คู่มือการจำแนกพชื ใบเล้ียงคแู่ ละใบเลยี้ งเดย่ี ว
ในการจดั หมวดหมู่พืช เกณฑ์ที่ใชส้ ามารถแสดงถงึ สายสมั พนั ธข์ องพชื ได้อย่างใกล้ชิดท่สี ุด คือ การจำแนกตามระบบสบื พันธ์ุ ทำใหพ้ ืชพรรณทั้งหลาย สามารถแบ่ง
ออกเป็น 2 กล่มุ ใหญ่ ได้แก่ พืชมีดอกและพืชไม่มีดอก
โดยในกลุ่มพชื มีดอกน้ัน ยงั สามารถจำแนกออกเปน็ 2 กลมุ่ ยอ่ ย ได้แก่ พชื ใบเล้ยี งเด่ยี ว และพืชใบเลย้ี งคู่ ซ่งึ พืชท้ังสองกลุ่มมีความแตกต่างในด้านต่างๆ ท้งั ในส่วน
ของราก ลำตน้ ใบ และระบบท่อลำเลียง
พชื มีดอก
คอื พืชท่ีเม่อื เจริญเติบโตเต็มที่จะมดี อก เช่น กุหลาบ ทานตะวัน ชบา มะมว่ ง สาหร่ายหางกระรอก พชื มีดอกบางชนดิ ต้องปลูกเป็นเวลานานจึงเหน็ ดอก เชน่
ตะไคร้ ไผ่ อ้อย ดอกของพชื คอื อวยั วะสบื พันธ์ลุ ักษณะสำคัญของพืชมีดอก คือ มีดอก ผล ราก เมลด็ ลำต้น และใบ
ภาพต้นและดอกบัวดินซ่ึงเปน็ พชื มดี อก
พืชไม่มีดอก
คือพืชท่ีเม่อื เจริญเตบิ โตเตม็ ท่ีจะไม่มีดอก เชน่ มอส พบมากในท่ีชมุ่ ชื้น เฟริ น์ ปรง สนฉตั ร ซ่งึ สามารถพบโดยท่ัวไป ตลอดจน แป๊ะกว๊ ย ซ่งึ พบในประเทศจนี เปน็
ตน้ ลักษณะสำคัญของพชื ไมม่ ดี อก คอื ไม่มีดอก แตม่ ีราก ลำต้น ใบ เหมอื นกับพืชมีดอก
ภาพตน้ ขา้ หลวงหลงั ลายซง่ึ ตัวอย่างของพืชไม่มีดอก
(https://www.suansangsuk.com/tree_list/article_plant.php?id=235)
พืชใบเลีย้ งเดย่ี ว (Monocotyledon หรอื Liliopsida)
คือ พืชที่มีใบเลี้ยงเพียงใบเดียวเมื่อเมล็ดพันธุ์เริ่มงอก มีการเจริญเติบโตของลำต้นส่วนใหญ่อยู่ใต้พื้นดิน มีระบบรากเป็นรากฝอย ซึ่งเมื่อพืชใบเลี้ยงเดี่ยว
เจริญเติบโตเตม็ ที่แล้ว ตามบรเิ วณลำตน้ จะเกิดข้อและปล้องขน้ึ ชัดเจน โดยทีภ่ ายในลำต้นจะมีกลุ่มเน้ือเย่ือลำเลยี งกระจัดกระจายอยูอ่ ย่างไม่เป็นระเบียบ จึงทำให้พืชใบ
เลีย้ งเด่ยี วไม่มกี ารเจรญิ เตบิ โตออกทางดา้ นขา้ ง ไมม่ กี ิง่ ก้านสาขาเหมือนพชื ยนื ต้นขนาดใหญท่ ัง้ หลาย
ภาพต้นอ้อยซง่ึ มลี ำต้นเป็นข้อปล้องชัดเจน
https://www.facebook.com/SirinartCenter/photos/pcb.1661992697215887/1661992523882571/
พชื ใบเล้ยี งเดี่ยวมลี ักษณะใบเรยี วยาวและต้ังตรง โดยมีเส้นใบเรยี งตัวกนั ในแนวขนาน ส่วนของกลีบดอกจะมจี ำนวน 3 กลบี หรอื เท่าทวีคณู ของ 3 ข้ึนไป
ภาพดอกลลิ ล่ีสีเหลอื ง ซึ่งเป็นพืชใบเลย้ี งเดี่ยว มจี ำนวนกลบี ดอก 6 กลีบ
http://www.ampornflower-chiangmai.com/Article/Detail/115803
