วิชา การป้องกันการทุจริต
สค22022 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
บทที่ 1
การคิดแยกแยะระหว่าง
ผลประโยชน์ส่วนตน
กับผลประโยชน์ส่ววนรวม
วชิ าการปอ้ งกนั การทุจรติ รหัสวชิ า สค22022
ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้น
บทที่ 1 เร่ือง การคดิ แยกแยะระหวางผลประโยชนสวนตนกับผลประโยชนสวนรวม
วตั ถปุ ระสงค์
1. บอกความสำคัญของการคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์สว่ นตนและผลประโยชนส์ ่วนรวม
2. บอกความหมาย ความสำคัญของหลกั การคิดเป็น
3. นำหลักการคดิ เปน็ มาใชใ้ นการปอ้ งกนั การทจุ รติ
4. มคี วามรู้ ความเข้าใจเก่ยี วกบั ผลประโยชนส์ ่วนตนและผลประโยชนส์ ่วนรวม
5. วิเคราะห์การคดิ แยกแยะระหว่างบผลประโยชน์สว่ นตนกบั ผลประโยชน์สว่ นรวม
6. ตระหนักและเห็นความสำคญั ของการมีสว่ นรว่ มในการปอ้ งกันการทจุ รติ
เน้ือหารายวชิ า
เร่อื งท่ี 1 การคดิ แยกแยะ
ความหมายของการคดิ แยกแยะ
คิด หมายถงึ ใคร่ครวญ ไตรต่ รอง คาดคะเน คำนวณ นึก เช่น เร่ืองน้ียากยงั คิดไม่ออก คิดว่าเย็นน้ี
ฝนอาจจะตก คดิ เลขในใจ คดิ ละอาย เป็นต้นแยกแยะ หมายถึง กระจายออกใหเ้ ห็นชัดเจน เชน่ แยกแยะปัญหาให้
เห็นเป็นแต่ละประเด็นไปดังนั้น การคิดแยกแยะ เป็นการคดิ แบบแยกส่วนประกอบ หรือแบบกระจายเนื้อหา เป็น
การคิดทีม่ ุง่ ให้มองและใหร้ ้จู กั สิ่งทง้ั หลายตามความเป็นจรงิ โดยอาศยั การแยกแยะออกเปน็ สว่ นประกอบตา่ ง ๆและมี
การจัดหมวดหมู่หรอื จัดป ระเภทไปพร้อมกัน เช่น ผู้เรียนมาเรียนสาย สามารถแยกแยะสาเหตุของการมาสายได้
ความสำคญั ของการคิดแยกแยะ
1. ช่วยใหม้ องเหน็ ปัญหาตา่ ง ๆ ไดด้ ี
2. ช่วยใหบ้ คุ คลคดิ หาแนวทางในการหลกี เลีย่ งหรอื มอื งกนั ปัญหาได้
3. ชว่ ยลดผลกระทบท่ีอาจเกดิ ข้นึ จากการคิด คือ คนจะมกี ารปฏิบตั หิ รอื การกระทำตามทีเ่ ขาคิด
ถึงแม้วา่ จะถกู หรอื ผดิ ก็ตามเน่อื งจากการคดิ มพี ลังอำนาจ จงึ ต้องการการควบคมุ โดยไดใ้ ชว้ ธิ กี ารคิดตา่ งที่จะช่วย
รักษาความคดิ ใหเ้ ปน็ ไปอยา่ งถูกตอ้ ง
ความหมายของผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชนส์ ว่ นรวม
ผลประโยชน์สว่ นตน หมายถงึ การทบ่ี ุคคลทั่วไปในสถานะเอกชนหรือเจ้าหนา้ ท่ขี องรัฐไดท้ ำกิจกรรม
หรือได้กระทำการต่าง ๆ เพอ่ื ประโยชน์ส่วนตน ครอบครวั ญาติ เพื่อน หรอื กลมุ่ ในสงั คมทมี่ คี วามสัมพันธ์กนั ใน
รูปแบบตา่ ง ๆ เชน่ การประกอบอาชพี การทำธุรกจิ การค้าการลงทุน เพอ่ื หาประโยชน์ทางการเงินหรือทาง
ทรพั ยส์ ินตา่ ง ๆ เป็นต้น
ผลประโยชน์ส่วนรวม หมายถงึ การทบี่ ุคคลใด ๆ ในสถานะทเ่ี ป็นเจ้าหน้าท่ีของรฐั ไมว่ า่ จะเปน็
ผดู้ ำรงตำแหนง่ ทางการเมอื ง ข้าราชการพนกั งานรฐั วิสาหกจิ หรอื เจา้ หน้าทข่ี องรฐั ในหน่วยงานของรัฐกต็ าม
ได้กระทำการใด ๆ ตามหนา้ ที่ หรอื ไดป้ ฏบิ ัตหิ นา้ ที่อื่นทีเ่ ปน็ การดำเนนิ การอกี ส่วนหนง่ึ ซง่ึ แยกออกมาจากการ
ดำเนินการตามหนา้ ทใี่ นสถานะของบุคคล การกระทำการใด ๆ ตามหนา้ ทห่ี รอื การปฏบิ ตั หิ น้าท่ีของเจ้าหน้าท่ี
ของรฐั จึงมีวตั ถุประสงค์หรอื มเี ป้าหมายเพอ่ื ประโยชน์ของสว่ นรวม หรือการรกั ษาประโยชนส์ ่วนรวมที่เปน็
ประโยชน์ของรฐั การทำหน้าที่ของเจ้าหน้าทีข่ องรฐั จงึ มคี วามเกยี่ วข้องเชือ่ มโยงกบั อำนาจหนา้ ทีต่ ามกฎหมาย
และมรี ปู แบบความสมั พนั ธ์หรอื มกี ารกระทำในลักษณะตา่ ง ๆ ท่ีเหมือนหรอื คลา้ ยกับการกระทำของบคุ คลใน
สถานะเอกชน เพียงแต่การกระทำในสถานะทเี่ ป็นเจา้ หน้าทขี่ องรฐั กบั การกระทำในสถานะเอกชนมีความ
แตกตา่ งกนั ที่วัตถุประสงค์
หากมคี วามรู้ความเข้าใจเกย่ี วกบั ผลประโยชนส์ ว่ นตนกับผลประโยชนส์ ่วนรวมแลว้ จะสามารถคิด
แยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตนกบั ผลประโยชนส์ ่วนรวมได้ ตลอดจนสรา้ งความตระหนักและเหน็
ความสำคัญในการต่อตา้ นและปอ้ งกันการทจุ รติ ทีเ่ กดิ ขึน้ ได้
เรอื่ งท่ี 2 หลักการคิดเป็น
คิดเปน็ เป็นการเนน้ ให้ผเู้ รียนไดเ้ รยี นร้ดู ้วยการคดิ วิเคราะห์ และแสวงหาคำตอบด้วยการใช้
กระบวนการทหี่ ลากหลาย เปดิ กวา้ ง เป็นอสิ ระมากกว่าการเรยี นรูท้ ีเ่ นน้ เนอ้ื หาให้ท่องจำ หรือมคี ำตอบ
สำเร็จรูปใหโ้ ดยผเู้ รยี นไม่ตอ้ งคดิ ไมต่ ้องวิเคราะหเ์ หตแุ ละผลก่อน
ความหมายของ "คดิ เปน็ "
โกวิท วรพพิ ฒั น์ ได้ใหค้ ำอธบิ ายเก่ยี วกับ "คดิ เปน็ " ว่า บคุ คลท่คี ิดเปน็ จะสามารถเผชญิ ปญั หา
ในชวี ติ ประจำวนั ได้อย่างเป็นระบบ บุคคลผทู้ ีจ่ ะสามารถพนิ จิ พจิ ารณาสาเหตขุ องปัญหาทเ่ี ขากำลงั เผชญิ อยู่ และ
สามารถรวบรวมข้อมลู ต่าง ๆ ไดอ้ ยา่ งกวา้ งขวางเกี่ยวกบั ทางเลอื ก เขาจะพจิ ารณาขอ้ ดี ขอ้ เสียของแต่ละเรื่อง
โดยใช้ความสามารถเฉพาะตวั คา่ นยิ มของตนเอง และสถานการณ์ที่ตนเองกำลังเผชิญอยมู่ าประกอบการพิจารณา
ปรัชญาคดิ เป็น เป็นความคดิ ทเ่ี กิดจากความเชอื่ วา่ มนษุ ยโ์ ลกทกุ คนตอ้ งการมคี วามสขุ ความสุขของ
คนแต่ละคนแตกต่างกนั แตล่ ะคนสามารถปรบั ตนเองใหเ้ ข้ากับสภาพแวดลอ้ มทต่ี นดำรงชวี ติ อยู่ไดอ้ ยา่ ง
กลมกลนื ในการเสริมสร้างบคุ คลใหเ้ ป็นคนคิดเป็น ต้องใช้ทกั ษะการคิด การแกไ้ ขปญั หาโดยใช้ขอ้ มลู อย่าง
รอบดา้ นกอ่ นการตดั สินใจ ลงมือปฏิบตั ิ ทงั้ ขอ้ มลู ตนเอง ขอ้ มลู วิชาการ และขอ้ มลู สังคมและสงิ่ แวดลอ้ ม
สรปุ ความหมายของ "คดิ เป็น" คอื การคดิ วเิ คราะหป์ ญั หาและแสวงหาคำตอบหรือทางเลอื ก
เพื่อแก้ปญั หา และการคิดอย่างรอบคอบเพือ่ การแกป้ ัญหาโดยอาศัยข้อมูลตนเอง ขอ้ มูลสังคมสง่ิ แวดล้อม และ
ข้อมลู วชิ าการใหเ้ หมาะสมกบั ตนอย่างมีคณุ ธรรม จรยิ ธรรม
ความสำคญั ของการคดิ เป็น
1. ช่วยให้คนมองเห็นภาพปญั หาต่าง ๆ ในอนาคต
2. เปน็ แนวทางในการหลกี เสี่ยงหรอื ปอ้ งกันปญั หาในอนาคต
3. บอกถึงผลกระทบที่อาจเกิดขนึ้
เปา้ หมายสุดท้ายของการเป็นคน "คิดเป็น" คอื ความสุข คนเราจะมีความสขุ ไดก้ เ็ มอื่ ตัวเราและสงั คม
สง่ิ แวดล้อมประสมกลมกลืนกนั อยา่ งราบร่นื ท้ังทางดา้ นวตั ถุ กาย และใจกระบวนการแกป้ ญั หาตามหลกั การคิดเปน็
ตามปรัชญาคิดเปน็ เป็นการคดิ เพ่ือแก้ปญั หา คือ มจี ุดเรม่ิ ตน้ ทป่ี ัญหา พจิ ารณา ยอ้ นไตร่ตรอง ถึงข้อมูล 3 ประเภท
คือ ข้อมูลด้านตนเอง ข้อมลู ด้านสังคม สงิ่ แวดล้อม และข้อมูลวิชาการ ต่อจากนัน้ กล็ งมือกระทำ ซ่ึงหากสามารถทำ
ให้ปญั หาหายไปได้ กระบวนการกย็ ุติลง แต่หากบุคคลยงั ไมพ่ อใจแสดงว่ายงั มีปญั หาอย่บู ุคคลก็จะเรม่ิ กระบวนการ
พิจารณาทางเสือกใหมอ่ กี ครัง้ และกระบนนการน้จี ะยตุ ลิ งเม่ือบุคคลพอใจและมคี วามสขุ ตามกระบวนการ ดังน้ี
1. ขน้ั สำรวจปญั หา เมื่อเกดิ ปญั หาย่อมต้องเก็ตกระบวนการคดิ แก้ปัญหา
2. ขั้นหาสาเหตขุ องปญั หา เป็นการหาข้อมลู มาวิเคราะท่วี ่าปัญหาทเี กิดขึ้นน้ันเกดิ ขึน้ ไดอ้ ยา่ งไร
มีอะไรเป็นองค์ประกอบของปญั หาบา้ ง
2.1 สาเหตจุ ากตนเอง พนื้ ฐานของชีวิต ครอบครัว ยาชีพ การปฏบิ ัตติ น คุณรรม จริยธรรม
2.2 สาเหตจุ ากสังคม บุคคลทอ่ี ยแู่ วดล้อม ตลอดจนความเชื่อ ประเพณี วัฒนธรรมของสงั คมและ
2.3 สาเหตุจากการขาดวชิ าการความร้ตู า่ ง ๆ ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั ปญั หา
3. ขัน้ วเิ คราะห์ปญั หา หาทางแก้ปญั หา เปน็ การวิเคราะหท์ างเสอื กในการแกป้ ญั หาโดยใช้ขอ้ มูล
ดา้ นตนเอง สงั คม วิชาการ มาประกอบในการวเิ คราะห์
4. ข้ันตัดสนิ ใจ เม่ือไดท้ างเลอื กแล้วจึงตดั สินใจ เลือกแกป้ ัญหาในทางทมี่ ีขอ้ มลู ตา่ ง ๆ
5. ข้ันตดั สนิ ใจไปสกู่ ารปฏบิ ัติ เม่ือตดั สินใจเลือกทางใดแล้ว ตอ้ งยอมรับว่าเป็นทางเลอื กทีด่ ที ส่ี ด
