The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยในชั้นเรียน2564(ภาณุพงศ์ลาภเกิน)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by notprapan1228, 2022-03-05 05:20:07

วิจัยในชั้นเรียน2564(ภาณุพงศ์ลาภเกิน)

วิจัยในชั้นเรียน2564(ภาณุพงศ์ลาภเกิน)

รายงานวิจัยในชน้ั เรยี น
การพัฒนาผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นวชิ าฟสิ กิ ส์ โดยการสอนแบบ Active learning

ร่วมกบั การใช้ Google Workspace

ผวู้ จิ ยั
นายภาณพุ งศ์ ลาภเกิน
ตำแหนง่ ครู ชำนาญการ
กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

โรงเรยี นชำนาญสามัคควี ิทยา
ตำบลคลองปูน อำเภอแกลง จงั หวัดระยอง
สำนักงานเขตพืน้ ที่การศึกษามัธยมศกึ ษา ชลบรุ ี ระยอง

บนั ทึกข้อความ

ส่วนราชการ โรงเรียนชำนาญสามัคคีวทิ ยา อำเภอแกลง จังหวัดระยอง

ที่ พิเศษ/2565 วันที่ 1 มนี าคม 2565

เรอ่ื ง สง่ รายงานวจิ ยั ในช้นั เรียน ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศกึ ษา 2565

ตามทข่ี ้าพเจ้า นายภาณุพงศ์ ลาภเกิน ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ชำนาญการ ไดร้ บั มอบหมายใหจ้ ดั กจิ กรรม
การเรียนการสอน ในภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2565 นนั้ ขา้ พเจา้ ได้ดำเนินการจดั กจิ กรรมและประเมินผลการ
จัดกิจกรรม โดยการศกึ ษาและจดั ทำวิจยั ในช้ันเรียน เร่อื ง การพัฒนาผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนวิชาฟิสิกส์ โดยการ
สอนแบบ Active learning ร่วมกบั การใช้ Google Workspace เพอื่ ประเมินผลการจัดกจิ กรรมตามหลักสตู ร
และแผนการจัดการเรยี นรู้ ดงั นั้น จงึ ขอนำส่งผลการวิจยั และรายงานการวิจัยในชั้นเรียนดงั กลา่ ว ตามเอกสารท่ี
แนบมาพร้อมนี้

จึงเรียนมาเพอ่ื โปรดทราบและพิจารณา

ลงชอ่ื ............................................... ผู้รายงาน
(นายภาณพุ งศ์ ลาภเกนิ )

ตำแหนง่ ครู วทิ ยฐานะ ชำนาญการ

ความเหน็ ผู้อำนวยการโรงเรียน
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ลงชือ่ ...............................................

(นายสนั ติ มกุ ดาสนทิ )
ผู้อำนวยการโรงเรียนชำนาญสามคั คีวทิ ยา

………../…………………./………….….

ช่อื เรอื่ งวจิ ยั : การพัฒนาผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นวิชาฟิสิกส์ โดยการสอนแบบ Active learning
รว่ มกบั การใช้ Google Workspace
ผ้วู ิจัย
หนว่ ยงาน : นายภาณพุ งศ์ ลาภเกิน
: โรงเรยี นชำนาญสามัคควี ทิ ยา อำเภอแกลง จังหวัดระยอง
ปีทศี่ กึ ษา สำนักงานเขตพนื้ ท่ีการศึกษามัธยมศึกษาชลบรุ ี ระยอง
: ภาคเรยี นท่ี 2 ปกี ารศึกษา 2564

บทคัดยอ่
การวิจัยครั้งนี้ จัดทำขึ้นเพื่อพัฒนาทักษะการสอนของครูผู้สอนโดยใช้วิธีการจัดการเรียนการสอนแบบ
Active learning รว่ มกับการใช้ Google Workspace และพฒั นาผลสัมฤทธิท์ างการเรียนรายวิชาฟสิ กิ ส์
กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนระดับชั้น ม.6/1 จำนวน 37 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ แผนการจัดการ
เรยี นรู้ และแบบทดสอบวัดผลการเรียน วเิ คราะหข์ อ้ มลู โดยใชส้ ถิติ คา่ เฉลย่ี คา่ t (t - test dependent)
ปรากฏผล ดังนี้

1.1 การเปรยี บเทยี บคา่ เฉลยี่ ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นกอ่ นเรียนกับหลงั เรยี นของนกั เรยี นผา่ น การ

จัดการเรยี นการสอนแบบ Active learning ร่วมกบั การใช้ Google Workspace ได้ผลการทดสอบก่อนเรยี น มี

คา่ เฉลยี่ เท่ากับ 10.97 สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.404 ส่วนผลการทดสอบหลังเรยี นมคี า่ เฉลยี่ เท่ากบั 27.39

ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.803 และจากการทดสอบดว้ ยสถติ ิ t พบวา่ คะแนนเฉลีย่ หลังเรียนสูงกวา่ ก่อน

เรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิตทิ ีร่ ะดบั .05 (t = 72.419) เป็นไปตามสมมตฐิ านข้อที่ 1

1.2 คา่ ความพงึ พอใจต่อการจัดการเรียนการสอนแบบ Active learning ร่วมกบั การใช้ Google
Workspace ในระดบั มาก และจากตารางพบวา่ ค่าเฉลีย่ ความพึงพอใจของกล่มุ ตัวอย่าง มีคา่ อยรู่ ะหว่าง 3.51 –
4.50 โดยมีค่าเฉลีย่ รวมทงั้ หมด เทา่ กบั 4.16 อยใู่ นระดับมาก เป็นไปตามสมมตฐิ านข้อ 2

บทท่ี 1

บทนำ

ความเป็นมาและความสำคญั ของปญั หา

ความเจรญิ กา้ วหน้าทางวิทยาการต่าง ๆ ของโลกในยุคปัจจุบนั สง่ ผลต่อการเปล่ียนแปลงทางสังคมและ
เศรษฐกิจของนานาประเทศ รวมทั้งประเทศไทยด้วย การศึกษานับว่าเป็นรากฐานสำคัญที่สุดในการสร้างสรรค์
ความเจริญก้าวหน้าและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในสังคม เนื่องจากการศึกษาเป็นกระบวนการที่ช่วยให้คนได้พัฒนา
ตนเองตลอดช่วงชีวิต ประเทศชาติใดมีประชาชนที่มีการศึกษาสูง ย่อมมีความหวังในการพัฒนาประเทศอย่างมี
สันติ (สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแหง่ ชาติ. 2546 : 3) นอกจากนั้นแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
แห่งชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2550 - 2554) ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการปรับเปลี่ยนจุดเน้นในการพัฒนา
คุณภาพคนในสังคมไทยให้มีคุณธรรม และมีความรอบรู้อย่างเท่าทัน ให้มีความพร้อมทั้งด้านร่างกาย สติปัญญา
อารมณ์และศีลธรรม สามารถก้าวทันการเปลี่ยนแปลงเพื่อนำไปสู่สังคมฐานความรู้ได้อย่างมั่นคง แนวการพัฒนา
คนดังกล่าวมุ่งเตรียมเด็กและเยาวชนให้มีพื้นฐานจิตใจที่ดีงาม มีจิตสาธารณะ พร้อมทั้งมีสมรรถนะ ทักษะ และ
ความรู้พื้นฐานที่จำเป็นในการดำรงชีวิต อันจะส่งผลต่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน (กระทรวงศึ กษาธิการ
2551 : 2) ซงึ่ แนวทางดงั กลา่ วสอดคลอ้ งกับนโยบายของกระทรวงศึกษาธกิ าร ในการพฒั นาเยาวชนของชาติ โดย
มุ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนมีคุณธรรม รักความเป็นไทย มีทักษะการคิดวิเคราะห์ คิดสร้างสรรค์ มีทักษะด้านเทคโนโลยี
สามารถทำงานร่วมกบั ผูอ้ ื่น และสามารถอยรู่ ่วมกับผู้อน่ื ในสังคมโลกไดอ้ ย่างสันติ

หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ท่ี
เน้นการเช่ือมโยงความรู้กบั กระบวนการ มีทักษะสำคัญในการค้นคว้า และสร้างองค์ความรู้ โดยใช้กระบวนการใน
การสืบเสาะหาความรู้ และการแก้ปัญหาที่หลากหลายให้ผู้เรียน มีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุกขั้นตอน มีการทำ
กิจกรรมด้วยการลงมือปฏิบัติจริงอย่างหลากหลายเหมาะสมกับระดับชั้น รูปแบบการสอนโดยใช้กระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์ เป็นรูปแบบการสอน ที่เน้นให้นักเรียนสืบเสาะหาความรู้ด้วยตนเอง ครูไม่ต้องอธิบายหรือบรรย าย
เน้ือหาให้นักเรยี นฟัง แตจ่ ะใช้คำถามเพอ่ื นำไปสู่พฤติกรรมของนักเรยี นในการปฏบิ ัติกจิ กรรมต่าง ๆ การเรียนรู้โดย
ใช้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ถือเป็นหัวใจสำคัญย่ิงของการเรียนวิทยาศาสตร์ เพราะทักษะกระบวนการ
ทางวิทยาศาสตร์เอื้อให้ผู้เรียนได้ทำกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยตนเองมากที่สุดวิทยาศาสตร์มีบทบาทสำคัญในสังคม
โลกปัจจุบันและอนาคต เพราะวิทยาศาสตร์เกี่ยวข้องกับชีวิตของทุกคน ทั้งในการดำรงชีวิตและในงานอาชีพ
วิทยาศาสตร์ทำให้คนได้พัฒนาวิธคี ิดและมีความสามารถในการแก้ปัญหาได้อย่างเป็นระบบ จากการสอบถามและ
การสังเกตจากพฤติกรรมของนักเรียน ทุกคนจึงจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาให้รู้วิทยาศาสตร์ เพื่อที่จะมีความรู้
ความเข้าใจในธรรมชาติและเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้น สามารถนำความรู้ไปใช้อย่างมีเหตุผล สร้างสรรค์
และมีคุณธรรม (สำนกั วชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา. 2551 : 1) โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ การศึกษาด้านวทิ ยาศาสตร์
เพราะในชีวิตประจำวันเราทุกคนต้องเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตลอดไม่ทางใดก็ทางหนึ่งซึ่งเป็น
เครอื่ งมือชว่ ยให้มนุษย์สะดวกสบายมีคณุ ภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากน้ยี งั มีบทบาทสำคญั ยิง่ ต่อการพัฒนาประเทศให้
เจริญก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วหลักสูตรวิทยาศาสตร์จึงเป็นหลักสูตรที่ได้รับความสนใจมาตลอด ซึ่งถือว่ามี

ความสำคัญมากเนื่องจากความต้องการของประเทศท่ีมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ประเทศจงึ ต้องการประชากร
ท่ีมที ักษะ มีความรู้ และสามารถตัดสินใจได้อย่างมีเหตผุ ลโดยใช้ความรูท้ างเทคโนโลยบี างอย่าง

