The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การเจริญสติสัมปชัญญะ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by pichitmcu, 2021-01-13 06:20:28

การเจริญสติ สัมปชัญญะ

การเจริญสติสัมปชัญญะ

การเจรญิ สติ สมั ปชัญญะ

บทนา

การเจริญสติและสัมปชัญญะผู้สอนได้รวบรวมข้อมูลจากออนไลน์และ ปรับประยุกต์เพ่ือให้นิสิตได้
เรียนรูแ้ ละสะดวกต่อการอ่านเพ่ือส่งเสริมการเรยี นรู้ธรรมะภาคปฏบิ ัติ ๒ รวมถึงการฝึกเจริญสตสิ ัมปชญั ญะได้
ด้วยตนเอง ในบทเรียนน้ีเน้นการเจริญวิปัสสนา สาหรับนาไปประยกุ ต์ใชก้ ับสาขาวชิ ารัฐศาสตร์และสาขาวชิ า
การจัดการเชิงพทุ ธ โดยสาชาวิชาการจัดการเชิงพุทธเป็นการมุ่งเน้นให้พุทธศาสนิกชนนาองค์ความร้ทู างด้าน
การเจริญวปิ ัสสนากรรมฐานไปพัฒนาคุณภาพชวี ิต สาหรบั สาขาวชิ ารฐั ศาสตร์นาองค์ความรู้เกีย่ วกบั การเจริญ
วิปัสสนาไปประยุกต์ใช้ในการจัดการรัฐ โดยเฉพาะการเจริญสติและสัมปชัญญะจะช่วยให้เจ้าหน้าท่ีรัฐและ
สมาชิกในรัฐลดความขัดแย้ง แก้ปัญหาความเห็นต่างทางการเมืองได้ ปัจจุบันความขัดแย้งในสังคมไทยมีสูง
สมาชิกในรัฐจะต้องมีสตแิ ละสมั ปชัญญะวางใจเป็นกลางรับฟังเหตุผล สติและสัมปชัญญะเป็นรากฐานการว่าง
ใจเป็นกลางนาไปสู่ความสขุ สงบในรัฐได้

การปฏบิ ัตติ วั ใหอ้ ย่ใู นสังคมได้อยา่ งเป็นสุข
ท่ีมา https://www.dmc.tv/pages/good_QA

สติ

สติ แปลวา่ ความระลึกได้ ความนกึ ข้นึ ได้ ความไม่เผลอ ฉุกคิดขึน้ ได้ การคุมจิตไวใ้ นกิจ หมายถงึ อาการ
ท่ีจิตนกึ ถงึ ส่งิ ทีจ่ ะทาจะพูดได้ นกึ ถงึ สงิ่ ทีท่ าคาทพ่ี ูดไวแ้ ลว้ ได้ เปน็ อาการทีจ่ ติ ไมห่ ลงลมื ระงบั ยับยง้ั ใจได้ ไมใ่ ห้
เลนิ เล่อพล้ังเผลอ ป้องกันความเสยี หายเบ้อื งตน้ ยบั ย้ังชัง่ ใจไม่บุ่มบา่ ม เรียกอีกอย่างหน่ึงว่า ความไมป่ ระมาท

สติ เป็นธรรมมีอุปการะมาก คือทาให้ตน่ื ตัวอยเู่ สมอ เป็นเจตสิกชนดิ หน่งึ สตนิ ้ันหากนามาใช้กบั ทาง
โลกทั่วไปกย็ ่อมมีประโยชนม์ หาศาลอยแู่ ลว้ ไมว่ ่าจะเปน็ การงาน ความสมั พนั ธ์กับบคุ คลอื่น ๆ การคิดอา่ นยอ่ ม
เปน็ ระบบ จิตย่อมมีสมาธใิ นการทากจิ การงานใด ๆ อารมณม์ ักจะเปน็ ปกติ ไม่ค่อยโกรธ เครียด หรอื ทุกขใ์ จ
อะไรมาก ๆ กลา่ วโดยรวมคอื ยอ่ มเกื้อกูลชวี ิตประจาวนั ทางโลกได้อย่างดีซ่งึ เป็นประโยชนท์ ่เี ห็นไดช้ ัดเจน