จากข้อมลู เท่าทม่ี ีขณะน้นั
6. ข้ันประเป็นผลเมินผลและแกป้ ญั หา ในข้ันน้ีเป็นการประเมินผลและแกป้ ญั หาไปพร้อมกัน
6.1 พอใจ กจ็ ะถือว่าพบความสุข เรียกวา่ คดิ เป็น
6.2 ไมพ่ อใจใจ หรอื ผลออกมาไม่ได้เป็นไปตามทีค่ ิด หรอื ข้อมลู เปลีย่ น ต้องเรมิ่ ตน้ กระบวนการ คิดแก้ปญั หาใหม่
การนำกระบวนการคดิ เป็นมาใชใ้ นการป้องกนั การทจุ ริต
กรณศี กึ ษาการนำกระบวนการคิดเปน็ มาใชใ้ นการป้องกนั การทจุ ริต เรอื่ ง หัวหนา้ สว่ นราชการทุจริต
จากกรณีทต่ี วั แทนชาวบา้ นหรอื ผู้ใหญ่บ้านส่วนราชการแห่งหนง่ึ ไดเ้ ข้ายื่นหนังสือร้องเรียน
ศนู ย์ดำรงธรรมจงั หวดั ใหต้ รวจสอบเอาผดิ หัวหน้าส่วนราชการ
โดยกลา่ วหาว่าหวั หน้าสว่ นราชการคนดงั กล่าวมพี ฤตกิ รรมทจุ รติ เงนิ งบประมาณโครงการ
ไทยนิยมยงั่ ยนื ทใ่ี ห้งบหมบู่ ้านละ 200,000 บาท โดยตวั แทนชาวบา้ นและผูใ้ หญ่บ้านที่เข้าร้องเรยี นระบวุ ่า
หวั หน้าส่วนราชการไดห้ กั หัวควิ คา่ อาหารในการจัดเวทีประชาคมของแตล่ ะหมู่บ้าน ซงึ่ ไดร้ ับงบค่าอาหารเวที
ละ 4,000 บาท โดยมกี ารลงใบเสรจ็ รบั เงนิ 4,000 บาm แต่กลบั ไดร้ ับยอดเงนิ ค่าอาหารจริงเพียง 3,500 บาทถกู
หกั หัวควิ ครงั้ ละ 500 บาท
ซึง่ จากการสอบถามพบว่าทง้ั 56 หมบู่ ้านในส่วนราชการนี้ ถกู หักหัวคิวคา่ อาหารในโครงการ
ไทยนยิ มย่ังยืนไปหมบู่ ้านละ 500 บาท รวม 56 หมบู่ ้าน เปน็ เงนิ 28,000 บาท
ท้ังนี้ ชาวบา้ นยงั ได้รอ้ งเรียนกลา่ วหาวา่ หัวหนา้ สว่ นราชการยงั มีพฤติกรรมทุจรติ เงนิ จาก
การจัดงานประเพณขี องดีประจำส่วนราชการอีกด้วย จงึ ได้เข้ามาร้องเรียนเพื่อใหต้ รวจสอบขอ้ เทจ็ จริง
หากพบว่ามกี ารกระทำทุจริตจรงิ ก็อยากใหเ้ อาผดิ ทั้งวินัยและกฎหมาย
ลา่ สุดผูส้ ื่อขา่ วได้เดนิ ทางไปยังทว่ี ่าการส่วนราชการนนั้ เพอื่ ขอสัมภาษณ์หวั หน้าสว่ นราชการ
ใหไ้ ด้ช้แี จงกรณที ่ีถกู ร้องเรียนกล่าวหา แตก่ ไ็ มพ่ บหวั หน้าสว่ นราชการคนดงั กล่าว จงึ ไดส้ อบถามเจา้ หนา้ ทซ่ี ง่ึ ให้
ข้อมลู เพียงว่าหวั หน้าสว่ นราชการเดินทางไปรายงานตวั ท่หี นว่ ยงานต้นสังกดั ภายหลงั ไดร้ บั หนงั สือคำสง่ั ให้
ย้ายไปชว่ ยราชการทหี่ นว่ ยงานต้นสังกดั เป็นการช่วั คราว มีผลตัง้ แต่วันน้ีเปน็ ตน้ ไปหรอื จนกวา่ จะมีคำสัง่
เปลี่ยนแปลง
ประเด็น
ถ้าเจ้าหนา้ ทร่ี ัฐขาดคุณธรรม จริยธรรม หน่วยงานภาครัฐควรทำอย่าไรจงึ จะปอ้ งกันการทจุ ริตได้
ให้นำกระบวนการคิดเป็นมาใชใ้ นการคดิ วเิ คราะห์
วธิ ีการดำเนนิ การ
1. ใหค้ รแู ละผู้เรยี นรว่ มกันศกึ ษาจากกรณตี ัวอยา่ งใหเ้ ข้าใจ แล้วอภิปรายแสดงความคดิ เหน็
รว่ มกัน จากขอ้ มูลทแ่ี ยกแยะเป็น 3 ดา้ น คือ ข้อมลู ตนเอง สงั คมและสงิ่ แวดลอ้ ม และขอ้ มลู ทางวิชาการ
พร้อมท้ังคดิ วเิ คราะห์ ตดั สนิ ใจตามประเด็นท่กี ำหนด
2. ให้ตวั แทนผู้เรียนบนั ทกึ ผลจากการอภิปราย พร้อมทง้ั สรปุ และรายงานผลให้กลุ่มฟงั
ผลการวิเคราะหก์ รณศี ึกษาจากกจิ กรรมขา้ งตน้ โดยใช้หลกั การคดิ เป็น ดังน้ี
1. ข้นั สำรวจปญั หา เป็นปญั หาทกี่ ำหนดให้ คอื "หวั หนา้ สว่ นราชการทจุ ริต"
2. ขน้ั หาสาเหตขุ องปญั หา เปน็ การหาขอ้ มูลมาวเิ คราะห์วา่ ปัญหาท่เี กิดขน้ึ นน้ั เกดิ ขน้ึ
ได้อยา่ งไร โดยวิเคราะหจ์ ากข้อมลู 3 ด้าน ดังนี้
2.1 ข้อมูลตนเอง หวั หน้าสว่ นราชการมพี ฤติกรรมทจุ รติ ซำ้ แลว้ ซ้ำอีก แสดงให้เหน็ วา่ เมอื่ มี
โครงการ/กจิ กรรม มาจากภาครฐั หวั หน้าส่วนราชการก็จะหกั ค่าหัวควิ ไว้ โดยไม่ละอายต่อบาป
22 ข้อมูลสังคมและสงิ่ แวดล้อม ชาวบ้านมีการรวมตวั กนั ดี สามารถรวมกันยื่นฟอ้ งหวั หน้า
สว่ นราชการ และหัวหนา้ สว่ นราชการคงมไิ ด้ทำการทจุ ริตคนเดยี ว อยา่ งนอ้ ยคงมีเจา้ หนา้ ที่การเงนิ รว่ มด้วย จาก
