต่ปรากฏว่ากลายเป็นกระแสข่าวโด่งดัง
มยี อดวิวกว่า 7 ล้านวิว
จากนั้น ทางร้านจึงมีแนวคิดว่าไหน ๆ ก็เป็นข่าวไปแล้ว จึงจะลองทำออกมาขายดู เพื่อเป็นการ
ประชาสัมพันธ์ร้านก๋วยเต๋ียวเรือเหาะให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น และประจวบกับในปัจจุบันสินค้าราคาแพงขึ้น
หลายอย่าง จึงหาทางช่วยลูกค้าได้ประหยัดเงินด้วย จึงเกิดไอเดีย "ก๋วยเตี๋ยวเรือ 50 สตางค์" ขึ้นมาทั้งน้ี
ก๋วยเตี๋ยวเรือ 50 สตางค์ จะเปิดขายทุกวันพุธเพียง 100 ถ้วยเท่านั้น ซึ่งจะเปิดขายในเวลา 09.00-11.00 น.
แต่ก๋วยเต๋ียวเรือชามธรรมดา ก็เปดิ ขายตามปกติ โดยร้านจะเปดิ ทุกวันจนั ทร์-เสาร์ หยุดวันอาทิตย์ ซ่ึงหลังจาก
เปน็ ข่าวกม็ ลี กู ค้าแวะเวยี นมาถามตลอด ถอื วา่ มีผลตอบรบั ทด่ี เี ปน็ อยา่ งมาก
ทางด้าน นายเกียรติศักดิ์ ศักดิ์ดา อายุ 40 ปี พนักงานบริษัทส่งของแห่งหนึ่ง เผยว่า เห็นจากในคลิป
ของแอปต๊ิกต๊อก วา่ มีก๋วยเตี๋ยวถว้ ยละ 50 สตางค์ จึงพาเพอื่ น ๆ มานัง่ ทานกนั โดยรสู้ กึ ไม่ผดิ หวงั ในรสชาติ”
(จาก ไทยรฐั ออนไลน์ วันที่ 20 มกราคม 2565 เวลา 13.25 น.)
จากเนื้อหาของข่าวเจ้าของร้านเปิดที่มาไอเดีย "ก๋วยเตี๋ยวเรือ 50 สตางค์" พร้อมบอกในปัจจุบันสินค้า
ราคาแพงขึ้นหลายอย่าง หวังช่วยลูกค้าประหยัดเงิน ที่ยกมาข้างต้น สามารถนำมาวิเคราะห์โดยใช้เทคนิค
SQ6R ไดด้ ังตอ่ ไปน้ี
1. ขนั้ สำรวจ (Survey)
- ก๋วยเตย๋ี วเรอื 50 สตางค์
- การขายกว๋ ยเตย๋ี วเรือ
2. ข้ันตั้งคำถาม (Question)
- ใครเป็นคนขาย
- ขายอยู่ทใี่ ด
- เพราะเหตุใดจึงขายก๋วยเตย๋ี วเรอื 50 สตางค์
- คนรจู้ ักกว๋ ยเต๋ยี วเรือ 50 สตางคไ์ ดอ้ ย่างไร
- ขายก๋วยเต๋ยี วเรือราคา 50 สตางคจ์ รงิ หรือไม่
- รสชาติของกว๋ ยเตย๋ี วเรือ 50 สตางคเ์ ปน็ อยา่ งไร
21
- หน้าตาของกว๋ ยเตี๋ยวเรือ 50 สตางคก์ บั กว๋ ยเตย๋ี วชามธรรมดาเหมอื นหรือแตกต่างกนั อยา่ งไร
- รสชาติของก๋วยเตี๋ยวเรือ 50 สตางค์กับก๋วยเตี๋ยวชามธรรมดารสชาติเหมือนหรือแตกต่างกัน
อย่างไร
3. ข้นั อ่าน (Read)
อ่านเน้อื หาของข่าวอยา่ งละเอียดเพอ่ื ตอบคำถามท่ตี ง้ั ไวจ้ ากขัน้ ตอนที่ 2
4. ขั้นบันทกึ (Record)
- ใครเปน็ คนขาย
น.ส.ทศั นา วงเวียน
- ขายอะไร
ขายก๋วยเตยี๋ วเรือ
- ขายอยทู่ ี่ใด
จงั หวัดเชยี งรายมรี ้านช่ือ "กว๋ ยเตย๋ี วเรอื เหาะ"
- เพราะเหตใุ ดจึงขายกว๋ ยเตยี๋ วเรือ 50 สตางค์
เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือเหาะให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น และประจวบกับใน
ปัจจบุ นั สินค้าราคาแพงขน้ึ หลายอย่าง จงึ หาทางช่วยลกู คา้ ไดป้ ระหยดั เงินด้วย