ในยคุ ศตวรรษที่ 21 โลกมคี วามเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วเนื่องมาจากการใชเ้ ทคโนโลยีเช่ือมโยงข้อมูล
ต่าง ๆ ของทุกภูมิภาคของโลกเข้าด้วยกัน คนทุกมุมโลกไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ใช้คอมพิวเตอร์เป็น และไม่น้อย
กว่าร้อยละ 50 สามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้ (มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์, 2559)
การเปน็ ปัจเจกบุคคล และการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารทง้ั ข้อมูลที่ดีและข้อมูลไม่ดีทร่ี วดเรว็ เหล่านส้ี ่งผลต่อวิถีการดำรง
ชพี ของสังคมอย่างทัว่ ถงึ ทกั ษะการร้เู ทา่ ทันเทคโนโลยสี ารสนเทศ (ICT Literacy) และทกั ษะด้านความร่วมมือการ
งานเป็นทีม และภาวะผู้นำ (Collaboration, Teamwork and Leadership) จึงมีสำคัญและจำเป็นที่จะต้อง
พัฒนาความสามารถของแต่ละบุคคลในการใช้เทคโนโลยดี จิ ิทัลและเครื่องมือการส่ือสาร เพ่อื ใหบ้ ุคคลสามารถการ
จดั การ เช่ือมโยง การประเมิน ลำดับเนอ้ื หาและส่ือสารไดด้ ีขนึ้ และใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศในการทำงานได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ โดยสามารถผสมผสานความรูท้ ุกสาขาวิชารวมถึงทักษะการเรียนรู้และการใช้ชีวิต เกิดความร่วมมือ
กันทำงานหรือศึกษาหาความรู้ สำหรับมุมมองทางการศึกษาในศตวรรษที่ 21 คอมพิวเตอร์จะเป็นเครื่องมือหลัก
สำคัญสำหรับผู้สอนเพื่อเข้าถึงทรัพยากรการเรียน การเตรียมแผนการจัดการเรียนรู้ การมอบหมายงาน และ
ติดต่อสื่อสารกับผู้ปกครอง ผู้สอนจึงตอ้ งมีความตื่นตัวและเตรยี มพร้อมในการจัดการเรยี นรู้เพือ่ เตรียมความพร้อม
ให้ผู้เรียนมีทักษะสำหรับการออกไปดำรงชีวิตในโลกในศตวรรษท่ี 21 แอพพลิเคชั่น“Google classroom” ซึ่ง
เป็นส่วนหนึ่งของ Google Apps for Education จึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยอำนวยความสะดวกด้านการศึกษา เพิ่ม
ประสิทธิภาพการทำงานเพื่อให้ผู้สอนมีเวลาที่ติดต่อสื่อสารกับผู้เรียนมากขึ้น ในขณะเดียวกันผู้เรียนมีเวลาค้นหา
ข้อมูลเพื่อการเรียนรู้มากขึ้นด้วยเช่นกัน เนื่องจากเป็นชุดเครื่องที่มีการผสานรวมแอพพลิเคชั่นของ Google ไว้
หลากหลาย อาทิ Google Doc, Google drive, Google slide และ Gmail ไวด้ ้วยกนั ผสู้ อนจึงสามารถสร้างและ
รวบรวมงานโดยไม่ต้องสิ้นเปลืองกระดาษ และใช้งานน้ันในชัน้ เรียนต่าง ๆ โดยสามารถเลอื กวา่ จะให้ผู้เรียนทำงาน
อย่างไรทำเป็นรายกลุ่มหรือรายบุคคล เพิ่มช่องทางการสื่อสารระหว่างครูและนักเรียน และผู้สอนสามารถติดตาม
งานได้ ตลอดจนแสดงความคิดเห็นให้คำแนะนำแก่ผู้เรียนแต่ละคนได้ตลอดเวลาแม้จะไม่ได้อยู่ในห้องสอนและ
ผู้เรียนสามารถดูงานของชั้นเรียนที่กำลังทำอยู่และที่ทำเสร็จแล้ว แสดงความเห็น ปรับเปลี่ยนและทำงานร่วมกัน
เป็นทีม มองเห็นภาวะผู้นำและผู้ตามของผู้เรียนในชั้น ที่สำคัญผู้สอนสามารถวัดประเมินชิ้นงานตามสภาพจริง
สามารถดคู ะแนนท้ังหมดของงาน ส่วนผู้เรียนสามารถดคู ะแนนของตนเองสำหรบั งานท่ที ำเสร็จแลว้ ได้ รปู แบบการ
เรียนรู้แบบออนไลน์ ถือเป็นนวัตกรรมทางการศึกษาที่เปลี่ยนแปลงวิธีการเรียนแบบเดิมที่นั่งเรียนในชั้นเรียน แต่
เป็นการเรียนรู้บนฐานเทคโนโลยี (Technology–based learning) ซึ่งจะครอบคลุมวิธีการเรียนรู้ที่หลากหลาย
รปู แบบ

ดว้ ยสภาพปญั หาดงั กล่าวขา้ งตน้ ผู้วจิ ยั จงึ สนใจสรา้ งนวตั กรรมเรื่อง การพัฒนาทกั ษะการสอนแบบ Active

learning ร่วมกับการใชเ้ ทคโนโลยแี ละสอื่ ออนไลน์ ในการพฒั นาผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนวชิ าวิทยาศาสตร์ โรงเรยี น

ชำนาญสามัคคีวิทยา ทำให้นักเรียนได้เรียนรู้หลักการ แนวคิด และทฤษฎีได้ด้วยตนเอง เพื่อให้ได้องค์ความรู้ที่จะ

นำไปใช้เป็นพื้นฐานในการเรียนต่อไปได้ และเป็นการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยเน้นการ

เรียนรบู้ นฐานเทคโนโลยี (Technology–based learning) เพอื่ ใหน้ ักมีผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นวิชาวิทยาศาสตร์ที่
สงู ขนึ้

วตั ถุประสงคข์ องการวิจัย
1. เพ่อื เปรยี บเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น ระหวา่ งก่อนเรียนและหลงั เรียน ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์ โดย

การสอนแบบ Active learning รว่ มกบั การใช้ Google Workspace
2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอนแบบ Active learning ร่วมกับการใช้ Google

Workspace

สมมติฐานของการวจิ ัย
1.ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนโรงเรียนชำนาญสามัคคีวิทยา หลังเรียนโดยใช้วิธีการจัดการเรียน

การสอนแบบ Active learning ร่วมกบั การใชเ้ ทคโนโลยีและส่อื ออนไลน์ สูงกว่ากอ่ นเรียน
2.ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอนแบบ Active learning ร่วมกับการใช้ Google Workspace

อยู่ในระดับ มาก

ขอบเขตการวิจัย
1. ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง
1.1 ประชากรนักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาช้นั ปที ี่ 6 จำนวน 111 คน
1.2 กล่มุ ตวั อย่าง นักเรียนช้ัน ม.6/1 จำนวน 37 คน เลือกแบบเฉพาะเจาะจง
2. ตัวแปรที่ศกึ ษา
2.1 ตัวแปรอสิ ระ ไดแ้ ก่ การสอนแบบ Active learning รว่ มกับการใช้ Google Workspace
2.2 ตวั แปรตาม ไดแ้ ก่ ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนของนกั เรียน ความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการ
สอนแบบ Active learning
3. เนื้อหาทีใ่ ชใ้ นการวิจัย
1. การจัดการเรียนรู้ด้วยรปู แบบการสอน Active Learning จงึ เปน็ กระบวนการจดั การเรยี นรู้ตามแนวคิด

การสร้างสรรค์ทางปัญญา (Constructivism) ที่เน้นกระบวนการเรียนรู้มากกว่าเนื้อหาวิชา เพื่อช่วยให้ผู้เรียน
สามารถเชื่อมโยงความรู้ หรือสร้างความรู้ให้เกิดขึ้นในตนเอง ด้วยการลงมือปฏิบัติจริงผ่านสื่อหรือกิจกรรมการ
เรียนรู้ ที่มีครูผู้สอนเป็นผู้แนะนำ กระตุ้น หรืออำนวยความสะดวก ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ขึ้น โดยกระบวนการ
คิดขน้ั สูง กลา่ วคอื ผ้เู รยี นมีการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และการประเมินค่าจากส่ิงที่ได้รบั จากกจิ กรรมการเรียนรู้ ทำ

ให้การเรียนรเู้ ป็นไปอย่างมีความหมายและนำไปใช้ในสถานการณ์อื่นๆได้อย่างมีประสิทธภิ าพ (สถาพร พฤฑฒิกุล,
2558)

ลกั ษณะของการจดั การเรียนการสอนแบบ Active Learning เปน็ ดงั นี้ (ไชยยศ เรืองสุวรรณ, 2553)
1. เป็นการเรียนการสอนที่พัฒนาศักยภาพทางสมอง ได้แก่ การคิด การแก้ปัญหา และการนำความรู้ไป
ประยุกต์ใช้
2. เป็นการเรยี นการสอนทเ่ี ปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนร้สู ูงสดุ
3. ผเู้ รยี นสรา้ งองค์ความร้แู ละจัดกระบวนการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง
4. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนการสอนทั้งในด้านการสร้างองค์ความรู้ การสร้างปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน
รว่ มมอื กันมากกว่าการแข่งขนั
5. ผู้เรียนเรยี นรคู้ วามรบั ผดิ ชอบร่วมกนั การมวี ินยั ในการทำงาน และการแบ่งหนา้ ที่ความรับผดิ ชอบ
6. เป็นกระบวนการสร้างสถานการณ์ให้ผูเ้ รียนอ่าน พูด ฟัง คิดอย่างลุ่มลึก ผู้เรียนจะเป็นผู้จัดระบบการ
เรียนรดู้ ้วยตนเอง
7. เป็นกจิ กรรมการเรยี นการสอนทีเ่ นน้ ทกั ษะการคิดขั้นสงู
8. เปน็ กิจกรรมที่เปดิ โอกาสให้ผู้เรียนบูรณาการข้อมูลขา่ วสาร หรอื สารสนเทศ และหลักการความคดิ รวบ
ยอด
9. ผู้สอนจะเป็นผอู้ ำนวยความสะดวกในการจัดการเรยี นรู้ เพือ่ ให้ผ้เู รียนเปน็ ผูป้ ฏิบตั ดิ ้วยตนเอง
10. ความรเู้ กิดจากประสบการณ์ การสรา้ งองคค์ วามรู้ และการสรุปทบทวนของผู้เรียน
บทบาทของอาจารย์ผู้สอนในการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ตามแนวทางของ Active Learning ดงั นี้ (ณัชนัน
แก้วชัยเจริญกิจ, 2550) จัดให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนการสอน กิจกรรมต้องสะท้อนความต้องการใน
การพัฒนาผู้เรียนและเนน้ การนำไปใชป้ ระโยชน์ในชวี ติ จรงิ ของผูเ้ รยี น
1. สรา้ งบรรยากาศของการมสี ว่ นร่วม และการเจรจาโต้ตอบท่ีส่งเสรมิ ใหผ้ เู้ รียนมปี ฏสิ มั พันธท์ ี่ดี
กับผสู้ อนและเพ่อื นในชน้ั เรียน
2. จดั กิจกรรมการเรยี นการสอนให้เป็นพลวัต ส่งเสริมให้ผเู้ รียนมีส่วนร่วมในทุกกิจกรรมรวมท้ัง
กระตนุ้ ใหผ้ ูเ้ รียนประสบความสำเร็จในการเรียนรู้
3. จดั สภาพการเรยี นรู้แบบรว่ มมอื สง่ เสรมิ ให้เกดิ การร่วมมือในกล่มุ ผเู้ รยี น
4. จดั กิจกรรมการเรียนการสอนให้ท้าทาย และให้โอกาสผู้เรียนได้รับวิธกี ารสอนท่หี ลากหลาย
5. วางแผนเก่ยี วกับเวลาในจัดการเรียนการสอนอยา่ งชัดเจน ท้ังในส่วนของเนอื้ หา และกจิ กรรม
6. ครผู ูส้ อนตอ้ งใจกว้าง ยอมรับในความสามารถในการแสดงออก และความคดิ เของทผ่ี เู้ รียน

