อรยิ สัจ ๔
ขอบเขตของการศึกษา
ทกุ ข์
สมทุ ยั
นิ โรธ
มรรค
ทกุ ข์( ธรรมทคี วรรู้ )
ทกุ ข์ คือ ความไมส่ บายกาย ไมส่ บายใจ ไดแ้ ก่ ความจรงิ วา่ ดว้ ย
เรอื งทกุ ข์ ความทกุ ขน์ ี แมว้ า่ ในบางกรณีจะขจดั ให้หมดไปได้ แตก่ ส็ ามารถ
เกดิ ทกุ ขใ์ หมไ่ ดอ้ กี เสมอ ดงั นั น เราจงึ ตอ้ งไมป่ ระมาท และพรอ้ มทจี ะเผชญิ
หน้ ากบั ความจรงิ ทกุ ข์ จงึ เปนธรรมขอ้ ทคี วรรู้ คือ ขนั ธ์ ๕ ดงั นี
๑. ขนั ธ์ ๕ เปนการแสดงองค์ประกอบของ
ชวี ติ วา่ มอี ะไรบา้ ง ในทางพระพทุ ธศาสนามนษุ ย์
ประกอบดว้ ยองค์ประกอบสําคัญใหญๆ่ ๒ อยา่ ง คือ
ส่วนทเี ปนรูปธรรมและนามธรรม ซงึ เรยี กสันวา่
"นามรูป"นามรูปนั นแยกยอ่ ยออกเปน ๕ ส่วน เรยี ก
วา่ "เบญจขนั ธ"์ ไดแ้ ก่
๑.๑ รูปขนั ธ์ คือส่วนทเี ปนรา่ งกายทงั หมด และพฤตกิ รรมทงั หมดของรา่ งกาย
อนั ประกอบดว้ ยธาตทุ งั ๔ ไดแ้ ก่
-ปฐวธี าตุ คือ ธาตดุ นิ มลี กั ษณะแขง็ ปฐวธี าตภุ ายใน เชน่ ผม ขน เลบ็ ฟน
-อาโปธาตุ คือ ธาตนุ า มลี กั ษณะเอบิ อาบ เชน่ เสลด หนอง เลอื ด เหงอื
-เตโชธาตุ คือ ธาตไุ ฟ มลี กั ษณะรอ้ น เชน่ ไฟทที าํ ให้รา่ งกายอบอุน่
-วาโยธาตุ คือ ธาตลุ ม มลี กั ษณะพัดไปพัดมา เชน่ ลมในทอ้ ง ลมหายใจ
๑.๒ เวทนาขนั ธ์ คือความรูส้ ึกทเี กดิ ขนึ ตอ่ สิงทรี บั รูน้ ั น มี ๓ ประการ
-สขุ เวทนา คือ ความรูส้ ึกสบายใจ
-ทกุ ขเวทนา คือ ความไมส่ บายใจ
-อุเบกขาเวทนา คือ ความรูส้ ึกเฉยๆ
๑.๓ สัญญาขนั ธ์ คือ การกําหนดหมายรูส้ ิงใดสิงหนึ ง การแยกแยะวา่ อะไรเปนอะไร
๑.๔ สังขารขนั ธ์ คือ สภาพทปี รุงแตง่ จติ ใจให้ดี หรอื ชวั หรอื เปนกลาง โดยมเี จตนาเปน
ตวั นํ า
๑.๕ วญิ ญาณขนั ธ์ คือ การรบั รูผ้ า่ นประสาทสัมผสั ตา่ งๆไดแ้ ก่
-จกั ขวุ ญิ ญาณ คือ การรบั รูท้ างสายตา
-ฆานวญิ ญาณ คือ การรบั รูท้ างจมกู
-กายวญิ ญาณ คือ การรบั รูท้ างกาย
-โสตวญิ ญาณ คือ การรบั รูท้ างหู
-ชวิ หาวญิ ญาณ คือ การรบั รูท้ างลนิ
-มโนวญิ ญาณ คือ การรบั รูท้ างใจ
สมทุ ยั (ธรรมทคี วรละ) หลกั ธรรม กรรม คือ การกระทาํ ในทางธรรม หมายถงึ การกระทาํ
ทปี ระกอบดว้ ยเจตนา จงใจ การกระทาํ ทปี ราศจากเจตนาไมจ่ ดั เปนกรรม
สมทุ ยั คือ ความจรงิ วา่ ดว้ ยเหตแุ ห่ง แตจ่ ะเรยี กวา่ "กริ ยิ า" คือ เปนการเคลอื นไหวธรรมดาไมม่ ผี ลทาง
