เอกสารประกอบการสอน รหัสวิชา 30600-0001 รายวิชา ชีววิทยาสัตว์น้ำ ภาคเรียนที่ 1 ปีการ ศึกษา 2566 เรื่อง ลักษณะภายนอกและภายในของหมึก และหอย หมึก หมึกเป็นสัตว์ที่มีอยู่ในไฟลัมมอลลัสกา ชั้นเซฟาโลพอดซึ่งเป็นชั้นของสัตว์ที่มีลำ ตัวอ่อนนิ่ม ชั้นย่อย Coleoidea ต่างจากกลุ่มสัตว์ที่ใกล้เคียงกันคือ Nautiloidea ซึ่งมีเปลือกแข็งห่อหุ้มภายนอกร่างกาย แต่หมึกส่วนใหญ่กลับมีกระดูกหรือ เปลือกอยู่ภายในเพื่อใช้ประโยชน์ใน์นการเป็นทุ่น หรือพยุงร่างกาย ซึ่งเรียกว่า ลิ้น ทะเล ยังมีบางชนิดที่ไม่มีกระดูก แต่มีกระดูกอ่อนทดแทนเพื่อใช้ในการพยุง โครงสร้างร่างกาย คำ ว่า Cephalopoda ซึ่งเป็นชื่อชั้นที่ใช้เรียกหมึก มาจากภาษากรีกแปลรวมกัน ว่า "สัตว์หัว-เท้า" (head-footed animals) เนื่องจากหมึกเป็นสัตว์ที่ไม่มีแขนขา เพียงแต่มีระยางค์ยื่นออกจากจากรอบ ๆ บริเวณปากเรียกว่า หนวด เท่านั้นเอง หมึกวิวัฒนาการมาจากมอลลัสกา ในปลายยุคแคมเบรียน หรือราว 500 ล้านปี ก่อน แต่กระนั้นหมึกและหอยในยุคปัจจุบันนี้ ก็ยังมีระบบทางร่างกายหลายอย่าง เหมือนกัน กล่าวคือ ระบบทางเดินอาหาร, ปาก, ฟัน และกล้ามเนื้อแบบแมนเทิล ปัจจุบัน ได้มีการค้นพบหมึกแล้วว่า 1,000 ชนิด ชนิดที่ใหญ่ที่สุด คือ หมึกมหึมา (Mesonychoteuthis hamiltoni) ซึ่งเป็นหมึกในอันดับหมึกกล้วย อาศัยอยู่ใน ห้วงน้ำ ลึกของมหาสมุทรแอตแลนติก อาจยาวได้ถึง 14 เมตร นับเป็นสัตว์ที่ไม่มี กระดูกสันหลังที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย และเล็กที่สุดมีขนาดไม่เกิน 1 เซนติเมตรด้วยซ้ำ เช่น หมึกในวงศ์ Idiosepiidae เป็นต้น หมึกมีความสำ คัญต่อมนุษย์ในแง่ของการใช้เป็นอาหารมาช้านาน ในแทบทุก วัฒนธรรม หมึกถือเป็นสัตว์ทะเลที่ใช้ปรุงเป็นอาหาร ซึ่งสามารถปรุงสุดได้ทั้งสด และตากแห้ง เช่น ในอาหารไทย เช่น หมึกผัดกะเพรา หรือ หมึกย่าง เป็นต้น นอกจากนี้แล้วยังใช้ทำ เป็นอาหารสัตว์ โดยเฉพาะลิ้นทะเล ซึ่งมีแคลเซียมเป็น จำ นวนมาก จึงนิยมให้นกหรือสัตว์ปีกกินเพื่อเพิ่มแคลเซียมในร่างกาย นอกจากนี้แล้ว หมึกยังมักถูกอ้างอิงถึงในวรรณกรรมประเภทต่าง ๆ โดยเฉพาะ หมึกยักษ์หษ์รือหมึกที่มีขนาดใหญ่ เช่น โจมตีใส่เรือดำ น้ำ นอติลุสของกัปตันนีโม รื่
ในนวนิยายวิทยาศาสตร์เรื่อง Twenty Thousand Leagues Under the Sea เป็นต้น สำ หรับหมึกที่พบในน่านน้ำ ไทย ได้แก่ หมึกกระดองลายเสือ (Sepia pharaonis), หมึกกล้วย (Photololigo duvauceli), หมึกหอม (Sepioteuthis lessoniana), หมึกสายราชา (Octopus rex) เป็นต้น เลือดหมึกมีสีน้ำ เงิน การจำ แนก ชั้น Cephalopoda ชั้นย่อย Coleoidea - ชั้น Belemnoidea: เบเลนอยด์ (สูญพันธุ์) - ชั้น Neocoleoidea อันดับใหญ่ Decapodiformes - (อันดับไม่จัดเข้าพวก) ชั้นย่อย Nautiloidea: หอยนา ชั้นย่อย Ammonoidea: ไอทีป สกุล Jeletzkya อันดับ Hematitida อันดับ Phragmoteuthida อันดับ Donovaniconida อันดับ Aulacocerida อันดับ Belemnitida อันดับ Boletzkyida อันดับ Spirulida: หมึกเขาแกะ อันดับ Sepiida: หมึกกระดอง อันดับ Sepiolida: หมึกบ็อบเทล อันดับ Teuthida: หมึกกล้วย อันดับใหญ่ Octopodiformes วงศ์ Trachyteuthididae (ไม่แน่นอน) อันดับ Vampyromorphida: หมึกแวมไพร์ อันดับ Octopoda: หมึกสาย, หมึกยักษ์
