The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม สำหรับผู้บริหาร

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by tipmontre14, 2023-04-01 06:00:24

รายงานการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม สำหรับผู้บริหาร

รายงานการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม สำหรับผู้บริหาร

- รายงาน เรื่อง การพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรม ส าหรับผู้บริหารสถานศึกษา จัดท าโดย นายธนเดช ศรีจันทร์ รหัสประจ าตัวนิสิต ๖๔๐๓๒๐๒๐๒๔ นายสมชาย ทิพย์มนตรี รหัสประจ าตัวนิสิต ๖๔๐๓๒๐๒๐๒๕ นายเศรษฐกิจ บาลเมือง รหัสประจ าตัวนิสิต ๖๔๐๓๒๐๒๐๓๓ เสนอ พระปลัดโฆษิต โฆสิโต, ดร. พระครูประโชติกิจจาภรณ์, ดร. รายวิชาคุณธรรม จริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพ รหัสวิชา ๖๑๐ ๒๐๖ หลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาพุทธบริหารการศึกษา ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๔ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตนครศรีธรรมรา


ข ค าน า รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งในการจัดการเรียนการสอนในระดับปริญญาโท สาขาพุทธบริหาร การศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในรายวิชาคุณธรรม จริยธรรมและจรรยาบรรณ วิชาชีพ รหัสวิชา ๖๑๐ ๒๐๖ เพื่อศึกษาหาความรู้ในเรื่องการพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรมส าหรับ ผู้บริหารสถานศึกษา โดยได้ศึกษาผ่านแหล่งความรู้ต่าง ๆ อาทิเช่น ต ารา หนังสือ หนังสือพิมพ์วารสาร ห้องสมุด และแหล่งความรู้จากเว็บไซต์ต่าง ๆ โดยรายงานเล่มนี้ต้องมีเนื้อหาเกี่ยวกับความหมายของการ พัฒนา ความหมายของคุณธรรม องค์ประกอบของคุณธรรม ความส าคัญของคุณธรรม ความหมายของ จริยธรรม องค์ประกอบของจริยธรรม ความส าคัญของจริยธรรม ประโยชน์ของจริยธรรม ความหมาย ของผู้บริหารสถานศึกษา ความส าคัญของผู้บริหารสถานศึกษา คุณธรรมและจริยธรรมส าหรับผู้บริหาร จริยธรรมส าหรับนักบริหาร จรรยาบรรณวิชาชีพจองผู้บริหารสถานศึกษา ผู้จัดท าคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการจัดท าเอกสารฉบับนี้จะมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจ ศึกษาการพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรมส าหรับผู้บริหารสถานศึกษา ผู้จัดท าจะต้องขอขอบคุณ พระปลัด โฆษิต โฆสิโต, ดร. และพระครูประโชติกิจจาภรณ์, ดร. อาจารย์ประจ าหลักสูตรพุทธบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตนครศรีธรรมราช ผู้ให้ความรู้และแนวทางการศึกษา ความช่วยเหลือมาโดยตลอด ผู้จัดท าหวังว่ารายงานฉบับนี้จะให้ความรู้และเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจ หากรายงานฉบับนี้ผิดพลาดประการใดทางผู้จัดท าต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย คณะผู้จัดท า นิสิตปริญญาโท สาขาพุทธบริหารการศึกษา ชั้นปีที่ ๑


ค สารบัญ เรื่อง ค าน า สารบัญ 1.แนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับการพัฒนา หน้า ก ข 1.1 ความหมายของการพัฒนา 1 2.แนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับคุณธรรม 2.1 ความหมายของคุณธรรม 4 2.2 องค์ประกอบของคุณธรรม 5 2.3 ประเภทของคุณธรรม 6 2.4 ความส าคัญของคุณธรรม 7 3. แนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับจริยธรรม 3.1 ความหมายของจริยธรรม 9 3.2 ความส าคัญของจริยธรรม 10 3.3 องค์ประกอบของจริยธรรม 12 3.4 ประโยชน์ของจริยธรรม 14 3.5 ความส าคัญของการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม 15 4. แนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับผู้บริหารสถานศึกษา 4.1 ความหมายของผู้บริหารสถานศึกษา 16 4.2 ความส าคัญของผู้บริหารสถานศึกษา 17 4.3 บทบาทหน้าที่ของผู้บริหารสถานศึกษา 18 5.คุณธรรมและจริยธรรมส าหรับผู้บริหาร 5.1 คุณธรรมส าหรับผู้บริหาร 20 5.2 หลักการการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมส าหรับผู้บริหาร 25 5.3 หลักธรรมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมส าหรับผู้บริหาร 30 6.จรรยาบรรณวิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษา 36 7.งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 40 8. บรรณานุกรม 42


๑ 1. แนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับการพัฒนา 1.1 ความหมายของการพัฒนา ค าว่า การพัฒนา ใช้ในภาษาอังกฤษว่า Development น ามาใช้เป็นค าเฉพาะและใช้ ประกอบค าอื่นก็ได้เช่น การพัฒนาประเทศ การพัฒนาชนบท การพัฒนาเมือง และการพัฒนา ข้าราชการ เป็นต้น การพัฒนาจึงถูกน าไปใช้กันโดยทั่วไปและมีความหมายแตกต่างกันออกไป ดังกล่าว แล้ว เกี่ยวกับความหมายของการพัฒนานั้นได้มีผู้ให้ความหมายไว้หลายความหมายทั้งความหมายที่ คล้ายคลึงกัน และแตกต่างกัน ดังต่อไปนี้ ความหมายโดยทั่วไป พจนานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ความความหมายว่า การพัฒนา หมายถึง การท าความเจริญ การเปลี่ยนแปลงในทางที่เจริญขึ้น การคลี่คลายไปในทางที่ดีถ้าเป็นกิริยา ใช้ค าว่า พัฒนา หมายความว่า ท าให้เจริญ ปกรณ์ปรียากรณ์กล่าวว่า การพัฒนา ภาษาอังกฤษใช้ค าว่า Development แปลว่าการ เปลี่ยนแปลงที่ละเล็กทีละน้อย โดยผ่านล าดับขั้นตอนต่าง ๆ ไปสู่ระดับที่สามารถขยายตัวขึ้น เติบโตขึ้น มีการปรับปรุงให้ดีขึ้น และเหมาะสมกว่าเดิมหรืออาจก้าวหน้าไปถึงขั้นที่อุดมสมบูรณ์เป็นที่น่าพอใจ ดิเรก ฤกษ์หร่าย ให้ความหมายว่า การพัฒนานั้นเป็นกระบวนการ (Process) ที่จะต้องมี องค์ประกอบของเครื่องชี้วัดที่ส าคัญและต้องผสมผสานระหว่าง 1. มีการเปลี่ยนแปลง (Change) ในทางบวก ได้แก่ การปรับปรุงเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิต เสมอ ถ้าเปลี่ยนแปลงในทางลบไม่ถือว่าเป็นการพัฒนา คือการเปลี่ยนแปลงนั้นจะต้องดีขึ้น เจริญขึ้น งอกงามขึ้น และต้องเกี่ยวข้องกับ 4 แกนหลัก คือ คน โครงสร้าง เทคโนโลยีและระบบหรืองาน (รวมทั้ง สิ่งแวดล้อม) 2. การเปลี่ยนแปลงนั้นต้องมีการควบคุม (Control) ทิศทางของการเปลี่ยนแปลงได้ โดยการก าหนดเป็นแผนที่ชัดเจนและน าไปสู่การปฏิบัติที่ด าเนินตามเป้าหมายอย่างเด่นชัดและปรับเปลี่ยน ยืดหยุ่นได้ตามความเหมาะสมของสถานการณ์และเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป โดยมีจุดเน้นของการพัฒนาโดย ประชาชน เพื่อประชาชนและเป็นการพัฒนาแบบยั่งยืน 3. ผลของการพัฒนานั้นต้องเกิดคว ามเสมอภาค (Equity) และการกระจายใหม่ (Redistribution) ในการกระจายความเป็นธรรมในเรื่องรายได้และการกระจายความเป็นธรรมในเรื่อง คุณภาพชีวิต (Quality of Life) แก่กลุ่มคนในสังคมอย่างยุติธรรมและจะต้องท าให้เกิดความเท่าเทียมกัน อย่างแท้จริงในเรื่องโอกาส (การศึกษา การท างาน ความก้าวหน้า ฯลฯ) สัญญา สัญญาวิวัฒน์ กล่าวว่าการพัฒนา คือการเปลี่ยนแปลงตามแผนหรือการเปลี่ยนแปลง ที่มีก าหนดทิศทาง (Planned or Directed Change) นั่นคือการพัฒนามิได้เป็นเรื่องธรรมชาติหากเป็น ความพยายามของมนุษย์ที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น โดยก าหนดทิศทางหรือรายละเอียดเอาไว้ ล่วงหน้าจะพัฒนาอะไร พัฒนาอย่างไร ช้าเร็วอย่างไร ใครจะเป็นผู้พัฒนาและเป็นผู้ถูกพัฒนา เป็นต้น


๒ สนธยา พลศรีได้จ าแนกความหมายของการพัฒนาการพัฒนาแต่ละประเภทไว้ดังนี้ 1. ความหมายจากรูปศัพท์หมายถึง การเปลี่ยนแปลงสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้เกิดความเจริญเติบโต งอกงามและดีขึ้นจนเป็นที่พึงพอใจ ความหมายดังกล่าวนี้เป็นที่มาของความหมายในภาษาไทยและเป็น แนวทางในการก าหนดความหมายอื่น ๆ 2. ความหมายโดยทั่วไป หมายถึง การเปลี่ยนแปลงสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้คุณภาพดีขึ้นกว่าเดิม ความหมายนี้นับว่าเป็นความหมายที่รู้จักกันโดยทั่วไป เพราะน ามาใช้มากกว่าความหมายอื่น ๆ แม้ว่าจะ ไม่เป็นที่ยอมรับของนักวิชาการก็ตาม 3. ความหมายทางเศรษฐศาสตร์ หมายถึง ความเจริญเติบโตเป็นความเจริญเติบโตทาง เศรษฐกิจตามเนื้อหาของวิชาเศรษฐศาสตร์ซึ่งเป็นการเน้นความหมายในเชิงปริมาณ คือการเพิ่มขึ้นหรือ ขยายตัวทางเศรษฐกิจมากกว่าด้านอื่น ๆ 4. ความหมายทางพัฒนาบริหารศาสตร์ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ทั้งใน ด้านคุณภาพ (ดีขึ้น) ด้านปริมาณ (มากขึ้น) และด้านสิ่งแวดล้อม (มีความเหมาะสม) ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลง ด้านใดด้านหนึ่งเพียงด้านเดียว 5. ความหมายทางด้านเทคโนโลยีหมายถึง การเปลี่ยนแปลงสังคมให้ทันสมัยด้วยความ เจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีซึ่งเป็นความหมายอีกแนวทางหนึ่ง 6. ความหมายทางด้านการวางแผน หมายถึง การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการเตรียมการ ของมนุษย์ไว้ล่วงหน้าในลักษณะของแผนและโครงงาน แล้วบริหารหรือจัดการให้เป็นไปตามแผนและ โครงการจนประสบความส าเร็จตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ก าหนดไว้จะได้เห็นว่าความหมายของ การพัฒนาด้านการวางแผนก าหนดให้การพัฒนาเป็นกิจกรรมของมนุษย์และเกิดขึ้นจากการเตรียมการไว้ ล่วงหน้าเท่านั้น การเปลี่ยนแปลงที่ไม่ได้เกิดจากการวางแผนโดยมนุษย์ไม่ใช่การพัฒนาในความหมายนี้ 7. ความหมายเกี่ยวกับการปฏิบัติค าว่าการพัฒนาในความหมายเกี่ยวกับการปฏิบัติหรือการ ปฏิบัติการนี้เป็นความหมายต่อเนื่องจากความหมายทางการวางแผน โดยมุ่งเน้นถึงการวางแผนและ โครงการไปด าเนินการอย่างจริงจังและอย่างต่อเนื่องเพราะถึงจะมีแผนและโครงการแล้ว แต่ถ้าหากไม่มี การน าไปปฏิบัติการพัฒนาก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ 8. ความหมายในทางพุทธศาสนา หมายถึง การพัฒนาคนให้มีความสุข มีสภาพแวดล้อมที่ เหมาะสม การพัฒนาในความหมายนี้มีลักษณะเดียวกันกับการพัฒนาในความหมายทางด้านการวางแผน คือเรื่องของมนุษย์เท่านั้น แตกต่างกันเพียงการวางแผนให้ความส าคัญที่วิธีการด าเนินงาน ส่วนพุทธ ศาสนามุ่นเน้นผลที่เกิดขึ้น คือความสุขของมนุษย์เท่านั้น 9. ความหมายทางสังคมวิทยา นักสังคมวิทยาได้ให้ความหมายของการพัฒนาโดยเน้นการ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสังคม คือมนุษย์กลุ่มทางสังคม การจัดระเบียบทางสังคม ซึ่งมีลักษณะ เช่นเดียวกับความหมายทางพุทธศาสนา คือการเปลี่ยนแปลงมนุษย์และสิ่งแวดล้อมให้มีความสุขและมี ลักษณะเช่นเดียวกับความหมายทางการวางแผน คือด้วยวิธีการจัดสรรทรัพยากรของสังคมอย่างยุติธรรม และมีประสิทธิภาพ ซึ่งนักวางแผนเรียกว่าการบริหารและการจัดการ 10. ความหมายทางการพัฒนาชุมชน นักพัฒนาชุมชนได้ให้ความหมายค าว่า การพัฒนาเอาไว้ ใกล้เคียงกับนักสังคมวิทยา คือการพัฒนาเป็นวิธีการเปลี่ยนแปลงมนุษย์และสังคมมนุษย์ให้ดีขึ้นแต่ว่า นักพัฒนาชุมชนมุ่งเน้นที่มนุษย์ในชุมชนจะต้องร่วมกันด าเนินงานและได้รับผลจาการพัฒนาร่วมกัน


