The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาจิตวิทยาสำหรับครู (ED 5301)
หลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564
คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by pbpoy_poyyyy, 2021-10-09 10:46:10

รายงานการศึกษารายกรณี (Case Study)

รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาจิตวิทยาสำหรับครู (ED 5301)
หลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564
คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่

รายงานการศึกษารายกรณี (Case Study)

เสนอ
อาจารย์ทศั นีย์ บญุ แรง

จัดทำโดย
นางสาวรตั นาภรณ์ พนั ธ์อุโมงค์

รหสั 64741615 Section 06
หม่เู รียน ป 64. ป.บัณฑิต 2.6

รายงานนเี้ ป็นส่วนหนึ่งของวชิ าจิตวทิ ยาสำหรบั ครู (ED 5301)
หลักสูตรประกาศนียบตั รบัณฑิตวิชาชีพครู ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564

คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่

คำนำ

รายงานการศึกษารายกรณี (Case Study) ฉบับนี้ เป็นส่วนหนึ่งของวิชาจิตวิทยาสำหรับครู
ED 5301 เป็นการศึกษาเพื่อเรียนรู้ในการรู้จัก เข้าใจผู้เรียน สามารถวิเคราะห์ ออกแบบและจัด
กิจกรรมสำหรับดูแล ช่วยเหลือ และพัฒนาผู้เรียนผ่านการเรียนรู้ในรายวิชานี้ โดยได้ศึกษาข้อมูล เพื่อ
หาแนวทางในการช่วยเหลือ พัฒนา ปรับปรุง พฤติกรรมการไม่กล้าแสดงออกของนักเรียนชั้น
ประถมศึกษาปีที่ 1 การที่บุคคลมีพฤติกรรมการกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสม ช่วยทำให้มีบุคลิกที่ดีขึ้น
สามารถปรับตัว มีความเชื่อมั่นในตนเอง กล้าแสดงออก กล้าพูดต่อหน้าผู้อื่น กล้าเข้าร่วมกิจกรรม
ได้รับการยอมรับจากเพื่อน มีผลการเรียนที่ดีขึ้น และการมีพฤติกรรมที่กล้าแสดงออกอย่างเหมาะสม
ยังเป็นพื้นฐานทำให้สามารถปรับตนเองให้อยู่ในสังคม เป็นคนเก่ง คนดี ได้อย่างมีความสุข ประสบ
ผลสำเรจ็ ทั้งด้านการเรียนและการดำเนินชีวติ ประจำวนั ตอ่ ไป

ดังนั้นผู้ศึกษาหวังว่าข้อมูลจากรายงานฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งตัวของเด็ก เพื่อช่วยให้มี
พัฒนาการที่ดีขึ้น ครูที่จะช่วยในการนำมาดูแล ช่วยเหลือและปรับปรุงการเรียนการสอนให้มี
ประสิทธิภาพมากขึน้ และผทู้ ีเ่ กีย่ วข้องทุกฝ่าย

รตั นาภรณ์ พนั ธ์อุโมงค์

1. ข้อมลู สว่ นตวั ของกรณีศึกษา

ขอ้ มูลสว่ นตัว

ชือ่ เด็กชายบญุ รอด นามสกลุ ลอกะ๊
ชื่อเล่น บญุ รอด
อายุ 6 ปี
วนั เดือนปีเกิด 1 มกราคม 2558
นำ้ หนัก 19 กิโลกรมั
สว่ นสงู 114 เซนติเมตร
สัญชาติ เมียนมาร์
เชื้อชาติ ไทใหญ่
ศาสนา พุทธ
เลขประจำตวั ประชาชน G-6151-00005-83-6
การศึกษา ชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 1
ท่อี ยู่ปัจจบุ ัน 139/2 หมู่ 3 ตำบลเหมืองง่า อำเภอเมือง จังหวดั ลำพนู รหสั ไปรษณีย์ 51000
ขอ้ มลู บิดา นายติ๊หม่า ไม่มีนามสกุล
อาชีพ รบั จ้างท่ัวไป
ขอ้ มลู มารดา นางสาวเกีย ลอก๊ะ
อาชีพ รบั จ้างทวั่ ไป
สภาพครอบครัว หย่าร้าง
ข้อมลู ผ้ปู กครอง นางสาวเกีย ลอกะ๊
ความสมั พันธ์ของผู้ปกครองกบั นักเรยี น มารดา
เพื่อนสนิท เดก็ ชายณฐั พล ลงุ หลู่
สัตวท์ ช่ี อบ แมว
กิจกรรมท่ชี อบ วาดรูป
ความใฝ่ฝันในอนาคต หมอ

2. ข้อมลู พัฒนาการ

2.1 ลกั ษณะพัฒนาการของเด็กวัยตอนปลาย

เด็กวัยนี้จะมีอายุระหว่าง 6 – 13 ปี คือ เด็กหญิงอายุ 6 – 11 ปี เด็กชายอายุ 6 – 13 ปี
นักจิตวิทยาบางทา่ น เรียกวยั นี้ว่า “วยั เดก็ ตอนกลาง” (Middle Childhood) ซึง่ กค็ ือวยั เดียวกนั

พฒั นาการทางรา่ งกาย
ส่วนสูงและน้ำหนัก จะมีอัตราเจริญเติบโตลดน้อยลง แต่จะมีการเปลี่ยนแปลงในด้านสัดส่วน

ความแข็งแรง คล่องแคล่วว่องไวมากกว่า ร่างกายจะมีขนาด 2 ใน 5 เมื่อตอนเป็นผู้ใหญ่ อายุ 6 ปี
จะสูง 2 ใน 3 ของเมอ่ื เป็นผู้ใหญ่

กระดูกและฟัน อายุ 6 ปี ฟันน้ำนมจะเริ่มหัก ฟันแท้ซี่แรกจะเริ่มขึ้น ซึ่งเป็นฟันกรามซี่นอก
เด็กหญิงอายุ 6 ปี จะมีพัฒนาการทางกระดกู เท่ากบั เดก็ ชายอายุ 7 ปี

กล้ามเนือ้ เดก็ วัยนี้สามารถใช้กล้ามเนือ้ เลก็ ๆ ได้ แตไ่ ม่ควรทำงานที่ประณีตหรอื หักโหมเกินไป
สายตากับมือประสานกันได้ดี สามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยตนเอง พยายามฝึกฝนปรับปรุงทกั ษะใน
การใชก้ ล้ามเนือ้

มีความสามารถในการควบคุมการเคลื่อนไหวและการทรงตัวของร่างกายที่ดีและมั่นคงมากขึ้น
จะเห็นว่าเด็กวัย 6 – 8 ปี ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นเด็กผู้ชายจะชอบทำกิจกรรมที่ท้าทายความสามารถ
เช่น การปีนป่าย การกระโดดข้ามรั้ว ฯลฯ แม้ว่าเด็กวัยนี้จะมีความกระตือรือร้นในการเคลื่อนไหว
ร่างกายมาก แต่ในขณะเดียวกันเด็กวัยนี้สามารถนั่งอยู่กับที่เป็นระยะเวลานานได้เมื่อเปรียบเทียบกับ
เด็กอนบุ าล