2. เครือข่ายสงั คมออนไลน์ ใช้ดำเนินงานหรือกิจกรรมตา่ งๆ โดยมีบุคคลหรือหน่วยงานต่างๆ ร่วมกันเปน็
เครือข่ายเพื่อใช้ทรัพยากรร่วมกัน แลกเปลี่ยน แบ่งปันทรัพยากร ข้อมูลข่าวสาร ฯลฯ ผ่านอินเทอร์เน็ต โดย
เว็บไซต์ทใี่ หบ้ ริการเครือขา่ ยสังคมออนไลนส์ ามารถ แบง่ ออกเปน็ 4 กลุ่ม (สุภาภรณ์ เพชรสุภา, 2554) ได้แก่

1. กลมุ่ เวบ็ ไซตเ์ ผยแพร่ “ตวั ตน” ตวั อยา่ ง myspace.com, facebook.com เป็นต้น
2. กลุ่มเว็บไซต์เผยแพร่ “ผลงาน” เช่น YouTube.com, Yahoo VDO, Google VDO, Flickr.com,
Multiply.com เปน็ ตน้
3. กลุ่มเว็บไซต์ที่มีความสนใจเกี่ยวกับ เรื่องเดียวกัน อาจเป็นลักษณะ Online Bookmarking หรือ
Social Bookmarking ไดแ้ ก่ Delicious, Digg, Zickr, Duocore.tv เป็นตน้
4. กลุ่มเวบ็ ไซต์ทใ่ี ชส้ ำหรบั การทำงานรว่ มกนั เปน็ กลุ่ม การทำงานเครอื ข่ายสงั คมออนไลน์ ทีเ่ ปดิ โอกาส
ให้สมาชิกทุกคนในกลุ่มสามารถเข้ามานำเสนอ ข้อมูล ความคิดหรือต่อยอด เรื่องราวต่างๆ ได้ ตัวอย่าง เว็บไซต์นี้
ไดแ้ ก่ WikiPedia
จากท่ีกล่าวมาทั้งหมด จะเห็นได้เว็บไซต์ที่ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ มีการพัฒนาขึ้นมาอย่าง
ต่อเนื่องเพื่อประโยชน์ในการใช้งานในด้านต่างๆ และสามารถแลกเปลี่ยนความรู้ ร่วมกันได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
มากย่ิงขน้ึ
4.ระยะเวลาที่ใชใ้ นการวจิ ัย
เรมิ่ ต้นวนั ที่ 1 ธันวาคม 2564 สนิ้ สุดวนั ท่ี 31 มีนาคม 2565

นยิ ามคำศัพทเ์ ฉพาะ
1. ผลสมั ฤทธ์ิการเรยี นของผู้เรียน หมายถงึ ผลคะแนนทไ่ี ดจ้ ากการทดสอบด้วยเคร่ืองมือ แบบทดสอบ

ที่ครูผู้สอนจัดทำขึ้นโดยยึดตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดในรายวิชาฟิสิกส์ 3 ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
แผนการเรยี นวิทยาศาสตร์- คณติ ศาสตร์

2. การจัดการเรยี นร้ดู ้วยรูปแบบการสอน Active Learning หมายถึง กระบวนการจัดการเรยี นร้ตู าม
แนวคดิ การสรา้ งสรรค์ทางปัญญา (Constructivism)

3. Google Workspace หมายถงึ บรกิ ารอกี อยา่ งหน่ึงจาก Google เป็นชดุ แอปพลิเคชันที่ใช้สำหรบั
บริหารจัดการองค์กร เพ่อื การทำงานร่วมกันอย่างเต็มรูปแบบ เหมาะกับธุรกิจทกุ ขนาด ไมว่ า่ จะขนาดเล็ก ขนาด
กลาง หรือขนาดใหญ่ โดยจะมแี อปพลิเคชนั ท่เี หมาะสำหรับการทำงานตา่ งๆ มากมายให้เลอื กใชง้ าน ไม่วา่ จะเป็น

ประโยชน์คาดวา่ จะได้รบั

1. ทำให้ครูได้พัฒนาทักษะการจัดการเรียนรู้รายวิชาฟิสิกส์โรงเรียนชำนาญสามัคคีวิทยา โดยการจัดการ
เรียนการสอนแบบ Active learning ร่วมกับการใช้เทคโนโลยแี ละสือ่ ออนไลน์

2. ทำให้ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนรายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ของนักเรยี นโรงเรยี นชำนาญสามัคคีวทิ ยาสงู ขึ้น

กรอบแนวคิดการวจิ ยั ตัวแปรตาม
ตัวแปรตน้ /ตัวแปรอิสระ

การสอนแบบ Active learning รว่ มกับ -ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนของนักเรียน
การใช้ Google Workspace -ความพึงพอใจตอ่ การจดั การเรยี นการ
-แผนการจัดการเรยี นรู้
-แบบทดสอบ

บทท่ี 2

เอกสารและงานวิจัยทเ่ี กี่ยวขอ้ ง

งานวิจัยเร่ือง การพัฒนาผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นวชิ าฟิสิกส์ โดยการสอนแบบ Active learning ร่วมกับ
การใช้ Google Workspace โรงเรยี นชำนาญสามัคควี ิทยา ผวู้ ิจยั ไดศ้ กึ ษาแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจยั ท่ี
เก่ียวขอ้ งดงั นี้

1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น
1.1 ความหมายของผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น
1.2 องค์ประกอบของผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน
1.3 ความหมายของการวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น

2. รปู แบบการจดั การเรยี นร้แู บบ Active Learning

1. ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น

1.1 ความหมายผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น
ชวาล แพรัตกุล (2514, หน้า 15-17) ได้ใหค้ วามหมายของผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นว่า เป็น

ความสำเร็จในดา้ นความรู้ ทกั ษะ และสมรรถภาพด้านต่างๆ ของสมอง น่นั คือ สมั ฤทธิผลทางการเรียนควรจะ
ประกอบด้วยส่ิงสำคัญอย่างน้อยสามสงิ่ คือ ความรู้ ทักษะ และสมรรถภาพสมองตา่ ง ๆ ภพ เลาหไพบูลย์ (2542 :
329) ได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน หมายถึง พฤตกิ รรมทีแ่ สดงออกถึงความสามารถในการกระทำ
สิง่ หน่งึ สง่ิ ใดได้ จากที่ไมเ่ คยกระทำหรอื เคยกระทำได้น้อยก่อนท่จี ะมีการเรียนการสอน

สนทยา เขมวิรตั น์ (2542 : 6) ไดใ้ ห้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถงึ ความรู้
หรอื ความสามารถของบคุ คลทีไ่ ดจ้ ากการเรยี นรู้และความสามารถ โดยสามารถนำไปใช้ในการแกป้ ัญหาหรอื ศึกษา
ตอ่ เนือ่ งได้ ซึ่งผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียนสามารถวัดได้ด้วยแบบทดสอบผลสัมฤทธท์ิ ่ัวไป

สรุปไดว้ า่ ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น หมายถงึ ระดบั ความสามารถของบุคคลท่ีเกิดจากการ
เรยี นรู้การฝึกฝน และสมรรถภาพทางสมองดา้ นต่าง ๆ ซ่ึงสามารถวัดไดจ้ ากแบบทดสอบผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี น

2. องคป์ ระกอบท่ีมอี ิทธพิ ลต่อผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น
ในกระบวนการเรยี นรู้ การท่ีผูเ้ รยี นจะมีผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนสูงหรือตำ่ เพยี งใดนัน้

ยอ่ มข้ึนอยกู่ บั องค์ประกอบหลายประการ ดงั ท่นี ักจติ วทิ ยาและนกั การศึกษาได้กลา่ วไวด้ ังน้ี
Bloom (อา้ งใน เรณู จันทร์กุย, 2538, หน้า 25) ได้กล่าวถึงทฤษฎีการเรยี นในโรงเรยี นว่า ตัวแปรที่มี

อิทธพิ ลต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนประกอบดว้ ย 3 ตัวแปรคอื

1. พฤตกิ รรมดา้ นความรู้ความคดิ (Cognitive Entry Behaviors) หมายถึง ความรู้
ความสามารถและทักษะตา่ ง ๆ ของผู้เรยี นที่มมี าก่อน

2. คุณลกั ษณะทางจติ ใจ (Affective Entry Characteristics) หมายถงึ แรงจงู ใจทที่ ำให้
ผู้เรียนเกิดความอยากเรยี นรใู้ นสิ่งใหม่ ๆ ได้แก่ ความสนใจในวิชาที่เรียน เจตคติตอ่
เนื้อหาวิชาทีเ่ รียนและการยอมรับความสามารถของตนเอง เปน็ ต้น

3. คณุ ภาพการเรยี นการสอน (Quality of Instruction) ประสิทธิภาพการเรยี นการสอนที่
นกั เรยี นจะไดร้ ับ ไดแ้ ก่ คำแนะนำการปฏบิ ตั ิและแรงเสรมิ ของผู้สอนที่มตี อ่ ผู้เรยี น เป็นตน้

Klausmier (อ้างใน เรณู จนั ทร์กุย, 2538, หนา้ 27) ได้กล่าวถงึ องค์ประกอบทีม่ ีอิทธิพลต่อ
ผล สมั ฤทธิท์ างการเรยี นวา่ นอกจากตวั นกั เรยี นเองและครูผสู้ อนแล้วยังมอี งค์ประกอบอ่ืน ๆ ท่มี อี ิทธิพลตอ่
ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นเชน่ บ้าน สง่ิ แวดลอ้ ม และการศึกษาส่วนตัวของนกั เรียน เป็นต้น คลอสไมร์ ไดเ้ สนอ
รูปแบบขององค์ประกอบเหล่านี้ไว้ 6 ประการ คือ

1. คณุ ลกั ษณะของผู้เรยี น ได้แก่ ความพรอ้ มทางด้านสมอง ความพร้อมทางดา้ นสตปิ ัญญา
ความพร้อมทางดา้ นรา่ งกายและความสามารถทางดา้ นทักษะของรา่ งกายคุณลักษณะทางจติ ใจ ซงึ่ ได้แกค่ วาม
สนใจ แรงจงู ใจ เจตคติและค่านยิ ม สขุ ภาพ ความเขา้ ใจเกย่ี วกบั ตนเอง ความเข้าใจในสถานการณ์ อายุ เพศ เป็น
ตน้

2. คณุ ลักษณะของผสู้ อนได้แก่ สตปิ ญั ญา ความรู้ในวิชาที่สอน การพัฒนา ความรู้ ทักษะทาง
รา่ งกาย คุณลักษณะของจติ ใจ สุขภาพ ความเข้าใจเกี่ยวกับตนเอง ความเขา้ ใจสถานการณ์ อายแุ ละเพศ เป็นตน้

3. พฤตกิ รรมระหวา่ งผูเ้ รียนและผสู้ อน ไดแ้ ก่ ปฏิสมั พันธร์ ะหวา่ งการดำเนนิ การเรยี นการสอน
ทง้ั หลาย กลา่ วคอื ปฏสิ ัมพันธ์ระหวา่ งความรู้ ความคิด วธิ กี ารทค่ี รนู ำมาสอนทักษะทางรา่ งกาย และการกระทำ
ทางจิตใจและความรสู้ กึ เปน็ ตน้

4. คณุ ลักษณะของกลมุ่ ได้แก่ โครงสรา้ ง เจตคติ ความสามัคคี การเป็นผู้นำ เป็นตน้
5. คุณลกั ษณะของพฤติกรรมเฉพาะตัว ไดแ้ ก่ การตอบสนอง เคร่ืองมอื อปุ กรณ์ เป็นตน้
6. แรงผลักดนั ภายนอก ได้แก่ บา้ น ส่งิ แวดล้อม อทิ ธิพลทางศิลปวัฒนธรรม เป็นตน้
นอกจากน้ี Presscott (อา้ งใน เรณู จนั ทร์กยุ , 2538, หนา้ 28) ยงั ได้ทำการศึกษาเด็ก
ตดิ ตอ่ กนั เปน็ เวลา 30 ปี เพ่ือศึกษาองคป์ ระกอบท่มี ีผลต่อผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นของนกั เรยี นซ่งึ ปรากฏผล
ดงั ตอ่ ไปน้ี
1. องค์ประกอบทางด้านร่างกาย (Physical Factors) ไดแ้ กอ่ ตั ราการเจรญิ เตบิ โตของร่างกาย
สุขภาพทางร่างกาย ข้อบกพร่องทางร่างกาย และลกั ษณะท่าทาง

