ศิลปะ (ทัศนศิลป์) ม.1 #01
ศปิลรปะวะัตติศะ
าวัสนตตรก์
ศิลปะตะวันตก
ศิลปะตะวันตก หมายถึง ศิลปกรรมของกลุ่มประเทศในยุโรป
(ปัจจุบันรวมถึงสหรัฐอเมริกาด้วย) มีรากฐานมาจากศิลปะของอียิปต์
และกรีก ซึ่งเป็นวัฒนธรรมยุคโ
บราณของโลก และพัฒนาขึ้นมาภาย
ใต้อิทธิพลของคริสต์ศาสนา เป็นต้นแบบของศิลปะสากลในปัจจุบัน
1. ยุค(กP่อrนeป-รHะวiัsตtิศoาrสicต)ร์ 2. ยุคโบราณ
(Ancient Age)
ศิลปะตะวันตก
แบ่งอย่างกว้าง ๆ ได้เป็น 4 ยุค
3. ยุคกลาง (Middle Age) 4. ยุคใหม่ (Modern Age)
1. ยุคก่อนประวัติศาสตร์ (Pre-Historic)
ประมาณ 40,000 ปี – 4,000 ปี ก่อน ค.ศ.
ยุคก่อนประวัติศาสตร์
(Pre-Historic)
เป็นช่วงเวลาที่มนุษย์ยังไม่มีการประดิษฐ์ตัวอักษรยุคหินเก่าตอนปลาย ซ่ึ่งอยูในช่วงเวลาประมาณ 30,000-10,000 ปีมาแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วง15,000-10,000 มานั้น มนุษย์ได้เขียนภาพสีและขูดขีดบนผนังถ้ำและเพิงผา เป็นภาพสัตว์ การล่า
สัตว์และภาพลวดลายเรขาคณิต ภาพเหล่านี้มีการระบายด้วยถ่านไม้ และสีที่ผสมกับไขมันสัตว์พบได้ทั่วไปในประเทศฝรั่งเศส
และภาคเหนือของสเปน ที่มีชื่อเสียงมากได้แก่ถ้ำลาสโกซ์ในฝรั่งเศส ถ้ำอัลตามิราในสเปน ยังมีการปั้นรูปด้วยดินเหนียว หรือ
แกะสลักบนกระดูกเขาสัตว์และงาช้างด้วย เรื่องราวที่นิยมทำกันก็มีรูปคน เป็นรูปสตรีซ่ึ่งอาจมีความหมายถึงการให้กำเนิด
เป็นการเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับชนเผา
สีที่นำมาใช้ส่วนใหญ่เป็นสีที่ได้จากดินสีต่าง ๆ เช่น ดินแดง ดินสีน้ำตาล ดินสีเหลือง สีดำ นำมาจากผงถ่ายไม้หรือเขม่า
ผสมกับยางไม้ไขสัตว์หรือน้ำผึ้ง วิธีเขียนใช้พ่นทาหรือใช้ไม้ทุบปลายให้แตกคล้ายพู่กันระบายสีแบน ๆ
ภาพเขียนที่ปรากฏอยู่บนผนังถ้ำมีอยู่ 4 ประเภท คือ
12. .รูรปูปมืสอัตควน
์
3. รูปคน
4. รูปลายเรขาคณิต
ใช้วิธีการพิมพ์โดยใช้สีทาบนมือแล้วกดประทับกับผนังถ้ำ
วางมือบนผนังแล้วระบายหรือพ่นสีรอบมือ
ภาพสัตว์แสดงอาการเคลื่อนไหวเสมอ
มีการวาดเป็นเส้นหนักเบา โดยใช้พู่กันที่ทำจากขนสัตว์หรือ
เปลือกไม้
สีที่ใช้ทำจากดินแดง ดินเหลือง ดินดำ หรือเขม่าไฟ ร่วมกับ
ส่วนผสมของไขสัตว์ ยางไม้
2. ยุคโบราณ (Ancient Age)
ประมาณ 1,400 ปี ก่อน ค.ศ. –ค.ศ. 100
1. ศิลปะยุคเมโสโปเตเมีย
(Mespotemia Art)
ยุคโบราณ
2. ศิิลปะยุคอียิปต์์
(Egypt art)
แบ่งได้ 4 ยุค
ศิลปะยุคกรีก
3. (Greece art)
4. ศิลปะยุคโรมัน
(Roman Art)
ยุคโบราณ (Ancient Age)
ศิลปะยุคเมโสโปเตเมีย
(Mespotemia Art)
ศิลปะเมโสโปเตเมีย มีอายุประมาณ 8,000-146 ปีก่อนคริสตกาลเป็นงานศิลปะที่เจริญในลุ่มแม่น้า
ไทกรีส -ยเูฟตีส ซ่ึ่งปัจจุบันเป็นดินแดนบางส่วนของอีรักอิหร่าน ซีเรียจอร์แดน เป็นศิลปะที่อยู่ในยุคร่วม
สมัยกับศิลปะอียิปต์อีกกลุ่มหน่ึ่ง เมโสโปเตเมียมีพื้นที่กว้างขวางและมีความอุดมสมบูรณ์มากทำให้มีกลุ่ม