กรณีนอ้ี าจมกี ารตง้ั กรรมการสอบสวน สามารถเอาผดิ กับทุกคนที่เกี่ยวข้องได้
2.3 ข้อมลู ทางวชิ าการ หน่วยงานตน้ สงั กัดไดร้ บั ข้อมลู การทจุ รติ กไ็ ด้ดำเนนิ การทันที
3. ช้นั วิเคราะห์ปญั หา ปัญหามาจากหัวหนา้ สว่ นราชการท่มี พี ฤติกรรมทจุ ริต ทำซ้ำแลว้ ซ้ำอีก
จนกระทั่งมกี ารรอ้ งเรยี นจากชาวบา้ น ดงั นน้ั ควรมีการปอ้ งกนั การทจุ รติ ของเจา้ หนา้ ทรี่ ัฐ
4. ขน้ั ตัดสินใจ ตามประเด็นว่า "ควรมกี ารป้องกันการทจุ รติ ของเจา้ หนา้ ทร่ี ัฐไดอ้ ย่างไร" คอื
ต้องดำเนนิ การตามลำดบั ดังน้ี
4. 1 ควรมีการอบรมคุณธรรม จรยิ ธรรมใหก้ บั เจา้ หน้าทรี่ ฐั อยา่ งสมำ่ เสมอ
4.2 หน่วยงานตน้ สงั กัด ควรมีการติดตามการใช้เงนิ ในกรณที จ่ี ัดสรรงบประมาณมาให้
4.3 ควรมีวธิ ีการลงโทษใหเ้ ปน็ ตัวอยา่ ง
5. ขน้ั ตัดสนิ ใจไปสู่การปฏบิ ัตวิ ่า ในข้นั ตอนแรกท่ีดำเนินการไดท้ นั ที คือการอบรมคณุ ธรรม
6. ขนั้ ประเมินผลแก้ปญั หา ในชั้นนเี้ ปน็ การประเมินผลและแกป้ ญั หาไปพรอ้ มกนั ถา้ ผลเป็นที่
6.1 พอใจ ถ้าเจ้าหนา้ ที่รฐั ทผ่ี ่านการอบรมคุณธรรม จริยธรรมไปแล้ว มกี ารทจุ รติ นอ้ ยลง
กถ็ อื วา่ มีความพอใจ
6.2 ไมพ่ อใจ ยังคงมกี ารทจุ รติ เกิดขน้ึ อยเู่ นอื ง ๆ ตอ้ งใช้วธิ กี ารอ่นื ๆ รว่ มด้วย เช่น
การลงโทษให้เหน็ ชดั เจน รวดเร็ว เปน็ ตน้
เรอื่ งที่ 3 ความแตกต่างระหวา่ งจรยิ ธรรมและการทุจริต
จริยธรรม หมายถึง ความประพฤตทิ ่ีอบรมกริ ยิ าและปลกู ฝังลักษณะนสิ ยั ใหอ้ ย่ใู นครรลองของ
คุณธรรม หรอื ศลี ธรรม คณุ คา่ ทางจริยธรรมชี้ให้เห็นความเจริญงอกงามในการดำรงชวี ติ อย่างมรี ะเบียบ
บแผน ตามวัฒนธรรมของบุคคลทีม่ ีลกั ษณะทางจติ ใจทด่ี งี าม ประพฤตติ นอยู่ในสงั คมได้อยา่ งส
และเป็นประโยชนต์ อ่ ผอู้ ื่น มคี ณุ ธรรม และมโนธรรมทจ่ี ะสรา้ งความสมั พนั ธอ์ ันดี
จรยิ ธรรม เปน็ กรอบใหญ่ทางสงั คมทเ่ี ปน็ พ้ืนฐานของแนวคิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างประโยชน์
ส่วนตนและประโยชนส์ ่วนรวม และการทจุ รติ การกระทำใดทผี่ ดิ ต่อกฎหมายวา่ ดว้ ยการขดั กันระหว่าง
ประโยชนส์ ่วนตนและประโยชนส์ ่วนราม และการทจุ ริตย่อมเปน็ ความผิดจรยิ ธรรมด้วย ตรงกันข้ามการกระทำ
ใดทีฝ่ ่าฝืนจรยิ ธรรม อาจไมเ่ ปน็ ความผิดเกีย่ วกับการขดั กนั ระหวา่ งประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์สว่ นรวม
และการทจุ ริต เชน่ มพี ฤติกรรมสว่ นตวั ไม่เหมาะสม มพี ฤติกรรมชสู้ าว เป็นต้น
สภาพปัญหาการขาดจรยิ ธรรม
1. ปญั หาเกี่ยวกบั พน้ื ฐานการปลกู ฝงั ค่านยิ มจากครอบครวั และสงั คม
2. ปญั หาการขาดการปลกู ฝงั ค่านิยม ความรู้ในการศึกษาเรอ่ื งจรยิ ธรรม และมมี าตรฐานการเรียน
การสอนเกย่ี วกบั จริยธรรม
3. ปญั หาการขาดตน้ แบบของบุคลากรท่ดี ำรงตนเป็นตัวอย่างด้านจรยิ ธรรม
4. ปญั หาเรอื่ งความจำเปน็ ทางเศรษฐกจิ และสงั คมทเ่ี ปล่ียนแปลงไป
5. ปญั หาการทจุ ริต และมกี ารกระทำฝ่าฝืนจรยิ ธรรมวชิ าชพี ในกรณีอนื่
6. ปญั หาการขัดกันระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตนกับผลประโยชนส์ ่วนรวม
7. ปญั หาการขาดการมีส่วนรว่ มในกรตรวจสอบสอ่ื มวลชนและประชาชน
หลักจรยิ ธรรมในการดำรงตนใหป้ ราศจากอคติธรรม 4 ประการ ดงั นี้
1. ปราศจากฉันทาคติ หมายถึง การทำใหจ้ ติ ปราศจากความโลภ
2. ปราศจากโทษาคดี หมายถงึ การทำใหจ้ ิตปราศจากความโกรธพยาบาทจองเวร
3. ปราคจากภยาคติ หมายถึง การทำใหจ้ ติ ปรายจากความกลัว กระทำจิตให้มนั คง
4. ปราศจากโมหาคดี หมายถงึ การทำใหจ้ ติ ปราคจากความโงเ่ ขลา ความหลง ไมร่ ู้จกั ความทกุ ข์ความดบั
การทุจริต
การทจุ รติ หมายถึง การแสวงหาประโยชนท์ ี่มีควรได้โดยชอบตัวยกฎหมายสำหรบั ตนเองและผูอ้ ื่น
การทจุ รติ ต่อหนา้ ท่ี หมายถึง การปฏบิ ัติหรือละเว้นการปฏบิ ตั ิอยา่ งใดในพฤติกรรมท่ีอาจทำใหผ้ ู้อื่น
