The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

บทที่ 1 การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by pop_paphassorn, 2022-06-16 04:37:44

บทที่ 1 การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม

บทที่ 1 การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม

Keywords: บทที่ 1 การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม

วิชาการปอ้ งกนั การทุจรติ สค 12026
ระดับประถมศกึ ษา

บทท่ี 1 การคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตนกบั ผลประโยชนส์ ว่ นรวม

วัตถปุ ระสงค์

1. มีความรู้ ความเขา้ ใจเกีย่ วกบั การแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์ส่วนตนกบั ผลประโยชน์สว่ นรวม
2. บอกความหมาย ความสำคัญของหลกั คดิ เป็น
3. สามารถคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวมได้ โดยใช้กระบวนการคิดตามหลัก
ปรัชญาคดิ เปน็

เนอ้ื หารายวชิ า

1. ความหมายของการคดิ แยกแยะ

คิด หมายถึง ใคร่ครวญ ไตร่ตรอง คาดคะเน คำนวณ นึก เช่น เรื่องนี้ยาก ยังคิดไม่ออก คิดว่าเย็นนี้ฝนอาจจะตก
คดิ เลขในใจ คดิ ละอาย
แยกแยะ หมายถึง กระจายออกให้เห็นชัดเจน เชน่ แยกแยะปญั หาให้เห็นเปน็ เร่ือง ๆ หรือประเด็น ๆ ไป
การคิดวิเคราะห์ (Analytical thinking) หมายถึง กระบวนการคิดในรายละเอียดความสามารถในการแยกแยะ
สว่ นต่าง ๆ ออกเป็นส่วนพ้นื ฐาน หรอื ส่วนยอ่ ย ๆ เพ่อื ตรวจสอบและวิเคราะหค์ วามเชื่อมโยงหรือความสมั พันธ์ของ
ส่วนประกอบต่าง ๆ เป็นการคิดในเชิงตรรกะทีละขั้นตอนเพื่อแบ่งระบบข้อมูลขนาดใหญ่ออกเป็นส่วน ๆ เพื่อมา
วิเคราะห์หาสาเหตุหรือเป้าหมายที่ต้องการจากข้อมูลข้างต้น การคิดแยกแยะ หมายถึง การคิดวิเคราะห์
ไตร่ตรองที่มุ่งให้มองเห็นความแตกต่างของข้อมูล สามารถแยกแยะหาสาเหตุหรือเปา้ หมายที่ต้องการได้อย่าง
ถูกต้อง เป็นการคิดที่มุ่งให้มองและให้รู้จักสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง โดยอาศัยการแยกแยะออกเป็น
ส่วนประกอบต่าง ๆ เป็นวิธีคิดแบบวิเคราะห์ นอกจากแยกแยะหรือแจกแจงออกไปเป็นส่วนประกอบต่าง ๆ แล้ว
ยังมีการจัดหมวดหมหู่ รอื จัดประเภทไปด้วยพรอ้ มกัน เช่น ผ้เู รียนมาเรยี นสาย สามารถแยกแยะสาเหตุของการมาสายได้

2. ระบบคดิ "ฐานสอง Digital"

การแก้ปัญหาการทุจริตอย่างยั่งยืน ต้องเริ่มต้นแก้ไขที่ตัวบุคคล โดยการปรับเปลี่ยนระบบการคิดของคน
ในสงั คม โดยนำระบบความคดิ แบบฐานสอง มาใชใ่ นการแก้ปญั หา

ระบบคิด "ฐานสอง Digita l" เปน็ ระบบการคดิ วเิ คราะห์ขอ้ มลู ท่สี ามารถเลอื กได้ 2 ทางเท่านัน้ คอื (ศนู ย)์
กับ 1 (หนึ่ง) หมายถึง โอกาสที่จะเลือกได้เพียง 2 ทาง เช่น ใช่ กับ ไม่ใช่ , เท็จ กับ จริง, ทำได้กับ
ทำไม่ได้,ประโยชน์ส่วนตน กับ ประโยชน์ส่วนรวม เป็นต้น ระบบคิด "ฐานสอง Digital" จึงเหมาะกับการนำมา
เปรยี บเทยี บกับการปฏิบตั ิงานของเจ้าหน้าท่ีของรัฐท่ีต้องสามารถแยกเร่ืองตำแหน่งหน้าท่ีกับเร่ืองส่วนตัวออกจาก
กนั ไดอ้ ย่างเด็ดขาด และไมก่ ระทำการท่ีเป็นการขดั กันระหวา่ งประโยชนส์ ่วนตนและประโยชน์สว่ นรวม