ชนเผ่าต่างๆ ตั้งถิ่นฐานประกอบด้วยชนชาติซูเมอเรียน บาบิโลเนีย แอสสิเรียและเปอร์เซีย ตามลำดับ เริ่ม
จากซูเมอเรียนและบาบิโลเนีย
งานด้านสถาปัตยกรรม
งานด้านสถาปัตยกรรมยุคเมโสโปเตเมีย (Mespotemia Art) มักสร้างใหสูงใหญ่เหมือนภูเขา นิยมประดับแก้ว
หินในสถาปัตยกรรมนั้น ๆ ด้วย สถาปัตยกรรมที่โดดเด่น ได้แก่ ซิกกูรัตแห่งเมืองอูร์ สวนลอยแห่งกรุงบาบิโลน
ห้องสมุดแห่งแรกของโลก
ซิกกูรัตแห่งเมืองอูร์ สวนลอยแห่งกรุงบาบิโลน
งานจิตรกรรม
งานจิตรกรรมยุคเมโสโปเตเมีย (Mespotemia Art) เขียนง่าย ๆ ไม่เน้นรายละเอียด ไม่มีแสงเงา
มีความคล้ายคลึงกับอิยปต์ตรงการจัดวางคือ ภาพหน้าคน แขน ขาจะหันข้างแต่ลำตัวหันด้านหน้า
นอกจากนี้พวกเขายังมีอักษรใช้เรียกว่า อักษรลิ่มหรือคูนิฟอร์ม
อักษรลิ่มหรือคูนิฟอร์ม
ยุคโบราณ (Ancient Age)
ศิิลปะยุคอียิปต์์
(Egypt art)
เรื่องราวอารยธรรมของอียิปต์ เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 4,000 ปีก่อน ค.ศ. ชาวอียิปต์ได้สร้างศิลปวัฒนธรรมขึ้นเพื่อให้
สอดคล้องกับปรัชญาในด้านคุณธรรม และตอบสนองความเชื่อว่าวิญญาณของคนตายจะกลับคืนสู่ร่างกายใหม่ จึง
เป็นมูลเหตุของการทำมัมมี่ (mummy) หีบบรรจุศพทำด้วยหิน สร้างอาคารรูปทรงพีระมิด (Pyramids) ซึ่งเป็นสิ่ง
ก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุด อยู่ที่เมืองกีซา ในกรุงไคโร ภายในพีระมิดเป็นที่บรรจุพระศพกษัตริย์คูฟู (Khufu)
ด้านสถาปัตยกรรม
ลักษณะเด่นของสถาปัตยกรรมของอียิปต์ คือจะมีลักษณะใหญ่โต แข็งแรง เพราะสถาปนิกมี
ความสามารถในการทำโครงสร้างแบบวางพาดด้วยหินซ้อนกัน เป็นพีระมิดที่มีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมมาใช้
พีระมิดที่ใหญ่โตและเก่าแก่ที่สุดคือ พีระมิดกิซาห์ของกษัตริย์คีออปส์และพีระมิดของกษัตริย์คูฟู
พีระมิดกิซาห์ของกษัตริย์คีออปส์ สุสานของฟาโรห์รามเรสที่ 2
ด้านประติมากรรม
ประติมากรรมของศิลปะอียิปต์ มีลักษณะเป็นแท่งหินสี่เหลี่ยม ทึบตัน และให้ความรู้สึกมั่นคง แข็งแรงแต่ไม่เน้นกล้ามเนื้อ มักตกแต่ง
ด้วยแก้วหินสีการทาสีและปิดทองประดับประดาที่พบเห็นได้บ่อยคือรูปมนุษย์กับสัตว์อันเป็นสัญลักษณ์ของเทพเจ้าที่เคารพบูชา เช่น
รูปประติมากรรมฟาโรห์ขนาดใหญ่รูปสลักหินสฟิงซ์ รูปสลักหินพระนางเนเฟอร์ติติและฟาโรห์อามิโนฟิสที่ 4 พระสวามี ลักษณะ
ประติมากรรมของอียิปต์ได้รับอิทธิพลมาจากธรรมชาติ เน้นความเชื่อเรื่องวิญญาณ มีทั้งประติมากรรมแบบนูนเต็มตัวและแบบนูนต่ำ
ส่วนรูปคนจะคล้าย ๆ กับหุ่น
พระเศียรของพระนางเนเฟอร์ติติ รูปสลักหินพระนางเนเฟอร์ติติ
และฟาโรห์อามิโนฟิสที่ 4
ด้านจิตรกรรม
วัตถุประสงค์หลักของการสร้างสรรค์ผลงานด้านจิตรกรรมก็เพื่อประดับตกแต่งในงานดา้น
สถาปัตยกรรมเป็นส่วนใหญ่จึงพบตามฝาผนังภายในห้องต่างๆของพีระมิด แสดงออกอย่างเด่นชัดในเรื่อง