พฒั นาการทางอารมณ์
อารมณ์โกรธ เด็กวัยนี้จะแสดงออกมากกว่าวัยเดก็ ตอนต้น เนื่องจากเดก็ ต้องการอิสระมากขึ้น

ถูกขัดใจ ถูกเยาะเย้ย ดถู ูก เหยียดหยาม ประจานให้อาย ไมไ่ ด้รบั ความยุติธรรม เด็กมักแสดงออกด้วย
การก้าวร้าว ทะเลาะ หรอื หาเรือ่ งไมพ่ ูดด้วย

อารมณ์กลัว เด็กวัยนี้จะกลัวน้อยกว่าวัยเด็กตอนต้น เพราะเด็กมีเหตุผลและรู้ข้อเท็จจริงมาก
ขึน้ แต่จะมีความกลวั แบบใหมเ่ กิดข้ึน คือคิดไปแล้วกลัว เช่น กลวั เพื่อนไมย่ อมรับ กลวั ไม่เหมอื นคนอื่น

อารมณ์วิตกกังวล เด็กวัยนี้มักวิตกกังวลเกี่ยวกับบทเรียน การบ้านมากเกินไป ไม่เข้าใจ
การสอนของครู ไปโรงเรียนไมท่ ัน การสอบตก อยากใหแ้ ข็งแรง อยากใหส้ วยงาม

อารมณ์อิจฉาริษยา เด็กวัยนี้ บางคนจะมีความอิจฉาน้องมากขึ้น แต่บางคนจะหันไปอิจฉา
เพื่อน ๆ แทน โดยเฉพาะเพือ่ นทีเ่ รียนเก่งกว่า เลน่ กีฬาเกง่ กว่าตน

อารมณ์สนุกสนานพอใจ เด็กวัยนี้จะรู้สึกสนุกสนานและพอใจมากเมื่อได้รับความสนใจเป็น
พิเศษ ได้รับรางวัล ได้รับของขวญั ได้เล่นได้คุยกบั เพื่อน ได้ไปเที่ยว

ในเด็กวัย 6 ปี จะต้องการความรักจากผู้ใหญ่ ถ้าผู้ใหญ่ให้ความสนใจน้องมากกว่าตนเอง
บางครง้ั จะอิจฉาและขเู่ ข็ญน้อง ไวต่อความรู้สกึ ของผใู้ หญ่ ชอบคำชมเชย ไมช่ อบการถูกตำหนิ บางครั้ง
เถียงเก่ง ถ้าผู้ปกครองตามใจมากไปจะกลายเป็นเด็กเจ้าอารมณ์ หรือถ้าพ่อแม่บังคับมากเกินอาจเกิด
อารมณเ์ ครียดได้

พฒั นาการทางสงั คม
การรวมกลุ่มเพื่อนร่วมวัย เด็กวัยนี้จะมีการรวมกลุ่มเพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่ายิ่ง

“การเล่น” เพื่อนของเด็กในวัยนี้จะเป็นลักษณะเพื่อนเล่นมากกว่า และมักจะเป็นเพศเดียวกัน ซึ่งจะมี
อิทธิพลตอ่ อารมณ์ ความนกึ คิด ทศั นคติ ความมงุ่ หวงั ความปรารถนา คา่ นยิ ม ของเดก็

การเลียนแบบบทบาททางเพศ เด็กวัยนี้ นอกจากจะเลียนแบบจากพ่อแม่ หรือผู้อยู่ใกล้ชิดแล้ว
เด็กยังเลียนแบบเพื่อนร่วมกลุ่ม หัวหน้ากลุ่ม ครูที่เด็กรัก บุคคลที่เด็กชอบ และจากการได้ฟัง ได้อ่าน
ได้ดูภาพยนตร์ ได้ดูโทรทศั น์ เป็นต้น เด็กวัยนี้จะเชื่อครูมากกว่าพอ่ แม่ ถ้าครูมีบทบาทที่ถูกต้องจะช่วย
ให้เดก็ เรียนรู้ แก้ไขปรับปรงุ ตนเองในการอยรู่ ว่ มกบั ผอู้ ื่น

เด็กวัยนี้มีแนวโน้มที่จะพึ่งพาผู้ใหญ่น้อยลงแต่จะพยายามพึ่งพาตนเองด้วยการทำสิ่งต่าง ๆ
มากขึ้น รวมทั้งมีความกล้าที่จะสร้างความสัมพันธ์กบั ผู้อื่นมากขึ้น ตลอดจนมีความสามารถในการทำ
ความเข้าใจเหตุผลและเรียนรู้ที่จะยอมรบั กฎเกณฑต์ ่าง ๆ ได้มากขึ้น ด้วยเหตุน้ีเองเด็กวัยนี้จึงมักจะเล่น
หรอื ทำกิจกรรมรว่ มกบั เพื่อน ท้ังในลกั ษณะการทำงานเป็นคหู่ รอื เปน็ กลมุ่ ใหญไ่ ด้ค่อนขา้ งดี

ในเด็กวัย 6 ปี เด็กวัยนี้ยังมีลักษณะยึดตนเองเป็นศูนย์กลางอยู่ (Egocentric) ยังดื้อรั้น ให้ทำ
อะไรมักปฏิเสธ พยายามครอบครองเป็นเจ้าของสิ่งต่าง ๆ ต้องการเป็นที่หนึ่ง เมื่อแข่งขันอยากชนะ
ถ้าแพ้มักคิดว่าไม่ยุติธรรม

พฒั นาการทางสติปญั ญา
เด็กวัยนี้สามารถเข้าใจเหตุการณ์ หรือ สถานการณ์ต่าง ๆ ที่พบเห็นได้มากขึ้น มีความถูกต้อง

และสอดคล้องกับความเป็นจริง สามารถแยกแยะและมองเห็นความแตกต่างของสิ่งต่าง ๆ ได้ รู้ศัพท์
มากขึ้น มีความคลอ่ งแคล่วในการอ่าน เขียน พูด คิดเลขบวกเลขได้ สามารถแก้ปัญหาง่าย ๆ ที่พบเห็น
ได้ ในเด็กอายุ 6 ปี เริ่มเข้าใจสัญลักษณ์ต่าง ๆ ยังมีช่วงความสนใจระยะสั้น มีความอยากรู้ อยากเห็น
ชอบซักถาม สนใจสิ่งแปลกใหม่

เด็กวัยนี้มีความสามารถในการคิดที่ลึกซึ้ง ละเอียดอ่อน และเป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น เด็กวัยนี้
สามารถคิดหลาย ๆ เรื่องได้ในเวลาเดียวกัน รวมทั้งการตั้งคำถามที่ลึกซึ้ง เรามักจะพบการตั้งคำถาม
ระดับสูง เช่น คำถาม อย่างไร เพราะเหตุใด หรือเมื่อไหร่ ฯลฯ จากเด็กวัยนี้เสมอ ๆ ในด้านการเรียนรู้
ภาษาก็ยังคงมีการพัฒนาต่อไปเรื่อย ๆ เด็กวัยนี้มีความต้องการที่จะพัฒนาทักษะภาษาตามธรรมชาติ
อยู่แล้ว เช่น การอ่าน การเขียน การพูด เห็นได้จากความกระตือรือร้นในการอ่าน เขียน หรือบอกเล่า
ประสบการณ์หรือเรื่องราวต่าง ๆ ที่ตรงกับความสนใจของตัวเด็กเอง เด็กวัยนี้มีความสนใจหรือการมี
สมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ยาวนานขึ้น ถ้างานที่เด็กกำลังทำอยู่นั้นเป็นสิ่งที่ตรงกับความสนใจ
หรอื ความถนัด เด็กวัยนี้จะมีสมาธิและสามารถทำงานอย่างต่อเนอ่ื งได้นานมากขึ้น