2. องคป์ ระกอบทางด้านความรกั (Love Factors) ได้แก่ ความสัมพันธร์ ะหว่างบิดา มารดา
ความสัมพันธร์ ะหว่างบิดามารดาและลกู ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งลูก ๆ และความสมั พนั ธร์ ะหว่างบุคคลภายใน
ครอบครวั เดยี วกัน

3. องค์ประกอบทางด้านวัฒนธรรมและสังคม (Cultural and Socialization Factors) ได้แก่
ขนบธรรมเนียมประเพณี ความเป็นอยู่ของครอบครวั สภาพแวดลอ้ มทางบา้ น การอบรมทางบา้ นและฐานะทาง
ครอบครัว

4. องคป์ ระกอบทางด้านความสมั พันธ์ในหมเู่ พ่ือนวยั เดียวกัน (Peer Group Factors) ได้แก่
ความสัมพนั ธ์ในหมเู่ พื่อนวยั เดยี วกนั ท้งั ทางบ้านและทางโรงเรียน

5. องค์ประกอบทางด้านการพัฒนาแห่งตน (Self-Development Factors) ได้แก่ สตปิ ัญญา
ความสนใจ ทัศนคตขิ องนักเรียนทีม่ ตี ่อการเรียน

6. องคป์ ระกอบทางด้านการปรบั ตัว (Self-Adjustment Factors) ไดแ้ กป่ ญั หาในการปรับ
ตน การแสดงออกทางอารมณ์

เรณู จันทร์กุย (2538, หน้า 28) กลา่ ววา่ องคป์ ระกอบที่มีอทิ ธพิ ลต่อผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น
ของนักเรยี นประกอบดว้ ย ลกั ษณะของตวั นกั เรยี นเอง ได้แก่ ความสนใจทัศนคตติ ่อสงิ่ ต่าง ๆ สตปิ ญั ญาและ
สุขภาพเป็นตน้ สว่ นลักษณะทีเ่ ป็นสภาพแวดลอ้ มรอบตวั นักเรียน เชน่ ทีอ่ ยอู่ าศยั สถานท่เี รยี น เศรษฐกจิ ความ
เอาใจใส่ของครูและผปู้ กครอง ความสมั พันธ์กับพ่ีน้อง ความสมั พันธก์ ับเพื่อน เป็นต้น องคป์ ระกอบเหลา่ นี้ ครหู รือ
ครแู นะแนว ตลอดจนผู้ปกครองสามารถชว่ ยเสริมหรอื พัฒนาสภาพองคป์ ระกอบต่าง ๆของนักเรียนใหม้ ีสภาพท่ีดี
ได้

สรปุ องค์ประกอบทีม่ ีอทิ ธิพลต่อผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนของนกั เรียนประกอบด้วย
องค์ประกอบทางดา้ นรา่ งกายที่เก่ยี วกบั ดา้ นตวั เด็ก พันธกุ รรม องค์ประกอบทางดา้ นสงั คม สิง่ แวดลอ้ ม
สิ่งแวดลอ้ มท่ีมีปฏสิ มั พันธ์กับตัวเด็ก ทัง้ นี้รวมไปถงึ ประสทิ ธิภาพทางการเรียนการสอนท่ีนักเรยี นจะไดร้ บั จาก
หลักสูตรของโรงเรยี นและผสู้ อน ซงึ่ องค์ประกอบเหล่านี้จะรวมกันและมผี ลต่อผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของผ้เู รียน

3. ความหมายของการวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น
การวดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน ( Achievement Test ) หมายถึง การวัดในดา้ นการเรียนร้ใู น

เร่อื งของความรู้ ความรสู้ กึ นึกคดิ หรือทัศนคติและทักษะดา้ นต่าง ๆ ทน่ี กั เรยี นไดร้ บั จากการอบรมส่งั สอนของครู
(ตา่ ย เซยี่ งฉ,ี 2523, หน้า 64)

สำหรบั ไพศาล หวงั พานิช (2526, หน้า 89) กล่าววา่ “ ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น”หมายถึง
ความสามารถของบคุ คลอนั เกิดจากการเรียนการสอน เป็นการเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์การเรยี นรู้
ทีเ่ กิดจากการฝึกฝนอบรมหรือจากการสอน

สุรชยั ขวัญเมือง (2522 : 232) กล่าวว่า การวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น หมายถึง การ
ตรวจสอบดวู า่ ผูเ้ รียน ไดบ้ รรลถุ งึ จุดมงุ่ หมายทางการศึกษาตามทีห่ ลกั สูตรกำหนดไว้แลว้ เพียงใด ทงั้ นี้ ยกเวน้
อารมณ์ สงั คมและการปรับตัว นอกจากนีแ้ ล้วยงั หมายรวมไปถงึ การประเมนิ ผลความสำเรจ็ ตา่ ง ๆ ทงั้ ท่ีเป็นการวดั
โดยใชแ้ บบทดสอบ แบบใหป้ ฏบิ ัตกิ ารและ แบบทไ่ี ม่ใช้แบบทดสอบด้วย

เสริมศักด์ิ วิศาลาภรณ์ และอเนกกลุ กรแี สง (2522 : 22) ให้ความหมายการวดั ผลสมั ฤทธิ์
ทางการเรียนวา่ เปน็ กระบวนการวัดปรมิ าณของผลการศึกษาเล่าเรยี นว่าเกดิ ขนึ้ มากน้อยเพยี งใดคำนึงถึงเฉพาะ
การทดสอบเทา่ น้นั

2.จัดการเรยี นร้แู บบ Active Learning

Active Learning เป็นกระบวนการจดั การเรียนร้ทู ่ีมุง่ เนน้ ใหผ้ ้เู รียนเกิดการเรยี นรสู้ ูงสดุ
โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งการเรียนรู้ในระดับทักษะการคดิ ขนั้ สงู อันประกอบดว้ ย การวเิ คราะห์ การสังเคราะห์ และการ
ประเมินค่า ซง่ึ ลักษณะสำคญั ของการจดั การเรียนการสอนรปู แบบนีเ้ ปน็ การเปิดโอกาสให้ผู้เรยี นมสี ่วนรว่ มใน
กระบวนการเรยี นรู้ สามารถสร้าง องค์ความรู้ และจดั ระบบการเรยี นรดู้ ้วยตนเอง อกี ทงั้ เปน็ การเสรมิ สร้างความ
รบั ผดิ ชอบ การมวี นิ ัยในการทำงานแก่ผู้เรยี น

Active Learning คือกระบวนการจดั การเรียนรูท้ ี่ผูเ้ รยี นได้ลงมอื กระทำและได้ใช้
กระบวนการคิดเกี่ยวกับส่งิ ทีเ่ ขาได้กระทำลงไป (Bonwell, 1991) , เปน็ การจัดกิจกรรมการ เรียนรภู้ ายใต้
สมมตฐิ านพนื้ ฐาน 2 ประการ คอื 1) การเรยี นรเู้ ป็นความพยายามโดยธรรมชาตขิ อง มนุษย์และ 2) แต่ละบุคคลมี
แนวทางในการเรยี นรู้ที่แตกต่างกัน (Meyers and Jones, 1993) , เป็นกระบวนการทีผ่ ้เู รยี นจะถูกเปล่ียนบทบาท
จากผรู้ ับความรู้ (receive) ไปสู่การมสี ว่ นร่วมใน การสรา้ งความรู้ (co-creators) (Fedler and Brent, 1996)

Active Learning หมายถึง การเรยี นรู้เชิงรกุ เป็นการเรยี นร้ทู ผ่ี เู้ รยี นมีสว่ นร่วมในการ
เรยี นหรือดำาเนินกจิ กรรมต่างๆ ในการเรียนใหเ้ กดิ การเรียนรอู้ ยา่ งมีความหมาย เป็นวิธีการเรยี นรู้ ในระดบั ลึก
ผู้เรียนจะสรา้ งความเข้าใจและคน้ หาความหมายของเนื้อหาสาระโดยเชอื่ มโยงกบั ประสบการณเ์ ดิมทีม่ ีอย่สู ามารถ
บูรณาการความรใู้ หม่ที่ได้รับกับความรเู้ กา่ ทม่ี ี สามารถประเมนิ ต่อเติมและสร้างเปน็ แนวคิดของตนเอง ซ่ึงแตกต่าง
จากวิธกี ารเรยี นร้ใู นระดับผิวเผนิ ซ่ึงเน้นการรบั ข้อมลู และจดจำข้อมลู เท่านน้ั ผ้เู รยี นลกั ษณะน้จี ะเปน็ ผเู้ รียนท่ี
เรยี นรวู้ ิธกี ารเรยี น (Learning How to Learn) เปน็ ผู้เรียนทกี่ ระตือรือรน้ และ มีทักษะท่ีสามารถเลอื กรบั ข้อมูล
วเิ คราะหแ์ ละสังเคราะหข์ ้อมูลได้อย่างมีระบบ (Suwannatthachote, 2555)

Active Learning เปน็ กระบวนการจัดการเรียนร้ตู ามแนวคิดการสรา้ งสรรคท์ างปัญญา
(Constructivism) ทเ่ี นน้ กระบวนการเรยี นร้มู ากกวา่ เน้ือหาวชิ า เพอ่ื ชว่ ยใหผ้ ู้เรยี นสามารถ เช่ือมโยงความรหู้ รือ
สร้างความรู้ให้เกิดขน้ึ ในตนเอง ดว้ ยการลงมอื ปฏบิ ตั ิจริงผา่ นสอื่ หรือ กิจกรรมการเรยี นรู้ที่มีผสู้ อนเป็นผแู้ นะนำ
กระตุน้ หรืออำนวยความสะดวก ใหผ้ ู้เรยี นเกดิ การเรียนรู้ข้ึนโดยกระบวนการคิดข้ันสงู กล่าวคอื ผูเ้ รียนมีการ

วิเคราะห์ การสังเคราะห์และการประเมินคา่ จากสิ่งท่ีได้รบั จากกิจกรรมการเรียนรทู้ ำให้การเรียนร้เู ป็นไป อยา่ งมี
ความหมายและนำไปใช้ในสถานการณ์อืน่ ๆ ได้อย่างมปี ระสิทธิภาพ (สถาพร พฤฑฒิกลุ , 2555) Active Learning
เป็นการจดั การเรยี นการสอนแบบเนน้ พัฒนากระบวนการเรียนรู้ ส่งเสรมิ ใหผ้ เู้ รยี นประยกุ ต์ใช้ทักษะและเชือ่ มโยง
องค์ความรู้น าไปปฏบิ ัติเพือ่ แกไ้ ขปัญหาหรอื ประกอบอาชีพในอนาคต หลกั การจัดการเรียนการสอนแบบ Active
Learning คือ การนำเอา วิธกี ารสอน เทคนคิ การสอนที่หลากหลายมาใชอ้ อกแบบแผนการสอนและกิจกรรม
กระตุ้นให้ ผู้เรียนมสี ว่ นรว่ มในชั้นเรยี น ส่งเสริมปฏิสัมพันธร์ ะหว่างผู้เรียนกับผ้เู รยี นและผูเ้ รียนกบั ผสู้ อน Active
Learning จึงถือเปน็ การจัดการเรียนการสอนประเภทหนึ่งทีส่ ง่ เสริมใหผ้ ้เู รยี นมี คณุ ลักษณะสอดคล้องกับการ
เปล่ยี นแปลงในยคุ ปัจจบุ นั อีกทัง้ ยังช่วยส่งเสริม student engagement , enhance relevance, and improve
motivation ของผูเ้ รยี น (มหาวิทยาลัย ศรปี ทมุ , 2559)