วงศ์ †Ostenoteuthidae การเคลื่อนที่โดยทั่วไปของหมึก การเคลื่อนที่ของหมึกจะใช้วิธีขับน้ำ จากบริเวณส่วนในของลำ ตัวผ่านออกทาง ท่อที่อยู่ใกล้ ๆ หัว จึงทำ ให้เกิดแรงดันตัวให้พุ่งไปอีกด้านหนึ่ง ขณะเคลื่อนที่จะลู่ หนวดตัวเองไว้เพื่อไม่ให้ต้านน้ำ นอกจากนี้แล้วหมึกยังมีอวัยวะที่ช่วยในการพยุง ตัวที่เรียกว่า Statocyst ซึ่งหลักการทำ งานเหมือนกับแท่งกระดูกในหูของมนุษย์ ที่ช่วยในการทรงตัว จึงช่วยให้หมึกสามารถพุ่งไปในทิศทางต่าง ๆ ได้ทั้งขึ้นขึ้และ ลงนอกจากนี้แล้วยังมีสิ่งที่คล้ายกับกระดูกอ่อนที่เรียกว่า Statolith จะอยู่ใน ระหว่างเซลล์ประสาทแบบขน ซึ่งในกลุ่มหมึกกล้วยจะมีอวัยวะส่วนนี้วิวัฒนาการ ถึงขีดสุด นับว่าได้ว่า การหายใจของหมึก หมึกจะมีจังหวะการยืดหดตัวของผนังลำ ตัว ที่จะกระตุ้นการดูดน้ำ เข้าและขับน้ำ ออก น้ำ ที่มีออกซิเจนจะให้ไหลผ่านเหงือกตลอดเวลา โดยการทำ งานร่วมกันของ กล้ามเนื้อลำ ตัว ช่องตัวและลิ้นปิดเปิด มีการทดลองพวกหมึกกระดองในสกุล Sepia ในภาวะปกติ จะมีอัตราการหายใจเข้า 55 ครั้งต่อนาที การหายใจจะเพิ่ม ขึ้นขึ้เมื่อถูกกระตุ้นหรือระหว่างการเคลื่อนที่ก็จะมีการยืดหดตัวอย่างแรง ภาพที่ 1 หมึกหอม (Sepiotenthis lessoniana) หมึกชนิดหนึ่งที่พบได้ในน่าน น้ำ ไทย ที่มา: วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (2566) สีสันและการพรางตัว หมึกเป็นสัตว์เพียงไม่กี่ชนิดในโลก ที่สามารถพรางตัวได้ด้วยการเปลี่ยนสีลำ ตัว ได้อย่างรวดเร็วคล้ายกับสีของหลอดนีออน เนื่องจากเซลล์บนผิวหนังของหมึกที่ ซึ่
เรียกว่า Chromatophore ซึ่งอยู่ด้านบนลำ ตัวมากกว่าด้านข้าง ด้านในมีเม็ดสี เมื่อกล้ามเนื้อหดตัวจะดึงผนังของเซลล์เหล่านี้ให้ขยายใหญ่ขึ้นขึ้จึงทำ ให้สีสันของ หมึกสามารถแปรเปลี่ยนไปมาได้ ซึ่งการเปลี่ยนสีของหมึกนั้นไม่ได้ไปเป็นเพื่อ การพรางตัวอย่างเดียวเท่านั้น หากแต่ยังแสดงออกถึงอารมณ์ไณ์ด้อีกด้วย ในกลุ่ม หมึกกระดองในเวลากลางวัน อาจจะซุกซ่อนตัวเพื่อพักผ่อน ด้วยการใช้ท่อพ่นน้ำ ที่เรียกว่า Funnel พ่นพื้นทรายให้เป็นแอ่ง แล้วซุกซ่อนตัวไว้ใต้ทรายนั้น นอกจากนี้แล้ว หมึกยังมีสารเคมีพิเศษที่ไม่เหมือนกับสัตว์ชนิดไหนในโลกอีก ด้วย นั่นคือ น้ำ หมึก ซึ่งเป็นที่มาของชื่อในภาษาไทยด้วย น้ำ หมึกในหมึกมีไว้เพื่อ การป้องกันตัวและหลบหนีจากศัตรู เช่น ปลาขนาดใหญ่และสัตว์ทะเลกินเนื้อ ชนิดอื่น ๆ เช่น แมวน้ำ หรือโลมา ที่กินหมึกเป็นอาหาร น้ำ หมึกของหมึกนั้น แท้จริงแล้วเป็นเมือกอย่างหนึ่ง ที่มีสารแขวนลอยสีดำ เป็นจำ นวนมาก และมี ลักษณะเป็นของเหลวฟุ้งกระจายในน้ำ ได้เป็นอย่างดี ซึ่งในน้ำ หมึกนั้นมีสารเคมี ที่ออกฤทธิ์เธิ์ป็นด่างซึ่งจะทำ ให้ปลาที่ล่าหมึกนั้นเกิดอาการมึนชาไปได้ชั่วขณะ ประกอบกับหมึกใช้เป็นม่านควันกำ บังตัวหนีไปได้ด้วย หมึกนั้นจะพ่นน้ำ หมึก ออกมาจากท่อเดียวกับที่ใช้พ่นน้ำ การป้องกันตัวและการล่าเหยื่อ หนวดหมึกนั้น นอกจากใช้จับเหยื่อแล้วยังใช้เพื่อข่มขู่และต่อสู้อีกด้วย เมื่อหมึกชู หนวดคู่หน้าน้ที่ยาวกว่าหนวดอื่น หมายความว่า มันพร้อมที่จะสู้ ซึ่งหมึกโดย เฉพาะตัวผู้มักจะต่อสู้กัน เพื่อแย่งตัวเมียและปกป้องอาณาเขตหากิน สมองและ การมองเห็นของหมึกนั้นวิวัฒนาการมาดีที่สุดในบรรดาสัตว์ไม่มีกระดูกสั้นหลัง ทั้งหมด ระบบประสาทเมื่อเทียบกับมนุษย์แล้วถือว่าดีกว่าถึง 50 เท่า หมึกเมื่อจะ ล่าเหยื่อ จะเริ่มต้นด้วยการจ้องเหยื่อก่อน และกะระยะให้พอดีที่จะจู่โจมเข้าใส่ ซึ่ง หมึกจะใช้หนวดที่แข็งแรงมัดรัดเหยื่อไว้ก่อนที่จะใช้ขากรรไกรที่แข็งแรงและคม เหมือนปากนกแก้ว ฉีกกัดเหยื่อ นอกจากนี้แล้วในน้ำ ลายของหมึกยังมีสารเคมีที่ เรียกว่า Chephalotoxin ซึ่งมีเฉพาะในกลุ่มหมึกยักษ์แษ์ละหมึกกระดองเท่านั้น ซึ่งส่งผลต่อระบบประสาทในสัตว์จำ พวกกุ้งปูเท่านั้น เพื่อตกเป็นอาหารตาม ธรรมชาติของหมึก แต่ทว่าในหมึกน้ำ ลึกบางชนิดก็ไม่มีน้ำ หมึกที่ว่านี้ นอกจากนี้แล้ว หมึกในสกุล หมึกสายวงน้ำ เงิน ซึ่งเป็นหมึกในกลุ่ม หมึกยักษ์ หรือหมึกสาย เป็นหมึกขนาดเล็กกว่า แต่ทว่าในน้ำ ลายมีพิษที่ร้ายแรงมาก เทียบเท่ากับพิษของงูเห่า 20 ตัวเลยทีเดียว โดยมากแล้ว หมึกจะใช้เวลากลาง คืนออกหาอาหาร ส่วนกลางวันนั้นใช้พักผ่อนนอนหลับ หมึกทุกชนิดเป็นสัตว์กิน เนื้อ โดยจะออกล่าเหยื่อที่เป็นสัตว์น้ำ ชนิดต่าง ๆ เป็นอาหาร ไม่เว้นแม้แต่กระทั่ง หมึกด้วยกันเอง
ภาพที่ 2 หมึกสายวงน้ำ เงินใต้ (Hapalochlaena maculosa) เป็นชนิดของหมึก สายวงน้ำ เงินที่พบในน่านน้ำ ไทย ที่มา: วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (2566) การสืบพันธุ์และการเจริญเติบโต หมึกส่วนมากจะมีอายุขัยโดยเฉลี่ยไม่เกิน 4 ปี อย่างหมึกกระดองมีอายุขัยราว 240 วัน หมึกถือเป็นสัตว์ที่มีการเจริญเติบโตเร็วมาก เมื่ออายุถึง 3 เดือน ก็ สามารถสืบพันธุ์ได้ หมึกมักจะจับคู่เป็นคู่ ๆ โดยในหมึกกระดองตัวผู้จะมีถุง สเปิร์ม ซึ่งตัวผู้จะใช้หนวดดึงถุงสเปิร์มนี้ไว้ในตัวตัวเมียบริเวณรอบปาก ในขณะ ที่หมึกกล้วยจะทิ้งไว้ข้างลำ ตัวหมึกจะวางไข่ไว้ในโพรงหรือติดกับวัสดุต่าง ๆ ใต้ น้ำ เช่น หินหรือปะการัง เมื่อฟักเป็นตัวแล้ว หมึกในวัยเล็กจะมีรูปร่างเหมือนตัว เต็มวัยทุกประการ หมึกตัวเมียในกลุ่มหมึกกระดองเมื่อวางไข่แล้ว น้ำ หนักจะ ค่อย ๆ ลดลงและตายลงในที่สุด ในขณะที่หมึกยักษ์ตัษ์ ตัวเมียจะดูแลไข่และดูแลลูก จนกระทั่งฟักออกมาเป็นตัว
ประเภทและโครงสร้างปลาหมึก 1. ประเภทของปลาหมึก ปลาหมึกจัดเป็นสัตว์ทะเลที่ไม่มีกระดูกสันหลัง จัดอยู่ ในกลุ่มเดียวกับหอย ปลาหมึกที่สำ คัญมี 4 ชนิด คือ หมึกกล้วย หมึกหอม หมึก กระดอง และหมึกสาย 1.1 หมึกกล้วย (Splendid Squid, Loligo formasana) รูปร่างยาว เรียว ลำ ตัว กลม ครีบเป็นรูปสามเหลี่ยมอยู่ด้านท้าย มีหนวดสั้น 4 คู่ นัยน์ตน์ามีขนาดใหญ่ ใน ปากมีฟันเขียว ลำ ตัวมีกระดองใสเหมือนแผ่นพลาสติก เนื้อดิบบริโภคได้ มีรส หวาน 1.2 หมึกหอม (Soft Cutle fish, Sepistenthis lessioniana) ลำ ตัว รูปทรง กระบอก