ตัวอย่างพืชใบเลี้ยงเดี่ยว
พืชใบเลี้ยงเดีย่ วบนโลกมีมากถงึ 67,000 ชนิด โดยมีพืชในตระกลู กลว้ ยไม้ (Orchidaceae) มากเป็นลำดับที่หน่ึงราว 20,000 ถึง 25,000 ชนิด รองลงมาเป็นพืช
ตระกูลหญ้า (Poaceae หรือ Gramineae) ที่มีจำนวนมากกว่า 9,000 ชนิด พืชในตระกูลหญ้าน้ัน เป็นพืชมีดอก ซึ่งจะมีดอกเล็กๆ เมื่อถึงระยะสืบพันธุ์ นอกจากนี้ พืช
ตระกูลหญา้ ยังเปน็ พชื ท่มี คี วามสำคัญทางเศรษฐกจิ สงู และพืชผลิตผลหลักในภาคเกษตรกรรมอกี ดว้ ย เชน่ ขา้ ว ข้าวสาลี ขา้ วโพดและอ้อย
ภาพต้นออ้ ยซงึ่ เปน็ ตัวอยา่ งของพืชใบเล้ยี งเดี่ยว
(https://xn--12cmh8bbc4da0bh2bc2a3d5edobk6sg.com/?p=12865)
นอกจากน้ี ยังมพี ืชใบเลีย้ งเด่ยี วในตระกูลหน่อไม้ฝร่ัง (Asparagaceae) ทีม่ จี ำนวนมากเป็นลำดับที่ 3 ราว 5,000 ชนิด เปน็ กลุ่มพชื มดี อกท่ีสามารถสังเกตเห็นได้
ชดั เช่น แดฟโฟดลิ (Daffodil) และดอกบวั รวมไปถงึ วา่ นหางจระเข้ หัวหอม หนอ่ ไม้ฝรงั่ กระเทียมและสบั ปะรด นอกเหนอื จากพชื ใบเลี้ยงเดยี่ วในตระกูลหลักแล้ว ยังมี
พืชใบเลี้ยงเด่ยี วในตระกูลอ่ืนอกี มากมาย เชน่ ธปู ฤๅษี กก ปาลม์ และกล้วย ซ่งึ ลว้ นแล้วแตเ่ ป็นพืชมดี อกในกล่มุ พชื ใบเลี้ยงเดย่ี วรว่ มกนั ทั้งหมด
ภาพดอกแดฟโฟดลิ
https://www.indefenseofplants.com/blog/tag/NArcissus
พืชใบเลยี้ งคู่ (Dicotyledon หรอื Magnoliopsida)
คือ พืชที่มีใบเลี้ยง 2 ใบ เมื่อเริม่ งอกออกจากเมล็ดพันธุ์ เป็นพืชที่มีรากเป็นระบบรากแก้ว และเมื่อเจริญเติบโตเต็มท่ีแลว้ จะไม่เกดิ ข้อและปล้องขึ้นชัดเจนตาม
บริเวณลำตน้ เหมอื นกบั พืชใบเลย้ี งเดีย่ ว พชื ใบเล้ียงคู่ มเี ปลอื กหนาและมเี นอื้ ไมแ้ ขง็ แรง ขณะท่ีทอ่ ลำเลียงอาหารและนำ้ ของพืชกลุ่มนี้ จะจัดเรยี งอยภู่ ายในลำต้นอย่างเป็น
ระเบยี บ จงึ ทำให้พชื ใบเล้ยี งคู่มีการเจรญิ เตบิ โตทางด้านขา้ ง สามารถแผก่ งิ่ กา้ นสาขาไดด้ ี
ภาพต้นยางพาราซง่ึ เปน็ พชื ใบเลยี้ งคู่ ลำตน้ ไม่มขี อ้ ปล้อง
https://www.allbiothailand.com/TH/news-th-rubberpalm/
แกนกลางของลำต้นพืชกลมุ่ นี้จะไม่มที อ่ ลำเลยี ง แต่จะเปน็ เนื้อไมซ้ ่ึงมีความแข็งแรงคงทน ส่วนท่อลำเลยี งจะจดั เรยี งเปน็ วงอย่างมรี ะเบียบอยรู่ อบลำต้น ส่วนใบ
ของพชื กลุ่มนี้มีลกั ษณะกวา้ ง มกี ารแตกแขนงเป็นร่างแหออกจากแกนกลางของใบ จำนวนของกลีบดอกจะมี 4 – 5 กลีบ หรือทวีคูณของ 4 – 5 หากปลูกพชื ใบเลย้ี งคู่เพอื่