ทกุ ข์ หรอื ตน้ ตอของความทกุ ขท์ งั หมด ดงั นี จรยิ ธรรม
สมทุ ยั จงึ เปนธรรมทคี วรละ เพราะเปนธรรมที มหี ลกั ธรรมประการหนึ งทเี กยี วขอ้ งกบั หลกั กรรม นั นคือ "นิ ยาม ๕" หมาย
ให้โทษ ดงั เชน่ หลกั ธรรมตอ่ ไปนี ถงึ กฎธรรมชาตหิ รอื ระเบยี บของธรรมชาติ ๕ ประการ ไดแ้ ก่
๑.อุตนุ ิ ยาม คือ กฎธรรมชาตทิ เี กยี วกบั ลม ฟา อากาศ ฤดกู าล เปนตน้
๒.พีชนิ ยาม คือ กฎธรรมชาตเิ กยี วกบั การสืบพันธุ์
๓.จติ ตนิ ยาม คือ กฎธรรมชาตเิ กยี วกบั การทาํ งานของจติ
๔.กรรมนิ ยาม คือ กฎธรรมชาตเิ กยี วกบั พฤตกิ รรมมนษุ ย์
๕.ธรรมนิ ยาม คือ กฎธรรมชาตเิ กยี วกบั ความเปนเหตเุ ปนผลของสิงทงั
ปวง
หลกั ธรรมในนิ ยาม 5 ทเี กยี วขอ้ งกบั หลกั ธรรมนั นคือ"กรรม
นิ ยาม"หรอื เรยี กอกี อยา่ งหนึ งวา่ "กฎแห่งกรรม"อนั หมายถงึ
กระบวนการกระทาํ และการให้ผลโครงการกระทาํ ของมนษุ ย์
ซงึ มหี ลกั กวา้ งๆ วา่
"คนหวา่ นพืชเชน่ ใด ยอ่ มไดผ้ ลเชน่ นั น"
"ผทู้ าํ กรรมดี ยอ่ มไดร้ บั ผลดี ผทู้ าํ กรรมชวั ยอ่ มไดร้ บั ผลชวั "
ความขอ้ นี ชวี า่ กรรมนิ ยามหรอื กฎแห่งกรรมแห่งปจจยั
สัมพันธ์ เปนเหตเุ ปนผลสอดคลอ้ งตอ้ งกนั เหตมุ เี ชน่ ไร ผล
ยอ่ มมเี ชน่ นั น เปรยี บเสมอื นเอาเมลด็ พืชพันธุใ์ ดเพาะลงในดนิ
กย็ อ่ มออกมาเปนเชน่ นั น
ตามหลกั จฬู กมั มวภิ งั คสตู ร ไดก้ ําหนดสิงทเี ปนผลของกรรม
เกา่ ไว้ ดงั นี
๑.ความประณีตสวยงามหรอื ไมส่ วยงามของรูปรา่ งทมี มี าโดย
กําเนิ ด
๒.การเกดิ ในตระกลู สงู หรอื ตะกลู ตา
๓.ความรารวยหรอื ยากจน
๔.ความสามารถทางสตปิ ญญา หรอื ความโงเ่ ขลาทมี มี าแต่
กําเนิ ด
๕.ความสมบรู ณ์หรอื ความออ่ นในของรา่ งกาย
๖.ความยนื ยาวหรอื สันของอายุ
อยา่ งไรกด็ ี การคุให้ผลของกรรม สามารถพิจารณาได้ ๓ ระดบั ดงั นี
๑.๑) ระดบั ภายในจติ ใจหรอื ณภาพของจติ เชน่ คิดทาํ ชวั ยอ่ ม ไดร้ บั ผลชวั ทาง
จติ ใจ คือสภาพจติ ใจตกตา มวั หมอง ชวั รา้ ย หยาบกระดา้ ง ถา้ คิดแตใ่ นทางทดี ี
กย็ อ่ มมจี ติ ใจสะอาด สรา้ งคุณภาพและสมรรถภาพทดี ใี ห้แกจ่ ติ
๑.๒) ระดบั บคุ ลกิ ภาพและอุปนิ สัย กรรมทกี ระทาํ จะปรุงแตง่ ลกั ษณะความ
ประพฤติ การแสดงออก ทา่ ที การวางตวั บคุ ลกิ ลกั ษณะหรอื อุปนิ สัย ผลของ
กรรมระดบั นี สืบเนื องจากระดบั ทหี นึ ง คือ เมอื คุณภาพจติ สงู หรอื ตา ก็
