โครงงานประวัติศาสตร์
เร่อื ง สบื สานงานปัน้ เคร่อื งเคลือบพนั ปี
คณะผู้จดั ทา
1. นายสันติสุข พกิ ลุ ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 5
2. นางสาวกัญญารัตน์ แกว้ คาภา ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5
3. นางสาวสนิ นี ารถ จนี ประโคน ช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 5
ครูที่ปรึกษา
นางนธิ นันท์ เครือคา
ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชานาญการพิเศษ
รายงานนี้เปน็ สว่ นหน่งึ ของโครงงานประวัติศาสตร์
ระดบั ประถมศกึ ษา/มัธยมศกึ ษาตอนต้น/ตอนปลาย
ในการประกวดโครงงานนกั เรยี นระดบั ภาคคร้ังที่ 14 ประจาปี 2559
จัดโดยมลู นิธิเปรม ติณสูลานนท์ จังหวัดนครราชสมี า
ระหว่างวนั ท่ี 17-18 สงิ หาคม พ.ศ. 2559
ณ มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีสรุ นารี
ก
หัวขอ้ โครงงาน สืบสานงานปน้ั เครอ่ื งเคลอื บพนั ปี
คณะผู้จดั ทา 1. นายสนั ติสขุ พิกุล ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 หวั หนา้
2. นางสาวกญั ญารตั น์ แกว้ คาภา ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 กรรมการ
3. นางสาวสนิ ีนารถ จีนประโคน ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 กรรมการและเลขานกุ าร
ครทู ปี่ รกึ ษา นางนธิ นนั ท์ เครอื คา ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชานาญการพิเศษ
ประเภทโครงงาน โครงงานประวตั ิศาสตร์
สถานศกึ ษา โรงเรียนโนนเจรญิ พิทยาคม อาเภอบ้านกรวด จงั หวัดบรุ รี ัมย์
ปีการศกึ ษา 2559
บทคัดย่อ
การทาโครงงานประวัตศิ าสตร์ เรอ่ื ง สืบสานงานปัน้ เครื่องเคลอื บพันปี มีวตั ถปุ ระสงค์คอื
1) เพอ่ื ศึกษาประวตั ิความเปน็ มาของพิพิธภัณฑเ์ ตาเผาสวาย 2) ศกึ ษาวธิ กี ารป้ันเครอื่ งเคลือบดิน
ผลการศกึ ษา สรุปไดด้ งั นี้
1. ประวตั ิความเป็นมาของเตาเผาโบราณเตาสวายและพิพิธภัณฑเ์ ตาเผาโบราณเตาสวาย
สรุปไดว้ า่ อาคารตัง้ อยใู่ นเขตรับผิดชอบของบา้ นโคกใหญ่ หม่ทู ี่ 9 ตาบลโนนเจริญ อาเภอบ้านกรวด
จังหวดั บุรรี มั ย์ เจา้ ของที่นาที่ใชส้ รา้ งพิพิธภณั ฑ์ ชอ่ื วา่ นายบญุ มี จาเรญิ ดี ภรรยาชอ่ื นางมี จาเริญดี
อยบู่ า้ นเลขท่ี 9 หมู่ที่ 9 ตาบลโนนเจรญิ อาเภอบ้านกรวด จังหวดั บุรรี ัมย์ กอ่ นปี พ.ศ. 2530 มชี าวบา้ น
ในแถบนั้นขุดค้นเครื่องเคลอื บโบราณโดยบังเอญิ แลว้ นากลบั มาบา้ น เพือ่ นบา้ นมีความเชอ่ื วา่ เป็นของเกา่
แกโ่ บราณ นา่ จะมเี จา้ ของซึ่งเป็นผีสางจะมาทวงคืนชาวบ้านคนท่ขี ุดคน้ เครื่องเคลอื บโบราณจึงนาไปไวท้ ี่เดมิ
จนกระทัง่ มีนายทนุ มาขอรับซื้อในราคาดีชาวบ้านจึงพากันไปขุดค้นเครอื่ งเคลอื บโบราณอีกครง้ั ในบรเิ วณเดมิ
และขยายออกเปน็ บริเวณกว้าง การขดุ คน้ ของชาวบา้ นท่ีไมถ่ ูกวธิ ที าให้เครื่องเคลือบโบราณแตกหักเสียหาย ปี
พ.ศ. 2530 กรมศลิ ปากรจงึ เข้ามาศกึ ษาและทาการขดุ คน้ อย่างถูกวธิ แี ละสร้างโดมครอบเตาเผาสวายไว้ เปน็
พพิ ธิ ภณั ฑเ์ ตาเผาสวายจนถึงปจั จบุ ัน ในวันท่ี 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2531 สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดา สยาม
บรมราชกมุ ารี เสด็จเปน็ พระอาจารย์แกน่ ักเรียนนายรอ้ ย นาเสด็จศกึ ษาโบราณสถานในภูมภิ าค
ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ตอนลา่ ง และไดม้ าเยี่ยมชมศนู ยว์ ัฒนธรรมอาเภอบ้านกรวด ซง่ึ ตงั้ อยใู่ นโรงเรียนบ้าน
กรวดวทิ ยาคาร ชมพพิ ธิ ภัณฑเ์ ตานายเจยี น และพิพธิ ภัณฑเ์ ตาสวาย ตามลาดบั
2. การปั้นเครื่องเคร่อื งดนิ เผาในอาเภอบ้านกรวด
จากการศึกษาวธิ กี ารปนั้ เครื่องเคลือบดนิ เผา ตามแบบลักษณะเฉพาะของเคร่ืองเคลอื บ
ดนิ เผาในอาเภอบา้ นกรวดใช้ใชด้ นิ เหนยี ว (Stiff - mud) มี 5 เฉดสไี ลจ่ ากสีเหลอื ง ไปเร่อื ย ๆ ถงึ สีนา้ ตาลเข้ม
การข้ึนรูป (Forming) ใชว้ ธิ ีทง้ั 2 วธิ ี คอื ป้ันวิธอี ิสระ (Free hand) และปัน้ บนแป้นหมุน (Throwing on the
Potter's Wheel) การตากแห้ง (Drying) เพ่อื ป้องกันการแตกรา้ วปริมาณของนา้
ทใ่ี ชใ้ นการขน้ึ รูป การออกแบบเคร่อื งเคลือบดนิ เผาในอาเภอบา้ นกรวดแบง่ ออกเป็น 2 แบบ แบบแรกปนั้ ครัง้
เดยี วเสรจ็ เช่น ถ้วย ชาม โถต่างๆ ท่ีใชอ้ ุปกรณใ์ นพธิ ีทางศาสนาพราหมณ์ แบบท่ี 2 ปัน้ สองตอน
ข
จะป้ันโถตา่ ง ๆ ทใ่ี ชอ้ ปุ กรณใ์ นพธิ ที างศาสนาพราหมณ์เป็นรปู สัตวใ์ นยคุ นนั้ (พุทธศตวรรษที่ 12 – 19) การเผา
ในการเผาเคร่อื งเคลอื บ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ แบบที่ 1 เผาเครือ่ งเคลือบโดยใชแ้ กส๊ หงุ ตม้ แบบที่
2 เผาเคร่อื งเคลือบโดยใช้ไฟฟา้ แบบท่ี 3 เผาเครอื่ งเคลอื บโดยใช้ฟนื ซึง่ การเผา
แต่ละแบบมขี ้อดีข้อเสียต่างกนั การเคลอื บสีดินเผาในอาเภอบ้านกรวด จะเคลือบ 2 แบบ แบบที่ 1 เครื่องปน้ั ดินเผา
เคลือบสีเขยี วใส และสีเขียวเข้ม มที ้งั ชามและไหขนาดใหญ่ เนือ้ ดินปน้ั ของชามจะมีสเี ขียวสว่ นเน้อื ดนิ ปัน้ ของ
ไหจะเปน็ สีเทา ชามจะเคลอื บสเี ขียวใสทัง้ ภายในและภายนอก ส่วนไหจะมีปากผายกวา้ ง เคลอื บสเี ทาดา้ นนอก
และบรเิ วณรอบปากไหดา้ นใน แบบที่ 2 เคลือบสีน้าตาล มที ั้งกระปุก ตะคันและไหขนาดต่าง ๆ มที ง้ั สีเหลืองสี
เทาเขม้ และสดี า ซง่ึ มสี ขี องนา้ เคลือบทงั้ สนี า้ ตาลเข้มจนดา
เป็นมนั วาว สีนา้ ตาลออกเหลือง สีเขยี ว สนี า้ ตาลมรี อยน้าเคลือบสีเขยี วเป็นทาง สนี ้าตาลเหลอื งอมทอง
สง่ิ ท่คี ้นพบในการทาโครงงาน
จากการศกึ ษาข้อมูลภาคสนาม มขี ้อคน้ พบ ดังนี้
1. เจ้าของที่นาท่ีขายที่ดนิ เพ่อื สรา้ งพพิ ธิ ภัณฑ์เตาสวาย และสวนกลว้ ยใหก้ บั กรมศลิ ปากร ยังมี
ชีวติ อยู่ และทาหนา้ ทีด่ ูแลพิพธิ ภณั ฑ์เตาสวาย โดยไม่รับค่าจา้ งใด ๆ
2. การเผาเครือ่ งเคลือบดนิ เผาของอาเภอบ้านกรวด แบง่ เปน็ 3 วธิ ี คอื
วธิ ีที่ 1 เผาโดยใชแ้ กส๊ หงุ ต้ม เตาบรรจชุ นิ้ งานไดป้ ระมาณ 500-700 ชนิ้ ขอ้ ดี
คอื นา้ ยาเคลอื บเงาเรยี บ ช้ินงานสสี วย ตรงตามทก่ี าหนดไว้ เพราะไฟทใ่ี ชม้ คี วามสมา่ เสมอ ขอ้ เสยี ต้องเฝา้
และดตู ลอดเวลาการเผาเพอ่ื ผอ่ นหรือเพม่ิ ปริมาณแกส๊ และสนิ้ เปลื้องมากเพราะใช้ จานวน 2 ถัง
วิธที ี่ 2 เผาโดยใช้ไฟฟา้ บรรจไุ ดป้ ระมาณ 300-500 ช้นิ ข้อดีคอื ประหยดั สะดวกสบาย
ขอ้ เสยี น้ายาเคลอื บเงาไมเ่ รียบ ช้ินงานสีไม่สวย เพราะไฟฟา้ ท่ีใชไ้ ม่สมา่ เสมอ
วธิ ที ี่ 3 เผาโดยใชฟ้ นื บรรจไุ ด้ประมาณ 100-300 ชน้ิ ข้อดคี ือ ประหยดั ขอ้ เสีย น้ายา
เคลือบเงาไมเ่ รยี บ ชิ้นงานสีไมส่ วย เพราะฟนื ทใ่ี ชใ้ หค้ วามร้อนไม่สมา่ เสมอ ตอ้ งใช้ความรู้ความสามารถดา้ น
ภมู ปิ ัญญาทอ้ งถน่ิ สะสมประสบการณ์
ค
กติ ติกรรมประกาศ
ขอขอบพระคณุ นางนธิ นันท์ เครือคา ครูทป่ี รกึ ษาซ่ึงกรณุ าสละเวลา ใหค้ วามรูแ้ ละคาแนะนา
ตลอดการทาโครงงานประวัติศาสตร์ เรื่อง สืบสานงานปัน้ เครื่องเคลือบพันปี จนสาเร็จลุลว่ งด้วยดี
ขอขอบพระคุณนางรมิดา ชาญประโคน ตาแหน่ง ครู วทิ ยฐานะ ครูชานาญการพิเศษ โรงเรียน
บ้านกรวดวทิ ยาคาร เจา้ หน้าที่ศนู ย์พฒั นาการเรยี นรปู้ ระวัติศาสตร์ และเจา้ หน้าท่ีศนู ย์วฒั นธรรมอาเภอ
บา้ นกรวด จงั หวดั บุรีรัมย์ นายสรุ พล เทวญั รัมย์ ตาแหนง่ ครู วทิ ยฐานะ ครชู านาญการพิเศษ โรงเรยี น
บา้ นกรวดวิทยาคาร ท่ใี หข้ อ้ มลู ประวตั คิ วามเป็นมาของเตาเผาโบราณเตาสวาย
ขอขอบพระคณุ นายพิทยา จารุวงศเ์ สถยี ร ตาแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครชู านาญการพิเศษ โรงเรยี น
บ้านกรวดวทิ ยาคาร นายหนคู ลา้ ย เสนา้ เทยี่ ง ภมู ปิ ัญญาทอ้ งถ่นิ บ้านอาเภอบ้านกรวด วิทยากรฝกึ การปัน้
เครอื่ งเคลือบดนิ เผา
ขอขอบพระคุณ องคก์ ารบริหารส่วนตาบลโนนเจรญิ ผ้รู ู้ ผู้นา ปราชญช์ าวบา้ นและภมู ปิ ญั ญา
ท้องถ่ินในเทศบาลตาบลโนนเจริญ อาเภอบา้ นกรวด จงั หวดั บรุ รี ัมย์ ทใ่ี หข้ อ้ มลู ในการทาโครงงาน
จนประสบผลสาเรจ็
ขอบขอบพระคณุ ผู้อานวยการโรงเรียน นายภวู นาถ ยุพานวิทย์ ผูอ้ านวยการโรงเรยี นโนนเจรญิ
พิทยาคม ว่าทรี่ ้อยโทวรี พันธ์ มสี มาน รองผอู้ านวยการโรงเรียนโนนเจริญพทิ ยาคม และคณะครูโรงเรียน
โนนเจริญพิทยาคม ท่มี สี ว่ นสนบั สนนุ ใหก้ ารดาเนินโครงการสาเร็จลุลว่ งดว้ ยดี ขอขอบคุณ เพ่อื นๆ พ่ี ๆ
นอ้ ง ๆ ชมุ นมุ สังคมศึกษาโรงเรยี นโนนเจรญิ พทิ ยาคม ทใ่ี หก้ าลังใจและให้ความช่วยเหลือในการทาโครงงาน
และท้ายท่สี ดุ ขอขอบพระคณุ คณุ พอ่ และคณุ แมผ่ ู้เปน็ ทร่ี ัก ผใู้ หก้ าลังใจและให้โอกาสการศกึ ษาอันมีคา่ ย่ิง
ผ้จู ัดทา
4 กรกฎาคม 2559
สารบญั หนา้
บทคดั ย่อ ก
กิตตกิ รรมประกาศ ง
สารบัญ จ
1 บทนา 1
ความเปน็ มาและความสาคญั ของโครงงาน 1
วตั ถปุ ระสงคข์ องการทาโครงงาน 1
ขอบเขตของการสารวจ 2
นยิ ามศัพทเ์ ฉพาะ 2
ประโยชนท์ ีค่ าดวา่ จะไดร้ ับ 3
3
2 เอกสารและงานวจิ ยั ท่ีเกยี่ วขอ้ ง 6
ตาบลโนนเจรญิ 7
แคว้นโบราณในประเทศไทย 14
การผลติ เคร่อื งป้ันดนิ เผา 21
29
3 วธิ ดี าเนินการ 34
4 การวเิ คราะหข์ อ้ มูลอภปิ รายผล 37
5 สรปุ ผลและข้อเสนอแนะ 62
บรรณานุกรม
ภาคผนวก
ประวัติผจู้ ัดทาโครงงาน
บทท่ี 1
บทนา
ความเปน็ มาและความสาคัญของโครงงาน
จากการศึกษาแหลง่ เรยี นรูท้ างประวตั ิศาสตรท์ ้องถิ่นในตาบลโนนเจรญิ พบแหลง่ เรยี นรู้
ทางประวตั ิศาสตรท์ ้องถน่ิ ในเขตบรกิ ารของโรงเรยี นโนนเจริญพทิ ยาคม จานวน 3 แห่ง พพิ ิธภณั ฑ์
คอื พิพธิ ภัณฑเ์ ตาเผาสวาย ตาบลโนนเจรญิ ปราสาทถมอ ตาบลหนิ ลาด และปราสาทละลมทม
ตาบลเขาดนิ เหนอื อาเภอบ้านกรวด จังหวัดบรุ รี มั ย์ แหล่งเรียนรู้ทง้ั 3 แหง่ โรงเรยี นโนนเจรญิ พทิ ยาคม
กาหนดไว้เปน็ แหล่งเรยี นรู้ภายนอกให้นักเรยี นไดเ้ รยี นรู้ ซง่ึ คณะผจู้ ดั ทาโครงงานสนใจศกึ ษาประวตั ิ
ความเป็นมาของพพิ ิธภณั ฑเ์ ตาเผาสวาย และวธิ กี ารปั้นเคร่ืองเคลอื บดนิ เผาเพือ่ อนรุ กั ษม์ รดกทางภูมิปัญญา
ทอ้ งถิ่นในอาเภอบ้านกรวดไว้ (เนตรนภา มลู มณแี ละคณะ. 2552 : 1-10) การรวบรวมประวตั ศิ าสตรท์ ้องถนิ่
เป็นเครือ่ งมอื หนง่ึ ทีท่ าให้คณะผจู้ ดั ทาโครงงาน เหน็ รากเหงา้ ของตนเอง เกดิ สานึกความเหน็ คุณคา่ ความภูมใิ จ
และศักดศ์ิ รขี องส่งิ ทต่ี นเองมอี ยู่ทเ่ี ป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษในทอ้ งถิ่น ความภูมิใจนี้
ทาให้คนเรามีความเช่อื มน่ั ในตัวเองวา่ มขี องดีอยู่ (สมมาตร์ ผลเกดิ . 2552 : 5-10 ; สีลาภรณ์ บวั สาย.
http://www.trf.or.th. สืบค้นเม่ือวนั ท่ี 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 )
เตาเผาสวาย เปน็ มรดกตกทอดมาจากภูมิปัญญาในทอ้ งถ่นิ เปน็ รากเหงา้ ที่เยาวชนรุน่ หลัง
ต้องสานึกถงึ คณุ คา่ และภาคภมู ใิ จ (รมดิ า ชาญประโคน. 2556 : 1-2 ; สุรศักด์ิ เทวญั รัมย.์ 2556 : 1-10)
ด้วยเหตุผลดังกลา่ วคณะผ้จู ัดทาจงึ มีความสนใจทจ่ี ะศึกษาโครงงานประวัตศิ าสตร์ เรื่อง สืบสานงานปั้นเครอื่ ง
เคลอื บพันปี ซงึ่ เป็นมรดกในหมู่บ้านของตนเอง (พทิ ยา จารวุ งศเ์ สถียร. 2552 : 1-10) โดยมวี ตั ถปุ ระสงค์เพื่อ
ศกึ ษาประวัตคิ วามเปน็ มา ลกั ษณะ ความสาคญั ของเตาเผาโบราณเตาสวาย และศกึ ษาวธิ กี ารป้ันเคร่ืองเคลอื บ
ดนิ เผา เปน็ การสืบสานวฒั นธรรมในท้องถิน่ เกิดความภาคภูมิใจในรากเงา้
ความเป็นตวั ตนของคนในท้องถิ่นเพ่ือเกบ็ ไว้ใหช้ นรุ่นหลังไดศ้ กึ ษาตอ่ ไป
วัตถุประสงค์ของการทาโครงงาน
1. ศกึ ษาประวตั คิ วามเปน็ มาของพพิ ธิ ภณั ฑ์เตาเผาเตาสวาย
2. ศกึ ษาวธิ ีการป้นั เครอ่ื งเคลือบดินเผา
ขอบเขตของการสารวจ
หมูท่ ่ี 9 บ้านโคกใหญ่ ตาบลโนนเจรญิ อาเภอบา้ นกรวด จงั หวัดบรุ รี มั ย์
นยิ ามศพั ท์เฉพาะ
สืบสาน หมายถงึ ศกึ ษาวธิ ีการปัน้ เคร่ืองเคลือบดนิ เผาตามลักษณะเฉพาะของเครื่องเคลือบ
ดินเผาในช่วงพทุ ธศตวรรษท่ี 15-16 ทีข่ ดุ คน้ พบในเตาเผาโบราณเตาสวาย หมทู่ ่ี 9 บา้ นโคกใหญ่
ตาบลโนนเจรญิ อาเภอบา้ นกรวด จงั หวัดบุรรี มั ย์
เตาเผาโบราณ หมายถงึ การศกึ ษาประวตั คิ วามเป็นมาของเตาเผาโบราณเตาสวาย
อาคารต้ังอยูท่ ่ี หมู่ที่ 9 บา้ นโคกใหญ่ ตาบลโนนเจรญิ อาเภอบ้านกรวด จงั หวดั บุรรี มั ย์
เครื่องเคลือบพันปี หมายถึง เคร่ืองเคลือบดนิ เผาในชว่ งพุทธศตวรรษที่ 15-16 ทข่ี ุดค้นพบ
ในเตาเผาโบราณเตาสวาย หมูท่ ่ี 9 บา้ นโคกใหญ่ ตาบลโนนเจริญ อาเภอบา้ นกรวด จงั หวดั บรุ รี ัมย์
ประวตั ิศาสตร์ หมายถงึ ปรากฏการณ์ทเ่ี กยี่ วข้องกับการกระทาของมนุษย์
วิธกี ารทางประวตั ิศาสตร์ หมายถึง วธิ ีการแสวงหาความรซู้ งึ่ นักการศกึ ษาได้นาวธิ กี าร
ทนี่ ักประวตั ิศาสตรใ์ ชใ้ นการค้นควา้ หาคาตอบ
การสรา้ งองคค์ วามรู้ใหม่ หมายถึง สง่ิ ทเี่ ราไดศ้ กึ ษาในเรอ่ื งทยี่ ังไม่มีผใู้ ดเคยศึกษาหรอื เขียน
มากอ่ น แต่เรามคี วามสนใจ ใคร่รใู้ นเร่อื งดังกลา่ ว จึงทาการศกึ ษาดว้ ยตนเอง
ประโยชนท์ ่ีคาดว่าจะได้รับ
1. รู้และเข้าใจประวตั คิ วามเปน็ มาของเตาเผาโบราณเตาสวาย
2. ได้ฝกึ ปนั้ เครอ่ื งเคลือบดินเผา
3. เข้าใจลกั ษณะเฉพาะของเครื่องเคลือบดินเผาในช่วงพุทธศตวรรษท่ี 15-16 ที่ขุดค้นพบ
ในเตาเผาโบราณเตาสวาย หมทู่ ี่ 9 บา้ นโคกใหญ่ ตาบลโนนเจริญ อาเภอบา้ นกรวด จังหวดั บุรรี ัมย์
4. ภาคภมู ใิ จในมรดกทตี่ กทอดมาจากภมู ปิ ัญญาท้องถิ่นทเี่ ปน็ รากเหง้าของตนเอง
บทที่ 2
เอกสารท่เี ก่ียวขอ้ ง
การทาโครงงานประวัตศิ าสตร์ เร่อื ง สบื สานงานป้นั เคร่ืองเคลอื บพนั ปี ครั้งน้ี คณะผจู้ ัดทา
โครงงาน ได้ศกึ ษาเอกสารที่เกย่ี วข้อง ดังน้ี
1. ตาบลโนนเจริญ
2. การแบ่งยุคสมัยทางประวตั ิศาสตร์
3. แคว้นโบราณในประเทศไทย (พทุ ธศตวรรษที่ 12 – 19)
4. เตาเผาโบราณเตาสวย
5. การเรยี นรโู้ ดยใชว้ ธิ กี ารทางประวตั ศิ าสตร์
6. การผลติ เคร่อื งป้นั ดนิ เผา
ตาบลโนนเจริญ (Noncharoen Subdistric)
1. ข้อมลู ทั่วไป
บา้ นโนนเจริญ เดิมเป็นสภาตาบลในปี พ.ศ. 2551 ผู้นาหมบู่ ้าน และยกระดบั เป็น องคก์ ารบริหาร
สว่ นตาบลโนนเจริญ และไดย้ กฐานะเปน็ เทศบาลตาบลโนนเจรญิ เมอ่ื วันที่ 27 ตุลาคม 2552 สานกั งานตงั้ อยู่
เลขที่ 95 หมู่ที่ 1 ตาบลโนนเจริญ อาเภอบา้ นกรวด จงั หวดั บุรีรมั ย์
คาขวัญ แหลง่ เครอื่ งเคลือบเตาสวาย หลากหลายวฒั นธรรม เลิศลา้ รา้ อสี าน เทย่ี วงานลอย
กระทงดา้ รงวจิ ติ รผ้าลายไทย
2. การจดั การปกครองสว่ นท้องถ่ิน
ตาบลโนนเจริญแบ่งพืน้ ท่กี ารปกครองออกเป็น 11 หมู่บ้าน
หมู่ที่ 1 บา้ นโนนเจรญิ (Bannoncharoen)
หมทู่ ี่ 2 บ้านโนนเจรญิ (Ban noncharoen)
หมทู่ ี่ 3 บา้ นโนนเจริญ (Ban noncharoen)
หมู่ท่ี 4 บา้ นโนนเจรญิ (Ban noncharoen)
หมู่ที่ 5 บา้ นโนนเจรญิ (Ban noncharoen)
หมทู่ ี่ 6 บ้านหนองแวง (Nongvang)
หม่ทู ี 7 บ้านถนน (Ban Thanon)
หมู่ท่ี 8 บ้านซอย 3 (Ban Soi3)
หมทู่ ี่ 9 บา้ นโคกใหญ่ (Ban Kokyai)
หมู่ท่ี 10 บ้านสามขา (Ban samkha)
หมู่ท่ี 11 บ้านสนั ตสิ ุข (Ban santisuk)
3. ประวัติการก่อต้ังตาบลโนนเจรญิ
3.1 บ้านโนนเจรญิ
บา้ นโนนเจรญิ เดมิ อยใู่ นการปกครองตาบลบ้านกรวด เปน็ หมูบ่ ้านทมี่ เี นินภเู ขาเล็ก ๆ
ตรงกลางหม่บู ้าน (ปัจจบุ นั คอื บริเวณวดั บา้ นโนนเจริญ) มสี ระนา้ โบราณใหญ่ 2 แหง่ ชื่อวา่ หนองสมิ
และหนองบา้ น ซง่ึ เป็นหมู่บ้านที่มีความอุดมสมบรู ณ์ มีตน้ ไมม้ ากมาย มที างเดินของสัตวป์ ่าลงมาดม่ื น้า
ในสระเปน็ ประจา ชาวบา้ นจงึ พากนั เรียกเนินเล็ก ๆ นี้วา่ “โนนเจรญิ ” ตามลกั ษณะความอดุ มสมบูรณ์
ของพ้นื ท่ี ต่อมาไดแ้ ยกตง้ั เป็นตาบลโนนเจรญิ เมอ่ื ปี พ.ศ. 2497 ราวปี พ.ศ. 2537 มีพระราชบัญญตั ิ
เปลย่ี นแปลงฐานะของสภาตาบลโนนเจริญเปล่ยี นแปลงฐานะเปน็ องค์การบริหารสว่ นตาบลโนนเจรญิ
วนั ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2540 และกระทรวงมหาดไทยประกาศใหอ้ งค์การบรหิ ารส่วนตาบลโนนเจริญยกฐานะเป็น
เทศบาลตาบลโนนเจรญิ ณ วันที่ 27 ตลุ าคม 2552 (เทศบาลตาบลโนนเจรญิ . http://noncharoen.