ความเชื่อของโลกหน้าและเชื่อว่า ฟาโรห์เป็นเทพเจ้าที่มีอำนาจสูงสุด ในภาพเขียนพบทั้งรูปคนและสัตว์
เป็นที่น่าสังเกตว่า ขนาดตัวของบุคคลนั้นไม่ไดแสดงถึงอายแุต่แสดงถึงสถานะของบุคคลเช่นฟาโรห์มีขนาด
ใหญ่ที่สุด รองลงมาคือพระราชินีและบริวารมีขนาดเล็กลง ที่น่าสังเกตอีกประการหน่ึ่งคือจิตรกรรมรูปคน
มักไม่คำนึงถึงลักษณะตามธรรมชาติเช่น เขียนส่วนหัวจนถึงเท้าเป็นรูปด้านข้างแต่เขียนตาและทรวงอกเป็นรูปด้านหน้า
ยุคโบราณ (Ancient Age)
ศิลปะยุคกรีก
(Greece art)
500 ปีก่อน พ.ศ. - พ.ศ. 440 ชาวกรีกมีความเชื่อวา่ "มนุษยเ์ป็นมาตรวัดสรรพสิ่ง" ซ่ึ่งความเชื่อนี้เป็น
รากฐาน ทางวัฒนธรรมของชาวกรีก เทพเจ้าของชาวกรีกจะมีรูปร่างอย่างมนุษย์และไม่มีความเชื่อเกี่ยวกับ
ชีวติหลังความตายเหมือนชาวอียิปต์ดังนั้น จึงไม่มีสุสานหรือพิธีฝั่งศพที่ซับซ้อนวิจิิตรเหมือนกับชาวอียิปต์
งานประติมากรรม
งานประติมากรรมภาพคนจะแสดงให้เห็นถึงกล้ามเนื้อและอวัยวะต่าง ๆ ให้สมบูรณ์ที่สุด ปราศจากเครื่อง
นุ่มห่ม ชาวกรีกจึงนิยมปั้นและแกะสลักรูปคนเปลือยกายไว้มากมายงานประติมากรรมลอยตัวที่มีชื่อเสียง
ได้แก่ เทพธิดาวีนัส (Venus) รูปเทพเจ้าอพอลโล(Apollo) รูปนักกีฬาไมรอน (Myron) ประติมากรรมโลหะสัมฤิทธ์
รูปเด็กหนุ่ม เป็นรูปเปลือยที่มีสัดส่วนของร่างกาย ตลอดจนการจัดวางท่วงท่าได้อย่างงดงาม
รูปปั้น วีนัส เดอ มิโล เทพเจ้าอะพอลโล รูปนักกีฬาไมรอน (Myron)
งานด้านจิตรกรรม
กรีกไม่นิยมสร้างจิตรกรรมนัก งานด้านจิตรกรรมพบได้บนผนังต่าง ๆ และบนภาชนะ มีลักษณะเด่น ๆ คือ
1. แสดงความรู้สึกตื้นลึกด้วยการเขียนซ้อนกัน
2. ใช้สีจำกัดและแบน
3. ใช้ลวดลายประกอบกิจกรรมรูปคน
4. เรื่องราวของภาพประกอบในไหเป็นเรื่อง อิเลียดและโอดิสซีแบ่งเป็นตอน ๆ
5. นิยมใช้สีดำและสีแดงเขียนด้วยน้ำยาเคลือบ
6. ลักษณะง่าย ชัดเจน
ภาพบนเเจกัน เรื่องอิเลียดและโอดิสซี
สถาปัตยกรรมกรีก
สถาปัตยกรรมกรีก ใช้ระบบโครงสร้างแบบเสาและคาน เช่นเดียวกับอียิปต์มีแผนผังเป็นรูป
สี่เหลี่ยมผืนผ้า จากฐานอาคารซึ่งยกเป็นชั้น ๆ ก็จะเป็นฝาผนัง โดยปราศจากหน้าต่าง ซึ่งจะกั้นเป็นห้องต่าง ๆ
1 - 3 ห้อง ปกติสถาปนิกจะ สร้างเสารายล้อมรอบอาคารหรือสนามด้วย มีการสลับ ช่วงเสากัน อย่างมีจังหวะระหว่างเสากับ
ช่องว่างระหว่างเสา ทำให้พื้น ภายนอกรอบ ๆ วิหารมีความสว่างและมีรูปทรงเปิดมากกว่า สถาปัตยกรรมอียปิต์และมีขนาด
เหมาะสม ไม่ใหญ่โตจนเกินไป มีรูปทรงเรียบง่ายสถาปัตยกรรมกรีกยุคคลาสสิคที่สำคัญ มีแตกต่างกัน 3 ประเภทคือ
สถาปัตยกรรมแบบ Doric, Ionic ,Corinthian
วิหารพาร์เธนอน Parthenon ในกรุงเอเธนส์
สร้างข้ึนตามแบบสถาปัตยกรรมดอริก
ยุคโบราณ (Ancient Age)
ศิลปะยุคโรมัน
(Roman Art)
ประมาณ พ.ศ.340 - พ.ศ.870 ศิลปะโรมันส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากกรีก ซึ่งมีองค์ประกอบที่
ประณีต งดงาม แต่ศิลปะของโรมัน เน้นความใหญ่โตมโหฬาร มีความหรูหรา สง่างาม มั่นคงแข็งแรง
