พฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของนักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ที่ใช้รถจักรยานยนต์ เป็นพาหนะในการเดินทาง นางสาวเบ็ญจมาศ ขานบุตร 62411001010 นางสาวศรัญญา โฮงโสภา 62411001015 นายสิทธิพงษ์ บูรณะกิติ 62411001017 นางสาวธิรัญญา จันทาธาตุ 62411002022 นางสาวเกศินี มะโนนึก 62411002023 นางสาวภัทรวรรณ คำนนท์ 62411002024 นายพงศธร มงคลพิศ 62411002031 การวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชามนุษย์กับสังคม (SOE4210) สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด พ.ศ. 2565
พฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของนักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ที่ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการเดินทาง นางสาวเบ็ญจมาศ ขานบุตร 62411001010 นางสาวศรัญญา โฮงโสภา 62411001015 นายสิทธิพงษ์ บูรณะกิติ 62411001017 นางสาวธิรัญญา จันทาธาตุ 62411002022 นางสาวเกศินี มะโนนึก 62411002023 นางสาวภัทรวรรณ คำนนท์ 62411002024 นายพงศธร มงคลพิศ 62411002031 การวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชามนุษย์กับสังคม (SOE4210) สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด พ.ศ. 2565
ก ชื่อเรื่อง : พฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของนักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ที่ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการเดินทาง ชื่อ : นางสาวเบ็ญจมาศ ขานบุตร , นางสาวศรัญญา โฮงโสภา , นายสิทธิพงษ์ บูรณกิติ นางสาวธิรัญญา จันทาธาตุ , นางสาวเกศินี มะโนนึก , นางสาวภัทรวรรณ คำนนท์ นายพงศธร มงคลพิศ สาขาวิชา : สังคมศึกษา หลักสูตร : ครุศาสตร์บัณฑิต ที่ปรึกษา : อาจารย์ อัธยา เมิดไธสง ปี : 2565 บทคัดย่อ งานวิจัยเรื่อง การศึกษาพฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของนักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ด เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการ ปฏิบัติตามกฎจราจรของนักศึกษา สาขาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ดที่ใช้ รถจักรยนต์เป็นพาหนะในการเดินทาง การวิจัยครั้งนี้ศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างคือนักศึกษาชั้นปีที่ 1-4 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ ร้อยเอ็ด จำนวน 230 คน คำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่าง (Sample Size) โดยใช้สูตรขนาด ตัวอย่างของ Taro Yamane ได้กลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 154 คน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามที่ ผ่านการหาคุณภาพ วิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์สถิติตัวแปรเดียว ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดย ใช้โปรแกรมวิเคราะห์ข้อมูลการวิจัยทางสังคมศาสตร์ (SPSS for Windows) ผลการศึกษาสรุปได้ดังนี้ พฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของนักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ดภาพรวม มีค่าเฉลี่ยของข้อมูล (̅) 2.91 อยู่ในระดับปฏิบัติ ปานกลาง เมื่อวิเคราะห์พฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของนักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ที่ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการเดินทาง มาพิจารณาโดยแบ่งออกเป็นด้าน ต่างๆ 4 ด้าน คือ 1) ด้านพฤติกรรมการขับขี่ที่ขัดต่อกฎจราจร 2) ด้านการให้สัญญาณและปฏิบัติตามสัญญาณ จราจร 3) ด้านการจอดรถ 4) ด้านความปลอดภัยในการขับขี่ พบว่า พฤติกรรมด้านการขับขี่ที่ขัดต่อกฎจราจร พบว่า ในภาพรวมมีค่าเฉลี่ยของการตอบแบบสอบถาม 3.20 อยู่ในระดับการปฏิบัติปานกลาง พฤติกรรมด้าน การให้สัญญาณและปฏิบัติตามสัญญาณจราจร พบว่า ในภาพรวมมีค่าเฉลี่ยของการตอบแบบสอบถาม 2.58 อยู่ในระดับการปฏิบัติน้อย พฤติกรรมด้านการจอดรถ พบว่า ในภาพรวมมีค่าเฉลี่ยของการตอบแบบสอบถาม 2.53 อยู่ในระดับการปฏิบัติน้อย พฤติกรรมด้านความปลอดภัยในการขับขี่ พบว่า ในภาพรวมมีค่าเฉลี่ยของ การตอบแบบสอบถาม 2.54 อยู่ในระดับการปฏิบัติน้อย ตามลำดับ
ข กิตติกรรมประกาศ งานวิจัยฉบับนี้สำเร็จได้ด้วยการเอื้อเฟื้อข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และความร่วมมือต่าง ๆ ของหลายท่าน ซึ่งให้การสนับสนุนคณะผู้วิจัยตั้งแต่เริ่มงานวิจัยจนเสร็จสมบูรณ์ ขอขอบพระคุณอาจารย์อัธยา เมิดไธสง อาจารย์ประจำสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุคาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ซึ่งเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของวิจัยนี้ รวมทั้งสละเวลาให้คำแนะนำและความ คิดเห็นที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับแนวทางการทำวิจัย การปรับปรุงงานวิจัยและการนำเสนองานวิจัยนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ท่านคอยขี้แนะ ทำให้คณะผู้วิจัยได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนและสามารถนำมาใช้วิเคราะห์ วางแผน รวมทั้งแผนงานต่าง ๆ และสรุปข้อมูลได้อย่างราบรื่น ซึ่งเป็น ประโยชน์อย่างมาก ตลอดจน ขอขอบคุณผู้ตอบแบบสอบถามทุกท่าน รวมถึงผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน ที่ไม่ได้กล่าวนามไว้ในที่นี้ที่กรุณาสละเวลา เอื้อเฟื้อข้อมูลและให้ความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ที่มีส่วนช่วย ให้การจัดทำวิจัยฉบับนี้ลุล่วงได้ด้วยดี สุดท้าย คุณค่าพึงมีจากงานวิจัยฉบับนี้ คณะผู้วิจัยขอมอบเป็นเครื่องบูชาพระคุณครูอาจารย์ ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้และวางรากฐานการศึกษาแก่คณะผู้วิจัย คณะผู้วิจัย
สารบัญ หน้า บทคัดย่อ............................................................................................................................. ......... ก กิตติกรรมประกาศ....................................................................................................... ................ ข สารบัญ............................................................................................................................. ............ ค สารบัญตาราง........................................................................................................ ...................... ง สารบัญภาพ............................................................................................................................. .... จ บทที่1 บทนำ........................................................................................................................... 1 ที่มาและความสำคัญ............................................................................................ 1 วัตถุประสงค์การวิจัย.......................................................................................... ... 2 ขอบเขตการวิจัย................................................................................................. ... 2 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ.................................................................................... 3 นิยามศัพท์เฉพาะ.................................................................................................. 3 บทที่ 2 แนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง....................................................................... 4 แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวกับกฎหมายจราจร……………………………………………………… 4 แนวคิดเกี่ยวกับพฤติกรรม................................................................................... 12 แนวคิดเกี่ยวกับอุบัติเหตุ…………………………………………………………………………... 15 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง.............................................................................................. 20 กรอบแนวคิดการวิจัย.......................................................................................... 23 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย...................................................................................................... 24 ประชากร............................................................................................................ 24 กลุ่มตัวอย่าง.................................................................................................. ..... 24 การสุ่มกลุ่มตัวอย่าง............................................................................................ 24 พื้นที่ในการวิจัย.................................................................................................. 25 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย..................................................................................... 25 การวัดตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย............................................................................. 26 คุณภาพเครื่องมือการวิจัย.................................................................................. 27 วิธีดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล……………………………………………………………….. 27 การประมวลผลและการวิเคราะห์ข้อมูล…………………………………………………….. 27
บทที่ 4 ผลการวิจัยและอภิปรายผล.......................................................................................... 28 ตอนที่ 1 ปัจจัยส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถาม................................................ 28 ตอนที่ 2 วิเคราะห์ระดับพฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจร................................. ของนักศึกษาสาขาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัย ราชภัฎร้อยเอ็ดที่ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการเดินทาง 32 ตอนที่ 3 การอภิปรายผล....................................................................................... 40 บทที่ 5 สรุปผลการวิจัยและข้อเสนอแนะ................................................................................. 42 สรุปผลการวิจัย...................................................................................................... 42 ข้อเสนอแนะจากผลการวิจัย.................................................................................. 44 ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป.......................................................................... 44 บรรณานุกรม....................................................................................................... ........................ 45 ภาคผนวก............................................................................................................................. ....... 47 ภาคผนวก ก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย................................................................. 48 ภาคผนวก ข ผลการวิเคราะห์ข้อมูล.................................................................... 51 ประวัติย่อของผู้วิจัย.................................................................................................................... 56
สารบัญตาราง ตาราง หน้า 1 ตารางการสุ่มเก็บข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่าง 25 2 ร้อยละของพฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของนักศึกษาสาขาสังคมศึกษา คณะครุ ศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ที่ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการเดินทาง 29 3 วิเคราะห์พฤติกรรมการปฏิบัติติตามกฎจราจรของนักศึกษาสาขาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ที่ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการ เดินทาง 32 4 วิเคราะห์พฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของนักศึกษาสาขาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ด ที่ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการ เดินทาง ด้านพฤติกรรมการขับขี่ที่ขัดต่อกฎจราจร 34 5 วิเคราะห์พฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของนักศึกษาสาขาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ด ที่ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการ เดินทาง ด้านการให้สัญญาณและปฏิบัติตามสัญญาณจราจร 35 6 วิเคราะห์พฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของนักศึกษาสาขาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ด ที่ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการ เดินทาง ด้านการจอดรถ 36 7 วิเคราะห์พฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของนักศึกษาสาขาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎร้อยเอ็ด ที่ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการ เดินทาง ด้านความปลอดภัยในการขับขี่ 37 8 วิเคราะห์พฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของนักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ที่ใช้รถจักรยานยนต์เป็ นพาหนะในการเดินทาง เป็ นรายด้าน 39 9 ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของแบบสอบถามพฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของ นักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ที่ใช้รถจักรยานยนต์ เป็นพาหนะในการเดินทาง 52 10 ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของแบบสอบถามพฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของ นักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ที่ใช้รถจักรยานยนต์ เป็นพาหนะในการเดินทาง 54
สารบัญภาพ ภาพ หน้า 1 กรอบแนวคิดการวิจัย.................................................................................................... 23