๓ นอกจากนี้สนธยา พลศรียังได้สรุปภาพรวมความหมายของค าว่า การพัฒนาไว้ว่า หมายถึง กระบวนการเปลี่ยนแปลงของสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ดีขึ้น ทั้งทางด้านสุขภาพ ปริมาณและสิ่งแวดล้อม ด้วยการ วางแผนโครงการและด าเนินงานโดยมนุษย์เพื่อประโยชน์แก้มนุษย์เอง ความหมายทางเศรษฐศาสตร์ นักเศรษฐศาสตร์ ได้ให้ความหมายของ การพัฒนา ว่าหมายถึง ความเจริญเติบโต โดยเน้นความเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจเป็นส าคัญ ณัฐพล ขันธไชย กล่าวว่า การพัฒนา ว่าหมายถึง ผลผลิตรวมของประเทศเพิ่มขึ้น รายได้ ประชาชาติเพิ่มขึ้น รายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อคนของประชากรเพิ่มขึ้น เสถียร เชยประทับ กล่าวว่า การพัฒนา ว่าหมายถึง มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจมากขึ้น ประชากรมีรายได้เพียงพอที่สามารถตอบสนอง ความต้องการพื้นฐานของตนได้ สุนทรีโคมิน กล่าวว่า การพัฒนา ว่าหมายถึง การพัฒนาเป็นกระบวนการทางสังคม ที่ผลผลิตออกมาในรูปซึ่งสามารถวัดได้ด้วยเกณฑ์ทาง เศรษฐศาสตร์ จะเห็นได้ว่า นักเศรษฐศาสตร์ได้ก าหนดความหมายของการพัฒนา โดยใช้ความหมายจากรูป ศัพท์และความหมายโดยทั่วไป คือ หมายถึง ความเจริญเติบโต แต่เป็นความเจริญเติบโต ทางเศรษฐกิจ ตามเนื้อหาของวิชาเศรษฐศาสตร์ซึ่งเป็นการเน้นความหมายเชิงปริมาณ คือ การเพิ่มขึ้นหรือการขยายตัว ทางเศรษฐกิจ มากกว่าด้านอื่น ๆ ความหมายทางพัฒนาบริหารศาสตร์ นักพัฒนาบริหารศาสตร์ได้ให้ความหมายของ การพัฒนา เป็น 2 ระดับคือความหมายอย่าง แคบและความหมายอย่างกว้างความหมายอย่างแคบการพัฒนาหมายถึงการเปลี่ยนแปลงในตัวระบบการ กระท าการให้ดีขึ้นอันเป็นการเปลี่ยนแปลงในด้านคุณภาพเพียงด้านเดียว ความหมายอย่างกว้างนั้น การ พัฒนา เป็นกระบวนการของการเปลี่ยนแปลงในตัวระบบการกระท าทั้งด้านคุณภาพ ปริมาณและ สิ่งแวดล้อมให้ดีขนไปพร้อม ๆกันไม่ใช่ด้านใดด้าน หนึ่งเพียงด้านเดียว สนธยา พลศรีกล่าวว่า การพัฒนาในความหมายของนักพัฒนาบริหารศาสตร์จะมีขอบข่าย กว้างขวางกว่า ความหมายจากรูปศัพท์ความหมายโดยทั่วไป และความหมายทางเศรษฐศาสตร์ที่กล่าว มาแล้ว เพราะหมายถึง การเปลี่ยนแปลงของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ทั้งในด้านคุณภาพ (ดีขึ้น) ปริมาณ (มากขึ้น) และสิ่งแวดล้อม (มีความเหมาะสม) ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงด้านใดด้านหนึ่ง เพียงด้านเดียว ความหมายทางเทคโนโลยี นิรันดร์จงวุฒิเวศย์ กล่าวว่า การพัฒนา หมายถึง การเปลี่ยนแปลงระบบอุตสาหกรรม และ การผลิต ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ด้วยนักวิทยาศาสตร์และนักประดิษฐ์ท าให้สังคมเปลี่ยนแปลงจากสังคม ประเพณีนิยม เป็นสังคมสมัยใหม่ที่ทนสมัย พูนศิริิ วัจนะภูมิกล่าวว่า การพัฒนา คือ การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของมนุษย์ด้วย เทคโนโลยีนั้นเอง


๔ จะเห็นได้ว่า ความหมายของการพัฒนา ในทางเทคโนโลยีแตกต่างออกไปจาก ความหมายที่ กล่าวมาแล้วข้างต้น โดยหมายถึงการเปลี่ยนแปลงสังคมให้ทันสมัยด้วยความ เจริญก้าวหน้าทาง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีซึ่งเป็นความหมายอีกแนวทางหนึ่ง ความหมายทางพระพุทธศาสนา พระราชวรมุนี(ประยุทธ์ปยุตฺโต) ได้ให้ความหมายและอธิบายไว้ว่า ในทางพุทธศาสนา การพัฒนา มาจากค าภาษาบาลีว่า วัฒนะ แปลว่า เจริญ แบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน คือ การพัฒนาคน เรียกว่า ภาวนา กับการพัฒนาสิ่งอื่น ๆ ที่ไม่ใช่คน เช่น วัตถุสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เรียกว่า พัฒนา หรือวัฒนา เช่น การสร้างถนน บ่อน้ า อ่างเก็บน้ า เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องของการเพิ่มพูนขยายท าให้มากหรือท าให้เติบโต ขึ้นทางวัตถุและได้เสนอข้อคิดไว้ว่า ค าว่า การพัฒนา หรือ ค าว่า เจริญ นั้นไม่ได้แปลว่าท าให้มากขึ้น เพิ่มพูนขึ้นอย่างเดียวเท่านั้น แต่มีความหมายว่า ตัดหรือทิ้ง เช่น เจริญพระเกศา คือตัดผม มีความหมาย ว่า รก เช่น นุสิยา โลกวฑฬฒโน แปลว่า อย่าเป็นคนรกโลกอีกด้วย ดังนั้น การพัฒนาจึงเป็นสิ่งที่ท าแล้วมี ความ เจริญจริงๆ คือ ต้องไม่เกิดปัญหาติดตามมาหรือไม่เสื่อมลงกว่าเดิม ถ้าเกิดปัญหาหรือเสื่อม ลง ไม่ใช่ เป็นการพัฒนา แต่เป็นหายนะ ซึ่งตรงกันข้ามกับการพัฒนา กล่าวได้ว่า การพัฒนา ในทางพระพุทธศาสนา หมายถึง การพัฒนาคนให้มีความสุขมี สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม การพัฒนาในความหมายนี้มีลักษณะเดียวกันกับการพัฒนาใน ความหมาย ทางด้านการวางแผน คือเป็นเรื่องของมนุษย์เท่านั้นแตกต่างกันเพียงการวางแผนให้ความส าคัญที่วิธีการ ด าเนินงาน ส่วนพุทธศาสนามุ่งเน้นผลที่เกิดขึ้นคือ ความสุขของมนุษย์เท่านั้น 2. แนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับคุณธรรม 2.1 ความหมายของคุณธรรม พจนานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน 2525 ได้ให้ความความหมายว่า คุณธรรมหมายถึง สภาพคุณงามความดี พระเมธีธรรมาภรณ์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) กล่าวว่า คุณธรรม คือ คุณสมบัติที่ดีในจิตใจ ถ้าปลูกฝังในเรื่องคุณธรรมได้จะกลายเป็นพื้นฐานของจรรยาบรรณ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) กล่าวว่า คุณธรรมเป็นคุณภาพของจิตใจ กล่าวคือ คุณสมบัติที่ เสริมสร้างจิตใจให้ดีงาม ให้เป็นจิตใจที่สูงส่ง ประณีต และประเสริฐ วศิน อินทสระ ได้แสดงความเห็นตามหลักจริยศาสตร์ว่า คุณธรรม หมายถึง อัธยาศัยอันดีงาม ที่สั่งสมอยู่ในดวงจิต อันเกิดจากความเพียรพยายาม และความประพฤติปฏิบัติที่ติดต่อกัน มาเป็น ระยะเวลาที่ยาวนาน คุณธรรมมีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กับหน้าที่เป็นอย่างมาก เพราะการปฏิบัติงาน ใน หน้าที่จนเป็นนิสัย จะกลายมาเป็นอุปนิสัยอันดีงามที่สั่งสมในดวงจิตกลายเป็นบารมี อนิวัช แก้วจ านง ให้ความหมายของ คุณธรรม ว่าหมายถึง คุณงามความดีที่เกิดขึ้น ภายใน จิตใจ ท าให้แสดงออกด้านพฤติกรรมที่ประพฤติปฏิบัติโดยบุคคลอื่นสามารถสัมผัสได้ว่า บุคคลนั้นมี สภาพจิตใจที่ดีมีความตั้งใจที่จะประพฤติปฏิบัติต่อบุคคลอื่นด้วยความดีโดยมีหลักธรรมเป็นเครื่องยึด เหนี่ยว ในการกระท าความดีอย่างมีสติสัมปชัญญะและถูกต้องตามครรลองคลองธรรม