ลักษณะสำคัญของการจัดการเรยี นการสอนแบบ Active learning ไดแ้ ก่
1. เป็นการเรยี นการสอนท่ีเปิดโอกาสใหผ้ ู้เรยี นมสี ่วนร่วมในกระบวนการเรยี นรูส้ ูงสดุ

2. ผเู้ รียนเรียนรู้ความรบั ผดิ ชอบร่วมกนั การมีวินยั ในการทำงาน การแบ่งหน้าที่ความรบั ผิดชอบ

3. เปน็ กระบวนการสรา้ งสถานการณ์ให้ผู้เรยี นอ่าน พูด ฟัง คดิ อย่างลุ่มลึก ผเู้ รยี นจะเป็นผู้จัดระบบการ

เรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง

4. เปดิ โอกาสใหผ้ ้เู รียนบรู ณาการขอ้ มลู ข่าวสาร หรือสารสนเทศ และหลกั การความคิดรวบยอด

5. ผู้สอนจะเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการจดั การเรียนรู้ เพ่ือใหผ้ ูเ้ รยี นเปน็ ผูป้ ฏิบตั ิด้วยตนเอง

6. ความรู้เกดิ จากประสบการณ์ การสรา้ งองคค์ วามร้แู ละการสรุปทบทวนของผ้เู รยี น

กิจกรรมพื้นฐานทส่ี ำหรบั การเรียนการสอนแบบ Active learning ในชั้นเรียนนน้ั
1. การพดู และการฟัง
เมอื่ ผ้เู รยี นได้พดู ในหวั ข้อใดหัวข้อหนึง่ ไม่ว่าจะเปน็ การตอบคำถามของผสู้ อนหรือการอธบิ ายเรอ่ื งใด
เร่อื งหน่งึ ใหเ้ พ่อื นรว่ มชั้นฟงั ผูเ้ รยี นไดฝ้ กึ เรยี บเรียงและประมวลความร้ทู ่ตี นได้ศึกษาและเรยี นรูใ้ นช้นั เรียนเขา้
ด้วยกันเมื่อผู้เรียนฟังการบรรยาย ผูส้ อนควรมนั่ ใจวา่ เป็นการฟังที่มคี วามหมาย นั่นคือ ผู้สอนตอ้ งมน่ั ใจว่าผู้เรยี นจะ
สามารถเชอื่ มโยงระหว่างสงิ่ ที่ผเู้ รยี นร้อู ยแู่ ล้วกบั สิ่งที่ผ้เู รยี นกำลังฟัง ในการบรรยายแตล่ ะครัง้ ผเู้ รยี นตอ้ งการเวลา
ระยะหนงึ่ ในการทำความเขา้ ใจและเรียบเรียงข้อมูลท่ีไดจ้ ากการฟงั อีกประเด็นท่ีนา่ สนใจ คอื ผ้เู รยี นต้องการ
เหตุผลของการฟัง วิธีการง่ายๆ ทผ่ี ูส้ อนจะกระตนุ้ ความสนใจของผู้เรยี นได้ ผูส้ อนอาจใช้วิธตี ้ังคำถามท่ีจุดประกาย
ความสนใจใคร่รขู้ องผเู้ รยี นก่อนเรม่ิ การบรรยาย ผูเ้ รยี นจะเกดิ ความสงสัย อยากค้นหาคำตอบ เพ่ือให้ไดค้ ำตอบนั้น
ผู้เรยี นจะใหค้ วามสนใจในสง่ิ ท่ผี สู้ อนจะบรรยายต่อไป หรือผู้สอนอาจมอบหมายงานลว่ งหน้า ใหผ้ เู้ รยี นอธบิ าย
หวั ขอ้ ใดหัวข้อหนงึ่ ทีผ่ สู้ อนกำลงั จะบรรยายแกเ่ พื่อนร่วมช้ันหลงั จบการบรรยาย ผเู้ รียนจะให้ความสนใจในเนื้อหาท่ี

ผู้สอนจะบรรยาย ประมวลผลและเรยี บเรียงเนื้อหาของการบรรยายภายในระยะเวลาทจี่ ำกดั และสื่อสารให้เพ่ือน
รว่ มชัน้ ได้เข้าใจในสง่ิ ทตี่ นเองเขา้ ใจ

2. การเขยี น
เชน่ เดยี วกับการฟงั และการพูด การเขียนคอื กระบวนการทีผ่ เู้ รียนประมวลขอ้ มลู ที่ตนเองมีอยแู่ ละ
ถ่ายทอดออกมาดว้ ยสำนวนภาษาของตนเอง การฝึกทกั ษะการเขียนเหมาะกบั ผ้เู รียนท่ชี อบเรียนรู้ด้วยตนเอง
ทกั ษะการเขียนถูกใชไ้ ด้ผลดีมากกับชั้นเรียนขนาดใหญ่ ในขณะท่ีการมอบหมายงานกลุ่มย่อยหรอื การจบั คูเ่ ป็น
กิจกรรมท่ีไม่คอ่ ยเหมาะสมนัก เพราะผเู้ รยี นทกุ คนอาจไม่ไดม้ สี ว่ นร่วมในงานเขียนของกลุ่ม
3. การอ่าน
โดยปกตแิ ล้ว ผู้เรยี นสามารถเรียนรผู้ ่านการอา่ นไดด้ ี แตผ่ ู้เรียนมกั จะขาดการได้รบั คำแนะนำเพือ่ การ
อ่านอย่างมีประสทิ ธภิ าพ กจิ กรรมเพื่อส่งเสรมิ Active learning เช่น การทำสรุปหรอื โน้ตตรวจสอบความเขา้ ใจ
จะชว่ ยใหผ้ ู้เรียนสรปุ แนวคดิ รวบยอดจากการอา่ นและพัฒนาความสามารถในการจบั ใจความสำคญั ได้
4. การสะท้อน
ในห้องบรรยายทัว่ ๆ ไป ผสู้ อนจะจบการพดู บรรยายที่ดำเนินมาอย่างตอ่ เน่ืองเม่อื ใกล้จะหมดเวลา
บรรยายแล้ว ขณะน้นั ผูเ้ รียนจะเร่ิมเกบ็ อุปกรณ์การเรยี นและเดินไปห้องบรรยายรายวิชาถัดไป ในบางครัง้ ผู้เรียน
ก็ไม่ไดซ้ ึมซับความรจู้ ากการบรรยายทเ่ี พงิ่ จบลงเลย เพราะผ้เู รยี นไม่มีเวลาได้ถ่ายทอดในส่งิ ทีเ่ พ่งิ เรียนร้โู ดย
เชอ่ื มโยงเข้ากบั สง่ิ ทรี่ ู้อยู่แลว้ หรือได้นำความรู้ท่ีไดศ้ ึกษามานัน้ ไปใช้ ดังนัน้ การใหผ้ ู้เรยี นไดห้ ยุดเพื่อคิดหรือ
ถ่ายทอดความรู้ของตนผา่ นการสอนหรอื ตวิ เพื่อนรว่ มชนั้ หรอื ตอบคำถามตา่ งๆ ท่ีเกยี่ วข้องกับเรื่องน้นั ๆ เป็นวิธีท่ี
งา่ ยทส่ี ดุ ในการกระตนุ้ ความสนใจของผ้เู รยี น
กจิ กรรมเพื่อส่งเสริม Active Learning ทเี่ หมาะสมกบั ผ้เู รียนในช้นั เรียนใดๆ ก็คือกจิ กรรมท่ีพฒั นาทกั ษะ
ท่ีผูเ้ รยี นยงั ขาดความชำนาญอยู่ อยา่ งไรกด็ ี ในบางกิจกรรม ผสู้ อนสามารถช่วยพัฒนาทักษะหลายๆ ด้านไป
พร้อมๆ กนั ได้ ดังน้ัน การท่ีผู้สอนใหค้ วามสำคัญตอ่ การวางแผนการจดั กิจกรรมเพ่ือส่งเสริม Active Learning ใน
ระหวา่ งภาคการศกึ ษาจงึ เปน็ เรื่องท่สี ำคัญยงิ่

กิจกรรมเพ่ือส่งเสริม Active Learning
1. Active Reading
เป็นวธิ ีทใี่ ห้แตล่ ะคนอ่านบทความแล้วแลกเปลยี่ นความคดิ เก่ยี วกบั สิ่งทไี่ ด้อา่ นกับเพื่อน นำมาเขียน

แผนผงั มโนทัศน์ (Concept Map) ลงในกระดาษโปสเตอร์เพ่ือทา้ กิจกรรม Walk Gallery ต่อไป
2. Brainstorming
กำหนดหวั ข้อและเวลา จากนนั้ แบ่งกลุ่มผูเ้ รยี นร่วมกนั อภิปรายเพือ่ หาขอ้ สรปุ ของกลมุ่ แล้วทกุ คน

นำเสนอแนวคิดของตนและบันทกึ ทุกแนวคิดที่มผี ูน้ ำเสนอ
3. Agree & Disagree Statement
ผู้สอนตัง้ คำถาม โดยมีตัวเลือกใหผ้ เู้ รียนว่าเหน็ ด้วยหรือไม่ อย่างไร เช่น อาจใช้ไมป้ ิงปองท่ีมสี ี 2 ดา้ น

ต่างกนั เป็นอุปกรณช์ ว่ ยตอบ แลว้ เลือกผู้ตอบในแต่ละกลมุ่ ใหอ้ ธิบาย หลังจากนั้นจึงอภิปรายแลกเปลีย่ นเรยี นรู้
รว่ มกนั ทัง้ ชนั้ เรียน

4. Carousel
กำหนดหวั เรื่อง แล้วแบ่งเป็นหัวขอ้ ยอ่ ยทีเ่ กย่ี วข้องสัมพันธก์ ัน แบง่ กลุม่ ผเู้ รยี นให้ได้จำนวนกลมุ่ เท่ากับ

จำนวนหัวข้อยอ่ ย จากนน้ั เขียนหวั ข้อย่อยๆ ลงบนกระดาษโปสเตอรแ์ ลว้ ติดไว้รอบๆ หอ้ ง แต่ละกลุ่มระดม
ความคิดและเขียนลงในกระดาษโปสเตอร์เม่ือครบ 2-3 นาทเี ปลย่ี นไประดมความคดิ หน้าโปสเตอร์ถัดไป โดยอ่าน
แนวคดิ ของกลุ่มกอ่ นหนา้ ถา้ เห็นดว้ ยใหใ้ สเ่ คร่ืองหมายถูกและเพิม่ ส่งิ ทคี่ ิดเหน็ แตกตา่ ง จากน้นั สรปุ สิ่งท่ไี ด้เรียนรู้
รว่ มกนั

5. Concept Map
ลกั ษณะคล้ายการเขยี น Mind Map แตก่ ารเขยี นแผนผังมโนทัศน์จะแสดงแนวคิดและใชค้ ำเชื่อมโยง

ระหวา่ งแนวคิด
6. Gallery Walk
กำหนดหวั ข้อเร่ือง เขยี นแนวคิด วิธีการ ลงบนกระดาษโปสเตอรแ์ ล้วติดไว้รอบๆ ห้อง เพอ่ื ให้

แลกเปลยี่ นเรยี นรูร้ ะหวา่ งการเดินชมผลงาน
7. Jigsaw
ผสู้ อนเลอื กเน้อื หาท่แี บ่งเป็นสว่ นๆ 3-4 ชิ้น แบง่ ผ้เู รยี นเป็นกลมุ่ ๆ โดยมสี มาชิกในกลุ่มเท่าๆ กันกบั