2.2 พฤติกรรมตามพัฒนาการของกรณศี ึกษา

ลักษณะทางดา้ นร่างกาย
เด็กชายบุญรอด ลอก๊ะ มีน้ำหนัก 19 กิโลกรัม สูง 114 เซนติเมตร เป็นเด็กที่มีรูปร่างสมส่วน

มีน้ำหนักและส่วนสูงตามเกณฑ์มาตรฐาน การใช้กล้ามเนื้อใหญ่ของเด็กชายบุญรอดอยู่ในระดับดี
สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายได้ดี กล้ามเนื้อมัดเล็กอยู่ในระดับดี กิริยาท่าทางไม่ค่อย
กระฉับกระเฉง ไม่ค่อยคล่องแคล่ว ไม่ค่อยมีความกระตือรือร้นในการเคลื่อนไหว มีสุขภาพร่างกายที่
แข็งแรง ไมม่ ีโรคประจำตัว

ลกั ษณะทางดา้ นอารมณ์
เด็กชายบุญรอด ลอก๊ะ เป็นเด็กที่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ มักจะไม่ค่อยแสดง

อารมณ์โกรธ แตม่ กั จะนิ่งเงียบเวลาที่ถูกเพื่อนแกล้ง ร้องไหเ้ งียบ ๆ ไม่กล้าบอกเพือ่ นหรอื ครู มีความไม่
กล้าแสดงออก ขี้อาย เวลาที่มีความสงสัยในงานที่ทำมักจะไม่กล้าถาม แต่จะนั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะแล้วรอให้
ครูไปถาม เวลาทีเ่ ลน่ กับเพือ่ น ๆ จะยิ้มแย้มร่าเริง แต่เม่อื ถึงเวลาเรียนมักจะไมค่ ่อยยิ้มแย้มร่าเริง แต่จะ
นัง่ น่งิ ตง้ั ใจฟงั ในสิ่งที่เรียน

ลกั ษะทางดา้ นสังคม
เด็กชายบุญรอด ลอก๊ะ สามารถทำงานหรอื ทำกิจกรรมรว่ มกบั ผู้อื่นได้ดี เมื่อใหเ้ ล่นร่วมกันหรือ

ทำกิจกรรมรว่ มกบั เพื่อน ๆ ในห้องเรยี น จะยิ้มแย้ม สนกุ สนาน รา่ เริง สามารถปฏิบัติตามข้อตกลงของ
ห้องเรียนของโรงเรียนได้เป็นอย่างดี เด็กชายบุญรอดมักจะชอบเล่นกับเพื่อนสนิท จะไม่ค่อยไปเล่นกับ
เพือ่ นคนอื่นทีไ่ ม่ได้สนิทกนั ไมค่ ่อยกล้ามีปฏิสัมพนั ธ์กับคนแปลกหนา้ หรอื คนทีไ่ มค่ ุ้นเคย จะนิ่งเงียบและ
ก้มหนา้ ไมก่ ล้าสบตาคนอืน่

ลกั ษณะทางสติปัญญา
เดก็ ชายบุญรอด ลอก๊ะ ในพัฒนาการทางดา้ นการอ่านไมค่ ่อยดีเทา่ ไร มกั จะอ่านหนังสือไม่ค่อย

ได้ เพราะเป็นเด็กที่ไม่ค่อยกล้าพูด เวลาที่ให้อ่านหน้าชั้นเรียนหรือเรียกให้มาอ่านก็มักจะอ่านไม่ได้
จะไม่ค่อยกล้าพูด ไม่กล้าสบตา แต่ด้านการเขียนค่อนข้างทำได้ดี คิดเลขบวกเลขลบเลขได้ สามารถ
ตอบคำถามได้เมื่อถูกถาม ขาดความมั่นในใจการแสดงออก มักจะตอบช้าต้องใช้เวลาคิดก่อนสักพัก
หรอื ให้ครชู ่วยกระตุ้น ทวนคำถามให้ ไมค่ ่อยชอบซักถาม ข้อสงสัย เหมอื นกบั เพือ่ น ๆ ในหอ้ ง เวลาที่ให้
ออกมาเล่าประวัติส่วนตัว หรือเล่าเรื่อง มักจะพูดสั้น ๆ ต้องให้ครูคอยกระตุ้นถามเป็นทีละคำถาม
ถึงจะสามารถพูดเล่าเรื่องออกมาได้ สามารถแก้ไขปัญหาง่าย ๆ ได้ มีความสามารถในด้านการวาดรปู
ชอบวาดรปู ระบายสี

2.3 พฤติกรรมตามพัฒนาการของกรณีศึกษามีความสอดคล้องหรือแตกต่างจากพัฒนาการ
ตามวัยหรอื ไม่ อย่างไร

ด้านร่างกาย
เด็กชายบุญรอด ลอก๊ะ มีความสอดคล้องในด้านร่างกาย คือ ส่วนสูงและน้ำหนักมีอัตราการ

เจริญเติบโตลดน้อยลง ฟันน้ำนมเริ่มหัก และมีฟันแท้ขึ้น สามารถใช้กล้ามเนื้อเล็ก ๆ ได้ สายตากับมือ
ประสานกันได้ดี สามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยตนเองได้ การทรงตัว การเคลื่อนไหวของรา่ งกายทำได้
ดีและมน่ั คง แตย่ ังมคี วามไม่สอดคล้องคือ ไม่ค่อยมีความกระตือรอื ร้นในการเคลื่อนไหว

ดา้ นอารมณ์
เดก็ ชายบุญรอด ลอกะ๊ มีความสอดคล้องในด้านอารมณ์ คือ ยังมีความสนุกสนานพอใจเม่ือได้

คุยได้เล่นกับเพื่อน ยิ้มแย้มร่าเริงเวลาที่ได้อยู่กับเพื่อนสนิท แต่จะไม่ค่อยแสดงอารมณ์โกรธหรือไม่
พอใจ มักจะนิง่ เงียบ ไม่เอะอะโวยวาย หรอื เรียกร้องความสนใจจากคนรอบข้าง

ด้านสงั คม
เด็กชายบุญรอด ลอก๊ะ มีความไม่สอดคล้องในด้านสังคม คือ ไม่ค่อยกล้ามีปฏิสัมพันธ์กับ