เช่ือว่ามตี ำแหนง่ หรอื หน้าที่ ทง้ั ท่ตี นมิได้มีตำแหนง่ หรือหนา้ ทีน่ น้ั 1 หรือใชอ้ ำนาจในตำแหน่ง เพ่ือแสวงหา
ผลประโยชน์ทีม่ คี วรได้โดยชอบสำหรบั ตนเองและผอู้ ่ืน
การทจุ ริต เป็นภัยรา้ ยแรงสำคญั ทท่ี ำลายความมนั่ คงของชาติ รฐั บาลจึงมีนไบายสร้างมาตรฐาน
ด้านคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาล ให้แกข่ ้าราชการและเจ้าหนา้ ทขี่ องรฐั พรอ้ มทัง้ พฒั นาความโปรง่ ใส
ในการปฏบิ ัตงิ านของหน่วยงานภาครัฐ เพ่ือใหเ้ ปน็ ทเ่ี ช่อื ถือไวว้ างใจของประชาชน
รปู แบบการทจุ รติ
การทจุ รติ ในหน่วยงานราชการมหี ลายรปู แบบ เช่น
1. ฝา่ ฝืน หลกี เล่ยี ง ระเบียบแบบแผน หรือกฎ ข้อบงั คับ
2. จูงใจ เรียกรอ้ ง บงั คบั ขม่ ขู่ หน่วงเหนีย่ ว กลนั่ แกลง้ หาประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพอ้ ง
3. การสมยอม รเู้ หน็ เป็นใจ เพกิ เฉย ละเวน้ การกระทำในการท่ตี ้องปฏิบัตหิ รอื รับผดิ ชอบตามหน้าท่ี
4. ยักยอก เบียดบงั ซง่ึ ทรพั ยส์ ินของทางราชการ
5. ปลอมแปลง หรอื กระทำการใด ๆ อันเปน็ เท็จ
6. มผี ลประโยชนร์ ว่ มในกจิ กรรมบางประเภททสี่ ามาร์ใช้อำนาจหน้าท่ขี องตนบันคาลประโยชนไ์ ด้
มูลเหตขุ องการทจุ ริต
1. เจ้าหน้าท่ขี าดคุณธรรมและจริยธรรม
2. ขาดกลไกในการลงโทษ และการบังคบั ใช้กฎหมาย
3. ขาดการตรวจสอบและการควบคมุ กำกับ ดแู ล
4. เจ้าหนา้ ท่ไี ดร้ บั คำตอบแทน/เงนิ เดอื นไม่พอกบั คา่ ครองชพี และมปี ญั หาทางเศรษฐกจิ หรอื อบายมุข
5. สภาพการทำงานทีเ่ ปดิ โอกาส เออื้ อำนวยตอ่ การกระทำทจริต กระบวนการปฏบิ ัติงานทช่ี ่องโหว่
จริยธรรมของเจา้ หนา้ ทข่ี องรัฐ
หลักจริยธรรมเป็นสงิ่ สำคัญที่จะทำใหก้ ารประพฤติปฏบิ ัติของเจ้าหน้าที่ของรฐั ไดร้ บั การยอมรบั จาก
สาธารณชน และมีความสำคญั ตอ่ การดำรงไวซ้ ง่ึ ความมนั่ คงแห่งรฐั
ความเปล่ียนแปลงของโลกและสงั คม ไม่วา่ ในทางเศรษฐกจิ การเมือง และสงั คม ซงึ่ ลว้ นส่งผลกระทบ
ตอ่ การปฏบิ ตั หิ น้าท่ขี องเจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั โดยเฉพาะคา่ นิยมทางสงั คมทม่ี ุ่งเน้นวตั ถุนยิ มและบรโิ ภคนยิ มเปน็ หลัก
ทำให้ความประพฤติอนั เป็นพ้ืนฐาน ขัดต่อหลักกฎหมาย ศลี ธรรม และจรยิ ธรรม ซงึ่ ทง้ั 3 สง่ิ นค้ี ือ แนวทางสำคญั
ของจริยธรรม
เร่ืองท่ี 4 ความหมายของประยชนส์ ่วนนและประโยชน์สว่ นรวม และการขดั กนั ระหวา่ ง
ผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชน์ส่วนรวม
ประโยชนส์ ่วนตวั (Private Interests) หมายถึง การทบี่ ุคคลทวั่ ไปในสถานะเอกชนหรอื เจ้าหน้าที่
ของรฐั ในสถานะเอกชนได้ทำกจิ กรรมหรือไดก้ ระทำการตา่ ง ๆ เพ่อื ประโยชนส์ ่วนตน ครอบครัว เครอื ญาติ
พวกพอ้ ง หรอื ของกลมุ่ ในสงั คมทม่ี คี วามสัมพันธก์ ันในรปู แบบตา่ ง ๆ เช่น การประกอบอาชพี การทำธรุ กจิ
การคา้ การลงทนุ เพอ่ื หาประโยชน์ในทางการเงนิ หรอื ในทางธุรกจิ เป็นตน้ โดยมีองค์ประกอบทสี่ ำคัญ
3 ประการ คอื
องค์ประกอบที่ 1 ผลประโยชนส์ ว่ นตนหรือผลประโยชนส์ ว่ นบุคคล ซง่ึ ผลประโยชนอ์ าจเปน็ ตัวเงนิ
หรอื ทรัพยส์ ินอ่นื ๆ รวมถงึ ผลประโยชนใ์ นรปู แบบอ่นื 1 ทท่ี ำให้ผูไ้ ดร้ บั พึงพอใจ โดยส่วนตวั แลว้ อาจจะมองว่า
ไมเ่ สยี หายอะไร เพราะใคร ๆ ก็แสวงหาผลประโยชนส์ ่วนตนกนั ทัง้ นน้ั
องค์ประกอบท่ี 2 การปฏบิ ตั หิ น้าท่โี ดยใชส้ ถานะและขอบเขตอำนาจหนา้ ท่ีของเจ้าหนา้ ท่หี รอื
เจ้าพนักงานของรัฐ ซ่ึงขาดหลกั จริยธรรมพ้นื ฐานในวิชาชีพงาน ทั้งนี้ เพราะอำนาจหนา้ ทท่ี ี่มอี ยู่เกิดจากการ
มตี ำแหน่ง หรือการเป็นเจ้าหนา้ ที่ หรอื เจ้าหนักงานตามกฎหมาย
องคป์ ระกอบที่ 3 เมือ่ ผลประโยชนท์ ี่ขดั แยง้ นัน้ ไปแทรกแซงการตัดสินใจ หรอื การใช้วจิ ารณญาณ