ครีบทั้งสองด้านมีลักษณะกว้างและแบนบางเกือบตลอดลำ ตัว กระดอง เป็นแผ่นใสดูบางเห็นเส้นกลางกระดองได้ชัดเจน หนวดรอบปากมี 10 เส้น มี หนวดคู่ยาว 2 เส้น ลักษณะลำ ตัวใส มีสีน้ำ ตาลเข้มอมแดงประเป็นจุดอยู่ทั่วไป 1.3 หมึกกระดอง (Rainbow Cutle fish, Sepia pharaonis) ว่ายน้ำ ได้เร็วลำ ตัวเป็นถุงรูปไข่มีแผ่นกล้ามเนื้อคลุมลำ ตัวอยู่เกือบทั้งหมดก็ คือ ครีบ ซึ่งเป็น อวัยวะที่ใช้พยุงตัว ทำ ให้เคลื่อนไหวได้เร็ว นัยน์ตน์ามีขนาดใหญ่ มีหนวดสั้น 4 คู่ หนวดยาว 1 คู่ ปลายของหนวดมีอวัยวะดูด ใช้จับอาหาร หากินผิวน้ำ ในเวลา กลางคืน พบในอ่าวไทย เนื้อแน่น มีกระดองใหญ่ภายในคล้ายโฟม 1.4 หมึกสาย (Dollfus Octopus, Octopus dollfus) รูปร่างผิดกับ ปลาหมึก ทั่วไป ลำ ตัวกลมคล้ายลูกโป่ง ไม่มีครีบ ไม่มีกระดอง มีหนวด 8 เส้น โคนหนวด มี ผนังเชื่อมติดกัน ด้านในหนวดทุกเส้นมีปุ่มดูดสำ หรับจับสัตว์กิน ลำ ตัวสีเทาอม ดำ หรือสี น้ำ ตาลอ่อน ด้านท้องสีขาว ๆ เคลื่อนไหวค่อนข้างช้า อาศัยอยู่ตามพื้นที่ เป็นโคลนปนทราย พบตามชายฝั่งทะเลทั่วไป 5.2 โครงสร้างของปลาหมึก ปลาหมึกมีรูปร่างกลม แบ่งออกเป็นส่วนหัวและลำ ตัว ไม่มีเปลือกหุ้มภายนอก มีตาขนาดใหญ่อยู่บริเวณส่วนหัว มีระยางค์รอบปาก 4 – 5 คู่ เรียกว่า หนวด บน หนวดแต่ละเส้นมีปุ่มดูดเรียงเป็นแถว หนวดมีหน้าน้ที่จับเหยื่อเข้าปากลำ ตัวมี แผ่นครีบติดอยู่ตรงด้านข้าง ปลาหมึกเปลี่ยนสีของลำ ตัวได้ตามสภาพสิ่ง แวดล้อม
ภาพที่ 3 ลักษณะของปลาหมึกทั ง 4 ชนิด ที่มา: พูลทรัพย์ และปาริฉัตฉัร (2538) ประเภทของหมึก 1. หมึกกระดอง (Cuttlefish, Rainbow Cuttlefish) ชื่อวิทยาศาสตร์ Sepia brevimana, Sepia pharaonis ลักษณะทั่วไปของหมึกกระดอง หมึกกระดองมีลำ ตัวเป็นถุงรูปไข่ มีแผ่นกล้ามเนื้อคลุมลำ ตัวคือ ครีบ เป็นอวัยวะ ที่ใช้ในการพยุงตัว ทำ ให้เคลื่อนไหวในน้ำ ได้อย่างรวดเร็ว ลำ ตัวเป็นกล้ามเนื้อมี ลักษณะเป็นแผ่นเนื้อหนาหุ้มห่ออวัยวะภายใน กระดองรูปคล้ายใบหอกที่ เรียก ว่า ลิ้นทะเล หัวมีนัยน์ตน์าขนาดใหญ่ มีหนวดสั้น 4 คู่ และหนวดยาว 1คู่ ปลายของ หนวดแต่ละเส้นมีอวัยวะดูดใช้ในการจับอาหาร ถิ่นอาศัย หากินอยู่ในบริเวณ ผิวน้ำ ในเวลากลางคืน พบทั่วไปในอ่าวไทยและทะเลอันดามัน
ภาพที่ 4 หมึกกระดอง (Cuttlefish, Rainbow Cuttlefish) ที่มา: พิมพ์เพ็ญ พรเฉลิมพงศ์ (2566) 2. หมึกหอม / หมึกตะเภา (Soft Cuttlefish) ชื่อวิทยาศาสตร์ : Sepioteuthis lessoniana
ภาพที่ 5 หมึกหอม / หมึกตะเภา (Soft Cuttlefish) ที่มา: พิมพ์เพ็ญ พรเฉลิมพงศ์ (2566) ลำ ตัวเป็นรูปทรงกระบอก ครีบหรือแผ่นข้างตัวทั้งสองด้าน มีลักษณะกว้างและ แบน ยาวเกือบตลอดลำ ตัวคล้ายมึงกระดอง ต่างกันที่กระดองของหมึกหอมจะ เป็นแผ่นใสดูบาง เห็นเส้นกระดองได้ชัดเจน หนวดรอบปากมี 10 เส้น เป็นแขน 8 เส้น มีหนวดคู่ยาว 2 เส้น ลำ ตัวใส มีสีน้ำ ตาลอมแดง ประเป็นจุด นัยน์ตน์าสีเขียว ตัวผู้จะมีขนาดยาวและเรียวกว่าตัวเมีย ถิ่นอาศัย รวมกลุ่มอยู่เป็นหมู่ ทั้งใน บริเวณผิวน้ำ ยังถึงพื้นทะเล 3. หมึกยักษ์หษ์รือหมึกสาย (Octopus) ชื่อวิทยาศาสตร์ Octopus membranaceous ลักษณะทั่วไปของหมึกสาย หมึกชนิดนี้มีรูปร่างผิดกับหมึกชนิดอื่น คือ ลำ ตัวกลมคล้ายลูกโป่ง ไม่มีครีบ ไม่มี กระดอง มีหนวด 8 เส้น แต่ละเส้นมีความยาวใกล้เคียงกันโคนหนวดแต่ละเส้นมี แผ่นหนังเชื่อมติดกัน ด้านในของหนวดทุกเส้นมีปุ่มดูดเรียงกันเป็นสองแถว สำ หรับจับสัตว์กินเป็นอาหาร ลำ ตัวสีเทาอมดำ หรือสีน้ำ ตาลอ่อน ด้านท้องสีขาว ที่ ลื่ ถิ่ พื้ ที่