๕ สรุปได้ว่า คุณธรรม หมายถึง สิ่งที่คนส่วนใหญ่เห็นว่าดีงามถูกต้อง มีประโยชน์ต่อตนเองและ ผู้อื่น ซึ่งเกิดจากจิตใจของทุก ๆ คน ที่ก่อให้เกิดพฤติกรรมที่ พึงประสงค์ 2.2 องค์ประกอบของคุณธรรม พจนานุกรมศัพท์ปรัชญา อังกฤษ-ไทย ฉบับราชบัณฑิตสถาน คุณธรรมหลัก หมายถึง คุณธรรมขั้นพื้นฐาน 4 ประการ ประกอบด้วย 1. ความรอบคอบ คือ ความสามารถในการตัดสินระหว่างสิ่งที่ควรจะเลือกปฏิบัติเรียกอีก อย่างว่า ปัญญา 2. ความยุติธรรม คือ ความสามารถในการสร้างดุลยภาพระหว่างความต้องการของอัตตากับ สิทธิและความต้องการของผู้อื่น 3. ความพอประมาณ คือ ความสามารถในการรู้ถึงความดีไม่เกินเลย รู้จักควบคุมตนเอง 4. ความกล้าหาญ คือ ความอดทน ความเข้มแข็ง พระธรรมปิฏก (ป.อ.ปยุตฺโต, 2546) ได้กล่าวถึงคุณธรรมที่เป็นหลักในการท างาน ที่ส าคัญที่สุด คือหลักแห่งฆราวาสธรรมมี4 ประการคือ 1. สัจจะ คือ ความซื่อสัตย์ต่อกัน 2. ทมะ คือ ความข่มใจ ข่มอารมณ์ไว้ 3. ขันติคือ ความอดทนอดกลั้น ความหยุดยั้ง 4. จาคะ คือ ความเสียสละ แบ่งปันกับเพื่อน องค์กร สังคม พระราชด ารัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่าด้วยคุณธรรม 4 ประการ คือ ประการที่แรก คือ การที่ทุกคนคิด พูด ท า ด้วยความเมตตา มุ่งดีมุ่งเจริญต่อกัน ประการที่สอง คือ การที่แต่ละกันช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ประสานงาน ประสานประโยชน์กันให้ งานที่ท าส าเร็จผล ทั้งแก่ตนแก่ผู้อื่น และกับประเทศชาติ ประการที่สาม คือ การที่ทุกคนประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในความสุจริตในกฎกติกา และใน ระเบียบแบบแผน โดยเท่าเทียมเสมอกัน ประการที่สี่ คือ การที่ทุกคนต่างพยายามท าความคิดเห็นของตนให้ถูกต้อง เที่ยงตรง และ มั่นคงอยู่ในเหตุในผล กระบวนทรรศน์ปรัชญาหลังนวยุคสายกลาง มองว่า แนวคิดเรื่องคุณธรรมแม่บท ๔ (cardinal virtues) ที่ได้รับการส่งเสริมตั้งแต่ยุคกรีก จนถึงยุคกลางนั้น แท้ที่จริงไม่ใช่แม่บทของคุณธรรม หรือหลัก คุณธรรมแต่ละข้ออย่างองค์๔ เพราะว่า cardinal แปลว่า บานพับ อย่างประตูทางเข้าร้านที่ต้องผลักตรง กลาง ซึ่งตีความได้ว่า เป็นประตูส าหรับให้พฤติกรรม (behavior) ต้องผลักเข้าไป เมื่อผลักเข้าไปได้ พฤติกรรมนั้นจึงจะถือว่าเป็นคุณธรรม (virtue) ดังนั้น ในการประยุกต์ใช้หลักคุณธรรมแม่บทนี้ให้พิจารณาว่า ทั้ง ๔ ข้อนี้เป็นองค์ประกอบของ คุณธรรม ต้องใช้ในลักษณะของเกณฑ์ตัดสินคุณธรรม หมายความว่า คุณธรรมใดๆ จะถือว่าดึอย่าง คุณธรรมได้ต้องมี๔ ด้านนี้เป็นองค์ประกอบในการปฏิบัติแต่ละครั้ง เมื่อท าได้อย่างเหมาะสมต่อเนื่องจึง เป็นคุณธรรมของผู้นั้น (self-virtue) ได้แก่


๖ ๑. ความรอบรู้ ความรอบรู้รอบคอบ (prudence) หมายถึง การเล็งเห็นหรือหยั่งรู้ได้ง่ายและชัดเจนว่าอะไรควร ประพฤติและอะไรไม่ควรประพฤติ แสวงหาความรู้เพิ่มเพื่อช่วยให้เกิดความรอบคอบยิ่งขึ้น ไม่ละเลิก หรือไม่เท่ากันความประพฤติที่ไม่ดีความรอบคอบอันลึกซึ้งเกิดได้ด้วยการทบทวนคิดและประสบการณ์จึง ถือเป็นปัญญาส าหรับการปฏิบัติได้ครบถ้วน เหมาะสมตามความเป็นจริง ๒. ความกล้าหาญ ความกล้าหาญ (fortitude, courage) เกิดจากการรวมกันเป็นหมู่คณะและความคิดในการ ปกป้องผู้อื่น จึงน าไปสู่การมีความประพฤติกล้าหาญ กล้าเสียสละ เหมาะสมตามความเป็นจริง โดยมี๒ ลักษณะ ได้แก่ ๑) กล้าหาญทางกายภาพ คือ กล้าที่จะท า กล้าเสี่ยงต่อความยากล าบาก อันตรายและ ความตายเพื่ออุดมคติแห่งชีวิต ๒) กล้าหาญทางจิตใจ คือ กล้าที่จะคิดและตัดสินใจ กล้าเสี่ยงต่อการถูก เข้าใจผิด กล้าเผชิญการใส่ร้ายและเยาะเย้ย เมื่อมั่นใจว่าตนเองกระท าความดี ๓. ความรู้จักประมาณหรือความพอเพียง ความพอเพียง (temperance, sufficiency) เป็นระดับของการส านึกในตนถึงความต้องการตาม สัญชาตญาณ ท าให้เกิดการแสวงหาด้วยหลักยิ่งมากยิ่งดีแต่ในระดับของปัญญามนุษย์จึงมีความส านึกที่จะ ควบคุมพลังในตัวให้อยู่ในขอบเขตของจุดมุ่งหมายในชีวิต ฝึกให้รู้จักอยู่ในขอบเขตอันควรในแต่ละสภาพ และฐานะของบุคคลในการกระท าหรือไม่กระท าสิ่งใดเพื่อให้ตรงตามความเป็นจริง ๔. ความยุติธรรม ความยุติธรรม (justice) เป็นระดับของการตัดสินใจสิ่งหนึ่งสิ่งใด โดยพิจารณาแล้วว่า เป็นการ ให้แก่ทุกคนและแต่ละคนตามความเหมาะสม (giving each his due) เราต้องรู้ว่าใครท าอะไร อย่างไร และเรามีก าลังให้เท่าไร ควรให้แก่ใครเท่าไรและอย่างไรที่จะท าให้เกิดเป็นจังหวะที่เหมาะสม มีความ กลมกลืน ความสามัคคีในหมู่คณะ 2.3 ประเภทของคุณธรรม การแบ่งประเภทของคุณธรรมนั้นมีแนวการแบ่งหลายทัศนะ เช่น บางทัศนะก็เน้นเอาระบบ ชนชั้นทางสังคมเป็นตัวก าหนดบางทัศนะก็เน้นการรวมกลุ่มในสังคมบางทัศนะเน้นเอาความเชื่อตามค า สอนของ ศาสนาที่ตนเองเคารพนับถือ บางทัศนะถือเอาแนวคิดทางปรัชญา แต่ในที่นี้จะขอสรุปความเห็น ของบาง ทัศนะมากล่าวโดยสังเขปเท่านั้น ดังนี้ ปรีชา เศรษฐีธร ได้แบ่งคุณธรรม ออกเป็น 2 ลักษณะ คือ 1. การแบ่งโดยอาศัยกลุ่มทางสังคมเป็นตัวก าหนด แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทย่อย ๆ ด้วยกัน ได้แก่ 1.1 คุณธรรมที่คนเราน าไปใช้ในชีวิตที่เกี่ยวข้องกับระบบสังคม เช่น ความรักใคร่ สามัคคีปรองดอง ความเอื้อเฟื่อเผื่อแผ่ ความเคารพบูชา ความยุติธรรม ความซื่อสัตย์การพูดจาแต่ความ จริงและ ถูกต้อง ตลอดจนความเชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อเหล่านี้เป็นต้น 1.2 คุณธรรมของปัจเจกชน เป็นคุณธรรมที่คนเราน ามาใช้กับตัวเอง เช่น การรู้จัก ควบคุม ตนเองในเรื่องต่าง ๆ ทั้งที่ดีและไม่ดีการเคารพตนเองไม่ดูถูกตัวเอง ความกล้าหาญที่จะกระท าใน สิ่งที่ดีและ ถูกต้อง ความรู้จักประมาณและการมีวัฒนธรรมที่ดีงาม เป็นต้น


๗ 2. การแบ่งโดยอาศัยจิตและปัญญาเป็นหลัก แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ 2.1 คุณธรรมทางศีลธรรม คือ ความมีจิตส านึกในสิ่งที่ดีงามและมีเหตุผล คุณธรรมทาง ศีลธรรม นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติและไม่ได้ติดตัวมาแต่ก าเนิด แต่เกิดขึ้นจากการหล่อหลอมแห่งกฎ และ ระเบียบของสังคม 2.2 คุณธรรมทางสติปัญญา อันได้แก่ ความรู้ความสามารถ ทั้งทางปฏิบัติและทาง ทฤษฎีอัน เกิดจากการศึกษาอบรม เป็นคนมีเหตุผลและมีวิจารณญาณที่รอบคอบในการด าเนินการต่าง ๆ พุทธทาสภิกขุได้อธิบายถึงประเด็นที่ว่า คุณธรรม คือ หน้าที่ที่บุคคลต้องท าให้ดีที่สุด ถูกต้อง ที่สุด โดยหน้าที่มี2 ลักษณะคือ 1. หน้าที่ของมนุษย์ในทางศาสนา ประการแรก คือ หน้าที่ที่เกิดจากความสัมพันธ์ทาง สังคมของ บุคคลแต่ละบุคคลและมีหลายสถานภาพ เช่น เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูก เป็นครูเป็นศิษย์เป็นต้น ซ่งึแต่ละคน เมื่อเป็นหน้าที่ใดแล้ว จะต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ประการต่อมา หน้าที่ที่ต้องปฏิบัติ ตนเพื่อให้เกิด ความหลุดพ้นจากกิเลส 2. หน้าที่ทางศีลธรรมของมนุษย์ได้แก่ หน้าที่ที่มีพันธกิริยาต่อบุคคลในสังคม เช่น การ เคารพสิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีของเพื่อนมนุษย์การเคารพกฎระเบียบกติกาของสังคมอันจะเป็นทาง ป้องกันไม่ให้มนุษย์เบียดเบียนซึ่งกันและกัน 2.4 ความส าคัญของคุณธรรม คุณธรรม เป็นปัจจัยส าคัญที่จะสร้างความเป็นระเบียบ ความสงบสุข ความเจริญให้แก่ ปัจเจก บุคคล สังคม และประเทศชาติโดยส่วนรวม ดังที่ พิมพ์พรรณ เทพสุเมธานนท์และนุชนารถ สุนทร พันธ์(2537 : 69-97) และ ประวัติพื้นผาสุก (2549 : 8-9) ได้อธิบายความส าคัญของ คุณธรรม ซึ่งเป็นปัจจัยส าคัญ ที่จะเสริมสร้างความสงบสุขและความเจริญให้แก่บุคคลและเป็นฐานแห่งความสุขแก่ ส่วนรวม ซึ่ง สามารถสรุปได้ดังนี้ 1. คุณธรรม เป็นเครื่องธ ารงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เราไม่ตีค่าความเป็นมนุษย์ที่ตัวเงิน แต่ จะตีค่า กันที่คุณธรรม ผู้มีคุณธรรมจะได้รับการยกย่องว่าเป็นคนดีเป็นคนมีค่าของสังคม ส่วนผู้ไร้คุณธรรม จะเป็นคน มีค่าน้อยและอาจจะถูกประณามจากสังคมว่า “เป็นคนแต่ก็เหมือนมิใช่คน” คือ เป็นคนแต่ เพียงร่างกายแต่ใจ นั้นไม่มีความเป็นคน ความเป็นคนในที่นี้ก็คือความเป็นผู้มีคุณธรรมและเป็นคนดีของ สังคมนั่นเอง 2. คุณธรรม เป็นเครื่องส่งเสริมบุคลิกภาพ เช่น “ความซื่อตรง” ท าให้คนมีความสมบูรณ์ใน ความคิดและกระท า เพราะไม่มีความขัดแย้งกันระหว่างความคิด การพูดและการกระท าของบุคคลนั้น หรือ หากจะกล่าวเป็นส านวนก็จะได้ว่า เป็นบุคคลที่ปากกับใจตรงกันอยู่เสมอนั้นเอง 3. คุณธรรม เป็นเครื่องเสริมมิตรภาพ เช่น “ความจริงใจ” ท าให้ความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น เป็นไป อย่างราบรื่น คนไม่จริงใจย่อมไม่ได้รับความไว้วางใจจากผู้อื่น ไม่แต่เฉพาะในเรื่องใหญ่ ๆ หรือ ส าคัญ ๆ แม้แต่เรื่องเพียงเล็กน้อยก็จะไม่มีใครให้ความไว้วางใจ จึงท าให้เสียประโยชน์ที่ควรจะได้