ตวั อย่างการปฏบิ ตั แิ บบใช้ "ฐานสอง Digital""การปฏิบตั งิ านแบบใช้ระบบคิดฐานสอง (Digital)"
คือ การที่เจ้าหน้าที่ของรัฐมีระบบการคิดที่สามารถแยกเรื่องตำแหน่งหน้าที่กับเรื่องส่วนตนออกจากกันได้อย่าง
ชัดเจน ว่าสิ่งไหนถูก สิ่งไหนผิดสิ่งไหนทำได้ สิ่งไหนทำไม่ได้ สิ่งไหนคือประโยชน์ส่วนตน สิ่งไหนคือประโยชน์
ส่วนรวม ไมน่ ำมาปะปนกันไม่นำบุคลากรหรือทรัพย์สินของราชการมาใช้เพื่อประโยชนส์ ว่ นตน ไมเ่ บียดบังราชการ
เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมของหน่วยงานเหนือกว่าประโยชน์ของส่วนตน เครือญาติ และพวกพ้อง ไม่แสวงหา
ประโยชน์จากตำแหนง่ หน้าท่ีราชการ ไม่รับทรัพยส์ ินหรือประโยชน์อืน่ ใดจากการปฏบิ ัติหน้าที่ กรณเี กิดการขัดกนั
ระหว่างประโยชน์สว่ นตนและประโยชนส์ ่วนรวม กจ็ ะยดึ ประโยชน์สว่ นรวมเปน็ หลัก

เรอื่ งที่ 2 ความแตกตา่ งระหวา่ งจริยธรรมและการทุจริต

1. จริยธรรม พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ให้ความหมายของจรยิ ธรรมไว้ว่า
จริยธรรม หมายถงึ ธรรมทเ่ี ป็นขอ้ ประพฤติปฏิบตั ิ
จรยิ ธรรม หมายถึง ความประพฤตทิ อี่ บรมกริ ิยาและปลกู ฝังลักษณะนสิ ยั ให้อยู่ในครรลองของ

คุณธรรม หรือศีลธรรม (การสร้างผลิตผลในการทำงานให้มีประสิทธิภาพ คุณค่าทางจริยธรรมชี้ให้เห็นความเจรญิ
งอกงามในการดำรงชีวิตอย่างมีระเบียบแบบแผน ตามวัฒนธรรมของบุคคลที่มีลักษณะทางจิตใจที่ดีงามประพฤติ
อยใู่ นสังคมไดอ้ ย่างสงบ เรยี บร้อย และเป็นประโยชนต์ ่อผอู้ ่ืน มคี ุณธรรม และมโนธรรมท่จี ะสรา้ งความสมั พันธอ์ นั ดี

จริยธรรม หมายถึง สิ่งที่ทำได้ในทางวินัยจนเกิดความเคยชิน มีพลัง มีความตั้งใจแน่วแน่ จึงต้องอาศัย
ปัญญา และปัญญาอาจเกิดจากความศรัทธาเชื่อถือผู้อื่น ในทางพุทธศาสนาสอนว่า จริยธรรม คือ การนำความรู้
ความจริงหรอื กฎธรรมชาตมิ าใช้ใหเ้ ปน็ ประโยชนต์ อ่ การดำเนนิ ชวี ิตทด่ี ีงาม (พระราชวรมุณี)

ดังนั้น สรุปได้ว่า จริยธรรม หมายถึง แนวทางซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ในการประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้อง
และเป็นลักษณะท่ีสังคมต้องการ เป็นสิ่งที่เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคมส่วนรวม บคุ คลทม่ี จี ริยธรรมอยใู่ นตนเอง
ย่อมเป็นที่ยอมรับนับถือของสังคมและสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุข เป็นคนที่มีคุณภาพและเป็นที่ยอมรับ
ของสงั คมสว่ นรวม

Corruption

ทจุ รติ Corruption
(คอ - รบั - ช่นั )

ผลประโยชน์ทบั ซอ้ น
Conflict of Interests
(คอน - ฟลิคท- ออฟ - อิน - เทอ - เรท)

จรยิ ธรรม
Ethics (เอธ - อิคซ)

ภาพพน้ื ฐานแนวคิดเก่ยี วกบั การขัดกันระหวา่ งผลประโยชนส์ ่วนตน ผลประโยชน์สว่ นรวม และการทจุ ริต
จากภาพแสดงให้เหน็ ว่า ถา้ หากเจ้าหนา้ ที่ของรัฐมจี รยิ ธรรม และมีผลประโยชน์ทบั ซ้อนน้อยการทุจรติ กจ็ ะนอ้ ยลง
ไปดว้ ยเชน่ กัน

"จรยิ ธรรม" เป็นหลกั สำคญั ในการควบคมุ พฤติกรรมของเจ้าหนา้ ที่ของรัฐเปรยี บเสมือนโครงสร้างพนื้ ฐาน
ทเี่ จา้ หน้าที่ของรฐั ต้องยึดถือปฏิบัติ

"การขดั กันระหว่างประโยชนส์ ่วนตนและประโยชน์ส่วนรวม " เป็นพฤติกรรมท่ีอยู่ระหว่างจริยธรรม
กับการทจุ รติ ทจี่ ะกอ่ ให้เกดิ ผลประโยชนส์ ว่ นตนกระทบต่อผลประโยชน์สว่ นรวม ซง่ึ พฤตกิ รรมบางประเภท
มีการบัญญัติเปน็ ความผดิ ทางกฎหมาย มบี ทลงโทษชดั เจน แต่พฤตกิ รรมบางประเภทยังไมม่ กี ารบญั ญตั ิ
ข้อห้ามไว้ในกฎหมาย