สถาปัตยกรรมโรมันมีชื่อเสียงมาก โรมันเป็นชาติแรกที่คิดค้นสร้างคอนกรีตได้ สามารถใช้คอนกรีตหล่อขึ้น
เป็นโครงสร้างรูปโดมช่วยทำให้การก่อสร้างอาคารมีขนาดใหญ่ขึ้น
จิตรกรรรม
จิตรกรรมของโรมัน อาศัยจากการค้นคว้าข้อมูลจากเมืองปอมเปอีสตาบิเอ และเฮอร์คิวเลนุม ส่วน
ใหญ่เป็นภาพที่แสดงถึงเรื่องราวในชีวติประจำวันของชาวโรมัน นอกนั้นเป็นภาพในเทพนิยายเหตุการณ์ใน
ประวัติศาสตร์เป็นภาพทิวทัศน์ ภาพคน และภาพเกี่ยวกับ สถาปัตยกรรม มีการใช้แสงเงาและกายวิภาค
ของมนุษย์ชัดเจน เขียนด้วยสีฝุ่น ผสมกับกาวน้ำ ปูน และสีขี้ผึ้งร้อน นอกจากการวาดภาพ ยังมีภาพประดับ
ด้วยเศษหินสี (Mosaic) ซ่ึ่งใช้กันอย่างกวา้งขวาง ทั้งบนพื้นและผนังอาคาร
ภาพจากหินสี(Mosaic) ภาพเขียนด้วยสีฝุ่น ผสมกับกาวน้ำ ปูน และสีขี้ผึ้งร้อน
ประติมากรรม
ประติมากรรมของโรมันรับอิทธิพลมากจากชาวอีทรัสกันและกรีกยุค เฮเลนิสติกแสดงถึงลักษณะที่
ถูกต้องทางกายภาพ เรียบง่ายแต่ดูเข้มแข็งมาก ประติมากรรมอีกชนิดหนึ่งที่เป็นที่นิยมคือประติมากรรมรูปนูน
เรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์มีรายละเอียดของเรื่องราวเหตุการณ์ถูกต้องชัดเจน วัสดุที่ใช้สร้าง
ประติมากรรมของโรมัน มักสร้างขึ้นจาก ขี้ผึ้ง ดินเผา หิน และสำริด
รูปนูนแสดงถึงประวัติศาสตร์โรมัน
สถาปัตยกรรม
สถาปัตยกรรมโรมัน ได้แก่อาคารต่าง ๆ ส่วนมากเป็นรูปทรงพื้นฐาน วัสดุที่ใช้สร้างอาคารได้แก่ ไม้ อิฐ ดิน
เผา หิน ปูน และคอนกรีต จากระบบเสาและคาน ไปสู่ระบบโครงสร้างวงโค้ง หลังคาทรงโค้ง หลังคาทรงกลม
และหลังคาทรงโค้งกากบาท มีการนำสถาปัตยกรรมที่สำคญัของกรีกทั่ง 3 แบบ มาเปลี่ยนแปลง และรูปแบบ
อนุสาวรีย์ที่พบมากของโรมันคือ ประตูชัยเป็นสิ่งก่อสร้างตั้งอิสระประดับ ตกแต่งด้วยคำจารึก และรูปนูน
บรรยายเหตุการณ์
สนามกีฬาแห่งกรุงโรม (The colosseum of Rome)
3. ศิลปะยุคกลาง (Middle Age)
ประมาณ ค.ศ. 300 –ค.ศ. 1300
ศิลปะโกธิก
1. (Gothic Art)
ศิลปะยุค
กลาง
2. ศิิลปะสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ
แบ่งได้ 4 ยุค
(Renaissance Art)
3. ศิลปะบารอก
(Baroque Art)
4. รอกโกโก
(Rococo)
ศิลปะยุคกลาง (Middle Age)
ศิลปะโกธิก
(Gothic Art)
ศิลปะโกธิกนิยมแสดงเรื่องราวทางศาสนาในแนวเหมือนจริง (Realistic Art)
ไม่ใช้สัญลักษณ์ เหมือนศิลปะยุคก่อน
สถาปัตยกรรม
งานสถาปัตยกรรม มีโครงสร้างทรงสูง มียอดหอคอยรูปทรงแหลมอยู่ข้างบน ทำให้ตัวอาคารมีรูปร่างสูง
ระหงขึ้นสู่เพดาน ซุ้มประตูหน้าต่างช่องลม มีส่วนโค้งแปลกกว่าศิลปะแบบใด ๆ
สถาปัตยกรรม ใช้โครงสร้างอาร์ชแบบโค้งปลายแหลม (Pointed Arch) เสาค้ำยันภายนอกอาคาร
(flyingbuttresses) ส่วนช่องโล่งจากประตูถึงแท่งบูชาวงเก้าอี้ไว้สองข้างมีทางเดินขนานทัั้งซา้ยขวา
อาคารสูงยอดแหลมนิยมประดับกระจกสีที่หน้าต่าง
มหาวิหารแห่งมิลาน วิหารโนเตรอ-ดาม (Notre-Dame)