เกบ็ เกี่ยวผลผลติ ส่วนใหญม่ กั ต้องใชเ้ วลา นานกว่าพืชใบเล้ยี งเดี่ยวถึงจะเกบ็ เกย่ี วผลผลิตได้ ทั้งนี้ยงั มีความแตกตา่ งกันอีกมากระหว่างพชื ใบเลี้ยงเด่ียวและใบเลยี้ งคู่
อยา่ งเช่น ลกั ษณะโครงสร้างของเกสร หรอื ปากใบ (Stomata) แต่มนั ยากท่จี ะสังเกตเห็นชัดด้วยตาเปล่า
ภาพเน้ือไมข้ องยางพาราท่อี ยู่บรเิ วณแกนกลางของลำตน้
https://km.raot.co.th/km-knowledge/detail/222
พืชใบเลีย้ งคู่ส่วนใหญเ่ ปน็ พืชที่มีอายุยืนยาวกว่าพืชใบเลี้ยงเด่ยี ว มลี กั ษณะของใบกว้าง มเี ส้นใบแตกแขนงเป็นร่างแหท่ซี ับซอ้ นออกจากตรงแก่นกลางของใบ และ
ส่วนของกลบี ดอกจะมีจำนวนราว 4 ถึง 5 กลีบ หรือเท่าทวีคูณของ 4 และ 5 ขึ้นไป นอกจากนี้ พืชใบเล้ียงคูย่ ังมีความแตกต่างจากพืชใบเลย้ี งเด่ียวในอกี หลายด้าน เช่น
โครงสรา้ งของเกสรและลกั ษณะของปากใบ เปน็ ต้น
ภาพดอกชบาที่เปน็ พชื ใบเลี้ยงคู่ มีกลีบดอก 5 กลีบ
https://www.facebook.com/abhaiherb/photos/a.136960229702392/2591513260913731/?type=3
ภาพดอกชบาที่เปน็ พืชใบเลย้ี งคู่ มีกลีบดอก 5 กลีบ
https://steemit.com/thai/@thasspon/flower-allamanda-55fac161c64fd
ตัวอย่างพชื ใบเล้ียงคู่
พืชหลากหลายสายพันธุ์ที่เราพบเห็นบนโลกส่วนใหญ่ คือ พืชใบเลี้ยงคู่ ซึ่งมมี ากราว 175,000 ถึง 200,000 ชนิด โดยที่พืชใบเลี้ยงคู่นั้น ถูกจัดจำแนกอยู่ในกลมุ่
ต่างๆ ตามลักษณะโครงสร้างของพืช อย่างเช่น พืชดอกตระกูลแมคโนลิด (Magnoliidae) ซึ่งเป็นกลุ่มของพืชดอกที่มีมากถึง 9,000 ชนิด เช่น แมกโนเลีย จำปี จำปา
จนั ทน์เทศ อบเชย พรกิ ไทย ทวิ ลปิ เป็นตน้ ทัง้ พชื สวน ไม้พุ่ม ไม้ยืนตน้ และไม้ดอก หรอื แมแ้ ตก่ ระบองเพชร ลว้ นจดั อย่ใู นกลุ่มพชื ใบเล้ียงคู่ทัง้ หมด
ภาพตัวอย่างของพืชใบเล้ยี งคู่
https://www.technologychaoban.com/agricultural-technology/article_2105
ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างของพชื ใบเล้ยี งเดย่ี วและพชื ใบเล้ียงคู่
โครงสรา้ ง/การเจริญเตบิ โตของพชื พชื ใบเลย้ี งเด่ยี ว พืชใบเล้ียงคู่
2 ใบ
จำนวนใบเลีย้ ง 1 ใบ รากแกว้
จดั เรยี งเป็นวงอย่างเปน็ ระเบยี บ
ระบบราก รากฝอย แตกแขนง
4 และ 5 หรอื เท่าทวีคูณของ 4
ทอ่ ลำเลียงภายในลำตน้ กระจัดกระจาย และ 5
มี
การจัดเรียงของเสน้ ใบในใบแท้ ขนาน
เป็นเส้นกลมหรือค่อนขา้ งกลม
จำนวนดอก 3 หรอื เทา่ ทวคี ูณของ 3
การเจรญิ เตบิ โตข้ันท่ี 2 ของพืช ไม่มี