บทที่ 1 บทนำ ที่มาและความสำคัญ ปัจจุบันปัญหาอุบัติภัยจากการจราจรเพิ่มสูงขึ้นทั้งด้านปริมาณและความรุนแรง สำหรับประเทศ ไทยอุบัติเหตุบนท้องถนนเป็นสาเหตุการบาดเจ็บ พิการและเสียชีวิตที่มีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี สาเหตุการเกิด อุบัติเหตุบนถนนนั้น ได้มีนักวิชาการหลายสาขาได้ศึกษาถึงสาเหตุของอุบัติเหตุที่สำคัญ 2 ประการคือ เกิด จากการกระทำที่ไม่ปลอดภัย ได้แก่ พฤติกรรมต่างๆ อันอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุ เช่น ความประมาท มัก ง่าย การฝ่าฝืนกฎระเบียบ เป็นต้น และเกิดจากสภาวะที่ไม่ปลอดภัย ได้แก่ สภาพแวดล้อมที่อาจก่อให้เกิด อุบัติเหตุได้ เช่น ถนนชำรุด แสงสว่างไม่เพียงพอ ทางโค้ง เป็นต้น สถิติจำนวนรถจดทะเบียนใหม่ ตามกฎหมาย ว่าด้วยรถยนต์ และกฎหมายว่าด้วยการขนส่ง ทางบก ปี 2565 ทั่วประเทศมีรถจักรยานยนต์ที่จดทะเบียนใหม่ภายในปี2565 รวม 1,974,502 คัน จำแนกเป็นรายเดือนได้ดังนี้ เดือนมกราคม มีรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ 158,920 คัน, เดือน กุมภ าพั นธ์ 163,052 คัน , เดือนมีนาคม 169,628 คัน , เดือนเมษ ายน 134,512 คัน , เดือนพฤษภาคม 178,590 คัน, เดือนมิถุนายน 192,276 คัน, เดือนกรกฎาคม 147,601 คัน, เดือนสิงหาคม 189,229 คัน, เดือนกันยายน 166,608 คัน, เดือนตุลาคม 147,548 คัน, เดือนพฤศจิกายน 167,057 คัน, เดือนธันวาคม 159,481 คัน มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากปี 2564 ที่มีรถจักรยานยนต์ จดทะเบียนรวม 1,762,730 คัน และปี 2563 ที่มีรถจักรยานยนต์จดทะเบียนรวม 1,681,437 คัน ข้อมูล เมื่อวันที่ 31 เดือนธันวาคม 2565 พบว่ามีรถจักรยานยนต์ที่จดทะเบียนสะสม สูงถึง 22,137,636 คัน ในทางกลับกัน จำนวนของใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ จำแนกตามประเภทใบอนุญาต ณ วันที่ 31 เดือนธันวาคม 2565 พบว่า เป็นใบอนุญาติขับรถจักรยานยนต์ชั่วคราว Motorcycle (Temporary) มีจำนวน 733,559 ใบ และใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ Motorcycle (Five year) มีจำนวน 6,331,159 ใบ รวมทั้งสิ้นมีเพียง 7,064,718 ใบ (กลุ่มสถิติการขนส่ง กองแผนงาน กรมการขนส่ง ทางบก : 2565 ) คิดเป็นร้อยละ 31.91 ของจำนวนรถจักรยานยนต์ที่ จดทะเบียนสะสม ณ วันที่ 31 เดือนธันวาคม 2565 จากข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้น แสดงให้เห็นว่าจำนวนของผู้มีใบอนุญาตขับ รถจักรยานยนต์ มีน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนของรถจักรยานยนต์ที่จดทะเบียนไว้ หลังจากเริ่มต้นปี2566 มาได้ 31 วัน เว็บไซต์Thai RSC ศูนย์ข้อมูลอุบัติเหตุ เพื่อเสริมสร้าง วัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนน ได้ระบุว่า มีจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุสะสม 1374 ราย ยอด ผู้บาดเจ็บสะสม 67,816 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 เดือนมกราคม 2566 เวลา 09.00 น.) หากแยกตาม ประเภทของยานพาหนะแล้ว พบว่า ร้อยละ 78 เสียชีวิตจากรถจักรยานยนต์ รองลงมา ร้อยละ 22 เสียชีวิตจากรถยนต์ นอกเหนือจากจำนวนผู้เสียชีวิตที่กล่าวมาข้างต้นแล้วยังมีจำนวนผู้บาดเจ็บอีกเป็น จำนวนมาก จำนวนผู้บาดเจ็บสะสม ร้อยละ 79 ได้รับบาดเจ็บจากรถจักรยานยนต์ รองลงมา ร้อยละ 13 ไม่ทราบประเภทรถ อีก ร้อยละ 8 มาจากรถยนต์
2 ในจังหวัดร้อยเอ็ดมียอดผู้เสียชีวิตและอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในเดือนมกราคม ปี 2566 หลังจากผ่าน มา 31 วัน สูงถึง 630 ราย แยกเป็น เสียชีวิต 19 ราย และบาดเจ็บ 611 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 31 มกราคม 2566 เวลา 09.00 น.) จากข้อมูลข้างต้น มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ดก็เป็นหนึ่งในพื้นที่ ที่มี ความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุเนื่องจากมีประชากรที่เป็นนักศึกษาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะ นักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ทำให้การจราจรมีโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุ จากการ สังเกตพบว่ามีนักศึกษาเป็นจำนวนมากไม่สวมใส่หมวกนิรภัยในการขับขี่รถจักรยานยนต์เป็นปัญหาด้าน ความปลอดภัยในชีวิตของนักศึกษาเองเมื่อเกิดอุบัติเหตุ นักศึกษาบางคนมีพฤติกรรมการขับรถย้อนศร รวมถึงการขับขี่รถจักรยานยนต์เร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ในเขตมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะเขตพื้นที่ ด้านหน้ามหาวิทยาลัย มีรถจักรยานยนต์ของนักศึกษาหลายคันจอดอยู่ในพื้นที่ห้ามจอดนับได้ว่าเป็นการ เพิ่มอัตราความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุให้มีมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามทางมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ได้มี การขึ้นป้ายรณรงค์เรื่องการสวมหมวกนิรภัยให้แก่นักศึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เข้ามากวดขัน วินัยจราจร ทั้งในเรื่องการขับรถย้อนศร และการจอดรถในที่ห้ามจอด แต่การรณรงค์หรือการแก้ปัญหา ดังกล่าวเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ทำให้ปัญหาไม่ได้ถูกแก้อย่างที่ควรจะเป็นและต่อเนื่องมาจน ปัจจุบัน ด้วยสาเหตุที่กล่าวมาข้างต้น คณะผู้วิจัยจึงเล็งเห็นถึงความสำคัญของปัญหาเพื่อการป้องกัน อุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นกับนักศึกษาในมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด จึงต้องการจะทราบถึงพฤติกรรมการ ปฏิบัติตามกฎจราจรของนักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ที่ใช้ รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการเดินทาง โดยศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างนักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา โดย หวังผลว่าการวิจัยนี้จะนำสู่แนวทางในการแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ และลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุในพื้นที่ มหาวิทยาลัยได้อย่างยั่งยืน วัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อศึกษาพฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของนักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ที่ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการเดินทาง ขอบเขตของการวิจัย 1.ขอบเขตด้านเนื้อหาในการศึกษา ศึกษาเฉพาะพฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของนักศึกษา สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ที่ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะใน การเดินทาง 2.ขอบเขตด้านพื้นที่ในการวิจัย ศึกษาเฉพาะในมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด
3 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. รู้พฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของนักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ที่ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการเดินทาง 2. เป็นแนวทางในการส่งเสริมการปฏิบัติตามกฎจราจรของนักศึกษาในมหาวิทยลัย ราชภัฏร้อยเอ็ด นิยามศัพท์เฉพาะ 1.การปฏิบัติตามกฎจราจร หมายถึง การกระทำหรือการแสดงออกของผู้ใช้รถใช้ถนนได้ปฏิบัติ ตามกฎหมายข้อบังคับเกี่ยวกับจราจร 2.นักศึกษา หมายถึง นักศึกษาที่กำลังศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา ชั้นปีที่ 1 ถึง ชั้นปีที่ 4 คณะ ครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด
บทที่ 2 แนวคิดทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การศึกษาพฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของนักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ที่ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการเดินทาง ผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิดทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 1.แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวกับกฎหมายจราจรและกฎหมายจราจร - ความหมายของการจราจร - สาเหตุของการเกิดปัญหาการจราจร - กฎหมายจราจรที่เกี่ยวข้อง - ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 2.แนวคิดเกี่ยวกับพฤติกรรม - ความหมายของพฤติกรรม - ประเภทของพฤติกรรม - ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจร 3.แนวคิดเกี่ยวกับอุบัติเหตุ - ความหมายของอุบัติเหตุ - ประเภทของอุบัติเหตุ - ปัจจัยด้านพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุ 4.งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 5.กรอบแนวคิดการวิจัย มีรายละเอียดดังนี้ 1.แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวกับกฎหมายจราจรและกฎหมายจราจร ความหมายของการจราจร การจราจร หมายถึงการใช้ทางของผู้ขับขี่ คนเดินเท้า หรือคนที่จูง ขี่ หรือไล่ต้อนสัตว์ ปัญหาจราจรการจราจร หมายถึง อุปสรรค ข้อขัดข้อง ที่ทำให้การจราจรติดขัดไม่บรรลุเป้าหมาย ของผู้ขับขี่คนเดินเท้าหรือประชาชนทั่วไปในสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการจราจรทั้งทางตรง และทางอ้อม พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2554) ได้ให้ความหมายไว้ว่า จราจรหมายถึง [จะราจอน] น. การที่ยวดยานพาหนะ คนหรือสัตว์พาหนะเคลื่อนไปมาตามทาง เรียกผู้มีหน้าที่เกี่ยวด้วยการนั้น ประสิทธิ โฆวิไลกูลและคณะ (2540, หน้า 3 -4) ให้ความหมายว่ากฎหมาย คือ กฎเกณฑ์แบบ แผนที่ควบคุมความประพฤติของคนในสังคม ซึ่งเกิดมาจากเหตุผลอันถูกต้องที่มาจากมโนธรรมของสังคม
5 อันสอดคล้องกับศาสนา ศีลธรรม จารีตประเพณี วัฒนธรรม จิตวิทยา แนวความคิดทางสังคมเศรษฐกิจ การเมือง ฯลฯ จนทำให้คนในสังคมยอมรับ นับถือปฏิบัติตามเนื่องจากกฎหมายไม่ใช่สิ่งที่คนสร้างขึ้นมา ตามอำเภอใจแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากจิตใจของประชาชาติร่วมกัน (Volksgeist) ซึ่งเชื่อมโยงให้คนใน ชาติเดียวกันมีความคิดความเชื่อ ความเห็นถูกผิดร่วมกัน ทั้งนี้เพราะกฎหมายถูกสร้างขึ้นมาเพื่อ ประโยชน์สุขของคนในสังคม ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่ากฎหมายของกลุ่มชนใดกฎหมายก็เป็นส่วนหนึ่งของ วัฒนธรรมของกลุ่มชนนั้น สาเหตุของการเกิดปัญหาจราจร 1) ด้านการศึกษา 1.1 ) ประชาชนไม่มีความรู้เรื่องของกฎจราจร 1.2 ) ประชาชนขาดวุฒิภาวะ ไม่มีวินัยจราจร 1.3 ) ขาดความเอาใจใส่ต่อบุตรหลาน 1.4 ) เจ้าหน้าที่ของรัฐ ขาดจิตสำนึก 2)การวางแผนระบบถนนและผังเมือง 2.1) ขาดการวางแผนระบบถนนและผังเมืองที่ดี 2.2) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกแบบถนน 2.3) การก่อสร้างถนนผิดไปจากแบบแปลนที่กำหนด 2.4) ถนนที่เกิดอุบัติเหตุซ้ำซาก ไม่ได้รับการปรับปรุงแก้ไขทันที 2.5) เครื่องหมายจราจรพื้นทางและป้ายสัญญาณจราจรบนทาง 3)ด้านเศรษฐกิจ 3.1) ความเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจ 3.2) ด้านการบริการขนส่งมวลชนหรือขนส่งสาธารณะ 3.3) ด้านงบประมาณ รัฐบาล มีข้อจำกัดด้านงบประมาณ 4) การบังคับใช้กฎหมายจราจร 4.1) บทกำหนดโทษในบางข้อกล่าวหาที่มีโทษปรับสถานเดียว ซึ่งในความเป็นจริงปัจจุบัน ค่า เงินตราของประเทศได้ปรับเปลี่ยนไปมาก แต่บทกำหนดโทษของ พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 ยังกำหนดในอัตราเดิม เป็นเหตุให้ผู้ขับขี่รถฝ่าฝืนกฎจราจร ไม่เข็ดหลาบและเป็นสาเหตุของการทำผิด ซ้ำซาก 4.2) บทกำหนดโทษ ในกรณีที่มีอัตราโทษสูงกว่าลหุโทษ ในกระบวนการยุติธรรมของสังคมไทย มักจะได้รับการผ่อนผันจากกระบวนการพิจารณา ให้ปรับในอัตราขั้นต่ำ สำหรับโทษจำคุกมักจะได้รับ การพิจารณาให้รอการลงโทษหรือรอลงอาญา เช่น ความผิดที่เป็นการกระทำโดยประมาท ทำให้ผู้อื่น
6 ถึงแก่ชีวิต ในคดีอุบัติเหตุยังได้รับการพิจารณาให้รอลงโทษหรือรอลงอาญา ถึงแม้ผู้กระทำผิดจะได้ กระทำในขณะเมาสุราหรือจงใจฝ่าฝืนสัญญาณจราจร 4.3) ฐานความผิดในบางมาตรา ของพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 ไม่เคยได้นำไป บังคับใช้มาเป็นเวลานาน ซึ่งอาจจะทำให้ข้อกฎหมายดังกล่าว เป็นการยกเลิกกฎหมายโดยปริยาย เช่น การเดินเท้า และยังทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจว่า ในข้อกฎหมายดังกล่าวนี้ไม่เคยมีบัญญัติไว้ใน กฎหมายจราจร 4.4) ผู้ขับขี่ฝ่าฝืนกฎหมายจราจร มักจะหลีกเลี่ยงการจับกุม โดยพยายามขับขี่รถหลบหนี และมีหลายครั้งที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ ซึ่งในบทบัญญัติของกฎหมายจราจร ยังไม่มีความชัดเจนในการ ปฏิบัติต่อผู้กระทำผิดหรือฝ่าฝืนกฎจราจรในกรณีดังกล่าว 4.5) ในความผิดตาม พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (2) ข้อหา “เป็นผู้ขับ ขี่รถในขณะเมาสุรา” ข้อกำหนดในการตรวจวัดอแอลกอฮอล์ในเลือดด้วยวิธีต่างๆในทางปฏิบัติ ยังมีข้อ โต้แย้งถึงอำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจ ว่ากระทำได้หรือไม่ หากผู้ต้องสงสัยยังมีอาการคล้ายเมา สุราและไม่ยินยอมให้ตรวจ ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้ง 4.6) ในขั้นเปรียบเทียบของพนักงานสอบสวน ยังไม่มีความชัดเจน กรณีที่ผู้รับใบสั่งเป็นเด็กหรือ เยาวชนอายุ ไม่เกิน 18 ปีบริบูรณ์ จะถือว่าการเปรียบเทียบ เป็นการสอบสวนหรือไม่และจะต้อง ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีเด็กหรือไม่ กฎหมายจราจรที่เกี่ยวข้อง เมื่อบุคคลได้มารวมกลุ่มเป็นสังคมแล้ว การที่จะต้องอยู่ร่วมกันเป็นจำนวนมากความต้องการของ แต่ละคนก็ต่างกัน ความประพฤติและภูมิหลังการศึกษา ฐานะทางเศรษฐกิจ ความเชื่อ ทางศาสนา การ ประกอบอาชีพของแต่ละคนก็แตกต่างกัน หากปล่อยให้แต่ละคนกระทำการตามความต้องการ ตาม อำเภอใจแล้วก็คงจะเกิดความวุ่นวายยุ่งเหยิงขึ้นในสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สังคมจึงจำเป็นต้องมี ระเบียบกฎเกณฑ์ ให้สมาชิกทุกคนได้ปฏิบัติอย่างเสมอภาค คือการออกกฎหมายเป็นกฎเกณฑ์ ในการปฏิบัติ Roscoe Pound ได้กล่าวว่า “หน้าที่ของกฎหมายนั้นเปรียบเสมือนวิศวกรรมในทางสังคม ( Social Control ) การบรรลุจุดหมายปลายทางของกฎหมายจะต้องวิเคราะห์ถึงกฎเกณฑ์ทางจิตวิทยา เศรษฐกิจและสังคมที่แตกต่างกัน” กล่าวคือ สภาพของสังคมย่อมมีผลโดยตรงที่จะทำให้กฎหมายมี ประสิทธิภาพหรือไม่มีประสิทธิภาพในการควบคุมสังคม จอห์น ออสติน (John Austin, 1790 - 1859) รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการ การศึกษากลยุทธ์ ในการบังคับใช้กฎหมายให้เกิดผลในทางปฏิบัติ) กล่าวว่า กฎหมายเป็นเพียงเครื่องส่งเสริมการปกครอง ของผู้มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน และให้คำจำกัดความไว้ว่า กฎหมาย หมายถึง คำสั่งของรัฐาธิปัตย์(Law as the Command of Sovereign) ที่กำหนดหน้าที่ให้เป็นแนวทางความประพฤติของมนุษย์ กฎหมาย นั้นจะต้องเป็นกฎหมายบัญญัติ (Positive Law) หรือ กฎหมายลายลักษณ์อักษร ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน
7 และปฏิเสธที่จะเอาจารีตประเพณี ศีลธรรม หรือความคิดในทางความยุติธรรมมาเป็นวัตถุประสงค์ใน การศึกษากฎหมาย โดยถือว่าเป็นสิ่งที่เลื่อนลอยหาความแน่นอนไม่ได้ สภาพของสังคมย่อมมีผลโดยตรงที่จะทำให้ กฎหมายมีประสิทธิภาพหรือไม่มีประสิทธิภาพใน การควบคุมสังคม (Social Control)ความล้มเหลวของกฎหมายจราจรในการควบคุมให้ผู้ขับขี่ปฏิบัติตาม กฎจราจรก็อาจจะมีผลมาจากปัญหาด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันด้วย กฎหมายจราจร เป็นกฎหมายที่บัญญัติเพื่อความปลอดภัยในชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สินของผู้ขับ ขี่ ผู้ใช้รถใช้ถนน ตลอดจนความประสงค์ที่จะให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อยของการใช้รถใช้ ถนน เพื่อมิให้เกิดปัญหาการจราจรตามที่เป็นอยู่ ความผิดตามกฎหมายจราจร จึงเป็นความผิด ประเภทข้อ ห้าม (Mala Prohibit) อย่างหนึ่ง สาโรจน์ คุมทรัพย์(2539, หน้า30) กฎหมายจราจรเป็นกฎหมายที่ไม่ได้ถูกบัญญัติขึ้นโดยเหตุผล ทางด้านศีลธรรมแต่ได้ถูกบัญญัติขึ้นโดยเหตุผลทางเทคนิค จึงเรียกว่า กฎหมายเทคนิค (Technical Law)การกระทำผิดตามกฎหมายจราจร จึงเป็นการกระทำผิดตามที่กฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิดและ กำหนดโทษไว้หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า ความผิดตามกฎหมายจราจรเป็นความผิดที่จัดอยู่ในประเภท โดยธรรมชาติของการกระทำไม่ถือว่าเป็นความผิดทางอาญาโดยแท้ (Truecrime) และมีลักษณะเป็น ความผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ มีลักษณะที่ไม่เป็นความผิดในตัวมันเองแต่มีลักษณะเป็นกฎระเบียบที่ต้องปฏิบัติ ตามมิฉะนั้นจะต้องรับผิดซึ่งเรียกความผิดประเภทนี้ว่า ความผิดต่อกฎระเบียบ (Regulatory Offence) ส่วนความผิดที่บัญญัติขึ้นมาเพื่อความปลอดภัยในการจราจร จะมีลักษณะของการกระทำที่อาจเกิดขึ้นใน สังคมได้เรียกความผิดประเภทนี้ว่า ความผิดที่เป็นการก่ออันตราย นอกจากนี้การกระทำความผิดตาม กฎหมายจราจร ยังมีลักษณะของความผิดที่เป็นการกระทำโดยประมาทอยู่ด้วยจะเห็น ได้ว่าความผิดตาม กฎหมายจราจรแบ่งลักษณะของความผิดเป็น 3 ประเภท คือ 1. ความผิดที่เป็นความผิดต่อกฎระเบียบ (Regulatory Offence) ความผิดต่อกฎระเบียบ จัดเป็นส่วนหนึ่งของแบบแผนที่เป็นกฎระเบียบ (Regulatory Scheme) คือรวมถึงพฤติกรรมซึ่งโดยปกติ ทั่วไปจะไม่ถูกพิจารณาว่าเป็นการผิดศีลธรรมและจะถูกตำหนิเพียงเล็กน้อย (Little Stigma) เท่านั้นและ เนื่องจากเป็นความผิดซึ่งโดยธรรมชาติไม่ใช่ความผิดอาญา จึงมีโทษไม่รุนแรง โทษจำคุกจึงไม่มีความ จำเป็น ดังนั้นบทลงโทษจึงเป็นเพียงการปรับเท่านั้นหรือโทษอย่างอื่นซึ่งอาจนำมาเทียบเคียงได้กับโทษ ปรับและจากการที่มีผลเป็นความผิดเล็กน้อย ทำให้วิธีการพิจารณาความผิดและการตัดสินลงโทษ แตกต่างไปจากที่เป็นความผิดทางอาญา เป้าหมายของการบัญญัติความผิดต่อกฎระเบียบ (Regulatory Legislation) คือ การปกป้อง สังคมในวงกว้างจากผลกระทบที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายที่เกิดจากการฝ่าฝืนการกระทำที่ผิดกฎหมาย (Unlawful Activity)และรวมถึงการเปลี่ยนแปลงจากการใช้ความคุ้มครองและผลประโยชน์ ส่วนบุคคล และการลงโทษการกระทำที่มีลักษณะผิดศีลธรรมมาเกี่ยวข้องและมาตรการที่เป็น กฎระเบียบ (Regulatory Measure) โดยทั่วไปแล้ว จะควบคุมดูแลเพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดใน อนาคต และเป็น อันตรายต่อคุณธรรมทางกฎหมายโดยผ่านการบังคับใช้ให้มีความระมัดระวังและความประพฤติตาม
8 ข้ อ ก ำ ห น ด ขั้ น ต่ ำ(Enforcement of Minimum Standard of Conduct and Care) ดั ง นั้ น แนวความคิดของความผิดต่อกฎระเบียบ มีรากฐานมาจากการระมัดระวังอย่างมีเหตุผล (Reasonable Care Standard) และเรื่องดังกล่าวไม่ได้แสดงเป็นนัยว่า สมควรจะได้รับการถูกตำหนิทางจิตใจในลักษณะ เช่นเดียวกับความผิดทางอาญา ด้วยเหตุผลดังกล่าว ความผิดต่อกฎระเบียบเหล่านี้ โดยปกติทั่วไปจะไม่ ถูกพิจารณาว่า เป็นการทำผิดศีลธรรม ดังนั้น ผู้กระทำความผิดอาจจะเพียงถูกตำหนิจากสังคมและเป็น ความผิดที่มุ่งคุ้มครองประโยชน์ในด้านต่างๆ ในการจัดความเป็นระเบียบเรียบร้อยในสังคมเพื่อประโยชน์ ในทางปกครองบริหาร ความผิดเหล่านี้มีความมุ่งหมายที่จะยกระดับ มาตรฐานของความปลอดภัยและ ระงับความรุนแรงที่อาจเกิดจากการอยู่ร่วมกัน เช่น ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการจราจรกฎหมายว่า ด้วยการขนส่ง เป็นต้น 2.ลักษณะของความผิดที่เป็นการก่ออันตราย วัตถุประสงค์หลักในการบัญญัติกฎหมายจราจรขึ้นมามิใช่เพียงเพื่อความสะดวกในการจราจร เพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นการบัญญัติขึ้นมาเพื่อความปลอดภัยในการจราจรด้วยฉะนั้นจึงมีการลงโทษ การกระทำความผิดที่มีลักษณะเป็นการก่อให้เกิดอันตรายด้วยความผิดที่มีลักษณะ ก่อให้เกิดอันตราย เป็นการกระทำที่ใกล้จะก่อให้เกิดผลเป็นอันตรายต่อคุณธรรมทางกฎหมาย ที่บุคคลอื่นได้รับความ คุ้มครอง แม้ว่าผลเป็นเพียงความเสียหายที่จะยังไม่เกิดขึ้นสามารถลงโทษได้แล้ว ดังนั้น ความผิดที่เป็น การก่ออันตรายจึงมี “ความสมควรการลงโทษ ”อยู่ในตัวเองเหมือนความผิดอาญาที่เป็นการทำอันตราย จึงได้มีการบัญญัติความผิดอาญาที่เป็นการก่ออันตรายขึ้น โดยพิจารณาจากความเป็นไปได้ของผลที่จะ เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ได้มีการบัญญัติความผิดดังกล่าว ไว้ในกฎหมายลำดับรอง ซึ่งนับวันจะมีเพิ่ม มากขึ้น เช่นกฎหมายว่าด้วยการจราจร เป็นต้น ทั้งนี้เพราะว่าในความสัมพันธ์ของชีวิตปัจจุบัน โดยทั่วไป แล้วได้นำไปสู่ความจำเป็นจะต้องป้องกัน ความเสียหายที่เกิดขึ้น แม้ว่าจะเป็นผลให้ต้องจำกัดหรือละเลย ต่อหลักนิติรัฐเสรีนิยมไปบ้างก็ตาม ความผิดอาญาที่เป็นการก่ออันตราย เกิดจากแนวความคิดที่ว่า การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ของผู้กระทำความผิด ที่เป็นอันตรายต่อคุณธรรมทางกฎหมายที่บุคคลอื่นได้รับการคุ้มครองโดย ที่การ กระทำดังกล่าวไม่จำเป็นต้องปรากฏผลของอันตรายในองค์ประกอบความผิดเท่านั้น ไม่จำเป็นต้อง วินิจฉัยว่ามีผลของอันตรายเกิดขึ้นจริงหรือไม่ เช่น การขับรถยนต์ขณะเมาสุราเพียงเล็กน้อย ก็ถือว่าเป็น ความผิดหรือการขับรถยนต์ฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดง แม้ว่าการกระทำนั้นยังไม่ก่อให้เกิดความเสียหายก็ตาม แต่จะเห็นว่าอาจเกิดอันตรายขึ้นจากการกระทำดังกล่าวต่อบุคคล ทั่วไปได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เป็น อันตรายต่อความปลอดภัยของการจราจรและคุณธรรมทางกฎหมายของส่วนรวม ด้วยเหตุนี้เองความผิด อาญาที่เป็นการก่ออันตรายจึงไม่ได้ถูกบัญญัติขึ้นมา เพื่อลงโทษการกระทำที่เกิดความเสียหาย แต่ถูก บัญญัติขึ้นมาเพื่อให้เกิดความมั่นคงและความปลอดภัยในสังคม 3. ความผิดที่เป็นการกระทำโดยประมาท พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 ถือว่าเป็นกฎหมายอาญาประเภทหนึ่งเพราะเป็น กฎหมายที่ว่าด้วยความผิดและกำหนดโทษไว้ ด้วยเหตุนี้ความรับผิดในทางอาญาของผู้กระทำความผิด
9 ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 จึงต้องพิจารณา “เจตนา” ตามมาตรา 59วรรค แรกแห่ง ประมวลกฎหมายอาญาด้วยแสดงว่าผู้กระทำความผิดจะต้องรับผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522จะต้องมีเจตนาด้วย แต่มีบางฐานความผิด แม้ว่าผู้กระทำความผิดจะกระทำโดยประมาทก็ ต้องรับผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 ได้แก่ ความผิดฐานขับรถโดย ประมาทตาม มาตรา 43 (4) ที่บัญญัติว่า “ห้ามมิให้ผู้ขับขี่รถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียวอันอาจเกิดอันตรายแก่ บุคคลหรือทรัพย์สิน ” จะเห็นได้ว่าพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (4) ใช้คำว่า “อันอาจเกิด”แสดงว่าผลของการกระทำยังไม่เกิดอันตราย ผู้กระทำความผิดก็ต้อง รับโทษแล้ว แม้จะ เป็นการกระทำโดยประมาท กฎหมายจราจร พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2563 ลักษณะที่ 2 สัญญาณจราจร และเครื่องหมายจราจร [คำว่า “ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ” แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 4 แห่ง พระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2559] มาตรา 21 ผู้ขับขี่ต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามสัญญาณจราจรและเครื่องหมายจราจรที่ได้ติดตั้งไว้ หรือทำให้ปรากฏในทาง หรือที่เจ้าพนักงานจราจรแสดงให้ทราบสัญญาณจราจร เครื่องหมายจราจรและ ความหมายของสัญญาณจราจรและเครื่องหมายจราจร ให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกำหนดโดยประกาศ ในราชกิจจานุเบกษาและให้มีรูปตัวอย่างแสดงไว้ในประกาศด้วย มาตรา 22 ผู้ขับขี่ต้องปฏิบัติตามสัญญาณจราจรหรือเครื่องหมายจราจรที่ปรากฏข้างหน้าในกรณี ต่อไปนี้ (1) สัญญาณจราจรไฟสีเหลืองอำพัน ให้ผู้ขับขี่เตรียมหยุดรถหลังเส้นให้รถหยุดเพื่อเตรียม ปฏิบัติตามสัญญาณที่จะปรากฏต่อไปดังกล่าวใน (2) เว้นแต่ผู้ขับขี่ที่ได้เลยเส้นให้รถหยุดไปแล้วให้เลยไปได้ (3) สัญญาณจราจรไฟสีเขียวหรือเครื่องหมายจราจรสีเขียวที่มีคำว่า “ไป” ให้ผู้ขับขี่ขับรถต่อไป ได้ เว้นแต่จะมีเครื่องหมายจราจรกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น (4) สัญญาณจราจรไฟสีแดงหรือเครื่องหมายจราจรสีแดงที่มีคำว่า “หยุด” ให้ผู้ขับขี่หยุดรถหลัง เส้นให้รถหยุด (5) สัญญาณจราจรไฟลูกศรสีเขียวชี้ให้เลี้ยวหรือชี้ให้ตรงไป หรือสัญญาณจราจรไฟสีแดงแสดง พร้อมกับสัญญาณจราจรไฟลูกศรสีเขียวชี้ให้เลี้ยวหรือชี้ให้ตรงไปให้ผู้ขับขี่เลี้ยวรถหรือขับรถตรงไปได้ตาม ทิศทางที่ลูกศรชี้และต้องขับรถด้วยความระมัดระวังและต้องให้สิทธิแก่คนเดินเท้าในทางข้ามหรือรถที่มา ทางขวาก่อน (6) สัญญาณจราจรไฟกระพริบสีแดง ถ้าติดตั้งอยู่ที่ทางร่วมทางแยกใดเปิดทางด้านใดให้ผู้ขับขี่ ที่มาทางด้านนั้นหยุดรถหลังเส้นให้รถหยุด เมื่อเห็นว่าปลอดภัยและไม่เป็นการกีดขวางการจราจรแล้ว จึง ให้ขับรถต่อไปได้ด้วยความระมัดระวัง
10 (7) สัญญาณจราจรไฟกระพริบสีเหลืองอำพัน ถ้าติดตั้งอยู่ ณ ที่ใด ให้ผู้ขับขี่ลดความเร็วของรถ ลงและผ่านทางเดินรถนั้นไปด้วยความระมัดระวังผู้ขับขี่ซึ่งจะขับรถตรงไปต้องเข้าอยู่ในช่องเดินรถที่มี เครื่องหมายจราจรแสดงให้ตรงไปส่วนผู้ขับขี่ซึ่งจะเลี้ยวรถต้องเข้าอยู่ในช่องเดินรถที่มีเครื่องหมายจราจร แสดงให้เลี้ยว การเข้าอยู่ในช่องเดินรถดังกล่าวจะต้องเข้าตั้งแต่เริ่มมีเครื่องหมายจราจรแสดงให้ปฏิบัติ เช่นนั้น ลักษณะที่3 การใช้ทางเดินรถ หมวด 1 การขับรถ มาตรา 31 นอกจากที่บัญญัติไว้เป็นพิเศษในลักษณะ 4 ว่าด้วยการใช้ทางเดินรถที่จัดเป็นช่อง เดินรถประจำทาง การใช้ทางเดินรถให้เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในลักษณะนี้ มาตรา 31/1 ในขณะขับรถในทางเดินรถ ผู้ขับขี่ต้องมีใบอนุญาตขับขี่อยู่กับตัวและต้อง แสดง ต่อเจ้าพนักงานจราจรเมื่อขอตรวจ ในกรณีที่ผู้ขับขี่แสดงใบอนุญาตขับขี่ด้วยวิธีการทางข้อมูล อิเล็กทรอนิกส์หรือสำเนาภาพถ่ายใบอนุญาตขับขี่ตามที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด ให้ถือว่าผู้ขับขี่มี ใบอนุญาตขับขี่อยู่กับตัวตามวรรคหนึ่งแล้ว มาตรา 33 ในการขับรถ ผู้ขับขี่ต้องขับรถในทางเดินรถด้านซ้ายและต้องไม่ล้ำกึ่งกลางของ ทางเดินรถ เว้นแต่ในกรณีต่อไปนี้ ให้เดินทางขวาหรือล้ำกึ่งกลางของทางเดินรถได้ (1) ด้านซ้ายของทางเดินรถมีสิ่งกีดขวางหรือถูกปิดการจราจร (2) ทางเดินรถนั้นหัวหน้าเจ้าพนักงานจราจร*กำหนดให้เป็นทางเดินรถทางเดียว (3) ทางเดินรถนั้นกว้างไม่ถึงหกเมตร มาตรา 38 การให้ไฟสัญญาณของผู้ขับขี่รถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ให้ปฏิบัติ ดังต่อไปนี้ (1) เมื่อจะหยุดรถ ผู้ขับขี่ต้องให้ไฟสัญญาณสีแดงที่ท้ายรถ (2) เมื่อจะเลี้ยวรถ เปลี่ยนช่องเดินรถหรือแซงขึ้นหน้ารถคันอื่น ผู้ขับขี่ต้องให้สัญญาณยกเลี้ยวสี เหลืองอำพัน หรือให้ไฟสัญญาณกระพริบสีขาวหรือสีเหลืองอำพันที่ติดอยู่หน้ารถหรือข้างรถและ ไฟสัญญาณกระพริบสีแดงหรือสีเหลืองอำพันที่ติดอยู่ท้ายรถไปในทิศทางที่จะเลี้ยว เปลี่ยนช่องเดินรถหรือ แซงขึ้นหน้ารถคันอื่น (3) เมื่อจะให้รถคันอื่นแซงขึ้นหน้า ผู้ขับขี่ต้องให้ไฟสัญญาณยกเลี้ยวสีเหลืองอำพัน หรือให้ ไฟสัญญาณกระพริบสีแดงหรือสีเหลืองอำพันที่ติดอยู่ท้ายรถทางด้านซ้ายของรถ มาตรา 43 ห้ามมิให้ผู้ขับขี่ขับรถ (1) ในขณะหย่อนความสามารถในอันที่จะขับ (2) ในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น (3) ในลักษณะกีดขวางการจราจร (4) โดยประมาทหรือน่าหวาดเสียว อันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน
11 (5) ในลักษณะที่ผิดปกติวิสัยของการขับรถตามธรรมดาหรือไม่อาจแลเห็นทางด้านหน้าหรือ ด้านหลัง ด้านใดด้านหนึ่งหรือทั้งสองด้านได้พอแก่ความปลอดภัย (6) คร่อมหรือทับเส้นหรือแนวแบ่งช่องเดินรถ เว้นแต่เมื่อเปลี่ยนช่องเดินรถ เลี้ยวรถ หรือกลับ รถ (7) บนทางเท้าโดยไม่มีเหตุอันสมควร เว้นแต่รถลากเข็นสำหรับทารก คนป่วยหรือคนพิการ (8) โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น มาตรา121 ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ต้องนั่งคร่อมบนอานที่จัดไว้สำหรับให้ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์นั่ง ถ้าเจ้าพนักงานจราจร*ได้กำหนดไว้ในใบคู่มือจดทะเบียนให้บรรทุกคนโดยสารได้คนโดยสารจะต้องนั่ง ซ้อนท้ายผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ และนั่งบนอานที่จัดไว้สำหรับคนโดยสารหรือนั่งในที่นั่งพ่วงข้าง มาตรา122 ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์และคนโดยสารรถจักรยานยนต์ต้องสวมหมวกที่จัดทำขึ้น โดยเฉพาะเพื่อป้องกันอันตรายในขณะขับขี่และโดยสารรถจักรยานยนต์ห้ามมิให้ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ ตามวรรคหนึ่งขับขี่รถจักรยานยนต์ในขณะที่คนโดยสารรถจักรยานยนต์มิได้สวมหมวกที่จัดทำขึ้น โดยเฉพาะเพื่อป้องกันอันตราย ลักษณะและวิธีการใช้หมวกเพื่อป้องกันอันตรายตามวรรคหนึ่งให้เป็นไป ตามที่กำหนดในกฎกระทรวงความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับแก่ภิกษุ สามเณร นักพรต นักบวช หรือผู้นับ ถือลัทธิศาสนาอื่นที่ใช้ผ้าหรือสิ่งอื่นโพกศีรษะตามประเพณีนิยมนั้น หรือบุคคลใดที่กำหนดในกฎกระทรวง มาตรา 148 ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 6 วรรคหนึ่งหรือวรรคสอง มาตรา 8 วรรคหนึ่ง มาตรา 9 มาตรา 10 มาตรา 11 มาตรา 14 วรรคหนึ่ง มาตรา 20 มาตรา 36 มาตรา 37 มาตรา 38 มาตรา 41 มาตรา 42 มาตรา 44 มาตรา 51 มาตรา 54 มาตรา 55 วรรคหนึ่ง มาตรา 57 มาตรา 58 มาตรา 60 มาตรา 62 มาตรา 63 มาตรา 68 มาตรา 69 มาตรา 70 มาตรา 71 มาตรา 73 วรรคสอง มาตรา 74 มาตรา 76 มาตรา 83 มาตรา 84 มาตรา 87 มาตรา 88 มาตรา 96 วรรคหนึ่ง มาตรา 97 มาตรา 101 มาตรา 107 มาตรา 108 มาตรา 109 มาตรา 110 มาตรา 111 มาตรา 112 มาตรา 114 วรรคหนึ่ง มาตรา 118 มาตรา 119 มาตรา 120 มาตรา 121 มาตรา 122 วรรคหนึ่งหรือวรรคสาม มาตรา 123 มาตรา 124 มาตรา 126 มาตรา 129 หรือมาตรา 133 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าร้อย บาท มาตรา 151 ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 33 มาตรา 34 มาตรา 39 มาตรา 52 มาตรา 61 หรือมาตรา 66 ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่สองร้อยบาทถึงห้าร้อยบาท มาตรา 152 ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา 7 มาตรา 10 ทวิ มาตรา 13 วรรคหนึ่ง มาตรา 15 วรรคหนึ่ง มาตรา 16 มาตรา 21 วรรคหนึ่ง มาตรา 22 มาตรา 23 (1) มาตรา 24 มาตรา 25 มาตรา 26 มาตรา 29 มาตรา 31/1 มาตรา 49 มาตรา 50 มาตรา 56 มาตรา 64 มาตรา 67 วรรคหนึ่ง มาตรา 73 วรรคหนึ่งหรือวรรคสาม มาตรา 77 วรรคหนึ่ง มาตรา 85 มาตรา 86 มาตรา 89 วรรคหนึ่ง มาตรา 90 มาตรา 91 มาตรา92 มาตรา 93 มาตรา 94 วรรคหนึ่ง มาตรา 95 มาตรา 99 มาตรา 127 มาตรา 128 หรือมาตรา 130 หรือไม่ปฏิบัติตามประกาศที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกำหนดตามมาตรา 15
12 วรรคสอง หรือไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา 77 วรรคสอง หรือมาตรา 96 วรรคสอง ต้อง ระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท มาตรา 157/1 ผู้ขับขี่ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของหัวหน้าเจ้าพนักงานจราจร พนักงาน สอบสวน เจ้าพนักงานจราจร* หรือผู้ตรวจการที่ให้มีการตรวจสอบผู้ขับขี่ตามมาตรา 43 ทวิหรือฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้ตรวจการที่ให้มีการทดสอบผู้ขับขี่ตามมาตรา 43 ตรี ต้องระวางโทษปรับไม่ เกินหนึ่งพันบาทผู้ขับขี่ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 43 ทวิ วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษสูงกว่าที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่า ด้วยยาเสพติดให้โทษหรือกฎหมายว่าด้วยวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทอีกหนึ่งในสาม และให้ศาลสั่ง พักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่าหกเดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ ถ้าการกระทำ ความผิดตามวรรคสองเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ หนึ่งปีถึงห้าปีและปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาทและให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมี กำหนดไม่น้อยกว่าหนึ่งปีหรือเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคสองเป็นเหตุให้ ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงหกปี และปรับตั้งแต่สี่หมื่นบาทถึง หนึ่งแสนสองหมื่นบาท และให้ศาลสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ของผู้นั้นมีกำหนดไม่น้อยกว่าสองปี หรือเพิก ถอนใบอนุญาตขับขี่ ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคสองเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้อง ระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงสองแสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอน ใบอนุญาตขับขี่ ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ทฤษฎีการลงโทษ 1. ทฤษฎีทดแทนความผิด (Retributive Theory) ซึ่งเห็นว่าคนเรามีเจตจำนงอิสระ (Free Will) ที่จะเลือกกระทำสิ่งต่างๆได้ ดังนั้นเมื่อผู้ใดเลือกกระทำความผิด เราจึงควรลงโทษเขาที่เลือก กระทำความผิดนั้น เพื่อชดเชยความยุติธรรมที่เสียไปให้กลับคืนมา 2. ทฤษฎีอรรถประโยชน์ (Utilitarion Theory) ซึ่งเห็นว่า เมื่อคนเรามีเจตจำนงอิสระ (Free Will) ที่จะเลือกกระทำสิ่งต่างๆได้ ดังนั้น เราจึงควรลงโทษเขาเพื่อความมุ่งหมายในการป้องกัน สังคม เพื่อข่มขู่ไม่ให้คนอื่นใช้เจตจำนงอิสระ (Free Will) ในการเลือกกระทำสิ่งต่างๆที่ขัดกับกฎหมาย 2.แนวคิดเกี่ยวกับพฤติกรรม ความหมายของพฤติกรรม พันธุ์ทิพย์ รวมสูตร (2540 : 141-142)กล่าวว่า พฤติกรรม หมายถึง ปฏิกิริยาต่าง ๆหรือกิจกรรม ของบุคคลที่แสดงออกมา ซึ่งสังเกตได้หรือสังเกตไม่ได้ก็ตาม มีทั้งพฤติกรรมภายในและภายนอกที่เป็นสิ่งที่ มองเห็นได้ตลอดเวลา เช่น การพูด การแสดงกิริยามารยาทต่าง ๆ
13 วิธี แจ่มกระทึก (2541 : 14) กล่าวว่า พฤติกรรม หมายถึงการกระทำหรือการแสดงออกของ บุคคลที่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายในจิตใจและสิ่งเร้าภายนอกโดยการกระทำ นั้นอาจเป็นไปโดยรู้ตัวหรือไม่ รู้ตัว ซึ่งอาจเป็นพฤติกรรมที่พึงประสงค์หรือไม่พึงประสงค์ถึงแม้บุคคลอื่นสามารถสังเกตการณ์กระทำนั้น ได้หรือไม่ก็ตาม แต่สามารถใช้เครื่องมือทดสอบได้ สังคม ตัดโส (2541 : 11) กล่าวว่า พฤติกรรม หมายถึงการกระทำหรือกิจกรรมทุกสิ่งทุกอย่างที่ มนุษย์กระทำ ซึ่งอาจเป็นไปได้โดยไม่รู้ตัว หรือเป็นการกระทำ ที่มีจุดมุ่งหมาย รวมทั้งตรึกตรองเป็นอย่าง ดีมาแล้ว โดยมีความรู้ความเข้าใจ และการปฏิบัติเป็นตัวก่อให้บุคคลนั้นแสดงพฤติกรรมออกมา โดย บุคคลที่อยู่รอบข้างสามารถสังเกตการณ์กระทำนั้นได้หรือไม่ก็ตาม ซึ่งสามารถใช้เครื่องมือทดสอบได้ นิลุบล ไทยรัตน์ (2542 : 22) กล่าวว่า พฤติกรรม หมายถึง ปฏิกิริยาที่ตอบสนองต่อสิ่งเร้าของ มนุษย์ซึ่งบ่งบอกถึงอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด และการรับรู้ของมนุษย์ต่อสิ่งเร้านั้นๆ สงวน สุทธิเลิศอรุณ (2543 : 5)กล่าวว่า พฤติกรรม หมายถึงการกระทำของมนุษย์ทั้งกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม โดยรู้สึกนึกคิด ทั้งที่สังเกตเห็นได้และไม่อาจสังเกตเห็นได้ ดังนั้นอาจสรุปได้ว่า พฤติกรรม คือการเเสดงออกหรือท่าทางของมนุษย์ที่สามารถสังเกตได้เเละ สังเกตุไม่ได้อย่างเช่นความรู้สึกนึกคิด การเเสดงกิริยาท่าทางต่างๆ ประเภทของพฤติกรรม พฤติกรรมจำแนกออกเป็น 2 ประเภทคือ 1. พฤติกรรมที่มีมาแต่กำเนิด (Innate behavior) แสดงออกเพื่อตอบสนองต่อสิ่งเร้าชนิด เป็นพฤติกรรมที่ได้มาจากกรรมพันธุ์ สัตว์สามารถแสดงออกได้โดยไม่ต้องเรียนรู้มาก่อน มีแบบแผน เดียวกัน (Stereotyped) ไม่ค่อยมีการปรับเปลี่ยนโดยการเรียนรู้ มีลักษณะเฉพาะของแต่ละสปีชีส์ (Species-specific) พฤติกรรมที่มีมาแต่กำเนิดแบ่งออกเป็น 3 แบบคือ (1) Kinesis เป็นการเคลื่อนที่เข้าหาหรือออกจากสิ่งเร้าโดยมีทิศทางไม่แน่นอน (2) Taxis เป็นการเคลื่อนเข้าหาหรือออกจากสิ่งเร้าโดยมีทิศทางแน่นอน (3) พฤติกรรมที่มีแบบแผนแน่นอน (Fixed action pattern หรือ FAP) เมื่อสัตว์ถูกกระตุ้นโดย สิ่งเร้าจากภายนอกที่เรียกว่า Sign stimulus (releaser) จะทำให้เกิดพฤติกรรมที่มีแบบแผนแน่นอน 2. พฤติกรรมการเรียนรู้ (Learning behavior) สามารถปรับเปลี่ยนได้อันเป็นผลเนื่องมาจาก ประสบการณ์ ไม่ใช่เกิดจากการที่สัตว์มีอายุมากขึ้น (Maturation) พฤติกรรมการเรียนรู้ได้รับอิทธิพลจาก ทั้งยีนและสิ่งแวดล้อม จำแนกเป็น 7 ประเภทดังนี้ (1) พฤติกรรมความเคยชิน (Habituation) เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการที่สัตว์หยุดตอบสนอง ต่อสิ่งเร้าที่ซ้ำๆกัน เนื่องจากไม่ได้รับการตอบแทนที่เหมาะสม (2) พฤติกรรมการฝังใจ (Imprinting) เป็นพฤติกรรมที่ถูกกำหนดมาแล้วโดยยีน จะเกิดขึ้น เฉพาะในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต (Critical period) และมีลักษณะเป็น Irreversible learning สิ่งเร้าที่ กระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมการฝังใจเรียกว่า Imprinting stimulus จากการศึกษาของนักชีววิทยาชาว เยอรมันชื่อ Konrad Lorenz พบว่าลูกห่านที่ฟักออกจากไข่จะเดินตามแม่ของมัน
14 (3) การเรียนรู้แบบมีเงื่อนไข (Classical conditioning) หมายถึงการที่สัตว์เรียนรู้ที่จะนำสิ่งเร้า ใหม่เข้าไปทดแทนสิ่งเร้าเดิมในการกระตุ้นให้สัตว์เกิดการตอบสนองตามธรรมชาติ (Unconditioned response) สิ่งเร้าเดิมซึ่งปรกติกระตุ้นให้สัตว์เกิดการตอบสนองเรียกว่าสิ่งเร้าที่ไม่เป็นเงื่อนไข (Unconditioned stimulus) ส่วนสิ่งเร้าใหม่ซึ่งปรกติไม่กระตุ้นให้สัตว์แสดงการตอบสนองนี้เรียกว่าสิ่ง เร้าที่เป็นเงื่อนไข (Conditioned stimulus) (4) การลองผิดลองถูก (Operant conditioning หรือ Trial and error) หมายถึงการที่สัตว์ เรียนรู้ที่จะเชื่อมโยงพฤติกรรมหนึ่งกับการได้รางวัลหรือการถูกลงโทษ เมื่อได้รางวัลสัตว์ก็จะแสดง พฤติกรรมนั้นซํ้า แต่เมื่อถูกลงโทษสัตว์ก็จะหลีกเลี่ยงที่จะแสดงพฤติกรรมนั้นอีก (5) การลอกเลียนแบบ (Observational learning) เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการที่สัตว์ดู พฤติกรรมของสัตว์อื่นและเรียนรู้ข้อมูลสำคัญบางอย่างแล้วทำตาม (6) การรู้จักใช้เหตุผล (Insight learning หรือ reasoning) หมายถึง การที่สัตว์สามารถแสดง พฤติกรรมได้ถูกต้องตั้งแต่ครั้งแรกถึงแม้ว่าสัตว์นี้จะไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน (7) การใช้ความคิดประมวลข้อมูลเพื่อการตัดสินใจ (Cognition) การคิดประมวลข้อมูลเป็น ลักษณะที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม และเป็นส่วนสำคัญในการแสดงออกของพฤติกรรม ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจร 1. ปัจจัยเพศ และอายุมีนัยสำคัญต่อพฤติกรรมขับรถผิดกฎจราจร สอดคล้องกับผลการศึกษา ของ Martinussena, L. et al. และ ปัญญา จันทรสุขโข (ถูกอ้างถึงในชยาภรณ์ จตุรพรประสิทธิ, 2564, หน้า 346-357) โดยเพศชายมีพฤติกรรมขับรถผิดกฎจราจร มากกว่าเพศหญิง อาจจะเนื่องมาจาก บุคลิกภาพของเพศชาย ความกล้าในการตัดสินใจเหตุเฉพาะหน้าและการบังคับรถได้ดีกว่าเพศหญิง ในส่วนของกลุ่มอายุที่มีความแตกต่างกันมีพฤติกรรมขับรถผิดกฎจราจรแตกต่างกัน 2. สถานภาพสมรสต่างกันมีพฤติกรรมขับรถผิดกฎจราจรต่างกัน สอดคล้องกับผลการศึกษาของ วัชรพล อิ่มจรูญ และสอดคล้องกับผลการศึกษาของ นิภา เสียงสืบชาติโดยกลุ่มคนโสดมีพฤติกรรมการขับ รถผิดกฎจราจรมากกว่ากลุ่มอื่น อาจจะเนื่องจากไม่มีครอบครัวเป็นสิ่งยึดโยงให้เกิดความยับยั้งชั่งใจ แตกต่างจากกลุ่มที่สมรสที่มีพฤติกรรมขับรถผิดกฎจราจรน้อยกว่า 3. รายได้ต่อเดือนต่างกันมีพฤติกรรมขับรถผิดกฎจราจรต่างกัน สอดคล้องกับผลการศึกษาของ นิภา เสียงสืบชาติ ที่รายได้ต่างกันมีเจตคติในความปลอดภัยต่างกันโดยกลุ่มที่มีพฤติกรรมขับผิดกฎจราจร มากที่สุด 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่า15,000 บาท รายได้ 15,001 - 30,000 บาท และ รายได้ มากกว่า 60,000 บาท ขึ้นไปอาจเนื่องมาจาก กลุ่มที่มีรายได้น้อยเป็นกลุ่มที่ทำงานแข่งกับเวลาจึงต้องการ ทำให้ต้องขับรถเร่งรีบเพื่อทำเวลา และประกอบการรถอาจจะไม่ใช่รถส่วนตัวอาจจะส่งผลต่อการขับรถ แบบไม่รับผิดชอบต่อทรัพย์สิน และในส่วนของผู้มีรายได้สูงนั้น ที่สามารถขับรถผิดกฎจราจรได้เนื่องจาก รถมีสมรรถนะสูง ค่าปรับไม่สูง จึงมีความมั่นใจในการขับรถแบบเสี่ยง (นิภา เสียงสืบชาติ, 2549)
15 4. ประสบการณ์การขับรถที่มีระยะเวลาแตกต่างกันพฤติกรรมขับรถผิดกฎจราจรต่างกัน สอดคล้องกับผลการศึกษาของ Martinussena, L. et al. และ Warner, H. et al.โดยกลุ่มประสบการณ์ 11 - 15 ปีมีค่าเฉลี่ยมากที่สุด และรองลงมาคือ กลุ่มประสบการณ์ 6 - 10 ปี และเมื่อประสบการณ์ มากกว่า 15 ปี ค่าเฉลี่ยจะเริ่มลดลง แสดงให้เห็นว่ากลุ่มที่มีประสบการณ์ขับรถ 11 - 15 ปีนั้นมั่นใจใน ประสบการณ์ที่มากขึ้นของตนเองทำให้ขับรถผิดกฎจราจร แต่ผู้ที่มีประสบการณ์มากกว่า 15 ปีขึ้นไปนั้น การขับรถผิดกฎจราจรจะน้อยลงเพราะอาจจะพบเจอความน่ากลัวของอุบัติเหตุมากขึ้น ความคึกคะนอง ลดลง และอาจเนื่องมาจากมีปัจจัยที่เกี่ยวกับอายุเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยได้นำเสนอไปก่อนหน้านี้แล้วว่าอายุ มากพฤติกรรมเสี่ยงลดลง (Martinussena, L. et al., 2013); (Warner, H. et al., 2010) 3.แนวความคิดเกี่ยวกับอุบัติเหตุ ความหมายของอุบัติเหตุ (Accident) ได้มีผู้ให้ความหมายของอุบัติเหตุไว้หลายความหมาย ที่แตกต่างกัน ได้แก่ อุบัติเหตุ ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2525) หมายถึง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดย ไม่คาดคิด ความบังเอิญเป็น อุบัติเหตุ ตามสารนุกรมไทยสำหรับเยาวชน (2526) หมายถึง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ไม่รู้ตัวล่วงหน้ามาก่อน อุบัติเหตุอาจทำให้เกิดอันตรายได้ตั้งแต่เล็กน้อย เช่น ทรัพย์สินเสียหาย จนถึง บาดเจ็บ พิการหรือร้ายแรงถึงตาย มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (2527) ได้ให้ความหมายอุบัติเหตุว่า หมายถึง เหตุการณ์ที่ เกิดขึ้นโดยมิได้คาดคิดมิได้มีการจงใจ และเหตุการณ์ดังกล่าวเมื่อเกิดขึ้นแล้วทำความเสียหาย แก่บุคคล หรือทรัพย์สิน วิจิตร บุณยะโหตระ (2527) ได้ให้ความหมายของอุบัติเหตุว่า หมายถึง เหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นโดย ไม่คาดฝันมาก่อนโดยไม่เจตนา เป็นผลให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สิน เป็นอันตรายแก่ร่างกายและจิตใจ และอาจทำให้เสียชีวิตได้ด้วยความสูญเสียโดยตรง ได้แก่ ค่าบริการฉุกเฉิน ค่ารักษาพยาบาลใน โรงพยาบาล ค่าดูแลผู้ที่ได้รับบาดเจ็บภายหลังออกจากโรงพยาบาล ค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูสภาพ ค่าทำศพ ค่าชดเชยในระหว่างเจ็บป่วย ค่าชดใช้ความพิการ ค่าทรัพย์สินเสียหาย เป็นต้น กองสุขศึกษา สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (2540) ให้ความหมายของ อุบัติเหตุ ในสุขบัญญัติแห่งชาติว่า หมายถึง การบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ที่เกิดจากเหตุอันเนื่องจากการจราจรทางบก ทางน้ำ หรือทางอากาศ การพลัดตก หกล้ม ถูกกระทบ โดยวัตถุเชิงกล ความร้อน ถูกทำร้ายอุบัติเหตุที่ เกิดขึ้นในบ้านหรือในที่สาธารณะโดยเป็นปัญหาสำคัญที่ก่อให้เกิดความสูญเสีย ทั้งทางสังคมและเศรษฐกิจ ของประเทศ ยิ่งกว่านั้น ยังเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของการบาดเจ็บ เสียชีวิตของคนในวัยหนุ่มสาว ซึ่งเป็น ทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญ สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากความประมาทและสิ่งแวดล้อมรอบตัวมีการเปลี่ยนแปลง หรือเครื่องมือเครื่องใช้มีสภาพไม่สมบูรณ์และขาดการดูแลเอาใจใส่ในการกระทำของตนเอง จึงมีความ เสี่ยงสูงขึ้น และเกิดได้ตลอดเวลา