"การทุจรติ " เป็นพฤตกิ รรมที่ฝา่ ฝืนกฎหมายโดยตรง ถือเปน็ ความผิดอย่างชดั เจน สงั คมสว่ นใหญ่จะมีการ
บญั ญตั กิ ฎหมายออกมารองรับ มีบทลงโทษชัดเจน ถือเปน็ ความผิดขน้ั แรงทส่ี ดุ ทเี่ จา้ หน้าทีข่ องรัฐต้อง
ไม่ปฏิบัติ

"เจ้าหน้าท่ีของรฐั ทข่ี าดจรยิ ธรรมในการปฏิบัตหิ นา้ ท่โี ดยเข้าไปกระทำการใด ๆ ทเ่ี ป็นการขัดกันระหว่าง
ประโยชนส์ ่วนตนและประโยชนส์ ว่ นรวมถอื วา่ เจา้ หนา้ ท่ีของรฐั ผู้น้ันขาดความชอบธรรมในการปฏบิ ตั หิ น้าที่
และจะเปน็ ต้นเหตุของการทจุ รติ ต่อไป"

สภาพปัญหาการขาดจริยธรรม
1. ขาดการปลกู ฝงั ค่านยิ มพืน้ ฐานจากครอบครัวและสงั คม
2. ขาดการปลูกฝังคา่ นิยม ความรใู้ นการศึกษาเรื่องจรยิ ธรรม และมาตรฐานการเรียนการสอนเกย่ี วกับ

จริยธรรม
3. ขาดตน้ แบบของบุคลากรท่ีดำรงตนเป็นตัวอยา่ งด้านจริยธรรม
4. ความจำเป็นทางเศรษฐกิจและสงั คมทีเ่ ปล่ยี นแปลงไป
5. การทุจรติ และมีการกระทำฝ่าฝนื จรยิ ธรรมวชิ าชีพในกรณอี นื่
6. การขดั กันระหว่างผลประโยชนส์ ่วนตนกับผลประโยชน์สว่ นรวม
7. ขาดการเขา้ มามีสว่ นร่วมในการตรวจสอบของสอื่ มวลชนและประชาชน

หลกั จริยธรรมในการดำรงตนให้ปราศจากอคตธิ รรม 4 ประการ ดงั นี้
1. ปราศจากฉนั ทาคติ หมายถึง การทำใหจ้ ติ ปราศจากความโลภ
2. ปราศจากโทษาคติ หมายถึง การทำใหจ้ ติ ปราศจากความโกรธ พยาบาท จองเวร
3. ปราศจากภยาคติ หมายถงึ การทำใหจ้ ติ ปราศจากความกลวั กระทำจติ ให้มนั่ คง
4. ปราศจากโมหาคติ หมายถึง การทำใหจ้ ิตปราศจากความโงเ่ ขลา ความหลง ไมร่ ้จู กั ความทุกข์

2. การทุจรติ
การทุจริตเป็นภัยร้ายแรงที่สำคัญที่ทำลายความมั่นคงของชาติ รัฐบาลจึงมีนโยบายสร้างมาตรฐานตาม

หลักธรรมาภิบาลให้แก่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐพร้อมทั้งพัฒนาความโปร่งใสในการปฏิบัติงานของ
หน่วยงานภาครัฐ เพื่อให้เป็นที่เชื่อถือไว้วางใจของประชาชนคำว่า ทุจริต พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสภา พ.ศ.
2554 ให้ความหมายไว้ ดังน้ี
"ทุจริต" หมายถึง ประพฤติชั่ว ประพฤติไม่ดี ไม่ซื่อตรง คดโกง ฉ้อโกง โดยใช้อุบายหรือเล่ห์เหลี่ยมหลอกลวง
เพอ่ื ให้ได้สง่ิ ทีต่ ้องการ
การทุจริตต่อหน้าที่ หมายถึง การปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในพฤติกรรมที่อาจทำให้ผู้อื่นเชื่อว่ามี
ตำแหน่งหรือหน้าที่ ท้ังทีต่ นมไิ ดม้ ีตำแหนง่ หรือหนา้ ที่น้นั ๆ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งเพ่ือแสวงหาผลประโยชน์ที่มิ
ควรได้โดยชอบสำหรบั ตนเองและผู้อ่ืน
ลกั ษณะของพฤติกรรมการทุจรติ พฤติกรรมการทจุ ริตมหี ลากหลายท้ังในหน่วยงานราชการและหน่วยงานตา่ ง ๆ ดังน้ี