แสดงออกทางบคุ ลกิ ทา่ ทาง อุปนิ สัยใจคอ
๑.๓) ระดบั ภายนอกหรอื ผลทางสังคม ผลของการกระทาํ ระดบั นี คือ สิงทมี อง
เห็นในชวี ติ ประจําวนั เชน่ ลาภ ยศ สรรเสรญิ สขุ ทกุ ข์ อนั เปนผลทเี ขาไดร้ บั ใน
สังคมทเี ขาอยู่ ผลภายนอกนี ทางพระพทุ ธศาสนาไมถ่ อื วา่ เปนผลโดยตรงของ
การ ทาํ ดที าํ ชวั หากเปนเพียงผลพลอยได้ ทอี าจจะมหี รอื ไมก่ ไ็ ด้ หรอื อาจจะมี
ตรงขา้ มกไ็ ด้
วติ ก ๓ วติ ก หมายถงึ การคิด การใครค่ รวญ เปนสภาวะทเี กดิ ขนึ กบั จติ มี ๒
ดา้ น ดงั นี
๒.๑) กศุ ลวติ ก คือความรกั คิดทดี งี ามมี ๓ ประการไดแ้ ก่
๑.เนกขมั มวติ ก คือ ความนึ กคิดทปี ลอดจากกาม เปนความคิดทไี มย่ ดึ ตดิ กบั อะไร
๒.อพยาบาทวติ ก คือ ความนึ กคิดทปี ระกอบดว้ ยเมตตา ไมม่ งุ่ รา้ ย
๓.อวหิ ิงสาวติ ก คือ ความนึ กคิดทปี ลอดจากการเบยี ดเบยี น ไมค่ ิดรา้ ย ไมม่ งุ่ ทาํ ลาย
๒.๒)อกศุ ลวติ ก คือ ความนึ กคิดทไี มด่ ี เปนอกศุ ลมี ๓ ประการ ไดแ้ ก่
๑.การวติ ก คือ ความนึ กคิดทยี ดึ ตดิ กบั ความลมุ่ หลงทางเนื อหนั ง
๒.พยาบาทวติ ก คือ ความนึ กคิดทปี ระกอบดว้ ยความพยาบาทมงุ่ รา้ ย
๓.วหิ ิงสาวติ ก คือ ความคิดในทางเบยี นและทาํ รา้ ย
นิโรธ (ธรรมทคี วรบรรล)ุ ภาวนา ๔ คือ การทาํ ให้เกดิ ให้มขี นึ หรอื ทเี รยี กวา่ การพัฒนา
ซงึ มที งั หมด ๔ ประการ
นิ โรธ คือ ความจรงิ วา่ ดว้ ยความทกุ ข์ เมอื ความทกุ ข์ ๑. กายภาวนา
เกดิ จากสาเหตถุ า้ เราดบั สาเหตเุ สียความทกุ ขน์ ั นยอ่ มดบั
ไปดว้ ยปญหากห็ มดสินเหลอื แตค่ วามสงบสขุ เชน่ หลกั การพัฒนากาย การฝกอบรมกาย ให้รูจ้ กั ตดิ ตอ่ เกยี วขอ้ งกบั สิงทงั
ธรรมภาวนา ๔ หลายภายนอกทางอนิ ทรยี ท์ งั ห้าดว้ ยดี และปฏบิ ตั ติ อ่ สิงเหลา่ นั นใน
ทางทเี ปนคุณ มใิ ห้เกดิ โทษ ให้กศุ ลธรรมงอกงาม ให้อกศุ ลธรรม
เสือมสญู , การพัฒนาความสัมพันธก์ บั สิงแวดลอ้ มทางกายภาพ
๒. ศีลภาวนา
การเจรญิ ศีล พัฒนาความประพฤตกิ ารฝกอบรมศีล ให้ตงั อยใู่ น
ระเบยี บวนิ ั ย ไมเ่ บยี ดเบยี นหรอื กอ่ ความเดอื ดรอ้ นเสียหาย อยรู่ ว่ ม
กบั ผอู้ นื ไดด้ ว้ ยดี เกอื กลู แกก่ นั
๓. จติ ภาวนา
การเจรญิ จติ พัฒนาจติ การฝกอบรมจติ ใจ ให้เขม้ แขง็ มนั คงเจรญิ
งอกงามดว้ ยคุณธรรมทงั หลาย เชน่ มเี มตตากรุณา ขยนั หมนั เพียร
อดทนมสี มาธิ และสดชนื เบกิ บาน เปนสขุ ผอ่ งใส เปนตน้