ถา้ รู้เนอื ง ๆ มาก ๆ เข้าจนเป็นมหาสติ ก็จะไดป้ ระโยชนจ์ ากทางธรรมดว้ ย การที่เรามีสตอิ ยเู่ นือง ๆ รู้ตวั
บ้าง ไมร่ ้ตู วั บ้าง ทาอย่างตดิ ต่อกันเป็นระยะเวลานาน ก็เพ่ือให้สตเิ ก้อื กลู ต่อการ “เหน็ ความจรงิ ” ความจริงนี้
เปน็ ส่ิงท่ใี กล้ตวั ท่สี ุดก็คือกายกบั ใจจุดหมายของการรู้ก็เพ่ือให้เหน็ ความจริง อันได้แก่อนิจจงั ทุกขัง อนัตตา วา่
กายและใจของเราน้ันเปน็ สิง่ ไม่เท่ยี ง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตวั เรา

สติ เปน็ คณุ ธรรมท่ีเกิดเองไม่ได้ ต้องทาให้เกิดขึ้นดว้ ยการฝกึ ฝนรวบรวมจิตใจให้น่ิงแน่วด้วยวิธีต่างๆ
เชน่ การเจริญวิปสั สนาคอื การฝึกตามมหาสติปฏั ฐานสูตร ทาสมาธิ สวดมนต์ ภาวนาคือให้มีความรสู้ กึ ตวั ผ่าน
อายตนะทัง้ ๖

สติ มใี ชใ้ นอีกหลายความหมาย เชน่ กาหนดรู้ ตระหนกั รู้ ระลกึ รู้ สัมผัสรู้ รู้สึกตัว และอื่นๆ ทใ่ี ชใ้ น
ความหมายการทาความกาหนดรูส้ ึกตัวในปัจจุบันต่อผัสสะใดๆท่ีเกิดขึ้นมาเพ่ือใหก้ าหนดรเู้ ฉพาะหนา้ ใหเ้ ทา่
ทันตอ่ สมั ผัสตามความเป็นจริงตอ่ สิง่ ท่ีปรากฏขนึ้ มา ให้จิตเปน็ อิสระต่อสิง่ ที่มากระทบในฐานะเปน็ เพ่ือผูเ้ ฝา้ รู้
เฉย ด้วยการเพ่มิ การรบั รทู้ างประสาทสมั ผัส โดยลดการคดิ นึกปรงุ แตง่ ความรสู้ กึ อื่นๆ

สตใิ ชเ้ พ่ือที่จะรเู้ ท่าทันในสังขาร 3
๑. ร้เู ทา่ ทนั ในการเคลอื่ นไหว (กายสังขาร) ในอนั ที่จะการสร้างกรรมใดๆ นนั่ คือศีล
๒. ร้เู ทา่ ทันในอารมณท์ ่ีปรงุ แต่งจิต (จติ สงั ขาร) จนจติ เปน็ อสิ ระจากอารมณ์ น่ีคอื สมาธิ
๓. ร้เู ทา่ ทันความคดิ ท้งั หลาย (มโนสงั ขาร) ว่าความคดิ เปน็ เหตเุ ป็นผลหรือไม่ (โยนิโสมนสิการ) น้คี ือ
ปัญญา

สัมปชัญญะ

สมั ปชัญญะ หมายถึง ความรู้ตัวท่ัวพรอ้ ม เปน็ ธรรมที่มีอุปการะ คกู่ บั สติ เปน็ ธรรมทเ่ี อื้อกับสติ ทอี่ ยู่ ๔
ลักษณะ

๑. สาตถกสมั ปชญั ญะ คือสัมปชัญญะทีก่ าหนด พิจารณาก่อนทีจ่ ะทา จะพูด สิ่งใดๆ ท่ีเหมาะสมกบั
เวลา สถานที่ ว่าพึงทา พึงพูด เชน่ ไร (อนาคต)