1. ฝ่าฝนื หลีกเล่ยี ง ระเบียบแบบแผน หรือกฎข้อบงั คับความลับหรือพวกพ้องตามหนา้ ท่ี
2. จงู ใจ เรยี กรอ้ ง บังคับ ขม่ ขู่ หน่วงเหน่ียว กล่ันแกลง้ หรือหาประโยชนใ์ สต่ นเอง เครือญาติ
3. การสมยอม รเู้ ห็นเปน็ ใจ เพิกเฉย ละเว้นการกระทำในการท่ีตอ้ งปฏิบัตหิ รือรบั ผิดชอบ

4. ยักยอก เบียดบังซ่งึ ทรัพยส์ ินของทางราชการ
5. การกระทำใด ๆ อันเปน็ เท็จ
6. มีผลประโยชน์รว่ มในกจิ กรรมบางประเภทที่สามารถใช้อำนาจหนา้ ทขี่ องตนบนั ดาลประโยชน์ได้

เรอ่ื งท่ี 3 ประโยชนส์ ว่ นตนและประโยชนส์ ่วนรวม
1. ประโยชนส์ ่วนตน (private interest)
การที่คนเรามีความสนใจแต่ตนเองและคำนึงถึงแต่ตนเอง จึงส่งผลให้เกิดเป็นประโยชน์ส่วนตนดังมีความหมายท่ี
สรปุ ได้ ดังนี้

ประโยชนส์ ว่ นตน หมายถงึ ความสนใจตนเอง การคำนึงถงึ ตนเอง
ประโยชน์ส่วนตน หมายถึง ผลประโยชน์ที่บุคคลได้รับ โดยอาศัยตำแหน่งหน้าที่ของตนหาผลประโยชน์
จากบุคคลหรือกลุ่มบุคคล ผลประโยชน์ส่วนตนมีทั้งที่เกี่ยวกับเงินทองและไม่ได้เกี่ยวกับเงินทองเช่น ที่ดิน หุ้น
ตำแหนง่ หน้าที่ สัมปทาน สว่ นลด ของขวัญ หรือสงิ่ ทแี่ สดงนำ้ ใจไมตรีอ่ืน ๆ การลำเอียงการเลอื กปฏบิ ัติ เปน็ ตน้
กล่าวโดยสรุป ประโยชน์ส่วนตน เปน็ การคำนงึ ถงึ ตนเอง เปน็ การแสวงหาผลประโยชนจ์ ากบุคคลหรือกลุ่ม
บคุ คล เพอื่ ให้ได้สิง่ ทต่ี นต้องการ ไมว่ า่ ส่งิ นั้นจะถกู หรอื ผดิ
2. ผลประโยชน์ส่วนตน (private interest) "ผลประโยชน์" คือสิ่งใด ๆ ที่มีผลต่อบุคคล กลุ่มบุคคลไม่ว่าใน
ทางบวกหรือลบ "ผลประโยชน์ส่วนตน" ไม่ได้ครอบคลุมเพียงผลประโยชน์ด้านการงานหรือธุรกิจของเจ้าหน้าท่ี
แต่รวมถึงคนที่ติดต่อสัมพนั ธ์ด้วย เชน่ เพ่ือน ญาติ คู่แข่ง ศตั รู เมื่อใดเจา้ หนา้ ท่ีประสงคจ์ ะให้คนเหล่านี้ได้หรือเสีย
ประโยชน์ เมื่อนั้นก็ถือว่ามีเรื่องผลประโยชน์ส่วนตนมาเกี่ยวข้อง ดังนั้น ผลประโยชน์ส่วนตนสามารถแบ่งได้ 2
ประเภท คือ ที่เกีย่ วกับเงิน (pecuniary) และทไ่ี มเ่ กี่ยวกับเงนิ (non-pecuniary)
2.1 ผลประโยชน์ส่วนตนทเี่ ก่ียวกบั เงิน ไมไ่ ด้เกี่ยวกบั การได้มาซง่ึ เงินทองเท่านนั้ แตย่ งั เกย่ี วกบั การเพิ่มพูน
ประโยชน์หรอื ปกปอ้ งการสูญเสียของส่ิงที่มอี ยู่แล้ว เช่น ทด่ี นิ หนุ้ ตำแหนง่ ในบริษัทที่รับงานจาก
1. ผลประโยชนท์ ับซอ้ นที่เกิดข้นึ จริง(actual)มีความทบั ซอ้ นระหวา่ งผลประโยชนส์ ่วนตนและสาธารณะเกดิ ข้ึน
2. ผลประโยชน์ทับซ้อนทีเ่ ห็น (perceived & apparent) เป็นผลประโยชนท์ ับซอ้ นที่คนเหน็ วา่ มีแต่จรงิ ๆ
อาจไมม่ กี ไ็ ด้ ถ้าจดั การผลประโยชนท์ บั ซอ้ นป ระเภทนอี้ ยา่ งขาดประสิทธภิ าพ กอ็ าจนำมาซึ่งผลเสียไมน่ อ้ ยกวา่ การ
จัดการผลประโยชน์ทับซ้อนที่เกิดขึ้นจริง ข้อนี้แสดงว่าเจ้าหน้าที่ไม่เพียงแต่จะต้องประพฤติตนอย่างมีจริยธรรม
เทา่ นัน้ แตต่ ้องทำให้คนอ่นื ๆ รบั รู้ และเหน็ ด้วยวา่ ไม่ไดร้ ับประโยชน์เชน่ นนั้ จริง
3. ผลประโยชน์ทับซ้อนที่เป็นไปได้ (potential) ผลประโยชน์ส่วนตนที่มีในปัจจุบันอาจจะทับซ้อนกับ
ผลประโยชน์สาธารณะไดใ้ นอนาคต

