The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ชุดกิจกรรม การเรียนรู้

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Beam Chanoknun, 2022-06-13 07:47:51

ชุดกิจกรรม การเรียนรู้

ชุดกิจกรรม การเรียนรู้

ภาคเรียน
ที่ 2

แผนการ
จั ด ก า ร เ รี ย น รู้ สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3

รายวิชานาฏศิ ลป์ไทยละคร

เพลงฉุยฉายเบญกาย

ป ร ะ วั ติ ค ว า ม เ ป็ น ม า

ฉุยฉายเบญกาย เป็นชุดการแสดงรำเดี่ยวของตัวนางที่
แสดงถึงความสวยงามของตน การแสดงชุดนี้ปรากฎอยู่
ในการแสดงโขน เรื่องรามเกียรติ์ ตอนนางลอย กล่าวถึง
นางเบญกายแปลงกายเป็นนางสีดา เมื่อแปลงกายใหม่
จึงเกิดความภาคภูมิใจในร่างแปลง ที่แต่งองค์ทรงเครื่อง

สวยงดงาม และท่วงทีกิริยางดงามเหมือนนางสีดา
จึงเข้าเฝ้าทศกัณฐ์เพื่ออวดความงามของตน ทำให้ทศ
กัณฐ์หลงเชื่อและเข้าใจผิดคิดว่า เป็นนางสีดาจึงเข้ามา

เกี้ยวพาราสี

ก า ร ถ่ า ย ท อ ด ท่ า รำ

อาจารย์จำเรียง พุทธประดับ เป็นผู้ได้รับการถ่ายทอด
กระบวนท่ารำฉุยฉายเบญกายมาจากหม่อมครูต่วน

(นางศุภลักษณ์ ภัทรนาวิก)

ดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดง

ใช้วงปี่พาทย์ไม้แข็งหรือวงปี่พาทย์เครื่องห้า ประกอบด้วย
ระนาด ฆ้องวง ตะโพน กลองทัด ฉิ่ง และปี่ใน

เพลงที่ใช้ประกอบการแสดง ได้แก่ เพลงรัว เพลงฉุยฉาย
เพลงแม่ศรี เพลงเร็ว และเพลงลา

เนื้อเพลงที่ใช้ประกอบการแสดง

- ปี่พาทย์ทำเพลงรัว -
- ร้องเพลงฉุยฉาย -




ฉุยฉายเอย จะขึ้นไปเฝ้าเจ้าก็กรีดกราย

เยื้องย่างเจ้าช่างแปลงกาย ให้ละเมียดละม้ายสีดานงลักษณ์

ถึงพระรามเห็นทรามวัย จะฉงนพระทัยให้อะเหลื่ออะหลัก

งามนักเอย ใครเห็นพิมพ์พักตร์ก็จะรักจะใคร่

หลับก็จะฝันครั้นตื่นก็จะคิด อยากจะเห็นอีกสักนิดให้ชื่นใจ

งามคมดุจคมศรชัย ถูกนอกทะลุในให้เจ็บอุรา

- ร้องแม่ศรี -

แม่ศรีเอย แม่ศรีรากษสี

แม่แปลงอินทรีย์ เป็นแม่ศรีสีดา

ทศพักตร์มาลักเห็น จะตื่นจะเต้นในวิญญา

เหมือนล้อเล่นให้เป็นบ้า ระอาเจ้าแม่ศรีเอย

อรชรเอย อรชรอ้อนแอ้น

เอวขาแขนแมน แม้นเหมือนกินรี

ระทวยนวยนาด วิลาสจรลี

ขึ้นปราสาทมณี เฝ้าพระปิตุลาเอย




- ปี่พาทย์ทำเพลงเร็ว - ลา -

เครื่องแต่งกาย
ประกอบการแสดง

ผู้แสดงแต่งกายยืนเครื่องนาง
สีแดง นุ่งผ้าจีบหน้านาง
สวมศิราภรณ์มงกุฎกษัตรี

เพลงระบำดาวดึงส์

ป ร ะ วั ติ ค ว า ม เ ป็ น ม า

ระบำดาวดึงส์ เป็นระบำมาตรฐาน ซึ่งสมเด็จเจ้าฟ้า
กรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ ได้ทรงนิพนธ์บทร้องขี้น
ประกอบการแสดงในละครดึกดำบรรพ์ เรื่องสังข์ทอง

ตอนตีคลี ฉากดาวดึงส์ ในฉากนี้มีพระอินทร์
กับพระมเหสีประทับอยู่บนแท่น พระวิศณุกรรม และพระ
มาตุลี นั่งอยู่สองข้าง พวกคนธรรพ์ประจำเครื่องดนตรีอยู่
ด้านหน้า เหล่าเทวดานางฟ้าเข้านั่งเฝ้าสองข้าง เริ่มเปิด