๔. ปญญาภาวนา
การเจรญิ ปญญา พัฒนาปญญา การฝกอบรมปญญา ให้รูเ้ ขา้ ใจสิงทงั
หลายตามเปนจรงิ รูเ้ ทา่ ทนั เห็นโลกและชวี ติ ตามสภาวะ สามารถทาํ
จติ ใจให้เปนอสิ ระ ทาํ ตนให้บรสิ ทุ ธจิ ากกเิ ลสและปลอดพ้นจากความ
ทกุ ข์ แกไ้ ขปญหาทเี กดิ ขนึ ไดด้ ว้ ยปญญา
มรรค (ธรรมทคี วรเจรญิ )
มรรค คือ ความจรงิ วา่ ดว้ ยทางแห่งความดบี ทกุ ข์ ถา้ ใคร
ปฏบิ ตั ติ ามกจ็ ะลดความทกุ ขห์ รอื ปญหาได้
๑ พระสัทธรรม ๓ หมายถงึ ธรรมอนั ดี ธรรมทแี ทห้ รอื สัจธรรม ธรรม
ของสัตบรุ ุษ
๑. ปรยิ ตั ตสิ ัทธรรม
ปรยิ ตั ตสิ ัทธรรม คือ คําสังสอนจะตอ้ งเลา่ เรยี น ไดแ้ ก่ พทุ ธพจน์ พระธรรม
และพระวนิ ั ย รวมถงึ เอกสารตา่ งๆทเี กยี วขอ้ ง อาทิ พทุ ธประวตั ิ ประวตั พิ ทุ ธ
สาวกตา่ งๆ หลกั วปิ สสนากรรมฐาน และสมถกรรมฐาน เปนตน้
๒. ปฏปิ ตตสิ ัทธรรม
ปฏปิ ตตสิ ัทธรรม คือ ปฏปิ ทาอนั จะตอ้ งปฏบิ ตั ิ หรอื ทเี รยี กวา่ อฏั ฐงั คิกมรรค
หรอื ไตรสิกขา อนั ประกอบดว้ ย ศีล สมาธิ ปญญา
๓. ปฏเิ วธสัทธรรม
ปฏเิ วธสัทธรรม คือ ผลอนั เกดิ ขนึ ดว้ ยการปฏบิ ตั ิ คือ การเขา้ ถงึ หรอื การ
บรรลุ ประกอบดว้ ย มรรค ผล และนิ พพาน
๒ .ปญญาวฒุ ธิ รรม ๔ ปญญาวฒุ ธิ รรม หมายถงึ ธรรมทพี าไปส่คู วามเจรญิ
ปญญา มี ๔ ประการ
๑. คบหาสัตบรุ ุษ และบณั ฑติ คือ รูจ้ กั ไปมาหาส่คู บหากบั คนดี
๒.เอาใจใส่เลา่ เรยี นหาความจรงิ คือ หมนั หาความรูด้ ว้ ยความตงั ใจจรงิ และเอาใจใส่
๓.ใชเ้ หตผุ ลไตรตรอง คือ ใชค้ วามคิดทถี กู วธิ ดี ว้ ยเหตผุ ล การรบั ฟงความคิดเห็น
หลายๆ ดา้ นยอ่ มทาํ ให้เรามคี วามคิดแตกฉานออกไป
๔.ปฏบิ ตั ติ นตามคลองธรรม คือ ไมน่ ํ าความรูท้ ไี ดม้ าไปใชท้ างทจุ รติ
๓ .พละ ๕ พละ หมายถงึ พลงั หรอื กําลงั ทคี วรยดึ เปนหลกั ในการปฏบิ ตั ธิ รรม และใน
การดําเนิ นชวี ติ มอี ยู่ ๕ ประการ
๑.ศรทั ธา คือ ความเชอื มนั ตอ่ หลกั คําสอนของพระพทุ ธองค์
๒.วริ ยิ ะ คือ ความพยายามทจี ะประกอบแตค่ วามดี ละความชวั การทาํ ความดบี างครงั อาจเปน
ของยาก
๓.สติ คือ ความระลกึ ได้ มคี วามจํา ไมเ่ ผลอ ไมเ่ ลนิ เลอ่ ไมเ่ ลอื นลอย คือมคี วามระมดั ระวงั ตนื
ตวั อยเู่ สมอ
๔.สมาธิ คือ ความตงั จติ มนั สามารถบงั คับจติ ใจให้แน่ วแน่ อยกู่ บั เรอื งหนึ งไดน้ าน ไม่
วอกแวก