คนแปลกหน้าหรือคนที่ไม่สนิท มักจะชอบเล่นอยู่แต่กับเพื่อนสนิทเพียงคนเดียว จะนิ่งเงียบและไม่กล้า
สบตาคนอื่น แตก่ ็ยงั สามารถทำงานหรอื ทำกิจกรรมร่วมกับผู้อน่ื ได้ดี ไมไ่ ด้ปลีกตวั หรอื แยกตวั จากกล่มุ

ด้านสติปญั ญา
เดก็ ชายบญุ รอด ลอกะ๊ มีความสอดคล้องในด้านสติปัญญา คือ สามารถเข้าใจเหตุการณ์ หรือ

สถานการณ์ต่าง ๆ ที่พบเห็นได้มากขึ้น มีความถูกต้องและสอดคล้องกับความเป็นจริง สามารถ

แยกแยะและมองเห็นความแตกต่างของสิ่งต่าง ๆ ได้ รู้ศัพท์มากขึ้น คิดเลขบวกเลขได้ สามารถ
แก้ปัญหาง่าย ๆ ได้

2.4 พฤติกรรมของกรณศี ึกษาสอดคลอ้ งกบั ทฤษฎีพัฒนาการใด? ของใครท่?ี กลา่ ววา่ อย่างไร?

ทฤษฎีพฒั นาการทางบคุ ลิกภาพของ Erik Hormburger Erikson
1. การริเริม่ หรือรูส้ ึกผิด (Initiative Versus Guilt)

เป็นระยะที่เด็กพัฒนาความคิดคิดริเริ่ม (Initiative) ถ้าพัฒนาการในระยะนี้ล้มเหลวเด็กจะเกิด
ความรสู้ ึกผดิ (Guilt) สิง่ แวดล้อมทางสังคมทีส่ ำคญั ของเด็กในระยะนีค้ ือ “ครอบครัว”

ในช่วงนี้เดก็ จะติดต่อสัมพนั ธ์กับเพื่อนฝูงรุ่นราวคราวเดียวกันมากขึ้น ดังนั้นถ้าพ่อแม่สนับสนนุ
กิจกรรมตา่ ง ๆ ของเด็ก กจ็ ะชว่ ยใหเ้ ดก็ แสวงวิธีการหรอื กิจกรรมด้วยตนเอง

การริเริ่ม เป็นผลจากการพัฒนาบุคลิกภาพในขั้นนี้สำเร็จ ระยะนี้เด็กจะมีความกระตือรือร้น
ต้องการมคี วามรับผดิ ชอบ สนใจในงานกิจกรรมของผู้ใหญ่ มีการลอกเลียนแบบ

ความรู้สึกผิด เป็นผลจากการพัฒนาการทางบุคลิกภาพในระยะนี้ล้มเหลว เกิดจากการที่พ่อ
แม่ไม่เปิดโอกาสให้เด็กได้ทำในสิ่งที่เขาต้องการด้วยตนเอง หรือพ่อแม่ใช้วิธีลงโทษเมื่อเด็กทำผิดจาก
ความหวังของตน ทำให้เดก็ เกิดความรู้สกึ ผิด ความคิดริเรม่ิ และการสร้างสรรคจ์ ะชะงักลง ทำให้ไม่กล้า
แสดงออก เฉื่อยชา ชอบหลบเลี่ยงไม่กล้าเข้าร่วมกลุ่ม ไม่มีความเป็นผู้นำ ไม่สามารถช่วยเหลือตนเอง
ได้ หวาดระแวง

2. เอาการเอางานหรอื มีปมด้อย (Industry Versus Inferiority)
เป็นระยะทีเ่ ด็กพัฒนาความอุตสาหะ หม่ันเพียร (Industry) ถ้าพัฒนาการในระยะนี้ล้มเหลวเด็ก

จะเกิดปมด้อย (Inferiority) สิ่งแวดล้อมที่สำคญั ของเด็กในระยะน้คี อื บ้าน เพือ่ นบ้าน และโรงเรียน
ระยะนี้เด็กรู้จักความเป็นชาย - หญิง ของตนแล้ว ขณะเดียวกันก็เรียนรู้ทักษะทางภาษา และ

บทบาททางสังคมเพียงพอที่จะติดต่อส่อื ความหมายกบั คนทว่ั ไปได้คลอ่ ง
เอาการเอางาน หรือ ความอุตสาหะหมั่นเพียร เป็นผลจากการที่เด็กสามารถพัฒนา

บุคลิกภาพในระยะนี้ได้สำเร็จ ระยะนี้เด็กจะเรียนรู้กฎเกณฑ์ต่าง ๆ รู้จักการให้และรับ มีความคิดเป็น
เหตุผลมากขึ้น มีการยอมรับนับถือซึ่งกันและกัน ทำให้เด็กมีความภาคภูมิใจในตนเอง ซึ่งจะส่งผลให้มี
แรงขับในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยความอุตสาหะ หมั่นเพียร เด็กจะภูมิใจมากเมื่อสามารถกระทำ
กิจกรรมเป้าหมายได้สำเรจ็

มีปมด้อย หรือ รู้สึกต่ำต้อย เป็นผลจากการพัฒนาการทางบุคลิกภาพในระยะนี้ล้มเหลว
เนื่องจากเด็กไมส่ ามารถสนองความต้องการตามมาตรฐานตามที่พ่อแม่ตั้งไว้ ซึง่ เกิดจากการให้ทำในสิ่ง

ที่เกินความสามารถ ได้รบั การซ้ำเตมิ เมื่อทำความผดิ พลาด ความลม้ เหลวทีเ่ กิดขึ้นบ่อย ๆ จะทำให้เด็ก
ท้อแท้ ไม่ม่นั ใจในความสามารถของตน ไม่มคี วามเชือ่ มน่ั ในตนเอง ทำใหเ้ กิดความรู้สกึ ต่ำต้อย มีปมด้อย

2.5 หากต้องการส่งเสริมพัฒนาการของกรณีศึกษาควรส่งเสริมพัฒนาการด้านใดบ้าง? และ
จะต้องทำอย่างไร?

พฒั นาการทางรา่ งกาย
ให้ทำกิจกรรมต่าง ๆ เพือ่ พฒั นาความสามารถทางรา่ งกายใหด้ ีข้ึน กิจกรรมตา่ ง ๆ ควรเริ่มจาก

กล้ามเนื้อส่วนใหญ่ เช่น แขน ขา การทรงตัว นั่ง เดิน ยืน วิ่ง แล้วเพิ่มความละเอียดของงานมากขึ้น
เพือ่ ให้เดก็ ได้ฝึกกล้ามเนือ้ ย่อย เชน่ มอื นิว้ มือ การประสานงานของกล้ามเนือ้

พัฒนาการทางดา้ นอารมณ์
ควรแสดงความรักและเอาใจใส่ ให้ความยุติธรรมต่อเด็ก สอนให้เด็กกลัวในสิ่งที่ควรกลัวและ

กล้าในสิ่งที่ควรกล้า ยอมรับฟังความคิดเห็นของเด็ก เป็นแบบอย่างที่ดีแก่เด็ก เปิดโอกาสให้เด็กทำ
กิจกรรมที่ตนถนัด มีความสามารถ ทำให้เด็กมีความเช่อื มนั่ ในตนเอง