ประติมากรรม
ประติมากรรม ใช้ประดับตกแต่งโบสถ์ส่วนสำคัญ อยู่เหนือประตูทางเข้าและเสาใช้ประดับตกแต่งสุสานคนสำคัญ
เรื่องราวในคริสตศาสนา รูปคนสัดส่วนค่อนข้างยาวเป็นเส้นตรงรอยยับย่นของเสื้อผ้ามากชอบสร้างรูปลอยตัว
จิตรกรรม
จิตรกรรม การทำกระจกสี (Stain Glass) ศิลปะที่เด่นแทนรูปเขียน ของศิลปะโกธิค คือ การประดับกระจกสีตามช่องประตู
และหน้าต่างทำเป็นลวดลายต่างๆ รวมกันอยู่ภายในกรอบ เมื่อดูภาพจากช่องที่มีแสงสว่างผ่าน ก็จะคล้ายกับรูปภาพนั้น
เขียนด้วยแก้วสีทั้งหมดศิลปะกอธิค พบใน ฝรั่งเศส อังกฤษ สเปน เยอรมัน
กระจกสี (Stain Glass)
ศิลปะยุคกลาง (Middle Age)
ศิิลปะสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ
(Renaissance Art)
เรอนาซอง หมายถึง การเกิดใหม่(Rebirth) การฟื้นฟูขึ้นมาอีก การกลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่
สงครามครูเสดนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ยุโรปตะวันตก อิตาลีถือว่าเป็นศูนย์กลางของความเจริญ
ก้าวหน้าที่สำคัญในเรื่องของศิลปะสมัยฟื้นฟูศิลปะและวิทยาการ
สถาปัตยกรรม
มีการก่อสร้างแบบกรีกและโรมัน เป็นจำนวนมากลักษณะอาคารมีประตูหน้าต่างเพิ่มมากขึ้น
ประดับตกแต่งภายในด้วยภาพจิตรกรรมและประติมากรรมอย่างหรูหรา สง่างาม สถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ใน
สมัยนั้น ฟื้นฟูศิลปวิทยาได้แก่ มหาวหิารเซนต์ปีเตอร์ (St. Peter) ในกรุงโรม เป็นศูนย์กลางของคริสต์ศาสนา
โรมันคาทอลิก วิหารนี้มีศิลปินผู้ออกแบบควบคุมงานก่อสร้างและลงมือตกแต่ง ต่อเนื่องกันหลายคน เช่น
โดนาโต บรามันโต (Donato Bramante ค.ศ. 1440 - 1514) ราฟาเอล (Raphel ค.ศ. 1483 -1520)
ไมเคิลแองเจลโล(Michel Angelo ค.ศ. 1475 -1564) และโจวันนิ เบอร์นินี (Giovanni Bernini ค.ศ. 1598 -1680
มหาวหิารเซนต์ปีเตอร์ (St. Peter)
จิตรกรรมและ
ประติมากรรม
ในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา ศิลปินสร้างสรรค์ในรูปความงามตามธรรมชาติและความงามที่เป็นศิลปะ
แบบคลาสสิกที่เจริญสูงสุด ซ่ึ่งพัฒนาแบบใหม่จากศิลปะกรีกและโรมัน เป็นยุคสมัยที่มีคุณค่ายิ่ง
ต่อวิวัฒนาการทางจิตรกรรมของโลกคือความมีอิสระในการสร้างสรรค์ศิลปะของมนุษย์ ความมีลักษณะ
เฉพาะตัวของศิลปิน กล้าที่จะคิดและแสดงออกตามแนวความคิดที่ตนเองชอบและต้องการแสวงหา นำทาง
ไปสู่การสร้างสรรค์งานจิตรกรรมสมัยใหม่ในเวลาต่อมา งานจิตรกรรมมีความตื่นตัวและเจริญก้าวหน้าทาง
เทคนิควิธีการเป็นอย่างมาก ได้มีการคิดค้นการเขียนภาพลายเส้นทัศนียภาพ (Linear Perspective)
ภาพโมนา ลิซา (Mona Lisa) ดาวิด (David) ปิเอต้า (Pieta)
ผลงานของเลโอนาร์โด ดา วินชี (Leonardo Da Vinci) ผลงาน มิเคลันเจโล เป็นผลงานประติมากรรม
เป็นภาพเขียนสีน้ามันบนผ้า ของมิเคลันเจโล
ศิลปะยุคกลาง (Middle Age)
ศิลปะบารอก
(Baroque Art)