Localgov.in.th. สืบค้นเมอื่ วนั ท่ี 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2559). ตามลาดับ
3.2 ประวตั กิ ารกอ่ ตั้งบา้ นโคกใหญ่
บ้านโคกใหญก่ ่อตง้ั ข้ึนเม่อื พ.ศ. 2502 ต้ังอยู่ในพน้ื ที่ของตาบลโนนเจริญ อาเภอบา้ นกรวด
จงั หวดั บรุ รี มั ย์ โดยตัง้ อยทู่ างทิศตะวันออกเฉียงเหนอื ของอาเภอบา้ นกรวดและทางทิศตะวนั ออกเฉียงใต้ของ
จงั หวดั บุรีรัมย์ ผ้ทู ีม่ าบกุ เบิกกอ่ ต้ังบ้านโคกใหญไ่ ดอ้ พยพมาจากบา้ นปราสาททอง (ในขณะ
บ้านกรวดเป็นก่งิ อาเภอ) จังหวดั บรุ รี ัมย์ เช่นเดียวกันกบั บ้านหวั ถนน เดมิ เปน็ หมู่บา้ นเดยี วกัน ช่อื ว่า
บ้านถนน-โคกใหญ่ (ศูนยข์ อ้ มลู ประเทศไทย. http://burirum.kapook.com. สบื คน้ เม่อื วนั ที่ 4 กรกฎาคม
พ.ศ. 2559) ผทู้ ีม่ าบุกเบกิ กอ่ ตงั้ บ้านโคกใหญ่เดนิ ทางมาเป็นหม่คู ณะหลายครอบครวั เชน่
1) ครอบครัวคณุ ตารัก ซึรมั ย์
2) ครอบครวั คณุ ตาปมู มาประโคน
3) ครอบครวั คณุ ตาเจาะ พลอยรัมย์
การตง้ั ช่อื หมู่บา้ น เรียกช่ือตามลักษณะภูมปิ ระเทศมลี ักษณะเปน็ เนินสงู มีบรเิ วณกว้าง
ซึง่ เรยี กว่าโคก มปี า่ หนาทึบ มีความอดุ มสมบรูณไ์ ปด้วยสตั ว์ปา่ นานาพนั ธุ์
อาณาเขตติดตอ่
ทศิ เหนอื ติดกับ บา้ นตาปาง ตาบลจนั ทบเพชร
ทิศใต้ ตดิ กับ บ้านหัวถนน ตาบลโนนเจรญิ
ทิศตะวันตก ตดิ กับ บ้านละหานทรายใหม่ ตาบลหินลาด
ทิศตะวนั ออกตดิ กับ บ้านสายโท 9 สาย 3 ตาบลโนนเจรญิ
(ทีม่ า : ศูนย์ข้อมลู ประเทศไทย. http://burirum.kapook.com. สืบคน้ เมอ่ื วนั ท่ี 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2559)
ผ้นู าหม่บู ้านบ้านโคกใหญ่ มี จานวน 5 คน ดงั น้ี
คนท่ี 1 นายเอยี ด พลอยรมั ย์
คนท่ี 2 นายสว่ ย มาประโคน
คนที่ 3 นายทวี ลาขมุ เหล็ก
คนที่ 4 นายเมือง ดนุ ทะยม
คนท่ี 5 นายนงค์ จานงค์ประโคน
จานวนประชากร ปจั จุบนั มีจานวนประชากรทัง้ หมด 1,119 คน ชาย 574 คน หญิง 545 คน
มีจานวน 274 หลังคาเรอื น พืน้ ทที่ ้งั หมด 3.952 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 2,470 ไร่
ด้านสงั คม
ศาสนา ประชาชนมีผ้นู ับถือศาสนาพุทธ รอ้ ยละ 100 ของจานวนประชากรทง้ั หมดในเขต
องค์การบริหารสว่ นตาบลโนนเจรญิ มีวดั จานวน 6 แหง่
วฒั นธรรม ประเพณที ้องถน่ิ ทสี่ าคญั ของชุมชนในเขตเทศบาลตาบลโนนเจริญมีดังนี้
1) ประเพณบี วงสรวงศาลหลวงปูซ่ าน ประมาณเดือน เมษายน กิจกรรมสงั เขป มีการจัดงาน
พธิ ีบวงสรวงศาลหลวงปซู่ าน รดน้าดาหวั ผู้สูงอายทุ งั้ 11 หมูบ่ ้าน พร้อมจบั ฉลากมอบของขวัญ
ซงึ่ หนว่ ยงานราชการจดั งานรว่ มกบั ชมุ ชน
2) ประเพณีบุญเบิกบ้าน ประมาณเดอื น พฤษภาคม หลังวันพืชมงคล กจิ กรรมสังเขป
มกี ารจดั งานพธิ บี วงสรวงกลางหม่บู ้านเพ่ือเป็นการสรา้ งขวัญและกาลังใจในการประกอบอาชพี เกษตรกรรมของ
ทุกปี คล้ายจะบอกวา่ ถงึ ฤดทู านาอีกคร้งั ขอพรใหฝ้ นตกตามฤดกู าล ข้าวนา้ สมบรู ณ์ สว่ นใหญจ่ ะเปน็ ผนู้ า
หมู่บ้านรว่ มกบั ชุมชนในหมู่บา้ นนนั้ จัดขึ้น
3) ประเพณีลอยกระทง ประมาณเดอื น พฤศจกิ ายน กิจกรรมสังเขป มกี ารจัดงาน
พธิ ีบวงสรวงศาลหลวงปซู่ าน การแขง่ ขนั กีฬาพน้ื บา้ น การประกวดขบวนแหน่ างนพมาศ การประกวดดนตรี
พ้ืนบา้ น และการประกวดนางนพมาศ ในภาคกลางคืน ซึ่งหน่วยงานราชการรว่ มจัดงานกับชมุ ชน มผี ูร้ ่วมชม
งานท้งั คนในท้องถิ่นผคู้ นต่างหมูบ่ ้านรวมทั้งชาวตา่ งชาตทิ ต่ี ดิ ตามมากับคนในทอ้ งถ่นิ
เป็นการสืบสานวฒั นธรรมทอ้ งถ่นิ สืบเนือ่ งมานาน
4) วนั ปยิ มหาราช เดอื นตุลาคม กจิ กรรมสงั เขปมกี จิ กรรมถวายบงั คมรัชกาลท่ี 5
กฬี าพื้นบ้าน กีฬาสรา้ งสามคั คี และการสังสรรคร์ น่ื เรงิ ในภาคกลางคนื เป็นการสืบสานวัฒนธรรมท้องถ่นิ
สืบเนอื่ งมานาน
5) งานประเพณี เคร่อื งเคลอื บพนั ปีประเพณีบา้ นกรวด กจิ กรรมสงั เขปจัดขบวนเพ่ือ
รว่ มในงานของอาเภอบา้ นกรวด สว่ นใหญ่จะนาขบวนทมี่ ีความสวยงาม มคี วามคดิ รเิ ริม่ สร้างสรรค์
ของหมู่บ้านในงานประเพณีลอยกระทงรวมทงั้ นางนพมาศทปี่ ระกวดและไดร้ างวลั ชนะเลิศส่วนใหญ่
จะได้รบั คดั เลือกใหเ้ ป็นตัวแทนเขา้ ประกวดธิดาเครื่องเคลือบในปีถัดไป
การแบ่งยคุ สมัยทางประวตั ศิ าสตร์
การกาหนดช่วงเวลาประวัตศิ าสตร์มกี ่ีวิธี แบ่งไดอ้ ยา่ งไรบ้าง
1. การแบ่งยุคทางประวตั ิศาสตรต์ ามเกณฑ์ของนกั ประวตั ิศาสตร์ นกั ประวัติศาสตรค์ านงึ ถงึ การ
ประดษิ ฐ์ตวั อกั ษรและนามาบนั ทกึ เร่ืองราว และนามา กาหนดยุคสมยั โดยแบง่ เป็นสองยคุ ได้แก่ ยุคก่อน
ประวตั ศิ าสตร์และยุคประวตั ิศาสตร์ เมือ่ พบหลักฐานทีเ่ ป็นลายลักษณ์อกั ษรจงึ ถือว่าเร่ิมยุคประวตั ศิ าสตร์
2. การแบง่ ยุคทางประวตั ศิ าสตร์ ตามเกณฑ์ของนักโบราณคดนี ักโบราณคดีสว่ นใหญ่ กาหนด
ตามเทคนิควิธแี ละวสั ดทุ ใี่ ชท้ าเคร่อื งมือใชส้ อย เชน่ ยคุ หินและยคุ โลหะ
3. การแบ่งตามแบบแผนของนกั มานษุ ยวิทยา เนน้ การดารงชพี และลักษณะสงั คมแบบแผนที่
สาคัญได้แก่
1) สมัยชมุ ชนล่าสัตว์-หาของปา่ (Hunting – Gathering Society Period) ราว 500,000-
4,500 ปี
2) สมยั หม่บู ้านเกษตรกรรม (Agricultural Village Society Period) เปน็ สังคมระดับ
หมู่บา้ นเรม่ิ เมอ่ื ราว 4,500 ปี
3) สมยั สังคมเมอื ง (Urban Society Period) สังคมมีลักษณะซบั ซ้อนมากขึ้นเร่ิมปรากฏ
ตง้ั แต่ 2,500 ปีมาแลว้ อย่างไรกต็ ามการศกึ ษาประวตั ศิ าสตรท์ กุ ชว่ งสมัยจาเป็นต้องมองท้งั ดา้ นพัฒนาการของ
เครือ่ งมือเคร่ืองใชแ้ ละวถิ ีชวี ติ ความเป็นอยู่ควบคู่กนั (http://www.thaigoodview.com .สบื ค้นเม่อื วนั ที่ 9
กรกฎาคม พ.ศ. 2557)
แคว้นโบราณในประเทศไทย (พุทธศตวรรษที่ 12 – 19)
1. แควน้ ในภาคกลาง อยใู่ นบริเวณลุ่มแมน่ ้าเจา้ พระยาตอนลา่ ง รวมไปถงึ ทางภาคตะวันตกและ
ภาคตะวนั ออกของลุม่ น้า มแี คว้นสาคัญ ดังน้ี
1.1 แควน้ ทวารวดี ช่วงพทุ ธศตวรรษที่ 12 – 16 มีเมอื งศนู ยก์ ลาง 2 เมอื ง คือ
1) เมืองนครไชยศรี (นครปฐมโบราณ)
2) เมืองละโว้ (ลพบุร)ี
อทิ ธพิ ลอารยธรรมอนิ เดีย เชน่ ระบบการปกครอง ศาสนา ศิลปกรรมต่าง ๆ รบั ศาสนาพทุ ธ
นกิ ายหนิ ยาน เปน็ ศูนยก์ ลางในการเผยแพร่ไปยงั แคว้นอื่น ๆ รวมทั้งทาใหเ้ กิดศลิ ปะแบบทราวดี
เช่น พระพทุ ธรูปศลิ าขนาดใหญ่ พระธรรมจกั รศลิ ากับกวางหมอบ พระพทุ ธรูปปูนปัน้ พระพิมพต์ า่ ง ๆ
เสมาหิน ภาพปนู ปนั้ สตรเี ลน่ ดนตรี ลูกปดั ทาดว้ ยแก้ว หิน ดินเผา
1.2 แคว้นละโว้ เม่ือแคว้นทวารวดเี สอื่ มอานาจในพทุ ธศตวรรษที่ 16 เน่ืองจากอาณาจกั ร
กัมพูชา แผอ่ านาจมายงั ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือและภาคกลางในประเทศไทย ละโวจ้ งึ มีความสมั พนั ธ์ใกลช้ ดิ
กัมพูชา และไดร้ ับอทิ ธพิ ลคตคิ วามเช่ือ ศาสนาพราหมณ์ – ฮนิ ดู และพทุ ธมหายาน
1.3 แคว้นอโยธยา เมอื งอโยธยาเป็นเมอื งหน่ึงในแควน้ ทวารวดี ต้ังอยู่บรเิ วณปากแมน่ า้ เบยี้
ฝ่งั ตะวันออกเมืองอยธุ ยาปจั จุบันประมาณพุทธศตวรรษที่ 18 มกี ารตดิ ตอ่ คา้ ขายกับจนี อนิ เดีย เปอรเ์ ซีย และ
มีความอุดมสมบูรณท์ างการเกษตร ทาใหอ้ โยธยามีเศรษฐกจิ ดีข้ึน ใน พ.ศ. 1893 ถึง 26 ปี
1.4 แคว้นสุพรรณภูมิ มขี อบข่ายพืน้ ท่อี ย่ฟู ากตะวันตกของลมุ่ แม่นา้ เจ้าพระยา เจรญิ รุง่ เรือง
ในพุทธศตวรรษที่ 18 – 19 เมืองสาคญั ในแคว้นได้แก่ เมอื งแพรกศรรี าชา (ตง้ั อยู่รมิ แมน่ ้านอ้ ยในจงั หวดั
ชัยนาทปจั จบุ ัน) เมอื งราชบรุ ี สงิ ห์บรุ ี และเพชรบรุ ี ซ่งึ เปน็ เมอื งทา่ สาคัญท่ีคุมเส้นทางการติดตอ่ คา้ ขายกบั
บา้ นเมืองทางภาคใต้ เชน่ แควน้ นครศรธี รรมราช ศิลปวฒั นธรรมไดร้ บั สบื ทอดมาจากนครชยั ศรี จงึ นับถือพุทธ
ศาสนานกิ ายหินยานเป็นหลกั แควน้ สุพรรณภมู ิมีความเข้มแข็งทางการทหาร อาณาจกั รอยุธยาทก่ี ่อเกดิ ข้นึ ใน
พ.ศ.1893 ได้รับการสนบั สนนุ ด้านพ้ืนฐานกาลังทหารจากแควน้ สุพรรณภมู ิ ซง่ึ มคี วามโยงใยการเปน็ เครอื ญาติ
โดยการแตง่ งาน และเจ้านายแควน้ สุพรรณภมู ิมีสว่ นร่วมในการปกครองอาณาจกั รทกี่ อ่ เกิดข้นึ นี้
2. แคว้นในภาคเหนือ (ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 14 – 19)
แคว้นในภาคเหนอื มแี ควน้ ทส่ี าคญั ดงั นี้
2.1 แคว้นหรภิ ญุ ชยั ช่วงพุทธศตวรรษที่ 14 ในบรเิ วณที่ราบลุ่มแม่น้าปงิ ตอนบน
และขยายถึงที่ราบลุ่มแม่น้าวงั สร้างเมอื ง เขลางคน์ คร หรอื ลาปาง แคว้นนม้ี ีเมืองลาพนู เปน็ ศนู ยก์ ลาง
ได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมทวารวดี นับถือศาสนาพทุ ธหินยาน มีความสมั พนั ธ์ใกลช้ ดิ กบั หวั เมืองมอญในพมา่ ท้ัง
ในดา้ นเศรษฐกจิ และวฒั นธรรม
2.2 แคว้นล้านนา เกิดจากการรวมตวั ของชมุ ชนและเมอื งต่าง ๆ บริเวณแมน่ า้ ปิง แมน่ ้ากก
และแม่นา้ โขงจาก 2 กลมุ่ ชน คอื ลวั ะ หรอื ละวา้ หรอื สางจก และพวกไทยลอ้ื เปน็ “ยวน” ในพุทธศตวรรษที่
13 เมอื งสาคญั คือ เมอื งหิรญั นคร เงินตง หรอื เงนิ ยางเชียงแสนในปี 1839 พญามังราย
พ่อขุนรามคาแหงและพญางาเมือง สรา้ ง “เมอื งนพบรุ ศี รนี ครพิงค์เชยี งใหม”่ แควน้ ล้านนาจึงก่อเกดิ ขน้ึ
ในปนี ี้ มเี มอื งเชียงใหม่เป็นราชธานี แต่ได้สน้ิ อานาจตกเป็นเมืองขึ้นของพระเจ้าหงสาวดบี ุเรงนอง
ใน พ.ศ. 2101
2.3 แควน้ สุโขทัย มีรากฐานของการกอ่ เกดิ เรมิ่ เมื่อพุทธศตวรรษที่ 18 ในบรเิ วณภาคเหนือ
ตอนลา่ งแถบลุม่ แม่น้าปิง ยม และน่าน มีเมืองสาคญั คือ สโุ ขทยั ศรสี ัชนาลัย สระหลวง และสองแคว เมือ่
แรกเริ่มกอ่ ตง้ั ราชวงศ์ศรตี นาว ตอ่ มาขอมสมาดโขลญลาพองยึดอานาจปกครองไป
พ่อขุนผาเมอื งเจา้ เมืองราดและสหายคอื พ่อขนุ บางกลางหาวเจา้ เมืองบางยาง ชว่ ยกนั ยดึ สโุ ขทยั กลับคนื มา
ได้ แลว้ ใหพ้ ่อขนุ บางกลางหาวปกครองสุโขทยั มพี ระนามวา่ “พ่อขุนศรอี นิ ทราทติ ย์” ปฐมกษตั รยิ ร์ าชวงศพ์ ระ
รว่ ง สว่ นพ่อขุนผาเมอื งเสดจ็ ไปครองเมืองราด เหตกุ ารณ์เกดิ ขึน้ ใน พ.ศ. 1792 สโุ ขทยั ตกเปน็ ประเทศราชของ
อยุธยาใน พ.ศ. 1981 แล้วรวมเขา้ กับอยธุ ยา พ.ศ. 2006 โดยได้สืบทอดมรดกทางวฒั นธรรมแกอ่ าณาจกั ร
อยุธยา ทีส่ าคัญย่งิ คอื ตวั อกั ษรไทย (พ.ศ. 1826) ท่ชี ว่ ยเสรมิ ความเปน็ เอกภาพในกลุ่มชนชาวไทย
3. แควน้ ในภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื
ในช่วงพทุ ธศตวรรษที่ 13 – 19 แควน้ ในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ครอบคลุมดินแดนสองฝัง่
แม่นา้ โขงตงั้ แต่เมืองอุดร หนองคาย เวียงจันทร์ นครพนม จรดอุบลราชธานี ศนู ยก์ ลางอยทู่ ี่เมืองนครพนม รวม
เปน็ “แควน้ โคตรบูร” เดิมกลุ่มชนในพ้นื ที่นน้ี บั ถือผีสางเทวดา ตอ่ มานับถือศาสนาที่แพรจ่ ากแควน้ ทวารวดี ใน
ระยะแรกก่อต้ังมคี วามสมั พนั ธ์ทางวัฒนธรรมกบั แว่นแควน้ ทางภาคกลางแลว้ เปลีย่ นมาใกลช้ ดิ กบั วฒั นธรรม
กมั พูชาหรอื ขอมทแ่ี ผ่อานาจเขา้ ไปภาคอีสานเมื่อราวกลางพทุ ธศตวรรษที่ 16 และในสมยั อยุธยามขี อ้ มูลกฎ
มณเฑียรบาลระบุว่า โคตรบรู เป็นประเทศราชของอยธุ ยากลมุ่ เมืองอน่ื ๆ เมื่ออาณาจกั รกัมพูชาแผ่อานาจเขา้
มาในภาคอีสานในกลางพุทธศตวรรษท่ี 16 ทาให้เกิดความเปล่ยี นแปลงดา้ นวถิ ีชวี ติ ความเปน็ อยใู่ นเมืองแถบ
น้ี รวมทัง้ ไดค้ วามเจรญิ ทางเทคโนโลยีเขา้ มาดว้ ย เช่น การวางผังเมือง
การชลประทาน อทิ ธิพลวัฒนธรรม กัมพชู าเสอ่ื มไปในพทุ ธศตวรรษ 19 ในสมัยอยธุ ยา ชุมชนเมอื ง
ในภาคอีสานหลายเมอื งถูกทิ้งรา้ ง มีประชากรไมม่ าก ในสมัยรตั นโกสินทร์ตอนต้น (พุทธศตวรรษท่ี 24)
กลุม่ เมอื งเหล่านีไ้ ดฟ้ ้ืนตวั ขน้ึ ใหม่จากการอพยพเขา้ มาของกลมุ่ ชนลาว – เขมร ในสมัยรัชกาลที่ 4
มีการจดั ต้ังเมืองตา่ ง ๆ และรวมเขา้ เป็นส่วนหนึ่งของรฐั ประชาชาตไิ ทยหลงั การปฏิรปู การปกครอง
ในสมยั รัชกาลที่ 5
4. แควน้ ในภาคตะวนั ออก
แคว้นในภาคตะวันออกมขี อบเขตพืน้ ทท่ี ีใ่ นปัจจุบนั คอื จงั หวดั ฉะเชงิ เทรา ชลบรุ ี ระยอง ตราด
รวมไปถงึ ปราจีนบรุ ี นครนายก เป็นดินแดนเกา่ แกท่ ม่ี ีพฒั นาการมาตงั้ แตส่ มัยก่อนประวัติศาสตรจ์ นถงึ ปัจจุบัน
ระหว่างพทุ ธศตวรรษที่ 16 – 19 บา้ นเมืองในภาคนี้มคี วามสมั พนั ธ์ใกล้ชดิ กับอาณาจักรกัมพชู า จนกระทงั่
อยธุ ยามชี ัยชนะเหนอื เขมรอย่างเด็ดขาดใน พ.ศ. 1974 จงึ ผนวกดนิ แดนแถบน้ีเขา้ เป็นส่วนหน่งึ ของอาณาจกั ร
อยุธยาได้สาเร็จ และมีความสาคญั ในฐานะเมอื งทา่ ค้าขายในเส้นทางการขายอยธุ ยากับจีนและญวน ทง้ั
บา้ นเมืองอนื่ ในภาคตะวนั ออกดว้ ย บทบาททางเศรษฐกิจไดส้ บื เนอ่ื งตอ่ มาจนถึงสมยั ธนบุรี
และรัตนโกสินทร์ ตัง้ แตส่ มยั รัตนโกสินทรต์ อนตน้ เป็นต้นมา บา้ นเมอื งในแถบน้ีได้เพ่มิ ความสาคญั ทางด้าน
ยุทธศาสตร์ในแนวชายแดน ไทย – เขมร และความสมั พันธ์ ไทย – ญวนดว้ ย ปัจจบุ นั รัฐบาลได้มนี โยบาย
พัฒนาเมอื งฉะเชงิ เทราเป็นประตูสู่ภาคอสี าน เพอ่ื เชือ่ มโยงภูมิภาคอสี านและหวั เมอื งชายทะเลตะวนั ออกเพอ่ื
การพัฒนาให้เจริญไดด้ ียงิ่ ๆ ขนึ้ ไป
5. แควน้ ในภาคใต้
ในช่วงพทุ ธศตวรรษท่ี 13 – 20 ภาคใต้ของไทยมแี คว้นสาคญั คือ “แควน้ ตามพรลิงค์”
ซ่ึงตั้งขน้ึ ราวพทุ ธศตวรรษท่ี13 และได้พัฒนาต่อมาเป็น “แควน้ นครศรีธรรมราช” เมือ่ ราวพทุ ธศตวรรษ
ที่ 18 แลว้ ผนวกเข้าส่วนหน่ึงของอาณาจักรอยธุ ยาในพุทธศตวรรษที่ 20 แควน้ ตามพรลงิ ค์ ก่อเกิดข้ึน
จากพนื้ ฐานการเปน็ ทางผา่ น u3651 การเดนิ เรอื เพ่อื การคา้ หรอื การอื่นจากอนิ เดียไปจนี หรอื จากจนี ไป
อินเดีย จึงไดร้ บั อทิ ธพิ ลอารยธรรมอินเดียและจนี โบราณ ในชว่ งพทุ ธศตวรรษท่ี 18 – 19 แควน้
นครศรีธรรมราชเจริญรงุ่ เรืองเปน็ ศูนยก์ ลางการปกครอง การค้า และศลิ ปวัฒนธรรมของภาคใต้ รวมท้งั
มีอานาจทางการเมืองครอบคลมุ เมืองต่าง ๆ 12 เมือง เรียกวา่ เมือง 12 นักษตั ร ในด้านศาสนาและ
ความเชอ่ื มที ง้ั ศาสนาพราหมณ์ – ฮนิ ดู พุทธมหายาน และพุทธหนิ ยาน ในด้านความสมั พันธไ์ ด้สมาคมติดต่อกบั
บา้ นเมอื งในภาคกลางและภาคเหนือของไทย เช่น ละโว้ สพุ รรณภมู ิ สโุ ขทยั หริภุญชยั รวมทงั้ กับลงั กาด้วย จงึ
ไดร้ บั ศาสนาพทุ ธลทั ธิลังกาวงศเ์ ป็นแห่งแรกในดินแดนประเทศไทยแล้วแพรไ่ ปยงั สุโขทยั ลา้ นนา และหัวเมอื ง