หมึกสายเป็นสัตว์ที่เคลื่อนไวค่อนข้างช้า ถิ่นอาศัย ซ่อนตัวอยู่ตามพื้นที่เป็นโคลน หรือโคลนปนทราย พบตามชายฝั่งทะเลทั่วไป ภาพที่ 6 หมึกยักษ์หษ์รือหมึกสาย (Octopus) ที่มา: พิมพ์เพ็ญ พรเฉลิมพงศ์ (2566) 4. หมึกกล้วย (Squid / Splendid Squid) ชื่อวิทยาศาสตร์ : Loligo spp. Loligo formosana ลักษณะทั่วไปของหมึกกล้วย รูปร่างยาวเรียว ลำ ตัวกลม ครีบเป็นรูปสามเหลี่ยมอยู่ทางด้านซ้าย มีหนวดสั้น 4 คู่ และหนวดยาว 1 คู่ ปุ่มดูดที่อยู่บนหนวดเปลี่ยนรูปเป็นขนสั้นๆ เพื่อใช้ในการ สืบพันธุ์ ถิ่นอาศัย หากินอยู่ในบริเวณผิวน้ำ ในเวลากลางคืน พบทั่วไปในอ่าวไทย และเวลากลางวันจะรบอยู่ตามหน้าน้ดิน
ภาพที่ 7 หมึกกล้วย (Squid / Splendid Squid) ที่มา: พิมพ์เพ็ญ พรเฉลิมพงศ์ (2566)
ภาพที่ 8 Structure of squid ที่มา: Hanabe และคณะ (1989)
ภาพที่ 9 Structure of cuttlefish ที่มา: Hanabe และคณะ (1989)
ภาพที่ 10 เปรียบเทียบหมึกกระดองกับหมึกกล้วย ที่มา: Hanabe และคณะ (1989)
ภาพที่ 11 หมึกกล้วย ที่มา: วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. (2566) ส่วนต่าง ๆ ของปลาหมึกกล้วย หนวดจับ : เป็นหนวดคู่ที่ยาวกว่าหนวดอื่นๆใช้สำ หรับจับอาหาร เรียกว่าเป็น หนวดล่าเหยื่อหรือหนวดจับ ตา : มีตา 1 คู่ ขนาดใหญ่ที่อยู่ติดกับส่วนหัว รยางค์ครีบรูปสามเหลี่ยม : เป็นเหมือนครีบของปลาหมึกที่ใช้ในการว่ายน้ำ หนวด : ใช้สำ หรับช่วยจับอาหารเพื่อไม่ให้อาหารหลุด และในตัวผู้จะใช้ หนวดช่วยในการสืบพันธุ์ สำ หรับส่งสเปิร์มไป ยังตัวเมีย ปาก : เป็นอวัยวะที่อยู่ใต้หนวดของปลาหมึกซึ่งถ้าไม่สังเกตจะไม่เห็นปากของ ปลาหมึกเพราะถูกปกคลุมด้วยหนวด ภายในปากมีเขี้ยวสองอันคือ เขี้ยวบนกับ เขี้ยวล่าง มีลักษณะคล้ายปากนกแก้วนอกจากนี้มีฟันบด เป็นฟันเล็กๆ อยู่ติดกัน เป็นแผง
ท่อน้ำ ออก : ทำ หน้าน้ที่ขับน้ำ ออกจากลำ ตัวระหว่างการหายใจ ปล่อยน้ำ หมึก ปล่อยไข่ขับของเสีย และขับน้ำ เวลาพุ่งตัวหรือเคลื่อนไหว ลำ ตัว : มีรูปร่างกลมยาวหรือเป็นถุง ไม่มีเปลือกหุ้มภายนอก ดูน้อน้ยลง ภาพที่ 12 หมึกกล้วย ที่มา: กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (2556)