เนื้อหา (Home group) สมาชกิ แต่ละคนเลือกเน้ือหาท่ีตนสนใจแลว้ ไปร่วมกบั สมาชิกจากกลมุ่ อ่นื (Expert group)
เพือ่ ศกึ ษา ท้าความเขา้ ใจหรือหาค้าตอบรว่ มกันในกลมุ่ จากนน้ั กลบั ไปสอนทก่ี ลุ่มเดมิ ของตนจนครบถ้วน

8. Problem/Project-based Learning หรอื Case Study

ใชเ้ รือ่ งจริงหรือปัญหาทีเ่ กิดขน้ึ จรงิ ในชุมชน บา้ น โรงเรยี น หรอื ที่เกดิ ขึน้ กบั บุคคลใด บุคคลหน่ึง
เพือ่ ให้นักเรียนคิดวเิ คราะห์และหาทางแกป้ ัญหาท่เี กดิ ขึ้น โดยการบูรณาการความรู้ทไี่ ดเ้ รยี นกบั ประสบการณต์ รง
หรือสืบเสาะหาความรเู้ พ่ิมเติม

9. Role Playing
การแสดงบทบาทสมมุติเปน็ วิธกี ารสอนท่ีใหผ้ เู้ รยี นได้ฝึกการแสดงออกตามสถานการณ์ท่กี ำหนดให้

เพือ่ เป็นประสบการณท์ จ่ี ะน้าไปแก้ไขปัญหาและสถานการณจ์ ริงในชวี ิต ผูเ้ รียนไดเ้ รยี นรกู้ ารแสดงออก ฝกึ วางแผน
การท้างานร่วมกัน เข้าใจความรู้สกึ และพฤติกรรมท้ังของตนเองและของผอู้ ืน่ เช่น การทำกจิ กรรม “คกุ๊ กีค้ าเฟ่”
ผู้สอนจะกำหนดบทบาทแลว้ เขียนไวใ้ นกระดาษ ใหผ้ ู้เรยี น 6 คน จบั ฉลากเลอื กว่าจะแสดงบทบาทใด โดยไม่ให้
ปรึกษากนั แลว้ ให้แสดงบทบาทสมมตติ ามบทบาทที่ตนเองไดร้ ับ หลงั จากน้นั จะตงั้ คำถามและให้ผเู้ รียนแสดงความ
คดิ เห็นว่า ผู้แสดงแต่ละคนทำหนา้ ท่ีอะไร และทำหน้าทนี่ ัน้ ไดด้ ีหรือไม่ มจี ดุ ใดต้องแก้ไขหรอื ปรบั ปรุง เป็นตน้

10. Think – Pair – Share
ผสู้ อนเป็นผู้ตง้ั คำถามให้ผูเ้ รียนคดิ หาคำตอบดว้ ยตนเอง หลงั จากน้ันจงึ อภปิ รายแลกเปล่ียนความ

คิดเหน็ กันกับเพื่อนในชั้นเรยี น
11. Predict – Observe – Explain
จำลองสถานการณท์ เี่ กย่ี วข้องกบั เรอ่ื งทจ่ี ะเรียนรู้ โดยผู้เรียนเขียนทำนายสงิ่ ทีน่ ่าจะเกดิ ขน้ึ สังเกตและ

บันทึกผล อธิบายสงิ่ ท่ีสังเกตได้อาจทำการทดลอง สำรวจหรือคน้ คว้าเพ่มิ เติมได้ และนำเสนอผลงานกล่มุ หนา้ ชัน้
เรียน เป็นตน้

12. Clarification Pause
เมือ่ อธบิ ายถึงประเดน็ ที่สำคญั ผสู้ อนควรใหเ้ วลาผู้เรยี นตกผลกึ ความคดิ และเปิดโอกาสใหผ้ ูเ้ รียน

ซกั ถามหากต้องการค้าอธบิ ายเพ่มิ เติม (ผูส้ อนควรจะเดินไปรอบ ๆ หอ้ ง เพราะผู้เรียนมักไม่กล้าถามหน้าช้นั เรียน)
13. Card Sorts
ผสู้ อนจัดเตรียมบัตรคำ/บตั รภาพไวใ้ ห้ผ้เู รยี นจัดกลุ่มบัตรภาพนนั้ ๆ และต้องอธบิ ายเกณฑ์ที่ใช้จัด

กลุม่ ให้เพ่ือนและผู้สอนฟงั และอภปิ รายร่วมกนั ในชน้ั เรยี น
14. Chain Note
ผสู้ อนเตรียมคำถาม/ข้อความที่เกี่ยวข้องกับเน้ือหาท่ีต้องการไว้ โดยอาจพิมพล์ งบนกระดาษ A4 แล้ว

ให้ผู้เรียนแตล่ ะคนตอบคำถามหรอื ข้อความนัน้ ๆ เพียง 1-2 ประโยค จากน้นั สง่ ต่อกระดาษแผนนนั้ ให้เพื่อนทน่ี ั่ง
ถดั ไปเพื่อช่วยกนั ตอบคำถามน้ันให้สมบูรณย์ ิง่ ขึ้น สามารถใชก้ อ่ นเรียนหรอื หลงั เรยี นได้และควรส่งกระดาษแผน่ น้นั
กลับในทิศทางเดิม เพื่อให้ผ้ทู ่เี ขยี นก่อนได้อา่ นความเห็นท้ังหมดดว้ ย

15. Team - pair - solo

เทคนิคการทำเป็นกลมุ่ ทำเป็นคู่ และทำคนเดียว เป็นเทคนคิ ท่ีผูส้ อนกำหนดปญั หาหรืองานให้แล้ว
นกั เรียนทำงานรว่ มกนั ท้งั กลมุ่ จนงานสำเรจ็ จากนน้ั จะแยกทำงานเปน็ คจู่ นงานสำเร็จ สุดทา้ ยผเู้ รียนแต่ละคน
แยกมาทำเองจนสำเร็จได้ดว้ ยตนเอง

16. Students’ Reflection
เปน็ การใหผ้ ู้เรียนได้สะท้อนความคดิ อาจจะให้ผเู้ รยี นสรุปสง่ิ ทีไ่ ด้เรยี นรใู้ นคาบเรียน เสนอแนะ

เกี่ยวกบั การเรยี น ถามคำถามที่ยังสงสัย หรือใหผ้ ู้เรยี นคน้ คว้าเพิ่มเตมิ เก่ยี วกับส่งิ ท่ีเรียน เช่น
- Know – Want – Learned เมื่อเริ่มตน้ บทเรียน ใหผ้ ู้เรยี นเขยี นสง่ิ ท่ีร้แู ละสิ่งทอี่ ยากรู้เกี่ยวกบั

เนื้อหาท่จี ะเรียน เมอ่ื จบบทเรียน ใหผ้ ู้เรียนเขยี นสรปุ สิง่ ท่ีได้เรยี นรู้
- Got – Need และ Exit Ticket เม่ือจบบทเรียน ให้ผเู้ รียนเขียนสง่ิ ท่ีได้เรยี นรู้อาจเป็นการสรปุ ร่วมกนั

หน้าช้นั เรียน และวางแผนกจิ กรรมการเรยี นจากสง่ิ ที่อยากรู้เพ่มิ เติม
- Diary/ Journal Note เขียนสรุปสง่ิ ท่ีได้เรยี นรู้ ค้าถามท่ียังสงสยั และความรู้ ความในใจ

บทท่ี 3
วธิ ีการดำเนนิ การวจิ ัย

การพฒั นาผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนวชิ าฟสิ กิ ส์ โดยการสอนแบบ Active learning รว่ มกับการใช้ Google
Workspaceโรงเรยี นชำนาญสามคั คีวทิ ยาเป็นการวจิ ยั และพัฒนามวี ตั ถุประสงค์ของการวจิ ยั เพอื่ พฒั นาทกั ษะการ
สอนของครผู ้สู อนโดยใชว้ ิธีการจัดการเรยี นการสอนแบบ Active learning เพื่อพัฒนาให้นักเรียนมีทักษะคดิ
วเิ คราะหใ์ นรายวิชาโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ ชนั้ มธั ยมศึกษาช้นั ปที ี่ 6 โรงเรยี นชำนาญสามคั คีวทิ ยา จงั หวัด
ระยอง เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ระหวา่ งก่อนเรียนและหลงั เรยี น โดยมีวธิ ดี ำเนนิ การวิจยั ดงั นี้

1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
2. เคร่ืองมือทใ่ี ชใ้ นการวจิ ัย
3. รปู แบบการวิจยั
4. การเกบ็ รวบรวมข้อมูล
5. การวเิ คราะหข์ ้อมูล
6. สถติ ทิ ใ่ี ชใ้ นการวเิ คราะห์ข้อมลู
1.ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง

ประชากร รวม 111 คน ดงั น้ี
นกั เรยี น มัธยมศึกษาปที ี่ 6 โรงเรยี นชำนาญสามคั คีวทิ ยา
- นกั เรียนช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 6/1 จำนวน 37 คน
- นกั เรียนชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 6/2 จำนวน 40 คน
- นักเรยี นช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 6/3 จำนวน 34 คน
กลุ่มตัวอยา่ ง รวม 37 คน ดงั น้ี
- นักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 6/1 จำนวน 37 คน (เลอื กแบบเจาะจง)
2.เครอ่ื งมือท่ีใช้ในการวิจัย
เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ประกอบดว้ ย 3 ชนิดดังน้ี
1. แผนการจัดการเรยี นรู้แบบ Active learning รว่ มกับการใช้ Google Workspace ทั้งหมด 3 แผน
ดงั นี้
1.1 แผนการจดั การเรยี นรวู้ ิชาฟสิ ิกส์ ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 6
เร่อื ง แบบจำลองอะตอม

1.2 แผนการจดั การเรยี นรวู้ ชิ าโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ ชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 6
เร่ือง ทฤษฎีอะตอมของโบร์

1.3 แผนการจัดการเรียนร้วู ชิ าโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ ชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 6
เรอ่ื ง โฟโตอิเล็คตริก

2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ
3.รูปแบบการวิจัย

เป็นการวิจยั แบบวิจัยเชงิ ปรมิ าณและเชิงคุณภาพ
แบบแผนการวจิ ัย

สอบก่อน ทดลอง สอบหลงั

1  2

สญั ลกั ษณท์ ี่ใชใ้ นแบบแผนการทดลอง
เมอื่ Y1 หมายถึง สอบก่อนการทดลอง (Pre-Test)
X หมายถึง การเรียนดว้ ยเอกสารประกอบการเรียน
Y2 หมายถึง สอบหลังการทดลอง (Post-Test)

4.การทดลองและเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู

การเก็บรวบรวมข้อมลู ทำการเก็บรวบรวมข้อมลู ท้ังเชงิ คุณภาพและเชิงปรมิ าณ ดังน้ี
1. การเกบ็ รวบรวมข้อมลู เชงิ คณุ ภาพ เคร่ืองมอื ทใี่ ช้ ไดแ้ ก่ แบบสอบถาม

แบบสอบถามเชงิ ลึกแบบมโี ครงสรา้ งชนดิ ปลายเปดิ โดยมีวัตถปุ ระสงค์เพือ่ คน้ หาข้อมลู ท่จี ะทำใหท้ ราบหรือ แสดง
นยั ให้ทราบถึงสภาพทว่ั ไปของ การจดั การเรียนรแู้ บบ Active learning ร่วมกับการใช้ Google Workspace
ทั้งหมด 3 แผน ดงั น้ี
โดยดำเนินการวจิ ัยตามลำดบั ขัน้ ตอนดงั น้ี

1 กำหนดประเด็นหลักในการสมั ภาษณต์ ามกรอบแนวคิดในการวจิ ยั ระบุรายการ ข้อมลู ทต่ี อ้ งการของแต่
ละประเด็น 40