16 กฤตพงศ์ โรจน์รุ่งศศิธร (2549) ให้ความหมายของ อุบัติเหตุจากการขนส่ง หรือการจราจร (Transportation or Traffic Accidents) หมายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากการคมนาคมหรือการขนส่ง ได้แก่ อุบัติเหตุจากการจราจรทางบก อุบัติเหตุจากรถไฟ อุบัติเหตุจากการขนส่งทางน้ำและอุบัติเหตุจาก การขนส่งทางอากาศ กระทรวงสาธารณสุข (2554) ให้ความหมายของอุบัติเหตุยานยนต์ หรืออุบัติเหตุจราจรทางบก หมายถึง อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับยานยนต์ ซึ่งมีทั้งการชนเฉี่ยว การแซง และอื่น ๆ โดยไม่รวมถึงอุบัติเหตุทาง รถไฟ ทางน้ำ และทางอากาศในการศึกษาครั้งนี้ อุบัติเหตุจราจรทางถนน หมายถึง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยไม่คาดคิดเป็นเหตุการณ์ ที่เกิดกับยานยนต์บนท้องถนน ซึ่งมียานพาหนะประเภทรถจักรยานยนต์เข้า มา เกี่ยวข้องด้วย อย่างน้อย 1 คัน ซึ่งส่งผลให้เกิดความสูญเสียกับตัวบุคคล และทรัพย์สิน ประเภทของอุบัติเหตุ อาจแบ่งเป็นประเภทต่าง ๆ ได้ 4 ประเภทคือ (มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2527) 1. อุบัติเหตุในบริเวณที่อยู่อาศัย เกิดขึ้นในตัวอาคาร ที่อยู่อาศัย และบริเวณภายนอกอาคาร ซึ่งอยู่ในรั้วบ้านควรจะเป็นสถานที่ที่ให้ความสุขทั้งทางกายและทางใจแก่ผู้อาศัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้าน ของความปลอดภัย แต่พบว่ายังมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นในบ้านอยู่เสมอ ๆ เป็นผลให้เกิดการบาดเจ็บของผู้อาศัย หรือทรัพย์สินเสียหาย เช่น การพลัดตกหกล้ม การถูกของมีคม 2. อุบัติเหตุจากการประกอบอาชีพ เกิดเนื่องจากการทำงานหาเลี้ยงชีพในงานประเภทต่าง ๆ เช่น งานอุตสาหกรรม งานเกษตรกรรม งานก่อสร้าง เป็นต้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วมีผลทำให้เกิดการบาดเจ็บ ทุพพลภาพหรือเสียชีวิต รวมทั้งเกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สิน นอกจากนี้เป็นผลให้งานที่ดำเนินอยู่ต้อง หยุดชะงัก ทำให้ผลผลิตตกต่ำ และราคาต้นทุนการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้น อันเป็นผลเสียต่อเศรษฐกิจของ ประเทศโดยส่วนรวม 3. อุบัติเหตุเนื่องจากการเดินทางหรือการขนส่ง อาจแบ่งอย่างกว้าง ๆ ได้เป็น 4 ประเภท 3.1. อุบัติเหตุจากการจราจรบนถนน เนื่องจากในปัจจุบันได้มีการใช้ ยานพาหนะเพิ่มขึ้น อย่างมากมาย ทั้งในด้านการเดินทางและการขนส่ง ในขณะเดียวกันอุบัติเหตุจากการจราจรบนถนนก็ เพิ่มขึ้นโดยลำคับ 3.2. อุบัติเหตุเนื่องจากการสัญจรทางน้ำ 3.3. อุบัติเหตุเนื่องจากรถไฟ 3.4. อุบัติเหตุทางอากาศ 4. อุบัติภัยธรรมชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องประสบอยู่เสมอ ได้แก่ อุทกภัย พายุหมุนคลื่นใต้น้ำ จากทะเล เป็นต้น และอุบัติภัยบางส่วนอาจจะควบคุมได้
17 ปัจจัยที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุ นฤชา เนตรวิชัย (2550) กล่าวว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการ เกิดอุบัติเหตุจราจรทางถนน มีดังนี้ 1. ปัจจัยด้านบุคคล คือ ผู้ขับขี่ คนโดยสาร คนเดินเท้า โดยผู้ขับขี่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ จราจรทางถนนมากที่สุดเนื่องจากเป็นผู้ที่ควบคุมตนเอง และยานพาหนะ โดยองค์ประกอบของบุคคลที่มี ผลต่อการเกิดอุบัติเหตุจราจรทางถนน ได้แก่ 1.1 อายุและเพศ พบว่า คนหนุ่มสาวทำให้เกิดอุบัติเหตุจราจรทางถนนมากกว่าคน กลุ่มอายุอื่น ๆ เพราะมีลักษณะชอบแสดงออก มีความระมัดระวังน้อย มักฝ่าฝืนกฎจราจร เมื่ออายุมาก ขึ้นพฤติกรรมขับขี่จะดีขึ้น และโดยทั่วไปแล้วเพศชายจะเป็นผู้ก่ออุบัติเหตุจราจรทางถนนสูงกว่าผู้หญิง 1.2 ทักษะและประสบการณ์ พบว่า เป็นสิ่งที่สำคัญในการขับขี่ยานพาหนะเพราะหาก ขาดทักษะในการใช้เส้นทาง เช่น ไม่ชำนาญเส้นทาง ไม่เคยปฏิบัติมาก่อน อาจเป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุ จราจรทางถนนได้ อีกประการหนึ่งคือ ประสบการณ์ หากขับขี่ไม่ดี ได้รับการฝึกฝนไม่เพียงพอ ไม่คุ้นเคย กับยานพาหนะ จะทำให้การตัดสินใจ การควบคุมเครื่องยนต์ การใช้ยานพาหนะไม่ดีเท่าที่ควร เป็นเหตุให้ เกิดอุบัติเหตุจราจรทางถนนได้ง่ายเช่นกัน 1.3 สภาพร่างกายและจิตใจ พบว่า ความเหน็ดเหนื่อย อ่อนเพลีย อาการง่วงนอนอาการ ป่วย อาการเมื่อยล้าจากการขับรถระยะไกล รวมถึงการมองเห็นไม่ชัด การไม่ได้ยิน ถือเป็นสภาพร่างกาย ที่มีผลต่อการเกิดอุบัติเหตุจราจรทางถนนได้ง่าย นอกจากนั้น การใช้ยาบางชนิด เช่นยาแก้แพ้ ยาลดความ อ้วน จะทำให้การตัดสินใจช้าลง การดื่มสุราทำให้เกิดอาการมึนงง จะทำให้การตัดสินใจผิดพลาด เช่นเดียวกับสภาพจิตใจและอารมณ์ กรณีคนขับอยู่ในอารมณ์โกรธ ฉุนเฉียวจะทำให้ขับเร็ว ขาดความ ยั้งคิด ขาดความระมัดระวัง ในทางกลับกันหากคนขับอยู่ในอาการซึมเศร้าวิตกกังวล จะทำให้เหม่อลอย ไม่มีสมาธิในการขับ การตัดสินใจผิดพลาดได้ง่าย 1.4 พฤติกรรมการขับขี่ พบว่า อุบัติเหตุจราจรทางถนนส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมขับขี่ ที่ผิดพลาด ความประมาท การขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องเครื่องหมาย หรือสัญญาณจราจรการไม่ ปฏิบัติตามกฎของบุคคล 2. ปัจจัยด้านยานพาหนะ (ศรี สมร การ่อน, 2539) ยานพาหนะ หมายถึง รถจักรยานยนต์คือ สภาพของรถจักรยานยนต์ที่สามารถวิ่งบนเส้นทางได้ ต้องมีความมั่นคงแข็งแรง ไม่ก่อให้เกิดอันตรายเสื่อม เสียสมรรถภาพของผู้ใช้ ผู้โดยสาร และประชาชนทั่วไป ต้องมีเครื่องยนต์ และส่วนควบคุมครบถ้วน โดย องค์ประกอบของยานพาหนะที่มีผลต่อการเกิดอุบัติเหตุจราจรทางถนน ได้แก่ 2.1 สภาพเส้นยาง มีความบกพร่อง เช่น เส้นยางที่ไม่มีดอกยาง จะทำให้การเกาะถนน ไม่ดี เส้นยางที่เก่ามากไม่ได้เปลี่ยนอาจเกิดการแตกหรือระเบิดทำให้รถสียหลักได้ 2.2 ระบบห้ามล้อ มีความบกพร่อง เช่น เบรกไม่ทำงาน หรือเบรกแตก ใช้การไม่ได้ 2.3 ระบบสัญญาณไฟ มีความบกพร่อง เช่น ไฟเลี้ยวชำรุด ทำให้ขาคการให้สัญญาณเมื่อ ต้องการเลี้ยว หรือมีรถสวนมา จึงเกิดอุบัติเหตุจราจรทางถนนได้ง่าย เช่นเดียวกันหากโคมไฟหน้าชำรุด ก็จะทำให้เกิดอุบัติเหตุจราจรทางถนนได้ง่าย โคยเฉพาะเวลากลางคืน
18 2.4 อันบังคับรถ มีความบกพร่อง เช่น อยู่ในสภาพไม่ปกติ ไม่เหมาะกับการใช้งานหรือมี กระจกไม่ครบตามที่กฎหมายกำหนด 2.5 รถจักรยานยนต์ มีความบกพร่อง เช่น ไม่ได้มาตรฐานความปลอดภัย อุปกรณ์หรือ เครื่องยนต์ไม่ครบ มีการดัดแปลงเครื่องยนต์ มีการดัดแปลงให้ตัวรถสูงขึ้น หรือเตี้ยลง มีการคัดแปลง รถจักรยานยนต์มาใช้ในการบรรทุกพ่วง เพื่อบรรทุกสิ่งของ และคน เกินอัตราที่กฎหมาย 3. ปัจจัยด้านถนน (กองสุขบัญญัติแห่งชาติ2546) คือสภาพถนนที่ไม่เอื้ออำนวย เป็นบริเวณ จุดอันตรายที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุจราจรทางถนน ได้ง่าย และบ่อยครั้ง เช่น ทางโค้ง ทางแยก ทางลาดชัน สะพาน ถนนไม่เรียบ เป็นหลุม และถนนที่มีความกว้างน้อยกว่า 5 เมตร ประกอบกับการขับขี่ที่ไม่ ระมัดระวัง โดยองค์ประกอบของลักษณะเส้นทางที่มีผลต่อการเกิดอุบัติเหตุจราจรทางถนน ได้แก่ 3.1 ความกว้างและจำนวนช่องทางเดินรถ กล่าวคือ ช่องทางเดินรถที่มีเพียง 2 ช่องทาง จะมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุจราจรทางถนนได้ง่าย เพราะพื้นที่ในการสัญจรไปมาน้อย การแซง หรือ การตัดสินใจที่คาดการณ์ไว้ผิดพลาดได้ง่าย ขนาดช่องทางที่แคบไม่เหมาะสม ทำให้รถเบียดกัน อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุจราจรทางถนนได้ง่าย 3.2 แนวกั้นกลางถนน กล่าวคือ ปกติจะใช้สำหรับกั้นแนวถนนที่มีการจราจรสวนกัน ไปมา เพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่รถที่สวนกัน และให้เกิดความระมัดระวังในการใช้รถใช้ถนนร่วมกัน การตีเส้นบนพื้นถนน หรือทำสัญลักษณ์ ที่ไม่ชัดเจน เช่น ไม่สะท้อนแสงในเวลากลางคืนทำให้มองเห็น ช่องทางเดินรถไม่ชัดเจน และทำให้เกิดอุบัติเหตุจราจรทางถนนได้ 3.3 ไหล่ทาง กล่าวคือ จะเป็นพื้นผิวด้านข้างของถนนที่ยังไม่จัดเป็นทางเท้า ซึ่งไหล่ทาง ที่แคบ มีสิ่งกีดขวาง มีต้นไม้ ย่อมก่อให้เกิดอุบัติเหตุจราจรทางถนนได้ง่ายกว่า ไหล่ทางที่กว้างโล่ง ไม่มีสิ่ง กีดขวาง 3.4 เครื่องกั้นข้างทาง กล่าวคือ อุปกรณ์ที่มีไว้สำหรับป้องกันไม่ให้รถวิ่งออกนอกเส้นทาง และเกิดอุบัติเหตุจราจรทางถนน เป็นสิ่งเดือนสติให้ผู้ขับขี่ระวังตัว หากไม่มีเครื่องกั้นข้างทางอาจทำให้เกิด อุบัติเหตุจราจรทางถนนได้โดยง่าย 3.5 ลักษณะพื้นผิวจราจร กล่าวคือ ถนนที่มีพื้นผิวขรุขระ เป็นหลุมเป็นบ่อ ไม่เรียบ ผุพัง หรือใช้วัสดุไม่ได้มาตรฐาน จะทำให้เกิดอุบัติเหตุจราจรทางถนนได้ง่าย ขณะเดียวกันถนนที่เรียบขับขี่ สบาย มีความคล่องตัว ก็ทำให้เกิดการขับขี่โดยประมาทเช่นกัน 3.6 แสงสว่าง กล่าวคือ ความมืดจะ ทำให้เกิดความผิดพลาดในการมองเห็น ทำให้การ ประมาณการณ์ต่าง 1 คลาดเคลื่อน แสงไฟที่ไม่เหมาะสม ทั้งจากถนน และจากยานพาหนะมีส่วนทำให้ เกิดอุบัติหตุจราจรทางถนน ดังนั้นการมีแสงไฟบนถนนที่เหมาะสม จะช่วยลดอุบัติเหตุจราจรทางถนนได้ 4. ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับการจราจร (วิจิตร บุญโหตระ, 2527) คือ ทุกสิ่ง ทุกอย่างที่อยู่รอบ ๆ ตัวของผู้ขับขี่ อันเป็นส่วนประกอบที่ทำให้เกิดอุบติเหตุได้ โดยองค์ประกอบ ของสภาพแวดล้อมที่มีผลต่อการเกิดอุบัติเหตุจราจรทางถนน ได้แก่
19 4.1 เครื่องหมายจราจรไม่สมบูรณ์ หมายถึง ป้ายบังคับ ป้ายเตือน และป้ายแนะนำ จำเป็นต้องติดตั้งอยู่ในที่มองเห็นชัดเจน ทั้งกลางวันและกลางคืน เข้าใจง่าย อ่านแล้วไม่ต้องดีความเอง ขนาดของป้ายต้องออกแบบให้เหมาะสมกับความเร็วรถและระยะทางที่จะใช้เวลาอ่านข้อความนั้นได้ทัน เพื่อจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ยานพาหนะ บนพื้นถนนต้องมีเครื่องหมาย และการตีส้นด้วยสี สะท้อนแสงให้เห็นชัดเจน จะช่วยให้การมองเห็นช่องทางเดินรถได้ดีขึ้น เพื่อความปลอดภัยของคนเดินเท้า จะต้องมีทางเดินเท้า หรือไหล่ทางที่กว้างพอสำหรับคนเดิน และควรมีทางข้ามที่เหมาะสม มีแสง ไฟสัญญาณไฟที่เพียงพอ 4.2 สภาพภูมิอากาศและภูมิประเทศ หมายถึง สภาพแวดล้อมที่เกิดจากธรรมชาติหรือ ที่ เรียกว่าทัศนะวิสัยไม่ดีหรือเลวร้าย เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น หมอกลงจัด ลูกเห็บตกหิมะตก ฝนตกหนัก ถนนลื่น น้ำท่วมถนน เป็นต้น นอกจากนี้การตัดถนนนั้น ต้องคัดแปลงตามสภาพภูมิประเทศ เช่น ทางขึ้นเขา ทางโค้งชัน เป็นต้น ลักษณะเส้นทางเหล่านี้ หากไม่มีการควบคุมการจราจรที่ดี และผู้ขับขี่ ประมาท ก็จะก่อให้เกิดอุบัติเหตุจราจรทางถนน ได้ง่าย และรุนแรง 4.3 การกระทำของคน หมายถึง สภาพแวดล้อมที่เกิดจากการกระทำของคนที่พบมาก ที่สุดในเขตเมือง คือ มลพิษ เช่น การเกิดเสียงดังรบกวนจากท่อไอเสียของรถและการเกิดควันจาก ท่อไอเสียรถ สภาวะดังกล่าวนับเป็นอันตรายต่อสุขภาพ และรบกวนสมาธิในการขับรถเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในกรณีรถติดจะก่อให้เกิดความแปรปรวนทางอารมณ์ ส่วนในชนบท ที่พบมาก คือการเผาหญ้า ใบไม้ข้างทาง การนำสัตว์มาเลี้ยงปล่อยให้เดินเกะกะกีดขวาง จึงนับเป็นสิ่งอันตรายนอกจากนี้ สภาพแวดล้อมจากความบกพร่องของผู้ขับขี่ เช่น การจอดรถโดยไม่เปิดโคมไฟในเวลากลางคืน หรือการ ลากจูงบรรทุกสิ่งของที่ยื่นล้ำออกนอกตัวรถ แต่ไม่ทำเครื่องหมาย หรือสัญญาณไว้ให้รถกันอื่นสังเกตเห็น หรือการบรรทุกดินท่วมล้นตัวถังจนตกบนถนน โดยเฉพาะช่วงฝนตกจะทำให้ถนนลื่นมากกว่าปกติ สิ่ง เหล่านี้ก่อให้เกิดอุบัติเหตุจราจรทางถนนได้ง่าย 5. ปัจจัยด้านกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมาย (สถาบันการพลศึกษาวิทยาเขต สุพรรณบุรี,2553) มีองค์ประกอบของกฎหมายที่มีผลต่อการเกิดอุบัติเหตุจราจรทางถนน ได้แก่ 5.1 ขาดการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ทำให้ประชาชนไม่ทราบกฎระเบียบข้อบังคับและ บทลงโทษ ในการฝ้าฝืนกฎต่าง ๆ ประชาชนจึงขาดจิตสำนัก และฝ่าฝืนกฎระเบียบต่าง ๆ ซึ่งมีผลให้เกิด อุบัติเหตุจราจรทางถนนได้ 5.2 บทลงโทษ หรือค่าปรับยังไม่เหมาะสมทำให้มีการฝ้าฝืนกฎจราจรหรือกฎระเบียบ ต่าง ๆ อยู่เสมอ 5.3 การที่กฎหมายมิได้กำหนด เพศ อายุสูงสุด และการศึกษาขั้นต่ำของผู้ขับขี่ ยานพาหนะ ถึงแม้ว่าผู้ขับขี่จะสอบผ่านและ ได้รับใบอนุญาตขับขี่มาแล้ว ก็อาจทำผิดกฎจราจรและทำให้ เกิดอุบัติเหตุจราจรทางถนนได้
20 5.4 ขาดการเข้มงวดกวดขัน ในการจับกุมการพิจารณาคำเนินคดี หรือการจับกุม ผู้กระทำผิด ทำให้มีการขับรถ หรือใช้รถใช้ถนน อย่างเสรีตามอำเภอใจซึ่งมักทำให้เกิดอุบัติเหตุจราจร ทางถนน นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆอีก อาทิ ปัจจัยเกี่ยวกับคน 1. ผู้ขับขี่เป็นผู้ก่อให้เกิดอุบัติเหตุโดยตรง เพราะผู้ขับขี่จะต้องเป็นผู้บังคับควบคุมตัวเองและ ยานพาหนะ ในสถานการณ์ที่ต่างกันซึ่งสาเหตุที่ผู้ขับขี่จะก่อให้เกิดอุบัติเหตุ ได้แก่ขาดความรู้ความเข้าใจ ในการจราจรที่ถูกต้องสมบูรณ์สภาพร่างกายและจิตใจของผู้ขับขี่บกพร่อง 2. คนเดินเท้ามักมีส่วนในการก่อให้เกิดอุบัติเหตุเช่นตอนกลางคืนสวมเสื้อที่มีสีมืด ไม่ใช้สะพาน ข้ามหรือทางข้าม ปัจจัยที่เกี่ยวกับยานพาหนะ สาเหตุของยานยนต์ที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุอาจเกิดจากสภาพชำรุดบกพร่องเนื่องจากขาดความเอา ใจใส่บำรุงรักษาส่งผลให้อุปกรณ์ต่างๆเช่นสภาพยางระบบห้ามล้อระบบบังคับเลี้ยวบกพร่องได้ ปัจจัยที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ลักษณะของทางที่มีผลต่อการเกิดอุบัติเหตุได้แก่ทางที่กว้างแต่ไม่มีขอบทางหรือทางช่องทางเดิน รถสวนกันไม่มีแนวกั้นกลางถนนเช่นทางโค้งพื้นผิวทางชำรุดไม่มีแสงสว่างในทางแยกการติดตั้งป้าย โฆษณาข้างทางดึงดูดความสนใจของผู้ขับ ปัจจัยเกี่ยวกับสภาพจราจร สภาพจราจรที่ติดขัดจากการจราจรที่สะดวกเกินไปเป็นส่วนที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุทั้งสิ้น เช่น การจราจรที่ติดขัดทำให้ผู้ขับเกิดความเมื่อยล้าจิตใจขาดความรับผิดชอบมุ่งหมายที่จะไปให้เร็วเพื่อ ทันเวลาที่กำหนดหรือบางครั้งอาจหลับในกรณีที่สะดวกเกินไปจะทำให้ขับรถเร็วขึ้น 4.งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ทรรศนีย์ เชื้อเชิญ (2565) ศึกษาพฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของนิสิตมหาวิทยาลัย บูรพาโดยมีวัตถุประสงค์ 2 ข้อดังนี้ 1 คือเพื่อศึกษาพฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของนิสิต มหาวิทยาลัยบูรพา 2 คือเพื่อเปรียบเทียบว่ามีปัจจัยใดบ้างที่ทำให้พฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจร ของนิสิตมหาวิทยาลัยบูรพาแตกต่างกันโดยศึกษาจากนิสิตของมหาวิทยาลัยจำนวน 400 คนเครื่องมือ ที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยแบบสอบถามและสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ค่าความถี่ร้อยละ ค่าเฉลี่ยค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติ t-test ,one way ANOVA