เรื่องที่ 4 หลกั การคดิ เป็น
ในชีวิตประจำวันทุกคนต้องเคยพบกับปัญหาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการงาน การเงิน สุขภาพหรือ

ปัญหาอ่ืน ๆ เชน่ ปัญหาขดั แยง้ ในครอบครัว ปญั หาขัดแย้งของเด็ก ปญั หาของเพ่ือนรว่ มงาน เปน็ ต้นเมือ่ เกิดปัญหา
ก็เกิดทุกข์ แต่ละคนก็จะมีวิธีแก้ไขปญั หา หรือแก้ทุกข์ด้วยวิธีการที่แตกต่างกันไป ซึ่งแต่ละคนอาจมีวิธีการเหมือน
หรือต่างกัน และอาจให้ผลลัพธ์ที่เหมือนกันหรือต่างกันก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพื้นฐานความเชื่อความรู้ ความสามรถ
และประสบการณ์ของบคุ คล อาจจะข้ึนอยกู่ บั ทฤษฎแี ละหลักการของความเช่ือที่ต่างกนั เหล่าน้นั ด้วย

1. ความหมายของการคดิ เป็น
"คิดเป็น" หมายถึง กระบวนการที่คนเรานำมาใช้ในการตัดสินใจโดยต้องแสวงหาข้อมูลของตนเอง ข้อมูลของ
สภาพแวดล้อมในชุมชนและสังคม และข้อมูลทางหลักวิชาการ แล้วนำมาวิเคราะห์หาทางเลือกในการตัดสินใจที่
เหมาะสม มีความพอดรี ะหวา่ งตนเองและสงั คม
สรปุ ความหมายของ "คิดเปน็ "
1. การวิคราะหป์ ัญหาและแสวงหาคำตอบหรอื ทางเลอื กเพอื่ แก้ปัญหาและดบั ทกุ ข์
2. การคิดอยา่ งรอบคอบเพือ่ การแกป้ ญั หาโดยอาศยั ข้อมลู ตนเอง ข้อมูลสังคมสิ่งแวดล้อมและ

2. ความสำคัญของการคดิ เปน็
ความสำคัญของการคิดเป็น เปน็ ส่งิ ท่ีมีคณุ คา่ เพราะการคิดช่วยให้คนได้มองเห็นสภาพปัญหาต่าง ๆ ในอนาคต ซ่ึง
จะช่วยใหบ้ ุคคลได้คดิ หาแนวทางในการหลีกเสี่ยงหรือป้องกันได้ และการคดิ ช่วยขยายความหมายของสงิ่ ต่าง ๆ ใน
โลกได้ และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการคิด คือ คนจะมีการปฏิบัติหรือการกระทำข้อมูลวิชาการตามที่เขาคิด
ถึงแม้ว่ามันจะถูกหรือผิดก็ตาม เนื่องจากการคิดมีพลังอำนาจ จึงต้องมีการควบคุม โดยได้แนะนำวิธีการทาง
วิทยาศาสตร์ในการช่วยรักษาความคดิ ใหเ้ ปน็ ไปอย่างถูกต้อง มีการควบคมุ เง่ือนไขภายใตก้ ารสงั เกต

สรุปความคิดตามสิ่งที่เกิดขึ้น และมีการคิดทบทวนแนวคิด กล่าวได้ว่า สิ่งที่บุคคลรู้จะเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้
เกิดกระบวนการคิดครั้งแรก แล้วจึงนำไปสู่การคิดในสิ่งอื่น ๆ ซึ่งสามารถเชื่อมโยงให้เกิดความสมบูรณ์ของ
กระบวนการคิดน้ัน เนือ่ งจากการคิดมอี ทิ ธพิ ลอย่างมากจากกิเลสที่อยใู่ นภายในตัวบุคคลและสงั คม

เรือ่ งที่ 5 ผลประโยชน์ทบั ซ้อน
ผลประโยชน์ทับซ้อน เป็นการขัดกันของผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม หรือการขัดกัน