ฉากเหล่าเทวดานางฟ้าก็จับระบำถวาย

รู ป แ บ บ ลั ก ษ ณ ะ ก า ร แ ส ด ง

ขั้นตอนที่ 1 รำออกในเพลงเหาะ เป็นท่ารำที่แสดง
การเดินทางเป็นรูปขบวนของเหล่าเทวดานางฟ้า

ขั้นตอนที่ 2 รำตามบทร้องในเพลงตะเขิ่ง เนื้อร้องกล่าวถึง
ความงามทั่วสรรพางค์กายของเทวดานางฟ้า

เพลงเจ้าเซ็น เนื้อร้องแสดงถึงความงดงามอลังการ
ในวิมานที่ประทับของพระอินทร์

ขั้นตอนที่ 3 รำเข้าตามทำนองเพลงรัว

เนื้อเพลงที่ใช้ประกอบการแสดง

ปี่พาทย์ทำเพลงเหาะ

ร้องเพลงตะเขิ่ง

ดาวดึงส์เทวโลกมโหฬาร เป็นที่อยู่สำราญฤทัยหรรษ์

สารพัดงามจริงทุกสิ่งอัน สารพันอุดมสมใจปอง

เทพบุตรผุดพรรณโฉมยง งามทรงอาภรณ์ไม่มีหมอง

นางอัปสรงอนสงวนนวลละออง งามทรงเครื่องทองและเพชรนิล

ร้องเพลงเจ้าเซ็น

สมเด็จพระอมรินทร์ปิ่นมงกุฎ ทรงวชิราวุธธนูศิลป์

รักษาเทวาสีมาเป็นอาจิณ อสุรินทร์อรีไม่บีฑา (ซ้ำ)

อันอินทรปราสาททั้งสาม (ซ้ำ) ทรงงามสูงเงื้อมกลางเวหา

สี่มุขหุ้มมาศสะอาดตา ใบระกาแกมแก้วประกอบกัน

ช่อฟ้าช้อยเฟื้อยเฉื่อยชด (ซ้ำ) บราลีทีลดมุขกระสัน (ซ้ำ)

มุขเด็จทองดาดกนกพัน บุษบกสุวรรณชามพูนท (ซ้ำ)

ราชยานเวชยันต์รถแก้ว (ซ้ำ) เพริศแพร้วกำกงอลงกต (ซ้ำ)

แอกงอนอ่อนสลวยชวยชด (ซ้ำ) เครือขดช่อตั้งบัลลังก์ลอย

รายรูปสิงห์อัดหยัดยัน สุบรรณจับนาคหิ้วเศียรห้อย

ดุมพราววาววับประดับพลอย แปรกแก้วกาบช้อยสะบัดบัง

เทียมด้วยสินธพเทพบุตร ทั้งสี่บริสุทธิ์ดังสีสังข์

มาตลีอาจขี่ขับประดัง (ซ้ำ) ให้รีบรุดสุดกำลังดังลมพา

ปี่พาทย์ทำเพลงเชิด

เครื่องแต่งกาย
ประกอบการแสดง

ผู้แสดงแต่งกายยืนเครื่องพระ
และยืนเครื่องนาง

(ตัวพระสวมเสื้อแขนสั้น)

โอกาสที่ใช้แสดง

การแสดงชุดระบำดาวดึงส์นี้เป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ใน
ละครดึกดำบรรพ์ เรื่อง “สังข์ทอง”

ตอนตีคลี ฉะนั้น โอกาสที่ใช้ในการแสดงชุดนี้
นิยมใช้ ดังนี้

๑. ประกอบการแสดงละครดึกดำบรรพ์ เรื่อง
สังข์ทอง ตอนตีคลี
๒. ใช้ในการรำเบิกโรง
๓. ใช้ในการแสดงเบ็ดเตล็ด หรือสลับฉากละคร
๔. ใช้ในโอกาสที่มีงานรื่นเริงต่าง ๆ หรืองาน
มงคล

เครื่องดนตรีที่ใช้

วงปี่พาทย์เครื่องห้า

วงปี่พาทย์เครื่องคู่

วงปี่พาทย์เครื่องใหญ่

วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์

สื่อการเรียนการสอน
เพลงระบำดาวดึงส์

ระบำดาวดึงส์ที่ปรากฏ
ในละครดึกดำบรรพ์

เพลงหน้าพาทย์โอด

ป ร ะ วั ติ ค ว า ม เ ป็ น ม า

รำหน้าพาทย์ หมายถึงการแสดงการเคลื่อนไหวร่างกาย
เป็นท่ารำตามนาฏยลักษณ์ของตัวละครให้สอดคล้อง
ถูกต้องตามทำนองเพลง ท่ารำหน้าพาทย์มาจากการ
คัดสรรให้เหมาะสมกับสถานภาพ บุคลิกลักษณะและ
อารมณ์ของตัวละครนั้น ๆ ที่สำคัญที่สุด คือ เมื่อรำ
หน้าพาทย์เพลงใดก็ตาม จะต้องรำให้ถูกต้องตาม
ความหมายของเพลงที่นำมาใช้ และต้องสอดคล้องกับ
กาลเทศะของการรำหน้าพาทย์นั้น ๆ เสมอ เพราะเพลง