๘ 4. คุณธรรม เป็นการสร้างความสบายใจ ซึ่งนอกจากจะสบายใจเพราะการกระท าแต่สิ่งที่ เหมาะที่ควรแล้ว ยังสบายใจที่ไม่ต้องระมัดระวังภัยอันตรายที่จะมีมาอีกด้วย เพราะผู้ที่มีคุณธรรมจะเป็น ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตนในทางที่ถูกต้องและไม่ท าผิดใด ๆ ทั้งจะเป็นผู้ที่น่ารักน่าคบค้าสมาคมอีกด้วย 5. คุณธรรม เป็นเครื่องส่งเสริมความส าเร็จ ความมั่นคงในการประกอบอาชีพการงาน และ การ ด ารงชีวิต 6. คุณธรรม เป็นปัจจัยส าคัญที่จะช่วยเสริมสร้างความสงบสุข และความเจริญให้แก่ ประเทศชาติโดยส่วนรวม นั้นก็เพราะว่า ความสงบสุขของประเทศชาติจะมีได้ก็ต่อเมื่อคนในชาติมี คุณธรรมบางประการที่ ท าให้ไม่เบียดเบียนกัน ไม่กลั่นแกล้งกัน ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน ไม่ใช้เสรีภาพจน เกินเลยล่วงล้ าสิทธิของกัน และกัน ไม่ละเลยต่อการที่จะปฏิบัติตามกฎหมาย วินัย และจรรยาวิชาชีพที่ใช้ บังคับกัน เป็นต้น คนที่ไม่มีคุณธรรมจะไม่สามารถช่วยสร้างสรรค์จรรโลงและป้องกันรักษาประเทศชาติได้ เลย เพราะการสร้างสรรค์จรรโลงและป้องกันประเทศชาติเป็นงานใหญ่ที่ส าคัญการท างานใหญ่ที่ส าคัญ เช่นนี้ต้องอาศัยคุณธรรมหลาย ประการ เช่น ความสุจริต ความมุ่งมั่น ความอดทน เป็นต้น นอกจากนี้คุณธรรมยังต้องอาศัยความรู้ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่ส าคัญ คือรู้ว่าอะไรเป็นความดี รู้ว่า อะไรควร ไม่ควร รู้จักตนเอง รู้จักผู้อื่น รวมทั้งรู้จักสังคม ดังนั้นความรู้จึงจ าเป็นต้องคู่กับคุณธรรมซึ่ง จะ สามารถเป็นเครื่องด ารงตนเองและสังคมประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้าได้ดังที่ อ าไพ สุจริตกุล (2534 : 186) ได้กล่าวถึงค ากลอนเกี่ยวกับความรู้คู่คุณธรรม ไว้ว่า เมื่อความรู้ยอดเยี่ยมสูงเทียมเมฆ แต่คุณธรรมต่ าเฉกยอดหญ้านั่น อาจเสกสร้างมิจฉาสารพัน ด้วยจิตอันไร้อายในโลกา แม้คุณธรรมสูงเยี่ยมถึงเทียมเมฆ แต่ความรู้ต่ าเฉกเพียงยอดหญ้า ย่อมเป็นเหยื่อทรชนจนระอา ด้วยปัญญาอ่อนด้อยน่าน้อยใจ หากความรู้สูงล้ าคุณธรรมเลิศ แสนประเสริฐกอปรกิจวินิจฉัย จะพัฒนาประชาราษฎร์ทั้งชาติไทย ต้องฝึกให้ความรู้คู่คุณธรรม จากบทกลอนดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า ความรู้ต้องเป็นสิ่งที่ถูกต้องดีงามมีคุณค่าซึ่งนับได้ว่า ความรู้ต้องคู่กับคุณธรรม จึงจะสามารถพัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้า และมีแต่ความสงบสุขโดยทั่ว กัน


๙ 3. แนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับจริยธรรม 3.1 ความหมายของจริยธรรม เมื่อเราพูดถึงจริยธรรม เรามักนึกถึงพันธกิริยา (กิริยาหรือพฤติกรรมที่กระท าระหว่างกัน) ที่ มนุษย์มีต่อเพื่อนมนุษย์เป็นพันธะหรือหน้าที่ที่เราจะต้องปฏิบัติต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น จงอย่าฆ่า จงอย่าพูด เท็จ จง อย่าทุจริต เป็นต้น แต่เมื่อสังคมได้เพิ่มความสลับซับซ้อนยิ่งขึ้น มนุษย์จึงมีพันธะเพิ่มอีก คือ พันธ กิริยาที่ มนุษย์มีต่อสังคม หรือต่อรัฐซึ่งเรียกว่า จริยธรรมทางสังคม หรือจริยธรรมองค์การ ดังนั้นจริยธรรม คือ หลัก ที่ดีงามในการประพฤติปฏิบัติของคนในองค์การต่าง ๆ เพราะสมาชิกในองค์การใดหากขาด จริยธรรมในการ ด ารงตนแล้ว องค์การหรือหน่วยงานนั้นย่อมประสบปัญหา มีแต่ความยุ่งยาก โดยเฉพาะ อย่างยิ่งปัญหาใน ด้านพฤติกรรมของคนในองค์การ ค าว่า จริยธรรม หมายถึง ธรรมที่เป็นข้อประพฤติปฏิบัติศีลธรรม กฎศีลธรรม ตรงกับค าใน ภาษาอังกฤษว่า "Ethic" ซึ่งหมายถึง "System of Moral , Rules of Conduct" ค าว่า "Ethic" มีรากศัพท์ มาจากค าว่า " E t hos " ในภาษากรีกซึ่งแปลว่าหลักความประพฤติหรือลักษณะ ( C ha r a c te r ) พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ได้ให้ความหมายของ จริยธรรม ไว้ว่า จริยธรรม หมายถึง ธรรมที่เป็นข้อประพฤติปฏิบัติศีลธรรม กฎแห่งศีลธรรม พระราชวรมุนี(ป.อ. ปยุตฺโต) ได้อธิบายความหมายของ จริยธรรม ไว้ว่า หมายถึง การด าเนินชีวิต ความเป็นอยู่ การยังชีวิตให้เป็นไป การครองชีวิต การใช้ชีวิต การเคลื่อนไหวของชีวิต ทุกแง่ ทุกมุม ทุกด้าน ทุกระดับ ทางกายวาจาใจ ทั้งด้านส่วนตัว ด้านสังคม ด้านอารมณ์ด้านจิตใจ ด้านปัญญา อย่างถูกต้อง พระเมธีธรรมาภรณ์(ประยูร ธมฺมจิตฺโต) ได้อธิบายความหมายของ จริยธรรม ว่า หมายถึง หลักแห่งความประพฤติหรือแนวทางการปฏิบัติให้เป็นคนดีเพื่อประโยชน์สุขของตนและส่วนรวม นอกจากนี้พระเมธีธรรมาภรณ์(ประยูร ธมฺมจิตฺโต) ยังได้อธิบายหลักจริยธรรมว่า เป็น หลัก แห่งความประพฤติที่ดีงามส าหรับทุกคนในสังคม ถ้าเป็นข้อประพฤติที่มีศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง เรียกว่า ศีลธรรม ทั้งนี้มิได้อิงแต่หลักศาสนาแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงขนบธรรมเนียม ประเพณีที่ดีงามของ สังคมด้วย กระทั่งนักปราชญ์สมัยโบราณ ผู้น าคนส าคัญ เช่น Socrates, Plato, Kant และ Gandhi ก็มี ส่วนสร้างสรรค์จริยธรรมส าหรับเป็นแนวทางในการด าเนินชีวิตอีกด้วย พระเทพเวทีกล่าวว่า จริยธรรม มาจากค าว่า "จริยะ" หรือ "จร" แปลว่า การด าเนินไปค าว่า "ธรรม" แปลว่า หลักหรือระบบแนวทางของการปฏิบัติรวมกัน หมายถึง หลักหรือระบบการด าเนินชีวิต ที่ ถูกต้องดีงาม การด าเนินชีวิตที่ประเสริฐการน าความรู้ความจริงหรือกฎธรรมชาติมาใช้ให้เป็นประ โยชน์ ต่อการค าเนินชีวิต เพื่อให้เกิดประโยชน์กับตนเองและสังคมซึ่งต้องใช้ปัญญาไตร่ตรอง ทิศนา แขมมณีได้ให้ความหมายของจริยธรรมไว้ดังนี้"จริยธรรมเป็นการแสดงออกทางการ ประพฤติปฏิบัติซึ่งสะท้อนคุณธรรมภายในให้เป็นรูปธรรม


๑๐ บราวน์(Brown) กล่าวว่า จริยธรรม หมายถึง ระบบหรือกฎเกณฑ์ที่แยกความถูกต้องออกจาก การกระท าผิด จริยธรรมของบุคคลมีความเปลี่ยนแปลงได้อยู่เสมอ ซึ่งสามารถแบ่งได้3 ประเภท คือ การ เปลี่ยนแปลงจากภายในจิตใจของแต่ละบุคคล เปลี่ยนแปลงเพราะได้รับอิทธิพลจากบุคคลอื่น และ เปลี่ยนแปลงเพราะตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ใหม่ จริยธรรมจึงเป็นสิ่งที่ควบคุมการตัดสินความถูกต้อง เหมาะสมของพฤติกรรม โคห์ลเบอร์ก (Kohiberg) ได้ให้ความหมายของจริยธรรมว่า จริยธรรมหมายถึง เกณฑ์หรือ มาตรฐานของความประพฤติเพื่อตัดสินการกระท าในสิ่งที่ถูกหรือผิด โดยอาศัยเกณฑ์ของสังคมเป็นสิ่ง ตัดสินว่าการกระท านั้นถูกหรือผิด ซึ่งจริยธรรมจะหมายความรวมถึงสิ่งที่จะเลือกกระท าในการตัดสินความ ขัดแย้ง พอจแมน (Pojman) ได้ให้ความหมายของจริยธรรมว่า เป็นความพยายามที่จะสร้างหลักเกณฑ์ ของพฤติกรรมที่ถูกต้อง เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติส าหรับแต่ละบุคคล หรือ กลุ่มส ารวจทั้งคุณค่า และคุณธรรมที่ส าคัญอย่างยิ่งต่อชีวิตและสังคม แบนดูรา (Bandura) กล่าวว่า จริยธรรม เป็นกฎส าหรับการประเมินพฤติกรรมและถือว่าการ ตัดสินทางจริยธรรมเป็นกระบวนการตัดสินใจเกี่ยวกับความถูกผิดของการกระท าตามกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ซึ่ง เกิดขึ้นด้วยการไตร่ตรองจากการเรียนรู้ด้วยการสังเกต การบอกเล่าและประสบการณ์ต่าง ๆ ดุจเดือน พันธุมมาวิน ได้กล่าวว่า "จริยธรรม" (Morality) เป็นระบบของการท าความดีละเว้น ความชั่ว มีทั้งปัจจัยน าเข้า (Input) ซึ่งเป็นปัจจัยเชิงเหตุทั้งทางค้นจิตใจและสถานการณ์ของจริยธรรมและ พฤติกรรมจริยธรรม รวมทั้งมีปัจจัยส่งออก(Output) ซึ่งเป็นผลของการมีจริยธรรมหรือมีพฤติกรร จริยธรรม ซึ่งผลนี้อาจอยู่ในรูปแบบทั้งจิตลักษณะและพฤติกรรมของบุคคลผู้กระท า และผลต่อบุคคลอื่น ต่อกลุ่ม ต่อสิ่งแวดล้อม และต่อโลก จริยธรรมจะเกิดขึ้นเมื่อ ค่านิยม หรือคุณธรรม ตั้งแต่ 2 ตัว ขัดแย้งกัน ท าให้บุคคลต้องตกอยู่ในสภาพที่ต้องตัดสินใจหรือแก้ปัญหาในการเลือกที่จะปฏิบัติตามคุณธรรมหรือ ค่านิยมตัวใดตัวหนึ่ง เช่น ความกตัญญูต่อบุคคล ขัดแย้งกับความรับผิดชอบต่อหน้าที่ เป็นต้น บุคคลที่ ตัดสินใจเลือกคุณธรรมหรือค่านิยมตัวที่มีประ โยชน์ส่วนรวมมากกว่าที่เป็นประโยชน์แก่เฉพาะตนหรือ พวกพ้องในกลุ่มเล็ก ๆ จึงมักเป็นบุคคลที่มีจริยธรรมสูง จากความหมายของจริยธรรมที่กล่าวมาข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า "จริยธรรม" การกระท า หรือ พฤติกรรมที่แสดงออกอย่างถูกต้อง โดยอาศัยกระบวนการตัดสินใจจากฎเกณฑ์ของสังคมหรือข้อตกลง ร่วมกันอันน ามาซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อตนเองและบุคคลในสังคม 3.2 ความส าคัญของจริยธรรม จริยธรรม มีความส าคัญส าหรับเป็นแนวทางแห่งความประพฤติปฏิบัติส าหรับตนเองและสังคม โดยรวม ซึ่งเมื่อบุคคลได้น ามาปฏิบัติแล้ว ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์สุข มีความสงบและเจริญก้าวหน้า