อืน่ ๆ ในพืน้ ท่ีภาคใต้ของไทยยงั พบหลักฐานทางโบราณคดี สมยั ศรวี ิชยั เปน็ จานวนมากอาณาจักรศรวี ชิ ัยดารง
อยใู่ นชว่ งพทุ ธ ศตวรรษที่ 13 – 18 ในเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต้ ภาคพนื้ ทะเลแถบชวา เกาะสมุ าตรา คาบสมทุ ร
มลายู ในชว่ งเจริญร่งุ เรืองระหวา่ งพทุ ธศตวรรษท่ี 13 – 16 นั้นได้แผข่ ยายอาณาเขตมาถงึ บางสว่ นทางภาคใต้
ของไทยดว้ ย เมอื งไชยา (อาเภอไชยา จ.สรุ าษฎรธ์ านี) เป็นเมืองสาคญั อาณาจักรศรวี ิชัยเส่อื มสลายไปในพทุ ธ
ศตวรรษท่ี 18
เตาเผาโบราณ
แหลง่ เตาเผาโบราณพบวา่ มีการมกี ารกระจายแทบทวั่ ทกุ ตาบลในอาเภอบ้านกรวดในแตแ่ ห่งลว้ นเป็น
เตาเผาขนาดใหญ่ มีเตาเผาแตล่ ะกลุม่ ประมาณกลุ่มละ 2-8 เตา การผลติ เครือ่ งปัน้ ดินเผาจะผลิตอยู่ 3
ประเภท คือ ประเภทเครอ่ื งใชใ้ นครัวเรอื นประเภทเครื่องใชใ้ นพธิ ีกรรมทางศาสนาและประเภทเครอื่ งประกอบ
อาหาร ศาสนสถาน แบ่งประเภทกลุ่มเตาเผาของอาเภอบา้ นกรวด ไดด้ งั นี้
1) กลุ่มเตาเผาบ้านถนนน้อย
2) กลมุ่ เตาเผาบา้ นขีเ้ หล็ก
3) กลุ่มเตาเผานายเจียน
4) กลมุ่ เตาเผาบ้านสายโท 2
5) กลุ่มเตาเผาโคกยาง
6) กลุ่มเตาเผาบา้ นโนนเจรญิ
7) กลุ่มเตาเผาบ้านโคกใหญ่
8) กลมุ่ เตาเผาละหอกตะแบง
9) กลมุ่ เตาเผาสายตะกู
10) กลุ่มเตาเผาหนองไม้งาม
การแบง่ ยคุ เครอื่ งเคลอื บดนิ เผาขอมโบราณ มีผูเ้ ชย่ี วชาญหลายทา่ นไดแ้ บ่งไวแ้ ลว้ เชน่ ยอรจ์ โกร์
ลเิ ยร์ วลิ เลี่ยม วิลเล็ทซ์ เป็นต้น ไดก้ าหนดอายตุ ามรปู แบบและสีของนา้ เคลือบ โดยแบ่งตามผลตา่ ง ๆ ตาม
ศลิ ปะขอมโบราณ นักวชิ าการของไทยตอ้ งนามาพจิ ารณาใหม่เพือ่ ให้เข้ากบั หลกั ฐานท่ีขดุ ค้นพบใหม่ แบง่ เปน็
6 แบบ ดงั นี้
1) แบบกเุ ลน อายรุ าว พ.ศ. 1422 เปน็ เครือ่ งถ้วยสีเขยี วอ่อน
2) แบบไม่เคลือบ เรียกว่า ลเี ดอ แวง มอี ายรุ ะหวา่ ง พ.ศ. 1443-1593
3) แบบบาปวนมอี ายุระหว่าง พ.ศ. 1593-1661 เป็นเคร่อื งเคลือบ ออกสเี คลอื บเป็น 2 สี
คอื สีนา้ ตาลและสเี ขียวกบั สีเขียวมะกอก
4) แบบพระเจา้ ชยั วรมันที่ 6 มอี ายุระหวา่ ง พ.ศ. 1611-1653
5) แบบนครวัด มีอายรุ ะหวา่ ง พ.ศ. 1653-1720 เปน็ เครื่องเคลอื บสีดาและนา้ ตาลอมเหลือง
มีลายขดุ และลายแม่พมิ พ์ มบี างส่วนไมเ่ คลอื บแต่ชบุ ดว้ ยสลบิ สีน้าตาล เครอื่ งเคลือบบางใบมี 2 สีและยงั มี
เคลอื บสีเขยี วและสีเขยี วมะกอก
6) แบบบายน มอี ายุระหวา่ ง พ.ศ. 1720-1893 เปน็ เครอื่ งเคลอื บท่มี ีเน้อื ดนิ ปัน้ หยกและหนัก
มขี นาดใหส้ ่วนมากเคลือบสีดาน้าเคลอื บหนา
การเรียนรู้โดยใช้วิธกี ารทางประวตั ิศาสตร์ (Historical Method)
ในการสบื ค้นเร่อื งราวทางประวัติศาสตรม์ ีหลายวธิ ี เช่น จากหลกั ฐานทางวตั ถทุ ่ขี ดุ คน้ พบ หลักฐานท่ี
เป็นการบนั ทกึ เป็นลายลักษณ์อักษร หลักฐานจากคาบอกเลา่ ซง่ึ การรวบรวมเรอ่ื งราวตา่ ง ๆ
ทางประวตั ิศาสตรเ์ หล่านี้ เรยี กวา่ วธิ กี ารทางประวัตศิ าสตร์ ซ่ึงเป็นการรวบรวมพจิ ารณาไตรต่ รอง วิเคราะห์
และตีความจากหลักฐานแล้วนามาเปรยี บเทยี บอย่างเปน็ ระบบ เพ่ืออธิบายเหตกุ ารณส์ าคญั ที่เกิดข้นึ ในอดีตวา่
เหตใุ ดจึงเกดิ ข้นึ หรือเหตุการณใ์ นอดตี น้นั ได้เกดิ และคลี่คลายอยา่ งไร ซึ่งเป็นความมุ่งหมายทส่ี าคญั ของ
การศกึ ษาประวตั ิศาสตร์
ความสาคัญของวธิ ีการทางประวัตศิ าสตร์ สาหรบั การศกึ ษาประวตั ศิ าสตร์นั้น มปี ัญหาท่สี าคัญอยู่
ประการหน่ึง คือ อดตี ทมี่ ีการฟน้ื หรอื จาลองขน้ึ มาใหม่นัน้ มีความถูกตอ้ งสมบรู ณแ์ ละเชอื่ ถอื ไดเ้ พียงใดรวมท้ัง
หลกั ฐานทีเ่ ปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษรและไมเ่ ป็นลายลักษณ์อักษรที่นามาใช้เปน็ ข้อมูลน้นั มีความสมบูรณ์มากนอ้ ย
เพยี งใด เพราะเหตุการณท์ างประวตั ศิ าสตรม์ ีอยมู่ ากมายเกินกวา่ ทีจ่ ะศกึ ษาหรอื จดจาไดห้ มด แตห่ ลกั ฐานที่ใช้
เปน็ ข้อมูลอาจมีเพยี งบางส่วน ดังนนั้ วธิ กี ารทางประวัติศาสตรจ์ งึ มคี วามสาคัญเพ่อื ใช้เปน็ แนวทางสาหรับผู้
ศึกษาประวัตศิ าสตร์ หรอื ผูฝ้ ึกฝนทางประวตั ิศาสตร์จะได้นาไปใช้ดว้ ยความรอบคอบ ระมดั ระวัง ไมล่ าเอียง
และเพ่อื ใหเ้ กดิ ความน่าเช่อื ถือ
ขั้นตอนวิธีการทางประวัติศาสตร์ มี 5 ข้นั ตนดังต่อไปนี้
ข้นั ตอนที่ 1 การกาหนดประเดน็ ทีจ่ ะศกึ ษา เป็นการกาหนดเปา้ หมาย เปน็ ข้ันตอนแรก นัก
ประวตั ิศาสตรต์ ้องมจี ดุ ประสงคช์ ัดเจนวา่ จะศกึ ษาอะไร อดีตสว่ นไหน สมยั ใด และเพราะเหตุใด
เป็นการตัง้ คาถามทตี่ ้องการศกึ ษา นกั ประวัตศิ าสตร์ตอ้ งอาศยั การอา่ น การสังเกต และควรตอ้ งมคี วามรกู้ วา้ ง
ๆ ทางประวตั ศิ าสตรใ์ นเร่ืองนนั้ ๆมากอ่ นบ้าง ซ่งึ คาถามหลักที่นกั ประวตั ศิ าสตร์ควรคานึงอยตู่ ลอดเวลาก็คอื
ทาไมและเกิดขึ้นอยา่ งไร
ขน้ั ตอนที่ 2 การรวบรวมข้อมูล หลักฐานทางประวัตศิ าสตรท์ ่ใี ห้ขอ้ มูล มที งั้ หลักฐาน
ท่ีเป็นลายลกั ษณอ์ ักษร และหลักฐานท่ีไม่เปน็ ลายลักษณอ์ ักษร มีท้ังท่เี ปน็ หลกั ฐานช้ันต้น (ปฐมภมู ิ)
และหลกั ฐานชัน้ รอง (ทตุ ยิ ภมู )ิ การรวบรวมข้อมลู นน้ั หลกั ฐานชน้ั ตน้ มีความสาคญั และความนา่ เช่อื ถอื
มากกวา่ หลกั ฐานชน้ั รอง แตห่ ลักฐานช้นั รองอธบิ ายเร่อื งราวใหเ้ ข้าใจได้งา่ ยกวา่ หลกั ฐานช้ันรอง
ในการรวบรวมข้อมูลประเภทต่าง ๆ ดังกลา่ วขา้ งตน้ ควรเร่มิ ต้นจากหลกั ฐานชนั้ รองแลว้ จงึ ศกึ ษาหลักฐาน
ช้ันตน้ ถา้ เปน็ หลักฐานประเภทไมเ่ ป็นลายลักษณ์อักษรก็ควรเรมิ่ ตน้ จากผลการศกึ ษาของนักวชิ าการท่ี
เชย่ี วชาญในแต่ละดา้ นกอ่ นไปศกึ ษาจากของจริงหรอื สถาน ท่จี รงิ การศึกษาประวตั ิศาสตรท์ ่ีดีควรใชข้ ้อมลู
หลายประเภท ข้ึนอยกู่ บั วา่ ผู้ศึกษาต้องการศกึ ษาเรอื่ งอะไร ดังนน้ั การรวบรวมขอ้ มลู ท่ีดีจะต้องจดบนั ทึก
รายละเอียดตา่ ง ๆ ท้ังข้อมูลและแหล่งข้อมูลใหส้ มบรู ณ์และถูกตอ้ ง เพ่ือการอ้างอิงทีน่ า่ เชอ่ื ถอื
ขั้นตอนที่ 3 การประเมินคณุ คา่ ของหลกั ฐาน วพิ ากษ์วิธีทางประวตั ิศาสตร์ คือ การตรวจสอบ
หลักฐานและขอ้ มูลในหลกั ฐานเหลา่ นนั้ วา่ มีความนา่ เช่ือถือหรือไม่ ประกอบดว้ ยการวิพากษ์หลักฐาน
และวพิ ากษ์ข้อมลู โดยขนั้ ตอนท้ังสองจะกระทาควบค่กู นั ไป เนอื่ งจากการตรวจสอบหลักฐานตอ้ งพจิ ารณาจาก
เน้อื หา หรอื ขอ้ มลู ภายในหลกั ฐานน้ัน และในการวพิ ากษ์ขอ้ มลู ก็ตอ้ งอาศยั รปู ลักษณะของหลักฐานภายนอก
ประกอบด้วยการวพิ ากษห์ ลกั ฐานหรือวิพากษภ์ ายนอกการวพิ ากษ์หลักฐาน (external criticism) คอื การ
พิจารณาตรวจสอบหลักฐานทไี่ ดค้ ดั เลือกไวแ้ ต่ละชน้ิ ว่ามคี วามนา่ เชือ่ ถอื เพยี งใด แต่เปน็ เพียงการประเมินตัว
หลักฐาน มิได้ม่งุ ทีข่ ้อมลู ในหลกั ฐาน ดังน้ันขัน้ ตอนนเี้ ป็นการสกดั หลกั ฐานท่ไี ม่น่าเช่ือถือออกไป โดยเนน้ ถงึ
ความถูกต้อง ซ่งึ นบั ว่ามคี วามสาคัญต่อการประเมนิ หลกั ฐานที่เปน็ ลายลักษณ์อกั ษร เพราะขอ้ มูลในเอกสารมี
ท้งั ทีค่ ลาดเคลื่อน และมอี คติของผู้บนั ทึกแฝงอยู่ หากนกั ประวตั ศิ าสตรล์ ะเลยการวพิ ากษข์ ้อมลู ผลที่ออกมา
อาจจะผิดพลาดจากความเป็นจริง
ข้นั ตอนที่ 4 การตคี วามหลักฐาน การตีความหลกั ฐาน หมายถงึ การพิจารณาขอ้ มูลในหลกั ฐาน
วา่ ผู้สรา้ งหลกั ฐานมเี จตนาทีแ่ ท้จรงิ อยา่ งไร โดยดจู ากลลี าการเขยี นของผู้บันทึกและรูปรา่ งลักษณะโดยทั่วไป
ของส่งิ ประดิษฐ์ตา่ งๆ เพอื่ ให้ไดค้ วามหมายท่ีแทจ้ รงิ ซงึ่ อาจแอบแฟงโดยเจตนาหรือไมก่ ต็ ามในการตคี วาม
หลักฐาน นกั ประวตั ิศาสตร์จงึ ต้องพยายามจับความหมายจากสานวนโวหาร ทศั นคติ ความเชอ่ื ฯลฯ
ของผเู้ ขียนและสังคมในยคุ สมัยนัน้ ประกอบดว้ ย เพอ่ื ทจ่ี ะไดท้ ราบวา่ ถ้อยคาเหล่านนั้
ข้ันตอนท่ี 5 การสงั เคราะห์และการวิเคราะห์ขอ้ มูล จัดเปน็ ขนั้ ตอนสุดท้ายของวิธกี ารทาง
ประวัตศิ าสตร์ ซ่งึ ผูศ้ ึกษาค้นคว้าจะตอ้ งเรียบเรยี งเร่อื ง หรือนาเสนอขอ้ มลู ในลักษณะทเ่ี ป็นการตอบหรืออธิบาย
ความอยากรู้ ข้อสงสัยตลอดจนความรใู้ หม่ ความคิดใหม่ทีไ่ ด้จากการศกึ ษาคน้ คว้าน้ันในขน้ั ตอนนี้
ผ้ศู กึ ษาจะต้องนาขอ้ มลู ทผ่ี ่านการตคี วามมาวเิ คราะห์ หรือแยกแยะเพ่ือจดั แยกประเภทของเรื่อง โดย
เรอ่ื งเดยี วกันควรจดั ไวด้ ว้ ยกนั รวมทั้งเรอื่ งทเ่ี กี่ยวขอ้ งหรือสมั พันธก์ นั เรอ่ื งท่ีเป็นเหตเุ ป็นผลซึง่ กันและกนั
จากนัน้ จงึ นาเรือ่ งท้ังหมดมาสงั เคราะห์หรอื รวมเข้าดว้ ยกัน
การผลติ เคร่ืองปน้ั ดินเผา
1. การเลือกเน้ือดนิ
การปน้ั ใหเ้ ป็นรูปต่าง ๆ ไดน้ ั้นต้องแล้วแต่ลักษณะหรือรูปของวตั ถทุ จ่ี ะปน้ั ประกอบกบั ความ
เหนีย่ วของเน้อื ดินป้นั ความเหนยี วของเน้อื ดินขึ้นอยกู่ ับการผสมเน้ือดนิ ปั้นกับน้า ซ่งึ มสี ่วนตา่ งกนั ดินจาแนก
ออกเป็น 4 ชนดิ
1.1 ดินน้า (Slip) สาหรบั ใชห้ ล่อกับปูนพลาสเตอร์ เนอ้ื ดนิ ปนั้ ชนิดนีผ้ สมกับนา้ ประมาณ
รอ้ ยละ 24 - 30 เมื่อผสมแล้ว จะมีเน้ือเหลวเป็นนา้ ขน้ ๆ เวลาป้นั ตอ้ งใชป้ นู พลาสเตอรเ์ ป็นแบบเหมาะสาหรับ
ทาเคร่ืองปั้นชนดิ ทม่ี เี น้ือดินปน้ั บาง ทาการปั้นด้วยวิธอี ่นื ๆ ไม่ได้ เช่น แจกัน ถว้ ยกาแฟ และเครื่องป้ันชนิด
ใหญ่ท่ีมเี น้ือดนิ ปน้ั หนามาก ๆ เช่น เคร่ืองสุขภณั ฑ์ เปน็ ต้น
1.2 ดนิ เหลว ( Soft -mud ) เป็นเน้ือดินปนั้ ทีผ่ สมกับน้าประมาณ ร้อยละ 18 -24 เนอ้ื ดินป้นั
ชนิดนีเ้ ม่อื ผสมกบั น้าแล้ว จะมเี นื้ออ่อนเหลวไม่เหนียวมากนกั เวลาปน้ั จะตอ้ งมีแบบทาดว้ ยไมโ้ ลหะ หรอื ปูนพ
ลาสเตอร์ เพอื่ ให้เนื้อดินป้ันอยใู่ นทีอ่ ับตัวจะไดเ้ กาะตดิ กนั เหมาะสาหรับเครอ่ื งป้นั ดินเผาจานวนอฐิ ธรรมดา (
Common brick ) อฐิ ประดบั ( Face brick ) กระเบือ้ งมุงหลังคา ( Roofing tile ) Jiggered pottery ชาม
จาน ( Dinner - waer )
1.3 ดนิ เหนียว ( Stiff - mud ) เป็นเนื้อดินป้นั ที่ผสมกับน้า ประมาณรอ้ ยละ 14 -20 เนือ้ ดินป้นั
ชนิดนเ้ี ม่อื ผสมกับน้าแล้วจะมเี น้อื เหนยี วมาก ใชป้ ัน้ ด้วยมือหรอื ด้วยแบบก็ได้ เหมาะสาหรับทาเคร่อื งป้นั จาพวก
อฐิ ธรรมดา ( Common brick ) อิฐประดบั ( Face brick ) กระเบ้อื งปูพน้ื ( Floor tile ) อิฐกลวง ( Hollow
brick ) ท่อระบายน้า ( Sewer pipe ) อฐิ ทนไฟ ( Refractory brick ) หม้อไห ( Pottery ) กระเบอ้ื ง
ฉนวนไฟฟา้ ( Electric porcelain )
1.4 ดนิ ชื้น ( Dry - press ) เปน็ เนื้อดินปน้ั ท่ีผสมกบั น้า ประมาณรอ้ ยละ 6 -14 เนอื้ ดินปนั้ ชนดิ
นเ้ี ม่ือผสมกบั น้าแลว้ จะมีเนื้อร่วนชืน้ เลก็ น้อย เวลาปน้ั ตอ้ งมแี บบทาดว้ ยโลหะและอดั ใหเ้ ป็นรูปด้วยเคร่อื งจกั ร
ใชป้ ้ันด้วยมือหรอื ดว้ ยแบบกไ็ ด้ เหมาะสาหรบั ทาเครื่องป้นั จาพวก กระเบื้องปูพน้ื (Floor tile ) กระเบอื้ งปฝู า
(Wall tile ) อฐิ ประดับ (Face brick ) อฐิ ทนไฟ (Refractory brick ) เป็นตน้
2. การขึ้นรปู (Forming)
2.1 ปน้ั วิธีอสิ ระ (Free hand) หรอื การปั้นดว้ ยมอื (Building by hand) เปน็ การป้นั ใหม้ รี ปู
เหมอื นของจรงิ หรือเป็นการปนั้ ภาชนะเครอ่ื งใชต้ า่ ง ๆ ดว้ ยมอื เป็นการป้ันทใี่ ชใ้ นการทาแม่แบบเพ่ือนาไปทา
แบบปูนพลาสเตอรม์ เี ครอ่ื งใช้ คือ ไม้สาหรบั ตี
2.2 ปน้ั บนแป้นหมนุ (Throwing on the Potter's Wheel) การปน้ั บนแป้นหมุนจะปน้ั ได้เฉพาะ
ภาชนะทีม่ รี ปู กลมหรอื ทรงกลม แบ่งออกเป็น 2 อย่าง
2.1 ปน้ั ครั้งเดยี วเสรจ็ เป็นการปัน้ ของขนาดเลก็ เชน่ แจกนั อา่ ง กระถาง หรือโอ่งขนาดเล็ก
2.3 ปนั้ สองตอนหรือสามตอน เปน็ การปนั้ ของขนาดใหญ่ใชว้ ธิ ีปั้นตอนล่างกอ่ น ผง่ึ ใหห้ มาด ขด
ดนิ ต่อขึน้ ไปแล้วนาไปรดี บนแป้นหมุนนาไปผง่ึ ให้หมาดแลว้ ตอ่ ขึ้นไปอีกตอนหนง่ึ ถา้ เปน็ สามตอนแลว้ จึงรีดบน
แป้นหมุน ทาเปน็ ปาก เช่น การปั้นโอง่ เคลอื บราชบุรี การป้ันแบบน้ตี ้องมีการวดั สว่ นสูง
และความกวา้ งของปากและกน้ เพื่อใหม้ ีขนาดเทา่ กัน แตถ่ ึงกระน้ันก็ดี ความหนากย็ งั แตกต่างกันอยู่
3. การตากแหง้ (Drying)
การตากแห้งคอื การไลน่ า้ ออกจากของท่ีข้นึ รูปเสรจ็ แลว้ การตากแห้งควรให้นา้ ระเหยออกไป
อย่างช้า ๆ เพอ่ื ปอ้ งกันการแตกรา้ วปริมาณของนา้ ที่ใชใ้ นการขน้ึ รูปตอ้ งเหมาะสม
การตากแหง้ ของท่มี ขี นาดแตกตา่ งกันทาได้ดงั น้ี
3.1 เครอื่ งปัน้ ดินเผาที่มขี นาดใหญ่ต้องปั้นในที่มิดชิด กนั ลมโกรกโดยมากโรงปนั้ ทาหลังคา
เกือบถงึ พื้นและมีฝาปดิ มิดชดิ ของทป่ี น้ั เสรจ็ แลว้ จะตอ้ งคลมุ เพอื่ มิใหถ้ กู ลมมากเกินไปในระยะหนง่ึ แล้ว
จงึ เอาสิง่ ทค่ี ลมุ ออกผ่ึงไวใ้ นรม่ 3 - 7 วนั จงึ เอาออกตากแดด หรอื นาไปวางขา้ งเตาเผา
3.2 เครอ่ื งปนั้ ดนิ เผาทม่ี ขี นาดเล็ก ผง่ึ ในร่มชว่ั ระยะหน่งึ แล้วเอาออกตากแดด
3.3 การตากในแสงแดดควรจะหมุนใหถ้ กู แดดทวั่ กนั ทุกดา้ น เพ่อื กนั การแตกรา้ ว บิดเบ้ยี วของท่ี
แตกแหง้ สนิทแล้วจะทาให้ปรมิ าณการแตกเสียหายจากการเผาดิบลดนอ้ ยลง
3.4 เคร่ืองปน้ั ดนิ เผาท่ีตากแห้งในเตาอบไฟฟ้า (Electric Oven) ความร้อนครงั้ แรกไม่เกนิ 40
องศา แลว้ จึงคอ่ ย ๆ เพ่ิมอณุ หภูมิอย่างชา้ ๆ จนถึง 110 องศา เพอื่ ให้แห้งสนทิ
4. การออกแบบ
4.1 ความร้ใู นวตั ถปุ ระสงคข์ องงานทจี่ ะออกแบบ ตัวอยา่ ง เชน่
1) การออกแบบเครือ่ งป้ันดนิ เผา ซึ่งเป็นภาชนะ หม้อ ไห ถ้วยชาม
2) การออกแบบของใชอ้ ื่น ๆ เชน่ แผ่นกระเบื้อง กระเบอื้ งปูพน้ื กระเบอ้ื งประดับผนัง
เครื่องประดบั อ่นื ๆ สขุ ภณั ฑ์
3) การออกแบบงานปฏิมากรรม เคร่อื งเคลือบการออกแบบจะตอ้ งคานึงถึงประโยชน์ใช้
สอยตามแตล่ ะชนิดของของท่จี ะออกแบบเพื่อให้ได้ลักษณะ ขนาด และมคี วามงามเหมาะสมจงึ จะเป็นลักษณะ
ของการออกแบบท่ีดี
4.2. คณุ คา่ ทางความงาม สุนทรียภาพ (Aesthetic) วจิ ิตรศลิ ป์ (Fine art) การออกแบบ
สร้างสรรค์งานศิลปะไมว่ า่ แขนงใด จะตอ้ งมีคณุ คา่ ทางดา้ นความงาม ฉะนัน้ เพือ่ ใหไ้ ดค้ ณุ ค่าดา้ นความงามอยา่ ง
สมบูรณ์ นักออกแบบท่ีดีควรมีความรใู้ นด้านความงาม
5. การเคลือบ
เคลือบ คือชัน้ ของแกว้ บางๆ ทีห่ ลอมละลายตดิ อย่กู บั ผวิ ดนิ ซง่ึ ขน้ึ รูปเปน็ ภาชนะทรงตา่ งๆ
วัตถดุ บิ ที่เป็นน้ายาเคลอื บถูกบดจนละเอยี ดมากกวา่ ดินหลายเทา่ กอ่ นนามาเคลือบบนดินเผา เป็นชน้ั หนา 1-