ระหว่างประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวม หรือการขัดกันระหว่างผลประโยชน์สาธารณะและผลประโยชน์
ส่วนตนการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม มีลักษณะทำนองเดียวกันกับกฎศีลธรรม
ขนบธรรมเนียมประเพณี หลักคุณธรรม จริยธรรม กล่าวคือ การกระทำใด ๆ ที่เป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์
ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม เป็นสิ่งที่ควรหลีกเสี่ยง ไม่ควรจะกระทำ แต่บุคคลแต่ละคนแต่ละกลุ่ม แต่ละสังคม
อาจเห็นว่าการขัดกันก็ยังอาจจะมีระดับของความหนักเบาแตกต่างกัน และในกรณีที่มีการฝ่าฝืนบางเรื่อง บางคน
อาจเห็นว่าไม่เป็นไร เป็นเรื่องเล็กน้อย หรืออาจเห็นเป็นเรื่องใหญ่ ต้องถูกประณามตำหนิ ฯลฯ แตกต่างกันตาม

สภาพของสังคมโดยพื้นฐานแล้ว เรื่องการขัดกันแห่งผลประโยชน์จึงเป็นกฎศีลธรรมประเภทหนึ่ง ที่บุคคลไม่ควร
ละเมิดหรอื ฝ่าฝนื แตเ่ น่ืองจากมีการฝา่ ฝืนกันมาก และบคุ คลผฝู้ า่ ฝืนไมม่ ีความเกรงกลวั หรอื ละอายต่อการฝ่าฝืนน้ัน
สังคมกไ็ ม่ลงโทษหรือลงโทษไมเ่ พียงพอท่ีจะมผี ลเป็นการห้ามการกระทำดงั กลา่ ว และในทส่ี ดุ จึงมกี ารตรากฎหมาย
ที่เกย่ี วขอ้ งกบั การขัดกันแห่งผลประโยชน์มากข้นึ
หน้าทท่ี ับซอ้ น (conflict of duty) หรือผลประโยชนเ์ บยี ดซ้อนกนั (competing interests) มี 2 ประเภท

1. ประเภทแรก เกิดจากการทเี่ จา้ หน้าท่มี บี ทบาทหน้าทม่ี ากกว่าหนึ่ง เช่น เป็นเจ้าหน้าทีใ่ นหน่วยงานและ
เป็นคณะกรรมการด้านระเบียบวินัยประจำหน่วยงานด้วย ปัญหาจะเกิดเมื่อไม่สามารถแยกแยะบทบาทหน้าที่ท้ั ง
สองออกจากกันได้ อาจทำให้ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ หรือแม้กระทั่งเกิดความผิดพลาด หรือผิดกฎหมาย ปกติ
หน่วยงานมักมีกลไกป้องกันปัญหานี้ โดยแยกแยะบทบาทหน้าที่ต่าง ๆ ให้ชัดเจน แต่ก็ยังมีปัญหาได้โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งในหน่วยงานท่ีมกี ำลังคนน้อย หรือมีเจา้ หน้าทบี่ างคนเท่าน้ันท่ีสามารถทำงานบางอยา่ งท่ีคนอื่น ๆ ทำไม่ได้
คนสว่ นใหญ่ไม่คอ่ ยหว่ งปญั หานีก้ นั เพราะดูเหมอื นไม่มเี ร่ืองผลประโยชน์ส่วนตนมาเก่ียวข้อง

2. ประเภททีส่ อง เกิดจากการที่เจ้าหน้าที่มีบทบาทหน้าที่มากกว่าหน่ึงบทบาท และการทำบทบาทหน้าที่
ในหน่วยงานหนึ่งนั้น ทำให้ได้ข้อมูลภายในบางอย่างที่อาจนำมาใช้เป็นประโยชน์แก่การทำบทบาทหน้าท่ีให้แก่อีก
หนว่ ยงานหนึง่ ได้ ผลเสยี คือ ถ้านำข้อมลู มาใช้กอ็ าจเกดิ การประพฤตมิ ิชอบหรือความลำเอยี งอคติตอ่ คนบางกลุ่ม

ดังนั้น ควรถือได้ว่าหน้าที่ทับซ้อนเป็นปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนด้วย เพราะว่ามีหลักการจัดการแบบ
เดียวกันนั่นคือ การตัดสินใจทำหน้าที่ต้องเป็นกลางและกลไกการจัดการผลประโยชน์ทับซ้อนก็สามารถนำมา
จัดการกับหน้าทท่ี ับซอ้ นได้
เร่ืองที่ 6 รูปแบบผลประโยชนท์ ับซ้อน ศาสตรพ์ ระราชา หลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

1. ความหมายของผลประโยชนท์ บั ซ้อน
ความหมายของผลประโยชน์ทับซ้อน (conflict of Interest) คือ ผลประโยชน์ส่วนตัวของเจ้าหน้าที่รัฐไปขัดแย้ง
กบั ผลประโยชน์สว่ นรวมแล้วต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหน่ึง ซึ่งทำใหต้ ดั สนิ ใจได้ยากในอันทจี่ ะปฏิบัติหน้าท่ีให้เกิด
ความเปน็ ธรรมและปราศจากอคติ