๑๑ องค์การ ใด หรือหมู่คณะใด ได้ประพฤติปฏิบัติในหลักของจริยธรรมแล้ว ย่อมเป็นสังคมแห่งอารยะ คือ สังคมแห่งผู้เจริญอย่างแท้จริงโดยมีผู้กล่าวถึงความส าคัญของจริยธรรมไว้ดังนี้ วศิน อินทสระ ได้แสดงความส าคัญของจริยธรรมโดยสรุป ดังนี้ 1. จริยธรรม เป็นรากฐานของความเจริญรุ่งเรือง ความมั่นคง และความสงบสุขของประชาชน สังคม ประเทศชาติเพราะประเทศชาติแม้จะได้รับการพัฒนาในด้านวัตถุ เทคโนโลยีความทันสมัยของ วิทยาการต่าง ๆ มากมายเพียงใด หากแต่ขาดจริยธรรมแล้ว การพัฒนาที่ยั่งยืนก็ไม่เกิดขึ้นแต่อย่างใด เพราะ เป็นการพัฒนาที่ก่อให้เกิดการแข่งขัน แย่งชิง และเบียดเบียนท าร้ายซึ่งกันและกัน 2. การพัฒนาบ้านเมือง ต้องพัฒนาด้านจิตใจก่อน เพราะการพัฒนาจิตใจของคนในสังคม หมายถึง การพัฒนารากฐานแห่งความเป็นมนุษย์เมื่อรากฐานแห่งความเป็นมนุษย์ถูกเติมเต็มในจิตใจแล้ว การพัฒนา ในด้านเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา และการพัฒนาด้านอื่น ๆ ย่อมเจริญรุดหน้าไปด้วย และถือ ได้ว่าเป็นการ พัฒนาที่สร้างสรรค์ 3. จริยธรรมมิได้จ ากัดความหมายอยู่ที่การถือศีล การเข้าวัดปฏิบัติธรรม เจริญจิตภาวนาโดย ไม่มุ่ง ท าประโยชน์ต่อสังคมเท่านั้น หากแต่หมายถึง การประพฤติปฏิบัติโดยวางรากฐานความคิด ความเห็นที่ถูกต้อง การท าหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ เว้นสิ่งที่ควรเว้นกระท าในสิ่งที่ควรกระท า ด าเนินชีวิต ถูกต้องตามเหตุผล ตามกาลเทศะ ดังนั้น จริยธรรมจึงมีความจ าเป็นและมีคุณค่าก่อให้เกิดประโยชน์แก่คน ในสังคม 4. จริยธรรม เป็นเครื่องควบคุมพฤติกรรมมนุษย์ในสังคมให้เกิดการยอมรับในศักดิ์ศรีแห่ง ความ เป็นมนุษย์ของผู้อื่น จริยธรรมจะเป็นเรื่องมือหล่อหลอมให้คนเกิดความรัก ความสามัคคีต่อกัน ประพฤติปฏิบัติต่อกันด้วยความเอื้ออาทรต่อผู้อาวุโสกว่า และมีความอ่อนโยนต่อผู้ที่ด้อยกว่าทั้งด้านอายุ ต าแหน่ง หน้าที่การงาน หรือสถานภาพทางสังคม ล าดวน ศรีมณีได้สรุปความส าคัญของ จริยธรรม ไว้ว่า 1. เพื่อเป็นหลักปฏิบัติให้มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข โดยที่มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ชอบอยู่ รวมกัน เป็นหมู่คณะ โดยมีกฎระเบียบประเพณีอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นหลักปฏิบัติเพื่อเป็นเครื่องผูกพัน ไม่ใหเ้ บียดเบียนซึ่งกันและกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ประพฤติปฏิบัติในทางที่ดีงาม ตลอดทั้งขนบธรรมเนียม ประเพณีที่ดีประโยชน์ที่ได้รับคือความสงบสุขทางร่างกายในสังคม 2. เพื่อเป็นหลักให้เศรษฐกิจสมบูรณ์จากการที่ได้มีการวางหลักการจัดสังคมมนุษย์ไว้หลาย คนที่ส าคัญที่สุดมี2 อย่าง คือ ศาสนา และเศรษฐกิจ โดยศาสนาเกี่ยวข้องกับคุณธรรมจริยธรรมเป็นเรื่อง ของ จิตใจ ถ้ามนุษย์รู้จักควบคุมตนเองได้รู้จักใช้ปัจจัยสี่อย่างถูกต้องตามท านองคลองธรรม สังคมก็จะ สงบสุข ส่วนเศรษฐกิจเป็นเรื่องทางวัตถุซึ่งเชื่อว่าถ้ามนุษย์มีปัจจัยสี่บริบูรณ์มีการจัดสรรแบ่งปันอย่างมี คุณธรรม จริยธรรมสังคมก็จะสงบสุขตามความต้องการของมนุษย์ 3. เพื่อเป็นหลักให้สังคมเกิดความเจริญก้าวหน้า เนื่องจากจริยธรรมมีความจ าเป็นต่อชีวิตและ จิตใจของมนุษย์ท าให้บุคคลมีหลักปฏิบัติชีวิตที่ดีขึ้นก้าวหน้าขึ้น ปกครองตนเองได้ท าให้คนเป็นมนุษย์ที่ สมบูรณ์แบบ เพียบพร้อมด้วยจริยธรรมอันมีประโยชน์ต่อชีวิตและจิตใจของมนุษย์ในสังคมส่วนรวม เป็นบ่อเกิดแห่งความเจริญทั้งหลายที่เรียกว่าวัฒนธรรม อารยธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ส าคัญที่สุด คือ จริยธรรมมีประโยชน์แสดงให้เห็นถึงความเจริญก้าวหน้าอันยิ่งใหญ่ทางด้านจิตใจของมนุษยชาติใน สังคมโลก


๑๒ ภิภพ วชังเงิน ได้อธิบายคุณค่าของจริยธรรมต่อชีวิตมนุษย์โดยจริยธรรมมีส่วน ในการช่วย พัฒนาคุณภาพชีวิตท าให้มนุษย์รู้จักตนเองมากขึ้น จริยธรรมเป็นวิถีทางแห่งปัญญามีส่วนช่วยใน การสร้าง สันติภาพในสังคมและโลก ช่วยให้มนุษย์อยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างมีระเบียบ ท าให้มนุษย์สามารถ ปรับตัว เข้ากับบุคคลอื่นและสังคมได้จริยธรรมยังเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวและเป็นหลักปฏิบัติท ำให้มนุษย์มีความ หนักแน่น ช่วยท าให้มนุษย์สามารถก าหนดเป้าหมายของชีวิตได้และช่วยให้มนุษย์สามารถแก้ไขปัญหาชีวิต ได ้ สรุปได้ว่า ทั้งความหมายและความส าคัญของจริยธรรมจึงเป็นแบบอย่างของความประพฤติ ปฏิบัติของบุคคลที่สังคมยอมรับว่าดีมีประโยชน์และเมื่อบุคคลได้ประพฤติปฏิบัติแล้วย่อมยังประโยชน์สุข ให้แก่ตนเองและสังคมโดยรวม จากทัศนะเกี่ยวกับความส าคัญของจริยธรรมจะเห็นได้ว่า จริยธรรมมีความส าคัญทั้งในระดับ ชีวิต ส่วนตน ซึ่งหมายถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้เป็นผู้มีจิตใจที่ดีงาม เกิดความสงบความระลึกได้และ กระท า ในสิ่งที่ถูกต้องต่อตนเองและผู้อื่น ส่งผลให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และระดับส่วนรวมซึ่งหมายถึง ความสามารถปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้ลดเงื่อนไขความขัดแย้งในสังคม การปฏิบัติตามหลักจริยธรรมจะ น ามา ซึ่งสันติภาพในองค์การ ชุมชน สังคมรวมทั้งสร้างสันติภาพในโลก 3.3 องค์ประกอบของจริยธรรม ในการศึกษาองค์ประกอบของจริยธรรมนั้นนักวิชาการโดยจ าแนกองค์ประกอบของจริยธรรม ทั้ง 3 ประการ มีรายละเอียด ดังนี้ 1. ด้านความรู้(Knowledge) ได้แก่ ความรู้ความเข้าใจในเหตุผลของความถูกต้องดีงามการ ใช้เหตุผลทางจริยธรรมการตัดสินแยกแยะความถูกผิด 2. ด้านความรู้สึก (Feeling) ได้แก่ความพึงพอใจ ความศรัทธา ปฏิกิริยาที่มีผลต่อพฤติกรรม ทางจริยธรรม เช่น ความรู้สึกทางจริยธรรม ทัศนคติทางจริยธรรม 3. ด้านพฤติกรรม (Conduct) ได้แก่ พฤติกรรมที่บุคคลที่แสดงออกให้ปรากฎจาก สถานการณ์หรือสภาพแวดล้อมต่าง ๆ เช่น พฤติกรรมทางจริยธรรม การกระท าทางจริยธรรม ฮอฟแมน (Hoffman) ได้จ าแนกองค์ประกอบจริยธรรม โดยฮอฟแมนเชื่อว่า จริยธรรมเป็น กระบวนการสัมพันธ์ของ 3 องค์ประกอบที่มีอิสระจากกัน อันได้แก่ 1. ความคิดทางจริยธรรม (Moral Thought) ได้แก่ กระบวนการคิดประเมินค่าพฤติกรรมทาง จริยธรรม การตัดสินทางจริยธรรม การใช้เหตุผลทางจริยธรรม เป็นต้น 2. ความรู้สึกทางจริยธรรม (Moral Feeling ได้แก่ ความรู้สึกทางจริยธรรม ทัศนคติทาง จริยธรรม ปฏิกิริยาทางจริยธรรม เป็นต้น 3. พฤติกรรมทาง (Moral Behavior) หมายถึงการกระท า หรือ พฤติกรรมแสดงออกทาง จริยธรรม ได้แก่ การปฏิบัติทางจริยธรรม การกระท าทางจริยธรรม เป็นต้น ดวงเดือน พันธุมมาวิน ได้แบ่งจริยธรรมออกเป็น 4 ด้าน ดังนี้ 1. ความรู้เชิงจริยธรรม หมายถึง การบอกได้ว่าการกระท าใดดีควรกระท า และการกระท าใด ควรงดเว้น ความรู้ด้านจริยธรรมจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับอายุ ระดับการศึกษาและสติปัญญา