(Secondary Growth) มกั จะแผ่เบนเปน็ กาบ
ก้านใบ
ภาพแสดงตวั อยา่ งความแตกต่างทางโครงสร้างของพืชใบเลีย้ งเด่ยี วและพชื ใบเล้ยี งคู่
(https://bit.ly/35WhDga)
ใบเลีย้ ง (cotyledon)
คือใบแรกท่อี ยู่ในเมลด็ ทำหนา้ ที่สะสมอาหารเพือ่ เลย้ี งตน้ อ่อน เช่น ใบเลยี้ งของพืช ใบเลย้ี งคพู่ วกถ่ัวเหลอื ง ถั่วเขียว มะม่วง มะขาม หรอื อาจทำหน้าท่ยี ่อยและดดู
ซมึ อาหารสะสมในรปู ของเอนโดสเปริ ม์ เพอื่ เลย้ี งต้นอ่อนของพืชใบเลีย้ งเดย่ี ว เช่น ข้าว ข้าวโพด มะพรา้ ว เปน็ ตน้
ภาพแสดงความแตกตา่ งของใบเล้ียงในพชื ใบเลยี้ งเด่ียวและใบเล้ยี งคู่
(http://biology-society.blogspot.com/2014/09/blog-post_67.html)
ภาพแสดงตวั อยา่ งใบเลย้ี งของพืชใบเลย้ี งเดี่ยว
(https://www.bloggang.com/m/viewdiary.php?id=plant-line-and-the-truth&group=2)
ภาพแสดงตวั อยา่ งใบเล้ียงของพืชใบเลี้ยงคู่
https://th.stuklopechat.com/obrazovanie/86677-chto-takoe-semyadoli-stroenie-i-process-razvitiya.html
ภาพแสดงการงอกของเมลด็ พชื ใบเลย้ี งคู่
https://bit.ly/3EfAdwE
ภาพแสดงตวั อยา่ งพชื ใบเลย้ี งคู่
https://bit.ly/3jA8wVA
การจัดเรยี งของเส้นใบในใบแท้
ใบแท้ (foliage leaf) คือ ใบสเี ขยี วที่เราพบทัว่ ๆ ไปมสี ่วนประกอบท่ีสำคัญคือ ตวั ใบ ก้านใบ และหใู บ ซึ่งหูใบในพชื บางชนดิ อาจหลุดร่วงไป
ตัวใบ (lamina หรือ blade) เปน็ ส่วนของใบท่มี ีลักษณะแบนๆ และเปน็ สว่ นท่สี ำคัญท่สี ุดของใบ การทใี่ บมลี กั ษณะบางทำให้ใบมีพน้ื ทผ่ี วิ มาก และสมั ผสั กบั แสง
ไดม้ าก ทำให้สังเคราะห์ด้วยแสงได้มากด้วยภายในตัวใบจะมีส่วนที่เปน็ สนั นูนอยู่กลางใบเรยี กวา่ เส้นกลางใบ (midrib) โดยเส้นกลางใบจะตอ่ มาจากกา้ นใบ จากเส้นกลาง
ใบมแี ขนงแยกออกไปมากมายทกุ ส่วนเรยี กว่า เส้นใบ (vein)
ภาพแสดงโครงสร้างในใบพืชใบเลีย้ งคู่
https://shorturl.asia/KGMSB
เส้นใบมีการจดั เรยี งตัวเป็น 2 แบบ คือ
1. การจัดเรยี งตวั ของเสน้ ใบแบบตาข่าย(netted venation) โดยเสน้ ใบยอ่ ยจะแตกกิ่งก้านสาขาจากเสน้ กลางใบในลกั ษณะทเี่ ล็กลงตามลำดบั และสานกันเปน็
ตาข่ายพบในพืชใบเลยี้ งคู่ เชน่ ใบมะมว่ ง ใบชมพู่ ใบฝรงั่ ใบชา ใบพรู่ ะหง ใบขนนุ ใบมะนาว ใบสม้ เปน็ ตน้
2. การจัดเรียงตวั ของเสน้ ใบแบบขนาน (paralleled venation) เป็นการจดั ระเบยี บของเส้นใบแบบขนานกันตลอด แม้จะมแี ขนงของเส้นใบก็ยงั คงขนานกัน