2. รูปแบบของผลประโยชน์ทบั ซอ้ น มรี ูปแบบดงั ตอ่ ไปน้ี
2.1 การรับผลประโยชน์ต่าง ๆ (Accepting benefits) เช่น การรับของขวัญจากบริษัทธุรกิจบริษัทขาย
ยา หรืออุปกรณ์การแพทย์ สนับสนุนค่าเดินทางให้ผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ที่ไปประชุมเรื่องอาหารและยาที่
ต่างประเทศหรือหน่วยงานราชการรบั เงนิ บริจาค สรา้ งสำนกั งานจากธุรกิจที่เป็นลูกคา้ ของหน่วยงานหรือแม้กระท่ัง
ในการใชง้ บประมาณของรฐั เพอื่ จัดซื้อจัดจ้างแลว้ เจา้ หนา้ ท่ไี ดร้ บั ของแถม หรอื ประโยชนอ์ น่ื ตอบแทน เปน็ ต้น
2.2 การทำธุรกิจกับตนเอง (Self - dealing) หรือเป็นคู่สัญญา (Contracts) หมายถึง สถานการณ์ที่ผู้
ดำรงตำแหน่งสาธารณะ มีส่วนได้เสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานที่ตนสังกัด เช่น การใช้ตำแหน่งหน้าที่ทำให้

หน่วยงานทำสัญญาซ้ือสินค้าจากบริษัทของตนเอง หรือจ้างบริษทั ของตนเป็นท่ีปรึกษา หรือซื้อที่ดินของตนเองใน
การจดั สร้างสำนักงาน สถานการณเ์ ชน่ นีเ้ กดิ บทบาททขี่ ัดแย้ง เชน่ เป็นทง้ั ผซู้ ือ้ และผขู้ ายในเวลาเดยี วกนั

2.3 การทำงานหลังจากออกจากตำแหน่งหนา้ ทสี่ าธารณะ หรือหลังเกษียณ
(Post - employment)หมายถึง การทบี่ ุคคลลาออกจากหน่วยงานของรฐั และไปทำงานในบรษิ ทั เอกชนท่ีดำเนิน
ธุรกิจประเภทเดียวกัน เช่น ผู้บริหารหรือเจ้าหน้าที่ขององค์การอาหารและยา ลาออกจากงานราชการและไป
ทำงานในบริษัทผลิตหรือขายยา หรือผบู้ ริหารกระทรวงคมนาคมหลังเกษียณออกไปทำงานเป็นผบู้ ริหารของบริษัท
ธรุ กจิ สือ่ สาร

2.4 การทำงานพิเศษ (Outside employment or moonlighting) ในรูปแบบนีม้ ีได้หลายลักษณะ เชน่
ผู้ดำรงตำแหน่งสาธารณะตง้ั บริษัทดำเนินธรุ กจิ ทเี่ ปน็ การแข่งขันกับหน่วยงาน หรือองคก์ ารสาธารณะที่สังกัด หรือ
การรับจ้างเป็นที่ปรึกษาโครงการ โดยอาศัยตำแหน่งในราชกรสร้างความน่าเชื่อถือวา่ โครงการของผู้ว่าจ้างจะไม่มี
ปัญหาติดขัดในการพิจารณาจากหน่วยงานที่ที่ปรึกษาสังกัดอยู่ หรือในกรณีที่เป็นผู้ตรวจสอบบัญชีของ
กรมสรรพากร ก็รบั งานพเิ ศษเป็นที่ปรกึ ษา หรือเป็นผู้ทำบญั ชใี ห้กบั บริษทั ทต่ี ้องถูกตรวจสอบ

2.5 การรู้ข้อมูลภายใน (Inside information) หมายถึง สถานการณ์ที่ผู้ดำรงตำแหน่งสาธารณะใช้
ประโยชน์จากการรู้ข้อมูลภายในเพื่อประโยชน์ของตนเอง เช่น ทราบว่ามีการตัดถนนผ่านบริเวณใดก็จะเข้าไปซื้อ
ทด่ี ินนน้ั ในนามของภรรยา หรอื ทราบวา่ จะมีการซื้อขายทด่ี ินเพ่ือทำโครงการของรัฐ กจ็ ะเข้าไปซ้ือท่ีดินน้ันเพื่อเก็ง
กำไร และขายใหก้ บั รัฐในราคาทสี่ งู ขนึ้

2.6 การใช้ทรัพย์สินของราชการเพื่อประโยชน์ธุรกิจส่วนตัว (Using your employer'sproperty for
private advantage) เช่น การนำเครื่องใช้สำนักงานต่าง ๆ กลับไปใช้ทบ่ี ้าน การนำรถยนต์ราชการไปใช้ในงานส่วนตัว

2.7 การนำโครงการสาธารณะลงในเขตเลือกตั้ง เพื่อประโยชน์ทางการเมือง (Pork - barreling) เช่น
การทีร่ ฐั มนตรอี นุมัติโครงการไปลงพน้ื ที่ หรอื บ้านเกิดของตนเอง หรอื การใช้งบประมาณสาธารณะเพือ่ หาเสียง