๕.ปญญา คือ ความรูช้ ดั เขา้ ใจสิงใดสิงหนึ งอยา่ งถอ่ งแท้ รูก้ เิ ลสตณั หานั นดบั ได้ ปญญาจงึ มี
ประโยชน์ ทชี ว่ ยสามารถเขา้ ใจความเปนจรงิ ของชวี ติ ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง
๔ . อุบาสกธรรม ๕ ธรรมของอุบาสก-อุบาสิกาทดี ี หมายถงึ คุณสมบตั หิ รอื องค์
คุณของอุบาสก,อุบาสิกา อยา่ งเยยี ม กลา่ วคือการเปนอุบาสก-อุบาสิกา จะตอ้ งปฏบิ ตั ิ
ธรรม ๕ ประการ อนั ประกอบไปดว้ ย
๑.ตอ้ งมศี รทั ธาคือ มคี วามเชอื ตามหลกั ธรรมคําสอนของพระพทุ ธศาสนา มนั คงตอ่
พระรตั นตรยั วา่ เปนทพี ึงอนั สงู สดุ ไมม่ ที พี ึงอนื ใดทจี ะเทยี บได้ และทสี ําคัญปฏบิ ตั ติ าม
คําสอนของพระสัมมาสัมพทุ ธเจา้
๒.ตอ้ งมศี ีลคือ การรกั ษาศีล๕,๘และตงั ตนอยใู่ นศีลธรรมอนั ดตี ามหลกั พระพทุ ธ
ศาสนา ศีล ๕ มดี งั นี ห้ามฆา่ สัตว์ ห้ามลกั ทรพั ย์ ห้ามประพฤตผิ ดิ ในกาม ห้ามพดู เทจ็
ห้ามดมื สรุ าเมรยั
๓.ตอ้ งไมถ่ อื มงคลตนื ขา่ ว ให้เชอื กฏแห่งกรรม ไมเ่ ชอื มงคลตนื ขา่ ว คือ
ตอ้ งมงุ่ หวงั ผลจากการกระทาํ และการงานทที าํ ทเี ปนไปตามหลกั คําสอนของ
พระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ มใิ ชห่ วงั ผลจาก หมอดู โชคลางและตนื ขา่ วเชอื ถอื ตอ่ สิง
ศักดสิ ิทธขิ องขลงั ทงั หลาย ไมน่ ั บถอื การทรงเจา้ เขา้ ผี ไมน่ ั บถอื เทพเจา้ วา่ เปน
ทพี ึงอนั สงู สดุ เปนตน้
๔.ตอ้ งไมแ่ สวงหาทกั ขไิ ณยภ์ ายนอกหลกั คําสอนนี คือตอ้ งไมแ่ สวงหาเขต
บญุ นอกหลกั พระพทุ ธศาสนา ให้หมนั สรา้ งบญุ ในพระพทุ ธศาสนาเปนหลกั
ในหมนั สังสมบญุ ในเนื อนาบญุ ในพระพทุ ธศาสนาเปนหลกั เทา่ นั น(ในศาสนา
อนื เขากห็ ้ามศาสนิ กทาํ บญุ นอกศาสนาเหมอื นกนั เราใฐานะทเี ราเปนชาว
พทุ ธควรตรกึ ตรองเรอื งนี ให้มาก )
๕.ตอ้ งกระทาํ การสนั บสนนุ ในพระพทุ ธศาสนานี เปนเบอื งตน้ คือ
ขวนขวายในการอุปถมั ภบ์ ํารุงพระพทุ ธศาสนา เชน่ ตกั บาตรทกุ เชา้ ไปวดั
ทาํ บญุ ฟงธรรม ปฏบิ ตั ธิ รรมทกุ วนั พระ หรอื วดั หยดุ สนั บสนนุ การสรา้ งวดั
ซอ่ มแซมบํารุงวดั การพิมพ์หนั งสือธรรมแจกเปนธรรมทาน เปนตน้
๕. มงคล หมายถงึ ธรรมทนี ํ ามาซงึ ความสขุ ความเจรญิ มหี ลกั บางประการ
๑.สงเคราะห์บตุ ร คือ คุณธรรมของบดิ ามารดาทตี อ้ งเลยี งดบู ตุ รให้