2 จดั ทำรา่ งแบบสัมภาษณแ์ ละรายการคำถามแตล่ ะประเด็น
3 ตรวจสอบคณุ ภาพของแบบสมั ภาษณ์
4 แก้ไขและปรับปรุงใหเ้ ป็นแบบสัมภาษณ์ฉบับสมบูรณ์ แล้วจงึ นำไปเกบ็ รวบรวม ข้อมลู

2. การเก็บข้อมูลเชงิ ปริมาณ เครอ่ื งมือทใ่ี ช้ ได้แก่ แบบทดสอบ
ดำเนินการทดลองและเก็บรวบรวมขอ้ มลู นักเรยี นกลุม่ ตัวอยา่ ง ดังนี้
5.1 ก่อนการทดลองใช้ แผนการจัดการเรียนรแู้ บบ Active learning ร่วมกับการใช้ Google

Workspace
5.1.1 ผ้วู ิจยั ให้นักเรียนในกล่มุ ตัวอย่างทำการทดสอบวัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น
5.1.2 บนั ทกึ ผลสอบคะแนนไว้เปน็ คะแนนก่อนการทดลอง สำหรับวเิ คราะห์ข้อมูล
5.2 นกั เรียนกลมุ่ ตวั อย่างเรยี นดว้ ย แผนการจดั การเรยี นรู้แบบ Active learning รว่ มกบั การใช้

Google Workspace
5.3 ทดสอบหลังการปฏิบตั ิการทดลอง (Post-Test) มีรายละเอียดดังนี้
5.3.1 ทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิ กบั นักเรยี นกลุ่มตวั อย่าง จำนวน 30 ข้อ
5.3.2 สอบถามความคิดเหน็ นกั เรียนท่ีมตี ่อการจัดการเรียนรู้แบบ Active learning ร่วมกับการใช้

เทคโนโลยแี ละสอื่ ออนไลน์

5.การวิเคราะห์ข้อมลู

การวเิ คราะหข์ ้อมลู เชิงปรมิ าณ
1. เปรยี บเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ ก่อนเรียนและหลงั เรียนโดย

ใช้ แผนการจัดการเรียนรู้แบบ Active learning รว่ มกบั การใช้ Google Workspace วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาสถติ ิ
พน้ื ฐานได้แก่ ค่า t-test แบบ dependent

2. ทำการศึกษาความพึงพอใจของนกั เรียนชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 6 ท่ีมตี ่อ การจัดการเรยี นรู้แบบ Active
learning ร่วมกบั การใช้ Google Workspace โดยใช้ค่าเฉลยี่ (  ) คา่ เบ่ยี งเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดบั
คุณภาพ
การวเิ คราะห์ข้อมูลเชิงคณุ ภาพ

ข้อมลู ท่ีได้จากการสอบถาม ใชว้ ิธกี ารวิเคราะหแ์ บบอปุ นัย (Analytic Induction) โดยนำข้อมูลมาเรียบเรยี ง
และจำแนกอย่างเปน็ ระบบ จากนั้นนำมาตีความหมายเช่ือมโยง ความสมั พันธ์และสร้างข้อสรุปจากข้อมูลตา่ งๆ ท่ี
รวบรวมได้ โดยทำไปพรอ้ มๆ กบั การเก็บรวบรวม ขอ้ มูล ท้ังน้ีเพือ่ จะได้ศึกษาประเด็นตา่ งๆ ได้ลึกซ้ึง

6. สถติ ิที่ใช้ในการวิจัย
1. ความถ่ี และคา่ รอ้ ยละ
2. ค่าเฉลีย่ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
3. การเปรียบเทยี บคะแนนเฉลย่ี กอ่ นเรยี นและหลงั เรยี นโดยการทดสอบคา่ ที (t - test dependent)

บทท่ี 4
ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล
งานวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์ โดยการสอนแบบ Active learning ร่วมกับ
การใช้ Google Workspace

ตอนที่ 1 เปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนวชิ าฟิสิกส์

เพ่อื เปรยี บเทยี บผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนวิชาฟิสกิ ส์ ผวู้ ิจยั ได้นำคะแนนจากการทดสอบผลสัมฤทธ์ิ

ทางการเรยี นกอ่ นเรียนและหลงั เรยี นมาหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ปรากฏผล ดงั ตารางท่ี 4-1

ตารางที่ 4-1 เพอ่ื เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิ

ทดสอบหลงั เรียน (Post-test)

จำนวน ทดสอบก่อนเรยี น (Pre-test) แบบ Active learning รว่ มกับ t sig
นกั เรยี น Google Workspace

(N)

̅ S.D. ̅ S.D.

37 10.97 1.404 27.39 0.803 72.419* .000

** p < .05
จากตารางที่ 4-1 พบว่า ผลการทดสอบก่อนเรียน มีคา่ เฉล่ียเทา่ กบั 10.97 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน

เท่ากับ 1.404 สว่ นผลการทดสอบหลงั เรยี นมคี า่ เฉลี่ยเท่ากับ 27.39 สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.803 และ
จากการทดสอบดว้ ยสถติ ิ t พบวา่ คะแนนเฉลยี่ หลังเรยี นสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมนี ัยสำคัญทางสถิติท่รี ะดบั .05 (t
= 72.419) เป็นไปตามสมมติฐานข้อที่ 1

ตอนที่ 2 ศกึ ษาความพึงพอใจของนกั เรยี นที่เรยี นด้วยการสอนแบบ Active learning ร่วมกับการ
Google Workspace

ผลการวเิ คราะหค์ วามความพึงพอใจของนักเรียน ผลการวิเคราะห์ปรากฏ ดังตารางที่ 4-2
ตารางท่ี 4-2 ผลการวเิ คราะห์ความความพึงพอใจของนกั เรยี นชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 6 เรยี นดว้ ยการ
สอนแบบ Active learning ร่วมกบั Google Workspace

ที่ รายการ ̅ S.D ระดับความคิดเห็น
4.61 0.61 มากทส่ี ดุ
1 นักเรียนชอบเรยี นรู้แบบออนไลน์ 4.06 0.89 มาก

2 นกั เรียนสนกุ กบั กิจกรรมการเรียนรทู้ ุกช่วั โมง 4.28 0.87 มาก

3 นกั เรยี นรู้สกึ ภาคภมู ิใจในตนเองทเี่ รยี นรดู้ ว้ ย 4.06 0.73 มาก
ตัวเอง
4.67 0.69 มากทีส่ ุด
4 การลำดับเนือ้ หาบทเรียนเข้าใจงา่ ย
4.39 0.78 มาก
5 การเรยี นออนไลน์สามารถทดแทนการเขา้
เรยี นในชน้ั เรียนได้ 3.67 0.69 มาก

6 นกั เรยี นเกิดการเรียนรูม้ ากข้ึนผา่ นฐาน 3.89 0.76 มาก
เทคโนโลยีการเรียนรู้ 4.22 0.81 มาก
3.83 0.71 มาก
7 นกั เรียนสามารถนำไปใชป้ ระโยชนไ์ ดใ้ น 4.16 0.75 มาก
ชวี ิตประจำวันได้

8 บทเรียนมีเนือ้ ทค่ี วามชดั เจน

9 เนอื้ หามีความเหมาะสมกับนักเรียน

10 เน้อื หาสามารถเรียนรไู้ ดด้ ว้ ยตนเอง

เฉลี่ยโดยรวม

จากตารางที่ 4-2 คะแนนจากนักเรยี นจำนวน 37 คน ท่ตี อบแบบสอบถาม พบวา่ นักเรียนมีความพึง
พอใจตอ่ การเรยี นด้วยการสอนแบบ Active learning รว่ มกับการใช้เทคโนโลยีและสอ่ื ออนไลน์ ในระดับ มาก
และจากตารางพบวา่ ค่าเฉลีย่ ความพึงพอใจของกลุ่มตวั อย่าง มคี ่าอยรู่ ะหว่าง 3.51 – 4.50 โดยมคี า่ เฉลย่ี รวม
ท้ังหมด เท่ากบั 4.16 อยู่ในระดับมาก เปน็ ไปตามสมมติฐานขอ้ 2

ตอนท่ี 2 ข้อมูลเชิงคุณภาพ
แผนการจัดการเรียนรู้โดยกระบวนการ Active Learning โดยบูรณาการการใช้เทคโนโลยีในการ

ที่จัดทำขึ้น เป็นแผนการจัดการเรียนรู้น่าสนใจ เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ มีการลำดับขั้นตอนที่ชัดเจน มีการลำดับ
ขั้นตอนของกิจกรรมจากง่ายไปยาก กิจกรรมปฏิบัติการทดลองในแผนที่น่าสนใจ โดยเน้นการปฏิบตั ิกิจกรรมกลุ่ม
ซึ่งจะช่วยกระตุ้นความสนใจของผู้เรียนให้อยากเรียนรู้มากยิ่งขึ้น เนื่องจากยึดการปฏิบัติกิจกรรมและให้คะแนน
เปน็ กลมุ่ ซ่งึ ถือวา่ เปน็ การจดั การเรียนร้ทู ด่ี ี

ในการจดั การเรยี นการสอนตามแผนการจดั การเรียนรู้โดยกระบวนการเรยี น Active learning
รว่ มกับ Google Workspace ช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 6 โรงเรียนท้งั 3 แผนการจัดการเรียนรู้ พบว่า เปน็ การจัดการ
เรียนรูท้ เี่ น้นผเู้ รยี นเปน็ สำคญั โดยครูผูส้ อนทำหน้าท่ีในการอำนวยความสะดวกให้แก่ผเู้ รยี น โดยให้ผ้เู รียนได้ลงมอื
ปฏบิ ัตกิ จิ กรรมการทดลองดว้ ยตนเอง ซึ่งเป็นสงิ่ ท่ีจะสามารถทำใหน้ ักเรยี นไดฝ้ ึกปฏบิ ตั ิ และกระตุน้ การเรยี นรขู้ อง
ผู้เรียนมากยง่ิ ขน้ึ เนื่องจากเป็นการสอนทีเ่ นน้ ใหน้ ักเรียนได้ลงมอื ปฏบิ ตั ิ ซง่ึ นา่ สนใจมากกว่าการสอนแบบบรรยาย
นอกจากนย้ี ังมีการใช้สื่อการเรยี นการสอนท่ีเหมาะสม นา่ สนใจและทนั สมยั ช่วยใหผ้ ูเ้ รยี นเกิดการเรยี นรู้ และ
ประสบการณ์ใหม่ ๆ

บทท่ี 5
สรุปผลการวิจัย อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ

1.สรุปผลการวิจยั
การพัฒนาทักษะการสอนแบบ เรยี นดว้ ยการสอนแบบ Active learning ร่วมกับ Google Workspace

ปรากฏผล ดงั นี้
1.1 การเปรยี บเทยี บคา่ เฉลยี่ ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นกอ่ นเรยี นกบั หลังเรียนของนักเรียนผ่าน

ระบบออนไลน์ ไดผ้ ลการทดสอบก่อนเรียน มคี ่าเฉล่ยี เทา่ กับ 10.97 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเทา่ กบั 1.404 ส่วนผล
การทดสอบหลงั เรยี นมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 27.39 ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐานเทา่ กับ 0.803 และจากการทดสอบด้วยสถิติ
t พบว่า คะแนนเฉล่ียหลงั เรียนสงู กว่ากอ่ นเรียนอยา่ งมนี ัยสำคญั ทางสถติ ิทีร่ ะดับ .05 (t = 72.419) เป็นไปตาม
สมมติฐานข้อท่ี 1