ในทางใดทางหนง่ึ เพอื่ ผลประโยชนส์ ่วนตัว
ประโยชน์ส่วนรวมหรือประโยชนล์ าธารณะ (Public Interests) หมายถงึ การทบี่ ุคคลใด ๆ
ในสถานะที่เปน็ เจ้าหน้าทข่ี องรฐั (ผู้ดำรงตำแหนง่ ทางการเมอื ง ข้าราชการ พนักงานรฐั วิสาหกจิ หรือเจา้ หน้าทขี่ อง
รฐั ในหน่วยงานภาครฐั ) ไดก้ ระทำการใด ตามหนา้ ท่หี รอื ไดป้ ฏิบตั ิหนา้ ทอี่ ันเป็นการดำเนนิ การในอกี สว่ นหนึง่ ท่ีแยก
ออกมาจากการดำเนนิ การตามหนา้ ที่ในสถานะของเอกชน การกระทำการใด ๆ ตานหนา้ ที่ของเจ้าหน้าทขี่ องรฐั จึงมี
วตั ถปุ ระสงคห์ รือมเี ป้าหมายเพอ่ื ประโยชน์ของส่วนรวม หรอื การรกั ษาประโยชนส์ ว่ นรวมทเ่ี ปน็ ประโยชนข์ องรัฐ
การทำหน้าท่ขี องเจ้าหน้าท่ขี องรัฐจึงมคี วามเกี่ยวเนอ่ื งเชือ่ มโยงกบั อำนาจหน้าท่ี ตามกฎหมายและจะมรี ปู แบบของ
ความสมั พันธห์ รอื มกี ารกระทำในลกั ษณะต่าง ๆ ที่เหมอื นหรอื คล้ายกบั การกระทำของบุคคลในสถานะเอกชน
เพียงแตก่ ารกระทำในสถานะทีเ่ ป็นเจ้าหนา้ ทข่ี องรฐั กับการกระทำในสถานะเอกชน มคี วามแตกตา่ งกนั ที
วตั ถปุ ระสงค์ เปา้ หมาย หรอื ประโยชน์สุดทา้ ยทแ่ี ดกตา่ งกนั
การขัดกันระหวา่ งประโยชนส์ ่วนตนและประโยชน์สว่ นรวมหรือผลประโยชนท์ บั ซ้อน (Conflict
of interests) คอื การทเี่ จ้าหน้าที่ของรฐั กระทำการใด ๆ หรอื ดำเนนิ การในกิจการสาธารณะท่ีเปน็
การดำเนินการตามอำนาจหน้าทหี่ รือความรบั ผดิ ชอบในกิจการของรฐั หรอื องค์กรของรัฐ เพอื่ ประโยชน์ของรฐั
หรือเพ่ือประโยชน์ของส่วนรวม แตเ่ จา้ หน้าทข่ี องรัฐได้มีผลประโยชนส์ ว่ นตนเข้าไปแอบแฝง หรอื เปน็ ผทู้ มี่ สี ่วนได้
ส่วนเสียในรูปแบบตา่ ง ๆ หรอื นำประโยชน์สว่ นตนหรอื ความสมั พันธส์ ่วนตนเขา้ มามีอทิ ธพิ ลหรอื เก่ียวขอ้ งใน
การใช้อำนาจหน้าท่ีหรือดลุ ยพินิจในการพจิ ารณาตดั สนิ ใจในการกระทำการใด ๆ หรอื ดำเนินเพอื่ แสวงหาประ
โยชนใ์ นทางการเงนิ หรอื ประโยชน์อ่ืน ๆ สำหรับตนเองหรอื บคุ คลใดบุคคลหน่ึง
ความสำคัญของปญั หาการขดั กนั ของผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชนส์ ่วนรวม
การขัดกนั ของผลประโยชนส์ ่วนตนและผลประโยชน์สว่ นรวม (Confict of interests) หรือ
เรยี กสั้น ๆ วา่ การขัดกันแห่งผลประโยชน์ น้ัน เปน็ เรื่องที่สำคัญอนั เกย่ี วเนอ่ื งเชอ่ื มโยงอยา่ งใกลช้ ดิ กบั การทุจรติ
คอร์รปั ชนั กลา่ วคือ เปน็ ท่ียอมรบั กบั ท่าย่ิงมสี ถานการณอ์ สภาวการณข์ องการขดั กนั ของผลประโยชน์สว่ นตน
และผลประโยชนส์ ่วนรวมมากเท่าใด ก็ยงิ่ มีโอกาสก่อให้เกิดหรือนำไปสกู่ ารทจุ รติ คอร์รปั ชนั เท่านน้ั ดังน้นั
จึงควรมมี าตราการปอ้ งกนั ไมใ่ หเ้ กิดสถานการณก์ ารขัดกนั แห่งผลประโยชน์เกิดขนึ้ หรอื เมอื่ เกิดข้ึนแล้วตอ้ ง
ควบคุม ตรวจสอบเพอื่ ให้ม่นั ใจไดว้ า่ จะไมน่ ำไปสู่การทุจริตคอร์รปั ชนั หรอื ทำใหส้ ว่ นรวมต้องเสยี หาย
ความสำคัญและความสัมพันธ์ระหวา่ งการขัดกันของผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชน์
สว่ นรวม กับการทุจรติ คอร์รปั ชับ
แม้วา่ การขดั กนั ของผลประโยชนส์ ่วนตและผลประโยชนส์ ว่ นรวม จะมใี ช่การทจุ รติ คอรร์ ปั ชนั
โดยตวั ของมนั เอง แต่การขดั กันแหง่ ผลประโยชนเ์ ป็นสถานการณ์ หรือสภาวการณท์ ี่เอือ้ หรอื เปดิ โอกาส หรือ
เป็นปจั จัยอันนำไปสกู่ ารทจุ รติ คอรร์ ัปชันได้โดยงา่ ย หรือกลา่ วอีกนยั หน่งึ การขัดกนั แห่งผลประโยชนเ์ ป็นญาตสิ นทิ
ใกลช้ ิดกบั การทจุ รติ คอร์รปั ชัน
กฎหมายมีจดุ หมายปลายทางอยู่ทคี่ วามถูกต้องและความยตุ ิธรรม
ไมว่ ่าจะพิจารณาในแง่ทีว่ ่ากฎหมายเป็นกฎกตกิ าทีช่ ่วยทำใหค้ นในสังคมไดอ้ ยู่ร่วมกันอยา่ งปกตสิ ขุ
กฎหมายยังเปน็ หลกั ประกันในการค้มุ ครองสทิ ธิเสรภิ าพพ้ืนฐานของประชาชน หรือกฎหมายเป็นเครอ่ื งมอื