๒. โคจรสัมปชญั ญะ คอื สมั ปชญั ญะท่ีกาหนดรู้ในปัจจบุ นั ในการกระทาใดๆ วา่ ทาสิ่งใดอยู่ ร่างกาย
เคล่ือนไหวเชน่ ไร (ปัจจบุ นั ) ในมหาสติปัฏฐาน กายานุปสั สนา น้ัน หมายถงึ โคจรสัมปชญั ญะน้ี

๓. สัปปายสมั ปชญั ญะ คือสัมปชญั ญะที่อาการจิตท่ีไม่มที กุ ขเวทนามาก จนขันธ์ทางานไดป้ กตดิ ี เชน่
คนมที ุกขม์ ากย่อมขาดสตไิ ด้ ผู้ที่ทกุ ข์น้อยก็อาจคมุ สตไิ ด้ดีกวา่

๔. อสัมโมหสมั ปชัญญะ คือสัมปชัญญะที่กาหนด รู้สิง่ ที่ผ่านมา เคยทา คาสอนในอดีตท่ีพงึ ใช้ รูว้ า่ เรา
เปน็ ใครมีหนา้ ท่ีอะไร สิ่งที่เคยพูดให้สญั ญาเอาไวเ้ ชน่ รตู้ ัววา่ เราเป็นพระพงึ รักษาวินัย รู้ตัววา่ ละครทดี่ เู ป็นเพียง
การแสดง เราเป็นเพียงคนดูหนังอยู่ คนเราต้องแกเ่ ปน็ ธรรมดา เทา่ นั้น (อดีต)

สัมปชญั ญะเมื่อใชก้ บั การเจริญสติ

๑. สาตถกสัมปชัญญะ การกาหนดว่า อารมณท์ ี่พิจารณานี้เปน็ ประโยชนห์ รือไม่ ? เห็นไตรลกั ษณ์ได้
หรอื ไม่ ? สาตถสมั ปชัญญะคือปัญญาทีร่ ถู้ ึงประโยชน์ของการเจรญิ สตปิ ฏั ฐาน ๔ วา่ เป็นวธิ กี ารฝึกจติ เพ่ือใหไ้ ป
ถงึ เปา้ หมายคือ พระนิพพาน แล้วจากนน้ั เริม่ ลงเจรญิ สตปิ ัฏฐาน หรือเจริญวปิ ัสสนากมั มฏั ฐาน ที่เป็นหนทาง
เดยี ว ในการพน้ จากทกุ ขอริยสจั และเขา้ ถึงความสขุ สูงสดุ ของพระพุทธศาสนา

๒. โคจรสมั ปชญั ญะ การกาหนดวา่ อารมณ์ที่พิจารณานี้ปรากฏในปัจจบุ ัน เกิดขนึ้ เอง หรอื ไดน้ กึ คดิ
ปรุงแตง่ สร้างขน้ึ เห็นปจั จุบันหรอื ไม่ ? การกาหนดเจรญิ สตติ ามการรับรูห้ รืออารมณ์ของจติ ท่เี กดิ ขึน้ ได้ทัน
ปจั จบุ ันจากอารมณห์ นงึ่ ไปอีกอารมณห์ นง่ึ ได้อย่างต่อเน่ืองตลอดเวลาที่เจริญกัมมฏั ฐาน ในอิริยาบถย่อย เดิน
จงกรม และน่ังสมาธิ โดยไม่ได้เกดิ ความคิดปรุงแต่ง หรอื พิจารณาด้วยความคดิ