อยู่ การจดั เรยี งตัวแบบน้ี ยังแบง่ ออกเปน็ 2 ชนิด คือ ชนิดเรียงตวั จากฐานใบไปสูย่ อดใบ (basal paralleled venation) เช่น ใบออ้ ย ใบหญ้า ใบข้าว ใบขา้ วโพดและชนดิ
เรยี งตัวจากแกนกลางใบออกไปสู่ขอบใบ (costal paralleld venation) เช่น ใบตอง ใบพุทธรักษา เปน็ ตน้
ภาพแสดงการจัดเรยี งตัวของเส้นใบแบบตาข่าย(netted venation)
https://www.toppr.com/ask/content/story/amp/parts-of-a-leaf-77836/
ภาพแสดงการจดั เรียงตวั ของเสน้ ใบแบบขนานโดยเรยี งตามยาวของใบ ภาพแสดงการจดั เรยี งตัวของเส้นใบแบบขนานกันโดยเรียงตามขวางของใบ
https://sorn0326.wordpress.com/tag/%E0%B9%83%E0%B8%9A/ https://sorn0326.wordpress.com/tag/%E0%B9%83%E0%B8%9A/
ระบบราก
ราก คอื อวยั วะท่เี ป็นส่วนประกอบของพืชทไี่ ม่มีคลอโรฟิลล์ ไม่มีขอ้ ปล้อง ตาและใบ รากเจริญเตบิ โตตามแรงดึงดูดของโลกลงสู่ดนิ มีขนาดและความยาวแตกต่าง
กัน รากของพชื มหี ลายชนิด ไดแ้ ก่
1.รากแกว้ เปน็ รากทงี่ อกออกมาจากเมล็ด โคนของรากแกว้ จะมขี นาดใหญแ่ ล้วค่อยๆ เรียวไปจนถึงปลายราก รากแกว้ เปน็ รากที่งอกออกจากเมลด็ โดยตรง ทำ
หนา้ ที่เป็นรากหลกั ของพชื รากน้ีจะพุ่งตรงลงสู่ดินเร่อื ย ๆ โคนของรากแก้วมขี นาดใหญ่และค่อย ๆ เรียวเลก็ ลงไปจนถึงปลายราก และมีรากแขนงแตกออกมาจากรากแก้ว
ในพชื ใบเล้ยี งคู่และพชื เมล็ดเปลือย จะมรี ากแก้วขนาดใหญล่ งสใู่ ต้ดนิ ทำใหต้ ้นไม้แข็งแรง ไม่ล้มงา่ ย เชน่ รากของมะม่วง ขนุน มะขาม เป็นตน้
2.รากแขนง เปน็ รากที่แตกออกมาจากรากแก้ว จะเจริญเติบโตขนานไปกบั พื้นดิน และสามารถแตกแขนงไปไดเ้ รอื่ ยๆ รากแขนงชว่ ยแยกไปหาอาหารในดินได้มาก
ขน้ึ
3.รากฝอย เปน็ รากทมี่ ีลกั ษณะและขนาดโตสม่ำเสมอกนั จะงอกออกมาเป็นกระจุก รากฝอย เป็นรากทไี่ ม่ไดง้ อกออกมาจากเมล็ด แตง่ อกออกมาจากส่วนต่าง ๆ
ของพชื เช่น โคนลำต้น ขอ้ หรือใบ รากฝอยเปน็ รากเส้นเล็ก ๆ มากมาย ขนาดโตสม่ำเสมอกัน ไมเ่ รียวลงท่ีปลายอยา่ งรากแกว้ รากฝอยท่ีงอกออกจากรอบ ๆ โคนตน้ จะ
เป็นกระจกุ แผ่กระจายไปทุกทศิ ทาง เชน่ มะพรา้ ว ขา้ ว อ้อย ข้าวโพด เป็นตน้
4.รากขนออ่ นหรือขนราก เป็นขนเส้นเล็กๆ จำนวนมากมายที่อยรู่ อบๆ ปลายราก ทำหนา้ ทด่ี ดู นำ้ และแรธ่ าตุ
รากจะเจริญลงไปในดินตามทศิ ทางแรงดึงดดู ของโลก รากไมม่ ขี ้อและปลอ้ ง เป็นโครงสรา้ งของพืชที่อยใู่ ตด้ ินเพือ่ ยึดลำต้นใหต้ งั้ อยูบ่ นดนิ
ภาพแสดงรากชนดิ ตา่ งๆ ของพชื