1.5 มม. เม่อื เคลือบแลว้ ตอ้ งทิ้งใหผ้ ลิตภณั ฑแ์ ห้ง เช็ดกน้ ผลติ ภัณฑใ์ หส้ ะอาดก่อนเขา้ เตาเผา ผลติ ภัณฑ์
ทเ่ี คลือบแล้ว โดนเผาผา่ นความรอ้ นอณุ ภูมิสงู วตั ถดุ บิ ที่เปน็ แกว้ ในเคลือบเม่อื ถงึ จดุ หลอมละลาย ช้ันของ
เคลอื บจะกลายเปน็ แกว้ มันวาวตดิ อยกู่ ับผวิ ดินเคลือบชว่ ยให้การลา้ งภาชนะสะดวก เนอ่ื งจากเคลอื บมีสมบตั ิลืน่
มือ สามารถทาความสะอาดง่ายกวา่ ผวิ ดนิ ทม่ี ีลกั ษณะค่อนขา้ งหยาบเคลือบมีคณุ สมบัติเป็นแก้วไม่ดดู ซึมนา้
เพ่ิมความแขง็ แรงทนทาน ทาให้ภาชนะดินเผาไมบ่ น่ิ ง่าย เมอื่ กระทบกันบ่อย ๆ ขณะล้างทาความสะอาด
และใสข่ องเหลวได้โดยไม่รั่วซมึ (ทมี่ า : http://www.nmt.or.th/TTravel/Lists/List32/AllItems.aspx
สบื คน้ เมอื่ วันท่ี 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2559)
บทท่ี 3
วธิ ีการดาเนนิ การ
การจดั ทาโครงงานประวตั ศิ าสตร์ เรอื่ ง สบื สานงานปน้ั เครือ่ งเคลอื บพนั ปี คณะผจู้ ัดทาโครงงานมี
ข้นั ตอนการดาเนินงาน ดังตอ่ ไปนี้
1. การศกึ ษาประวตั ิความเปน็ มาของเตาเผาโบราณเตาสวาย
2. การปัน้ เครื่องเคลือบดินเผาตามแบบลักษณะเฉพาะของเคร่อื งเคลือบดินเผาโบราณ
3. การปัน้ เครอื่ งเคลอื บดนิ เผาตามแบบประยุกต์
ปฏทิ ินการปฏบิ ตั งิ าน
วนั /เดอื น/ปี รายการปฏิบตั ิ ผูร้ บั ผิดชอบ ระยะเวลา
26 พ.ค. 2559 ประชมุ สมาชิก นกั เรยี นทง้ั 3 คน/ครู 1 วนั
2 มิ.ย 2559
เสนอหวั ข้อโครงงาน นักเรยี นทงั้ 3 คน/ครู 1 วนั
3-9 ม.ิ ย 2559 ประชมุ วางแผน/จัดทาปฏทิ ิน
16 มิ.ย. 2559 คน้ คว้าเอกสารในเวบ็ ไซด/์ ปรึกษาครู นกั เรียนทงั้ 3 คน 6 วนั
23 ม.ิ ย. 2559 ที่ปรกึ ษา/ทาแบบสัมภาษณ์/รวบรวมขอ้ มลู
30 มิ.ย. 2559 สังเคราะห์ข้อมูล/สรปุ ประวัตคิ วามเปน็ มา นกั เรียนทง้ั 3 คน 1 วนั
25 ม.ิ ย. 2559 ของเตาเผาโบราณเตาสวายโดยใชว้ ธิ ีการ
(วันเสาร)์ ทางประวตั ศิ าสตร์
7 ก.ค. 2559
ฝึกปัน้ เคร่อื งเคลือบดินเผาตามแบบ นกั เรียนทั้ง 3 คน/วทิ ยากร 1 วัน
ลักษณะเฉพาะของเคร่อื งเคลือบดนิ เผาในช่วง
พุทธศตวรรษที่ 15-16 ทตี่ กทอดมาจากภมู ิ
ปัญญาในทอ้ งถิน่
ฝึกปนั้ เครอ่ื งเคลือบดนิ เผาแบบประยกุ ต์ นกั เรยี นทง้ั 3 คน/วิทยากร 1 วัน
สรุปผล นกั เรียนทัง้ 3 คน 1 วัน
สมคั รเข้ารว่ มกจิ กรรมแข่งขนั ทกั ษะโครงงาน นกั เรียนทงั้ 3 คน/ครู 1 วนั
พรอ้ มโครงงานฉบับสมบูรณ์ จานวน 1 เลม่
การศกึ ษาประวัตคิ วามเปน็ มาของเตาเผาโบราณเตาสวาย
การศกึ ษาประวตั ิความเปน็ มาของเตาเผาโบราณเตาสวาย คณะผจู้ ดั ทาโครงงานกาหนดบุคคล
สาคัญในการศกึ ษาข้อมูลดังน้ี
ลาดับที่ บคุ คลสาคญั จานวน (คน)
1 เจา้ หน้าที่ศนู ยว์ ฒั นธรรมอาเภอบ้านกรวด 1
2 ครทู ่ีมีความรู้เกีย่ วกับการปนั้ เครอื่ งเคลือบดนิ เผา 2
3 วทิ ยากรทอ้ งถ่ินเกีย่ วกับการปัน้ เครอื่ งเคลอื บดินเผา 1
4 ผู้นาหมู่บ้านบ้านโคกใหญ่ ตาบลโนนเจรญิ อาเภอบา้ นกรวด จงั หวดั บุรรี มั ย์ 3
5 ปราชญใ์ นทอ้ งถิน่ ในตาบลโนนเจริญ อาเภอบ้านกรวด จงั หวดั บรุ รี มั ย์ 3
การปน้ั เครื่องเคลอื บดนิ เผาตามแบบลักษณะเฉพาะของเครอ่ื งเคลือบดนิ เผาโบราณ
วสั ดอุ ปุ กรณแ์ ละข้นั ตอนการดาเนินงาน
วสั ดอุ ปุ กรณ์
1. ดินเหนียวจากทอ้ งถิ่นในอาเภอบ้านกรวด
2. แปน้ ขึ้นรปู
3. นา้ ยาเคลือบ
4. สารผสมดินไมใ่ หแ้ ตกร้าว
4.1 เกลอื ป่น
4.2 ขีเ้ ถา้
4.3 อนื่ ๆ
5. เครอ่ื งนวดดนิ
6. อุปกรณต์ กแต่งเครอื่ งเคลอื บดินเผา
6.1 มีดขนาดเล็ก
6.2 ไม้ไผ่เลาให้แหลมข้างใดข้างหนึง่
6.3 หวี
6.4 มีดขนาดพอมอื
7. เตาเผา มี 3 ชนิด
7.1 เตาไฟฟา้
7.2 เตากา๊ ชธรรมชาติ
7.2 เตาทใี่ ชฟ้ นื้
ขั้นตอนและวธิ ีการป้นั เครอ่ื งเคลือบดนิ เผาอาเภอบา้ นกรวด
1. ขึน้ รปู ดว้ ยแปน้ ขึ้นรูป ใชไ้ ม้ไผ่เหลาแหลมข้างใดข้างหนึง่ ทาจดุ ข้นึ รูป ดินทน่ี วดแล้วมาข้นึ
รูปตามตอ้ งการ
2. แตง่ เครื่องเคลอื บให้เหมือนเครอื่ งเคลือบดนิ เผาในช่วงพทุ ธศตวรรษท่ี 15-16 ทีข่ ุดคน้ พบ
ในเตาเผาโบราณเตาสวาย หมู่ท่ี 9 บ้านโคกใหญ่ ตาบลโนนเจรญิ อาเภอบา้ นกรวด จงั หวัดบุรรี ัมย์
3. ตากใหแ้ ห้งและเอานา้ ออกจากเครือ่ งเคลอื บดนิ เผา
4. การเผาเคร่ืองเคลือบดนิ เผา
4.1 การเผาในเตาไฟฟา้ ขอ้ เสียคอื กลางวันมไี ฟฟ้าไมเ่ พียงพอ ไฟฟา้ ตกมคี วามร้อน
4.2 การเผาโดยใช้กา๊ ซหุงตม้
ไม่เพียงพอ ทาให้เครื่องเคลือบท่ไี ด้ไมส่ วยงาม
ข้อเสียคือ ค่าใช้จ่ายสงู และต้องคอยดูตลอด
และตอ้ งทา 2 ครั้ง คือเผาดิบและเผาน้ายา
เคลอื บเงา
4.3 การเผาดว้ ยเตาฟ้นื ข้อเสียคอื ไมส่ วย ขายไม่ได้ ได้ความภูมิใจ
5. ตรวจชิ้นงาน
เครือ่ งเคลือบดินเผาในอาเภอบ้านกรวด จะเคลอื บ 2 แบบ แบบที่ 1 เครือ่ งปั้นดนิ เผาเคลอื บสเี ขียวใส
และสีเขียวเข้ม มที ง้ั ชามและไหขนาดใหญ่ เนอื้ ดินปัน้ ของชามจะมสี เี ขยี ว สว่ นเน้ือดินปน้ั ของไหจะเปน็ สีเทา
ชามจะเคลือบสีเขียวใส ทงั้ ภายในและภายนอก ส่วนไหจะมีปากผายกวา้ ง เคลือบสีเทาด้านนอกและบรเิ วณ
รอบปากไหดา้ นในแบบที่ 2 เครือ่ งปน้ั ดนิ เผาเคลือบสนี ้าตาลมที ัง้ กระปกุ ตะคนั และไหขนาดตา่ ง ๆ มที ั้งสี
เหลืองสเี ทาเข้ม และสดี า ซ่ึงมีสีของน้าเคลือบทง้ั สนี า้ ตาลเข้มจนดาเป็นมนั สนี า้ ตาลออกเหลือง สเี ขียว
สนี ้าตาลมรี อยน้าเคลือบสีเขยี วเป็นทาง สีนา้ ตาลเหลอื งอมทอง
บทท่ี 4
ผลการดาเนนิ งาน
ผลจากการศกึ ษาโครงงานประวตั ิ เรอื่ ง สืบสานงานป้นั เครอ่ื งเคลือบพนั ปี คณะผจู้ ัดทา โครงงาน
ขอนาเสนอผลการศึกษา ดงั น้ี
1. ประวตั ิความเปน็ มาของพิพิธภณั ฑเ์ ตาเผาเตาสวาย
2. วธิ กี ารปั้นเครอื่ งเคลือบดินเผา
ประวัติความเป็นมาของพิพธิ ภัณฑ์เตาเผาเตาสวาย
1. ประวตั คิ วามเปน็ มา
ราวปี พ.ศ. 2465 มชี าวตา่ งชาติเขา้ มาศึกษาเรื่องเครอ่ื งปั้นดินเผาในจงั หวัดบุรีรัมย์
ชอื่ นายดบั พรวิ เอ เกรแฮม ซงึ่ ไดเ้ ขียนบทความลงตีพมิ พใ์ นวารสาร “สยามสมาคม” หลงั จากน้นั
มีนกั วชิ าการหลายท่านทงั้ คนไทยและตา่ งชาติไดเ้ ขียนบทความเก่ยี วกับเตาเผาขอมโบราณบ้านกรวด
อกี หลายทา่ น
นักโบราณคดไี ดส้ ารวจพบเตาเผา และเคร่ืองป้นั ดนิ เผาโบราณจานวนมาก เตาโบราณเหล่านี้
มอี ายปุ ระมาณพทุ ธศตวรรษท่ี 14-19 กรมศิลปากรได้ทาการการสารวจและการขุดคน้ แหลง่ เตาเผาของอาเภอ
บา้ นกรวด จังหวดั บรุ ีรัมย์ มขี ึน้ ครงั้ แรกราวปี พ.ศ. 2519 โดยกรมศิลปากรเปน็ เจา้ ภาพ หลังจากนนั้ การขดุ คน้
ต้องหยดุ ชะงกั ไปเน่ืองจากเหตกุ ารณ์บา้ นเมืองบรเิ วณน้ีไมส่ งบเกิดการสรู้ บระหว่างไทยกับกัมพชู า กรม
ศลิ ปากรเขา้ มาขุดค้นแหลง่ โบราณอีกครง้ั ราวปี พ.ศ. 2527 โดยการขุดคน้ แหล่งโบราณคดีและศกึ ษาเตาเผา
โบราณไปพรอ้ ม ๆ กัน ซ่ึงคน้ พบแห่งแรกทโี่ คกล้ินฟา้ บ้านบาระแนะ อาเภอละหานทราย
ราวปี พ.ศ. 2530 ค้นพบเตาเผาโบราณในเขตอาเภอบ้านกรวด จงั หวดั บรุ รี ัมย์ จานวน 2 แห่ง
คอื เตาสวายและเตานายเจียน เตาเผาโบราณในอาเภอบ้านกรวดหรอื เตาขอมโบราณเทา่ ทป่ี รากฏให้เหน็
ตามหลกั ฐานการขดุ ค้นพบจะเห็นวา่ ทกุ เตามปี ากเตาหรอื ทใี่ ส่ไฟอยทู่ างทิศเหนือหรอื ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ
แสดงให้เห็นว่าการเผาตอ้ งใชล้ มหนาวพดั เข้าปากเตาเพื่อใหไ้ ฟมีอณุ หภมู สิ ูงกวา่ ปกตแิ ละมีการเผาในฤดูหนาว
เท่าน้นั
เครอื่ งเคลือบโบราณพันปที ีค่ ้นพบบรเิ วณเขตอาเภอบ้านกรวดนน้ั เปน็ ผลติ ภัณฑเ์ คร่ืองปนั ดิน
เผาในสมัยลพบรุ ี นกั โบราณคดีและนักประวัตศิ าสตรไ์ ดจ้ ัดแบ่งออกตามลกั ษณะและรูปแบบออกเปน็ 6 ช่วง
สมัย คอื
1) แบบกเุ ลน
2) แบบไม่เคลือบสี (ลเี ดอแวง)
3) แบบบาปวน
4) แบบพระเจา้ ชัยวรมันท่ี 6
5) แบบนครวัด
6) แบบบายน
สว่ นใหญเ่ ครอ่ื งเคลือบโบราณที่อาเภอบ้านกรวดจะเป็นภาชนะดินเผาที่มีเน้ือแกร่งมอี ายุ
ประมาณ 1,000 ปี -1,100 ปี ลกั ษณะทศี่ กึ ษาเกย่ี วกับข้นั ตอนการเคลอื บสนี ั้นสนั นษิ ฐานกันว่าใช้แปน้ หมนุ
ชว่ งระยะของการผลิตทมี่ ีความเจรญิ ร่งุ เรืองพุทธศตวรรษที่ 15-17 และมรี ูปแบบท่ีนา่ สนใจ เชน่ ประเภทโถ
มีทงั้ ทรงสงู ทรงเตี้ย ประเภทตลบั สว่ นใหญน่ น้ั เป็นทรงเตยี้ มฝี าปดิ บางชนิดก็ทาเป็นรูปผลไม้ ประเภท
คนโท ทาเปน็ รูปสัตว์ต่าง ๆ เชน่ รูปปลา รปู นก เปน็ ตน้
ในการผลติ เครือ่ งเคลือบโบราณที่ค้นพบที่อาเภอบา้ นกรวดน้ัน ส่วนใหญไ่ ดร้ ับอทิ ธพิ ลและ
แบบอย่างมาจากประเทศจนี มกี ารค้นพบผลิตภณั ฑ์เคร่ืองเคลือบดนิ เผาในสมัยราชวงศถ์ งั ของจนี ในบรเิ วณนี้
เปน็ จานวนมาก และพบใกลบ้ ริเวณเตาเผา ซึ่งกระจัดกระจายอยทู่ ั่วไป ภาชนะทขี่ ดุ พบบางชนดิ นั้น
มีตัวอักษรจีนปรากฏอยู่
วตั ถุประสงคใ์ นการผลิตผลิตภณั ฑ์เครือ่ งเคลอื บโบราณ
1) เพื่อเป็นภาชนะใช้สอยในบา้ นเรอื น
2) เพื่อเป็นวสั ดทุ ีใ่ ช้ประกอบการสรา้ งอาคารสถานที่
3) เพ่ือเป็นภาชนะท่ใี ชใ้ นการประกอบพธิ ีกรรม
4) เพอ่ื เปน็ ของสาหรับเด็กเลน่
5) เพอื่ ใช้เป็นสง่ิ ของเพือ่ แลกแทนเงนิ ตรา
นกั โบราณคดีสันนิฐานวา่ แหลง่ ข้อมลู ในทอ้ งถ่ินท่ีพบบริเวณเตาเผาโบราณของอาเภอ
บ้ากรวดนน้ั เป็นศนู ยก์ ลางในการผลิตผลติ เครอ่ื งเคลอื บดินเผาสมัยโบราณท่มี ีความเจรญิ รงุ่ เรอื งมากทส่ี ุดและ
ผลติ ภณั ฑ์เหล่าน้ีได้นาไปจาหน่ายในแหลมอนิ โดจนี ราชอาณาจกั รตา่ ง ๆ ทวั่ ทงั้ อาณาจักร
ในอาเภอบา้ นกรวดจะสามารถคน้ พบเคร่อื งเคลือบดินเผาแหลง่ เตาเผาโบราณกระจายอยทู่ ว่ั ไป
เกอื บทุตาบล ซึ่งแตล่ ะแห่งล้วนเป็นเตาขนาดใหญโ่ ดยแหล่งเตาเผาเขตอาเภอบา้ นกรวดมกี ลมุ่ เตาเผาหลาย
กลุม่ ด้วยกนั เชน่ กลุม่ เตา “บ้านถนนนอ้ ย” กลุ่มเตา “บา้ นโคกใหญ่” กลุ่มเตา “บา้ นหนองคูน้อย”
กลุ่มเตา “บา้ นโคกยาง” กลุม่ เตา “บา้ นตาปางนอ้ ย” กลมุ่ เตา “บา้ นละหอกตะแบง” กลุ่มเตา “บา้ นโตง”
กลุม่ เตา “บา้ นสายโท 4” โดยในการรวบรวมเครอ่ื งเคลือบดนิ เผานนั้ จะได้รับบริจาคจากชาวบา้ น นกั เรยี น
และผ้ปู กครองร่วมบรจิ าค หรือ ขอซอ้ื โดยตรงจากชาวบ้าน
2. ข้อมูลเกยี่ วกับประเภทของเครื่องเคลือบดนิ เผา
ผูเ้ ช่ยี วชาญได้แบ่งประเภทของเครอ่ื งเคลอื บดินเผาไว้หลายปะเภท โดยจะสามารถแยกตาม
ลักษณะของเครอื่ งเคลือบดนิ เผาได้ดงั น้ี
แบ่งตามรูปแบบของภาชนะ
1) รปู ทรงประเภทโถ แบ่งเปน็ โถทรงสงู และโถทรงเตี้ย
2) รปู ทรงประเภทตลับ มีฝาปิด เคลอื บทรงเตีย้ บางชนิ้ จาลองลกั ษณะเลยี นแบบผลไม้
3) รูปทรงประเภทกระปกุ เปน็ แบบเนอื้ แกรง่ เนื้อภาชนะสขี าว ปากผาย ฐานเตยี้
กน้ ภาชนะมีรอยขดเปน็ วง ๆ มีลกั ษณะเปน็ กระปกุ คอสั้นและยาวตรงกลางปอ่ ง เคลอื บกเุ ลน
และเคลือบเข้ม
4) รปู ทรงประเภทถ้วยชามพบมากท่สี ดุ มีเนอื้ หยาบและเนอ้ื แกร่ง มที าเคลือบสีอ่อน
และสเี ขม้ ไม่เคลอื บก็มี รปู ทรงมีหลายประเภท เช่น ถ้วยขนาดเล็ก ชาม ถว้ ยรปู ทรงตา่ งๆ
5) รปู ทรงคนโท ภาชนะทรงสงู คล้ายกระปกุ หรือขวด แต่มพี วยกาตรงกลาง
3. ข้อมูลเก่ยี วกับแหลง่ เตาเผาที่คน้ พบในอาเภอบา้ นกรวด
เตาเผาโบราณในอาเภอบา้ นกรวด มี 2 แหง่ แบง่ ตามแหล่งเตาเผาทคี่ ้นพบ แบ่งดงั น้ี
4.1.3.1 แหลง่ เตาบ้านถนนน้อย เตาเผาโบราณพนั ปีที่บ้านกรวดท่ีค้นพบน้ี ตั้งอยู่ในเขต
บ้านถนนน้อย ตาบลหนิ ลาด อาเภอบ้านกรวด จังหวดั บุรีรัมย์ ห่างจากท่วี า่ การอาเภอบา้ นกรวดไปทางทศิ
ตะวันออกประมาณ 5 กโิ ลเมตร ชาวอาเภอบ้านกรวด ต้งั ชื่อเตาเผาโบราณทค่ี ้นพบแห่งนวี้ ่า เตาเผานาย
เจียน เพราะเตาเผาโบราณแห่งนต้ี ง้ั อยทู่ ่ีนาของนายเจียนซึ่งในปจั จบุ ันนี้ เตาเผาไดถ้ กู ทาลายไปแล้ว
3 เตา เม่ือราวกลางเดอื นกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2529 น้ี เปน็ เตาเผาที่ใชส้ าหรบั เผาเครอ่ื งป้ันดินเผาและภาชนะ
ที่เปน็ ผลิตภัณฑ์เครอ่ื งเคลอื บต่าง ๆ ตง้ั แต่สมยั ขอมโบราณ มกี ารใชง้ านระหวา่ งศตวรรษที่ 15-18 ลักษณะ
ของเตาเผาโบราณแหง่ นนี้ กั วิทยาศาสตร์ไดแ้ บ่งออกเป็น 3 ส่วน คอื
1) ส่วนทใ่ี ส่ไฟไวส้ าหรบั ใสฟ่ นื หรือ วัสดทุ ี่ให้ความรอ้ น เชน่ ไม้ซงุ เพือ่ ใช้
เป็นเชอ้ื เพลิงในการเผา
2) ส่วนท่วี างวสั ดทุ จ่ี ะเผา สว่ นน้ีมกี ารสร้างไวอ้ ยา่ งเป็นระเบียบ ใช้สาหรบั เป็นทีว่ างวัสดุทจี่ ะ
เผา มกี ารสรา้ งไวเ้ ปน็ ชนั้ ๆ มที ี่สาหรบั ป้องกันเพอ่ื ไม่ใหว้ สั ดทุ ่จี ะเผารว่ งหลน่ ในขณะท่ี
เกิดการเปล่ียนแปลงอณุ หภมู ิระหว่างการเผากับภาชนะทเ่ี ผา
3) สว่ นท่ปี ลอ่ ยเผา สรา้ งไว้สาหรับใช้ในการระบายความรอ้ นซง่ึ อยู่ข้างหลังลกั ษณะทว่ั ไปของ
เตาเผาโบราณแหง่ นีม้ รี ปู รา่ งค่อยขา้ งกลมรี สว่ นตวั เตาเผาเป็นเตาดิน กอ่ แบบระบาย
ความรอ้ นในแนวเฉยี ง สร้างซบั ซ้อนกันหลาย ๆ คร้ัง สว่ นโครงเตาน้นั สร้างขึ้นเพ่อื ให้สามารถเผาผลติ ภัณฑ์
อุณหภมู ิ 1,200-1,250 องศา มีแบบเพ่มิ และลดความร้อนดว้ ยออกซิเจน ซึ่งทาใหพ้ บเศษ
ของผลติ ภัณฑ์ท่ีเผาตา่ ง ๆ ตกทับถมอยูใ่ นเตาเดยี วกนั สว่ นมากผลติ ภัณฑท์ ีเ่ ผานั้นมีความคลา้ ยคลงึ กนั และ
เหมือนกบั ราชวงศถ์ ังของจีน
จากการพิสูจน์ดว้ ยวธิ ที างวิทยาศาสตร์ที่เรยี กวา่ เรดิโอคาร์บอน โดยการศกึ ษาตวั อยา่ ง
ของถา่ นท่คี น้ พบในบริเวณเตาเผาโบราณแหง่ น้ี ทาให้เราทราบวา่ เตาเผาโบราณแห่งนมี้ กี ารสรา้ ง
เปน็ 2 ช่วงสมยั คือ สมัยพุทธศตวรรษท่ี 13 ถงึ ปลายสมัยพุทธศตวรรษท่ี 14 เป็นช่วงท่ี 1 และสมัยพทุ ธ
ศตวรรษที่ 16 ถงึ ต้นสมยั พุทธศตวรรษท่ี 16 เป็นชว่ งท่ี 2
ในแหล่งเตาเผานสี้ ามารถพบเคร่อื งเคลอื บกระจัดกระจายเตม็ พืน้ ทส่ี ามารถจาแนกไดด้ งั นี้
1) เครอื่ งปน้ั ดินเผาเคลือบสีเขยี วใส เนื้อดินปั้นสีขาวนวลละเอยี ด ท้ังมนี า้ เคลอื บทเี่ รยี บเสมอ
สวยงามกบั ทีม่ ลี ายแตกกราน เช่น ชาม ตลบั เปน็ ต้น
2) เครอ่ื งปน้ั ดินเผาสนี ้าตาล เนอื้ ดินปนั้ สเี ทา ถา้ เป็นกระปกุ จะทานา้ เคลอื บสนี า้ ตาล
บาง ๆ ภายในไวด้ ว้ ย สว่ นดา้ นนอกจะตกแต่งเป็นลายเส้นตง้ั ถ้าเปน็ ถว้ ยจะเคลือบสนี ้าตาลท้ังดา้ น
ในและดา้ นนอก โดยเคลอื บไมจ่ รดกน้ เนอื้ ดินปนั้ สีเหลอื ง ถว้ ยจะมีเชิงรปู กลมตัน ปาดเรียบดูคล้ายตัวถ้วย
ต้งั อยบู่ นเม็ดกระดมุ ขนาดใหญ่