๓. สปั ปายสมั ปชัญญะ การกาหนดว่า อารมณ์ที่พิจารณาน้ีเป็นทส่ี บายแก่จติ แก่จรติ หรือไม่ ? เปน็ การ
พยายามควบคุมการกาหนดสติ จดจอ่ เกนิ ไปเคร่งเครยี ด หรือปล่อยรู้สบายตามธรรมชาติ สปั ปายะสมั ปชัญญะ
เปน็ เพยี งการมสี ตริ ะลึกร้อู ารมณ์ทาง ตา หู จมกู ลนิ้ กาย และใจ โดยไม่เพง่ จ้ี บังคับ กด อารมณใ์ ดๆ ทเ่ี กิดขน้ึ
เพยี งแตเ่ จริญสติกาหนดไดต้ ่อเนอื่ งเท่าทนั ตามจติ ทีไ่ ปรับอารมณอ์ ย่างเป็นธรรมชาติ

๔. อสัมโมหสัมปชญั ญะ การกาหนดวา่ อารมณ์ท่ีพิจารณานี้เป็นสมมตบิ ัญญัติ หรอื เปน็ ปรมัตถ์ เหน็ รูป
นามหรือไม่ ? อสมั โมหะสัมปชญั ญะเป็นปัญญาท่เี จรญิ สติระลึกรู้ได้ทันอารมณ์ทเ่ี กดิ ขึ้น โดยไม่เผลอ มึน นิ่ง
หรือคิดฟ้งุ ซา่ น ด้วยอารมณ์โมหะ เพยี งเจริญสติให้ทันปจั จุบนั ขณะ

สติปัฏฐาน ๔

เป็นหลักการภาวนาตามมหาสตปิ ฏั ฐานสูตร เปน็ ขอ้ ปฏบิ ัตเิ พ่ือรแู้ จ้ง คือเข้าใจตามเปน็ จรงิ ของส่ิงท้ัง
ปวงโดยไมถ่ กู กิเลสครอบงา สตปิ ฏั ฐานมี ๔ อย่าง กาย เวทนา จิต และธรรม

คาวา่ "สตปิ ฏั ฐาน" นนั้ แปลวา่ สตทิ ่ตี ัง้ มั่น, การหม่ันระลกึ , การมีสมั มาสตริ ะลึกร้นู ัน้ พ้นจากการคิดโดย
ตั้งใจ แตเ่ กิดจากจิตจาสภาวะได้ แล้วระลึกรโู้ ดยอัตโนมัติ

โดยคาว่า สติ หมายถงึ ความระลึกรู้ เปน็ เจตสกิ ประเภทหนง่ึ ส่วนปัฏฐาน แปลได้หลายอย่าง แตใ่ นมหา
สตปิ ัฏฐานสตู รและสติปฏั ฐานสตู ร หมายถึง ความตง้ั ม่นั , ความแนว่ แน่, ความมุ่งมน่ั

โดยรวมคอื เข้าไปรเู้ ห็นในสงิ่ ทงั้ หลายตามความเป็นจรงิ ตามมงุ่ มองของไตรลกั ษณห์ รอื สามัญลักษณะ
โดยไม่มีความยึดตดิ ด้วยอานาจกเิ ลสทัง้ ปวง ไดแ้ ก่

๑. กายานุปัสสนา สตปิ ัฏฐาน - การมสี ตริ ะลกึ รกู้ ายเป็นฐาน ซ่งึ กายในทนี่ ี่หมายถึงประชุม หรือรวม น่นั
คอื ธาตุ ๔ ไดแ้ ก่ ดนิ น้า ลม ไฟมาประชุมรวมกนั เป็นร่างกาย ไมม่ องกายด้วยความเป็นคน สตั ว์ เรา เขา แต่มอง
แยกเปน็ รูปธรรมหนึง่ ๆ เห็นความเกดิ ดับ กายล้วนไม่เทย่ี ง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา

๒. เวทนานปุ สั สนา สตปิ ัฏฐาน - การมีสติระลึกร้เู วทนาเป็นฐาน ไม่มองเวทนาดว้ ยความเปน็ คน สตั ว์
เรา เขาคือไม่มองว่าเรากาลงั ทกุ ข์ หรือเรากาลงั สุข หรอื เราเฉยๆ แต่มองแยกเปน็ นามธรรมอย่างหนึง่ เห็นความ
เกดิ ดับ เวทนาลว้ นไมเ่ ที่ยง เป็นทกุ ข์ และเป็นอนัตตา