รากของพชื สามารถจำแนกได้ 2 ระบบ ได้แก่ ระบบรากแก้วและระบบรากฝอย มรี ายละเอียดดังนี้
1.ระบบรากแก้ว หมายถงึ ระบบรากทม่ี รี ากแก้วเปน็ รากหลักเจริญเตบิ โตได้เรว็ ขนาดใหญ่และยาวกวา่ รากอืน่ ๆ และมีรากแขนงแตกออกมาจากรากแกว้ ท่ีปลาย
รากแขนงจะมรี ากขนออ่ นงอกออกมา เชน่ รากผกั บงุ้ รากมะม่วง เป็นตน้
2.ระบบรากฝอย หมายถึง ระบบรากท่ีมรี ากฝอยเปน็ จำนวนมาก ไมม่ ีรากใดเป็นรากหลกั มีลกั ษณะเปน็ เส้นเล็กๆ แผก่ ระจายออกไปโดยรอบๆ โคนต้น ท่ีปลาย
รากฝอยจะมีรากขนอ่อนงอกออกมา เช่น รากข้าวโพด รากหญ้า รากมะพร้าว เป็นต้น
ภาพเปรียบเทียบความแตกต่างของรากแกว้ และรากฝอย
ก.ลักษณะรากของพชื ที่มรี ะบบรากแกว้ ข.ลกั ษณะรากของพืชทมี่ ีระบบรากฝอย
https://bit.ly/3vbYY8P
ภาพแสดงตัวอย่างระบบรากแกว้ ภาพแสดงตวั อย่างระบบรากฝอย
http://www.nana-bio.com/e-learning/plant%20organ/root03.html http://www.thaigoodview.com/node/47281
การจัดเรียงตวั ของท่อลำเลยี งภายในพืช
ภายในลำต้นของพืชจะมีการลำเลียงสารของพชื ซ่ึงโครงสร้างและการทำงานของระบบลำเลียงนำ้ และอาหารของพชื ประกอบดว้ ยระบบทอ่ ลำเลียง (Vascular
Tissue System) ท่เี ปน็ เน้อื เยอื่ ซึง่ เชือ่ มต่อกนั ตลอดในลำตน้ โดยทำหน้าท่ีลำเลยี งนำ้ และแรธ่ าตจุ ากรากสง่ ตอ่ ไปยังส่วนตา่ ง ๆ ของพชื เพ่อื นำไปใช้ในกระบวนการ
สังเคราะห์ด้วยแสง (Photo Synthesis) ก่อนจะนำสารหรอื นำ้ ตาลซง่ึ เปน็ ผลผลิตจากกระบวนการดังกลา่ ว สง่ ต่อไปยังเนอื้ เย่อื ในส่วนต่าง ๆ ของพชื เพือ่ นำไปใช้ใน
กิจกรรมอนื่ ๆ ของเซลล์ เชน่ การหายใจ การสบื พนั ธุ์ และการเคลอื่ นไหว และการเจริญเตบิ โตต่อไป
ทอ่ ลำเลียงนำ้ และแรธ่ าตุ หรือ “ไซเลม” (Xylem) คอื เนอ้ื เยอ่ื ที่ทำหนา้ ทลี่ ำเลียงน้ำและแร่ธาตุจากดนิ ผ่านรากขึน้ สูล่ ำต้นไปยงั ใบและปลายยอดของพืช
ประกอบดว้ ยเวสเซล (Vessel) และเทรคีด (Tracheid) ซ่งึ เป็นกลุ่มเซลลท์ ต่ี ายแล้วเรยี งตอ่ กัน ซึ่งจะสลายตัวไป เมอ่ื พืชเจริญเติบโตเต็มที่ สง่ ผลให้ท่อลำเลียงหรือไซเลมมี
ลักษณะกลวงตลอดทง้ั แนว โดยท่กี ารลำเลียงน้ำและแรธ่ าตจุ ะมีทศิ ทางการลำเลยี งข้นึ สู่ปลายยอดของตน้ ไม้เทา่ นัน้ ไมม่ ีการลำเลียงลงกลบั ด้านลา่ ง เปน็ ระบบท่ีอาศยั การ
แพร่แบบออสโมซสิ (Osmosis) ตั้งแต่ในรากและแรงดึงตามธรรมชาติ เชน่ แรงดันราก (Root Pressure) แรงคาพิลลารี (Capillary Force) แรงดงึ จากการคายนำ้