หน้าพาทย์แต่ละเพลงมีความหมายเฉพาะเพลง

การกำหนดเพลงหน้าพาทย์ กำหนดตามฐานันดรศักดิ์และ
อิทธิฤทธิ์ของตัวละครเป็นสำคัญ ซึ่งสามารถแบ่งประเภทของ
การรำหน้าพาทย์ออกเป็น 2 ประเภท คือ รำหน้าพาทย์ธรรมดา
และรำหน้าพาทย์ชั้นสูง ความแตกต่างของการรำหน้าพาทย์
ทั้งสองประเภทนี้พิจารณาจากความหมายและบริบทที่ประกอบ

การรำ ดังต่อไปนี้

1. รำหน้าพาทย์ธรรมดา หมายถึง ท่ารำหน้าพาทย์ที่ใช้
ประกอบกิริยาอารมณ์ของตัวละครที่เป็นสามัญชนทั่วไป
เช่น เพลงเร็ว เชิด เสมอ รัว ลา โอด ปฐม โล้ ชุบ เหาะ
ทยอย เป็นต้น อย่างไรก็ตามตัวละครผู้สูงศักดิ์ มีฤทธิ์เดช
หรือเป็นเทพเจ้าก็สามารถใช้เพลงหน้าพาทย์ธรรมดาได้

2. รำหน้าพาทย์ชั้นสูง เรียกกันอีกอย่างว่า "รำเพลงครู"
หมายถึง การรำตามทำนองและจังหวะหน้าทับของเพลง
หน้าพาทย์ ที่บรรเลงประกอบกิริยาอารมณ์หรือแสดงอิทธิฤทธิ์
เฉพาะตัวละครสูงศักดิ์ หรือเทพเจ้า ซึ่งรำหน้าพาทย์ชั้นสูงนี้มี

ลักษณะสำคัญที่แตกต่างกัน คือ

รำหน้าพาทย์พระพิราพเต็มองค์ ถือเป็นรำหน้าพาทย์ชั้นสูง
ที่สุดและศักดิ์สิทธิ์ เพลงองค์พระพิราพเต็มองค์ใช้บรรเลง
ในพิธีไหว้ครูดนตรี ครูนาฏศิลป์ และครูช่าง ถ้าใช้ในการ
แสดงโขนจะเป็นเพลงสำหรับบทบาทพระพิราพเท่านั้น
รำหน้าพาทย์ชั้นสูงที่ใช้ในการแสดงโขน ละคร หมายถึง
การรำในบทบาทของตัวละครสูงศักดิ์หรือผู้มีฤทธิ์เดช
ที่กำลังแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ เช่น การแปลงกาย
การร่ายเวทมนตร์คาถา ชุบชีวิตผู้ที่ตายให้ฟื้นขึ้น

เพลงหน้าพาทย์โอด
มีทั้งโอดชั้นเดียวและโอดสองชั้น
เพลงโอดชั้นเดียว ใช้สำหรับตัวละครทั่วไป
ร้องไห้เสียใจ
เพลงโอดสองชั้น ใช้สำหรับตัวละคร
ผู้สูงศักดิ์ เช่น พระรามร้องไห้เมื่อเห็นนาง
สีดา (เบญกายแปลง) ตายลอยน้ำมา

เพลงโอดชั้นเดียว เพลงโอดสองชั้น

เพลงพม่าเปิงมาง

ป ร ะ วั ติ ค ว า ม เ ป็ น ม า

ฟ้อนพม่าเปิงมาง เป็นผลงานของคุณครูลมุล ยมะคุปต์
และคุณครูผัน โมรากุล เพื่อแสดงในงานต้อนรับ
ผู้มีเกียรติชาวต่างประเทศของรัฐบาล จอมพล ป.

พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ณ ทำเนียบรัฐบาล
ด้านท่ารำชุด “ฟ้อนพม่าเปิงมาง” คุณครูลมุล ยมะคุปต์

ไปราชการเผยแพร่และแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมไทย
ณ สหภาพพม่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๘ ท่านจึงนำท่ารำของ

พม่าบางท่ามาดัดแปลงให้เป็นลีลานาฏศิลป์ไทย

เข้ากับท่วงทำนองเพลงบางเพลงในชุดโยคีถวายไฟ
และฟ้อนม่านมุ้ยเชียงตา เพลงฟ้อนพม่าเปิงมาง เป็นเพลง
ที่มีจังหวะค่อนข้างเร็ว ซึ่งเป็นที่นิยมในสมัยนั้น ต่อมาทาง
วิทยาลัยนาฏศิลป เกรงว่า การรำชุดฟ้อนพม่าเปิงมางจะ

สูญหายไป จึงได้บรรจุไว้ในหลักสูตรนาฏศิลป์ไทย
ทางด้านดนตรี คุณครูสงัด ยมะคุปต์ และคุณครูพลิ้ว ดนตรีรส
คุณครูผู้ใหญ่ด้านดุริยางค์ไทย ได้นำท่วงทำนองเพลงของพม่า

คือ “รัวพม่า” และท่วงทำนองเพลงฟ้อนโยคีถวายไฟ
ท่วงทำนองเพลงฟ้อนม่านมุ้ยเชียงตา บางช่วงมาแทรกไว้ใน

ชุดนี้

เครื่องดนตรี ใช้วงปี่พาทย์ แต่เพิ่ม
กลองเปิงมางเข้ามาประกอบจังหวะ

เครื่องแต่งกาย
เสื้อรัดอกสีดำด้านใน เสื้อชั้นนอกแขนยาว เอวสั้น มีลวดอ่อน
งอขึ้นจากเอวด้านข้างเล็กน้อย ชายเสื้อด้านข้างห้อยอุบะ
ร้อยดอกจำปา ปลายแขนเสื้อยาวถึงข้อมือ และมีผ้าคล้องคอ
ทิ้งชายยาวลงมาถึงเข่า
ผ้านุ่ง นุ่งซิ่นกรอมเท้าต่อเชิงเป็นผ้าบางอยู่ชายผ้า
ผม เกล้าผมมวยกลางศีรษะ ปล่อยช้องผมลงด้านข้าง ติด
ดอกไม้สดและห้อยอุบะยาว

เพลงพม่าเปิงมาง

ระบำโบราณคดี
ชุด ลพบุรี

ป ร ะ วั ติ ค ว า ม เ ป็ น ม า

ขอมเป็นชนเผ่าหนึ่งที่มีอารยธรรมในบริเวณเอเชีย
ตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะที่ตั้งอาณาจักรแห่งนี้
จะตั้งอยู่ในบริเวณประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน วัฒนธรรม
ของชาติขอมเข้ามาในดินแดงประเทศไทยอยู่หลายภาค
ทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ตลอดจนบางแห่ง
ของภาคเหนือและภาคใต้ ปัจจุบันจังหวัดลพบุรีได้พบ
หลักฐานทางโบราณสถาน และโบราณวัตถุที่สร้างขึ้น

แทนศิลปะขอมในช่วงนั้น จึงนำมาตั้งชื่อระบำ
ชุดนี้ว่า “ระบำลพบุรี”

นอกจากนี้ อิทธิพลรูปแบบศิลปะขอมที่มีอยู่ทางภาค
ตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น ปราสาทหินพิมาย

จังหวัดนครราชสีมา ปราสาทหินพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์
โบราณวัตถุและโบราณสถานนี้ นักโบราณคดีได้กำหนดสมัย

ตามประวัติศาสตร์ และเรียกสิ่งที่พบว่า “ศิลปะลพบุรี”
ซึ่งมีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ – ๑๙

ระบำลพบุรี เกิดขึ้นโดยเลียนแบบลักษณะท่าทางต่าง ๆ ของ
เทวรูป ตลอดจนภาพเขียน ภาพแกะสลัก รูปปั้น รูปหล่อโลหะ

และภาพศิลาจำหลักที่ทับหลังประตู นำมาเป็นข้อมูลใน
การประดิษฐ์ท่ารำระบำชุดนี้ อาจารย์ลมุล ยมะคุปต์

ผู้เชี่ยวชาญทางด้านนาฏศิลป์ไทย เป็นผู้ประดิษฐ์ ส่วนเพลงที่
บรรเลงท่านอาจารย์มนตรี ตราโมท ผู้เชี่ยวชาญดนตรีไทย