21 ผลการวิจัยพบว่านิสิตมหาวิทยาลัยบูรพามีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎจราจรในทุกเรื่องใน ส่วนพฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรที่นิสิตมหาวิทยาลัยบูรพาปฏิบัติค่อนข้างมากได้แก่การขับรถ ผ่านวงเวียนให้รถในวงเวียนไปก่อนรองลงมาคือเรื่องมีใบขับขี่ติดตัวขณะขับขี่ขับรถด้วยความเร็วไม่เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขับขี่โดยมีผู้โดยสารเกินจำนวนที่กฎหมายกำหนดคาดเข็มขัดหรือสวมหมวก นิรภัยขณะขับขี่ตรวจสอบสภาพรถก่อนขับขี่และใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับขี่ในส่วนพฤติกรรมการ ปฏิบัติตามกฎจราจรที่นิสิตมหาวิทยาลัยบูรพาปฏิบัติค่อนข้างน้อยในเรื่องการฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจร รองลงมาคือเลี้ยวหรือกลับรถในเครื่องหมายห้ามขับขี่รถที่ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนขับขี่ในลักษณะกีด ขวางจราจรขับขี่รถที่มีท่อไอเสียเสียงดังขับขี่รถที่ไม่ติดเครื่องหมายพรบคุ้มครองผู้ประสบภัยไม่ขับรถ ตามทิศทางที่กำหนดเปลี่ยนแปลงตัวรถหรือส่วนใดส่วนหนึ่งให้ผิดไปจากที่จดทะเบียนกับรถหรือเลี้ยว ซ้ายโดยไม่ให้สัญญาณแซงในที่คับขันจอดรถซ้อนคันขับขี่หลังดื่มสุราหรือของมึนเมาและหยุดรถในที่ ห้ามจอดเพื่อไปซื้อของหรือทำธุระ ผลการเปรียบเทียบความต่างของพฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรพบว่านิสิตมหาวิทยาลัย บูรพาที่มีคณะศึกษาต่างกันพฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรต่างกันนิสิตมหาวิทยาลัยบูรพาที่มี ประสบการณ์ในการขับขี่ต่างกันพฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรแตกต่างกันนิสิตมหาวิทยาลัยบูรพา ที่มีระยะทางในการขับขี่ต่างกันพฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรแตกต่างกันนิสิตมหาวิทยาลัยบูรพา ที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎจราจรต่างกันพฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรแตกต่างกันแต่นิสิต มหาวิทยาลัยบูรพาที่มีเพศอายุระดับการศึกษาการเป็นเจ้าของรถประเภทของรถที่ใช้และการมี ใบอนุญาตขับขี่ต่างกันมีพฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรไม่แตกต่างกัน มนัสชนก แกวโท และคณะ (2561) ทำการวิจัยเชิงพรรณนา เพื่อศึกษาพฤติกรรมการขับขี่ รถจักรยานยนต์ของ นักศึกษาพยาบาลศาสตร มหาวิทยาลัยราชธานี กลุมตัวอยางที่ใชในการศึกษา เปนนักศึกษา พยาบาลศาสตร มหาวิทยาลัยราชธานี ปการศึกษา 2561 ที่เคยประสบอุบัติเหตุจาก รถจักรยานยนต์จํานวน 73 คน คัดเลือกกลุมตัวอยางแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช เก็บรวบรวม ขอมูล เปนแบบสอบถามที่ดัดแปลงจากพงษสิทธิ์ บุญรักษา (2555) มีคาความเที่ยงของเครื่องมือ เทากับ 0.81 วิเคราะหขอมูลใชสถิติพื้นฐาน ไดแก ความถี่ รอยละ ผลการวิจัย พบวา นักศึกษา สวนหนึ่งที่ไดรับอุบัติเหตุรอยละ 27.40 ไมมีใบอนุญาตขับขี่ รถจักรยานยนต เมื่อจําแนกตาม พฤติกรรมดานการปฏิบัติตามกฎจราจร พบวา รอยละ 94.52 มีการ ดัดแปลงสภาพรถ รอยละ 67.12 ไมสวมหมวกนิรภัยขณะขับขี่ รอยละ 69.86 สวมหมวกนิรภัยที่ไมได มาตรฐาน รอยละ 61.64 ใชโทรศัพทขณะขับขี่ รอยละ 87.67 ใหเพื่อนซอนทายรถมากกวาหนึ่งคน และรอยละ 63.01 ขับรถ ยอนศร เมื่อจําแนกตามพฤติกรรมสวนบุคคลในการขับขี่ พบวา รอยละ 75.34 ไม ตรวจสอบสภาพรถ กอนการขับขี่ รอยละ 83.56 แซงรถคันอื่นในชั่วโมงเรงดวน และรอยละ 79.45 ไมใชแตรรถ ในการขอทางรถคันอื่น นัชรัศม์ ชูหิรัญญ์วัฒน์ (2555) ศึกษาพฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎหมายจราจรของผู้ขับขี่ รถจักรยานยนต์ และศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎหมายจราจรของผู้
22 ขับขี่รถจักรยานยนต์ในเขตเทศบาลนครนครราชสีมา โดยปัจจัยที่นำมาศึกษา ประกอบด้วยปัจจัย ด้าน เพศ อายุ การศึกษา ประสบการณ์การขับขี่และการรับรู้กฎหมายจราจร ทั้งนี้ เพื่อเป็นแนวทางในการ กระตุ้นจิตสำนึก การรับรู้และการเรียนรู้ของผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ ให้สามารถขับขี่รถจักรยานยนต์ได้ ด้วยความปลอดภัย ผลการวิจัยพบว่า พฤติกรรมในการปฏิบัติตามกฎหมายจราจรของผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ ในเขตเทศบาลนครนครราชสีมา โดยภาพรวมมีพฤติกรรมการปฏิบัติค่อนข้างดี ซึ่งสามารถ เปรียบเทียบตามปัจจัยต่าง ๆ ได้ดังนี้ 1) แยกตามเพศ พบว่าเพศหญิงมีการปฏิบัติตามกฎหมายจราจร ดีกว่าเพศชายในด้านความเร็ว ด้านการใช้โทรศัพท์มือถือ และด้านเมาสุรา (เมาแล้วขับ) 2) แยกตาม อายุพบว่า กลุ่มอายุระหว่าง 26 – 40 ปี มีการปฏิบัติตามกฎหมายจราจรดีกว่ากลุ่มอื่นๆ กลุ่มอายุ 26ปี ขึ้นไปมีการปฏิบัติตามกฎหมายจราจรด้านใบอนุญาตขับขี่ ด้านหมวกนิรภัย ด้านสัญญาณไฟรถ ดีกว่ากลุ่มอายุอื่น ๆ และกลุ่มอายุ 41 ปี ขึ้นไป มีการปฏิบัติตามกฎหมายจราจรด้านโทรศัพท์มือถือ ด้านเมาสุรา ดีกว่ากลุ่มอายุน้อยกว่า 41 ปี 3) แยกตามประสบการณ์การขับขี่ พบว่ากลุ่มที่มี ประสบการณ์ในการขับขี่น้อยกว่า 1 ปี มีการปฏิบัติตามกฎหมายจราจรน้อยกว่ากลุ่มที่มีประสบการณ์ ตั้งแต่ 1 ปี ขึ้นไป ในด้านมอเตอร์ไซค์ปลอดภัย ด้านใบอนุญาตขับขี่ ด้านความเร็วด้านหมวกนิรภัยและ ด้านสัญญาณไฟรถ 4) แยกตามการศึกษา พบว่ากลุ่มที่มีการศึกษาต่ำกว่า ม.6 มีการปฏิบัติตาม กฎหมายจราจรด้านการพกใบอนุญาตขับขี่น้อยกว่ากลุ่มที่มีระดับการศึกษา ตั้งแต่ ม.6 ขึ้นไป 5) แยกตามการรับรู้กฎการขับขี่อย่างปลอดภัย พบว่าผู้ที่เคยอบรมกฎการขับขี่อย่างปลอดภัยจะมีการ ปฏิบัติตามกฎจราจรในทุกด้านดีกว่าผู้ที่ไม่เคยได้รับการอบรม Rosenbloom, Ben-Eliyahu, Nemrodov, Biegel, and Perlman (2009)(อ้ า ง ถึ ง ใ น ดารินทร์ งามสม , 2552) ศึกษา เปรียบเทียบพฤติกรรมการขับขี่ระหวางพื้นที่ไดแก เมือง (City) ชุมชน (Town) และหมูบานใน ประเทศอิสราเอลโดยมุงเนนไปที่พฤติกรรมการฝาฝนกฎจราจรของผู ขับขี่ผลการศึกษาพบวา ผูขับขี่ในเมืองขนาดใหญกวามักจะมีพฤติกรรมการฝาฝนกฎจราจรมากกวา เมืองขนาดเล็กและเพศ ชายมีพฤติกรรมฝาฝนมากกวาเพศหญิง Ayuso, Guillen, and Alcaniz (2009) (อ้างถึงใน ดารินทร์ งามสม , 2552) ศึกษา วิเคราะหเกี่ยวกับผลกระทบของ การฝาฝนกฎจราจรเพื่อประมาณคาความเสียหายตอผูที่ไดรับความ เสียหายจากอุบัติเหตุ (Victim) โดยการใชวิธี Logistics Regression ในขั้นแรกประมาณคาพารามิเต อรของรูปแบบการฝาฝน กฎจราจรในแบบตาง ๆ เชน การขับรถเร็ว การไมมีใบขับขี่ ที่สงผลใหเกิด อุบัติเหตุที่ระดับ ความเสียหาย 2 ระดับไดแกอุบัติเหตุแบบเสียชีวิต และบาดเจ็บเปรียบเทียบกับ อุบัติเหตุแบบ เล็กนอย (Slight) โดยใหระดับความเสียหายเปนตัวแปรอิสระและนําตัวแปรการ ฝาฝนกฎจราจรที่มี นัยสําคัญตอแบบจําลองไปคํานวณ คาความเสียหาย ในเบื้องตนพบวาการขับรถ เร็วและการไมมี ใบขับขี่สงผลใหเพิ่มความรุนแรงของอุบัติเหตุตอผูเสียหาย ผลสรุปการศึกษาครั้งนี้ พบวา คา ความเสียหายที่มีสาเหตุจากการฝาฝนกฎจราจรมีคาเฉลี่ยมากกวาอุบัติเหตุที่ไมมีการฝาฝ นกฎจราจร เขามาเกี่ยวของ
23 Mehmood (2009) (อ้างถึงใน ดารินทร์ งามสม , 2552) ศึกษาเกี่ยวกับการปรับปรุง นโยบายและการควบคุมการฝาฝน กฎจราจรใน Abu Dhabi โดยใชวิธี Dynamic Simulation Model โดยการเก็บขอมูลจํานวนการฝาฝน กฎจราจรในปจจุบัน และศึกษาความสัมพันธระหวาง ปจจัยหลาย ๆ ปจจัย เชน การมีใบขับขี่ ทัศนคติของผูขับขี่ เพื่อพยากรณแนวโนมการลดลงของการ ฝาฝนกฎจราจรจากแนวทางการดําเนิน นโยบาย 3 นโยบายในอนาคต ไดแกการเพิ่มกฎจราจร ที่เขมงวดการตรวจตราและตั้งจุดตรวจ ใหเขมงวดและจํานวนมากขึ้น การรณรงคเพิ่มความรูให ประชาชน ผลสรุปการศึกษาพบวาทั้ง 3 นโยบายทําใหผูขับขี่ฝาฝนกฎจราจรนอยลง นโยบายที่ไดผล มากที่สุดคือการเพิ่มความเขมงวด ในการตรวจและการเพิ่มจุดตรวจใหมากยิ่งขึ้น กรอบแนวคิดการวิจัย ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดการวิจัย ข้อมูลการขับขี่ รถจักรยานยนต์ - การเป็นเจ้าของรถ - ความถี่ในการขับขี่ - ระยะทางในการขับขี่ - ประสบการณ์การขับขี่ ข้อมูลพื้นฐานส่วนบุคคล เพศ ระดับการศึกษา การมีใบอนุญาตขับขี่ พฤติกรรมการปฎิบัติตามกฏ จราจรของนักศึกษาสาขาวิชา สังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภฏร้อยเอ็ด ที่ใช้รถจักรยานยนต์เป็น พาหนะในการเดินทาง
บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การศึกษาพฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของนักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ที่ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการเดินทาง ผู้วิจัยได้ดำเนินการตาม ขั้นตอนดังนี้ ประชากร ประชากร ที่ใช้ในการวิจัยในเรื่องนี้ได้แก่ นักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ชั้นปีที่ 1 – 4 จำนวน 230 คน กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเรื่องนี้ได้แก่ นักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ชั้นปีที่ 1 – 4 จ านวน 147 คน ซึ่งได้มาโดยการใช้สูตรการก าหนดกลุ่ม ประชากรตัวอย่างของ Taro Yamane โดยกำหนดระดับความเชื่อมั่นที่ .05 สูตรการคำนวณกลุ่มตัวอย่าง n = N 1 + N(e) 2 n = ขนาดของตัวอย่าง N = จำนวนประชากรที่ใช้ในการศึกษา e = ความคลาดเคลื่อนในการสุ่ม กำหนดให้คลาดเคลื่อนได้ .05 = 230 1+230(0.05) 2 n = 146.03 ดังนั้นจำนวนกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาในครั้งนี้จะมีค่าเท่ากับ 147 คนแต่เพื่อป้องกันความ ผิดพลาดจากการชำรุดหรือเสียหายของแบบสอบถาม ผู้วิจัยจึงเลือกเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน ทั้งสิ้น 154 คน การสุ่มกลุ่มตัวอย่าง การสุ่มเก็บข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่าง ผู้วิจัยเลือกใช้เลือกใช้การสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) โดยกำหนดคุณลักษณะเฉพาะเป็น นักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ชั้นปีที่ 1 – 4 จำนวน 154 คน แบ่งตามสัดส่วน ดังนี้
25 ตารางที่ 1 สัดส่วนกลุ่มตัวอย่าง ระดับชั้นปี จำนวนนักศึกษา(คน) จำนวนกลุ่มตัวอย่าง(คน) 1 57 38 2 56 37 3 55 37 4 62 42 รวม 230 154 พื้นที่ในการวิจัย พื้นที่ในการดำเนินการวิจัยในครั้งนี้ คือมหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือแบบสอบถาม 1.ศึกษาลักษณะการกำหนดกรอบแนวคิดในการวิจัยและศึกษาข้อมูลจากเอกสารและงานวิจัยที่ เกี่ยวข้องเพื่อเป็นแนวทางในการสร้างแบบสอบถาม 2.สร้างแบบสอบถาม รูปแบบของแบบสอบถาม ผู้ตอบเป็นผู้อ่านคำถามและเลือกตอบด้วยตนเอง แบ่งแบบสอบถาม ออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้ ส่วนที่ 1 ข้อมูลส่วนบุคคล ของผู้ตอบแบบสอบถาม มีคำถาม 7 ข้อ ได้แก่ เพศ ระดับการศึกษา การเป็นเจ้าของรถ การมีใบอนุญาติขับขี่แต่ละครั้ง ความถี่ในการขับขี่รถต่อสัปดาห์ ประสบการณ์การขับขี่ ระยะทางในการขับขี่ ส่วนที่ 2 ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมในการปฏิบัติตามกฎจราจรของนักศึกษา สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ที่ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการเดินทาง มีคำถาม 20 ข้อ แบ่งออกเป็น 4 ด้าน ประกอบด้วย 1) ด้านพฤติกรรมการขับขี่ที่ขัดต่อกฎจราจร 2) ด้านการให้ สัญญาณ และปฏิบัติตามสัญญาณจราจร 3) ด้านการจอด 4) ด้านความปลอดภัยในการขับขี่ ผู้ตอบ แบบสอบถามปฏิบัติ โดยในแต่ละข้อผู้ตอบแบบสอบถามจะเลือกเพียง 1 คำตอบที่ตรงกับลักษณะ พฤติกรรมการขับขี่ของตนเอง ซึ่งมี 5 ตัวเลือก ได้แก่ ปฏิบัติมากที่สุด ปฏิบัติมาก ปฏิบัติปานกลาง ปฏิบัติ น้อย ปฏิบัติน้อยที่สุด 3.นำแบบสอบถามที่เรียบเรียงไว้แล้วให้อาจารย์ที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญเป็นผู้ตรวจสอบ และ นำมาปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้องเหมาะสม
26 การวัดตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย 1.การวัดตัวแปรอิสระ 1.1 ข้อมูลส่วนบุคคล ได้แก่ 1.1.1 เพศ พิจารณาจากเพศชายและเพศหญิง ซึ่งมีระดับการวัดแบบนามบัญญัติ (Nominal Scale) 1.1.2 ระดับการศึกษา พิจารณาจากระดับชั้นปีที่นักศึกษากำลังศึกษาอยู่ ชั้นปีที่ 1 – 4 มีระดับการวัดแบบเรียงลำดับ (Ordinal Scale) 1.2 ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของนักศึกษา 1.2.1 การเป็นเจ้าของรถ พิจารณาจาก มี หรือ ไม่มี มีระดับการวัดแบบนามบัญญัติ (Nominal Scale) 1.2.2 ความถี่ในการขับขี่ พิจารณาจาก จำนวนครั้งในการขับขี่รถจักรยานยนต์ ต่อ 1 สัปดาห์มีระดับการวัดแบบอัตราส่วน (Ratio Scale) 1.2.3 ระยะทางในการขับขี่ พิจารณา จากระยะทางในการขับขี่ของนักศึกษา มีระดับ การวัดแบบอัตราส่วน (Ratio Scale) 1.2.4 ประสบการณ์การขับขี่ พิจารณาจากจำนวนปีนับจากที่เริ่มขับรถจักรยานยนต์ มีระดับการวัดแบบอัตราส่วน (Ratio Scale) 1.2.5 การมีใบอนุญาตขับขี่ พิจารณาจาก มี หรือ ไม่มี มีระดับการวัดแบบนาม บัญญัติ (Nominal Scale) 2.การวัดตัวแปรตาม คือ พฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของนักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ที่ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการเดินทาง 4 ด้าน ประกอบด้วย 1) ด้านพฤติกรรมการขับขี่ 2) ด้านสัญญาณ 3)ด้านการจอด 4) ด้านความปลอดภัยในการ ขับขี่ มีระดับการวัดแบบช่วง (Interval Scale) โดยกำหนดให้แต่ละข้อคำถามมีลักษณะคำตอบเป็นระดับ ได้แก่ 5 หมายถึง ปฏิบัติมากที่สุด 4 หมายถึง ปฏิบัติมาก 3 หมายถึง ปฏิบัติปานกลาง 2 หมายถึง ปฏิบัติน้อย 1 หมายถึง ปฏิบัติน้อยที่สุด