พฒั นาการทางดา้ นสติปญั ญา
จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้เด็กได้ลงมือกระทำ ปฏิบัติกิจกรรมให้เด็กได้จับต้อง สัมผัส

ค้นคว้า เรียนจากประสบการณ์ตรง จากการเคลื่อนไหวและมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง และ
สิ่งแวดล้อม ส่งเสริมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ฝกึ ใหเ้ ดก็ แก้ปญั หาด้วยตนเอง สง่ เสริมการอ่าน ค้นคว้า
จากการไปศกึ ษานอกห้องเรียนหรือแหล่งความรู้ต่าง ๆ เป็นการสง่ เสริมพฒั นาการทางสติปญั ญาของเดก็

พฒั นาการทางดา้ นสังคม
ส่งเสริมกิจกรรมกลุ่ม ฝึกนิสัยรักการทำงาน การอยู่ร่วมกับผู้อื่น ฝึกการเป็นผู้นำและผู้ตาม

รู้จักบทบาทหน้าที่ของตนเอง เคารพระเบียบวินยั ในการอยู่ร่วมกัน ปลกู ฝงั ให้เด็กมีความร่วมมือ ความ
รับผิดชอบ ความคิดสร้างสรรค์ ความกล้า ความยุติธรรม ความเมตตา แนะนำเรื่องการปรับตัวให้เข้า
กับเพื่อนได้อย่างเหมาะสม ให้รู้จักการยืดหยุ่น รู้จักการแพ้ ชนะ และให้อภัย ฝึกพฤติกรรมการ
แสดงออกอย่างเหมาะสมในสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งพฤติกรรมทางด้านร่างกายและคำพูด การจัดให้มี
การแสดงบทบาทสมมติ สถานการณต์ า่ ง ๆ เพื่อใหเ้ กิดทักษะทีน่ ำไปสกู่ ารปฏิบตั ิต่อไป

3. ข้อมลู เกี่ยวกับการเรียนรู้และพฤติกรรมการเรียนรู้

3.1 พฤติกรรม ความสามารถ และความสนใจในการเรียน

พฤติกรรมของเดก็ ชายบญุ รอด ลอก๊ะ
เด็กชายบุญรอด เป็นเด็กค่อนข้างขี้อาย ไม่ค่อยชอบพูด ไม่ค่อยกล้าแสดงออก เวลาที่พูดด้วย

มักหลบสายตา ไม่กล้าสบตา มักจะตอบด้วยน้ำเสียงเบา ไม่มีความมั่นใจในตนเอง เวลาที่โดนเพื่อน
แกล้งมักจะนิ่งเงียบ ไม่บอกให้ครูและเพื่อนรู้ จะนั่งร้องไห้เงียบ ๆ อยู่คนเดียว เวลาที่เดินก็จะชอบก้ม
หนา้ ก้มตา แตเ่ มอ่ื เวลาทีค่ ุย เล่น กับเพื่อนสนิท จะพดู เยอะกว่าปกติ

ความสามารถของเด็กชายบญุ รอด ลอกะ๊
เด็กชายบญุ รอด เปน็ คนทีช่ อบวาดภาพและระบายสีมาก วิชาไหนทีใ่ ห้วาดภาพเดก็ ชายบุญรอด

มกั จะวาดภาพและระบายสีออกมาได้ดี ภาพสื่อความหมายชัดเจน มีรายละเอียดมากกว่างานของเพื่อน
คนอื่นในห้อง ยกตัวอย่างเช่น เมื่อให้วาดภาพบ้าน เด็กชายบุญรอดจะวาดภาพที่มีรายละเอียดรอบ ๆ
เช่น มีบ้าน ต้นไม้ ดอกไม้ พระอาทิตย์ ก้อนเมฆ คน สัตว์ แม่น้ำ เป็นต้น หรือการทำผลงานที่เป็นงาน
เกีย่ วกับศลิ ปะตา่ ง ๆ สามารถทำผลงานออกมาได้เปน็ ที่นา่ พอใจ

ภาพผลงานของเดก็ ชายบญุ รอด ลอกะ๊

ความสนใจในการเรียนของเด็กชายบญุ รอด ลอก๊ะ
เด็กชายบุญรอด เป็นเด็กที่มีความตั้งใจเรียน ไม่เคยพูดคุยหรือเล่นกับเพื่อนในห้องขณะที่ครู

กำลังสอน ตั้งใจฟงั ในสิ่งที่ครูสอน ต้ังใจทำงานทีค่ รูสั่งจนเสร็จเรียบร้อย แต่จะมีปัญหาในวิชาภาษาไทย
ด้านการอ่าน เพราะเด็กชายบุญรอดเป็นคนที่ไม่มีความมั่นใจ และไม่ค่อยกล้าพูด เวลาที่ให้อ่ าน

ออกเสียงจึงอ่านได้ไม่ค่อยดี แต่ในด้านการเขียนสามารถเขียนคำตามที่บอกได้ คิดเลขและบวกเลขได้
ไม่มีปัญหา การซักถามปัญหา ข้อสงสัย มักจะไม่ค่อยกล้าถาม เวลาที่ไม่เข้าใจงานชิ้นไหนจะนั่งเงียบ
ไม่ยอมทำงานจนกว่าครูจะเดินเข้าไปอธิบายใหฟ้ ัง แตจ่ ะชื่นชอบวิชาที่เกีย่ วกับงานศิลปะ การทำชิ้นงาน
ศลิ ปะต่าง ๆ จะมีความสนใจเปน็ พิเศษ

3.2 ปัญหา หรอื ลักษณะพฤติกรรมที่โดดเดน่ การเรยี นรู้

ไมก่ ลา้ แสดงออก ไม่มีความมน่ั ใจในตนเอง
เด็กชายบุญรอด ลอก๊ะ เป็นเด็กที่ไม่ค่อยกล้าแสดงออก เวลาที่ให้ออกมาพูดหน้าชั้นเรียน

มกั จะนิง่ เงยี บ ไม่คอ่ ยกล้าพูด หรอื พูดส้ัน ๆ พดู ด้วยน้ำเสียงทีเ่ บา และไมก่ ล้าสบตากับเพื่อน ๆ ในห้อง
แต่มักจะก้มหน้าเวลาที่พูด เวลาที่ครูถามคำถาม หรือชวนคุยด้วย จะไม่ค่อยกล้าสบตาครู ตอบสั้น ๆ
บางครั้งก็ไม่ตอบเลย ไม่ค่อยกล้าซักถามเวลาที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเรียน เวลาที่ให้ออกมาทำ
กิจกรรมหน้าชั้นเรียน เช่น การเต้น การละเล่น การแสดงบทบาทสมมติ มักจะเขินอาย ไม่ค่อยกล้าทำ
กล้าแสดงออกเต็มที่

ภาพของเดก็ ชายบญุ รอด ลอกะ๊ ขณะที่ถ่ายรูปร่วมกับเพื่อน ๆ ในห้องเรียน

3.4 วิธีการสง่ เสริม / ช่วยเหลือ / พฒั นาใหเ้ กิดการเรียนรทู้ ีด่ ขี ึ้น

1. สรา้ งแบบอยา่ งที่ดี
ตามทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Social Cognitive Theory) ของ Albert Bandura (1925 – 1989)