- คนรู้จักก๋วยเต๋ียวเรือ 50 สตางคไ์ ดอ้ ย่างไร
เกิดมาจากเพื่อนที่มาทานก๋วยเตี๋ยวที่ร้าน แล้วตักเอาเส้นก๋วยเตี๋ยว ผัก และลูกชิ้น ไปวางใน
ถ้วยใส่กากหมู เพื่อจะถา่ ยเลน่ ๆ ไปลงในแอปพลิเคชนั ตกิ๊ ตอ๊ ก โดยบอกว่าเปน็ ก๋วยเตีย๋ วถว้ ยละ 50 สตางค์ แต่
ปรากฏว่ากลายเป็นกระแสข่าวโด่งดงั มียอดวิวกว่า 7 ลา้ นววิ
- ขายก๋วยเตยี๋ วเรอื ราคา 50 สตางคจ์ ริงหรอื ไม่
จรงิ
- รสชาติของก๋วยเตี๋ยวเรือ 50 สตางคเ์ ป็นอยา่ งไร
จากข้อความในเนอ้ื ข่าวกล่าวถึงรสชาติของกว๋ ยเต๋ียวเรือ 50 สตางค์วา่ “ไมผ่ ิดหวงั ในรสชาติ”
สามารถอนุมานไดว้ ่ามีรสชาติทีด่ ี
- หนา้ ตาของกว๋ ยเตยี๋ วเรอื 50 สตางคก์ บั ก๋วยเตยี๋ วชามธรรมดาเหมือนหรือแตกต่างกนั อยา่ งไร
-
- รสชาติของก๋วยเตี๋ยวเรือ 50 สตางค์กับก๋วยเตี๋ยวชามธรรมดารสชาติเหมือนหรือแตกต่างกัน
อย่างไร
-
22
5. ขน้ั จดจำ (Recite)
นักเรียนจดจำเนื้อหาข่าว คือ ก๋วยเตี๋ยวเรือ 50 สตางค์เปิดขายท่ีจังหวัดเชียงรายมีร้านช่ือ
"ก๋วยเตี๋ยวเรือเหาะ" โดยเจ้าของร้านคือ น.ส.ทัศนา วงเวียน ซึ่งเหตุผลท่ีขายราคา 50 สตางค์ ก็เพื่อเป็นการ
ประชาสัมพันธ์ร้านและช่วยลูกค้าประหยัดเงิน โดยคนได้รู้จักร้านจากแอปพลิเคชันติ๊กต๊อก รสชาติของ
กว๋ ยเตี๋ยวมีรสชาติดีไมผ่ ิดหวัง
6. ขนั้ ทบทวน (Review)
นักเรียนทบทวนเนื้อหาข่าว เปิดที่มาไอเดีย "ก๋วยเตี๋ยวเรือ 50 สตางค์" จากคำถามที่ตั้งไว้ใน
ขั้นตอนท่ี 2 และคำตอบในแต่ละข้อ หากไม่แน่ใจตอนใดใหก้ ลบั ไปอ่านซ้ำใหมเ่ พ่อื จะไดจ้ ำไดด้ ีขน้ึ
7. ข้นั สะท้อน (Reflect)
นักเรียนร่วมกันพิจารณาคำถาม “รสชาติของก๋วยเตี๋ยวเรือ 50 สตางค์กับก๋วยเตี๋ยวชามธรรมดา
รสชาติเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร” ซึ่งตอบคำถามไม่ได้อย่างชัดเจนตามเนื้อหาของข่าว โดยสามารถ
อนุมานคำตอบของคำถามจากข้อความที่ว่า “...ก๋วยเตีย๋ วเรือ 50 สตางค์ จะเปิดขายทุกวันพุธเพียง 100 ถ้วย
เท่านั้น ซึ่งจะเปิดขายในเวลา 09.00-11.00 น. แต่ก๋วยเตี๋ยวเรือชามธรรมดา ก็เปิดขายตามปกติ โดยร้านจะ
เปิดทุกวันจันทร์-เสาร์ หยุดวันอาทิตย์” ได้ว่า รสชาติของก๋วยเตี๋ยวเรือ 50 สตางค์มีรสชาติที่ดีเหมือนกันกับ
ก๋วยเตี๋ยวชามธรรมดา เพราะเป็นร้านเดียวกัน น่าจะใช้สูตรเดียวกัน อาจแตกต่างกันท่ีปริมาณของก๋วยเตี๋ยว
เท่านัน้
8. ข้นั ก่อร่างใหม่ (Reshape)
นำข้อมลู ท่ีไดท้ ง้ั หมดมาสรปุ เป็นแผนผงั ความคดิ ดงั น้ี
ประชาสมั พันธร์ ้านและ น.ส.ทัศนา วงเวียน รสชาติดีทงั้ ชาม 50 สตางค์
ช่วยลกู คา้ ประหยดั เงิน เจา้ ของร้าน และชามธรรมดา