คำว่า บารอก Baroque เป็นภาษาฝรั่งเศสซึ่งสันนิษฐานกันว่ามาจากคำว่า barroco ในภาษาโปรตุเกสโบราณ
หมายถึงหอยมุกที่มีรูปร่างอ่อนไหวม้วนไปมา
ศิลปะบารอกเกิดขึ้นเมื่อประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 16 สืบต่อจากศิลปะสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ และ
เสื่อมความนิยมเมื่อประมาณกลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 ลักษณะของศิลปะบารอกเปลี่ยนแปลงจากศิลปะ
สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา ซึ่งแสดงอารมณ์สงบนิ่งแฝงปรัชญามาเป็นอารมณ์พลุ่งพล่าน แสดงความดิ้นรน
เคลื่อนไหว หรือสร้างให้มีรูปทรงบิดผันจนเกินงาม หรือประณีตบรรจงเกินไป และเน้นบรรยากาศโอ่อ่า
หรูหราเป้นพิเศษ ศิลปะแนวนี้รุ่งเรืองมากในประเทศอิตาลี และกลุ่มประเทศคาทอลิก
จิตรกรรม
จิตรกรรม พัฒนาฝีมือและเทคนิคการผสมสีที่วิจิตรงดงามยิ่งขึ้นกว่าสมัยเรเนสซองส์ เน้นการใช้สีสดและฉูดฉาด
ภาพวาดมักปรากฏตามวัด วัง และคฤหาสน์ของชนชั้นกลางที่มั่งคั่ง แสดงชีวิตความเป็นอยู่ที่หรูหรา สุขสบาย
สาวใส่ต่างหูมุก (Girl with a Pearl Earring) รูเบนส์, A Garden of Love,
โยฮันเนิส ไรเนียส์โซน เฟอร์เมร์ (Johannes Reynierszoon Vermeer) สีน้ำมันบนผ้าใบ ค.ศ.1632 – 34
สถาปัตยกรรม
สถาปัตยกรรม แสดงถึงความหรูหรา ใหญ่โต รวมถึงความฟุ่มเฟือย โดยนำความรู้ทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์มาใช้
ในงานก่อสร้าง ผลงานชิ้นสำคัญ คือ พระราชวังแวร์ซายส์ ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส
พระราชวังแวร์ซายส์ ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส
ศิลปะยุคกลาง (Middle Age)
รอกโกโก
(Rococo)
รอกโกโกพัฒนารูปแบบมาจากศิลปะสไตล์บารอก(Baroque)รอกโกโกมาจาก คำRocailleว่า ซึ่งเป็นภาษาฝรั่งเศส มีความหมาย
ว่าศิลปะการตกแต่งที่ใช้ลวดลายคล้ายหอยหรือใบไม้ ฉะนั้นการตกแต่งสไตล์ร็อกโกโก จึงมักเล่นเส้นโค้งตัวซีและตัวเอส (S และ
C curves) แบบเปลือกหอยและการม้วนต้วของใบไม้ เน้นรายละเอียดส่วนย่อยแบบฟุ่มเฟือย โดยเฉพาะการใช้ส่วนโค้ง ส่วนเว้า
ส่วนงานจิตรกรรม ประติมากรรมนั้น มักให้ความสำคัญกับรูปร่างและรูปทรงธรรมชาติ (Realistic) พร้อมทั้งการเลือกใช้สีรุนแรงขึ้น
งานสถาปัตยกรรมจะประกอบด้วยเส้นโค้งมนที่เกิดจากการตกแต่งโครงสร้างเดิม ให้มีลวดลายอ่อนช้อย งดงาม ทั้งนี้การตกแต่ง
สไตล์ร็อกโกโกยังให้ความสำคัญกับการตกแต่งประดิดประดอยมาก จนนักวิจารณ์ศิลปะหลายคนในยุคนั้นออกมาบอกว่า “ร็อกโก
โก” เป็นศิลปะของความฟุ้งเฟ้อ และเป็นเพียงศิลปะสมัยนิยมเท่านั้น
การตกแต่งภายในสไตล์ร็อกโกโกนั้น เน้นภาพรวมที่ดูเป็นเอกภาพและเป็นไปในทิศทางเดียวกันกล่าวคือ ส่วนประกอบ
ต่างๆ ภายในห้องทั้งผนัง เฟอร์นิเจอร์ หรือเครื่องประดับต่างๆ จะถูกออกแบบให้มีความคล้ายคลึงและใกล้เคียงกัน เพื่อ