๓. จิตตานปุ สั สนา สตปิ ฏั ฐาน - การมีสติระลึกรจู้ ิตเป็นฐาน เปน็ การนาจิตมาระลึกรู้เจตสิกหรือร้จู ติ ก็
ได้ ไม่มองจิตดว้ ยความเปน็ คน สัตว์ เรา เขา คือไมม่ องว่าเรากาลงั คดิ เรากาลังโกรธ หรือเรากาลังเหมอ่ ลอย แต่
มองแยกเป็นนามธรรมอย่างหนง่ึ เหน็ ความเกดิ ดบั จิตล้วนไมเ่ ท่ียง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา

๔. ธมั มานปุ ัสสนา สติปัฏฐาน - การมีสติระลึกรสู้ ภาวะธรรมเปน็ ฐาน ทงั้ รปู ธรรมและนามธรรมล้วนมี
ความเกดิ ดบั ไมเ่ ท่ียง เปน็ ทุกข์ และเปน็ อนตั ตา

สัมมาสติ

สมั มาสติ คอื การมีสติกาหนดระลึกรู้อยู่เป็นนจิ ว่า กาลังทาอะไรอยู่ กาหนดรสู้ ภาวะทเี่ กดิ ขน้ึ จรงิ
ในขณะปจั จุบนั ในสภาวะทัง้ ๔ คอื กาย เวทนา จิต และธรรม ตามความจากัดความแบบพระสูตร คือหลกั ธรรม
ที่เรียกวา่ สตปิ ัฏฐาน ๔ แบง่ ออกเปน็ ๔ คือ

๑. กายานปุ สั สนาสตปิ ฏั ฐาน การกาหนดระลึกร้ใู นกาย คือ อิรยิ าบถ 4 การเคลอ่ื นไหว (อานาปาน
บรรพ อิรยิ าปถบรรพ สมั ปชัญญบรรพ ปฏกิ ูลมนสิการบรรพ ธาตุมนสกิ ารบรรพ นวสวี ถกิ าบรรพ)

๒. เวทนานุปัสสนาสตปิ ฏั ฐาน การกาหนดระลกึ รู้ในเวทนา คือ เวทนาทางกาย ทางใจ สุข ทกุ ข์
อุเบกขา

๓. จิตตานปุ สั สนาสตปิ ัฏฐาน การกาหนดระลกึ รู้ในจิต จติ มโี ทสะรู้ มรี าคะรู้ มีโมหะรู้ ฯลฯ
๔. ธัมมานปุ สั สนาสติปัฏฐาน การกาหนดระลกึ รู้ในธรรม คอื สญั ญา(ความนึก)และสงั ขาร(ความคดิ )
นวิ รณ์ ๕ อปุ าทานขนั ธ์ ๕ อายตนะภายในและภายนอก ๖ โพชฌงค์ ๗ อริยสจั ๔

สมั มาสมาธิ

สัมมาสมาธิ แปลว่า สมาธิชอบ คอื ความตั้งใจม่ันโดยถกู ทาง โดยการท่ีกศุ ลจิตมีอารมณเ์ ป็นอันเดียว
(ความตั้งมั่นแหง่ กุศลจิตในในอารมณ์อนั ใดอนั หนึง่ ไม่ฟงุ้ ซ่าน) เข้าถงึ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตตยิ ฌาน และ จตุตถ
ฌาน จติ ต้ังมั่นในฌานทั้ง ๔ น้ี ส่วนอรปู ฌาน ท้ัง ๔ ท่านจัดเข้าในจตตุ ถฌาน ตามอารมณท์ ่ีอรูปฌานมเี จตสิกที่
เขา้ มาประกอบในจิต คือ อเุ บกขาเจตสิกและเอกัคคตาเจตสิก เช่นเดียวกับจตุตถฌาน