จุดประสงคท์ ี่ขาย รสชาติ
กว๋ ยเตี๋ยวเรือ 50 สตางค์
ก่อนจะเป็นกว๋ ยเตยี๋ ว เกดิ มาจากเพื่อนที่มาทาน สถานท่ี
เรอื 50 สตางค์ กว๋ ยเตย๋ี วท่รี ้าน แล้วตักเอา
รา้ น "ก๋วยเตี๋ยวเรอื เหาะ"
โดยบอกว่าเป็นก๋วยเตี๋ยว เสน้ ก๋วยเตย๋ี ว ผกั และ จงั หวดั เชียงราย
ถ ้ ว ย ล ะ 50 ส ต า ง ค์ ลกู ช้ิน ไปวางในถ้วยใสก่ าก
แ ต ่ ป ร า ก ฏ ว ่ า ก ล า ย เ ป็ น หมู เพ่ือจะถ่ายเล่น ๆ ไปลง
กระแสข่าวโด่งดังมียอดวิว ในแอปพลเิ คชันตก๊ิ ต๊อก
กว่า 7 ล้านววิ
23
บรรณานุกรม
กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. สืบค้น 1 ตุลาคม 2564.
จ า ก https://drive.google.com/file/d/0 B9 t5 6 k6 dmUe5 TUZwdE5 nRDJ1 dDg/view?
resourcekey=0-z4Xe54UN1Y3FxUAEDcywZw
กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. สืบค้น 1
ตุลาคม 2564, จาก http://academic.obec.go.th/newsdetail.php?id=75
กอบกาญจน์ วงศ์วิสทิ ธิ์. (2551). ทักษะภาษาเพื่อการส่ือสาร. กรงุ เทพฯ: โอเดียนสโตร.์
ขวัญดี อัตวาวุฒิชัย และคณะ. (2546). การใช้ภาษาไทย1. พิมพ์ครั้งที่ 4. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
จันทนา สุขสมบูรณ์. (2554). ผลการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาการอ่านภาษาอังกฤษ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
ด้วยเทคนิค SQ6R. การค้นคว้าอิสระ ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาวิชาหลักสูตรและวิธี
สอน, มหาสารคาม : มหาวิทยาลยั มหาสารคาม.
จิรวัฒน์ เพชรรัตน์ , อัมพร ทองใบ. (2556). ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการอ่าน. กรุงเทพมหานคร:
สำนักพมิ พโ์ อเดยี นสโตร.์
จุไรรัตน์ ลักษณะศิริ และบาหยัน อิ่มสำราญ. (2552). การใช้ภาษาไทย. พิมพ์ครั้งที่ 2. นครปฐม : โรงพิมพ์
มหาวิทยาลัยศลิ ปากร.
เจา้ ของรา้ นเปิดท่ีมาไอเดยี "กว๋ ยเตย๋ี วเรือ 50 สตางค์" พร้อมบอกในปจั จุบนั สนิ ค้าราคาแพงข้ึนหลายอย่าง หวัง
ชว่ ยลูกคา้ ประหยดั เงิน. ไทยรัฐออนไลน์. สืบคน้ 20 มกราคม 2565, จาก
https://www.thairath.co.th/news/society/2292113.
ธนู ทดแทนคณุ และกุลวดี แพทย์พทิ ักษ.์ (2548). ภาษาไทย1. กรุงเทพฯ: โอ.เอส. พร้นิ ติง้ เฮ้าส์.
นาฏตยา ตนานนท.์ (2546). การรายงานข่าว. กรุงเทพฯ: Nut Republic.
ปยิ าภรณ์ ศรจี นั ทร์. (2557). ผลสัมฤทธิท์ างการเรียนภาษาไทยและความสามารถดา้ นการอ่านเชิงวิเคราะห์
โดยใช้วิธีสอนแบบ SQ6R ร่วมกับเทคนิคผังกราฟิก ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3.