นักจิตวิทยาชาวแคนาดา ที่เชื่อว่ามนุษย์ไม่เพียงแต่จะเรียนรู้พฤติกรรมใหม่ด้วยการสร้างเงื่อนไขหรือ
เพื่อรางวลั เท่าน้ัน แตม่ นุษย์ยังสามารถทำเช่นนั้นได้โดยการเลียนแบบบุคคลรอบข้างที่มีความหมายต่อ
ตนเอง การเรียนรู้เป็นการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับสิ่งแวดล้อม การเรียนรู้ของมนุษย์นั้นเกิดจาก
การสังเกตผ่านตัวแบบ การเลียนแบบจะเกิดขึ้นอย่างมีความหมายมากขึ้น ถ้าได้รับการเสริมแรงใน

3 ลักษณะ คือ 1. การเสริมแรงทางตรง (Direct Reinforcement) 2. ความคาดหวังที่จะได้รับการ
เสริมแรงเมื่อเห็นผู้อื่นได้ (Vicarious Reinforcement) และ 3. การเสริมแรงด้วยตนเอง (Self
Reinforcement)

ซึ่งถ้าเป็นไปตามทฤษฎี ครคู วรสร้างรปู แบบหอ้ งเรียนใหเ้ ดก็ มีโอกาสแสดงออกหรือแสดงความ
คิดเห็นได้อย่างสม่ำเสมอ เช่น เปิดโอกาสให้ได้มีช่วงเวลาเล่าถึงประสบการณ์ต่าง ๆ ที่พบเจอ หรือให้
นำเสนองานต่าง ๆ ในรูปแบบที่คิดขึ้นมาเอง ให้พูดนำเสนอสิ่งที่รู้ สิ่งที่ชื่นชอบและถนัด วิธีการนี้จะทำ
ให้เด็กที่มีความกล้าแสดงออกอยู่แล้วได้มีพื้นที่ในการแสดงออก และยังกลายเป็นแบบอย่างให้กับเด็ก
คนอืน่ ๆ ที่ไม่กล้าแสดงออก เหน็ แบบอย่างแล้วอยากลุกขึ้นมามีบทบาทด้วยเช่นเดียวกันกับเพื่อน และ
เมื่อเด็กเริ่มมีความมั่นใจมากขึ้น ก็เสริมแรงด้วยการให้กำลังใจ ให้ความสำคัญกับการแสดงออกที่
เหมาะสมของเด็ก

2. ใหท้ ำกิจกรรมทเ่ี น้นการกล้าแสดงออก
ตามทฤษฎีการเรียนรู้โดยการวางเงื่อนไขแบบการกระทำ (Operant Conditioning Theory) ของ

Bruthus Skinner (1994 – 1990) ที่กล่าวว่าพฤติกรรมในชีวิตประจำวันส่วนมากเป็นไปในลักษณะของ
การกระทำต่อสิ่งแวดล้อม การกระทำใด ๆ ย่อมเกิดผล และผลของพฤติกรรมนั้น จำทำให้เกิด
พฤติกรรมเดิมมากขึ้นไปอีก ถ้าผู้กระทำพอใจ และพฤติกรรมจะลดลง ถ้าผู้กระทำไม่พอใจ เรียกอีก
อย่างว่าเป็น การวางเงื่อนไขแบบปฏิบัติการ (Instrumental Conditioning) หรือการกระทำ Skinner ให้
ความสำคญั กับการเสริมแรง (Reinforcement) มาก โดยถ้าต้องการให้พฤติกรรมทีเ่ กิดขึน้ คงอยู่ จะต้อง
ให้การเสริมแรง

ซึ่งถ้าเป็นไปตามทฤษฎี ครูควรเน้นให้เด็กได้ทำกิจกรรมที่เน้นการกล้าแสดงออก การให้แสดง
บทบาทสมมตหิ นา้ หอ้ งเรียน การทำกิจกรรมรว่ มกับเพื่อนในห้อง มีการให้รางวัลและให้เพือ่ น ๆ ในห้อง
ร่วมกบั ช่วยกล่าวคำชมเชยและปรบมือเม่ือมีการออกมานำเสนอ สร้างกำลังใจให้กบั เด็ก เพื่อเสริมแรง
ให้เด็กมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมให้มากที่สุด เปิดโอกาสให้เด็กได้เป็นผู้นำในการทำกิจกรรม เพื่อ
สร้างและเกิดความมนั่ ใจในตนเอง ครูควรดแู ละรับฟังอยา่ งตง้ั ใจ สนใจในสิ่งที่เดก็ กำลังทำ กลา่ วชมเชย
สิ่งที่เด็กได้ทำ หลังจากที่สามารถทำให้เด็กเริ่มมีความกล้าแสดงออก มีความกล้าแล้ว การจะรักษา
พฤติกรรมน้ไี ด้ คือ การสรา้ งกิจกรรมทีเ่ ปิดโอกาสใหเ้ ดก็ ทุกคนได้แสดงออกบ่อย ๆ เช่น การให้ออกมา
ร้องเพลง การพูดหน้าชั้นเรียน หรือการแสดงละคร ซึ่งกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้จะช่วยให้พฤติกรรม
การกล้าแสดงออกของเด็กมีความคงทนมากขึ้น ช่วยลดอาการประหม่า และเพิ่มพูนความมั่นใจ ซึ่งทำ
ให้เดก็ มีพฤติกรรมทีเ่ ปลี่ยนไปในทางทีด่ ีข้ึน

4. แนวทางการช่วยเหลอื ส่งเสริม และพฒั นา

4.1 พฤติกรรมของกรณศี ึกษาท่คี วรปรับเปลี่ยนให้ดียิง่ ขึน้ มากทีส่ ดุ

การไม่กลา้ แสดงออก ไมม่ ีความมั่นใจในตนเอง
ความกล้าแสดงออก คือคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่เด็กควรจะมี เด็กควรมีความกล้าที่จะนำเสนอ

ตัวตนในสิ่งที่ตนเองถนัดและสนใจ คนที่จะประสบความสำเร็จได้นั้นจำเป็นต้องมีความกล้าแสดงออก
อยเู่ ป็นปัจจัยหนึ่ง ด้วยเหตุน้ีจึงจำเปน็ ที่จะต้องสง่ เสริมให้เดก็ มีความกล้าแสดงออก และต้องแสดงออก
อยา่ งเหมาะสม เมือ่ เดก็ เกิดความกล้าแสดงออกกเ็ ป็นหนทางหนง่ึ ที่ทำให้เดก็ เกิดความม่ันใจในตนเอง