ท่ีบ้านถนนน้อยนโ้ี ครงการโบราณคดภี าคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ไดท้ าการขุดคน้ เตาเผาในเขตทดี่ ิน
ของนายเจียน เมื่อ พ.ศ. 2530 ซึ่งอย่นู อกตวั หมบู่ ้านและเรยี กชื่อวา่ เตานายเจยี น จากการขุดคน้ พบวา่
ผลิตภณั ฑส์ ว่ นใหญ่เปน็ เครื่องเคลือบสเี ขียวอ่อน พวกเครอ่ื งเคลอื บสีน้าตาลเข้มมนี ้อย และเมือ่ นาไปวิเคราะห์
หาอายแุ ล้วพบวา่ มอี ายรุ ะหว่างพทุ ธศตวรรษท่ี 15-18
4.1.3.2 แหล่งเตาเผาสวาย ตง้ั อยูท่ ี่บา้ นโคกใหญ่ หมทู่ ่ี 9 ตาบลโนนเจริญ ระยะทางหา่ งจาก
ที่วา่ การอาเภอบา้ นกรวดประมาณ 7 กิโลเมตร จดั เป็นเตาเผาประเภท Slabiln ก่อดว้ ยดนิ หรอื ดินเหนียว
มีชอ่ งระบายความรอ้ นในแนวนอน หรอื เฉยี งขน้ึ สนั นษิ ฐานวา่ เตาเผาแห่งน้เี กิดข้ึนในศตวรรษที่ 15-17
แหลง่ เตาเผาน้ี ผลติ เครื่องเคลือบดินเผามากมายหลายประเภท เช่น ไห พาน แว่นฟา้ กระปุก คนโท ลว้ นมี
เนือ้ ดนิ ปัน้ แบบแกร่งหรอื สโตนแวร์ (Stoneware) มีท้ังเคลือบสเี ขียวใสเคลอื บสนี า้ ตาลและแบบไมเ่ คลือบซ่งึ
ไดแ้ ก่
1) เครื่องปน้ั ดนิ เผาเคลือบสเี ขยี วใส และสเี ขยี วเข้ม มที ง้ั ชามและไหขนาดใหญ่ เน้ือดนิ ปั้นของ
ชามจะมสี ีเขยี ว ส่วนเนอ้ื ดินปั้นของไหจะเป็นสีเทา ชามจะเคลือบสีเขียวใส ทงั้ ภายในและภายนอก สว่ นไหจะมี
ปากผายกวา้ ง เคลอื บสีเทาดา้ นนอกและบริเวณรอบปากไหด้านใน
2) เคร่อื งปัน้ ดนิ เผาเคลือบสีน้าตาลมที ง้ั กระปุกตะคันและไหขนาดตา่ ง ๆ เนอื้ ดนิ ป้ัน
เปน็ เนอ้ื แกร่งสโตนแวร์ (Stoneware) มที ั้งสเี หลือง สีเทาเข้มและสีดา ซ่งึ มีสขี องน้าเคลอื บทงั้ สนี ้าตาลเข้มจน
ดาเป็นมัน สนี า้ ตาลออกเหลือง สเี ขยี ว สีนา้ ตาลมรี อยน้าเคลอื บสีเขียวเป็นทาง สนี ้าตาลเหลอื งอมทอง
3) เครอื่ งป้ันดินเผาไมเ่ คลือบ เครื่องป้นั ดินเผาพวกน้ี มเี นื้อดินปั้นแกรง่ แบบสโตนแวร์
(Stoneware) สแี ดง ซ่ึงมที งั้ ชาม อา่ ง และไห ลว้ นประดับรอบคอและไหล่ ลายเส้นโค้งซ้อมแบบลาย
พวงระยา้
ตาแหน่งทตี่ ั้ง
เตาเผาขอมโบราณเตาสวาย ต้ังอยูใ่ นเขตรับผดิ ชอบของบ้านโคกใหญ่ หมทู่ ่ี 9 ตาบลโนนเจริญ
อาเภอบา้ นกรวด จังหวดั บุรีรัมย์ เปน็ ภมู ิปญั ญาท้องถิ่นทผี่ สมผสานอารยธรรม ความเช่ือและศาสนาของชาว
อาเภอบา้ นกรวด เราลูกหลานควรศึกษาประวัตคิ วามเป็นมาและอนุรักษส์ ิ่งทดี่ งี ามไว้ เหน็ คณุ ค่าและสบื สานสู่
รนุ่ ตอ่ ๆ ไป
การเดนิ ทาง อาเภอบ้านกรวดอยหู่ า่ งจากตัวเมอื งบุรีรมั ย์ไปตามทางหลวงหมายเลข 2075 ประมาณ
66 กิโลเมตร เดินทางไปตามทางหลวงแผ่นดนิ 2165 จะพบเตาเผานายเจยี นอยหู่ ่างจากอาเภอบา้ นกรวดเปน็
ระยะทาง 5 เตาเผาสวายอยหู่ า่ งออกไปประมาณ 10 กิโลเมตร ตามลาดบั
การเดินทางไปเตาเผาสวายอีกเสน้ ทางหน่งึ ตามทางหลวงแผน่ ดนิ 2075 แวะสแ่ี ยกบ้านพาชี
ตามทางหลวงชนบทหมายเลข 3032 สตู่ าบลโนนเจริญ เตาเผาสวายอย่หู า่ งออกไปจากตาบลโนนเจรญิ และ
โรงเรียนโนนเจรญิ พิทยาคมประมาณ 3 กิโลเมตร
4.1.4 ประตมิ ากรรมและหตั ถกรรมพนื้ บ้านโบราณพนั ปี
ชอ่ื ภาพ : พิพธิ ภัณฑ์เตาเผาโบราณเตาสวาย
ถ่ายภาพโดย : นายสันตสิ ขุ พิกุล
ลักษณะเตาเผาโบราณ
ลกั ษณะเตาเผาโบราณเตาสวาย ก่อด้วยดนิ เหนียวหรอื ดนิ มีชอ่ งระบายความรอ้ นในแนวนอน
หรือเฉยี งขน้ึ สันนษิ ฐานวา่ เตาเผาแหง่ นเ้ี กิดขนึ้ ในศตวรรษที่ 15-17 ลกั ษณะของเตาเผาโบราณแบง่ เป็น 3
ส่วน คอื
1. ทใี่ สไ่ ฟ
2. ทว่ี างภาชนะทีเ่ ผา
3. ปากปล่องระบายไฟออก
เตามคี วามยาวประมาณ 12 เมตร ตวั เตามกี ารกอ่ ทบั ซ้อนกนั หลายครั้ง ตวั เตากว้าง 1.5 เมตร เป็น
เตากอ่ ดว้ ยดนิ เหนยี ว ตรงกลางเตามีเสาตอหมอ้ คา้ ยนั หลงั คาวางหา่ งกนั ประมาณ 1 เมตร ความเอยี งของพ้ืนที่
วางภาชนะ ประมาณ 15 ผลิตภัณฑ์ ทเ่ี ผาเปน็ ภาชนะชน้ิ เลก็ ๆ เชน่ ถ้วยชาม กระปุก กระแป้ ผอบ เปน็ ตน้
สีทเ่ี คลอื บมสี นี า้ ตาล เขียวใส สีแตงกวา เขยี วไข่กก
ลกั ษณะเฉพาะเตาเผาโบราณตาสวาย
เตาเผาโบราณในอาเภอบา้ นกรวดหรอื เตาขอมโบราณเทา่ ทป่ี รากฏใหเ้ หน็ ตามหลักฐานการขุด
ค้นพบ จะเห็นว่าทกุ เตามีปากเตาหรือที่ใสไ่ ฟอยทู่ างทิศเหนอื หรือตะวันออกเฉียงเหนือแสดงใหเ้ ห็นวา่ การเผา
ต้องใช้ลมหนาวพัดเข้าปากเตา เพ่อื ให้ไฟมีอุณหภมู สิ ูงกวา่ ปกติและมกี ารเผาในฤดหู นาวเทา่ นนั้
ประตมิ ากรรม
ประตมิ ากรรม (องั กฤษ: sculpture) เป็นงานศลิ ปะท่ีแสดงออกด้วยการปน้ั แกะสลกั หลอ่
และการจดั องคป์ ระกอบความงามอ่ืน ลงบนส่อื ตา่ งๆ เช่น ไม้ หนิ โลหะ สมั ฤทธิ์ ฯลฯ เพอื่ ใหเ้ กิดรปู ทรง
3 มิติ มคี วามลกึ หรอื นูนหนา สามารถสอ่ื ถึงส่ิงตา่ งๆ สภาพสังคม วฒั นธรรม รวมถงึ จิตใจของมนุษย์โดยช้ินงาน
ผา่ นการสรา้ งของประตมิ ากร ประติกรรมเป็นแขนงหน่ึงของทศั นศลิ ป์ ผู้ทางานประติมากรรม
มักเรยี กว่า ประติมากรซงึ่
ชอื่ ภาพ : รูปแบบการปน้ั เครื่องเคลอื บดนิ เผาในพิพธิ ภัณฑเ์ ตาเผาโบราณเตาสวาย
ถา่ ยภาพโดย : นางสาวกัญญารตั น์ แกว้ คาภา
ช่อื ภาพ : รปู แบบการปัน้ เครือ่ งเคลอื บดนิ เผาในพิพธิ ภัณฑเ์ ตาเผาโบราณเตาสวาย
ถา่ ยภาพโดย : นางสาวกญั ญารตั น์ แกว้ คาภา
เครือ่ งเคลอื บโบราณในเตาเผาโบราณเตาสวาย ประตมิ ากรรมซ่งึ มีลวดลายทส่ี ะทอ้ นให้เห็นถึง
ความเชื่อและความคดิ ของชาวบา้ นซ่ึงมีลกั ษณะเฉพาะตัวคอื สที เ่ี คลอื บมีสนี ้าตาล เขยี วใส สีแตงกวา
เขียวไข่กก
แหลง่ เตาเผานี้ ผลิตเครื่องเคลอื บดินเผามากมายหลายประเภท เชน่ ไห พาน แวน่ ฟา้ กระปกุ
คนโท ล้วนมีเน้ือดนิ ปนั้ แบบแกรง่ หรือสโตนแวร์ (Stoneware) มที งั้ เคลือบสีเขยี วใสเคลือบสีนา้ ตาล
และแบบไมเ่ คลือบ ดังนี้
1) เครือ่ งปนั้ ดินเผาเคลือบสเี ขียวใส และสเี ขียวเข้ม มีทัง้ ชามและไหขนาดใหญ่ เนือ้ ดนิ ปั้น
ของชามจะมสี เี ขยี ว สว่ นเนื้อดินปั้นของไหจะเป็นสเี ทา ชามจะเคลือบสีเขียวใส ทัง้ ภายในและภายนอก
ส่วนไหจะมปี ากผายกวา้ ง เคลอื บสีเทาดา้ นนอกและบริเวณรอบปากไหดา้ นใน
2) เคร่ืองปั้นดินเผาเคลอื บสีน้าตาลมที ั้งกระปุก ตะคันและไหขนาดต่าง ๆ เนือ้ ดินปั้น
เปน็ เนือ้ แกร่งสโตนแวร์ (Stoneware) มีท้ังสเี หลือง สเี ทาเข้ม และสีดา ซง่ึ มสี ขี องน้าเคลือบท้งั สนี ้าตาล
เขม้ จนดาเปน็ มัน สีน้าตาลออกเหลอื ง สีเขยี ว สีน้าตาลมรี อยน้าเคลือบสเี ขยี วเปน็ ทาง สีน้าตาลเหลอื งอมทอง
3) เครอื่ งปนั้ ดนิ เผาไมเ่ คลอื บ เคร่อื งปัน้ ดนิ เผากลมุ่ นี้ มเี นื้อดนิ ปน้ั แกร่งแบบสโตนแวร์ (Stoneware)
สีแดง ซงึ่ มีท้ังชาม อา่ ง และไห ล้วนประดบั รอบคอและไหล่ ลายเส้นโค้งซ้อมแบบลายพวงระยา้
วธิ กี ารปน้ั เคร่อื งเคลือบดนิ เผาอาเภอบา้ นกรวด
จากการศึกษาวธิ ีการป้ันเคร่ืองเคลอื บดนิ เผาตามแบบลักษณะเฉพาะของเคร่อื งเคลอื บดินเผา
สรปุ ได้ ดังนี้
1. การเลือกเน้ือดนิ
เคร่ืองเคลือบดนิ เผาอาเภอบา้ นกรวดดนิ เหนยี ว ( Stiff - mud ) มี 5 เฉดสไี ล่จากสีเหลอื ง
ไปเรื่อย ๆ ถงึ สนี าตาลเขม้
2. การข้นึ รูป (Forming)
2.1 ปั้นวิธอี ิสระ (Free hand)
2.2 ปั้นบนแป้นหมนุ (Throwing on the Potter's Wheel)
3. การตากแห้ง (Drying)
การตากแหง้ คอื การไล่นา้ ออกจากของทข่ี ึน้ รปู เสร็จแลว้ การตากแห้งควรให้น้าระเหยออกไป
อย่างช้า ๆ เพ่อื ปอ้ งกันการแตกรา้ วปริมาณของนา้ ที่ใชใ้ นการข้ึนรูปต้องเหมาะสม ควนให้แหง้ สนิท
4. การออกแบบ
การออกแบบเครอ่ื งเคลอื บดินเผาในอาเภอบา้ นกรวด แบ่งออกเป็น 2 อยา่ ง
1) ปั้นคร้งั เดียวเสรจ็ เช่น ถ้วย ชาม โถต่าง ๆ ทใ่ี ชอ้ ปุ กรณ์ในพธิ ีทางศาสนาพราหมณ์
2) ป้นั สองตอน จะป้นั โถต่าง ๆ ทใี่ ชอ้ ุปกรณใ์ นพิธีทางศาสนาพราหมณ์ เปน็ รูปสัตว์
ในยคุ นนั้ (พทุ ธศตวรรษท่ี 12 – 19)
5. การเคลือบ ผลติ เครอื่ งเคลือบดนิ เผาในอาเภอบ้านกรวด จะเคลือบสีเขยี วใสเคลอื บสนี า้ ตาล
1) เคร่ืองปัน้ ดินเผาเคลือบสเี ขยี วใส และสเี ขยี วเข้ม มที ้งั ชามและไหขนาดใหญ่ เนอ้ื ดินปน้ั ของ
ชามจะมสี เี ขียว ส่วนเนอื้ ดนิ ป้นั ของไหจะเปน็ สีเทา ชามจะเคลือบสีเขยี วใส ทั้งภายในและภายนอก ส่วนไหจะมี
ปากผายกวา้ ง เคลอื บสเี ทาด้านนอกและบรเิ วณรอบปากไหดา้ นใน
2) เครื่องปน้ั ดินเผาเคลือบสนี า้ ตาลมที ง้ั กระปุก ตะคนั และไหขนาดตา่ ง ๆ มีท้งั สเี หลอื ง
สีเทาเขม้ และสีดา ซ่ึงมสี ีของนา้ เคลือบท้งั สนี ้าตาลเขม้ จนดาเป็นมัน สนี า้ ตาลออกเหลือง สเี ขียว สีนา้ ตาล
มีรอยนา้ เคลือบสีเขยี วเป็นทาง สนี ้าตาลเหลอื งอมทอง เปน็ ต้น
6. การเผา
การเผาเครอื่ งเคลือบดนิ เผาของอาเภอบา้ นกรวด แบ่งเป็น 3 วธิ ี คอื
วิธที ี่ 1 เผาโดยใช้แกส๊ หงุ ต้ม เตาบรรจชุ ิน้ งานไดป้ ระมาณ 500-700 ชน้ิ ขอ้ ดคี อื
น้ายาเคลือบเงาเรยี บ ชน้ิ งานสสี วย ตรงตามที่กาหนดไว้ เพราะไฟท่ใี ช้มคี วามสมา่ เสมอ ขอ้ เสีย ตอ้ งเฝา้ ดู
ตลอดเวลาการเผาเพือ่ ผอ่ นหรือเพิ่มปรมิ าณแก๊ส และสนิ้ เปลอ้ื งมากเพราะใช้ จานวน 2 ถัง
วิธที ่ี 2 เผาโดยใชไ้ ฟฟา้ บรรจไุ ด้ประมาณ 300-500 ชนิ้ ข้อดีคอื ประหยดั สะดวกสบาย
ข้อเสีย น้ายาเคลือบเงาไม่เรียบ ช้นิ งานสีไม่สวย เพราะไฟฟา้ ทใี่ ชไ้ ม่สมา่ เสมอ
วธิ ีท่ี 3 เผาโดยใชฟ้ ืน บรรจไุ ดป้ ระมาณ 100-300 ชิน้ ขอ้ ดคี ือ ประหยัด ข้อเสีย น้ายา
เคลอื บเงาไมเ่ รยี บ ชิ้นงานสีไม่สวย เพราะฟนื ทใี่ ช้ใหค้ วามรอ้ นไม่สม่าเสมอ ต้องใชค้ วามรคู้ วามสามารถดา้ น
ภมู ิปญั ญาทอ้ งถน่ิ สะสมประสบการณ์
บทท่ี 5
สรปุ ผลการดาเนินงาน
การจดั ทาโครงงานประวตั ิ เรือ่ ง สบื สานงานป้ันเคร่อื งเคลอื บพนั ปี จดั ทาขึ้นเพื่อศกึ ษาประวตั ิ
ความเปน็ มาของพพิ ธิ ภณั ฑ์เตาเผาเตาสวายและศึกษาวธิ ีการปน้ั เครอ่ื งเคลอื บดินเผา เปน็ การแสวงหาความรู้
โดยการรวบรวมข้อมลู โดยใชว้ ธิ กี ารทางประวตั ศิ าสตร์ โดยมขี น้ั ตอนการอธิบายผล ดังน้ี
1. วตั ถุประสงค์
2. สรุปผล/อภปิ รายผล
3. ปัญหา/อปุ สรรคของการทาโครงงาน
4. สง่ิ ทคี่ น้ พบในการทาโครงงาน
วตั ถปุ ระสงค์
1. ศกึ ษาประวัตคิ วามเปน็ มาของพิพิธภณั ฑ์เตาเผาเตาสวาย
2. ศึกษาวธิ ีการปน้ั เครื่องเคลอื บดนิ เผา
สรุปผล/อภปิ รายผล
1. ประวตั ิการกอ่ ตั้งพพิ ิธภัณฑเ์ ตาเผาขอมโบราณเตาสวาย
จากการศึกษาประวตั ิความเปน็ มาของเตาเผาโบราณเตาสวายในภาคสนามโดยวิธกี ารสังเกต
สัมภาษณ์ บนั ทกึ เสียง จดบนั ทึกและการถ่ายภาพ สรปุ ได้วา่
พพิ ธิ ภณั ฑเ์ ตาเผาขอมโบราณเตาสวาย ตงั้ อยใู่ นเขตรับผดิ ชอบของบา้ นโคกใหญ่ หม่ทู ่ี 9
ตาบลโนนเจริญ อาเภอบ้านกรวด จงั หวัดบรุ ีรมั ย์ เจ้าของทด่ี นิ ทใ่ี ชส้ รา้ งพิพิธภัณฑ์ ชือ่ วา่ นายบญุ มี
จาเรญิ ดี ปัจจบุ นั อายุ 67 ปี ภรรยาช่ือนางมี จาเรญิ ดี อย่บู ้านเลขที่ 9 หมทู่ ี่ 9 ตาบลโนนเจริญ อาเภอบ้าน
กรวด จังหวดั บรุ รี ัมย์
กอ่ นปี พ.ศ. 2530 มีชาวบ้านแถบน้ันขดุ ค้นเคร่ืองเคลอื บโบราณโดยบังเอิญแล้วนากลับมาบา้ น
เพ่ือนบา้ นมีความเชอ่ื วา่ เปน็ ของเก่าแกโบราณ น่าจะมีเจ้าของซงึ่ เป็นผีสาง จะมาทวงคืน ชาวบา้ นคนท่ีขดุ ค้น
เครื่องเคลือบโบราณจงึ นาไปไวท้ ่ีเดิม จนกระทงั่ มนี ายทุนชื่อเฒ่าแก่ฉวงมาขอรับซ้อื ในราคาดีชาวบา้ น
จงึ พากนั ไปขุดค้นเคร่อื งเคลอื บโบราณอกี คร้ังในบรเิ วณเดมิ และขยายออกเป็นบริเวณกวา้ ง การขดุ ค้น
ของชาวบา้ นท่ไี มถ่ กู วิธที าให้เครื่องเคลือบโบราณแตกหักเสียหาย ปี พ.ศ. 2530 กรมศลิ ปากรจงึ เขา้ มา
ศกึ ษาและทาการขดุ คน้ อย่างถูกวธิ ีและสรา้ งโดมครอบเตาเผาสวายไว้ เปน็ พพิ ิธภณั ฑเ์ ตาเผาสวายจนถงึ
ปัจจุบนั ในวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2531 สมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ า สยามบรมราชกมุ ารี เสดจ็ เปน็ พระ
อาจารยแ์ ก่นักเรียนนายรอ้ ย ทา่ นมาเยีย่ มชมศนู ย์วฒั นธรรมอาเภอบา้ นกรวด ซงึ่ ตั้งอยูใ่ นโรงเรียนบ้านกรวด
วิทยาคาร เยย่ี มชมพพิ ธิ ภัณฑเ์ ตานายเจยี น และพิพิธภัณฑ์เตาสวาย ตามลาดบั
ชอื่ ภาพ : สมเด็จพระเทพรตั นราชสุดาสยามบรมราชกมุ ารี
ทีม่ า : ศนู ย์วัฒนธรรมอาเภอบา้ นกรวด
ตาแหนง่ ทตี่ ้ัง
ตาแหน่งท่ีตัง้ เตาเผาขอมโบราณเตาสวาย ตงั้ อยู่ในเขตรับผดิ ชอบของบ้านโคกใหญ่ หม่ทู ี่ 9
ตาบลโนนเจริญ อาเภอบา้ นกรวด จงั หวัดบรุ รี ัมย์ เป็นภูมิปญั ญาท้องถน่ิ ทีผ่ สมผสานอารยธรรม ความเช่อื
และศาสนาของชาวอาเภอบา้ นกรวด เราลูกหลานควรศึกษาประวัติความเป็นมาและอนุรักษ์สิ่งท่ีดงี ามไว้ เหน็
คณุ ค่าและสืบสานสู่รุน่ ตอ่ ๆ ไป
การเดินทาง อาเภอบ้านกรวดอยหู่ า่ งจากตวั เมอื งบรุ ีรัมย์ไปตามทางหลวงหมายเลข 2075
ประมาณ 66 กโิ ลเมตร เดนิ ทางไปตามทางหลวงแผน่ ดนิ 2165 ระยะทางหา่ งจากท่วี ่าการอาเภอ
บ้านกรวดประมาณ 5 กโิ ลเมตร จะพบเตาเผาตาเจียนอยูห่ า่ งจากอาเภอบา้ นกรวด และเตาเผาสวาย
อยูห่ ่างออกไปประมาณ 10 กโิ ลเมตร ตามลาดับ
การเดนิ ทางไปเตาเผาสวายอีกเส้นทางหน่งึ ตามทางหลวงชนบท หมายเลข 3032 พบสี่แยกบา้ น
พาชีสตู่ าบลโนนเจรญิ ซงึ่ จะอยู่ห่างออกไปจากตาบลโนนเจรญิ และโรงเรียนโนนเจรญิ พทิ ยาคม ประมาณ 3
กโิ ลเมตร
เตาเผาขอมโบราณเตาสวาย กลุม่ เตาทเี่ ปน็ ทรี่ ู้จักในทาเนียบวงการวชิ าการอกี แห่งหน่ึง
เรียกวา่ “เตาสวาย” บา้ นโคกใหญ่ (Sawai Kiln Sites – Ban Khok Yai) ท่ีเป็นเตาเผาเครื่องเคลือบ
ในระดับอุตสาหกรรมการผลติ (Khmer Ceramics Industry) มีขนาดของเตาประมาณ 5 x 12 - 13
เมตร เป็นเตาไลค่ วามรอ้ น (crossdraft kiln) แบบเสาคู่ สามช่อง (Three parallel fireboxes) คลุม
ด้วยดินเหนยี ว (clay slab) อาจผสมฟาง(Straws) หรือแกลบขา้ ว (Rice Husk) มีโครงสรา้ งไม้ไผเ่ ปน็ แกน
คลุมเป็นโดม (Chamber Dome) ดินปน้ั ทค่ี ลมุ ท่ีไดร้ ับความรอ้ นจนมีเน้ือแข็งเป็นอฐิ (Brick) ดา้ นนอก
จะมกี ารโปะ๊ ดินทับในทุกครง้ั ทมี่ ีการเผา ให้มีความหนา (Thickness) เพยี งพอท่ีจะสามารถควบคุมอณุ หภูมิ
ความรอ้ นไดด้ ี ภายในอาคารพิพธิ ภณั ฑเ์ ตาสวาย บ้านโคกใหญ่แสดงซากของเตาผลติ เคร่อื งเคลือบ
แบบเขมรในระดับเตาอตุ สาหกรรมขนาดใหญ่ กลมุ่ เตาสวาย จะต้ังอยใู่ นแนวระหว่างลานา้ ห้วยโตงกับ
ลาน้าห้วยโอคานอ๊ บ ที่ไหลมาจากชุมชนโบราณในเขตบ้านตาปางน้อย ใกลก้ บั แนวถนนราชมรรคาทางทศิ ใต้ .