2.8 การใช้ตำแหน่งหน้าที่แสวงหาประโยชน์แก่เครือญาติ หรือพวกพ้อง (Nepotism) เป็น"ระบบ
อุปถัมภ์พิเศษ" เช่น การที่เจ้าหนา้ ท่ีของรัฐ ใช้อิทธิพลหรือใช้อำนาจหน้าที่ทำใหห้ น่วยงานของตนเข้าทำสัญญากับ
บริษัทของพนี่ อ้ งของตน

2.9 การใช้อิทธิพลเข้าไปมีผลต่อการตัดสินใจของเจ้าหน้าที่รัฐ หรือหน่วยงานของรัฐอื่น(influence)
เพื่อให้เกดิ ประโยชน์แกต่ นเองหรือพวกพ้อง เชน่ เจา้ หนา้ ท่ขี องรัฐใช้ตำแหนง่ หน้าท่ีข่มขู่ผใู้ ต้บงั คับบัญชาให้หยุดทำ
การตรวจสอบบรษิ ัทของเครอื ญาตขิ องตน

ดังนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่คนทุกวัย ทุกระดับในสังคมต้องจัดการระบบการคิดให้สามารถแยกแยะได้อย่าง
ชัดเจน ระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม (ประเทศชาติ) ซึ่งการสร้างสังคมสจุ ริตทุกฝ่ายต้อง
ร่วมมือกันลดสิ่งที่เกิดจากการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม ถ้าคนในสังคมไม่เห็น

ความสำคญั อาจนำประเทศชาติไปสู่การทุจริตอย่างมหาศาล ก่อใหเ้ กดิ ผลเสียหายร้ายแรงที่ไม่อาจประเมินค่าได้ต่อ
ประเทศชาตใิ นอนาคต

จากที่กล่าวมาข้างต้นนี้ การนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ จะช่วยให้ลดการเกิดผล
ประโยชน์ทับซ้อนจากการทุจริต โดย ดร. อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหาร
ศาสตร์ กล่าวสรปุ ศาสตร์พระราชา จากปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี งสูก่ ารพัฒนาอย่างยั่งยืน ดังนี้

1. จากปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในฐานะหลักการนำทาง ประกอบด้วย สามห่วง สองฐาน คือ ความ
พอประมาณ ความมีเหตผุ ล การมีภมู ิคุม้ กันในตน มฐี านความรู้ และฐานคณุ ธรรม

2. วิธีการของศาสตร์พระ ราชา คือ เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา โดยต้องเข้าใจ เข้าถึง พัฒนา คน วัตถุสังคม
ส่ิงแวดล้อมและวัฒนธรรม เข้าใจ หมายถึง การใช้ข้อมูลที่มีอยู่แล้ว การใช้และแสวงหาข้อมูลเชิงประจักษ์ การ
วเิ คราะหแ์ ละการวจิ ัย การทดลองใช้จนได้ผลจรงิ ก่อนเข้าถึง หมายถงึ การระเบดิ จากขา้ งในเข้าใจกลมุ่ เป้าหมายใน
การพัฒนา และสร้างปัญญาสังคม พัฒนา หมายถึง การพัฒนาที่ประชาชนเร่ิมต้นด้วยตนเอง พึ่งพาตนเองได้ และ
มีตน้ แบบในการเผยแพร่ความรใู้ ห้ประชาชนไดเ้ รียนรูแ้ ละนำไปประยุกตใ์ ช้

3. การประยุกต์แห่งศาสตร์พระราชา ต้องทำด้วยความรัก ความปรารถนาและด้วยใจ ต้องประยุกต์ใช้
อย่างยง่ั ยืน ไม่ยดึ ตดิ ตำรา ปรบั ตามบุคคล สภาพพ้ืนทแี่ ละสถานการณ์ ตวั อยา่ ง การประยุกต์แห่งศาสตร์พระราชา
ได้แก่ โครงการพระราชดำริกว่า 4,000 โครงการ เกษตรทฤษฎีใหม่ แกล้งดิน แก้มลิง ฝนหลวงกังหันน้ำชัยพัฒนา
หญ้าแฝก เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ สถานีวิทยุ อส. ถนวงแหวน ถนนรัชดาภิเษก ทางด่วนลอยฟ้าถนนบรมราชชนนี
สะพานพระราม 8 เปน็ ตน้

4. ผลลัพธ์ของศาสตร์พระราชา คือ ตามพระปฐมบรมราชโองการ "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อ
ประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" ในส่วน "ประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" แสดงให้เห็นถึงทรงทำเพ่ือ
ส่วนรวม คนในสังคมจะได้รับประโยชน์ทั่วกัน สอนให้ประชาชนรู้จักพออยู่พอกิน และรู้รักสามั คคีอันเป็นการ
พัฒนาอย่างยั่งยืนทำให้เกิดความพอเพียง พอประมาณ ส่งผลทำให้ไม่เกิดการทุจริต หาประโยชน์ส่วนตน และไม่
ก่อใหเ้ กิดเปน็ ผลประโยชน์ทับซอ้ น


Click to View FlipBook Version