เจรญิ ทงั ดา้ นรา่ งกาย และจติ ใจ มี ๕ ประการ
- ห้ามไมใ่ ห้ทาํ ความชวั
- ปลกู ฝง สนั บสนนุ ให้ทาํ ความดี
- ให้การศึกษาหาความรู้
-ให้ไดค้ ู่ครองทดี ี (ใชป้ ระสพการณ์ของเราให้คําปรกึ ษาแกล่ กู ชว่ ยดู
ให้)
- มอบทรพั ยใ์ ห้ในโอกาสอนั ควร (การทาํ พินั ยกรรม กถ็ อื วา่ เปนสิงถกู
ตอ้ ง)
๒.สงเคราะห์ภรรยา (สาม)ี ในทนี ี หมายถงึ ผเู้ ปนสามกี ต็ อ้ งสงเคราะห์ภรรยา
และผเู้ ปนภรรยากต็ อ้ งสงเคราะห์สามี
- ยกยอ่ งนั บถอื วา่ เปนภรรยา คือการแนะนํ าเปดเผยวา่ เปนภรรยา ไมป่ ดบงั กบั
ผอู้ นื และให้เกยี รตภิ รรยาในการตดั สินใจเรอื งตา่ งๆดว้ ย
- ไมด่ หู มนิ คือไมด่ ถู กู ภรรยาเมอื ทาํ ไมเ่ ปน ทาํ ไมถ่ กู หรอื เรอื งชาตติ ระกลู การ
ศึกษาวา่ ตาตอ้ ยกวา่ ตน แตต่ อ้ งสอนให้
- ไมป่ ระพฤตนิ อกใจภรรยา คือการไปมเี มยี น้ อยนอกบา้ น เลยี งตอ้ ย หรอื เทยี ว
เตรห่ าความสําราญกบั หญงิ บรกิ าร
- มอบความเปนใหญใ่ ห้ในบา้ น คือการมอบธุระทางบา้ นให้กบั ภรรยาจดั การ
รบั ฟงและทาํ ตามความเห็นของภรรยาเกยี วกบั บา้ น
- ให้เครอื งแตง่ ตวั คือให้ความสขุ กบั ภรรยาเรอื งการแตง่ ตวั ให้พอดี เพราะสตรี
เปนผรู้ กั สวยรกั งามโดยธรรมชาติ
๓.สันโดษ คําวา่ สันโดษไมไ่ ดห้ มายถงึ การอยลู่ ําพังคนเดยี วอยา่ งเดยี วก็
หาไม่ แตห่ มายถงึ การพอใจในสิงทตี นมอี ยใู่ นของของตวั ซงึ ทา่ นไดใ้ ห้
นิ ยามทเี ปนลกั ษณะของความสันโดษเปนดงั นี คือ
- ยถาลาภสันโดษ หมายถงึ ความยนิ ดตี ามมตี ามเกดิ คือมแี ค่ไหนกพ็ อใจ
เทา่ นั น เปนอยอู่ ยา่ งไรกค็ วรจะพอใจ ไมค่ ิดน้ อยเนื อตาใจในสิงทตี วั เอง
เปนอยู่
- ยถาพลสันโดษ หมายถงึ ความยนิ ดตี ามกําลงั เรามกี ําลงั แค่ไหนกพ็ อใจ
เทา่ นั น ตงั แตก่ ําลงั กาย กําลงั ทรพั ย์ กําลงั บารมี หรอื กําลงั ความสามารถ
เปนตน้
- ยถาสารูปสันโดษ หมายถงึ ความยนิ ดตี ามควร ซงึ โยงใยไปถงึ ความพอ
เหมาะพอควรในหลายๆ เรอื ง เชน่ รูปลกั ษณ์ของตนเอง และรวมทงั ฐานะ
ทเี ราเปนอยู่
คณะผจู้ ดั ทาํ
นางสาวกงิ แกว้ จวิ ตนั เลขที 48
นางสาวรสสคุ นธ์ วนุ่ พันธ์ เลขท5ี 0
นางสาวอรสิ รา จมู ิ เลขท5ี 2
นางสาวจริ านันท์ ชิตชลธาร เลขที 54
นักเรยี นชันมธั ยมศึ กษาปที 4/3
ตอ้ ง อาลยั อดตี
ไมต่ อ้ งพะวงอนาคต
ขอแค่ทาํ หน้าทขี องตนเองให้ถูกตอ้ ง ในปจจบุ นั
พระทาสภกิ ขุ