เนินเตาเครือ่ งเคลือบ - เครอื่ งปน้ั ดนิ เผา บ้านโคกใหญ่ แต่เดมิ มอี ยู่ 4 กลมุ่ เตาใหญ่ แตถ่ ูกไถทาลายไปเกอื บ
ทง้ั หมด กลุม่ เตาหนงึ่ ทีเ่ หลอื อยทู่ างทิศใตข้ องบา้ นโคกใหญเ่ รยี กวา่ “เตาสวาย”
เตาเผาขอมโบราณเตาสวาย จดั เป็นเตาเผาประเภท Slab kiln กอ่ ดว้ ยดินเหนยี วหรือดนิ
มีช่องระบายความรอ้ นในแนวนอน หรอื เฉยี งขนึ้ สันนิษฐานวา่ เตาเผาแหง่ น้เี กิดข้ึนในศตวรรษท่ี 15-17
แหล่งเตาเผานี้ ผลติ เคร่ืองเคลอื บดินเผามากมายหลายประเภท เชน่ ไห พาน แว่นฟา้ กระปุก คนโท ลว้ นมี
เนอ้ื ดินปน้ั แบบแกรง่ หรอื สโตนแวร์ (Stoneware) มที ้งั เคลือบสเี ขียวใส เคลือบสนี า้ ตาล
และแบบไม่เคลอื บซ่ึง ได้แก่
1) เครือ่ งป้ันดนิ เผาเคลือบสเี ขยี วใส และสีเขียวเข้ม มที งั้ ชามและไหขนาดใหญ่ เนอื้ ดนิ ปั้น
ของชามจะมสี เี ขียว สว่ นเนือ้ ดนิ ปนั้ ของไหจะเป็นสีเทา ชามจะเคลอื บสีเขียวใส ทง้ั ภายในและภายนอก
ส่วนไหจะมีปากผายกวา้ ง เคลอื บสเี ทาดา้ นนอกและบรเิ วณรอบปากไหด้านใน
2) เครอ่ื งป้ันดินเผาเคลอื บสีนา้ ตาลมที ั้งกระปกุ ตะคันและไหขนาดตา่ ง ๆ เนอ้ื ดินปน้ั
เป็นเน้อื แกรง่ สโตนแวร์ (Stoneware) มีทัง้ สเี หลือง สีเทาเขม้ และสีดา ซ่ึงมีสีของน้าเคลือบ
มที งั้ สนี า้ ตาลเข้มจนดาเป็นมัน สนี ้าตาลออกเหลอื ง สีเขียว สนี า้ ตาลมรี อยนา้ เคลือบสีเขยี วเปน็ ทาง
สีนา้ ตาลเหลืองอมทอง
3) เครอ่ื งปนั้ ดินเผาไม่เคลือบ เคร่ืองปน้ั ดินเผาพวกน้ี มีเนื้อดินปนั้ แกรง่ แบบสโตนแวร์
(Stoneware) สแี ดง ซ่ึงมีทัง้ ชาม อา่ ง และไห ล้วนประดบั รอบคอและไหล่ ลายเสน้ โค้งซอ้ มแบบลาย
พวงระยา้
จากการศกึ ษาเครือ่ งเคลอื บโบราณพันปีทีค่ น้ พบบรเิ วณเขตอาเภอบ้านกรวดน้นั เป็นผลติ ภัณฑ์
เคร่อื งปนั ดินเผาในสมยั ลพบุรี นักโบราณคดีและนักประวัติศาสตร์ได้จัดแบง่ ออกตามลกั ษณะและรูปแบบ
ออกเปน็ 6 ชว่ งสมัย คอื
1) แบบกุเลน
2) แบบไม่เคลือบสี (ลีเดอแวง)
3) แบบบาปวน
4) แบบพระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี 6
5) แบบนครวัด
6) แบบบายน
สว่ นใหญ่เครอ่ื งเคลอื บโบราณท่ีอาเภอบา้ นกรวดจะเป็นภาชนะดนิ เผาที่มีเนื้อแกร่ง มอี ายุ
ประมาณ 1,000 ปี ลักษณะทีศ่ ึกษาเก่ียวกับข้ันตอนการเคลือบสีนนั้ สนั นษิ ฐานกนั วา่ ใชแ้ ปน้ หมุน ช่วงระยะ
ของการผลติ ทม่ี คี วามเจรญิ รงุ่ เรอื งนนั้ มคี วามเจรญิ รุ่งเรอื งราวพทุ ธศตวรรษท่ี 15-17 และมรี ูปแบบที่น่าสนใจ
เช่น ประเภทโถ มีท้ังทรงสูง ทรงเตย้ี ประเภทตลบั ส่วนใหญ่นั้นเปน็ ทรงเต้ีย มฝี าปดิ
บางชนิดกท็ าเปน็ รูปผลไม้ ทาเป็นรปู สตั ว์ต่าง ๆ เชน่ รปู นก รูปไก่ รูปกระต่าย รูปชา้ ง เป็นตน้
ช่ือภาพ : เครื่องเคลอื บดนิ เผารูปสตั ว์ตา่ ง ๆ เช่น รปู นก รปู ไก่ รปู กระตา่ ย รปู ชา้ ง
ถา่ ยภาพโดย : นางสาวกัญญารตั น์ แกว้ คาภา
วัตถปุ ระสงค์ในการผลติ ผลติ ภัณฑ์เครือ่ งเคลือบโบราณ
1) เพ่อื เป็นภาชนะใช้สอยในบ้านเรือน
2) เพอื่ เป็นวัสดทุ ใี่ ช้ประกอบการสรา้ งอาคารสถานที่
3) เพื่อเป็นภาชนะท่ีใชใ้ นการประกอบพธิ กี รรม
4) เพอ่ื เป็นของสาหรับเด็กเลน่
5) เพื่อใช้เป็นสง่ิ ของเพ่อื แลกแทนเงนิ ตรา
2. วิธกี ารปน้ั เครอ่ื งเคลือบดนิ เผาในอาเภอบา้ นกรวด จากการศึกษาวิธกี ารปัน้ เคร่ืองเคลือบดินเผา
ตามแบบลักษณะเฉพาะของเครื่องเคลอื บดนิ เผาในอาเภอบ้านกรวดใชใ้ ชด้ นิ เหนียว (Stiff - mud)
มี 5 สีไลจ่ ากสีเหลือง ไปเรื่อย ๆ ถงึ สนี าตาลเขม้ การขึน้ รปู (Forming) ใชว้ ิธที ง้ั 2 วธิ ี คือ ปัน้ วิธอี สิ ระ
(Free hand) และปั้นบนแปน้ หมนุ (Throwing on the Potter's Wheel) การตากแห้ง (Drying)
เพือ่ ป้องกนั การแตกรา้ วปริมาณของนา้ ทใี่ ชใ้ นการข้ึนรปู ตอ้ งเหมาะสม ควรตากชน้ิ งานให้แหง้ สนทิ
การออกแบบ เคร่อื งเคลอื บดนิ เผาในอาเภอบ้านกรวด แบ่งออกเปน็ 2 อย่างแบบแรกปัน้ ครัง้ เดียวเสรจ็
เช่น ถ้วย ชาม โถตา่ ง ๆ ท่ีใช้อปุ กรณใ์ นพธิ ีทางศาสนาพราหมณ์ และแบบที่ 2 ป้ันสองตอน จะปัน้ โถตา่ ง ๆ ท่ี
ใชอ้ ุปกรณใ์ นพธิ ที างศาสนาพราหมณ์ เป็นรูปสตั วใ์ นยคุ นัน้ (พทุ ธศตวรรษท่ี 12 – 19) การเคลอื บ การผลติ
เครือ่ งเคลือบดนิ เผาในอาเภอบ้านกรวด จะเคลือบ 2 แบบ แบบที่ 1 เครือ่ งปัน้ ดินเผาเคลือบสเี ขียวใส และสี
เขยี วเขม้ มีทั้งชามและไหขนาดใหญ่ เนอ้ื ดินปัน้ ของชามจะมีสีเขียว สว่ นเนอ้ื ดินปนั้ ของไห จะเป็นสีเทา ชามจะ
เคลือบสีเขียวใส ทงั้ ภายในและภายนอก สว่ นไหจะมปี ากผายกวา้ ง เคลอื บสีเทาด้านนอกและบริเวณรอบปาก
ไหด้านใน แบบที่ 2 เครอื่ งปน้ั ดินเผาเคลอื บสีนา้ ตาลมที ้ังกระปกุ ตะคันและไหขนาดตา่ ง ๆ มที ัง้ สเี หลืองสเี ทา
เข้ม และสดี า ซ่งึ มสี ีของนา้ เคลือบท้ังสนี ้าตาลเข้มจนดาเป็นมนั สีนา้ ตาลออกเหลอื ง สเี ขยี ว สีนา้ ตาลมรี อยนา้
เคลอื บสีเขยี วเปน็ ทาง สีน้าตาลเหลอื งอมทอง เป็นตน้
ปญั หา/อปุ สรรคของการทาโครงงาน
ในการทาโครงงานคร้ังมปี ัญหา ดังนี้
1) งบประมาณจากกระทรวงวฒั นธรรมให้การสนบั สนนุ โรงเรียนบา้ นกรวดวิทยาคาร
เพราะมศี ูนย์วฒั นธรรมอยูใ่ นโรงเรยี น สว่ นโรงเรยี นโนนเจริญพทิ ยาคม เป็นโรงเรยี นประจาตาบล
เปน็ เครอื ขา่ ยไม่มงี บประมาณช่วยเหลือ
2) การสบื สานวัฒนธรรม ในปจั จุบนั จัดขึ้นเพอื่ การสง่ เสรมิ การทอ่ งเท่ยี ว
สิง่ ท่คี ้นพบในการทาโครงงาน
จากการศกึ ษาขอ้ มูลภาคสนาม มขี ้อคน้ พบ ดังนี้
1) เจ้าของที่นาเดมิ ทาหน้าท่ดี แู ลพพิ ธิ ภณั ฑเ์ ตาสวาย โดยไม่รับค่าจา้ งใด ๆ
2) การเผาเครือ่ งเคลือบดนิ เผาของอาเภอบ้านกรวด แบ่งเป็น 3 วิธี คอื
วธิ ีท่ี 1 เผาโดยใชแ้ กส๊ หงุ ตม้ เตาบรรจชุ ิ้นงานไดป้ ระมาณ 500-700 ชนิ้ ขอ้ ดีคอื
น้ายาเคลอื บเงาเรยี บ ชนิ้ งานสีสวย ตรงตามทกี่ าหนดไว้ เพราะไฟทีใ่ ช้มคี วามสม่าเสมอ ข้อเสีย ต้องเฝ้า
และดตู ลอดเวลาการเผาเพื่อผอ่ นหรือเพม่ิ ปรมิ าณแกส๊ และสน้ิ เปล้ืองมากเพราะใช้ จานวน 2 ถัง
วธิ ที ่ี 2 เผาโดยใช้ไฟฟา้ บรรจุไดป้ ระมาณ 300-500 ชิ้น ขอ้ ดคี ือ ประหยดั สะดวกสบาย
ขอ้ เสีย นา้ ยาเคลือบเงาไมเ่ รยี บ ชิ้นงานสไี มส่ วย เพราะไฟฟา้ ที่ใช้ไม่สมา่ เสมอ
วธิ ีท่ี 3 เผาโดยใชฟ้ นื บรรจไุ ดป้ ระมาณ 100-300 ชน้ิ ข้อดคี ือ ประหยัด ข้อเสยี นา้ ยา
เคลือบเงาไม่เรียบ ชิน้ งานสไี ม่สวย เพราะฟนื ทใี่ ชใ้ หค้ วามรอ้ นไมส่ ม่าเสมอ ต้องใช้ความรคู้ วามสามารถดา้ น
ภูมิปัญญาทอ้ งถ่ินสะสมประสบการณ์
บรรณานกุ รม
บรรณานกุ รม
กรมวิชาการ. (2551). คมู่ ือหลกั สตู รกลมุ่ สาระสงั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม ตามหลักสูตร
การศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช 2551. กรุงเทพฯ : โรงพิมพโ์ อ.เอส พริน้ ตงิ้ เฮาส.์
ตาบลโนนเจรญิ . ศนู ย์ขอ้ มูลประเทศไทย. http://burirum.kapook.com. สืบค้นเมอื่
วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2559.
เทศบาลตาบลโนนเจริญ. ประวัติเทศบาลตาบลโนนเจรญิ . http://noncharoen.localgov. in.th.
สบื ค้นเม่ือวันท่ี 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2559.
ไทยกูดววิ . http://www.thaigoodview.com. สืบคน้ เมือ่ วันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2559
รมดิ า ชาญประโคน. ศนู ยว์ ัฒนธรรมอาเภอบา้ นกรวด. เอกสารประกอบการอบรม
โรงเรยี นบ้านกรวดวิทยาคาร.
พิทยา จารวุ งศเ์ สถยี ร. (2552). การพัฒนาแบบฝึกงานปัน้ เครอ่ื งเคลือบดนิ ผาแบบเชรามคิ
ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 3. เอกสารประกอบการอบรม โรงเรียนบา้ นกรวดวิทยาคาร.
สมมาตร์ ผลเกดิ . (2552). มรดกลา้ ค่า พัฒนาสกู่ ารเรียนร.ู้ เอกสารประกอบการอบรม
มหาวิทยาลยั ราชภัฏบรุ รี มั ย์.
สมาคมสันติบาตรประเทศไทย. http://www.nmt.or.th/TTravel/Lists/List32/AllItems.aspx.
สบื ค้นเมื่อวนั ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2559
สลี าภรณ์ บวั สาย. http://www.trf.or.th. สืบคน้ เม่อื วนั ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2559
แหลม พาชน่ื ใจ และคณะ. (2548). หนังสืออนสุ รณ์ในงานฉลองอฐั ิพ่อสิมมา พาชื่นใจ.
บุรรี มั ย์ : เรวตั การพมิ พ.์
บคุ คลานกุ รม
ทองใส เพชรกลา้ . อายุ 76 ปี ทีอ่ ยู่บ้านเลขท่ี 53 หมทู่ ี่ 9 ตาบลโนนเจรญิ อาเภอบ้านกรวด
จงั หวดั บรุ ีรมั ย์ สมั ภาษณ์วันเสาร์ที่ 18 มิถนุ ายน พ.ศ. 2559.
บญุ มี จาเรญิ ด.ี อายุ 67 ปี ทอี่ ยูบ่ า้ นเลขที่ 9 หมูท่ ี่ 9 ตาบลโนนเจรญิ อาเภอบ้านกรวด จงั หวัดบุรรี ัมย์
เบอรโ์ ทร – สมั ภาษณ์วนั เสารท์ ่ี 18 มิถนุ ายน พ.ศ. 2559
ประชา ขาวรมั ย์. อายุ 46 ปี ท่อี ยู่บา้ นเลขที่ 145 หมู่ที่ 9 ตาบลโนนเจริญ อาเภอบ้านกรวด
จังหวัดบุรีรมั ย์ เบอรโ์ ทรศพั ท์ 08-4474-9334 สมั ภาษณ์วันเสาร์ที่ 18 มถิ นุ ายน พ.ศ. 2559.
ปว่ น พารารัมย์. อายุ 45 ปี ที่อยู่บ้านเลขท่ี 66 หมทู่ ่ี 9 ตาบลโนนเจรญิ อาเภอบา้ นกรวด จงั หวดั บุรรี ัมย์.
เบอร์โทร 08-5206-0237 สมั ภาษณ์วนั เสาร์ท่ี 18 มิถนุ ายน พ.ศ. 2559.
ผ่อน ระยายอ่ ย. อายุ 72 ปี ท่ีอยู่บา้ นเลขที่ 45 หมทู่ ่ี 9 ตาบลโนนเจรญิ อาเภอบา้ นกรวด จังหวดั บรุ รี ัมย์
เบอรโ์ ทร – สัมภาษณ์วนั เสารท์ ี่ 18 มิถนุ ายน พ.ศ. 2559.
พทิ ยา จารวุ งศ์เสถยี ร. อายุ 48 ปี ทอี่ ยู่โรงเรียนบา้ นกรวดวทิ ยาคาร อาเภอบ้านกรวด
จงั หวัดบุรรี มั ย์ โทรศัพทม์ อื ถอื 08-1789-9229 โทรสาร 0-4467-9098.
สัมภาษณ์วันพฤหสั บดที ่ี 16 มิถุนายน พ.ศ. 2559
พัฒ จาเริญดี. อายุ 41 ปี ทอ่ี ยูบ่ า้ นเลขที่ 188 หมูท่ ี่ 9 ตาบลโนนเจริญ อาเภอบา้ นกรวด จงั หวัดบุรีรัมย์
เบอร์โทรศัพท์ 08-5923-1227 สมั ภาษณว์ ันเสาร์ท่ี 18 มถิ นุ ายน พ.ศ. 2559.
มี จาเริญดี. อายุ 65 ปี ที่อยู่บา้ นเลขท่ี 9 หมทู่ ่ี 9 ตาบลโนนเจริญ อาเภอบ้านกรวด จังหวดั บรุ ีรมั ย์
เบอร์โทร – สัมภาษณ์วนั เสาร์ท่ี 18 มิถนุ ายน พ.ศ. 2559
ยม สขุ ลว้ น. อายุ 59 ปี ทอ่ี ยู่บ้านเลขที่ 95 หมทู่ ี่ 9 ตาบลโนนเจริญ อาเภอบ้านกรวด จังหวดั บรุ รี มั ย์
เบอร์โทร – สัมภาษณ์วันเสารท์ ี่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2559
รมิดา ชาญประโคน. อายุ 50 ปี ทอี่ ยู่โรงเรยี นบา้ นกรวดวทิ ยาคาร อาเภอบ้านกรวด
จงั หวดั บุรีรมั ย์ โทรศพั ทม์ ือถอื 08-4920-6151 โทรสาร 0-4467-9098.
สมั ภาษณ์วนั พฤหัสบดีที่ 16 มิถนุ ายน พ.ศ. 2559
ลายง เครอื คา. อายุ 50 ปี ทอ่ี ยู่โรงเรียนโนนเจรญิ พิทยาคม อาเภอบา้ นกรวด จังหวดั บรุ รี มั ย์
โทรศัพทม์ ือถอื 08-1120-1215 โทรสาร 0-4419-7228. สัมภาษณว์ ันพธุ ที่ 15 มิถนุ ายน
พ.ศ. 2559
สวย มาประโคน. อายุ 75 ปี ที่อยู่บ้านเลขที่ 133 หมูท่ ี่ 9 ตาบลโนนเจรญิ อาเภอบ้านกรวด
จังหวดั บรุ รี มั ย์ เบอร์โทร – สัมภาษณว์ นั เสารท์ ่ี 18 มถิ ุนายน พ.ศ. 2559
สุรพล เทวญั รัมย.์ อายุ 54 ปี ท่อี ยูโ่ รงเรียนบา้ นกรวดวทิ ยาคาร อาเภอบา้ นกรวด จังหวัดบรุ ีรัมย์
โทรศพั ทม์ ือถือ โทรสาร 0-4467-9098. วันจันทร์ที่ 13 มิถนุ ายน พ.ศ. 2559
สวัสด์ิ ศรีสุข. อายุ 56 ปี ท่ีอยู่บ้านเลขท่ี 22 หมู่ท่ี 6 ตาบลหินลาด อาเภอบ้านกรวด จงั หวดั บรุ ีรมั ย์
เบอรโ์ ทร – สมั ภาษณว์ นั เสาร์ที่ 18 มถิ นุ ายน พ.ศ. 2559
หลู่ อ่ิมสะอาด. อายุ 54 ปี ที่อยู่บา้ นเลขที่ 119 หม่ทู ่ี 6 ตาบลหินลาด อาเภอบ้านกรวด จงั หวดั บุรรี ัมย์
เบอร์โทร – สัมภาษณว์ นั เสาร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2559
อุดม เพชรกลา้ . อายุ 37 ปี ท่อี ยู่บา้ นเลขที่ 145 หมูท่ ่ี 9 ตาบลโนนเจรญิ อาเภอบา้ นกรวด
จังหวัดบุรีรมั ย์ เบอรโ์ ทร – สมั ภาษณ์วันเสารท์ ่ี 18 มถิ นุ ายน พ.ศ. 2559
อุดร ลาขุมเหล็ก. อายุ 52 ปี ทอ่ี ยู่บ้านเลขท่ี 134/2 หมู่ที่ 6 ตาบลหินลาด อาเภอบา้ นกรวด
จงั หวัดบรุ รี ัมย์ เบอร์โทร – สัมภาษณว์ ันเสารท์ ่ี 18 มิถุนายน พ.ศ. 2559
ภาคผนวก
ตัวอยา่ งแบบสัมภาษณ์
รปู วิทยากร
หรือ
ภูมปิ ัญญาทอ้ งถ่นิ
บคุ คลสาคัญที่ ………
ชือ่ วทิ ยากร/ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ นาย/นาง.....................................................ชอื่ เลน่ .......................