ได้แต่งทำนองเพลงชุดนี้ขึ้นใหม่ให้มีสำเนียงเขมร

เครื่องแต่งกาย
สำหรับการแต่งกายระบำชุดนี้ เลียนแบบมาจากรูปจำหลักทับหลังบน

ประตูปราสาทหินพิมาย และเทวรูปสำริด สมัยลพบุรี ดังนี้
เสื้อ ใช้ผ้ายืดสีเนื้อคอกลม แขนสั้นเหนือศอก ติดแถบสีทองรอบ
คอ หว่างอกและรอบเอว ตัวเอกปักดิ้นเป็นลายดอกประจำยาม
หนึ่งดอกตรงระหว่างอก
ผ้านุ่ง เย็บสำเร็จแบบทบซ้อนหน้า ชายล่างโค้งมนยาวคลุมเข่า
ปักดิ้นลายประจำยามประปราย มีผ้าตาดสีทองทาบชาย
กระโปรง ตัวเอกนุ่งสีส้มแสด หมู่ระบำสีฟ้าอมม่วง
ผ้ารัดเอว ปักดิ้น มีลวดลายเฉพาะด้านหน้า มีสายผูกคาดไป
ด้านหลัง
ผ้าคลุมสะโพก สีม่วงอ่อน ชายแหลมมนแยกเป็น ๒ ชิ้น
หมู่ระบำ ริมผ้าทาบด้วยผ้าตาดสีทอง ตัวเอกทาบริมด้วยผ้า
ตาดสีเงิน

เครื่องประดับ
ศีรษะ ประกอบด้วย

กระบังหน้า หมู่ระบำใช้กระบังหน้าประดับดอกไม้ไหว
ตัวเอกใช้กระบังหน้ารูปดอกดาวกระจาย ๖ ดอก
เกี้ยว
ทัดรอบผม
พู่ไหมแซมเงิน
รัดต้นแขน ประดับกระจกสีต่าง ๆ
สร้อยคอ ประดับด้วยแก้วหรือพลอย
เข็มขัด
กำไลข้อมือ ประดับด้วยแก้วหรือพลอย
กำไลข้อเท้า ประดับกระจกสีต่าง ๆ
ต่างหู ประดับด้วยพลอยและกระจกสีต่าง ๆ

เ ค รื่ อ ง ด น ต รี

อาจารย์มนตรี ตราโมท ผู้เชี่ยวชาญดนตรีไทย

ได้ศึกษาค้นคว้าลักษณะเครื่องดนตรีตามรูปที่ปรากฎ

อยู่ในภาพศิลาจำหลักทับหลังประตูระเบียง ทางทิศ

ตะวันตกของปราสาทหินพิมาย จังหวัดนครราชสีมา

นำมาเปรียบเทียบกับเครื่องดนตรีปัจจุบัน และยังเพิ่ม

เครื่องดนตรีบางอย่างสำหรับการบรรเลง ดังนี้

๑. ซอสามสาย ๒. พิณน้ำเต้า

๓. ปี่ใน ๔. กระจับปี่

๕. โทน

และมีเครื่องกำหนดจังหวะ คือ ฉิ่ง ฉาบเล็ก และกรับ

น า ฏ ย ศั พ ท์

๑. จีบมือแบบลพบุรี ได้รูปแบบมา
จากลักษณะนิ้วของพระพุทธรูปใน
สมัยลพบุรี ซึ่งเมื่อนำมาผสมผสาน
กับลีลาทางนาฏศิลป์ จะมีลักษณะ
ดังนี้ ปลายนิ้วหัวแม่มือจรดเหนือ
ข้อแรกของปลายนิ้วชี้ นิ้วที่เหลือ

เหยียดตึง

๒. ถองสะเอว แขนขวางอศอก
ให้ข้อศอกจรดเอว หักข้อมือ
ตั้งวงกดไหล่ขวา ศีรษะเอียง
ขวา มือซ้ายตั้งวงสูงระดับ
แง่ศีรษะ ถ้าจะถองสะเอวข้าง

ซ้ายก็ปฏิบัติเช่นเดียวกัน

๓. เดี่ยวเท้า คือ
การยืนยกข้างใดข้างหนึ่ง
แนบฝ่าเท้ากึ่งกลางเท้า

ข้างที่ยืนเป็นหลัก

การแสดงชุดระบำลพบุรี

เพลงตับพรหมมาสตร์

ป ร ะ วั ติ ค ว า ม เ ป็ น ม า

ตับพรหมมาสตร์นั้นอยู่ในตอนหนึ่งของโขน
เรื่อง รามเกียรติ์ ตอนศึกพรหมมาสตร์

กล่าวถึง อินทรชิตโอรสของทศกัณฐ์กับนางมณโฑ
กำลังทำศึกติดพันกับพระลักษณ์ ได้ใช้กลลวงพระลักษณ์

และกองทัพวานร โดยอินทรชิตได้แปลงกายเป็น
พระอินทร์และบรรดาพลยักษ์แปลงกายเป็นเทพบุตร

นางฟ้าฟ้อนรำ นำขบวนหน้าช้างเอราวัณเพื่อลวง
พระลักษณ์ ว่าเป็นขบวนเสด็จของพระอินทร์กำลังผ่านมา