(Transpiration Pull)
ทอ่ ลำเลียงอาหาร หรอื “โฟลเอม” (Phloem) คือ เน้อื เยื่อทีท่ ำหนา้ ที่ลำเลยี งสารอาหาร โดยเฉพาะ “นำ้ ตาลกลูโคส” (Glucose) ท่ีได้จากกระบวนการ
สงั เคราะห์ด้วยแสงในรูปของสารละลาย นำสง่ จากใบไปยงั ส่วนตา่ ง ๆ ของพืชทกี่ ำลังมกี ารเจรญิ เติบโต รวมถึงการนำไปเก็บสะสมไว้ที่ใบ รากและลำต้น การลำเลยี งอาหาร
สามารถเกิดได้ในทกุ ทศิ ทาง โดยอาศัยการแพร่ (Diffusion) การลำเลียงแบบใช้พลังงาน (Active Transport)
ภาพแสดงโครงสรา้ งและระบบการเรียงตัวของทอ่ สง่ น้ำ แรธ่ าตุ และอาหารในพืช
(https://ngthai.com/science/33440/plant-transport-system/)
การจัดเรยี งตวั ของท่อลำเลยี งภายในรากพืช
พชื ใบเลย้ี งเดี่ยว : ไซเลมเรียงตวั อย่รู อบพธิ (Pitch) ซึง่ เป็นเนื้อเย่ืออย่ตู รงส่วนกลางของราก ขณะทโ่ี ฟลเอมแทรกตัวอยรู่ ะหวา่ งไซเลม
พชื ใบเลยี้ งคู่ : ไซเลมเรยี งตวั คลา้ ยดวงดาวหลายแฉก (2-5 แฉก) บรเิ วณกง่ึ กลางของราก สว่ นโฟลเอมแทรกอย่รู ะหว่างไซเลม
ภาพแสดงท่อลำเลยี งของรากพืชใบเลย้ี งเดยี่ วและรากพืชใบเล้ยี งคู่
(https://ngthai.com/science/33440/plant-transport-system/)
ภาพแสดงโครงสรา้ งภายในของรากพืชภาคตัดขวาง
https://www.trueplookpanya.com/blog/content/72908/-scibio-sci-
ภาพแสดงรากภาคตัดขวางของพชื ใบเลี้ยงคู่
http://www.nana-bio.com/e-learning/plant%20organ/root.html
ภาพแสดงรากภาคตัดขวางของพืชใบเลีย้ งเด่ียว
http://www.nana-bio.com/e-learning/plant%20organ/root.html
ภาพแสดงโครงสร้างบรเิ วณสตีลของพชื ใบเล้ียงคู่
http://www.nana-bio.com/e-learning/plant%20organ/root.html
สำหรับการจดั เรยี งตวั ของมัดทอ่ นำ้ ทอ่ อาหารในรากจะแยกกนั อย่คู นละแนวรศั มี โดยในรากพืชใบเลย้ี งเด่ียวการเรยี งตัวของทอ่ น้ำมีลักษณะเป็นแฉกหลายแฉก
และทอ่ อาหารเรยี งตวั อยู่ระหวา่ งแฉกของทอ่ นำ้ ไมพ่ บส่วนของแคมเบียม ในรากพชื ใบเลี้ยงคู่ ท่อน้ำเรยี งตัวเปน็ แฉก 2-5 แฉก สว่ นใหญ่พบเป็น 4 แฉก และทอ่ อาหารอยู่
ระหวา่ งแฉกของทอ่ น้ำ พบส่วนของแคมเบียมในช้ันนีด้ ้วย
การจัดเรียงตัวของทอ่ ลำเลียงภายในลำต้นพชื
พชื ใบเลยี้ งเดีย่ ว : ไซเลมและโฟลเอมอยู่รวมกนั อยา่ งกระจดั กระจายทั่วทัง้ ลำตน้
พชื ใบเลย้ี งคู่ : ไซเลมและโฟลเอมรวมตวั อยดู่ ้วยกันอย่างเปน็ ระเบยี บรอบลำตน้ โดยมีโฟลเอมเรียงตัวอยู่ดา้ นนอกและไซเลมเรียงตวั อยดู่ ้านใน มีเนือ้ เยอื่ แคม