อายุ ............................... ปี
ทอี่ ยู่ บ้านเลขท.่ี ...............................................................................................
โทรศพั ท์ โทรศพั ท์มอื ถือ. ...................................โทรศพั ทบ์ า้ น ...........................
ประเภท ภูมิปัญญาทอ้ งถ่นิ ด้าน.................................................
ผู้สัมภาษณ์ เดก็ หญงิ /เด็กชาย....................................................................................
วนั ที่สัมภาษณ์ วนั .....................ที่ ............เดือน...................................... พ.ศ...............
ขอ้ มลู ทไี่ ด้จากการสมั ภาษณ์
1. ข้อมูลประวัตคิ วามเปน็ มาของเตาเผาโบราณเตาสวาย
.........................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
2. ข้อมูลเก่ียวกบั เครื่องเคลือบดนิ เผาทคี่ น้ พบ
.........................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
3. ข้อมลู เกย่ี วกับประเภทของเคร่ืองเคลือบดนิ เผา
.........................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
4. ข้อมูลเก่ียวกบั แหล่งเตาเผาทคี่ ้นพบในอาเภอบา้ นกรวด
.........................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
ชอื่ วิทยากร บคุ คลสาคญั ที่ 1
รมิดา ชาญประโคน
ช่ือเล่น ตาแหน่ง ครู วทิ ยฐานะ ครชู านาญการพิเศษ
อายุ ครูชว่ ย
ท่ีอยู่ 50 ปี
โรงเรยี นบา้ นกรวดวทิ ยาคาร อาเภอบ้านกรวด จังหวดั บรุ ีรมั ย์
ประเภท โทรศัพท์มือถือ 084-920-6151 โทรสาร 0-4467-9098
ผู้สัมภาษณ์ ภูมิปัญญาทอ้ งถน่ิ ด้านประเพณแี ละพธิ ีกรรม
เด็กหญงิ ณชั ชา สระทองหลาง, เดก็ ชายอคั รวินทร์ ชัยราช
วนั ทส่ี ัมภาษณ์ เด็กหญงิ สรุ ินทร์ทรา จาประโคน
วนั พฤหสั บดีที่ 16 มถิ ุนายน พ.ศ. 2559
ขอ้ มลู ท่ไี ดจ้ ากการสมั ภาษณ์
1. ข้อมูลประวัติความเป็นมาของศนู ยพ์ ฒั นาการเรยี นรปู้ ระวัตศิ าสตร์
จากรายงานของกรมศลิ ปากร พบว่า อาเภอบ้านกรวดมีแหลง่ เตาเผา เคร่อื งเคลอื บโบราณอยู่
กระจัดกระจายในพ้นื ทรี่ าว 100 เตา แสดงให้เหน็ ถงึ ความเจริญรงุ่ เรือง ความชาญฉลาด
และภมู ปิ ัญญาของบรรพบุรษุ ชาวอาเภอบา้ นกรวด ซ่งึ ได้สรา้ งสรรคง์ านศิลปะเอาไวใ้ ห้ชนรุน่ หลังได้เห็นเป็น
ศิลปวัตถุทีท่ รงคุณคา่ มคี วามสวยงามเป็นเอกลกั ษณ์เฉพาะทแ่ี ตกตา่ งจากแหล่งอนื่ ๆ
เครอื่ งเคลือบดินเผาโบราณท่อี าเภอบา้ นกรวด เป็นอารยธรรมตง้ั แต่ท่มี ีอายุมากกว่า 1,000 ปี
ต่อมา ราวปี พ.ศ. 2524 โรงเรียนบ้านกรวดวทิ ยาคารโดยนางสวุ รรณ บาลโสงและคณะ รว่ มกนั กับชุมชน
เรมิ่ จัดเก็บรวบรวมสะสมเคร่อื งเคลอื บดนิ เผาทม่ี ีอยู่มากในเขตพ้นื ที่อย่างจริงจัง
หลังการคน้ ควา้ พิสจู นค์ านวณอายุของกรมศลิ ปากร ทาใหช้ ุมชนไดต้ ะหนกั เลง็ เหน็ คุณคา่
และความสาคญั ของวตั ถุโบราณเครอ่ื งเคลอื บดินเผาซึง่ มปี ระโยชนต์ ่อการศกึ ษาแหล่งอารยธรรม
ต่าง ๆ ของชาตไิ ทย จนกระท้งั ในวนั ท่ี 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2530 สานกั งานคณะกรรมการวฒั นธรรม
แห่งชาติ จึงไดจ้ ดั ต้งั ให้โรงเรียนบา้ นกรวดวิทยาคารเปน็ ศนู ย์วฒั นธรรมแหง่ ชาติ จงึ จดั ตงั้ ให้โรงเรียนบ้าน
กรวดวิทยาคาร เปน็ ศนู ยว์ ัฒนธรรมอาเภอบ้านกรวด นบั แต่น้ันเป็นตน้ มา
วตั ถุประสงค์ของการสร้างศนู ยว์ ฒั นธรรมอาเภอบา้ นกรวด มีหลายประการดงั น้ี
จดุ ม่งุ หมายระดบั แผนงาน
1) สงวน รกั ษามรดกวฒั นธรรมเครอ่ื งเคลือบดนิ เผาพันปขี องอาเภอบ้านกรวด
2) ส่งเสริมการจดั การบรหิ ารการศกึ ษาของโรงเรยี น
จดุ มุ่งหมายระดับโครงการ
1) สรา้ งพพิ ธิ ภณั ฑ์ เกบ็ รกั ษาเคร่ืองเคลือบดนิ เผาโบราณ
2) จาลองเตาเผา บ่อนา้ บาราย คลองนา้ นา้ ตกหนิ ทรายธรรมชาติ
3) จดั กิจกรรมผลติ เครอื่ งเคลือบดนิ เผาให้ชุมชน
4) จดั มหกรรมบา้ นกรวด 2005 แฟร์
5) ส่งเสริม สงวนรกั ษาแหล่งท่องเท่ยี วเสน้ ทางวฒั ธรรมของอาเภอบา้ นกรวดและจงั หวดั
2. ข้อมลู เกย่ี วกับเครอื่ งเคลือบดนิ เผาท่ีค้นพบ
เครอื่ งเคลอื บโบราณพนั ปีทค่ี ้นพบบรเิ วณเขตอาเภอบา้ นกรวดน้นั เป็นผลิตภัณฑ์เครื่องปันดนิ
เผาในสมัยลพบรุ ี นักโบราณคดีและนกั ประวตั ิศาสตรไ์ ด้จดั แบง่ ออกตามลักษณะและรปู แบบออกเป็น 6 ชว่ ง
สมยั คอื
1) แบบกุเลน
2) แบบไม่เคลอื บสี (ลีเดอแวง)
3) แบบบาปวน
4) แบบพระเจ้าชัยวรมนั ท่ี 6
5) แบบนครวัด
6) แบบบายน
สว่ นใหญเ่ ครื่องเคลือบโบราณทีอ่ าเภอบา้ นกรวดจะเป็นภาชนะดนิ เผาท่มี เี น้อื แกร่ง มีอายุ
ประมาณ 1,100 ปี ลักษณะทศี่ กึ ษาเกยี่ วกับขนั้ ตอนการเคลอื บสนี ัน้ สนั นษิ ฐานกันวา่ ใช้แป้นหมนุ
ช่วงระยะของการผลติ ทม่ี ีความเจริญร่งุ เรอื งน้ัน มีความเจริญรงุ่ เรืองราวพุทธศตวรรษที่ 15-17 และ
มรี ูปแบบท่ีนา่ สนใจ เชน่ ประเภทโถ มที ง้ั ทรงสูง ทรงเตีย้ ประเภทตลับสว่ นใหญ่นั้นเป็นทรงเตย้ี
มฝี าปดิ บางชนดิ กท็ าเปน็ รปู ผลไม้ ประเภทคนโท ทาเป็นรูปสตั วต์ า่ ง ๆ เชน่ รูปปลา รปู นก เป็นตน้
ในการผลติ เครือ่ งเคลือบโบราณทีค่ น้ พบทีอ่ าเภอบ้านกรวดน้ัน ส่วนใหญไ่ ดร้ บั อทิ ธพิ ล
และแบบอยา่ งมาจากประเทศจนี มีการค้นพบผลิตภัณฑเ์ ครื่องเคลอื บดนิ เผาในสมัยราชวงศถ์ ังของจนี ใน
บริเวณน้เี ป็นจานวนมาก และพบใกลบ้ รเิ วณเตาเผา ซง่ึ กระจัดกระจายอยู่ท่ัวไป ภาชนะทข่ี ดุ พบบางชนิดนน้ั
มีตัวอกั ษรจีนปรากฏอยู่
วตั ถุประสงค์ในการผลิตผลิตภณั ฑ์เครอื่ งเคลอื บโบราณ
1) เพอ่ื เปน็ ภาชนะใชส้ อยในบ้านเรอื น
2) เพื่อเป็นวัสดุที่ใช้ประกอบการสรา้ งอาคารสถานท่ี
3) เพอ่ื เป็นภาชนะทใี่ ช้ในการประกอบพธิ ีกรรม
4) เพื่อเปน็ ของสาหรบั เดก็ เลน่
5) เพื่อใชเ้ ป็นส่ิงของเพื่อแลกแทนเงินตรา
จากการสันนิฐานจากแหล่งข้อมลู ในท้องถ่นิ ทพ่ี บบรเิ วณเตาเผาโบราณของอาเภอบา้ กรวดนนั้
นักโบราณคดี นักโบราณคดีสันนิฐานวา่ บริเวณน้เี ลยเป็นศนู ย์กลางในการผลิตผลิตเคร่อื งเคลอื บดนิ เผาสมยั
โบราณทีม่ ีความเจรญิ ร่งุ เรอื งมากทส่ี ดุ และผลติ ภณั ฑเ์ หล่านไ้ี ดน้ าไปจาหน่ายในแหลมอินโดจนี ราชอาณาจกั ร
ตา่ ง ๆ ทว่ั ทั้งอาณาจกั ร
ในอาเภอบ้านกรวดจะสามารถคน้ พบเครอื่ งเคลอื บดินเผาแหล่งเตาเผาโบราณกระจาย
อย่ทู ่ัวไปเกือบทกุ ตาบล ซ่งึ แต่ละแห่งล้วนเปน็ เตาขนาดใหญ่โดยแหล่งเตาเผาเขตอาเภอบ้านกรวด
มกี ลุม่ เตาเผาหลายกลุม่ ด้วยกนั เชน่ กลมุ่ เตา “บา้ นถนนนอ้ ย” กลมุ่ เตา “บ้านโคกใหญ่” กลมุ่ เตา
“บา้ นหนองคนู อ้ ย” กลุ่มเตา “บา้ นโคกยาง” กลุ่มเตา “บา้ นตาปางน้อย” กล่มุ เตา “บา้ นละหอกตะแบง”
กลมุ่ เตา “บา้ นโตง” กลมุ่ เตา “บ้านสายโท 4” โดยในการรวบรวมเครื่องเคลือบดินเผานนั้
จะได้รับบรจิ าคจากชาวบ้าน นกั เรยี นและผปู้ กครองรว่ มบริจาค หรอื ขอซ้อื โดยตรงจากชาวบา้ น
3. ขอ้ มูลเกีย่ วกบั ประเภทของเครอ่ื งเคลือบดินเผา
ผเู้ ช่ยี วชาญไดแ้ บ่งประเภทของเคร่ืองเคลอื บดนิ เผาไวห้ ลายปะเภท โดยจะสามารถแยกตาม
ลักษณะของเครอ่ื งเคลอื บดินเผาได้ดงั น้ี
แบ่งตามรปู แบบของภาชนะ
1) รูปทรงประเภทโถ แบ่งเป็นโถทรงสงู และโถทรงเตีย้
2) รูปทรงประเภทตลับมฝี าปดิ เคลอื บทรงเต้ีย บางชน้ิ จาลองลกั ษณะเลยี นแบบผลไม้
3) รปู ทรงประเภทกระปกุ เปน็ แบบเนอื้ แกรง่ เนือ้ ภาชนะสขี าว ปากผาย ฐานเตยี้
ก้นภาชนะมีรอยขดเป็นวง ๆ มลี กั ษณะเป็นกระปุก คอสน้ั และยาวตรงกลางปอ่ ง เคลือบกุเลน
และเคลือบเขม้
4) รูปทรงประเภทถ้วยชาม พบมากทส่ี ดุ มีเน้อื หยาบและเนื้อแกร่ง มีทาเคลอื บ
สีอ่อนและสเี ขม้ ไม่เคลือบกม็ ี รปู ทรงมีหลายประเภท เช่น ชาม ถว้ ยขนาดเล็ก ถ้วยรปู ทรงตา่ งๆ
5) รูปทรงคนโท ภาชนะทรงสูงคล้ายกระปกุ หรือขวด แตม่ ีพวยกาตรงกลาง
4. ข้อมูลเก่ยี วกับแหล่งเตาเผาทค่ี ้นพบในอาเภอบา้ นกรวด
เตาเผาโบราณในอาเภอบา้ นกรวด มี 2 แหง่ แบง่ ตามแหล่งเตาเผาท่ีค้นพบ แบง่ ดังนี้
4.1 แหลง่ เตาบา้ นถนนน้อย เตาเผาโบราณพนั ปที บี่ า้ นกรวดท่คี น้ พบนี้ ต้งั อย่ใู น
เขตบ้านถนนน้อย ตาบลหนิ ลาด อาเภอบ้านกรวด จังหวัดบรุ รี มั ย์ หา่ งจากทว่ี ่าการอาเภอบ้านกรวดไปทาง
ทิศตะวันออกประมาณ 5 กโิ ลเมตร ชาวอาเภอบา้ นกรวด ต้งั ช่ือเตาเผาโบราณท่ีคน้ พบแหง่ น้ี
วา่ เตาเผานายเจยี น เพราะเตาเผาโบราณแหง่ น้ตี ้ังอยทู่ ี่นาของนายเจียนซงึ่ ในปจั จบุ ันนี้ เตาเผา
ได้ถกู ทาลายไปแล้ว 3 เตา เมอื่ ราวกลางเดอื นกมุ ภาพันธ์ พ.ศ. 2529 นี้ เปน็ เตาเผาทใ่ี ช้สาหรับเผา
เคร่อื งป้นั ดนิ เผาและภาชนะทีเ่ ปน็ ผลิตภัณฑเ์ ครือ่ งเคลอื บตา่ ง ๆ ตัง้ แตส่ มยั ขอมโบราณ มกี ารใชง้ าน
ระหวา่ งศตวรรษท่ี 15-18 ลักษณะของเตาเผาโบราณแหง่ นน้ี ักวทิ ยาศาสตร์ไดแ้ บ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ
1) ส่วนทใี่ ส่ไฟไว้สาหรบั ใส่ฟนื หรอื วัสดทุ ี่ให้ความรอ้ น เช่น ไมซ้ งุ เพือ่ ใช้
เปน็ เชื้อเพลิงในการเผา
2) สว่ นทีว่ างวัสดทุ จี่ ะเผา ส่วนนี้มกี ารสรา้ งไว้อยา่ งเป็นระเบยี บใช้สาหรบั เปน็ ทว่ี าง
วสั ดทุ จ่ี ะเผา มกี ารสรา้ งไวเ้ ปน็ ชนั้ ๆ มที ี่สาหรับปอ้ งกนั เพ่ือไม่ให้วสั ดทุ ีจ่ ะเผาร่วงหล่นในขณะทเ่ี กิด
การเปลย่ี นแปลงอณุ หภูมิระหวา่ งการเผากบั ภาชนะท่ีเผา
3) ส่วนทป่ี ลอ่ ยเผา สรา้ งไว้สาหรบั ใช้ในการระบายความรอ้ นซึง่ อยขู่ ้างหลงั ลกั ษณะทัว่ ไปของ
เตาเผาโบราณแหง่ นม้ี รี ูปร่างค่อยขา้ งกลมรี สว่ นตวั เตาเผาเป็นเตาดนิ ก่อแบบระบาย
ความรอ้ นในแนวเฉยี ง สรา้ งซับซ้อนกันหลาย ๆ คร้งั ส่วนโครงเตาน้ันสรา้ งขึน้ เพอื่ ใหส้ ามารถเผาผลติ ภณั ฑ์
อณุ หภูมิ 1,200-1,250 องศา มแี บบเพม่ิ และลดความรอ้ นด้วยออกซเิ จน ซ่งึ ทาใหพ้ บเศษของผลติ ภณั ฑ์ท่เี ผา
ตา่ ง ๆ ตกทับถมอยใู่ นเตาเดียวกัน สว่ นมากผลิตภณั ฑ์ท่เี ผานนั้ มีความคลา้ ยคลงึ กันและเหมือนกับราชวงศ์ถงั
ของจนี
จากการพสิ จู น์ดว้ ยวธิ ที างวทิ ยาศาสตร์ทเ่ี รียกวา่ เรดโิ อคาร์บอน โดยการศึกษาตวั อย่างของถ่าน
ทคี่ น้ พบในบริเวณเตาเผาโบราณแหง่ นี้ ทาใหเ้ ราทราบว่า เตาเผาโบราณแห่งนี้มีการสรา้ งเปน็ 2 ชว่ งสมัย คือ
สมยั พุทธศตวรรษที่ 13 ถึงปลายสมยั พทุ ธศตวรรษที่ 14 เปน็ ช่วงที่ 1 และสมัยพุทธศตวรรษที่ 16 ถึงตน้ สมยั
พทุ ธศตวรรษที่ 16 เป็นช่วงท่ี 2
ในแหล่งเตาเผาน้สี ามารถพบเครอื่ งเคลอื บกระจัดกระจายเต็มพนื้ ที่สามารถจาแนกได้ดังนี้
1) เครอื่ งปน้ั ดินเผาเคลอื บสีเขียวใส เนอ้ื ดินปั้นสขี าวนวลละเอียด ท้งั มีนา้ เคลอื บทเ่ี รียบเสมอ
สวยงามกับท่มี ีลายแตกกราน เชน่ ชาม ตลับ เป็นต้น
2) เครอื่ งปัน้ ดนิ เผาสนี ้าตาล เน้อื ดินปัน้ สีเทา ถา้ เป็นกระปกุ จะทานา้ เคลอื บสนี า้ ตาล
บาง ๆ ภายในไวด้ ว้ ย สว่ นด้านนอกจะตกแตง่ เป็นลายเส้นต้ัง ถา้ เป็นถ้วยจะเคลือบสีนา้ ตาลทัง้ ดา้ นใน
และดา้ นนอก โดยเคลือบจะไม่จรดกน้ จงึ เน้ือดนิ ปั้นสีเหลอื ง ถ้วยจะมีเชงิ รปู กลมตนั ปาดเรียบดคู ลา้ ยตวั
ถว้ ยตงั้ อยบู่ นเมด็ กระดมุ ขนาดใหญ่
ท่บี ้านถนนนอ้ ยนโ้ี ครงการโบราณคดีภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือได้ทาการขดุ คน้ เตาเผาในเขตทีด่ นิ
ของนายเจยี น เมอ่ื พ.ศ. 2530 ซงึ่ อยนู่ อกตวั หมบู่ ้านและเรียกชอื่ ว่า เตานายเจยี น จากการขดุ คน้ พบว่า
ผลิตภัณฑส์ ่วนใหญเ่ ปน็ เครอ่ื งเคลือบสเี ขียวออ่ น พวกเครอ่ื งเคลือบสนี ้าตาลเขม้ มีนอ้ ย และเมื่อนาไปวเิ คราะห์
หาอายแุ ลว้ พบวา่ มอี ายรุ ะหวา่ งพทุ ธศตวรรษที่ 15-18
4.2 แหลง่ เตาเผาสวาย ตั้งอยู่ทบี่ ้านโคกใหญ่ หมทู่ ี่ 9 ตาบลโนนเจริญ ระยะทางห่าง
จากทวี่ า่ การอาเภอบา้ นกรวดประมาณ 7 กโิ ลเมตร จดั เป็นเตาเผาประเภท Sabkiln กอ่ ดว้ ยดนิ
หรือดนิ เหนยี วมชี ่องระบายความร้อนในแนวนอน หรอื เฉียงขึ้น สนั นษิ ฐานวา่ เตาเผาแห่งนเี้ กิดขึน้ ในศตวรรษ
ที่ 15-17 แหล่งเตาเผาน้ี ผลติ เครอ่ื งเคลือบดนิ เผามากมายหลายประเภท เช่น ไห พาน แวน่ ฟ้ากระปุก
คนโท ลว้ นมีเน้อื ดนิ ปั้นแบบแกรง่ หรอื สโตนแวร์ (Stoneware) มีทงั้ เคลือบสีเขียวใส
เคลอื บสีน้าตาล และแบบไม่เคลือบซ่งึ ไดแ้ ก่
1) เครือ่ งป้นั ดนิ เผาเคลือบสีเขยี วใส และสีเขยี วเข้ม มที ง้ั ชามและไหขนาดใหญ่ เนื้อดนิ ป้นั ของ
ชามจะมสี เี ขียว ส่วนเนอ้ื ดนิ ปน้ั ของไหจะเป็นสีเทา ชามจะเคลือบสีเขยี วใส ทง้ั ภายในและภายนอก ส่วนไหจะมี
ปากผายกวา้ ง เคลือบสเี ทาด้านนอกและบรเิ วณรอบปากไหดา้ นใน
2) เครื่องป้ันดินเผาเคลอื บสีน้าตาลมที ั้งกระปุก ตะคนั และไหขนาดต่าง ๆ เนอ้ื ดินป้ัน
เปน็ เนื้อแกรง่ สโตนแวร์ (Stoneware) มที ้ังสีเหลือง สเี ทาเข้ม และสีดา ซง่ึ มีสีของนา้ เคลอื บ มีทั้งสีน้าตาลเข้ม
จนดาเปน็ มัน สนี ้าตาลออกเหลือง สเี ขียว สีนา้ ตาลมีรอยนา้ เคลอื บสีเขียวเป็นทาง สีนา้ ตาลเหลอื งงอมทอง
3) เครือ่ งปน้ั ดนิ เผาไมเ่ คลือบ เคร่อื งปนั้ ดนิ เผาพวกน้ี มเี นือ้ ดินปนั้ แกรง่ แบบสโตนแวร์
(Stoneware) สีแดง ซงึ่ มที ้ังชาม อา่ ง และไห ล้วนประดับรอบคอและไหล่ ลายเส้นโค้งซ้อมแบบลายพวงระย้า
อาเภอบา้ นกรวดไดต้ ระหนักถึงความสาคญั และคุณคา่ ของภูมิปญั ญามรดกทางวัฒนธรรมจงึ จดั
งานเครื่องเคลอื บพันปเี ป็นประเพณที ่ีสืบมาต้ังแตป่ ี 2535 โดยการรเิ รม่ิ ของนายบุญทิศ ดวงจนั ทร์ นายอาเภอ
บ้านกรวดในขณะน้ันและไดม้ กี ารกาหนดให้มกี ารจัดงานข้นึ ในราวต้นเดือนเมษายนของทกุ ปี
ในงานมีการแสดงเก่ยี วกบั การละเลน่ ท้องถ่ินอย่างมากมาย เชน่ เรอื มอนั แร การแสดงตาข้าวโบราณ
การแข่งขนั แหบ่ ้ังไฟ การแขง่ ขนั ตาส้มตาเขมร และอน่ื ๆ เพ่ือให้ประชาชนในอาเภอบา้ นกรวดภาคภูมิใจใน
ภมู ิปญั ญา อันเปน็ มรดกทางวฒั นธรรมของท้องถ่นิ และไดจ้ ัดติดต่อกันมาเป็นประจาทกุ ปี
ในการจัดงานเครื่องเคลอื บพนั ปี อาเภอบ้านกรวดไดจ้ ัดให้มีกิจกรรมเพอื่ เปน็ การสง่ เสริม
ความสมั พันธ์อนั ดีระหวา่ งประเทศไทย และราชอาณาจกั รกมั พชู าในฐานะประเทศเพอื่ นบ้าน โดย
การแลกเปล่ยี นวฒั นธรรมไทย-กัมพชู า การเล่นกีฬาเช่ือมความสมั พนั ธ์ เช่น มวย และฟตุ บอล
โดยเร่ิมกจิ กรรมเชอ่ื มความสัมพันธร์ ะหวา่ งประเทศน้มี าตง้ั แตป่ ี พ.ศ. 2539 จนถงึ ปัจจุบนั
บคุ คลสาคญั ที่ 2
ช่อื วทิ ยากร นายสรุ พล เทวัญรมั ย์
ตาแหน่ง ครู วทิ ยฐานะ ครชู านาญการพิเศษ
ชือ่ เล่น คณุ ครูพล
อายุ 54 ปี
ทอ่ี ยู่ โรงเรียนบา้ นกรวดวิทยาคาร อาเภอบา้ นกรวด จงั หวดั บรุ รี ัมย์
โทรศพั ท์ โทร 0-4467-9098
ประเภท ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ ด้านประเพณแี ละพธิ กี รรม
ผู้สัมภาษณ์ เดก็ หญิงณชั ชา สระทองหลาง, เด็กชายอัครวินทร์ ชัยราช
เด็กหญงิ สรุ นิ ทรท์ รา จาประโคน
วนั ทสี่ มั ภาษณ์ วนั พฤหสั บดีท่ี 16 มถิ ุนายน พ.ศ. 2559
ข้อมลู ทีไ่ ด้จากการสมั ภาษณ์
การสรา้ งบ้านแปงเมอื งบ้านโนนเจริญนัน้ เกิดจากการยา้ ยถ่ินฐานมารวมกนั ของประชาชน
จากทวั่ สารทิศ โดยมจี ดุ ประสงค์เดียวกนั คอื เพอ่ื มาบุกเบกิ แผ่นดินทรี่ กรา้ งว่างเปล่าเพอื่ ทาการเกษตรใช้
ประกอบอาชีพเล้ียงตนเองและครอบครวั ตงั้ แต่ ปี พ.ศ.2493 จนถงึ ปัจจบุ ัน พ.ศ. 2555 เปน็ เวลายาวนานถงึ
62 ปี จงึ ทาให้เกิดภมู ิปญั ญาท่เี ก่ยี วกบั ความเชือ่ และพิธีกรรมในการดารงชวี ติ เพอ่ื แกป้ ัญหา
สาหรับภูมปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ ของไทยซึ่งเกีย่ วกับความเชอ่ื ในทางพระพุทธศาสนาเป็นหลักนั้นได้มี
ส่วนสร้างสรรคส์ งั คมโดยการผสมผสานกบั ความเช่อื ดั้งเดมิ จนกลายเป็นลักษณะเฉพาะของแตล่ ะท้องถ่นิ ซ่งึ
เกิดจากการสรา้ งสรรค์สะสมประสบการณส์ ามารถพบหลกั ฐานจากรอ่ งรอยทีป่ รากฏกระจายอย่ทู วั่ ไปซง่ึ แสดง
ใหเ้ หน็ ถงึ เทคนคิ ความคดิ ความเช่อื ของบรรพบรุ ษุ เป็นอยา่ งดี เตาเผาขอมโบราณเตาสวายบา้ นโคกใหญ่ หมทู่ ี่
9 ตาบลโนนเจริญ อาเภอบา้ นกรวด จงั หวดั บุรรี มั ย์ เป็นภูมิปัญญาทอ้ งถิ่นทีผ่ สมผสานอารยธรรม ความเชอื่
และศาสนา ของชาวอาเภอบ้านกรวด เราลกู หลานควรศกึ ษาประวตั คิ วามเปน็ มาและอนรุ ักษ์ส่ิงทด่ี งี ามไว้
เหน็ คุณค่าและสืบสานสู่ร่นุ ต่อ ๆ ไป
แหลง่ เตาเผาขอมโบราณอาเภอบา้ นกรวด
แหลง่ เตาเผาขอมโบราณอาเภอบา้ นกรวดเป็นภูมิปัญญาทอ้ งถน่ิ เก่ยี วกบั ประตมิ ากรรม
และหตั ถกรรมพ้นื บ้านทม่ี เี อกลักษณ์เฉพาะซ่ึงมลี วดลายทีส่ ะทอ้ นให้เหน็ ถึงความเช่อื และความคดิ
ของชาวบ้านซ่ึงจะพบได้จากโบราณสถานในพพิ ธิ ภณั ฑต์ า่ ง ๆอาเภอบา้ นกรวดจงึ นาแหล่งเตาเผาขอม
โบราณอาเภอบ้านกรวดมาจดั เป็นประเพณีเพ่ือสง่ เสรมิ การท่องเทีย่ วเป็นการบารงุ รกั ษส์ ิง่ ทดี่ งี ามไว้ใหล้ กู หลาน
เห็นคณุ คา่ หรอื การปฏบิ ตั ิตนเพ่ือความสมั พันธอ์ นั ดกี ับคนและสิ่งแวดลอ้ มเชื่อว่า “ประเพณีเครอ่ื งเคลือบพนั ปี
ประเพณบี ้านกรวด” ใหป้ ระชาชนทุกตาบลในอาเภอบ้านกรวดไดม้ ีสว่ นรว่ ม
ในการจดั กิจกรรมทกุ ปีเราลูกหลานควรศึกษาประวัติความเปน็ มาของเตาเผาโบราณรายละเอยี ด ดงั นี้
ราวปี พ.ศ. 2465 มีชาวตา่ งชาติเข้ามาศกึ ษาเร่อื งเครื่องปน้ั ดนิ เผาในจงั หวดั บรุ รี มั ย์
ชอ่ื นายดับพริว เอ เกรแฮม ซ่ึงได้เขยี นบทความลงตพี ิมพใ์ นวารสาร “สยามสมาคม” หลงั จากนนั้
กม็ นี ักวชิ าการหลายท่านทั้งคนไทยและตา่ งชาตไิ ด้เขยี นบทความเกยี่ วกบั เตาเผาขอมโบราณบา้ นกรวด
อกี หลายทา่ น
การสารวจและการขุดคน้ แหลง่ เตาเผาของอาเภอบ้านกรวด จังหวดั บรุ รี มั ย์ มีขึน้ ครงั้ แรกราวปี
พ.ศ. 2519 โดยกรมศิลปากรเป็นเจา้ ภาพ หลังจากนน้ั การขดุ ค้นต้องหยุดชะงกั ไปเน่อื งจากเหตกุ ารณบ์ า้ นเมอื ง
บริเวณนไ้ี ม่สงบเกิดการสรู้ บระหว่างไทยกบั กัมพูชา กรมศิลปากรเข้ามาขดุ ค้นแหล่งโบราณอกี ครงั้ ราวปี พ.ศ.