ลักษณะทางชีววิทยา หมึกประกอบด้วยส่วนหัวและลำ ตัว ส่วนหัวประกอบด้วยแขน, หนวดจับ, ปาก, ขากรรไกร และตา ลำ ตัวเป็นส่วนที่ติดอยู่กับหัว สองข้างของลำ ตัวมักมีครีบ (fin) มีท่อขับน้ำ (funnel) อยู่ทางด้านท้อง เปลือก (shell) อยู่ใต้เนื้อเยื่อคลุมตัว (mantle) ตามเนื้อเยื่อคลุมตัวมี เซลล์เรืองแสง (photophore) และจุดสี (chromatophore) กับมีถุงหมึก (ink sac) ไว้ทำ หน้าน้ที่ ป้องกันตัว หนวด (arm) มีจำ นวน 4 คู่ ความยาวแต่ละคู่ของหนวดไม่เท่ากัน มีความสำ คัญในการ อนุกรมวิธาน คือจาก 1 ไป 4 คู่แรกเรียก dorsal pair คู่ที่2 dorsolateral pair คู่ ที่ 3 ventrolateral และคู่ที่ 4 ventral pair ในตัวผู้มีแขนที่เปลี่ยนไปเป็นอวัยวะ ช่วยในการสืบพันธุ์ ซึ่งใช้ส่งสเปิร์มไปยังตัวเมียเรียกว่า hectocotylized arm บนแขนมีปุ่มดูดจะประกอบด้วย chitinous ring (ไม่มีในหมึกสาย) หนวดจับ (tentacle) ใน Order Sepiida, Order Teuthida และ Order Spirulida มี 2 เส้น มีความ ยาวกว่าระยางค์คู่อื่น ใช้สำ หรับจับอาหาร หรือช่วยในการจับเหยื่อ ในปลาหมึก บางชนิดเช่น พวก Nautilus ไม่มีหนวดจับแต่มีส่วนพิเศษที่เรียกว่า cirri และบน cirri ไม่มี sucker แต่มีสันเวียนตามแนวยาวที่ทำ หน้าน้ที่เป็น sucker ส่วนในหมึก สายมีแขนเพียง 4 คู่รอบปาก ไม่มีหนวดจับ ปาก (mouth) ปากของหมึกจะมี buccal membrane อยู่รอบ หมึกกระดองเพศผู้ ในวัยเจริญ พันธุ์เมื่อผสมพันธุ์แล้วพบที่เก็บสเปิร์ม (seminal receptacle) ที่ buccal membrane ขากรรไกร (mandible) หรือจะงอยปาก (beak) ประกอบด้วยจะงอยปากล่าง (lower beak) และจะงอย ปากบน (upper beak) ส่วน radula อยู่ภายในเยื่อหุ้ม buccal membrane พวก หมึกสายที่อยู่หน้าน้ดิน หมึกกระดอง และหมึกกล้วยบางชนิดมีต่อมพิษด้วย ใน หมึกกระดอง หมึกสายมีสาร cephalotoxin เป็นพิษต่อพวก crustacean แต่ ไม่มีอันตรายต่อคน ในหมึกสายชนิด Hapalochlaena maculosa มีสารพิษ maculotoxin และ hepalotoxin ซึ่งมีพิษต่อคน โดยเฉพาะในตัวเมียที่กำ ลังอุ้ม ไข่พิษอาจรุนแรงทำ ให้ถึงตายได้ หมึกจัดเป็นสัตว์กินเนื้อในการกินอาหารใช้ขา กรรไกรงับเหยื่อและใช้แผงฟันขูดเป็นชิ้นเล็กๆ
ครีบ (fin) ครีบเป็นกล้ามเนื้อ เป็นอวัยวะที่ช่วยในการขับเคลื่อน (propulsiveorgan) ครีบ จะโบกเมื่อต้องการว่ายน้ำ ช้า และจะกดแนบลำ ตัวเมื่อต้องการว่ายน้ำ เร็ว ท่อขับน้ำ (funnel) ท่อขับน้ำ อยู่ทางด้านท้องระหว่างหัวและลำ ตัว ทำ หน้าน้ที่ขับน้ำ ออกจากลำ ตัว ระหว่างการหายใจ ปล่อยน้ำ หมึก ปล่อยไข่ ปล่อยสารที่สร้างหุ้มไข่ ขับของ เสีย(urine) และขับน้ำ เวลาพุ่งตัวหรือเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว (jet swimming) ภาพที่ 12 อวัยวะภายในหมึก ที่มา: Takeing (2566) หมึกกระดองมีหัวใจ 3 ดวงแยกออกจากกันเหมือนกับญาติๆพวกเซฟาโลพอด ชนิดอื่น หัวใจชุดแรกมี 2 ดวงเรียกว่า Branchial Hearts หรือ Accessory Heart ทำ หน้าน้ที่ปั๊มเลือดส่งไปเติมออกซิเจนที่เหงือกแต่ละข้าง หัวใจอีกดวงเรียก ที่ ปั๊ ที่
ว่า Systemic Heart ทำ หน้าน้ที่ปั๊มเลือดที่เติมออกซิเจนแล้วไปยังส่วนต่างๆของ ร่างกาย เลือดของหมึกกระดองมีสีเขียวแกมน้ำ เงินเนื่องจากมีโปรตีนชนิดมี ทองแดงเป็นส่วนประกอบที่เรียกว่าเฮโมไซยานินซึ่งทำ หน้าน้ที่ลำ เลียงออกซิเจน (แบบเดียวกับเฮโมโกลบินในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เฮโมโกลบินเป็นโปรตีนชนิดมี เหล็กเป็นส่วนประกอบทำ ให้เลือดมีสีแดง) หอย หอยกาบคู่ (Class Bivalvia) หอยกาบคู่ (Bivalves) มีเปลือก ๒ ชิ้นประกบกัน โดยยึดติดกันทางด้านบน บริเวณขั้วเปลือก ส่วนที่ยึดติดกันมีลักษณะคล้ายบานพับ ที่ทำ ให้กาบทั้งสองเปิด ปิดได้ เปลือกอาจมีรูปกลม รูปรี รูปสามเหลี่ยม หรือรูปอื่นๆ หอยจะสร้างเปลือก บริเวณขั้วเปลือกขึ้นขึ้ก่อน แล้วขยายใหญ่ขึ้นขึ้เรื่อยๆ และจะหยุดสร้างเปลือกเมื่อ โตเต็มที่ ตัวหอยซีกซ้ายและขวาสมมาตรกัน ลำ ตัวและตีนแยกจากกัน หัวลดรูป และไม่แยกจากลำ ตัว ไม่มีหนวด ไม่มีตา ในช่องปากไม่มีแผ่นขูด มีระยางค์ส่วน ปาก ๒ คู่ เหงือกของหอยกาบคู่นอกจากทำ หน้าน้ที่หายใจแล้ว ยังทำ หน้าน้ที่กรอง อาหารจากน้ำ ด้วย อาหารคือ จุลินทรีย์ พืชขนาดเล็ก เช่น สาหร่ายเซลล์เดียว สัตว์ขนาดเล็ก สารอินทรีย์ที่ลอยตัวในมวลน้ำ ทั่วโลกพบหอยทะเลกาบคู่ มากกว่า ๘,๐๐๐ ชนิด แบ่งเป็น ๓๔ วงศ์ หอยกาบคู่ที่พบบ่อยในทะเลไทย ได้แก่
ภาพที่ 13 หอยกาบคู่ (Bivalves) ที่มา: ที่มา: Takeing (2566) วงศ์หอยแครง (Family Arcidae) หอยแครง (Blood clam) มีเปลือกชั้นนอกเป็นสีน้ำ ตาลเข้ม เมื่อหอยตายลง เปลือกชั้นนอกจะหลุดร่อนไป เห็นเปลือกชั้นกลางเป็นสีขาว หอยแครงมีบานพับ เป็นแนวยาว มีสันจากขั้วเปลือกเรียงขนานลงมาถึงขอบเปลือกทั่วทั้งเปลือก อาศัยตามพื้นทะเล บริเวณที่เป็นดินเลน เช่น อ่าวปากแม่น้ำ ปากคลอง ป่าชาย เลน โดยมุดตัวลงไปอยู่ใต้พื้นเล็กน้อน้ย มักจะอยู่รวมกันหนาแน่น หอยแครงมีสาร เฮโมโกลบินในเลือด ทำ ให้เลือดมีสีแดงซึ่งแตกต่างจากหอยกาบคู่อื่นๆ โดยใน ทะเลไทยสำ รวจพบ ๑๒ ชนิด บางชนิดมีชื่อเรียกเฉพาะ เช่น หอยคราง หอยแครง มัน หอยแครงเบี้ยว
ภาพที่ 13 หอยแครง (Family Arcidae) ที่มา: ที่มา: Takeing (2566) ลักษณะหอยแมลงภู่ 1. ส่วนของเปลือกหอย หอยแมลงภู่ประกอบด้วยเปลือกแข็งที่ห่อหุ้มลำ ตัวอยู่ภายนอกของเปลือกหรือฝา หอยมีลักษณะรียาวคล้ายรูปไข่มีลักษณะเหมือนกันและมีขนาดเท่าทั้งสองฝา ด้านนอกของฝาสีเขียวเข้มคล้ายปีกแมลงทับและบ้างก็เป็นสีน้ำ ตาลส่วนด้านใน มีสีขาวคล้ายมุกส่วนประกอบของเปลือกหอยแบ่งออกเป็น 3 ชั้น ชั้นนอกสดและ จะมีสีเขียวเข้ม มีวงรอยชั้นแสดงการเจริญเติบโตของหอยในแต่ละปีสามารถ ลอกออกเป็นแผ่นได้ส่วนชั้นกลางเป็นสีขาวประกอบด้วยแคลเซียมคาร์บอเนต ชั้นในหรือส่วนผิวของฝาด้านในมีสีขาวเรียบมันวาวเหมือนมุกฝาสองฝาจะยึด และประกบติดกันโดยเส้นเอ็นที่อยู่ด้านหลังของฝาซึ่งมีสีน้ำ ตาลเข้มหรือดำ เป็น ทางยาวตลอดแนวด้านหลังตั้งแต่ปลายก้นหอยโค้งไปถึงหนึ่งในสามของเปลือก ด้านหลังของหอย เมื่อเปิดฝาทั้งสองออกภายในจะเป็นลำ ตัวส่วนอ่อนหรือเนื้อ หอย และเมื่อแกะส่วนเนื้อออกจากฝาจะเห็นผิวเปลือกเรียบเป็นสีขาวคล้ายมุก และรอยของกล้ามเนื้อติดอยู่บนฝาทั้งสอง รอยกล้ามเนื้อที่พบมีอยู่ 3 มัดด้วยกัน คือ 1. รอยกล้ามเนื้อดึงด้านท้าย เป็นรอยกล้ามเนื้อยึดฝาทั้งสองให้เปิด และปิดได้ ตั้งอยู่ด้านท้ายของฝามีรูปร่างยาวรี ค่อนข้างใหญ่