ทีทำใหป้ ระเทศมปี ระสทิ ธภิ าพ มคี วามเจริญก้าวหน้า จุดมงุ่ หมายในทส่ี ดุ ของกฎหมายกต็ ้องอยู่ที่ความถูกตอ้ ง
และความยุดิธรรม
กฎหมายใช้บังคบั กบั ทกุ คนเท่าเทยี มกัน
กฎหมายทมี่ ีไวเ้ พือ่ ลงโทษผ้กู ระทำความผดิ ถา้ มีการกระทำหนึ่งเกิดขน้ึ และเมื่อพิจารณาตาม
กฎหมายแล้ว เป็นความผดิ นักกฎหมายก็จักตอ้ งวนิ ิจนัยวา่ เป็นความผดิ โดยไม่ต้องพจิ ารเณาวา่ ผู้กระทำผิด
เป็นใคร จะร่ำรวยหรือยากจบ จะนบั ถือทา่ สนากบอหรอิ ศาสนาอ่ืน จะผิวขาวหรือผวิ เหลือง และไมว่ า่ จะเป็นคนดี
หรอื คนเลว กฎหมายต้องใช้บังคับคำคำคโดยสมอภาค
ศลี ธรรม ขนบธรรมเนียม จารตี ประเพณี กับกฎหมาย
กฎหมายมรี ากฐานและมีความเกย่ี วพนั อย่างใกล้ชิดกับศีลธรรม ขนบธรรมเนยี ม จารตี ประเพณี
แต่ดว้ ยววิ ัฒนาการและความชบั ซอ้ นของสงั คม กฎหมายจงึ อาจไม่เป็นอนั หนง่ึ อนั เดียวกบั ศีลธรรม
ขนบธรรมเนยี ม จารีตประเพณีเสมอไป เราจงึ อาจมีและเหน็ กฎหมายทไ่ี มไ่ ด้ต้ังอยบู่ นหลักความดี หลักศีลธรรม
แต่ต้ังอย่บู นเหตผุ สทางเทคนคิ บางประการเทา่ นั้น อาทิ กฎหมายจราจร กำหนดให้ตอ้ งหยดุ รถเม่อื ไฟแดง และไป
ไดเ้ มื่อไฟเขยี ว เปน็ ต้น
การรับมือกับการขัดกันแหงผลประโยชน
1. วธิ กี ารท่ดี ีทสี่ ุดในการจดั การกบั เร่อื งการขดั กนั แหงผลประโยชนก็คอื การไม่อยใู่ นสถานการณ การขดั กนั
ของผลประโยชนสวนตนและผลประโยชนสวนรวมเสียตงั้ แตต่ น การหลกี เล่ยี งสภาวการณการขดั กนั แหงผล
ประโยชนน้นั ถาสามารถหลกี เลีย่ งได้ก็เป็นวิธีการรับมือกบั การขัดกันแหงผลประโยชนทดี่ ที ่ีสดุ
2. ในกรณที ี่ผมู้ ีอำนาจหนาที่ไมส่ ามารถหลกี เลี่ยง หรอื ไมท่ ราบ หรือไม่ไดต้ ระหนกั ต้ังแต่เบ้อื งตนวา
ตนตกอยใู่ นสถานการณการขัดกันของผลประโยชนสวนตนและผลประโยชนสวนรวม ผู้มอี ำนาจหนาที่ควรหยดุ
ดำเนินการและไมร่ ว่ มพิจารณา วนิ ิจฉัยหรอื ลงมตใิ นประเดน็ ท่มี ีการขดั กนั แหงผลประโยชนน้ัน ถาสามารถกระทำ
ได้โดยไมเ่ กดิ ความเสยี หายแกสวนรวม
3. ในกรณที ี่ผู้มอี ำนาจหนาที่ไมส่ ามารถหลกี เลย่ี งสถานการณการขดั กนั ของผลประโยชนสวนตนและผล
ประโยชนสวนรวมได้ และไมแ่ นใ่ จวาในสถานการณเชนน้ันควรดำเนินการอย่างไร ควรจะร่วมพจิ ารณา วินจิ ฉยั ลงมติ
หรอื ไม่ อย่างไร ผู้มอี ำนาจหนาท่คี วรตองแจง ประกาศหรอื เปดิ เผยขอมลู ขอเท็จจรงิ ต่าง ๆ ท่ี เกย่ี วของกับการ
ขดั กนั แหงผลประโยชนตอบุคคลทเี่ ก่ยี วของ ตอผู้มอี ำนาจหนาที่ ตอผู้บงั คับบญั ชาเหนือตนข้นึ ไป หรือตอสาธารณะ
เพ่ือความโปรงใสเพอ่ื แสดงความบรสิ ทุ ธใิ์ จ
เรือ่ งที่ 5 ความหมายและรปู แบบของผลประโยชนท์ ับซอ้ น
ความหมายของผลประโยชน์ทบั ซ้อนคอื ผลประโยชน์สว่ นตัวของเจ้าหนา้ ทร่ี ัฐไปชัดแยง้ กับผลประโยชน์
ส่วนรวมแลว้ ต้องเลือกเพยี งอยา่ งใดอย่างหนึ่ง ซงึ่ ทำให้ตดั สนิ ใจได้ยากในอันที่จะปฏิบตั หิ น้าทใี่ ห้เกดิ ความเปน็ ธรรม
และปราศจากอคติ รปู แบบของผลประโยชนท์ บั ซอ้ น การขดั กันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชนส์ ่วนรวม
มไี ด้หลายรปู แบบไมจ่ ำกัดอยเู่ ฉพาะ รูปแบบของตวั เงิน หรอื ทรพั ยส์ ินเท่านั้น แต่รวมถึงผลประโยชนอ์ ่ืน ๆ ที่ไมไ่ ด้อยู่
ในรปู แบบของตวั เงินหรอื ทรพั ยส์ นิ ดว้ ย ทั้งนี้ John Langford และ Kenneth Kernaghan ไดจ้ ำแนกรปู แบบของ
การขัดกันระหวา่ งประโยชนส์ ว่ นบุคคลและประโยชน์สว่ นรวม ออกเป็น 7 รูปแบบ คอื
1. การรบั ผลประโยชน์ตา่ ง ๆ เชน่ การรับของขวญั จากบรษิ ทั ธุรกจิ บริษัทขายยาหรืออปุ กรณ์ การแพทย์
สนบั สนุนค่าเดินทางใหผ้ ู้บรหิ าร และเจา้ หน้าทท่ี ี่ไปประชมุ เร่ืองอาหารและยา ทต่ี า่ งประเทศ หรือ หนว่ ยงานราชการ
รบั เงนิ บรจิ าคสร้างสำนกั งานจากธุรกจิ ท่เี ปน็ นลกู คา้ ของหนว่ ยงาน หรือแมก้ ระทง่ั ในการใช้ งบประมาณของรัฐเพอ่ื