2527 โดยการขุดค้นแหลง่ โบราณคดีและศึกษาเตาเผาโบราณไปพร้อม ๆ กัน ซ่งึ คน้ พบท่ีเตาเผาโบราณแห่ง
แรกท่ีโคกลิน้ ฟา้ บ้านบาระแนะอาเภอละหานทราย ราวปี พ.ศ. 2530
ได้ขดุ ค้นเตาเผาโบราณทเ่ี ตานายเจียนและเตาสวาย อาเภอบา้ นกรวด จังหวัดบุรีรมั ย์
จากการศกึ ษาของกรมศลิ ปากรสนั นฐิ านวา่ เครอ่ื งป้นั ดนิ เผาโบราณมอี ายุ ระหว่าง
พทุ ธศตวรรษท่ี 14-19 และหลงั จากนั้นไมม่ กี ารผลิตโดยไม่ทราบสาเหตุแตม่ ีความรใู้ หมน่ อกเหนอื
กรมศิลปกรกลา่ วไว้ขา้ งตน้ คือในอาเภอบ้านกรวดมแี หล่งเตาเผาโบราณยุคก่อนประวัตศิ าสตรซ์ ่งึ อยใู่ นบรเิ วณ
วดั ป่าพระสบาย บา้ นบึงน้อย ตาบลบงึ เจรญิ มอี ายุระหว่าง 2,000 - 2,500 ปี มีอายรุ ่วมสมัยกบั เตาเผา
โบราณท่ขี ดุ พบทีจ่ งั หวดั ร้อยเอ็ดหรือเคร่อื งป้ันดนิ เผาทุ่งกลุ า
แหล่งเตาเผาโบราณพบกระจายแทบทัว่ ทกุ ตาบลในอาเภอบา้ นกรวด ในแตแ่ หง่ ลว้ นเป็นเตาเผา
ขนาดใหญ่ มีเตาเผาแตล่ ะกลุม่ ประมาณกล่มุ ละ 2-8 เตา การผลติ เครอื่ งปัน้ ดนิ เผาจะผลิต
อยู่ 3 ประเภท คือ ประเภทเครือ่ งใช้ในครวั เรือนประเภทเคร่ืองใชใ้ นพิธีกรรมทางศาสนาและประเภทเครอ่ื ง
ประกอบอาหาร ศาสนสถาน แบง่ ประเภทกลุ่มเตาเผาของอาเภอบา้ นกรวด ไดด้ ังนี้
1) กลุ่มเตาเผาบา้ นถนนน้อย
2) กลมุ่ เตาเผาบ้านขเี้ หล็ก
3) กลมุ่ เตาเผานายเจยี น
4) กลุม่ เตาเผาบ้านสายโท 2
5) กลุม่ เตาเผาโคกยาง
6) กลุ่มเตาเผาบ้านโนนเจริญ
7) กลมุ่ เตาเผาบา้ นโคกใหญ่
8) กลุ่มเตาเผาละหอกตะแบง
9) กลมุ่ เตาเผาสายตะกู
10) กลมุ่ เตาเผาหนองไม้งาม
เตาเผาโบราณในอาเภอบา้ นกรวดหรอื เตาขอมโบราณเทา่ ทปี่ รากฏให้เห็นตามหลักฐาน
การขุดค้นพบ จะเหน็ ว่าทุกเตามีปากเตาหรือที่ใสไ่ ฟอยทู่ างทิศเหนอื หรอื ตะวันออกเฉียงเหนอื แสดง
ให้เห็นวา่ การเผาตอ้ งใชล้ มหนาวพัดเข้าปากเตา เพือ่ ให้ไฟมอี ุณหภูมิสงู กวา่ ปกติและมกี ารเผาในฤดหู นาวเท่าน้นั
เตาเผาโบราณท่มี ีการขดุ ค้นในอาเภอบ้านกรวด 2 แห่ง
1. เตานายเจยี น เตานถ้ี า้ อยู่ในทีน่ าของนายเจียนราษฎรบ์ า้ นปราสาท อาเภอบ้านกรวดเตาน้ี
แบ่งเปน็ 3 สว่ น คือ ทใี่ สไ่ ฟ ที่วางภาชนะท่เี ผาและปากปล่องระบายไฟออก เตามีความยาวประมาณ 12 เมตร
ตัวเตามกี ารกอ่ ทับซ้อนกันหลายครั้ง ตวั เตากว้าง 1.5 เมตร เปน็ เตาก่อดว้ ยดินเหนียว ตรงกลางเตามีเสาตอ
หม้อคา้ ยนั หลงั คาวางหา่ งวนั เป็นระยะๆห่างกันประมาณ 1 เมตร
ความเอยี งของพนื้ ทว่ี างภาชนะ ประมาณ 15 ผลิตภณั ฑ์ ทเี่ ผาเป็นภาชนะชิน้ เลก็ ๆเช่น ถ้วยชาม กระปกุ
กระแป้ ผอบ ฯลฯ สีท่เี คลือบมสี นี ้าตาล เขียวใส สแี ตงกวา เขียวไข่กก เตานจี้ ดั อยใู่ นกลุ่มเตา
บ้านถนนนอ้ ย
2. เตาสวาย ตงั้ อยกู่ ลางทงุ่ นามเี ตาอยใู่ กลเ้ คียงกนั 5 เตา (ขุดคน้ พบ 2531) ทน่ี เ่ี รา
จะเห็นเตาใน 3 แบบคอื เตาทม่ี กี ารขุดค้นแลว้ เตาท่ถี ูกทาลาย เราจะเหน็ รอ่ งรอยการทาลายโดยใชร้ ถไถ ไถลกึ
จนถงึ ชนั้ ดนิ ทาใหไ้ ถทาลายเตาเผาโบราณและเครอื่ งเคลอื บดินเผาโบราณแตกเสยี หายเหลอื บางส่วนคงยังมเี ตา
โบราณทยี่ ังไม่มีการขดุ คน้ บางสว่ น
การแบง่ ยคุ เครอื่ งเคลอื บดนิ เผาขอมโบราณ มผี ้เู ชีย่ วชาญหลายท่านได้แบง่ ไว้แล้ว เช่น ยอร์จ โกร์
ลเิ ยร์ วลิ เลีย่ ม วลิ เลท็ ซ์ เปน็ ตน้ ได้กาหนดอายตุ ามรปู แบบและสขี องนา้ เคลอื บ
โดยแบ่งตามผลตา่ ง ๆ ตามศิลปะขอมโบราณ นักวิชาการของไทยตอ้ งนามาพจิ ารณาใหมเ่ พื่อให้เขา้ กบั
หลกั ฐานท่ีขุดค้นพบใหม่ แบง่ เปน็ 6 แบบ ดงั นี้
1. แบบกเุ ลน อายุราว พ.ศ. 1422 เป็นเครือ่ งถ้วยสีเขยี วออ่ น
2. แบบไมเ่ คลือบ เรียกว่า ลเี ดอ แวง มอี ายุระหวา่ ง พ.ศ. 1443-1593
3. แบบบาปวนมีอายรุ ะหว่าง พ.ศ. 1593-1661 เป็นเคร่ืองเคลือบออกสีเคลอื บเปน็ 2 สี
คือสนี ้าตาล และสีเขียวกบั สเี ขียวมะกอก
4. แบบพระเจา้ ชัยวรมนั ท่ี 6 มีอายรุ ะหวา่ ง พ.ศ. 1611-1653
5. แบบนครวดั มอี ายุระหวา่ ง พ.ศ. 1653-1720 เป็นเครือ่ งเคลือบสดี าและนา้ ตาลอมเหลอื ง มลี าย
ขุดและลายแม่พมิ พ์ มบี างสว่ นไมเ่ คลือบแตช่ ุบดว้ ยสลิบสีนา้ ตาล เครือ่ งเคลอื บบางใบมี 2 สี
และยงั มีเคลือบสีเขยี วและสเี ขียวมะกอก
6. แบบบายน มีอายรุ ะหวา่ ง พ.ศ.1720-1893 เป็นเครือ่ งเคลือบที่มีเนือ้ ดินปัน้ หยกและหนกั
มขี นาดให้สว่ นมากเคลอื บสดี าน้าเคลือบหนา
บคุ คลสาคญั ที่ 3
ช่อื วทิ ยากร นางลายง เครือคา
ตาแหนง่ ครู วทิ ยฐานะ ครชู านาญการพเิ ศษ
ชือ่ เลน่ คุณครตู กุ๊ ตา
อายุ 50 ปี
ท่อี ยู่ โรงเรียนโนนเจริญพทิ ยาคม
อาเภอบ้านกรวด จงั หวดั บรุ รี ัมย์
โทรศพั ท์ มอื ถือ 08-1120-1215
ภมู ิปัญญาท้องถนิ่ ประเภท ประเพณแี ละพิธกี รรม
ผู้สัมภาษณ์ เด็กหญิงณชั ชา สระทองหลาง, เดก็ ชายอัครวินทร์ ชัยราช
เดก็ หญิงสุรนิ ทร์ทรา จาประโคน ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 3
วนั ที่สัมภาษณ์ วนั พธุ ที่ 15 มถิ นุ ายน พ.ศ. 2559
ขอ้ มลู ท่ไี ด้จากการสมั ภาษณ์
งาน “ประเพณเี ครื่องเคลือบพนั ปปี ระเพณีบา้ นกรวด” จดั ขน้ึ ราวต้นเดือนเมษายนของทกุ ปี กาหนด
จะจัดก่อนงานประเพณีขนึ้ เขาพนมรุ้งซ่งึ กาหนดขน้ึ ทกุ ปวี นั ขน้ึ 15 คา่ เดือน 5 สืบเนื่อง
จากความเชื่อวา่ นางจรยิ า ทปี่ ระกวดในงานประเพณีเคร่ืองเคลือบพนั ปปี ระเพณบี ้านกรวด ผู้ทช่ี นะเลิศลาดบั ท่ี
1 จะไดร้ ับเกยี รติเป็นนางจรยิ า นางสนองพระโอษฐ์ของพระนางภูปตินทรลักษมเี ทวีชายา
ของพระปิตลุ า ซงึ่ มบี ตุ รชาย คือ นเรนทราทิตย์
ตามเร่ืองราวทางประวตั ศิ าสตร์ กลา่ ววา่ ในสมยั ทอ่ี าณาจกั รขอมมศี ูนย์กลางอานาจอยู่ท่ีเมอื งยโสธร
ปรุ ะ และมเี มืองหนึง่ ทีม่ ีความสมั พันธ์กนั อยใู่ นภาคอีสาน มชี ่อื ว่า เมืองมหิธรปุระ ท้งั 2 เมอื ง
ตา่ งมีราชวงศ์ปกครองเมืองควบค่กู นั เรื่อยมา ทางเมืองยโสธรปรุ ะมีชอ่ื เรียก ราชวงศว์ า่ อาทติ ยวงศ์
สว่ นทางเมืองมหธิ รปรุ ะมีชอื่ เรยี กว่า จันทรวงศ์ ราชวงศ์ทัง้ สองเก่ียวดองเป็นเครอื ญาติกนั การสบื สันตตวิ งศม์ ี
การเกยี่ วพันกัน บางครง้ั มกี ารตอ่ สกู้ ันบา้ ง
เมอ่ื พระเจ้าสุรยิ วรมัน เสดจ็ ปราบดาภเิ ษกขึ้นครองราชยใ์ นชว่ งระหวา่ งการรบพงุ่ กันและได้สาเร็จ
โทษพระปิตลุ าตาย สว่ นนางภปู ตนิ ทรลักษมีเทวี ชายาของพระปิตุลา และบตุ รชาย นเรนทราทติ ยไ์ ดร้ ับการไว้
ชวี ิต แต่กระนัน้ เพ่ือความปลอดภัย นเรนทราทติ ย์ ผู้ซง่ึ ไดร้ บั การจารกึ คณุ สมบัติไวว้ า่
เปน็ ชายรูปงามเสด็จไปทางไหนกจ็ ะมสี าวๆ เดนิ ตาม และมีความสามารถยงิ ธนูได้โดยทีไ่ มต่ อ้ งเลง็
มคี วามกลา้ หาญโดยเสดจ็ ออกไปลา่ ชา้ งป่า แลว้ ตดั หวั โยนท้งิ นา้ จนกลายเป็นทะเลเลอื ด ต้องเสด็จหนรี าชภัย
สละเพศพรหมจรรย์ไปบาเพญ็ ภาวนา บวชเปน็ ฤๅษีอยใู่ นถา้ บนภเู ขาใหญ่ และสรา้ งปราสาทหินเขาพนมรงุ้
ข้นึ การวางผงั การก่อสรา้ งถอื เป็นวนั ข้ึน 15 ค่า เดือน 5 การก่อสรา้ งใชว้ ิธเี ลง็ แนวจากดวงอาทติ ยใ์ หต้ รงกับ
ประตทู ง้ั 15 ช่อง มหี ลกั ฐานเปน็ รอยบากไวใ้ ห้เป็นเส้นตรงยาวและกากบาทขนาดเล็ก
เมื่อกาลเวลาผา่ นไป พระนางภูปตินทรลักษมีเทวี ทรงราลึกถึงบุตรชาย คอื นเรนทราทติ ย์และหลาน
หิรญั ยะ จงึ เสด็จออกจากนครยโสธรปุระมุง่ หน้าสู่เขาพนมรงุ้ โดยมีนางจรยิ า นางสนองพระโอษฐแ์ ละเหลา่
สวรรคก์ านัลในตามเสด็จ พรอ้ มกบั มีจิตศรทั ธาใหจ้ ัดสรา้ งรูปเทพพาหนะทั้ง 10 ทิศ เพือ่ เป็นเทวะสกั การะแด่
เทพท่วั ไปในจักรวาล พรอ้ มกันนน้ั พระนางภปู ตนิ ทรลักษมเี ทวี ยงั ให้จดั เตรียมโค 10 ตวั แพะ 100 ตวั ถวาย
แด่นเรนทราทิตย์มหาฤาษี จากเหตกุ ารณน์ ีช้ าวจงั หวดั บุรีรัมย์ จงึ ไดร้ ่วมจดั เทศกาลข้นึ เขาพนมรุง้ ข้นึ กาหนด
งาน วนั ข้ึน 15 คา่ เดอื น 5 ของทุกปี
โรงเรียนโนนเจรญิ พิทยาคม ไดร้ บั เกียรตใิ หจ้ ดั ขบวนแห่นางดอกบัว จานวน 20 นาง
แตป่ ัจจุบันเป็นความรับผดิ ชอบของโรงเรียนบ้านกรวดวทิ ยาคาร
อาเภอบ้านกรวดจึงนาแหลง่ เตาเผาขอมโบราณอาเภอบ้านกรวดมาจดั เป็นประเพณเี พ่อื สง่ เสริมการ
ท่องเทีย่ วเปน็ การบารงุ รกั ษ์สิง่ ท่ดี ีงามไวใ้ หล้ ูกหลานเหน็ คณุ คา่ หรอื การปฏิบตั ติ นเพอ่ื ความสัมพันธ์อนั ดกี ับคน
และสิง่ แวดลอ้ มเช่อื ว่า “ประเพณเี ครื่องเคลือบพันปีประเพณบี ้านกรวด”
ใหป้ ระชาชนทุกตาบลในอาเภอบ้านกรวดไดม้ สี ว่ นรว่ มในการจดั กจิ กรรมทุกปเี ราลกู หลานควรศึกษาประวตั ิ
ความเป็นมาของเตาเผาโบราณสืบเนื่องต่อไป
ชื่อผู้ให้สมั ภาษณ์ บุคคลสาคัญท่ี 4
อายุ
ที่อยู่ นายบุญมี จาเริญดี ชอื่ เล่น มี
67 ปี
เบอรโ์ ทร บา้ นเลขท่ี 9 หมทู่ ่ี 9 ตาบลโนนเจรญิ อาเภอบา้ นกรวด
ผู้สัมภาษณ์ จังหวัดบุรีรัมย์
–
วนั ท่สี มั ภาษณ์ เดก็ หญงิ ณชั ชา สระทองหลาง, เดก็ ชายอัครวินทร์ ชยั ราช
เด็กหญิงสุรนิ ทร์ทรา จาประโคน ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3
วันเสาร์ท่ี 18 มถิ นุ ายน พ.ศ. 2559
ข้อมลู ทีไ่ ดจ้ ากการสมั ภาษณ์
1. ข้อมลู เกยี่ วกับเตาเผา
นายบญุ มี จาเรญิ ใหข้ ้อมลู วา่ เคยเป็นเจา้ ของท่ีนาทีม่ ีเตาเผาโบราณเตาสวายมากอ่ น
ตาบญุ มียังเคยใหส้ มั ภาษณ์กับนกั ขา่ วชอ่ ง 7 ด้วยว่า ที่นาบรเิ วณนั้นเปน็ พื้นท่ีธรรมดาใชพ้ ้นื ทีด่ นิ เหล่านั้น ปลกู
พืช ผัก โดยท่วั ไป ต่อมาเจ้าหนา้ ที่กรมศิลปากรได้เข้ามาสารวจ แลว้ ขอซือ้ ท่ดี นิ บรเิ วณ
ทม่ี ตี ้นกลว้ ยปลกู อยู่โดยให้ราคา 5,000 บาท แลว้ กข็ ดุ ตน้ กลว้ ยบรเิ วณนนั้ ออกจนหมด บูรณะซอ่ มแซม
ขุดคน้ เตาเผาจนเป็นรูปรา่ ง จากน้ันก็สรา้ งอาคารครอบเตาเผาใหค้ งทน ถาวรจนถงึ ทกุ วันน้ี
2. ขอ้ มูลเกยี่ วกับการรว่ มกิจกรรม “งานเครือ่ งเคลือบพันปีประเพณีบ้านกรวด”
คุณตาได้รว่ มขบวนในฐานะภมู ปิ ญั ญาท้องถ่นิ ของตาบลโนนเจรญิ และตดิ ตามดขู บวนแห่เคร่ือง
เคลอื บพนั ปี ประเพณีบ้านกรวด ทกุ ปี