4.2 วธิ ีการในการใหก้ ารแนะแนว ชว่ ยเหลือ และให้คำปรึกษา

4.2.1 พิจารณาข้อมูลดา้ นต่าง ๆ ทีเ่ กี่ยวกบั ปญั หาพฤติกรรมของกรณีศึกษา
4.2.2 พิจารณาองค์ประกอบหรือปัจจัยสำคัญของปัญหา สาเหตุของปัญหาต่าง ๆ อาจจะ
ประกอบไปด้วย สาเหตุจากตัวเดก็ ครอบครัว โรงเรียน ชมุ ชน และสิ่งแวดล้อม เป็นต้น เพื่อนำไปสู่การ
วินจิ ฉัยปญั หาและใช้วางแผน ดำเนนิ การป้องกันและแก้ไขปัญหาต่อไป ซึ่งต้องอาศยั ด้วยเทคนิควิธีการ
ตา่ ง ๆ จากความรว่ มมอื กบั บคุ คลหลายฝ่ายที่เกีย่ วข้องกับเด็ก
4.2.3 ดำเนินการช่วยเหลือโดยการให้คำปรึกษาจากครูประจำชั้น เป็นการช่วยเหลือและ
ป้องกันปัญหาของนักเรียน โดยครูอาจจะสอบถามข้อมูลส่วนตัว สอบถามเรื่องราวต่าง ๆ ครูให้การ
แนะนำ ปรึกษาในเรื่องการกล้าแสดงออก ได้แก่ การพูดหน้าชั้น การลดความประหม่า การตั้งสติมี
สมาธิเตรียมตัวให้พร้อมก่อนพูด ตลอดจนการสร้างความเชื่อมั่นให้กับตนเอง การมองจุดดี จุดเด่น
ความถนัดของตน และพยายามพัฒนาตนเองให้สุขุมไม่วิตกกังวลจนเกินไป ครูต้องมีความเป็นกันเอง
เพื่อให้เกิดความคุ้นเคยและไว้วางใจ ทำให้เด็กรู้สกึ ว่ามีคนรบั ฟงั จงึ กล้าพูด และเปิดเผยมากขึ้น
4.2.4 จัดกิจกรรมในชั้นเรียน ให้แก่นักเรียนทั้งรายกลุ่มและรายบุคคล เพื่อให้เกิดการเรียนรู้
แบบมีสว่ นร่วมและปรบั เปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยง
4.2.5 ให้การแนะแนวเป็นกลุ่ม เนื่องจากพฤติกรรมการไม่กล้าแสดงออก ไม่มีความมั่นใจใน
ตนเอง เป็นคุณสมบตั ิอย่างหนึ่งทีเ่ ด็กควรจะมี และไม่เฉพาะเดก็ ชายบุญรอด ลอก๊ะ เท่าน้ันที่มีความไม่
กล้าแสดงออก ส่วนใหญ่ในห้องเรียนมักจะมีเด็กที่ไม่กล้าแสดงออกอยู่หลายคน การแนะแนวเป็นกลุม่
เป็นการช่วยเหลือให้เด็กที่ไม่กล้าแสดงออก หรือกล้าแสดงออกอยู่แล้ว มีความกล้าเพิ่มมากขึ้นและ
สามารถแสดงออกมาได้อยา่ งเหมาะสม

4.3 กิจกรรมทจ่ี ะชว่ ยในพัฒนาศักยภาพของกรณศี ึกษา

4.3.1 กิจกรรมในชั้นเรียน จัดกิจกรรมในชั้นเรียนที่เน้นการให้มีส่วนร่วมของนักเรียนในห้อง
โดยเป็นกิจกรรมทีเ่ น้นให้เด็กกล้าแสดงออก เช่น การออกมาพูดหน้าชั้นเรียน การแสดงละคร บทบาท
สมมติ การรอ้ งเพลง การละเลน่ ต่าง ๆ การแสดงออกด้านที่เดก็ ถนัดและสนใจ และมีการเสริมแรงโดย
การให้เด็กในห้องให้กำลังใจเพื่อน กล่าวชมเชยเพื่อน หรือมีรางวัลให้กับเด็ก ๆ เพื่อเป็นกำลังใจในการ
ทำกิจกรรมน้ัน ส่งเสริมใหเ้ ดก็ ได้ฝึกแสงออกบอ่ ย ๆ ทำให้เด็กเกิดความมัน่ ใจในตนเองมากขึ้น

4.3.2 กิจกรรมทเ่ี สริมสร้างพฤติกรรมกลา้ แสดงออก
- การสร้างภาพพจน์ที่ดีต่อตนเอง เป็นการสร้าวบรรยากาศที่ทำให้เด็กได้พิจารณาถึง

ข้อดีของตนเอง เช่น การให้หลับตาแล้วนึกถึงความดีของตนเอง โดยครูอาจจะเป็นผู้บรรยายคุณธรรม
เหล่านน้ั ทำให้เดก็ เกิดการรับรู้วา่ ตนเป็นบุคคลทีม่ คี ณุ ค่า

- การสร้างภาพพจน์ที่ดีต่อผู้อื่น เป็นการฝึกให้เด็กเรียนรู้และยอมรับตนเองและผู้อื่น
โดยใช้กิจกรรมสรา้ งเสริมความมั่นใจให้แก่ผอู้ ื่น เช่น การชื่นชมและยอมรบั ผลงานของเพื่อน แล้วพร้อม
ทีจ่ ะนำสิ่งทีด่ นี ำไปปรบั ปรุงใชเ้ พื่อพัฒนาตนเอง

- การมองโลกในแง่ดี เป็นการสร้างจิตสำนึกที่ดีให้ตนเองมีคณุ ค่า เป็นการมองตนเอง
และผอู้ ืน่ ในด้านบวก เชอ่ื ว่าทกุ คนมีพ้ืนฐานทางจิตใจที่ดีและพรอ้ มที่จะพัฒนาตนเองอยู่เสมอ

- โอกาส เป็นการสร้างสถานการณ์ที่ทำให้เด็กฝึกพฤติกรรมกล้าแสดงออก เช่น การ
เปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ การให้เด็กได้แสดงความสามารถโดยไม่จำกัด
กิจกรรม และเพื่อให้เด็กได้ใชศ้ ักยภาพที่มอี ยอู่ ยา่ งสรา้ งสรรค์

4.3.3 กิจกรรมสื่อสารกับผู้ปกครอง เป็นการช่วยเหลือเด็กโดยอาศัยความร่วมมือจาก
ผปู้ กครองดว้ ยวิธีตา่ ง ๆ เช่น การพดู คยุ การเชญิ ผปู้ กครองมาพบเพือ่ ปรึกษาหารอื รว่ มกัน

4.3.4 กิจกรรมการเยี่ยมบ้าน เป็นการแสดงความร่วมมือระหว่างสถานศึกษากับผู้ปกครอง
ในการดูแลช่วยเหลือนกั เรียน และทำให้ครูได้พบเห็นสภาพความเป็นจริงของนักเรียนในครอบครัวและ
ชุมชน ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้ครูสามารถประเมินสาเหตุของปัญหาแล้วดำเนินการช่วยเหลือให้
เหมาะสม

4.4 บุคคลที่ต้องประสานขอความร่วมมือมีใครบ้าง? และจะขอความร่วมมือให้ทำอะไร?
อย่างไร?