ในท้องฟ้า

ทำให้กองทัพพระลักษณ์เพลิดเพลินชม
ขบวนเสด็จไม่ทันระวังตัว อินทรชิตจึงใช้
ศรพรหมมาสตร์ ซึ่งได้จากพระพรหม

ยิงถูกพระลักษณ์ล้มสลบไป
ศึกครั้งนี้จึงเรียกว่า “ศึกพรหมมาสตร์”
ระบำพรหมมาสตร์นี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า

“ระบำหน้าช้าง”

เครื่องแต่งกาย
ประกอบการแสดง

ในการแสดงตับพรหมมาสตร์
ประกอบด้วย ผู้แสดงพระ
นาง ยักษ์ และลิง

พระลักษณ์ แต่งกายยืนเครื่องพระ
(แขนยาว) สีเหลือง มีอาวุธประจำ

กาย คือ ศร และพระขรรค์

ระบำพรหมมาสตร์

ป ร ะ วั ติ ค ว า ม เ ป็ น ม า

ระบำพรหมมาสตร์นั้นอยู่ในตอนหนึ่งของโขน
เรื่อง รามเกียรติ์ ตอนศึกพรหมมาสตร์

กล่าวถึง อินทรชิตโอรสของทศกัณฐ์กับนางมณโฑ
กำลังทำศึกติดพันกับพระลักษณ์ ได้ใช้กลลวงพระลักษณ์

และกองทัพวานร โดยอินทรชิตได้แปลงกายเป็น
พระอินทร์และบรรดาพลยักษ์แปลงกายเป็นเทพบุตร

นางฟ้าฟ้อนรำ นำขบวนหน้าช้างเอราวัณเพื่อลวง
พระลักษณ์ ว่าเป็นขบวนเสด็จของพระอินทร์กำลังผ่านมา

ในท้องฟ้า

ทำให้กองทัพพระลักษณ์เพลิดเพลินชม
ขบวนเสด็จไม่ทันระวังตัว อินทรชิตจึงใช้
ศรพรหมมาสตร์ ซึ่งได้จากพระพรหม

ยิงถูกพระลักษณ์ล้มสลบไป
ศึกครั้งนี้จึงเรียกว่า “ศึกพรหมมาสตร์”
ระบำพรหมมาสตร์นี้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า

“ระบำหน้าช้าง”

เครื่องแต่งกาย
ประกอบการแสดง

พระเทวดา - นางฟ้า
เทวดาแต่งกายยืนเครื่องพระ
แขนยาว หรือแขนสั้นก็ได้
นางฟ้า แต่งกายยืนเครื่องนาง