ความแตกตา่ งของสมาธิ และสมั มาสมาธิ
คาว่าสมาธิ กบั คาวา่ สมั มาสมาธิ มีความแตกตา่ งกัน
- สมาธิ ไดแ้ ก่การถอื เอา อารมณใ์ ดอารมณห์ นึง่ ทาใหแ้ น่วแน่อยู่ในอารมณน์ ั้น แบบสมถะสมาธิ
- สัมมาสมาธิ นนั้ เปน็ สมาธิท่ีมรี ากฐานจากการกาหนดรใู้ นมหาสติปัฏฐานทง้ั ๔ คอื กาย เวทนา จิต
ธรรม
อรยิ มรรค 8 คอื หนทางแห่งการดารงชีวติ อยา่ งร้แู จง้ มสี ติเป็นพี้นฐานดว้ ยการฝึกสติสามารถพัฒนา
สมาธิจิตซ่งึ จะช่วยใหบ้ รรลถุ งึ ปญั ญา เพราะ สมั มาสมาธิจึงสามารถบรรลถุ งึ สัมมาทฐิ ิ สัมมาสงั กปั ปะ
สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ และสมั มาวายามะ ปญั ญาความเข้าใจซง่ึ พฒั นาขึ้นนั้นสามารถกาจัด
ความไมร่ ู้ (อวิชชา) ไดใ้ นทส่ี ดุ
ลกั ษณะของสมั มาสมาธิ
จติ สงดั แลว้ จากกามทั้งหลาย สงัดแล้วจากกรรมทเ่ี ปน็ อกศุ ลธรรมทั้งหลาย เข้าถึงปฐมฌาน
ประกอบดว้ ยวิตกวจิ าร มปี ตี ิและสขุ อนั เกดิ จากวเิ วก
เพราะความทีว่ ิตกวิจารท้ังสองระงับลง เข้าถึงทุตยิ ฌาน เปน็ เครอื่ งผ่องใสแห่งใจในภายใน ใหส้ มาธิ
เป็นธรรมอนั เอกผุดข้ึน ไมม่ วี ิตกวิจาร มแี ต่ปีติและสขุ อนั เกิดจากสมาธิ
เพราะความจางคลายไปแหง่ ปตี ิ เปน็ ผ้อู ยู่อเุ บกขา มสี ตแิ ละสัมปชญั ญะ และเสวยสขุ ดว้ ยนามกาย มีสติ
อยเู่ ปน็ ปรกติสุข เขา้ ถึงตติยฌาน
เพราะละสุขและทกุ ข์เสยี ได้ เพราะความดบั ไปแห่งโสมนัสและโทมนัสทงั้ สอง เข้าถงึ จตตุ ถฌาน ไมม่ ี
ทุกข์ ไม่มสี ุข มีแต่ความท่สี ตเิ ปน็ ธรรมชาติบริสุทธ์ิเพราะอเุ บกขา

ปรมตั ถธรรม

คือ สภาพธรรมตามความเปน็ จริง เป็นอภิธรรม (อภิธรรม คอื ธรรมทยี่ ิง่ ใหญ)่ เป็นสภาพธรรมท่เี ป็นไป
ตามเหตปุ จั จัย แม้พระสมั มาสัมพทุ ธเจา้ จะไม่ประสูติและตรัสรู้ สภาพธรรมท้ังหลายก็ย่อมเป็นไปตามเหตุปจั จยั
อย่แู ลว้ พระสมั มาสัมพทุ ธเจา้ เป็นพระบรมศาสดา เพราะพระองค์ทรงตรสั รธู้ รรมท้งั ปวงดว้ ยพระองค์เองว่า
ธรรมทั้งปวงไมใ่ ชต่ ัวตน ไม่ใชส่ ตั ว์ ไม่ใช่บคุ คล และธรรมทงั้ ปวงไม่อยู่ในอานาจบังคับบัญชาของผู้ใดทั้งสิน้
ปรมัตถธรรมหรอื อภิธรรมน้ัน มิใช่ธรรมท่ีเหลือวิสัยทจ่ี ะเข้าใจได้ เพราะปรมัตถธรรมเป็นธรรมท่มี ีจรงิ ฉะนั้น
ความเหน็ ถกู ความเข้าใจถูก จงึ เปน็ การรู้ความจรงิ ของปรมัตถธรรม ตามลักษณะของปรมัตถธรรมนั้นๆ