ผปู้ กครอง ติดต่อกบั ผปู้ กครองและนดั หมายพูดคยุ กับผปู้ กครองให้ดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด โดย
ขอความรว่ มมือจากผู้ปกครองดังน้ี

4.4.1 พาเด็กออกไปพบเจอผู้คน การพาเด็กออกไปเจอผู้คนภายนอกเป็นการฝึกให้เด็กได้เจอ
กบั คนแปลกหนา้ การพาเด็กออกไปเจอผคู้ นบอ่ ยคร้ัง เดก็ จะคุ้นเคย มีความมั่นใจ ไมห่ วาดกลัว และไม่
เขินอาย เมื่อต้องเจอกับคนแปลกหน้า โดยคนที่พ่อแม่พาไปเจอควรเป็นคนที่น่าไว้ใจและปลอดภัย
สำหรบั เด็กเสมอ

4.4.2 เมื่อเด็กทำบางสิ่งสำเร็จ ข้อสำคัญสำหรับเด็กทุกคนคือการได้รับคำชม เด็กจะมีความ
ม่ันใจและอยากทำซ้ำ หากพ่อแมม่ อบความรกั คำชมและกำลังใจอยเู่ สมอ กจ็ ะทำให้เด็กกล้าที่จะทำ มี
ความม่ันใจในตนเอง

4.4.3 อยา่ หา้ มเดก็ มากเกินไป การหา้ มทีม่ ากเกินพอดีจะทำให้เด็กไม่กล้าคิดตดั สินใจใด ๆ ด้วย
ตนเอง กลายเปน็ คนที่ไม่มั่นใจ หวาดกลัวเม่อื ต้องเริ่มทำอะไรใหม่ ๆ รวมถึงกลายเปน็ คนที่ต้องการที่พึ่ง
อยู่เสมอ เป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้เดก็ เปน็ คนขีอ้ าย ไม่กล้าแสดงออก และปรับตวั ได้ยาก

4.4.4 ไม่วิพากษ์วิจารณ์การแสดงออกของเด็ก เด็กจะรู้สึกท้อแท้และขาดความมั่นใจ หากพ่อ
แมว่ พิ ากษ์วิจารณ์การแสดงออกของเขาในเชิงลบ เชน่ เมือ่ เดก็ แสดงออกแบบนี้แล้วไม่ดี พ่อแม่กลับรีบ
ต่อวา่ ทันที เดก็ จะไม่กล้าทีจ่ ะทำอะไรใหม่ ๆ ไมม่ ่นั ใจในตนเองทนั ที รู้สกึ กังวลกลัวทำพอ่ แม่โกรธอีก

ภาคผนวก

ขอ้ มลู นักเรยี น

ขอ้ มลู นักเรยี น

รปู ภาพเดก็ ชายบญุ รอด และมารดา เมือ่ มารบั ใบงานท่ีโรงเรยี น

รปู ภาพเดก็ ชายบญุ รอด และมารดา เมือ่ มารบั ใบงานท่ีโรงเรยี น

ขอ้ มูลที่ได้จากการสอบถามผปู้ กครอง

สมั ภาษณม์ ารดาของเด็กชายบญุ รอด
ทุกครั้งที่ครูนัดให้มารับใบงานที่โรงเรียน ครูได้มีการสอบถามพฤติกรรมของเด็กชายบุญรอด

จากมารดา โดยได้ความว่า เด็กชายบุญรอดและมารดาอยู่ด้วยกัน 2 คน โดยพักอาศัยอยู่ที่หอพัก
มารดาของเด็กชายบุญรอดต้องทำงานเพียงคนเดียวหลังจากที่แยกทางกับสามี โดยจะไปทำงานที่
บริษัทรับทำความสะอาด วันจันทร์ - เสาร์ ตั้งแต่ 07.00 – 16.00 น. เวลาที่มารดาไปทำงานก็จะให้
เด็กชายบุญรอดอยู่ห้องเพียงลำพัง และจะเตรียมข้าวไว้ให้เด็กชายบุญรอดกินช่วงเวลาเที่ยง เด็กชาย
บญุ รอดมีโทรศพั ทม์ ือถืออยู่ 1 เครือ่ ง เมือ่ มีเวลาวา่ งหลังจากทำใบงานเสร็จก็จะน่ังเล่นโทรศัพท์มือถือ
อยู่ในห้อง ไม่ได้ออกไปไหน เพราะบริเวณโดยรอบไม่ได้มีเพื่อนรุ่นเดียวกันให้ออกไปหาหรือเล่นด้วย
เด็กชายบุญรอดทำใบงานด้วยตนเองทั้งหมด โดยที่ไม่มีใครสอน เพราะมารดาอ่านและเขียนภาษาไทย
ไม่ได้ บางครง้ั มารดาก็จะโทรมาถามครวู ่าใบงานหน้านีเ้ ดก็ ชายบุญรอดทำไม่ได้ แล้วตัวของมารดาเองก็
สอนไม่เป็น หรือเวลาที่นำใบงานมาส่งที่โรงเรียน มารดาจะเป็นคนพูดจาสื่อสารกับครูมากกว่าตัว
เด็กชายบุญรอด เช่น บอกว่าหน้านี้เด็กชายบุญรอดทำไม่ได้ หน้านี้ทำผิดไหม หน้านี้ต้องระบายสีไหม
เปน็ ต้น

มารดาของเด็กชายบญุ รอดได้บอกว่า เมื่อเวลาทีเ่ ด็กชายบุญรอดอยู่ที่บ้านไมค่ ่อยพูด ส่วนใหญ่
จะนั่งดูโทรศัพท์มือถือ เป็นคนพูดน้อย ขี้อาย ไม่ค่อยได้พบปะผู้คน หรือขอออกไปเที่ยวหาเพื่อน
เมื่อก่อนตอนทีย่ งั อยดู่ ้วยกันกบั สามี ได้พักอยหู่ อพักทีม่ เี พื่อนรนุ่ เดียวกบั เด็กชายบญุ รอดหลายคน รู้จัก
กันทั้งนั้น ในเวลาที่ผู้ปกครองออกไปทำงาน เด็กชายบุญรอดก็จะออกไปเล่นกับเพื่อน ๆ เป็นปกติ แต่
พอเลิกกนั แลว้ ย้ายหอพักมาอยู่อีกที่หนึง่ เวลาที่มารดาไปทำงาน เดก็ ชายบุญรอดจึงไม่มีเพื่อนให้ไปเล่น
ด้วยเหมอื นแตก่ ่อน มกั จะเลน่ คนเดียวอยู่ที่หอ้ ง มารดาเองก็ไมค่ อ่ ยได้มีเวลาดูแลเด็กชายบุญรอดเต็มที่
เพราะต้องออกไปทำงานหาเงิน บางครั้งกส็ งสารลกู ทีต่ ้องอยู่ห้องเพียงลำพัง เมื่อเวลาที่ครูนัดให้มารบั
ใบงานจงึ พยายามพาเด็กชายบุญรอดออกมาด้วย เพื่อที่เดก็ ชายบญุ รอดจะได้ออกมาเจอผู้คนบ้าง โดย
มารดาหวังว่าโรงเรียนจะเปิดเรียนเรว็ ๆ เพือ่ ที่เด็กชายบุญรอดจะได้มาโรงเรียน มาเจอมาเล่นกับเพื่อน


Click to View FlipBook Version