๑๓ 2. ทัศนคติเชิงจริยธรรม หมายถึง ความรู้สึกเกี่ยวกับพฤติกรรมเชิงจริยธรรมว่าชอบหรือไม่ ชอบลักษณะนั้นเพียงใด ทัศนคติเชิงจริยธรรมของบุคคลส่วนใหญ่จะสอดคล้องกับคู่นิยมในสังคม ซึ่ง ทัศนคติอาจเปลี่ยนแปลงตามเวลาและสังคมนั้น ๆ 3. เหตุผลเชิงจริยธรรม หมายถึง การยกเหตุผลมาอ้างอิงการตัดสินใจที่จะกระท าหรือไม่ กระท าพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง 4. พฤติกรรมจริยธรรม หมายถึง การที่บุคคลแสดงพฤติกรรมที่สังคมนิยมชมชอบ หรืองดเว้น ไม่แสดงพฤติกรรมที่ฝ่าฝืนค่านิยมหรือกฎเกณฑ์ในสังคมนั้น ๆ ก าพล ชูธรัตน์สรุปได้ว่า ทัศนะของผู้ทรงคุณธรรมและนักวิชาการดังกล่าว มีหลักเกณฑ์ใน การจ าแนกองค์ประกอบของจริยธรรม โดยส่วนรวมตรงกันดังนี้คือ 1. องค์ประกอบทางปัญญา (Moral Cognition) หมายถึง กระบานการใช้ปัญญาคิดพิจารณา หาเหตุผลในการประเมินคุณค่าของการปฏิบัติจริยธรรมของบุคคลว่าเป็นการปฏิบัติที่ถูกหรือผิด ดีหรือชั่ว ควรไม่ควร ยุดิธรรมหรืออยุติธรรมเหล่านี้เป็นต้น 2. องค์ประกอบทางความรู้สึก (Moral Affection) หมายถึง ความรู้สึกที่มีต่อการปฏิบัติ จริยธรรมของบุคคลทั้งในทางที่ดีงาม และในทางตรงข้าม เช่น ความรู้สึกพอใจหรือไม่พอใจชอบหรือไม่ ชอบ เชื่อหรือไม่เชื่อ เป็นต้น 3. องค์ประกอบการปฏิบัติ(Moral Conduct) หมายถึง การแสดงความประพฤติและการ ปฏิบัติทาง จริยธรรมของบุคคล การปฏิบัติเหล่านี้สามารถประเมินได้ว่า ในสถานการณ์แวดล้อมหนึ่ง ๆ นั้น การกระท านั้นถูกหรือผิด ดีหรือไม่ดีควรกระท าหรือไม่ควรกระท า เป็นต้น นอกจากนี้สุรางค์ โก้วตระกูล ได้กล่าวถึงลักษณะของจริยธรรมไว้ว่า 1. จริยธรรมเป็นสิ่งที่เรียนรู้ 2. ประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 อย่าง คือ องค์ประกอบเชิงพุทธิปัญญา หรือ ความรู้คิด องค์ประกอบเชิงความรู้สึกและอารมณ์และองค์ประกอบเชิงพฤติกรรม 3. พัฒนาการทางจริยธรรมเกิดควบคู่กับพัฒนาการทางเชาว์ปัญญา 4. พฤติกรรมเชิงจริยธรรมบางอย่างเปลี่ยนแปร ไปตามสถานการณ์ตัวอย่างเช่นความซื่อสัตย์ บุคลบางคนอาจจะไม่โกงเกี่ยวกับการเงิน แต่อาจจะโกงเวลาสอบ เป็นต้น 5. พฤติกรรมเชิงจริยธรรมอาจจะกล่าวได้ว่ามี3 ประเภท คือ 5.1 พฤติกรรมเชิงจริยธรรมที่มีลักษณะสากล คือ เหมือนกับพฤติกรรมในวัฒนธรรม หรือสังคมอื่นทั่วโลก 5.2 พฤติกรรมเชิงจริยธรรมที่เหมือนกันพฤติกรรมของกลุ่มชนชุมชน หรือสังคมที่บุคคล นั้นเป็นสมาชิก 5.3 พฤติกรรมเชิงจริยธรรมที่มีลักษณะพิเศษเฉพาะคน ท าให้คนนั้นต่างกับกนอื่นเป็น ปัจเจกบุคคล จากองค์ประกอบของจริยธรรมสามารถสรุปได้ว่า จริยธรรมจะมีองค์ประกอบหลัก 3 ประการ คือ ความรู้ด้านจริยธรรม ซึ่งหมายความรวมถึงความรู้ส าหรับการตัดสินใจ การใช้เหตุผลที่เป็น กระบวนการคิดภายในตนเอง ทัศนคติด้านจริยธรรม หมายความรวมถึงความรู้สึกนึกคิดในการที่จะน าไปสู่


๑๔ การแสดงออกและพฤติกรรมด้านจริยธรรม คือ พฤติกรรม การแสดงออกหรือการกระท าที่กลั่นกรองจาก ความรู้และทัศนคติที่อยู่ในตนเองและแสดงออกมาในรูปแบบของพฤติกรรม 3.4 ประโยชน์ของจริยธรรม 1. ท าให้เป็นคนที่ดูดีดูน่าเชื่อถือ 2. ท าให้เป็นคนที่เป็นที่ไว้วางใจของบุคคลอื่น ๆ ได้เป็นอย่างมาก 3. ท าให้เป็นผู้ที่มีจรรยาบรรณที่ดี 4. มีความยุติธรรมถูกต้อง 5. ท าให้เป็นผู้ที่มีความประพฤติชอบเหมาะสม 6. เป็นที่รักของคนรอบข้าง 7. เป็นผู้ที่น่าเคารพ 8. เพื่อให้มีเมตตาธรรม ไม่เบียดเบียน 9. เพื่อให้ชีวิตมีความปลอดภัย ไม่ต้องหวาดระแวงกันและกัน 10. เพื่อให้ประกอบกิจการงานและประพฤติธรรมได้โดยสะดวก 11. เพื่อเป็นพื้นฐานให้สามารถช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้ต่อไป 12. เพื่อให้อยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข 13. เพื่อก าจัดเวรภัยทั้งปัจจุบันและอนาคต 14. เพื่อให้ประกอบอาชีพโดยความซื่อสัตย์สุจริต 15. เพื่อให้รักและเคารพเกียรติของตนเอง 16. เพื่อให้เคารพกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของผู้อื่น 17. เพื่อให้เกิดความมั่นใจในทรัพย์สินของตนเองไม่ต้องวิตกกังวล 18. เพื่อให้อยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข 19. เพื่อก าจัดเวรภัยทั้งปัจจุบันและอนาคต 3.5 ความส าคัญของการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม งานด้านคุณธรรม จริยธรรม เป็นงานที่มีความอ่อนไหว ลึกซึ้ง และเข้าถึงได้ยาก กระบวนการพัฒนาต้องใช้ความละเอียดอ่อนกอปรกับวิธีการที่เรียบง่ายและที่ส าคัญต้องสร้างความรู้ความ เข้าใจเพื่อให้เกิดการยอมรับและพร้อมที่จะให้ความร่วมมือในการพัฒนาด้วยความเต็มใจ “คว ามส าเ ร็จในก า รพัฒน าคุณธ ร รม จ ริยธ ร รมไม่ได้อยู่ที่ได้ท า (มีเงิน มีคน มีแผน) แต่อยู่ที่ท าแล้วได้อะไร (ได้สร้างคุณค่าให้แก่ตนเอง ผู้อื่น และราชการ)” การพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม ต้องยึดหลักประพฤติปฏิบัติที่ดีดังที่ได้กล่าวมาแล้ว และต้องมี กลยุทธ์ที่เหมาะสมกับบริบทขององค์กร และประการส าคัญ คือ บุคลากรขององค์กร ตั้งแต่ระดับผู้บริหาร ระดับสูงไปจนถึงเจ้าหน้าที่คนสุดท้ายต้องมีความเข้าใจและยอมรับในบทบาทหน้าที่ของการพัฒนา คุณธรรม จริยธรรม ผู้บริหารต้องให้ความส าคัญ สนับสนุนและเป็นแบบอย่าง ผู้ให้การพัฒนาต้องมีความรู้ ในหลักการเชิงทฤษฎีมีความเข้าใจในเชิงปฏิบัติมีความศรัทธาในคุณงามความดีและลงมือท าด้วย “หัวใจ” ที่เต็มเปี่ยมด้วย “ความรัก” ผู้รับการพัฒนาต้องเข้าใจ ยอมรับพร้อมที่จะเข้าสู่การพัฒนาด้วย ความสมัครใจ


๑๕ ผู้บริหารเป็นหัวใจส าคัญของหน่วยงานหรือองค์กร ทุกหน่วยงานย่อมปรารถนาและให้การยอมรับ นับถือผู้บริหารที่มีคุณภาพนั่นก็คือ เป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถมีทักษะคามช านาญงานมี ประสบการณ์ มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ฯลฯ แต่ที่เหนือสิ่งอื่นใดคือ ต้องเป็นผู้มีคุณธรรมในจิตใจ และมี จริยธรรมที่น่าเลื่อมใสศรัทธา ผู้บริหารก็คือคนที่มีความสามารถในหลายด้านที่เหนือกว่าคนทั่วไปดังนั้น ผู้บริหารจึงต้องเป็นคนดีของสังคมและเกือบทุกสังคมจะยึดหลักการของศาสนามาเป็นพื้นฐานของความดี ความงามในการอยู่ร่วมกัน ส าหรับคนไทย คุณธรรมจริยธรรมส่วนใหญ่จะประยุกต์มาจากพระพุทธศาสนาเป็นหลักค าสั่ง สอนของพระพุทธเจ้านั้น ถึงแม้ว่าจะมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล นับถึงปัจจุบัน เป็นเวลากว่า ๒๕๕๖ ปี แล้ว แต่ทุกหลักธรรมยังคงทันสมัยอยู่เสมอ สามารถน าไปประยุกต์ใช้เป็นเครื่องด าเนินชีวิตและแนวทางใน การบริหารงานได้เป็นอย่างดีที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะหลักธรรมดังกล่าวเป็นความจริงที่ สามารถพิสูจน์ได้ที่ เรียกว่า “สัจธรรม” ปฏิบัติได้เห็นผลได้อย่างแท้จริงอยู่ที่เราจะน าหลักธรรมข้อใดมาใช้ให้เหมาะสมกับตัว เรามากที่สุด ส าหรับนักบริหารก็มีหลักธรรมส าหรับยึดถือและปฏิบัติอย่างมากมาย ความส าคัญของคุณธรรมและจริยธรรมจึงอาจแบ่งได้ดั้งนี้คือ ๑. ความส าคัญต่อสังคมสังคมเป็นแหล่งรวมกันของผู้คนที่มีความแตกต่างกัน โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งความแตกต่างทางความคิดเป็นความแตกต่างที่ส าคัญ เพราะความคิดเป็นจุดเริ่มต้นของการกระท า ถ้า คิดอย่างไรการกระท าก็มักจะเป็นอย่างนั้นเสมอ เมื่อความคิดของคนในสังคมแตกต่างกันก็จะเกิดการ กระท าที่แตกต่างกันอย่างหลากหลายตามไปด้วย ซึ่งอาจจะท าให้เกิดความขัดแย้งต่าง ๆ ตามมา ดังนั้น สังคมต้องอาศัยคุณธรรมจริยธรรมเป็นเครื่องควบคุมความคิดและการปฏิบัติของผู้คนไม่ให้ไปคิดและ กระท าอันเป็นการละเมิดผู้อื่น ๒. ความส าคัญต่อหน่วยงานถ้าหน่วยงานใดมีสมาชิกที่ประกอบไปด้วยคุณธรรมจริยธรรมแล้ว หน่วยงานนั้นก็จะเป็นหน่วยงานที่มีคุณภาพ ประสิทธิภาพ เพราะคุณธรรมที่ดีในตัวแต่ละคนนั้น จะเป็นตัว บ่งบอกถึงความเป็นผู้มีคุณภาพพร้อมที่จะด าเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนจริยธรรมนั้นเป็นตัวบ่ง บอกถึงความเป็นผู้ที่สามารถในการปฏิบัติที่ดีที่ถูกต้อง ท าให้เกิดผลงานที่มีคุณภาพกล่าวอีกอย่างหนึ่งได้ ว่า หน่วยงานที่มีบุคลากรที่มีคุณธรรม จริยธรรม ก็คือ มีปัจจัยตัวป้อนด้านบุคลากรที่ดีและเมื่อเข้าสู่ กระบวนการก็จะได้ผู้ที่ควบคุมกระบวนที่ดีและจะได้ผลงานออกมาที่ดีในที่สุด ๓. ความส าคัญต่อการบริหาร การบริหารประกอบด้วย วัตประสงค์ขององค์การ กิจกรรมที่จะ ด าเนินการและทรัพยากรในการบริหาร ทรัพยากรบริหารนั้นประกอบด้วย คน เงิน วัสดุอุปกรณ์และ วิธีการ ซึ่งคนเป็นทรัพยากรที่มีความส าคัญที่สุด ถ้าหากคนมีคุณธรรมจริยธรรมแล้ว การบริหารงานก็จะ ด าเนินไปได้และบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ถ้าหากคนไม่มีคุณธรรมจริยธรรมก็ยากที่จะด าเนินการให้บรรลุ วัตถุประสงค์ได้ ๔. ความส าคัญต่อผู้บริหาร คุณธรรมจริยธรรมเป็นคุณสมบัติที่ดีของทุกคนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ด ารงต าแหน่งผู้น า หรือผู้บริหารจ าเป็นต้องมีคุณธรรมจริยธรรมมากกว่าต าแหน่งอื่น ๆ เนื่องจาก ผู้บริหารเป็นผู้ผลักดันให้เกิดการด าเนินงานขับเคลื่อนไปข้างหน้าตามวัตถุประสงค์ต้องมีการบริหารงาน ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใส ให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม คุณธรรมจริยธรรมเป็นลักษณะของความดีถ้า ผู้บริหารมีความดีมีคุณธรรมจริยธรรมก็จะได้รับการยอมรับนับถือ เท่ากับเป็นการสร้างภาวะผู้น าให้เกิดขึ้น การบริหารงานนอกจากจะวางระบบการบริหารงานที่ดีแล้ว ยังต้องพยายามสร้างแรงจูงใจเพื่อให้