ปรมัตถธรรม มี ๒ ประเภท คือ รปู ธรรม และ นามธรรม (หรือ รูป และ นาม หรือ รูปธาตุ และ นาม
ธาต)ุ

๑. รปู ธรรม เปน็ สภาพธรรมทีไ่ มร่ อู้ ารมณ์
๒. นามธรรม เป็นสภาพธรรมที่รู้อารมณ์ (อารมณ์ คือ สง่ิ ที่ปรากฏ และรู้ได้ เป็นไดท้ ้งั รูปธรรม และ
นามธรรม เมอื่ จิตเกดิ ข้ึนรู้สงิ่ ใด ส่งิ ทจ่ี ติ รนู้ ั้น ภาษาบาลีเรยี กวา่ อารมฺมณ หรือ อาลมพฺ น)
ปรมัตถธรรม มี ๔ ประเภท คอื จิต เจตสิก รปู และนิพพาน
จติ เป็นสภาพธรรมท่ีเป็นใหญ่เปน็ ประธานในการรู้สิ่งทีป่ รากฏ เชน่ เหน็ ไดย้ ิน เป็นต้น จติ (วิญญาณ)
เปน็ สภาพรู้ เปน็ นามธรรม มีลกั ษณะไตรลักษณ์ (อนจิ จงั - ไมเ่ ท่ยี ง ทุกขงั - ทนอยู่ไม่ได้ เกิดข้นึ แล้วต้องดบั ไป
อนตั ตา - บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่สตั ว์ บุคคล ตัวตน)
เจตสกิ เป็นสภาพธรรมอีกประเภทหนง่ึ ทเี่ กิดรว่ มกับจิต รู้สงิ่ เดียวกบั จิต ดับพร้อมกบั จิต และเกิดท่ี
เดียวกับจติ เจตสิกแต่ละเจตสิกมลี กั ษณะและกิจตา่ งกนั ตามประเภทของเจตสิกนนั้ ๆ เจตสกิ เปน็ สภาพรอู้ น่ื ๆ ที่
ไมใ่ ช่จติ (ได้แก:่ เวทนา - คอื ความรูส้ กึ สุข ทุกขห์ รือเฉยๆ ทเ่ี กิดทางกายหรือใจ; สญั ญา - คือความจาได้ รชู้ ื่อ
ร้จู กั ; สังขาร - คือความนึกคิดปรงุ แต่งอนื่ ๆ เช่น รัก โกรธ เมตตา ปัญญา เป็นต้น) เป็นนามธรรม มลี กั ษณะไตร
ลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขงั อนตั ตา)
รปู เปน็ สภาพไม่รู้ เช่น สี เสยี ง กลิน่ รส เป็นตน้ เปน็ รปู ธรรม มลี ักษณะไตรลักษณ์ (อนจิ จัง ทุกขัง
อนตั ตา)
นพิ พาน เป็นธรรมทดี่ บั กิเลส ดบั ทุกข์ นิพพานไม่มปี ัจจัยปรุงแตง่ ใหเ้ กิดขึ้น นิพพานจงึ ไมเ่ กดิ ดบั
นิพพานเปน็ ขันธวมิ ุตติ คือพน้ จากขันธ์ นพิ พานเป็นสภาพรู้ เป็นนามธรรม เป็นอนตั ตา (พิจารณาดูงา่ ยๆ สงิ่
ต่างๆในโลกน้ีมี นิพพานไม่ ไมม่ ใี หย้ ึด ไมย่ ดึ มืทุกข์)


Click to View FlipBook Version