จัดซ้อื จดั จา้ งแล้วเจา้ หน้าท่ีไดร้ ับของแถม หรอื ประโยชนอ์ น่ื ตอบแทน เปน็ ต้น
2. การทำธรุ กจิ กบั ตนเอง หรือเปน็ คสู่ ญั ญา หมายถึง สถานการณ์ท่ผี ้ดู ำรงตำแหนง่ สาธารณะ มสี ่วนได้เสยี
ในสัญญาท่ที ำในหนว่ ยงานทีต่ นสงั กดั ตัวอยา่ งเช่น การใช้ตำแหนง่ หนา้ ที่ทำใหห้ น่วยงานทำสัญญาซอ้ื สนิ ค้า จาก
บริษัทยองตน หรอื จา้ งบริษทั ของตนเป็นทปี่ รกึ ษา หรือซ้ือทดี่ นิ ของตนในการจดั สร้างสำนกั งาน สถานการณ์
เช่นน้ีเกดิ บทบาททขี่ ัดแย้ง เช่น เปน็ ทง้ั ผซู้ อ้ื และผขู้ ายในเวลาเดยี วกนั
3. การทำงานหลังจากออกจากตำแหน่งหน้าท่ีสาธารณะ หรอื หลงั เกษียณ หมายถงึ การทบ่ี คุ คล ลาออก
จากหนว่ ยงานของรฐั และไปทำงานในบรษิ ทั เอกชนที่ดำเนนิ ธรุ กิจประเกทเดียวกนั เช่น ผปู้ รหิ ารหรือ เจา้ หน้าท่ขี อง
องคก์ ารอาหารและยา ลาออกจากงานราชการและไปทำงานในบริษทั ผลิตหรือขายยา หรอื ผบู้ รหิ ารกระทรวง
คมนาคมหลงั เกษยี ณออกไปทำงานเป็นผบู้ รหิ ารของบรษิ ัทธรุ กจิ สอ่ื สาร
4. การทำงานพเิ ศษในรูปแบบนมี้ ีหลายลักษณะ เชน่ ผดู้ ำรงตำแหนง่ สาธารณะตงั้ บรษิ ทั ดำเนนิ ธุรกจิ
ท่ีเป็นการแข่งขันกบั หนว่ ยงาน หรือองค์การสาธารณะทส่ี งั กดั หรือการรบั จา้ งเป็นทป่ี รกึ ษาโครงการ โดยอาศยั
ตำแหน่งในราชการสร้างความน่าเชื่อถือวา่ โครงการของผู้ว่าจา้ งจะไม่มปี ัญหาติดขดั ในการพจิ ารณาจากหน่วยงาน
ท่ปี รกึ ษาสังกดั อยู่ หรอื ในกรณีทเ่ี ปน็ ผูต้ รวจสอบบญั ชีของกรมสรรพากร กร็ ับงานพเิ ศษเป็นทปี่ รกึ ษา หรอื เป็นผทู้ ำ
บญั ชีให้กบั บริษทั ทต่ี ้องถกู ตรวจสอบ
5. การรู้ข้อมลู ภายใน หมายถึง สถานการณท์ ผี่ ู้ดำรงตำแหนง่ สาธารณะใชป้ ระโยชนจ์ ากการรู้ข้อมลู ภายใน
เพ่อื ประโยชนข์ องตนเอง เช่น ทราบว่ามีการตัดถนนผ่านบรเิ วณใดก็จะเขา้ ไปซ้อื ที่ดินนัน้ ในนามของภรรยา หรือ
ทราบวา่ จะมกี ารซอื้ ขายที่ดินเพือ่ ทำโครงการของรัฐ กจ็ ะเขา้ ไปซอ้ื ท่ดี นิ บรเิ วณนัน้ เพอ่ื เกง็ กำไร และขายให้ กบั รฐั ใน
ราคาท่สี งู ข้ึน
6. การใช้ทรพั ยส์ นิ ของราชการเพอ่ื ประโยชน์ธรกิจสว่ นตวั เข่น การนำเครอื่ งใช้สำนกั งานต่าง ๆ กลบั
ไปใชท้ บี่ ้าน การนำรถยนตข์ องราขการไปใช้ในงานสว่ นตวั
7. การนำโครงการสาธารณะลงในเขตเลือกตงั้ เพ่ือประโยชนท์ างการเมอื ง เช่น การท่ีรัฐมนตรีอนมุ ัติ
โครงการไปลงพ้ืนที่ หรือข้านเกิดของตนเอง หรอื การใชง้ บประมาณสาธารณะเพือ่ หาเสียง เมื่อพจิ ารณา "ร่าง
พระราชบญั ญตั วิ า่ ดว้ ยความผิดเก่ียวกบั การขัดกันระหว่างประโยชนส์ ่วนตนกบั ประโยชน์ส่วนรวม พ.ศ...." ทำใหม้ ี
รูปแบบเพมิ่ เตมิ จากที่กล่าวมาขตน้ อีก 2 กรณี คือ
8. การใชต้ ำแหน่งหน้าท่ีแสวงประโยชน์แกเ่ ครือญาติ หรอื พวกหอ้ ง "ระบบอุปถมั ภ์พเิ ศษ" เชน่ การที่
เจา้ หนา้ ท่ีของรัฐ ใช้อิทธิพลหรือใชอ้ ำนาวหนา้ ทท่ี ำใหห้ นว่ ยงานของตนเข้าทำสญั ญากับบริษัทของพน่ี ้อง ของตน
9. การใชอ้ ทิ ธพิ ลเข้าไปมผี ลต่อการตดั สินใจของเจ้าหนา้ ทรี่ ฐั หรอื หน่วยงานของรัฐอนื่ เพ่อื ใหเ้ กิด
ประโยชน์แก่ตนเองหรือพวกพอ้ ง เชน่ เจ้าหนา้ ท่ขี องรัฐใชต้ ำแหน่งหน้าท่ขี ม่ ขู่ผ้ใู ตบ้ งั คับบัญชาใหห้ ยดุ ทำการ
ตรวจสอบบริษัทของเครอื ญาตขิ องตน
ตงั นัน้ จำเป็นอยา่ งยง่ิ ทีค่ นทุกวยั ทุกระดบั ในสงั คมต้องจดั การระบบการคิดใหส้ ามารถแยกแยะไต้
อย่างขัดเจน ระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตน และผลประโยชน์ส่วนรวม สรา้ งสงั คมสุจริต ทุกฝา่ ยตอ้ งร่วมมือกัน
ลดพน้ื ทสี่ ีเทาทเี่ กิดจากการขัด กันระหว่างประโยชนส์ ว่ นน และประโยชน์สว่ นรวมของประเทศชาติ อาจนำไป
ส่กู ารทจุ ริตคอรปั ช่ันอย่างมหาศาล ก่อใหเ้ กิดผลเสยี หายร้ายแรงทีไ่ มอ่ าจประเมินคา่ ไต้ต่อประเทศชาติในอนาคด