2. รอยกล้ามเนื้อยึดด้านหัวเป็นรอยกล้ามเนื้อที่อยู่ด้านหัวสำ หรับยึดส่วนของซัง หรือรากให้ติดกับฝาหอยมีรูปร่างยาวรี และมีขนาดเล็ก 3. รอยกล้ามเนื้อส่วนด้านท้าย เป็นรอยกล้ามเนื้อยึดฝาหอยด้านหลังกับส่วน ของซัง มี 2 มัดมัดหนึ่งจะติดอยู่กับกล้ามเนื้อยึดฝาทั้งสองอีกมัดหนึ่งจะอยู่ใต้เส้น เอ็นส่วนด้านหัวหรือจะเป็นส่วนท้ายของก้นหอย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเจริญ เติบโต ถัดจากก้นหอยเป็นส่วนของฟัน ซึ่งมีอยู่ 2-3ซี่ แต่ถ้าเป็นหอยแมลงภู่ชนิด นี้จะมีฟันประมาณ 4-5 ซี่ ด้วยกัน และมีกล้ามเนื้อที่อยู่ติดกับขอบฝาด้านท้อง คือ กล้ามเนื้อดึงด้านหัว 1 มัด ภาพที่ 14 หอยแมลงภู่ และการเลี้ยงหอยแมลงภู่ ที่มา: พิมพ์เพ็ญ (2566) 2. ลำ ตัวส่วนอ่อนหรือเนื้อหอย เนื้อหอยเป็นส่วนที่อ่อนนุ่ม จะอยู่ภายในของฝาทั้งสอง ต้องทำ การเปิดฝาออกจึง จะมองเห็น ส่วนนี้ประกอบด้วย เยื้อหุ้มลำ ตัวซึ่งอยู่ติดกับฝาทั้งสองข้าง ส่วนพุง ส่วนของเท้าซึ่งมีขนาดเล็ก และมีรากหรือซังติดกับส่วนของเท้า มีเหงือกขนาด นื้ ที่
ใหญ่ยาวเท่าลำ ตัวของหอยมีกล้ามเนื้อ 3 มัด และเมือผ่าดูภายในจะพบส่วนที่ เป็นหัวใจอยู่ด้านหลังของฝาเหนือส่วนของพุงใต้หัวใจ เช่น ส่วนของต่อมสร้างน้ำ ย่อย ต่อมน้ำ ย่อย เรียกว่า มีทางน้ำ เข้าสู่ทางด้านหัวทางน้ำ ออกอยู่ทางด้านท้าย บริเวณที่อยู่ใกล้กับทางน้ำ เข้าจะเป็นส่วนของปากหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำ ไส้ โดยลำ ไส้ เป็นลำ ไส้ตรงยาวขนาน และติดกับกระเพาะอาหารภายในลำ ไส้ และกระเพาะอาหารจะมี crytstalline style-sac ซึ่งมีลักษณะเป็นแท่งใสใช้ใน การบดอาหาร ย่อยอาหาร รวมทั้งคัดเลือกอาหารถัดจากลำ ไส้ และทวารซึ่งจะ เปิดทางออกทางด้านท้ายลำ ตัว บนเยื้อหุ้มลำ ตัวจะเป็นส่วนของอวัยวะเพศ และ ถัดจากส่วนที่ติดเท้าก็จะเป็นอวัยวะเพศเช่นกัน ภาพที่ 15 ลำ ตัวส่วนอ่อนหรือเนื้อหอย ที่มา: พิมพ์เพ็ญ (2566) อ้างอิง กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง. (2556). การจำ แนกชนิดปลาหมึก https://www.dmcr.go.th
/detailAll/24072/nws/141. พูลทรัพย์ วิรุฬหกุล, และปาริฉัตฉัร ประวาหะนาวิน. (2538). ประเภทโครงสร้าง และองค์ประกอบของสัตว์น้ำ ที่ นิยมบริโภค. http://elearning.psru.ac.th/courses/. พิมพ์เพ็ญ พรเฉลิมพงศ์. (2566). Cuttlefish หรือหมึกกระดอง. https://www.foodnetworksolution.com. วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. (2566). หมึก. สืบค้นเมื่อ (3 พฤษภาคม 2566) จาก https://th.wikipedia.org/wiki. Takeing. (2566). 10 เรื่องจริงอันน่าทึ่งของ “หมึกกระดอง” ที่คุณอาจไม่เคยรู้มา ก่อนอวัยวะภายในหมึก. https://www.takieng.com/stories/26526. Hanabe, M., Kousu, S., Okada, Y. and Sugiyama, M. (1989). Utilization of Squid. Company Limited. Tokyo. คำ ถาม 1.ส่วนประกอบต่างๆของหมึกกล้วยมีกี่อย่างอะไรบ้าง 2.หมึกจัดเป็นสัตว์ที่อยู่ในไฟลัมอะไร 3.น้ำ หมึกในหมึกมีไว้เพื่ออะไร เฉลย 1. ท่อน้ำ ออก, 2. หนวดจับ, 3. ปาก 4. ระยางค์ครีบรูปสามเหลี่ยม 5. หนวด, 6. ตา, 7. ลำ ตัว 2. Mollusca 3. เพื่อการป้องกันตัวและหลบหนีจากศัตรู เช่น ปลาขนาดใหญ่และสัตว์ทะเลกิน เนื้อเนื้อชนิดอื่น ๆ