วิทยานิพนธ์ ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาวิชาหลักสูตรและวิธีสอน, กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัย
ทกั ษิณ.
ปุณณรัตน์ พิงคานนท์. (2548). การสื่อข่าวและการเขียนข่าวหนังสือพิมพ์. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่ง
จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย.
เปล้อื ง ณ นคร. (2542). ศิลปะแหง่ การอา่ น. กรุงเทพฯ: ขา้ วฟา่ ง.
พศิ ิษฐ์ ชวาลาธวชั . (2540). การรายงานข่าวชนั้ สูง. พิมพค์ ร้งั ท่ี 2. กรงุ เทพฯ : ดอกหญา้ .
24
ฟองจันทร์ สขุ ยงิ่ . (2551). หนงั สอื เรียนรายวิชาพืน้ ฐานภาษาไทย หลกั ภาษาและการใชภ้ าษา.พิมพค์ รัง้ ที่ 4.
กรุงเทพฯ: อกั ษรเจริญทัศน์ จำกัด.
ภาคภูมิ หรรนภา. (2554). การเขียนขา่ วเบอ้ื งต้น. พิมพค์ รั้งท2ี่ . กรุงเทพมหานคร : อินทะนลิ .
ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554. สืบค้น 14 ตุลาคม 2564,
จาก https://dictionary.orst.go.th/
วนิดา พรมเขต. (2559). เอกสารประกอบการสอนรายวิชา การพัฒนาทักษะการอ่าน. สืบค้น 19 มกราคม
2565, จาก http://portal5.udru.ac.th/ebook/pdf/upload/17K46M15k0tsR06mKRRg.pdf
วรรณี โสมประยรู . (2544). เทคนิคการสอนภาษาไทย. กรงุ เทพมหานคร: ดอกหญา้ วิชาการ.
แววมยรุ า เหมอื นนิล. (2556). การอา่ นจบั ใจความ. พมิ พค์ ร้ังท่ี 4. กรงุ เทพฯ: สุวีรยิ าสาสน์ .
ศิริพร ลิมตระการ. (2541). การอ่านภาษาไทย. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัย
สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช.
ศุภวรรณ พิพิธสมบัติ. (2550) การวิเคราะห์เนื้อหาข่าวประชาสัมพันธ์ ในหนังสือพิมพ์รายวันของไทย .
จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย/กรุงเทพฯ. สบื คน้ 19 มกราคม 2565, จาก
https://doi.nrct.go.th/ListDoi/listDetail?Resolve_DOI=10.14457/CU.the.2007.1136.
สถติ าภรณ์ ศรีหิรญั . (2559). เทคนคิ การอ่านเชิงวชิ าการ. พิษณโุ ลก: รัตนสวุ รรณการพมิ พ์ 3.
สมบัติ จำปาเงิน, สำเนียง มณีกาญจน์. (2548). กลเม็ดการอ่านเก่ง. พิมพ์ครั้งที่ 3 กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์
สถาพรบคุ๊ ส์.
สมบัติ ศิริจันดา. (2549). ภาษาไทย 1. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ
วิทยาเขตสุพรรณบรุ .ี
สมพร มนั ตะสตู ร แพง่ พพิ ฒั น.์ (2547). ภาษาไทยเพอ่ื การสอ่ื สารและการสืบค้น. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์.
สมหมาย ปาริจฉัตต์ และอมรพรรณ ซุ้มโชคชัยกุล. (2547). “ประเภทข่าวในหนังสือพิมพ์” ในการ
ขา่ วเบอื้ งต้น, หน่วยท4่ี . กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธิราช.
สายใจ ทองเนยี ม. (2560). ภาษาไทยเพอื่ การสอื่ สาร. กรุงเทพฯ: ซเี อด็ ยูเคช่นั .
สนุ นั ทา กนิ รวี งค.์ (2562). การอ่าน. พิมพค์ รัง้ ที่ 3. ม.ป.ท. : ชัยมงคลปริ๊นตงิ้ .
อารีย์ ทองเพ็ง. (2556). ผลการจัดการเรียนการสอนด้วยวิธี SQ6R ร่วมกับเทคนิค KWL ที่มีต่อ
ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ความเข้าใจในการอ่านและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ภาษาอังกฤษ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาวิชา
หลกั สตู รและวิธสี อน, มหาวทิ ยาลัยทกั ษิณ.