1.2 คา่ ความพึงพอใจตอ่ การสอนแบบ Active learning รว่ มกับ Google Workspace ในระดบั
มาก และจากตารางพบว่า ค่าเฉล่ียความพงึ พอใจของกลุม่ ตัวอย่าง มีคา่ อยรู่ ะหว่าง 3.51 – 4.50 โดยมคี ่าเฉลี่ยรวม
ทงั้ หมด เท่ากบั 4.16 อยู่ในระดบั มาก เป็นไปตามสมมตฐิ านขอ้ 2

2.อภิปรายผล
ผลทไ่ี ดจ้ ากการวิเคราะหข์ อ้ มูลสามารถอภิปรายผลได้ดังนี้
ผลการเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธ์ิของนักเรยี นจากการสอนแบบ Active learning รว่ มกับ Google

Workspace
พบว่า นกั เรยี น มีผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน หลังเรียนสงู กวา่ กอ่ นเรียน อย่างมีนัยสำคญั ทางสถติ ิท่รี ะดับ .05

สอดคล้องกับ สุรศักดิ์ ทิพย์พิมล (2560) ที่ได้ศึกษาการพัฒนาการเรียนการสอนผ่านระบบออนไลน์ ในรายวิชา
คอมพวิ เตอรก์ ราฟกิ ของนกั เรียนระดับชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 5

ผลการศกึ ษาความพงึ พอใจต่อการจดั การเรียนรู้ พบว่า นักเรยี นมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมจาก
การสอนแบบ Active learning รว่ มกบั Google Workspace) ในระดับ มาก สอดคลอ้ งกบั สรุ ศักด์ิ ทพิ ย์พมิ ล
(2560) ท่ไี ดศ้ ึกษาความพึงพอใจของนักเรยี นชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 5 ที่มตี ่อระบบจดั การเรยี นการสอนออนไลน์
Google classroom ในรายวชิ าคอมพวิ เตอร์กราฟิก พบว่ามคี วามพึงพอใจอย่ใู นระดบั มากทสี่ ดุ ( =̅ 4.57, S.D.
= 0.55)

ข้อเสนอแนะ
1. ควรสนับสนนุ ให้นกั เรียนได้มสี ่วนร่วมในการออกแบบกิจกรรมการเรียนรูห้ รือประเมินส่ือทนี่ ำมาใช้

เพอื่ ใหท้ ราบถึงความต้องการ ความสนใจ และข้อมลู ทเ่ี กี่ยวขอ้ งเพ่ือการปรับปรุงและพัฒนาส่อื ให้มปี ระสทิ ธภิ าพ
และสอดคล้องกบั ความต้องการของนักเรียนใหม้ ากทส่ี ดุ

บรรณานุกรม

กิดานันท์ มลทิ อง. เทคโนโลยีการศึกษาและนวตั กรรม. พิมพ์คร้งั ที่ 2. กรุงเทพฯ: จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย,
2543.

ความหมายของเทคโนโลยี. 25 กรกฎาคม 2558. เขา้ ถึงได้จาก
<http://plasupranee1994.blogspot.com/2015/07/blog-post_8.html>
สบื คน้ เม่อื 22 ตุลาคม 2562.

จริยา พชิ ัยคำ. “รูปแบบการจดั การเรียนรเู้ พื่อพฒั นาความสามารถในการจัดการเรยี นรู้ด้วยเทคโนโลยี
สารสนเทศ สำหรับนักศึกษาวิชาชีพครู,” วารสารวชิ าการ มหาวิทยาลัยราชภฏั อตุ รดติ ถ์. 9 (1) :
297-316, 2557.

ทศิ นา แขมมณี. ศาสตรก์ ารสอนองคค์ วามรเู้ พอ่ื การจัดกระบวนการเรยี นรูท้ ี่มีประสทิ ธภิ าพ.
(พิมพ์ครงั้ ที่ 9). กรุงเทพฯ : สาํ นักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั , 2551.

ธนกฤต โพธขิ์ ี. ผลการใช้เกมมลั ตมิ ีเดียเพอื่ พัฒนาการจำและความคงทนในการจำคำศพั ทภ์ าษาองั กฤษ
ของนกั เรยี นระดับประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนวัดชินวราราม(เจริญผลวทิ ยาเวศน์). วิทยานพิ นธ์
ศึกษาศาสตรมหาบัณฑติ (สาขาวิชาเทคโนโลยีและส่ือสารการศึกษา) มหาวทิ ยาลัย
เทคโนโลยรี าชมงคลธญั บรุ ี, 2555.

พงศเ์ ทพ จิระโร. หลักวจิ ัยทางการศึกษา. (พมิ พ์ครัง้ ท่ี 7). ชลบรุ ี : บัณฑติ เอกสาร, 2549.
พรรัตน์ วัฒนกสิวชิ ช.์ “การวจิ ยั ดา้ นฟสิ กิ สศ์ ึกษาฟิสกิ สศ์ ึกษาในอเมริกา,” วารสารฟิสิกส์ไทย. 2549,

22 (4) : 15-16
พิชติ ฤทธ์จิ รูญ. หลักการวัดและประเมนิ ผลการศึกษา. (พมิ พ์คร้ังท่ี 2). กรุงเทพฯ : เฮ้าส์ ออฟ เคอร์มีสท์,

2545.
มหาวทิ ยาลยั สุโขทัยธรรมาธริ าช. สารตั ถะ วิทยวิธแี ละธรรมชาตขิ องวิทยาศาสตร์. (พมิ พ์ครั้งที่ 3). นนทบุรี :

มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธริ าช, 2557.
วทัญญู วุฒิวรรณ์. ผลการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตรเ์ ชงิ รกุ เพ่อื ส่งเสริมผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นวชิ า

วิทยาศาสตร์ และความสามารถในการแก้ปญั หา สำหรบั นักเรียนชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 1.
วทิ ยานิพนธ์ ปริญญาการศกึ ษามหาบณั ฑิต สาขาหลกั สูตรและการสอน มหาวิทยาลยั บรู พา, 2553.
วัฒนาพร ระงับทุกข์. แผนการสอนท่เี นน้ ผเู้ รียนเป็นศูนยก์ ลาง. (พิมพค์ รง้ั ท่ี 2). กรงุ เทพฯ : วัฒนาพานชิ ,
2542.

บรรณานุกรม (ต่อ)

ศราวุฒิ ขันคำหม่นื . การประยุกตใ์ ช้รปู แบบการเรียนร้เู ชงิ รกุ วิชาฟิสกิ ส์ เรอื่ งสภาพสมดลุ สำหรับนกั เรยี น
ระดับมัธยมศกึ ษา. วิทยาศาสตรมหาบณั ฑิต (สาขาวิชาฟิสิกสศ์ กึ ษา) มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยี
พระจอมเกล้าธนบุร,ี 2553.

ศศธิ ร เวียงวะลัย. การจดั การเรียนรู้ (Learning management). กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์, 2556.
สิดารัศม์ิ สงิ หเดชาสิทธ์ิ. การพฒั นาตัวบ่งช้คี วามเปน็ ครูมืออาชีพ. วทิ ยานพิ นธ์ ครุศาสตรมหาบัณฑติ (สาขา

สถิตกิ ารศึกษา). จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั , 2559.
Arend, R. I. Learning to Teach (3rd ed.). Singapore: McGraw-Hall, 1994.
Chatchavusvimon, P. The Development of Environmental Active Learning Media. Master

Thesis. Information Management on Environments and Resources, Faculty of
Graduate Studies, Mahido University, 2008.
http://plasupranee1994.blogspot.com/2015/07/blog-post_8.html สืบค้นเมอ่ื 22 ตุลาคม 2562.
Johnson, D. W., & Johnson, R. T. (1994). An Overview of Cooperative Learning, Creativity
and Collaborative Learning, 45 (November 1994), 31-34.
Johnson, D. W., & Johnson, R. T., & Holubec, D.M. Cooperative in the Classroom.
Minnesota: Interaction Book, 1993.
Wen-Min Hsieh. An Exploratory Study of L2 Teachers’ Pedagogical Decisions on Technology
Activities. A Dissertation in Instructional Systems (College of Education).
The Graduate School : The Pennsylvania State University, 2012.

ภาคผนวก

คะแนนก่อนและหลังเรียนของนกั เรยี นทเี่ รยี นด้วยการสอนแบบ Active learning
รว่ มกบั Google Workspace

คนที่ ก่อนเรียน หลังเรยี น D D2
30 คะแนน 30 คะแนน
8 64
1 16 24 10 100
8 64
2 16 26 6 36
9 81
3 19 27 9 81
11 121
4 19 25 12 144
12 144
5 17 26 11 121
9 81
6 16 25 10 100
10 100
7 15 26 12 144
10 100
8 14 26 10 100
9 81
9 15 27 12 144
13 169
10 15 26 10 100
11 121
11 16 25 10 100
10 100
12 16 26 11 121
11 121
13 15 25

14 15 27

15 16 26

16 16 26

17 16 25

18 16 28

19 14 27

20 16 26

21 16 27

22 17 27

23 15 25

24 15 26

25 16 27

คนท่ี กอ่ นเรยี น หลงั เรียน D D2
30 คะแนน 30 คะแนน
49
26 19 26 7 64
49
27 16 24 8 49
64
28 18 25 7 64
25
29 18 25 7 144
121
30 16 24 8 100
100
31 18 26 8 64

32 19 24 5 3467

33 14 26 12

34 15 26 11

35 16 26 10

36 15 25 10

37 16 24 8

 10.97 27.39
S.D. 1.4 0.8

D 347

D2

t-test 72.41*

คะแนนการประเมนิ ความพึงพอใจของนกั เรยี นท่ีมตี ่อการสอนแบบ Active learning
ร่วมกับ Google Workspace

เลขที่ 1 2 3 รายการประเมิน (ขอ้ ท)ี่ 8 9 10
4567

1 5333534444

2 4434543353

3 5554344544

4 4344553554

5 5543553433

6 5533554434

7 5534553344

8 5545543534

9 4533553353

10 5 3 5 5 5 3 3 4 5 5

11 4 4 4 4 4 4 5 4 5 4

12 5 5 5 5 5 3 3 4 4 3

13 4 3 3 5 5 4 4 5 4 4

14 5 5 5 4 5 5 4 3 3 5

15 3 3 5 4 4 5 4 3 5 5

16 5 5 4 4 5 5 4 3 4 3

17 5 5 5 5 3 5 5 4 5 3

18 5 4 5 4 5 5 4 4 5 4

19 5 4 4 5 3 5 5 5 4 5

20 5 5 4 3 5 5 4 4 4 3

21 5 4 5 4 5 5 3 3 5 4

22 5 4 4 3 5 4 4 4 5 5

23 4 4 4 3 5 5 4 3 3 3

24 4 3 5 4 4 5 5 3 4 4

25 4 4 4 4 5 5 3 3 4 4

เลขที่ 1 2 3 รายการประเมิน (ขอ้ ท่)ี 8 9 10
4567

26 4 4 5 4 5 4 5 5 4 3

27 5 5 5 5 5 5 5 4 5 3

28 5 4 4 4 5 4 5 5 4 5

29 4 4 4 4 5 5 3 4 5 4

30 5 5 5 3 5 5 5 5 3 3

31 4 3 4 4 5 5 4 4 4 3

32 3 4 3 3 3 5 5 5 3 4

33 4 3 3 5 5 4 4 5 4 4

34 4 3 4 4 5 5 4 4 4 3

35 3 4 3 3 3 5 5 5 3 4

36 4 3 3 5 5 4 4 5 4 4

37 4 3 3 5 5 4 4 5 4 4

 160 147 146 147 167 144 143 146 148 137
 4.61 4.06 4.28 4.06 4.39 3.67 3.89 4.22 4.11 3.83
S.D. 0.65 0.81 0.79 0.74 0.72 0.65 0.77 0.79 0.75 0.71


Click to View FlipBook Version