ให้เกิดความกลมกลืนและเป็นอันหนึ่งอันเดียว คือ จะไม่มีสิ่งใดที่นอกแบบออกมา โดยการตกแต่งสไตล์ร็อกโกโกนั้น จะ
ประกอบด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่หรูหราอลังการ รูปปั้นเล็กๆแบบประดิดประดอย ภาพเขียนหรือกระจกที่มีกรอบและลวดลาย
รวมถึงพรมแบบแขวนผนัง (Tapestry) ถ้าหากแยกสิ่งใดสิ่งหนึ่งออกมาจะทำให้ห้องนั้นเป็นร็อกโกโกที่ไม่สมบูรณ์แบบค่ะ
ขณะเดียวกันลักษณะของการตกแต่งสไตล์ร็อกโกโกมักมีความเลิศลอย แต่ค่อนข้างดูมีชีวิตชีวาและร่าเริง ในทุกพื้นที่จะ
ถูกประดับประดาด้วยปูนปั้นเป็นรูปใบไม้ ไฟ ทรงหอย และก้อนเมฆห้อยระย้า
4. ศิลปะสมัยใหม่ (Modern Art)
1. ศิลปะจินตนิยม 5. ศิ(ลPปoะsลtัท-ธิปImระpทัrบeใsจsiยoุคnหisลmัง)
( Romanticism)
6. ศิลปะลัทธิบาศกนิยม
2. ศิลปะสัจนิยม (Cubism)
(Realisticism)
ศิลปะลัทธิประทับใจ ศิลปะสมัยใหม่ 7. ศิลปะลัทธิเหนือจริง
3. (Impressionism) (Surrealism)
แบ่งได้ 8 ยุค
4. ศิลปะลัทธิประทับใจใหม่ 8. ศิลปะลัทธินามธรรม
(Neo - Impressionism) (Abstractism)
ศิลปะยุคสมัยใหม่ (Modern Art)
ศิลปะจินตนิยม
( Romanticism)
ศิลปะจินตนิยม ( Romanticism) ประมาณ ค.ศ. 1800-1900 ก่อเกิดในอังกฤษและฝรั่งเศสช่วงระยะเวลาที่ใกล้เคียง
กัน มีทรรศนคติที่ต้องการความเป็นอิสระในการแสดงออกที่ศิลปินต้องการมากกว่าการเดินตามกฏเกณฑ์และแบบแผน
ทางศิลปะดังที่ศิลปินลัทธิคลาสสิกใหม่ยังยึดถืออยู่เป็นศิลปะที่เน้นอารมณ์อยู่เหนือเหตุผล มุ่งส้รางสรรค์งานที่ตื่นเต้น
เร้าใจก่อให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจแก่ผู้ชม
ภาพ 3 พฤษภาคม 1808 โดย โกยา Francisco ภาพ เสรีภาพนำหน้าประชาชนโดย ภาพ การอับปางของแพเมดูซา โดย เจริโคท์
Goya (ค.ศ.1814) แสดงเหตุการณ์ปฏิวัติในฝรั่งเศส เดอลาครัวซ์ Eugene Delacroix (ค.ศ.1830)
ศิลปะยุคสมัยใหม่ (Modern Art)
ศิลปะสัจนิยม
(Realisticism)
ศิลปะเรียลลิสม์ (Realism) หรือ ศิลปะสัจนิยม โดยทั่วไปหมายถึง การสร้างงานที่เหมือนจริงดังที่ปรากฏ
อยู่ในธรรมชาติ รวมถึง การสร้างสรรค์ภาพงานในเชิงวิพากษ์วิจารณ์สังคม (socially critical images)
ภาพเกี่ยวกับชีวิตของคนเมืองและชนบท ชาวไร่ชาวนาในช่วงยุคสมัย จากประสบการณ์ตรงของชีวิต เช่น
ความยากจน การปฏิวัติ ความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยการเน้นรายละเอียดเหมือนจริงมากที่สุด
จิตรกรรมชื่อ ภาพร่อนข้าว โพด The Corn Sifters จิตรกรรมชื่อ ภาพคนเก็บข้าวตก The Gleaners
วาดโดย กุสตาฟ คูร์เบท์ ค.ศ.1855 วาดโดย ฌอง ฟรังซัวส์ มิล์เลท์ ค.ศ.1857
ศิลปะยุคสมัยใหม่ (Modern Art)
ศิลปะลัทธิประทับใจ
(Impressionism)
ศิลปะลัทธิประทับใจ (Impressionism)ศิลปะแห่งความงดงามของประกายแสงและสี
ศิลปะลัทธิประทับใจ จะแสดงภาพทิวทัศน์บก ทะเลริมฝั่ง เมืองและชีวติประจำวันที่รื่นรมย์