ลิง (หนุมาน) แต่งกายยืนเครื่อง
ลิง นุ่งผ้าจีบโจงก้นแป้น

ยักษ์ (ทศกัณฐ์) แต่งกายยืน
เครื่องยักษ์ นุ่งผ้าจีบโจงก้นแป้น

เครื่องดนตรีที่ใช้

วงปี่พาทย์เครื่องห้า
วงปี่พาทย์เครื่องคู่

วงปี่พาทย์เครื่องใหญ่

เนื้อเพลงที่ใช้ประกอบการแสดง

ปี่พาทย์ทำเพลงกลองโยน

ร้องเพลงสร้อยสน

ต่างจับระบำรำฟ้อน ทอดกรกรีดกรายซ้ายขวา

ร่ายเรียงเคียงคมประสมตา เลี้ยวไล่ไขว่คว้าเป็นท่าทาง

ซ้อนจังหวะประเท้าเคล่าคล่อง เลี้ยวลอดสอดคล้องไปตามหว่าง

วนเวียนเหียนหันกั้นกลาง เป็นคู่คู่อยู่กลางอัมพร

ปี่พาทย์ทำเพลงเชิด

ปี่พาทย์ทำเพลงเร็ว-ลา

กลองชนะประโคมคึก มโหระทึกกึกก้องเสียง

แตรสังข์ส่งสำเนียง นางจำเรียงเคียงช้างทรง

สาวสุรางค์นางรำฟ้อน ดังกินนรแน่งนวลระหง

นักสิทธิ์ฤทธิรงค์ ถือทวนธงลิ่วลอยมา

ปี่พาทย์ทำเพลงเชิด

ร้องเพลงกระบอก

ครั้นถึงที่ประจัญบานราญรอน เห็นวานรนับแสนแน่นหนา

กับทั้งองค์พระลักษณ์ทรงศักดา ยืนรถรัตนาอยู่กลางพล

จึงให้หยุดช้างทรงองอาจ ลอยเลื่อนเกลื่อนกลาดกลางเวหน

ให้กุมภัณฑ์บรรดาจำแลงตน ใส่กลขับรำระบำบรรพ์

ร้องเพลงแขกอาหวัง

บัดนั้น รูปนิมิตฤทธิแรงแข็งขัน

สาวสุรางค์นางฟ้าเทวัญ บังคมคัลคำนับรับบัญชา

ร้องเพลงสร้อยสน

ต่างจับระบำรำฟ้อน ทอดกรกรีดกรายซ้ายขวา

ร่ายเรียงเคียงคมประสมตา เลี้ยวไล่ไขว่คว้าเป็นท่าทาง

ซ้อนจังหวะประเท้าแคล่วคล่อง เลี้ยวลอดสอดคล้องไปตามหว่าง

วนเวียนเหียนหันกั้นกลาง เป็นคู่คู่อยู่กลางอัมพร

ปี่พาทย์ทำเพลงเร็ว-ลา

เพลงกล่อมช้าง

เมื่อนั้น พระลักษมณ์ผู้ทรงศักดิ์แลทรงศร

ทั้งพวกพลากร ดูรำฟ้อนบนเมฆา

หมายว่าพระอินทร สุรอัปสรเธอหรรษา

พิศเพลินเจริญตา ทั้งพลสวาวานรไพร

เพลงแมลงวันทอง

เมื่อนั้น อินทรชิตยินดีจะมีไหน

เห็นข้าศึกเสียเชิงระเริงใจ จึงจับศรชัยขึ้นบูชา

ร้องเพลงแห่เชิดฉิ่ง

พาดสายหมายเขม้นเข่นเขี้ยว น้าวเหนี่ยวด้วยกำลังอังสา

สังเกตตรงองค์พระลักษมณ์อนุชา อสุราก็ลั่นไปทันใด

ปี่พาทย์ทำเพลงเชิดกลอง

ร้องเพลงร่ายรุด

ลูกศรกระจายเป็นสายฝน ต้องถูกลิงพลมิทนได้

ต้องพระอนุชาเสนาใน สลบไปไม่เป็นสมประดี

ร้องเพลงกราวรำพม่า

มีชัยไพรีพินาศสิ้น อสุรินทร์สรวลสันต์หรรษา

โยธีสมคะเนเฮฮา คืนเข้าลงกาธานี

ปี่พาทย์ทำเพลงเชิด

สื่อการเรียนการสอน
เพลงระบำพรหมมาสตร์

ระบำพรหมมาสตร์ที่ปรากฏ
ในการแสดงโขน

การแสดง ชุด นาคาภิรมย์

ป ร ะ วั ติ ค ว า ม เ ป็ น ม า

จากความเชื่อแต่เดิม ถิ่นฐานโบราณกาลของชาวอีสาน
จะพบร่องรอยหลักฐานการก่อตั้งชุมชนมาหลายยุค

หลายสมัย นับตั้งแต่ยุคประวัติศาสตร์เป็นต้นมา พบว่า
บ้านเมือง ชุมชนต่าง ๆ ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นทำเล

ที่ตั้งอยู่ริมน้ำ คนอีสานจึงมีความผูกพันกับสายน้ำ
ต้องอาศัยน้ำในการดำรงชีวิต เพื่อความสะดวกในการ
ทำมาหากิน การเดินทาง และการแลกเปลี่ยนสินค้า
สายน้ำจึงเปรียบเสมือน สายชีวิตของชุมชนชาวอีสาน

ชาวอีสานแถบลุ่มแม่น้ำโขงเชื่อว่าพญานาคเป็น
สัญลักษณ์ของน้ำและความอุดมสมบูรณ์

รู ป แ บ บ ก า ร แ ส ด ง

รูปแบบการแสดงนาคาภิรมย์ แบ่งออกได้เป็น ๔ องก์ ดังนี้
องก์ที่ ๑ “วิถีชนคนลุ่มน้ำ” แสดงออกถึงการดำเนิน
วิถีชีวิต ของชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถบลุ่มแม่น้ำโขงนัก
แสดงจะออกมาแสดงถึงการประกอบอาชีพประมงของ
คนลุ่มแม่น้ำโขง
องก์ที่ ๒ “สิริล้ำศรัทธานที” แสดงถึงความเชื่อ ความ
ศรัทธา สิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจในการดำเนินชีวิต เชื่อว่าที่
แม่น้ำโขงมีพญานาคอาศัยอยู่ พญานาคคือผู้ให้น้ำ
และความอุดมสมบูรณ์จึงเกิดการเซ่นไหว้บวงสรวง
แสดงความเคารพ นักแสดงออกมาแสดงถึงพิธีกรรม
ความเชื่อในการบูชาพญานาค