27 คุณภาพเครื่องมือการวิจัย เมื่อสร้างแบบสอบถามเสร็จแล้วได้นำแบบสอบถาม ที่สร้างขึ้น ไปตรวจสอบคุณภาพตามขั้นตอน ดังนี้ หาความตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) เพื่อดูความถูกต้องครบถ้วนของแบบสอบถามให้ ตรงตามเนื้อหาและวัตถุประสงค์ ผู้ศึกษาร่างแบบสอบถามเสนออาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อขอข้อเสนอแนะใน การปรับปรุงแก้ไขให้ตรงตามวัตถุประสงค์ในการศึกษาเมื่อได้ข้อเสนอแนะแล้วผู้วิจัยนำแบบสอบถามมา ปรับปรุงแก้ไขให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น วิธีดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล 1.ดำเนินการเก็บข้อมูล โดยการส่ง URL แบบสอบถามให้กับนักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ชั้นปีที่ 1 – 4 จำนวน 154 คน โดยผู้วิจัยเก็บข้อมูลในเดือน กุมภาพันธ์ 2566 2.ภายหลังจากได้ข้อมูลนำแบบสอบถามมาทำคู่มือลงรหัส และวิเคราะห์ข้อมูลต่อไป 3.นำข้อมูลที่ได้มาอภิปรายผล การประมวลและการวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลสำหรับวิจัยครั้งนี้ แบ่งการวิเคราะห์ออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 การวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคล และการขับขี่รถจักรยานยนต์ของผู้ตอบแบบสอบถาม ส่วนที่ 2 การวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจร ของนักศึกษาสาขาวิชา สังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด มีเกณฑ์ในการกำหนดคะแนน ดังนี้ 4.21 - 5.00 หมายถึง ปฏิบัติมากที่สุด 3.41 - 4.20 หมายถึง ปฏิบัติมาก 2.61 - 3.40 หมายถึง ปฏิบัติปานกลาง 1.81 - 2.60 หมายถึง ปฏิบัติน้อย 1.00 - 1.80 หมายถึง ปฏิบัติน้อยที่สุด สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยเลือกใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ 1.ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าความถี่ (F) ร้อยละ (%) 2.ข้อมูลพฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจร วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าสถิติ ค่าเฉลี่ย (̅) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD)
บทที่ 4 ผลการวิจัยและอภิปรายผล การศึกษาพฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของนักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ที่ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการเดินทาง มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษา พฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของนักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัย ราชภัฏร้อยเอ็ด ที่ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการเดินทาง โดยใช้แบบสอบถาม มีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ในการวิจัยครั้งนี้ 154 คน โดยผู้วิจัยได้นำเสนอผลการวิจัยเป็น 3 ส่วน ดังนี้ ส่วนที่ 1 วิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถาม ส่วนที่ 2 วิเคราะห์ระดับพฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของนักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ที่ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการเดินทาง ส่วนที่ 3 อภิปรายผล มีรายละเอียดดังนี้ ส่วนที่ 1 ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถาม การนำเสนอข้อมูลพื้นฐานส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถาม ในที่นี้หมายถึงนักศึกษา ชั้นปีที่ 1-4 สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด จำนวน 154 คน โดย ประกอบไปด้วยข้อมูลดังต่อไปนี้ 1.เพศ 2.ระดับการศึกษา 3.การมีรถจักรยานยนต์เป็นของตนเอง 4.ความถี่ในการขับรถใน 1 สัปดาห์ 5.ระยะทางในการขับขี่แต่ละครั้ง 6.ประสบการณ์ในการขับขี่ 7.การมีใบอนุญาตขับขี่
29 ตารางที่ 2 ร้อยละของพฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของนักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ที่ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการเดินทาง จำแนกตาม ปัจจัยส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถาม ข้อมูลส่วนบุคคล จำนวน ร้อยละ 1.เพศ ชาย 66 42.9 หญิง 88 57.1 รวม 154 100 2.ระดับการศึกษา ชั้นปีที่ 1 38 24.7 ชั้นปีที่ 2 37 24.0 ชั้นปีที่ 3 37 24.0 ชั้นปีที่ 4 42 27.3 รวม 154 100 3.การมีรถจักรยานยนต์เป็นของตนเอง มี 137 89.0 ไม่มี 17 11.0 รวม 154 100 4.ความถี่ในการขับรถใน 1 สัปดาห์ 1-2 วัน 16 10.4 3-4 วัน 26 16.9 5-6 วัน 52 33.8 7 วัน 60 39.0 รวม 154 100
30 ตารางที่ 2 ร้อยละของพฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของนักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุ ศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ที่ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการเดินทาง จำแนกตามปัจจัย ส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถาม (ต่อ) 5.ระยะทางในการขับขี่แต่ละครั้ง จำนวน ร้อยละ ไม่เกิน 5 กม. 38 24.7 6-10 กม. 49 31.8 11-15 กม. 32 20.8 16 กม. ขึ้นไป 35 22.7 รวม 154 100 6.ประสบการณ์ในการขับขี่ ไม่เกิน 5 ปี 48 31.2 6-10 ปี 73 47.4 11-15 ปี 21 13.6 16 ปีขึ้นไป 12 7.8 รวม 154 100 7.การมีใบอนุญาติขับขี่ มี 94 61.0 ไม่มี 60 39.0 รวม 154 100 จากตารางที่ 2 ผลการวิเคราะห์พบว่านักศึกษาที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง มากกว่าครึ่งเป็นเพศหญิง มากกว่าเพศชายคิดเป็นร้อยละ 57.1 เปรียบเทียบกับ ร้อยละ 42.9 ตามลำดับ ส่วนใหญ่กำลังศึกษาอยู่ใน ชั้นปีที่ 4 คิดเป็นร้อยละ 27.3 รองลงมาคือ ชั้นปีที่ 1 ชั้นปีที่ 2 ชั้นปีที่ 3 คิดเป็นร้อยละ 24.7 , 24.0 และ 24.0 ตามลำดับ ในด้านการมีรถจักรยานยนต์เป็นของตนเอง พบว่านักศึกษามากกว่า 3 ใน 4 หรือคิดเป็น ร้อยละ 89.0 มีรถจักรยานยนต์เป็นของตนเอง และส่วนน้อยที่ไม่มีรถจักรยานยนต์เป็นของตนเอง คิด เป็นร้อยละ 11.0 ในด้านความถี่ในการขับรถใน 1 สัปดาห์ พบว่า นักศึกษาส่วนใหญ่มีความถี่ ในการขับ รถทุกวันตลอดสัปดาห์ คิดเป็นร้อยละ 39.0 รองลงมาคือ 5-6 วัน ต่อสัปดาห์ 3-4 วัน ต่อสัปดาห์ และ 1-2 วันต่อสัปดาห์ คิดเป็นร้อยละ 33.8 , 16.9 , 10.4 ตามลำดับ
31 ในด้านระยะทางในการขับขี่ พบว่า ระยะทางที่มีความถี่ของผู้ขับขี่สูงที่สุด อยู่ที่ 6-10 กิโลเมตร คิดเป็นร้อยละ 31.8 รองลงมาอยู่ที่ระยะทาง ไม่เกิน 5 กิโลเมตร 16 กิโลเมตรขึ้นไป และความถี่น้อยที่สุด อยู่ที่ระยะทาง 11-15 กิโลเมตร คิดเป็น ร้อยละ 24.7 , 22.7 และ 20.8 ตามลำดับ ในด้านประสบการณ์ ในการขับขี่ พบว่า นักศึกษาส่วนใหญ่ มีประสบการณ์ในการขับขี่อยู่ที่ระยะเวลา 6-10 ปี คิดเป็นร้อย ละ 47.4 รองลงมาคือ ไม่เกิน 5 ปี คิดเป็นร้อยละ 31.2 11-15 ปี คิดเป็นร้อยละ 13.6 และอีกร้อยละ 7.8 เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในการขับขี่มาแล้วกว่า 16 ปี ในด้านการมีใบอนุญาตขับขี่ พบว่านักศึกษาส่วนใหญ่ มีใบอนุญาติขับขี่รถจักรยานยนต์ คิดเป็นร้อยละ 61 และอีก ร้อยละ 39 ที่ยังไม่มีใบอนุญาติขับขี่ รถจักรยานยนต์
32 ส่วนที่ 2 วิเคราะห์ระดับพฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของนักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะ ครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ที่ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการเดินทาง พฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของนักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ที่ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการเดินทาง ที่ผู้วิจัยต้องการศึกษาแบ่ง ออกเป็น 4 ด้าน ประกอบด้วย 1) ด้านพฤติกรรมการขับขี่ 2) ด้านการให้สัญญาณ และปฏิบัติตาม สัญญาณจราจร 3) ด้านการจอด 4) ด้านความปลอดภัยในการขับขี่ ตารางที่ 3 วิเคราะห์พฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของนักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุ ศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ที่ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการเดินทาง ด้านพฤติกรรมการ ขับขี่ที่ขัดต่อกฎจราจร พฤติกรรม ปฏิบัติ มาก ที่สุด ปฏิบัติ มาก ปฏิบัติ ปาน กลาง ปฏิบัติ น้อย ปฏิบัติ น้อย ที่สุด ̅ SD แปล ผล 5 4 3 2 1 ด้านพฤติกรรมการขับขี่ที่ขัดต่อกฎจราจร 1. ท่านใช้โทรศัพท์มือถือ ขณะขับขี่ 31.3 27.9 17.5 2.6 6 4.27 0.886 ปฏิบัติ มาก ที่สุด 2. ท่านขับขี่รถที่มีท่อไอเสีย เสียงดัง 13.0 18.8 7.1 11.7 49.4 2.34 1.544 ปฏิบัติ น้อย 3. ท่านเปลี่ยนแปลงตัวรถ หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของรถ ให้ผิดจากที่จดทะเบียน 18.8 13.0 6.5 12.3 49.4 2.40 1.623 ปฏิบัติ น้อย 4.ท่านขับขี่หลังดื่มสุราหรือ ของมึนเมา 45.5 20.8 26.6 4.5 2.6 4.02 1.069 ปฏิบัติ มาก 5. ท่านขับขี่โดยมีผู้โดยสาร เกินจำนวนที่กฎหมาย กำหนด (รถจักรยานยนต์ ต้องไม่เกิน 2 คน) 42.2 20.1 6.5 10.4 20.8 3.53 1.601 ปฏิบัติ มาก
33 ตารางที่ 3 วิเคราะห์พฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของนักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุ ศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ที่ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการเดินทาง ด้านพฤติกรรมการ ขับขี่ที่ขัดต่อกฎจราจร (ต่อ) พฤติกรรม ปฏิบัติ มาก ที่สุด ปฏิบัติ มาก ปฏิบัติ ปาน กลาง ปฏิบัติ น้อย ปฏิบัติ น้อย ที่สุด ̅ SD แปล ผล 5 4 3 2 1 6.ท่านแซงในที่คับขัน (ทาง ที่มีการจราจรพลุกพล่าน หรือมีสิ่งกีดขวางหรือในที่ที่ มองเห็นหรือทราบได้ ล่วงหน้าว่าอาจเกิด อันตรายหรือความเสียหาย ต่อรถคันอื่น) 50.6 22.1 16.9 5.8 4.5 4.08 1.149 ปฏิบัติ มาก 7. ท่านไม่ขับรถตามทิศทาง ที่กฎหมายกำหนด (ขับรถ ย้อนศร) 55.8 21.4 13.0 1.9 7.8 4.17 1.196 ปฏิบัติ มาก 8. ท่านขับขี่รถไม่ติดแผ่น ป้ายทะเบียน 18.8 14.9 11.0 18.8 36.4 2.61 1.552 ปฏิบัติ ปาน กลาง 9. ท่านขับขี่รถที่ไม่ติด เครื่องหมาย พรบ. คุ้มครองผู้ประสบภัย 20.1 9.7 11.0 13.6 45.5 2.45 1.605 ปฏิบัติ น้อย 10. ท่านเลี้ยวรถหรือกลับ รถในที่ที่มีเครื่องหมายห้าม 22.7 16.2 14.3 9.7 37.0 2.78 1.618 ปฏิบัติ ปาน กลาง 11. ท่านขับขี่รถในลักษณะ กีดขวางการจราจร 20.1 14.3 10.4 15.6 39.6 2.60 1.595 ปฏิบัติ น้อย สรุป 3.20 ปฏิบัติ ปาน กลาง
34 จากตารางที่ 3 พฤติกรรมการขับขี่ที่ขัดต่อกฎจราจร พบว่า ในภาพรวมมีค่าเฉลี่ยของการตอบ แบบสอบถาม 3.20 อยู่ในระดับการปฏิบัติปานกลาง และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่านักศึกษามี พฤติกรรมที่ปฏิบัติมากที่สุด คือนักศึกษาไม่ขับรถตามทิศทางที่กฎหมายกำหนด (ขับรถย้อนศร) คิดเป็น ร้อยละ 55.8 แซงในที่คับขัน (ทางที่มีการจราจรพลุกพล่านหรือมีสิ่งกีดขวางหรือในที่ที่มองเห็นหรือทราบ ได้ล่วงหน้าว่าอาจเกิดอันตรายหรือความเสียหายต่อรถคันอื่น) คิดเป็นร้อยละ 50.5 ขับขี่หลังดื่มสุราหรือ ของมึนเมา 45.5 ขับขี่โดยมีผู้โดยสารเกินจำนวนที่กฎหมายกำหนด (รถจักรยานยนต์ ต้องไม่เกิน 2 คน) คิดเป็นร้อยละ 42.2 ใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับขี่ คิดเป็นร้อยละ 31.3 เลี้ยวรถหรือกลับรถในที่ที่มี เครื่องหมายห้าม คิดเป็นร้อยละ 22.7 ขับขี่รถในลักษณะกีดขวางการจราจร คิดเป็นร้อยละ 20.1 ขับขี่รถ ที่ไม่ติดเครื่องหมาย พรบ. คุ้มครองผู้ประสบภัย คิดเป็นร้อยละ 20.1 ขับขี่รถไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน คิด เป็นร้อยละ 18.8 เปลี่ยนแปลงตัวรถหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของรถให้ผิดจากที่จดทะเบียน คิดเป็นร้อยละ 18.8 ขับขี่รถที่มีท่อไอเสียเสียงดัง คิดเป็นร้อยละ 13.0 ตารางที่ 4 วิเคราะห์พฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของนักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ที่ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการเดินทาง ด้านการให้ สัญญาณ และปฏิบัติตามสัญญาณจราจร พฤติกรรม ปฏิบัติ มาก ที่สุด ปฏิบัติ มาก ปฏิบัติ ปาน กลาง ปฏิบัติ น้อย ปฏิบัติ น้อย ที่สุด ̅ SD แปลผล 5 4 3 2 1 ด้านการให้สัญญาณ และปฏิบัติ ตามสัญญาณจราจร 12. ท่านกลับรถเลี้ยวซ้าย โดยไม่ให้สัญญาณไฟหรือ สัญญาณมือแก่รถคันอื่น 22.1 11.7 13.6 14.9 37.1 2.65 1.603 ปฏิบัติ ปาน กลาง 13. ท่านฝ่าฝืนสัญญาณ ไฟจราจร 13.6 18.8 10.4 18.8 38.3 2.51 1.492 ปฏิบัติ น้อย สรุป 2.58 ปฏิบัติ น้อย จากตารางที่ 4 พฤติกรรมด้านการให้สัญญาณและปฏิบัติตามสัญญาณจราจร พบว่า ในภาพรวม มีค่าเฉลี่ยของการตอบแบบสอบถาม 2.58 อยู่ในระดับการปฏิบัติน้อย และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า นักศึกษามีพฤติกรรมที่ปฏิบัติมากที่สุด คือ นักศึกษากลับรถเลี้ยวซ้ายโดยไม่ให้สัญญาณไฟหรือสัญญาณ มือแก่ รถคันอื่น คิดเป็นร้อยละ 22.1 และนักศึกษาที่ฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจรมีเพียง ร้อยละ 13.6
35 ตารางที่ 5 วิเคราะห์พฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของนักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ที่ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการเดินทาง ด้านการจอดรถ พฤติกรรม ปฏิบัติ มาก ที่สุด ปฏิบัติ มาก ปฏิบัติ ปาน กลาง ปฏิบัติ น้อย ปฏิบัติ น้อย ที่สุด ̅ SD แปล ผล 5 4 3 2 1 ด้านการจอดรถ 14. ท่านหยุดรถในเขตที่มี เครื่องหมายห้ามจอดเพื่อไปซื้อ ของหรือทำธุระ 21.4 9.7 11.0 15.6 42.2 2.53 1.610 ปฏิบัติ น้อย 15. ท่านจอดรถซ้อนคัน 19.5 12.3 10.4 17.5 40.3 2.53 1.577 ปฏิบัติ น้อย สรุป 2.53 ปฏิบัติ น้อย จากตารางที่ 5 พฤติกรรมด้านการจอดรถ พบว่า ในภาพรวมมีค่าเฉลี่ยของการตอบแบบสอบถาม 2.53 อยู่ในระดับการปฏิบัติน้อย และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่านักศึกษามีพฤติกรรมที่ปฏิบัติมาก ที่สุด คือ หยุดรถในเขตที่มีเครื่องหมายห้ามจอดเพื่อไปซื้อของหรือทำธุระ คิดเป็นร้อยละ 21.4 และ จอดรถซ้อนคัน คิดเป็นร้อยละ 19.5
36 ตารางที่ 6 วิเคราะห์พฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของนักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ที่ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการเดินทาง ด้านความปลอดภัยในการขับขี่ พฤติกรรม ปฏิบัติ มาก ที่สุด ปฏิบัติ มาก ปฏิบัติ ปาน กลาง ปฏิบัติ น้อย ปฏิบัติ น้อย ที่สุด ̅ SD แปลผล 5 4 3 2 1 ด้านความปลอดภัยในการขับขี่ 16. ท่านสวมหมวกนิระภัย ขณะขับขี่ 16.2 17.5 13.6 17.5 35.1 2.62 1.508 ปฏิบัติ ปาน กลาง 17. ท่านมีใบอนุญาติขับขี่ติด ตัวขณะขับขี่ 18.2 16.9 7.8 14.3 42.9 2.53 1.597 ปฏิบัติ น้อย 18. ท่านขับรถด้วยความเร็ว ไม่เกิน 90 กม./ชม. 20.1 13.6 9.7 13.0 43.5 2.54 1.617 ปฏิบัติ น้อย 19. ท่านขับรถผ่านวงเวียน ท่านรอให้รถในวงเวียนไปก่อน 25.3 7.8 9.1 15.6 42.2 2.58 1.667 ปฏิบัติ น้อย 20. ท่านตรวจสภาพรถก่อน ขับขี่ 14.3 16.9 9.7 12.3 46.8 2.40 1.544 ปฏิบัติ น้อย สรุป 2.54 ปฏิบัติ น้อย จากตารางที่ 6 พฤติกรรมด้านความปลอดภัยในการขับขี่ พบว่า ในภาพรวมมีค่าเฉลี่ยของการ ตอบแบบสอบถาม 2.53 อยู่ในระดับการปฏิบัติน้อย และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่านักศึกษามี พฤติกรรมที่ปฏิบัติมากที่สุด คือ ท่านขับรถผ่านวงเวียน ท่านรอให้รถในวงเวียนไปก่อน คิดเป็นร้อยละ 25.3 ขับรถด้วยความเร็วไม่เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คิดเป็นร้อยละ 20.1 มีใบอนุญาติขับขี่ติดตัวขณะ ขับขี่ คิดเป็นร้อยละ 18.2 สวมหมวกนิระภัยขณะขับขี่ คิดเป็นร้อยละ 16.2 ตรวจสภาพรถก่อนขับขี่ คิดเป็นร้อยละ 14.3