เบยี ม (Cambium) แทรกอยู่ตรงก่งึ กลางระหวา่ งไซเลมและโฟลเอม
ภาพแสดงทอ่ ลำเลยี งของลำตน้ พชื ใบเลย้ี งเด่ียวและลำต้นพืชใบเล้ยี งคู่
(https://ngthai.com/science/33440/plant-transport-system/)
ภาพเปรยี บเทียบภาคตัดขวางลำต้นพชื ใบเลีย้ งเด่ียว และ ลำตน้ พืชใบเลย้ี งคู่
(http://www.nana-bio.com/e-learning/plant%20organ/stem.html)
ภาพเปรยี บเทยี บโครงสรา้ งต่างๆ ของลำต้นพชื ใบเลยี้ งเด่ียว และลำต้นพืชใบเลย้ี งคู่ภาคตดั ขวาง
(http://www.nana-bio.com/e-learning/plant%20organ/stem.html)
ภาพเปรียบเทยี บโครงสรา้ งต่างๆ ของลำต้นพืชใบเลย้ี งเดีย่ ว และลำต้นพชื ใบเลย้ี งคู่ภาคตัดขวาง
http://www.thaigoodview.com/library/contest1/science04/67/2/html/Stem3.html
ภาพมดั ทอ่ ลำเลยี งของลำต้นพืชใบเลยี้ งเดี่ยว
(http://www.nana-bio.com/e-learning/plant%20organ/stem.html)
ภาพมดั ท่อลำเลียงของลำต้นพชื ใบเลย้ี งคู่ทย่ี งั ไมม่ ีการเจริญขั้นทุติยภูมิ
(http://www.nana-bio.com/e-learning/plant%20organ/stem.html)
ก้านใบ (petiole)
เปน็ สว่ นท่ตี อ่ ระหว่างลำตน้ กับตัวใบ โดยท่ัวไปแล้วก้านใบของพืชใบเล้ยี งคมู่ กั จะมลี ักษณะเปน็ เสน้ กลมหรอื คอ่ นขา้ งกลมสว่ นก้านใบของพืชใบเลี้ยงเดี่ยวมักจะแผ่
แบนเปน็ กาบ (sheath) หมุ้ ลำตน้ และตาเอาไว้อีกทหี น่ึง ซึง่ จะเรยี กว่ากาบใบ (leaf sheath)
ภาพแสดงตวั อยา่ งกา้ นใบของพืชใบเลี้ยงคู่
https://www.toppr.com/ask/content/story/amp/parts-of-a-leaf-77836/
ภาพแสดงตัวอยา่ งโครงสรา้ งใบและลกั ษณะก้านใบของพืชใบเลี้ยงคู่
https://www.quora.com/Where-is-the-petiole-of-a-leaf-located
ภาพตวั อย่างก้านใบของพชื ใบเลยี้ งเดยี่ วทแี่ ผ่แบนหุ้มลำต้นและตาเอาไว้ เรยี กว่ากาบใบ
https://www.toppr.com/ask/content/story/amp/parts-of-a-leaf-77836/
ภาพตวั อยา่ งกา้ นใบของพืชใบเลี้ยงเดี่ยวทีแ่ ผแ่ บนหุ้มลำต้นและตาเอาไว้ เรยี กวา่ กาบใบ
http://www.aecos.com/CPIE/GrassKey_Page_1.html
https://www.dept.psu.edu/agsciences/agsci/elearning/0course-samples/turf_850_sample/Lesson01/L01_02.htm
ภาพแสดงตวั อย่างก้านใบท่มี ีลักษณะเปน็ แผน่ ทเ่ี รียกวา่ กาบใบ (leaf sheath) ของพชื ใบเล้ียงเดย่ี ว
https://plantscientist.wordpress.com/2016/02/04/on-leaves-and-ligules/