องก์ที่ ๓ “พญานาคภิรมย์ปรีดิ์” แสดงถึงการพบปาฏิหาริย์
แห่งสิ่งศรัทธา แสดงอิทธิฤทธิ์ด้วยการทิ้งร่องรอยคล้ายเกร็ด
งูใหญ่ ปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคและสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่
กลางแม่น้ำโขง ภาพจินตนาการพญานาค ตามรูปลักษณ์
ที่บอกเล่าสืบต่อกันมาคือเป็นงูขนาดใหญ่ มีหงอนสีเหลือง
และตาสีแดง แหวกว่ายอยู่ในแม่น้ำโขง นักแสดงออกมา
แสดงเป็นพญานาค โดยการเชิดนาคจำลองทั้งหมด ๗ ตัว
องก์ที่ ๔ “วาดฟ้อนประอรเอียง” แสดงออกถึงชาวอีสานที่
ได้รับความอุดมสมบูรณ์ มีชีวิตชีวา มีความสุขในสิ่งที่เชื่อ
และศรัทธา นักแสดงออกมาแสดงท่าฟ้อนที่แสดงออกถึง
การมีความสุข ความอิ่มเอิบใจในการพบพญานาค
ดลบันดาลให้ในสิ่งที่ตนหวังไว้

ด น ต รี ป ร ะ ก อ บ ก า ร แ ส ด ง

ดนตรีประกอบการแสดงแบ่งออก
เป็น ๒ ลักษณะ คือ ซาวด์

(SOUND) และวงดนตรีบรรเลงสด
(วงโปงลาง) สามารถแบ่งได้ตาม

รูปแบบของการแสดง ดังนี้

เ ค รื่ อ ง แ ต่ ง ก า ย

นักแสดงชาวบ้านหญิงมี ๓ ชุด ดังนี้

ชุดที่ ๑ ในการแสดงองก์ที่ ๑ ผู้แสดงมวยผม
แล้วโพกผ้าพื้นบ้านตามรูปแบบของชาวอีสาน
สวมเสื้อแขนกระบอกมีขลิบลวดลายอีสาน
สวมผ้านุ่งลายโบราณเรียกว่า “ลายตะขอ”
มีเชิงลายโบราณเรียกว่า “ลายเทียน”
สวมเครื่องประดับเงิน

ชุดที่ ๒ ในการแสดงองก์ที่ ๒ แสดงถึง
การออกมาเคารพบูชาพญานาค ลักษณะการ
แต่งกาย ได้แก่ การรวบตึงมวยผมเอียงไป
ทางด้านซ้าย สวมเครื่องเงินประดับศีรษะ
สวมเสื้อแขนกระบอกขลิบลวดลายอีสาน
พาดผ้าสไบสีขาว นุ่งผ้าลายโบราณลักษณะ
คล้ายลวดลายพญานาคเรียกว่า “ลายตะขอ”
มีเชิงลายโบราณเรียกว่า “ลายเทียน”
สวมเครื่องประดับเงิน

ชุดที่ ๓ ในการแสดงองก์ที่ ๔ แสดงถึง
ความสนุกสนานรื่นเริง ชื่นชมยินดี ลักษณะ
การแต่งกาย ได้แก่ การรวบตึงมวยผมเอียงไป
ทางด้านซ้าย สวมเครื่องเงินประดับศีรษะ
สวมเสื้อเกาะอก ห่มผ้าสไบลายพื้นบ้านอีสาน
นุ่งผ้าลายโบราณลักษณะคล้ายลวดลาย
พญานาคเรียกว่า “ลายตะขอ” มีเชิงลาย
โบราณเรียกว่า “ลายเทียน” สวมเครื่อง
ประดับเงิน

นักแสดงชาวบ้านชาย

ผู้แสดงชาวบ้านชาย โพกผ้าลายพื้นบ้าน
สวมเสื้อม่อฮ่อมคล้องคอด้วยผ้าลายพื้นบ้าน
นุ่งกางเกงม่อฮ่อมพับขากางเกง ผูกเอวด้วย
ผ้าลายพื้นบ้าน สวมเครื่องประดับเงิน

นักแสดงเชิดนาค

นักแสดงเชิดนาค ศีรษะโพกผ้าบิดเกรียว ลักษณะคล้ายหัวพญานาค
สวมเสื้อแขนกุดมีขลิบ สีเขียวลายพื้นบ้านอีสาน นุ่งผ้าไหมสีเขียวแบบ
ถกเขมรประยุกต์ ผูกเอวด้วยผ้าลายพื้นบ้าน เขียนลวดลายพญานาค

ลงบนแขนทั้งสองช้างสวมเครื่องประดับเงิน

รู ป แ บ บ ก า ร แ ส ด ง
น า ค า ภิ ร ม ย์


Click to View FlipBook Version