37 เมื่อวิเคราะห์พฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของนักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุ ศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ที่ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการเดินทาง มาพิจารณาโดยแบ่ง ออกเป็นด้านต่างๆ 4 ด้าน คือ 1) ด้านพฤติกรรมการขับขี่ที่ขัดต่อกฎจราจร 2) ด้านการให้สัญญาณและ ปฏิบัติตามสัญญาณจราจร 3) ด้านการจอดรถ 4) ด้านความปลอดภัยในการขับขี่ จำแนกเป็นรายข้อ ได้ ดังนี้ ตารางที่ 7 วิเคราะห์พฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของนักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ที่ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการเดินทาง พฤติกรรม ̅ SD แปลผล ด้านพฤติกรรมการขับขี่ที่ขัดต่อกฎจราจร 1. ท่านใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับขี่ 4.27 0.886 ปฏิบัติมากที่สุด 2. ท่านขับขี่รถที่มีท่อไอเสียเสียงดัง 2.34 1.544 ปฏิบัติน้อย 3. ท่านเปลี่ยนแปลงตัวรถหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของรถให้ผิดจาก ที่จดทะเบียน 2.40 1.623 ปฏิบัติน้อย 4.ท่านขับขี่หลังดื่มสุราหรือของมึนเมา 4.02 1.069 ปฏิบัติมาก 5. ท่านขับขี่โดยมีผู้โดยสารเกินจำนวนที่กฎหมายกำหนด (รถจักรยานยนต์ ต้องไม่เกิน 2 คน) 3.53 1.601 ปฏิบัติมาก 6.ท่านแซงในที่คับขัน (ทางที่มีการจราจรพลุกพล่านหรือมีสิ่ง กีดขวางหรือในที่ที่มองเห็นหรือทราบได้ล่วงหน้าว่าอาจเกิด อันตรายหรือความเสียหายต่อรถคันอื่น) 4.08 1.149 ปฏิบัติมาก 7. ท่านไม่ขับรถตามทิศทางที่กฎหมายกำหนด (ขับรถย้อนศร) 4.17 1.196 ปฏิบัติมาก 8. ท่านขับขี่รถไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน 2.61 1.552 ปฏิบัติปานกลาง 9. ท่านขับขี่รถที่ไม่ติดเครื่องหมาย พรบ. คุ้มครองผู้ประสบภัย 2.45 1.605 ปฏิบัติน้อย 10. ท่านเลี้ยวรถหรือกลับรถในที่ที่มีเครื่องหมายห้าม 2.78 1.618 ปฏิบัติปานกลาง 11. ท่านขับขี่รถในลักษณะกีดขวางการจราจร 2.60 1.595 ปฏิบัติน้อย
38 ตารางที่ 7 วิเคราะห์พฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของนักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ที่ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการเดินทาง (ต่อ) พฤติกรรม ̅ SD แปลผล ด้านการให้สัญญาณ และปฏิบัติตามสัญญาณจราจร 12. ท่านกลับรถเลี้ยวซ้ายโดยไม่ให้สัญญาณไฟหรือสัญญาณมือ แก่รถคันอื่น 2.65 1.603 ปฏิบัติปานกลาง 13. ท่านฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจร 2.51 1.492 ปฏิบัติน้อย ด้านการจอด 14. ท่านหยุดรถในเขตที่มีเครื่องหมายห้ามจอดเพื่อไปซื้อของ หรือทำธุระ 2.53 1.610 ปฏิบัติน้อย 15. ท่านจอดรถซ้อนคัน 2.53 1.577 ปฏิบัติน้อย ด้านความปลอดภัยในการขับขี่ 16. ท่านสวมหมวกนิระภัยขณะขับขี่ 2.62 1.508 ปฏิบัติปานกลาง 17. ท่านมีใบอนุญาติขับขี่ติดตัวขณะขับขี่ 2.53 1.597 ปฏิบัติน้อย 18. ท่านขับรถด้วยความเร็วไม่เกิน 90 กม./ชม. 2.54 1.617 ปฏิบัติน้อย 19. ท่านขับรถผ่านวงเวียน ท่านรอให้รถในวงเวียนไปก่อน 2.58 1.667 ปฏิบัติน้อย 20. ท่านตรวจสภาพรถก่อนขับขี่ 2.40 1.544 ปฏิบัติน้อย สรุป 2.91 1.48 ปฏิบัติปานกลาง จากตารางที่ 7 ผลการวิเคราะห์พฤติกรรม พบว่า พฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของ นักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ดภาพรวม มีค่าเฉลี่ยของข้อมูล (̅) 2.91 อยู่ในระดับปฏิบัติปานกลาง
39 เมื่อพิจารณาค่าเฉลี่ย และ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ของพฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของ นักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ที่ใช้รถจักรยานยนต์เป็น พาหนะในการเดินทาง เป็นรายด้าน พบข้อมูลดังนี้ (ตารางที่ 8 ) ตารางที่ 8 วิเคราะห์พฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของนักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ที่ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการเดินทาง เป็นรายด้าน พฤติกรรมการปฏิบัติตาม กฎจราจรของนักศึกษา ̅ SD แปลผล ด้านพฤติกรรมการขับขี่ที่ขัดต่อ กฎจราจร 3.20 0.975 ปฏิบัติปานกลาง ด้านการให้สัญญาณ และปฏิบัติ ตามสัญญาณจราจร 2.58 1.459 ปฏิบัติน้อย ด้านการจอด 2.53 1.547 ปฏิบัติน้อย ด้านความปลอดภัยในการขับขี่ 2.54 1.473 ปฏิบัติน้อย สรุป 2.71 1.363 ปฏิบัติปานกลาง จากตารางที่ 8 พฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของนักศึกษา พบว่า ด้านพฤติกรรมการขับขี่ที่ ขัดต่อกฎจราจร มีค่าเฉลี่ย 3.20 อยู่ในระดับปฏิบัติปานกลาง รองลงมาคือด้านการให้สัญญาณ และปฏิบัติ ตามสัญญาณจราจร มีค่าเฉลี่ย 2.58 อยู่ในระดับปฏิบัติน้อย ด้านความปลอดภัยในการขับขี่ มีค่าเฉลี่ย 2.54 อยู่ในระดับปฏิบัติน้อย ด้านการจอด มีค่าเฉลี่ย 2.53 อยู่ในระดับปฏิบัติน้อย ตามลำดับ ในภาพรวม รายด้าน พบว่า พฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของนักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ที่ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการเดินทาง มีค่าเฉลี่ย 2.71 อยู่ในระดับ ปฏิบัติปานกลาง
40 ตอนที่ 3 การอภิปรายผล การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาพฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของนักศึกษาสาขาวิชา สังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ที่ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการเดินทาง ซึ่งผู้วิจัยได้อภิปรายผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ ดังต่อไปนี้ การศึกษาพฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของนักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ที่ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการเดินทางภาพรวม มีค่าเฉลี่ยของข้อมูล (̅) 2.91 อยู่ในระดับปฏิบัติปานกลาง เมื่อวิเคราะห์พฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของนักศึกษา สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ที่ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการ เดินทาง แบ่งออกเป็นด้านต่างๆ 4 ด้าน คือ 1) ด้านพฤติกรรมการขับขี่ที่ขัดต่อกฎจราจร 2) ด้านการให้ สัญญาณและปฏิบัติตามสัญญาณจราจร 3) ด้านการจอดรถ 4) ด้านความปลอดภัยในการขับขี่ จำแนก เป็นรายข้อ พบว่า นักศึกษามีพฤติกรรมที่ปฏิบัติมากที่สุด คือนักศึกษาไม่ขับรถตามทิศทางที่กฎหมาย กำหนด (ขับรถย้อนศร) คิดเป็นร้อยละ 55.8 แซงในที่คับขัน (ทางที่มีการจราจรพลุกพล่านหรือมีสิ่งกีด ขวางหรือในที่ที่มองเห็นหรือทราบได้ล่วงหน้าว่าอาจเกิดอันตรายหรือความเสียหายต่อรถคันอื่น) คิดเป็น ร้อยละ 50.5 ขับขี่หลังดื่มสุราหรือของมึนเมา 45.5 ขับขี่โดยมีผู้โดยสารเกินจำนวนที่กฎหมายกำหนด (รถจักรยานยนต์ ต้องไม่เกิน 2 คน) คิดเป็นร้อยละ 42.2 ใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับขี่ คิดเป็นร้อยละ 31.3 เลี้ยวรถหรือกลับรถในที่ที่มีเครื่องหมายห้าม คิดเป็นร้อยละ 22.7 ขับขี่รถในลักษณะกีดขวางการจราจร คิดเป็นร้อยละ 20.1 ขับขี่รถที่ไม่ติดเครื่องหมาย พรบ. คุ้มครองผู้ประสบภัย คิดเป็นร้อยละ 20.1 ขับขี่รถ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน คิดเป็นร้อยละ 18.8 เปลี่ยนแปลงตัวรถหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของรถให้ผิดจากที่จด ทะเบียน คิดเป็นร้อยละ 18.8 ขับขี่รถที่มีท่อไอเสียเสียงดัง คิดเป็นร้อยละ 13.0 นักศึกษาส่วนใหญ่มี พฤติกรรมการขับขี่ที่ขัดต่อกฎจราจรอยู่หลายข้อ ซึ่งน่าจะมีสาเหตุมาจากความเร่งรีบในการเดินทาง อีก เหตุผลหนึ่งอาจมาจากการบังคับใช้บทลงโทษในการกระทำผิดกฎจราจร สอดคล้องกับ พ.ร.บ.จราจรทาง บก พ.ศ.2522 ที่บทกำหนดโทษ ในกรณีที่มีอัตราโทษสูงกว่าลหุโทษ ในกระบวนการยุติธรรมของ สังคมไทย มักจะได้รับการผ่อนผันจากกระบวนการพิจารณา ให้ปรับในอัตราขั้นต่ำ สำหรับโทษจำคุก มักจะได้รับการพิจารณาให้รอการลงโทษหรือรอลงอาญา เช่น ความผิดที่เป็นการกระทำโดยประมาท ทำ ให้ผู้อื่นถึงแก่ชีวิต ในคดีอุบัติเหตุยังได้รับการพิจารณาให้รอลงโทษหรือรอลงอาญา ถึงแม้ผู้กระทำผิดจะได้ กระทำในขณะเมาสุราหรือจงใจฝ่าฝืนสัญญาณจราจร นอกจากนี้ยังพบว่าพฤติกรรมด้านการให้สัญญาณและปฏิบัติตามสัญญาณจราจร ในภาพรวมมี ค่าเฉลี่ยของการตอบแบบสอบถาม 2.58 อยู่ในระดับการปฏิบัติน้อย และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า นักศึกษามีพฤติกรรมที่ปฏิบัติมากที่สุด คือ นักศึกษากลับรถเลี้ยวซ้ายโดยไม่ให้สัญญาณไฟหรือสัญญาณ มือแก่ รถคันอื่น คิดเป็นร้อยละ 22.1 และนักศึกษาที่ฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจรมีเพียง ร้อยละ 13.6 ส่วน พฤติกรรมด้านการจอดรถ พบว่า ในภาพรวมมีค่าเฉลี่ยของการตอบแบบสอบถาม 2.53 อยู่ในระดับการ ปฏิบัติน้อย และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่านักศึกษามีพฤติกรรมที่ปฏิบัติมากที่สุด คือ หยุดรถในเขต ที่มีเครื่องหมายห้ามจอดเพื่อไปซื้อของหรือทำธุระ คิดเป็นร้อยละ 21.4 และ จอดรถซ้อนคัน คิดเป็น
41 ร้อยละ 19.5 พฤติกรรมดังกล่าวอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ สอดคล้องกับที่ นฤชา เนตรวิชัย (2550) กล่าวไว้ว่า อุบัติเหตุจราจรทางถนนส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมขับขี่ที่ผิดพลาด ความประมาท การขาด ความรู้ความเข้าใจในเรื่องเครื่องหมาย หรือสัญญาณจราจร และการไม่ปฏิบัติตามกฎของบุคคล พฤติกรรมด้านความปลอดภัยในการขับขี่ พบว่า ในภาพรวมมีค่าเฉลี่ยของการตอบแบบสอบถาม 2.53 อยู่ในระดับการปฏิบัติน้อย และเมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่านักศึกษามีพฤติกรรมที่ปฏิบัติมาก ที่สุด คือ ท่านขับรถผ่านวงเวียน ท่านรอให้รถในวงเวียนไปก่อน คิดเป็นร้อยละ 25.3 ขับรถด้วยความเร็ว ไม่เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คิดเป็นร้อยละ 20.1 มีใบอนุญาติขับขี่ติดตัวขณะขับขี่ คิดเป็นร้อยละ 18.2 สวมหมวกนิระภัยขณะขับขี่ คิดเป็นร้อยละ 16.2 ตรวจสภาพรถก่อนขับขี่ คิดเป็นร้อยละ 14.3 แสดงให้ เห็นว่านักศึกษามีพฤติกรรมด้านความปลอดภัยในการขับขี่ค่อนข้างน้อย สอดคลองกับนฤชา เนตรวิชัย (2550) กล่าวว่า ผู้ขับขี่เป็นผู้ก่อให้เกิดอุบัติเหตุโดยตรง เพราะผู้ขับขี่จะต้องเป็นผู้บังคับควบคุมตัวเองและ ยานพาหนะ ในสถานการณ์ที่ต่างกันซึ่งสาเหตุที่ผู้ขับขี่จะก่อให้เกิดอุบัติเหตุ ได้แก่ ขาดความรู้ความเข้าใจ ในการจราจรที่ถูกต้องสมบูรณ์สภาพร่างกายและจิตใจของผู้ขับขี่บกพร่อง
บทที่5 สรุปผลการวิจัยและข้อเสนอแนะ การศึกษาพฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของนักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ที่ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการเดินทาง มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษา พฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจรของนักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัย ราชภัฏร้อยเอ็ด ที่ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะในการเดินทาง การศึกษาครั้งนี้ ผู้วิจัยกำหนดกลุ่มประชากรเป็นนักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด ชั้นปีที่ 1 – 4 จำนวน 230 คน คำนวณกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเรื่องนี้ โดยการใช้สูตรการกำหนดกลุ่มประชากรตัวอย่างของ Taro Yamane ได้146 คน แต่เพื่อป้องกันความ ผิดพลาดจากการชำรุดหรือเสียหายของแบบสอบถาม ผู้วิจัยจึงเลือกเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน ทั้งสิ้น 154 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ใช้แบบสอบถามที่ผ่านการหา คุณภาพโดยให้อาจารย์ที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญเป็นผู้ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา ดำเนินการเก็บ ข้อมูล โดยการส่ง URL แบบสอบถามให้กับนักศึกษาสาขาวิชาสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัย ราชภัฏร้อยเอ็ด ชั้นปีที่ 1 – 4 จำนวน 154 คน โดยผู้วิจัยเก็บข้อมูลในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ผู้วิจัย เลือกใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้1.ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าความถี่ (F) ร้อยละ (%) 2.ข้อมูลพฤติกรรมการปฏิบัติตามกฎจราจร วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าสถิติ ค่าเฉลี่ย (̅) ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) โดยใช้โปรแกรมวิเคราะห์ข้อมูลการวิจัยทางสังคมศาสตร์ (SPSS for Window) สรุปผลการวิจัย จากการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติผู้วิจัยสามารถสรุปผลการวิจัยออกเป็นประเด็นโดยเรียง ตามลำดับความสำคัญแบ่งออกเป็น 2 ตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถาม ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษาที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง มากกว่าครึ่งเป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชายคิดเป็นร้อยละ 57.14 เปรียบเทียบกับ ร้อยละ 42.86 ตามลำดับ ส่วนใหญ่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นปีที่ 4 คิดเป็นร้อยละ 27.27 รองลงมาคือ ชั้นปีที่ 1 ชั้นปีที่ 2 ชั้น ปีที่ 3 คิดเป็นร้อยละ 24.67 , 24.02 และ 24.02 ตามลำดับ ในด้านการมีรถจักรยานยนต์เป็นของตนเอง พบว่านักศึกษามากกว่า 3 ใน 4 หรือคิดเป็นร้อยละ 89 มีรถจักรยานยนต์เป็นของตนเอง และส่วนน้อยที่ ไม่มีรถจักรยานยนต์เป็นของตนเอง คิดเป็นร้อยละ 11 ในด้านความถี่ในการขับรถใน 1 สัปดาห์ พบว่า นักศึกษาส่วนใหญ่มีความถี่ในการขับรถ ทุกวันตลอดสัปดาห์ คิดเป็นร้อยละ 39 รองลงมาคือ 5-6 วัน ต่อ สัปดาห์ 3-4 วัน ต่อสัปดาห์ และ 1-2 วันต่อสัปดาห์ คิดเป็นร้อยละ 33.8 , 16.9 , 10.4 ตามลำดับ ใน ด้านระยะทางในการขับขี่ พบว่า ระยะทางที่มีความถี่ของผู้ขับขี่สูงที่สุด อยู่ที่ 6-10 กิโลเมตร คิดเป็นร้อย ละ 31.8 รองลงมาอยู่ที่ระยะทาง ไม่เกิน 5 กิโลเมตร 16 กิโลเมตรขึ้นไป และความถี่น้อยที่สุดอยู่ที่