เช่นการสังสรรค์ บัลเลต์ การแข่งม้า สโมสร นิยมเขียนภาพนอกห้องปฏิบัติงาน
รูปแบบของศิลปะลัทธิประทับใจ พยายามแสดงคุณสมบัติของแสงสี อันเป็น ผลมาจากความรู้
เกี่ยวกับแสงจากสเปกตรัมและสีซ่ึ่งเป็นผลผลิตจากความก้าวหน้าทางวทิยาศาสตร์โดยพยายามบันทึกการ
สะท้อนแสงบนพื้นผิวของวัตถุรวมทั้งงสภาพบรรยากาศในแต่ละช่วงเวลาไม่สนใจต่อการแสดงรูปทรงให้
โดดเด่นใชสีสดใสตามสีของสเปกตรัม ระบายด้วยรอยแปรงหยาบๆทับซ้อนกันหลายครั้ง
ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ อาหารกลางวันบนสนามหญ้า Lunch on the Grass ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ สวนที่จิแวร์นีGarden at
วาดโดย มาเนท์ Edouard Manet ค.ศ.1863 Giverny วาดโดย โคลด โมเนท์ Claude Monet
เป็นภาพที่สร้างความแปลกและตื่นตระหนกใหแ้ก่ชาวฝรั่งเศสเป็นอันมาก
เพราะเป็นภาพที่ผู้ชายแต่งกายเรียบร้อยและผู้หญิงเปลือยกาย
ศิลปะยุคสมัยใหม่ (Modern Art)
ศิลปะลัทธิประทับใจใหม่
(Neo - Impressionism)
ศิลปะลัทธิประทับใจใหม่ (Neo - Impressionism) สีจากแสงสเปกตรัมมาสู่อนุภาคเกิดเทคนิคการ
ระบายสีเป็นจุด (Pointillism) ซ่ึ่งเป็นผลมาจากความเชื่อทางฟิสิกส์ว่าแสงคืออนุภาคโดยการระบายสี
ใหเ้กิดริ้วรอยพู่กันเล็ก ๆ ด้วยสีสดใส จุดสีเล็กๆนี้จะผสานกันในสายตาของผู้ดูมากกว่าการผสมสีอัน
เกิดจากการผสมบนจานสี ศิลปินคนสำคัญในยคุนี้ได้แก่จอร์จส์ เซอราท์,คามิลล์ พีส์ซาร์โร,พอล ซิยัค
ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ บ่ายวันอาทิตย์บนเกาะ ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ ถนนมองท์มาร์ทยาม
ลากรองด์แจตท์ Sunday Afternoon on the Island of พลบค่ำ Boulevard Montmartre in the Evening
La Grande Jatteโดย จอร์จ เซอราท์ Georges Seurat
โดย คามิลล์ พีส์ซาร์โร Camille Pissaroค.ศ.1897
ค.ศ.1886
ศิลปะยุคสมัยใหม่ (Modern Art)
ศิลปะลัทธิประทับใจยุคหลัง
(Post - Impressionism)
ศิลปะแบบโพสต์– อิมเพรสชันมิสม์ จะมุ่งการแสดงออกทางความรู้สึก อารมณ์ จิตวิญญาณมากกว่ามุ่งนำ
เสนอความเป็นจริงทางวัตถุ สื่อผ่านการใช้สีที่รุนแรงและเกินความเป็นจริง โดยเน้นความพอใจของศิลปินเป็น
หลักไม่ยึดถือกฏเกณฑ์ และธรรมเนียมใด ๆ ในอดีตเลย สีที่ใช้นั้นจะสื่อถึงพลังที่ถูกบีบคั้นบังคับกดดันที่อยู่
ในความรู้สึกนึกคิดของจิตใจคน เป็นการปดปล่อยอารมณ์ผ่านสีและฝีแปรงที่ให้ความรู้สึกที่รุนแรงกดดัน
ฝีแปรงที่อิสระ
ศิลปินในยุคนี้ได้แก่พอล เซซานน์, วินเซนต์ ฟานโกะ, พอลโกแกง และ ทูลูส –โลเทรค
ภาพผลงานจิตรกรรม ชื่อ ห้องนอนที่อาลส์ ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ ราตรีประดับดาว ภาพผลงานจิตรกรรมชื่อ หุ่นนิ่งกับแอปเปิ้ล
(The Bedroom at Arles) (The Starry Night) StillLife with Apples โดย พอล เซซานน์
วาดโดย วินเซนต์ ฟานโกะ Vincentvan Gogh