๑๖ ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ซึ่งการสร้างแรงจูงใจมีทั้งทางบวกและทางลบ เช่น การให้รางวัล หรือการลงโทษ เป็นต้น แต่ในความเป็นจริงในการสร้างแรงจูงใจที่ดีที่สุดคือการท าให้ ผู้ใต้บังคับบัญชามีความรู้สึกว่าได้ปฏิบัติหน้าที่กับผู้บังคับบัญชาที่มีความซื่อสัตย์สุจริต ยุติธรรม ดังนั้น ถ้า ผู้บริหารมีคุณธรรมจริยธรรมก็จะเป็นการสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชาได้เป็นอย่างดีการ ด าเนินงานโครงการหรืองานประจ าใด ๆ ที่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับความไม่คุ้มค่าในการใช้ งบประมาณ เป็นสิ่งที่เห็นได้ว่า ขาดคุณธรรม จริยธรรม มีการทุจริตคอรัปชั่นแฝงอยู่ในกระบวนการ ด าเนินงาน ถ้าการบริหารไม่ว่าระดับใดหรือฝ่ายใดก็ตามยึดมั่นในคุณธรรมจริยธรรม ไม่โลภ ไม่อยากได้ใน สิ่งที่ไม่ควรได้เมื่อมีการบริหารงานด้วยความโปร่งใส ซื่อสัตย์สุจริตแล้ว การใช้งบประมาณก็จะท าได้เต็ม เม็ดเต็มหน่วย ผลงานต้องเกิดขึ้นและคุ้มค่ามากที่สุด 4. แนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับผู้บริหารสถานศึกษา 4.1 ความหมายของผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษาเป็นผู้มีความส าคัญยิ่งในการบริหารสถานศึกษา เนื่องจากบทบาทของ ผู้บริหารสถานศึกษาจะส่งผล โดยตรงต่อผลงานของหน่วยงาน ความส าเร็จหรือความล้มเหลวของการ จัดการในสถานศึกษา ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติงานตามบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบของผู้บริหารเป็น ส าคัญ แนวคิดเกี่ยวกับผู้บริหารสถานศึกษา ดังนี้ ธีระ รุญเจริญ ได้กล่าวว่า ผู้บริหารสถานศึกษาหมายถึง ผู้บริหารมืออาชีพ ในการน าโรงเรียน ให้บรรลุความส าเร็จตามภารกิจและบทบาทหน้าที่ของโรงเรียน โดยอาศัยความรู้ความสามารถและ คุณลักษณะที่เอื้อโดยเฉพาะ และอาศัยกระบวนการบริหารที่เน้นการมีส่วนร่วมของบุคลากรและทุกฝ่าย ทุกสถาบันทุกองค์กรที่เกี่ยวข้องภายนอกสถานศึกษา ส านักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา ได้ให้ความหมายของผู้บริหาร สถานศึกษาตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วย คณะกรรมการบริหารหลักสูตรและงานวิชาการ สถานศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2544 ว่าหมายถึง ครูใหญ่อาจารย์ใหญ่หรือผู้อ านวยการที่รับผิดชอบบริหาร สถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ส านักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา ได้ให้ความหมายของผู้บริหารสถานศึกษาไว้ว่าผู้บริหาร สถานศึกษา หมายถึง ผู้บริหารหน่วยงานทางการศึกษาที่เป็นสถานศึกษา ผู้บริหารกลุ่มนี้แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มย่อยคือ 1. ผู้บริหารสถานศึกษาภายในเขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษาอื่นที่จัดการศึกษาปฐมวัย ขั้นพื้นฐานและอุคมศึกษาต่ ากว่าปริญญาตรีทั้งของรัฐและเอกชนผู้บริหารกลุ่มนี้จะประพฤติตนตาม จรรยาบรรณครูที่คุรุสภาก าหนด 2. ผู้บริหารสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาตั้งแต่ปริญญาตรีขึ้นไป ทั้งของรัฐและเอกชนผู้บริหาร กลุ่มนี้จะประพฤติตนตามจรรยาบรรณวิชาชีพของตนตามที่ก าหนดไว้ 3. ผู้บริหารสถานศึกษาที่สถาบันสังคมอื่นเป็นผู้จัด เช่น สถานศึกษาของสถาบัน ศาสนา สถานศึกษาของสถาบันทางการแพทย์สถานศึกษาของสถาบันต ารวจ สถานศึกษาของสถาบันทหาร ฯลฯ ผู้บริหารกลุ่มนี้จะปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณวิชาชีพของตนที่ก าหนดไวั


๑๗ ส านักงานเลขาธิการคุรุสภา ได้ให้ความหมายของผู้บริหารสถานศึกษาว่า หมายถึง บุคคลซึ่ง ปฏิบัติงานในต าแหน่งผู้บริหารสถานศึกษาภายในเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษาอื่น ที่จัดการศึกษา ปฐมวัย ขั้นพื้นฐาน และอุคมศึกษาต่ ากว่าปริญญาทั้งของรัฐและเอกชน สรุปได้ว่าผู้บริหารสถานศึกษา หมายถึง บุคลากรวิชาชีพที่รับผิดชอบการบริหารสถานศึกษา โดย การน าสถานศึกษาให้บรรลุผลส าเร็จตามการกิจขององค์กร ซึ่งจะต้องเป็นผู้มีความรู้ความสามารถ มีจรรยาบรรณ มีคุณธรรม และคุณลักษณะเฉพาะ ใช้กระบวนการบริหารที่เน้นการมีส่วนร่วมของบุคลากร และองค์กรทั้งภายในและกายนอกสถานศึกษา 4.2 ความส าคัญของผู้บริหารสถานศึกษา สมยศ นาวีการ ได้กล่าวถึงความส าคัญของผู้บริหารสถานศึกษาไว้ว่า ผู้บริหารคือผู้ใช้ ทรัพยากรทั้งหมดขององค์การ เงินทุน อุปกรณ์ข่าวสารและคน เพื่อความส าเร็จและผู้บริหารจึงต้องมี ความสามารถในการบริหารคน เพื่อให้เกิดความร่วมมือร่วมใจในการปฏิบัติงานอย่างประสานสัมพันธ์กัน อันจะน าไปสู่การบรรลุเป้าหมายขององค์การอย่างมีประสิทธิภาพ สมนึก พรเจริญ ได้กล่าวถึงความส าคัญของผู้บริหารสถานศึกษาไว้ว่าผู้บริหารสถานศึกษาไว้ ว่าผู้บริหารสถานศึกษาเป็นผู้รับผิดชอบสูงสุดในสถานศึกษาที่เป็นหน่วยงานที่ปฏิบัติโดยตรงที่จะ ขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 และพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพุทธศักราช 2542 โดยยึดภารกิจการบริหารสถานศึกษา 6 งาน คืองานวิชาการ งานบุคลากร งานกิจกรรมนักเรียน งานธุรการ การเงินและพัสดุงานอาคารสถานที่ และงานสัมพันธ์ชุมชน ธีระ รุญเจริญ, ปราชญา กล าผจัญ และสัมมา รธนิธย์ ได้กล่าวผู้บริหารสถานศึกษา เป็นผู้มีบทบาทส าคัญอย่างยิ่งต่อความส าเร็จหรือความล้มเหลวขององค์โดยเฉพาะองค์กรภาคเอกชนนั้น เห็นได้ชัดเจนว่าความอยู่รอดขององค์กรขึ้นอยู่กับผู้บริหารเป็นส าคัญ ดังนั้นภาคเอกชนไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การเงินการธนาคาร การบริหารธุรกิจ การค้า การอุตสาหกรรม รวมทั้งการศึกษาเอกชนตั้งแต่อนุบาลถึง อุดมศึกษา จึงต้องสรรหาผู้บริหารที่มีฝีมือหรือมีความสามารถสูง เพื่อความส าเร็จในการบริหารงานให้ บรรจุวัตถุประสงค์ขององค์การ ทองดีเมืองเจริญ ได้กล่าวว่า ผู้บริหารสถานศึกษาเป็นบุคคลที่ส าคัญที่สุด เพราะจะท าให้ ภารกิจในสถานศึกษาบรรลุวัตถุประสงค์ นอกจากจะน าองค์กร ไปสู่จุดมุ่งหมายปลายทางแล้ว ยังต้อง น าพา คนให้มีความสุขในการเดินทางด้วยความส าเร็จ นอกจากมีความรู้ความสามารถแล้วจะต้องมี คุณธรรม จริยธรรมในการบริหารงานด้วย ไซมอน(Simon) ได้กล่าวถึงผู้บริหารไว้ว่าผู้บริหารไม่ปฏิบัติแต่ใช้ศิลปะท าให้ผู้ปฏิบัติงาน ท างานตนเป็นผลส าเร็จตามจุดมุ่งหมายขององค์กรซึ่งตรงตามจุดมุ่งหมายที่ผู้บริหารเลือก สรุปได้ว่า ผู้บริหารสถานศึกษาเป็นบุคคลที่ส าคัญ นอกจากจะมีความรู้ความสามารถแล้วยัง จะต้องมีคุณธรรมในการบริหารงาน ที่จะขับเคลื่อนภารกิจของสถานศึกษาไปสู่เป้าหมายขององค์กรอย่างมี ประสิทธิภาพ


๑๘ 4.3 บทบาทหน้าที่ของผู้บริหารสถานศึกษา ธีรรัตน์กิจจารักษ์ได้กล่าวถึงบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบของผู้บริหารสถานศึกษาทั้งที่ เป็นบทบาทและความรับผิดชอบตามกฎหมายระเบียบข้อบังคับที่ก าหนดไว้ และรวมทั้งภารกิจที่ควรท า ตามหลักจริยธรรมคุณธรรม สามัญส านึกและตามวิญญาณของนักบริหารอันพึงจะมีตามล าดับดังต่อไปนี้ 1. ตามมาตรฐานการก าหนดต าแหน่ง 2. การบริหารโรงเรียน 2.1 การบริหารด้านวิชาการ 2.2 การบริหารค้านธุรการ 2.3 การบริหารด้านกิจการนักเรียน 2.4 การบริหารด้านธุรการ การเงิน และพัสดุ 2.5 การบริหารค้านอาคารสถานที่ 2.6 การบริหารด้านความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชน 3. ผู้น าสังคม 4. การจัดองค์การ 5. การวางแผน 6. การตัดสินใจ 7. การสั่งการ 8. การประสานงาน 9. การควบคุม 10. การสร้างขวัญและก าลังใจ 11. มนุษย์สัมพันธ์ 12. การบริหารเวลา สิทธิพร ลิ มบริบูรณ์ได้กล่าวถึงผู้บริหารสถานศึกษาทั้งของภาครัฐและเอกชนมีบทบาทหน้าที่ ดังต่อไปนี้ 1. เป็นประธานคณะกรรมการบริหารหลักสูตรและวิชาการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของรัฐ รวมถึงกรรมการและเลขานุการในคณะกรรมการสถานศึกษาเอกชน 2. เป็นกรรมการและเลขานุการในคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของรัฐรวมถึง กรรมการและเลขานุการในคณะกรรมการสถานศึกษาเอกชน 3. เป็นผู้บังคับบัญชาครูและบุคลากรทางการศึกษาในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน 4. บริการของสถานศึกษาขั้นพื้นฐานให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับทางราชการ และของสถานศึกยา รวมทั้งนโยบายและวัตถุประสงค์ของสถานศึกษาหรือของหน่วยงาน 5. ประสานการระคมทรัพยากรเพื่อการศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม รวมทั้งควบคุม ดูแล บุคลากร การเงิน การพัสดุสถานที่และทรัพย์สินของสถานศึกยาหรือหน่วยงานให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับของทางราชการ


๑๙ 6. เป็นผู้แทนของสถานศึกษาหรือหน่วยงานในกิจการทั่งไปรวมทั้งการจัดท านิติกรรมสัญญา ของสถานศึกษาหรือหน่วยงาน ตามวงเงินงบประมาณที่สถานศึกษาหรือหน่วยงานได้รับมอบ 7. จัดท ารายงานกิจกรรมประจ าปีเกี่ยวกับกิจกรรมของสถานศึกษา หรือหน่วยงานเพื่อเสนอ ต่อครูกรรมการการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมเขตพื้นที่การศึกษา 8. อนุมัติประกาศนียบัตรและวุฒิบัตรของสถานศึกษาให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการ สถานศึกษาขั้นพื้นฐานก าหนด 9. ปฏิบัติงานอื่นตามที่ได้รับมอบหมาย รามทั้งงานอื่นที่กระทรวงมอบหมาย สุวรรณชัย ทองค า ได้กล่าวว่า ผู้บริหารสถานศึกษาจ าเป็นจะต้องปฏิบัติดามาตรฐานการ ปฏิบัติงานของผู้บริหารสถานศึกษาตามมาตรฐานวิชาชีพทางการศึกษา ซึ่งหมายถึงคุณลักษณะและ คุณภาพการบริหารสถานศึกษาที่คุรุสภาก าหนดไว้ส าหรับผู้บริหารสถานศึกษาประพฤติปฏิบัติ ดังนี้ 1. ปฏิบัติกิจกรรมทางวิชาการเกี่ยวกับการพัฒนาวิชาชีพการบริหารการศึกษา 2. ตัดสินใจปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ โดยค านึงถึงผลที่จะเกิดขึ้นกับการพัฒนาของบุคลากร ผู้เรียน 3. มุ่งมั่นพัฒนาผู้ร่วมงานให้สามารถปฏิบัติงานได้เต็มศักยภาพ 4. พัฒนาแผนงานขององค์กรให้สามารถปฏิบัติได้เกิดผลจริง 5. พัฒนาและใช้นวัตกรรมการบริหารจนเกิดผลงานที่มีคุณภาพสูงขึ้นเป็นล าดับ 6. ปฏิบัติงานขององค์กร โดยเน้นผลถาวร 7. รายงานผลการพัฒนาคุณภาพการศึกษาได้อย่างเป็นระบบ 8. ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี 9. ร่วมมือกับชุมชนและหน่วยงานอื่นอย่างสร้างสรรค์ 10. แสวงหาและใช้ข้อมูลข่าวสารในการพัฒนา 11. เป็นผู้น าและสร้างผู้น า 12. สร้างโอกาสในการพัฒนาได้ทุกสถานการณ์ ผู้บริหารสถานศึกษามีหน้าที่รับผิดชอบการบริหารสถานศึกษาแต่ละแห่งทั้งของรัฐและเอกชน มาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2542 และตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหาร ราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.2546 มาตรา 39 บัญญัติไว้ว่าสถานศึกษาให้มีผู้อ านวยการสถานศึก บาหรือหัวหน้าส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่น เป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการและมีอ านาจหน้าที่ ดังนี้ 1. บริหารกิจการของสถานศึกษาหรือส่วนราชการให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับของทางราชการ และของสถานศึกษาหรือส่วนราชการ รวมทั้งนโยบายและวัตถุประสงค์ของ สถานศึกษาหรือส่วนราชการ 2. ประสานการระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษารวมทั้งควบคุมดูแลบุคลากร การเงินการพัสดุ สถานที่ และทรัพย์สินอื่นของสถานศึกษาหรือส่วนราชการให้เป็นไปตามกฎหมายระเบียบและข้อบังคับ ของทางราชการ 3. เป็นผู้แทนของสถานศึกษา หรือส่วนราชการในกิจการทั่วไป รวมทั้งการจัดท านิติกรรม สัญญาในราชการของสถานศึกษาหรือส่วนราชการได้รับตามที่ได้รับมอบอ านาจ


๒๐ 4. จัดท ารายงานประจ าปีเกี่ยวกับกิจการของสถานศึกษาหรือส่วนราชการ เพื่อเสนอต่อ คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษา 5. อ านาจหน้าที่ในการอนุมัติประกาศนียบัตรและวุฒิบัตรของสถานศึกษา ให้เป็นไปตาม ระเบียบที่คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานก าหนด 6. ปฏิบัติงานอื่นตามที่ได้รับมอบหมายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ปลัดกระทรวง เลขาธิการสภาการศึกษา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เลขาธิการ คณะกรรมการอุดมศึกษา เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และผู้อ านวยการส านักงานเขตพื้นที่ การศึกษา รวมทั้งงานอื่นที่กระทรวงมอบหมาย จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า งานของผู้บริหารสถานศึกษาคือการรับผิดชอบ การจัดกิจกรรมต่าง ๆ ในสถานศึกษา ตั้งแต่การก าหนคนไยบายและวัตถุประสงค์ของสถานศึกษาจัดสรรทรัพยากรทางการศึกษา เป็นผู้รักษาวินัยและปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างแก่ผู้ใด้บังคับบัญชาตลอดจนประสานงานกับบุคคล ชุมชน หน่วยงาน และองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เป้าหมายและวัตถุประสงค์ของสถานศึกษาบรรลุผล 5.คุณธรรมและจริยธรรมส าหรับผู้บริหาร 5.1 คุณธรรมส าหรับผู้บริหาร คุณธรรมและจริยธรรมส าหรับนักบริหาร คือ การใช้หลักธรรมปฏิบัติในการ บริหารราชการ ทุกระดับ ตั้งแต่ระดับปฏิบัติการ และผู้บริหารระดับต้น ระดับกลาง หรือระดับสูง ให้ได้ผลดีมีประสิทธิภาพ สูงโดยการปกครองและบริหารที่ดี(Good Governance) การปกครองและบริหารที่ดีตามหลักธรรม ปฏิบัตินั้น ผู้บริหารราชการต้องมี“ประมุขศิลป์” คือคุณลักษณะความเป็นผู้น าที่ดี(Good Leadership) อันเป็นคุณสมบัติที่ดีที่ส าคัญ ของหัวหนาฝ่ายบริหารลงมาถึงหัวหนางานทุกระดับให้สามารถปกครอง และ บริหารองค์กรที่ตน รับผิดชอบ ให้ด าเนินไปถึงความส าเร็จอย่างได้ผลดีมีประสิทธิภาพสูงและให้ถึงความ เจริญรุ่งเรือง และสันติสุขอย่างมั่นคง คุณลักษณะความเป็นผู้น าที่ดีนั้น เป็นทั้งศาสตร์(Science) และศิลป์(Arts) กล่าวคือ สามารถ ศึกษาวิเคราะห์วิจัยข้อมูลอย่างมีระบบ (Systematic Study) จากพฤติกรรมและวิธีการ ปกครองการ บริหารองค์กรให้ส าเร็จด้วยดีมีประสิทธิภาพสูงมาแล้ว ประมวลขึ้นเป็นหลัก หรือ ทฤษฏี(Theory) ตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Method) ส าหรับใช้เป็นแนวทางการ ปฏิบัติงานของหัวหนาฝ่าย บริหาร ให้เกิดประโยชนแกการปกครองการบริหารที่ดี(Good Governance) กล่าวคือให้บรรลุผลส าเร็จ ด้วยดีมีประสิทธิภาพสูงได้เพราะเหตุนั้น ประมุขศิลป์คือ คุณลักษณะความเป็นผู้น าที่ดีจึงชื่อว่า เป็นศาสตร์ (Science) นอกจากนี้คุณลักษณะความเป็นผู้น าที่ดีนั้น ยังเกิดจากการที่บุคคลได้เคยศึกษาหาความรู ฝึกฝนอบรมบ่มนิสัยและเคยปฏิบัติพัฒนาสภาวะความเป็นผู้น าที่ดีมาแต่ปางก่อน คือแต่อดีตกาล จนหล่อหลอมบุคลิกภาพและสภาวะความเป็นผู้น าที่ดีปลูกฝัง เพิ่มพูน อยู่ในจิตส านึกยิ่งขึ้นต่อ ๆ มาจนถึง ปัจจุบัน ประมุขศิลป์คือคุณลักษณะของความเป็นผู้น าที่ดีเช่นนี้ชื่อว่า เป็นศิลป์(Arts) ซึ่งก็คือ “บุญบารมี” นั้นเอง


๒๑ คุณธรรมส าหรับนักบริหาร นักบริหารที่ดีควรมีคุณลักษณะความเป็นผู้ที่ดีซึ่งประกอบด้วยคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้ 1. เป็นผู้มีบุคลิกภาพที่ดี(Good Personality) คือเป็นผู้มีสุขภาพกายและสุภาพจิตที่ดี 1.1 มีสุขภาพที่ดีคือเป็นผู้มีสุขภาพอนามัยที่ดีมีท่วงท่ากิริยา รวมทั้งการแต่ง กายที่ สุภาพ เรียบร้อยดีงาม สะอาดและดูสงางามสมฐานะ 1.2 มีสุขภาพจิตที่ดีคือ เป็นผู้มีอัธยาศัยใจคอที่ งาม เป็นคนดีมีศีลธรรม ได้แกศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ วิริยะ สติสมาธิและปัญญา กับทั้งมีกัลยาณมิตรธรรม คือมีคุณธรรมของคนดี เป็นผู้มีศรัทธา หมายถึง เป็นผู้รูจักศรัทธาบุคคลและข้อปฏิบัติที่ควรศรัทธาไม่ลุ่มหลงงม งายในที่ตั้งแห่งความลุ่มหลง เป็นผู้มีศีลคือผู้ที่รูจักส ารวมระวังความประพฤติปฏิบัติทางกายและวาจาให้ เรียบร้อยดีงาม ไมป่ ระพฤติเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เป็นผู้มีสุตะคือผู้ได้เรียนรูทางวิชาการและได้ศึกษาค้นคว้าในวิชาชีพดีเป็นผู้มีจาคะคือ เป็นผู้มีจิตใจกว้างขวางไม่คับแคบ รูจักเสียสละ เป็นผู้มีวิริยะคือผู้ขยันหมั่นเพียรในการประกอบกิจการงานงานอาชีพ และ/หรือในหน้าที่ รับผิดชอบ เป็นผู้มีสติคือผู้รูจักยับยั้ง ชั่งใจรูจักคิดไตรตรองให้รอบคอบ ก่อนคิด พูด ท า เป็นผู้มีสมาธิคือผู้มีจิตใจตั้งมั่น ข่มกิเลสนิวรณ์ เป็นผู้มีปัญญาคือผู้ที่รอบรูกองสังขาร ผู้รอบรู้สภาวธรรมที่ประกอบด้วยปัจจัยปรุงแต่ง (สังขาร) และที่ไมป่ ระกอบด้วยปัจจัยปรุงแต่ง (วิสังขารคือพระนิพพาน) ผู้รูแจ้งพระอริยสัจ 4 รวม เป็นผู้มีปัญญาอันเห็นชอบรอบรูทางเจริญ ทางเสื่อม แห่งชีวิต ตามที่เป็นจริง 2. เป็นผู้มีกัลยาณมิตรธรรม คือผู้มีคุณธรรมของมิตรที่ดี7 ประการคือ 1) เป็นผู้น่ารัก(ปโย) คือเป็นผู้มีจิตใจประกอบด้วยเมตากรุณาพรหมวิหาร 2) เป็นผู้น่าเคราพบูชา (ครุ) คือ เป็นผู้ที่สามารถเอาเป็นที่พึ่งอาศัย เป็นที่พึ่ง ทางใจ 3) เป็นผู้น่านับถือ นาเจริญใจ(ภาวนีโย) ด้วยว่า เป็นผู้ได้ฝึกฝนอบรมตนมาดีแล้วควรแก การยอมรับและยกย่องนับถือเอาเป็นเยี่ยงอย่างได้ 4) เป็นผู้รูจักพูดจาโดยมีเหตุผลและหลักการ (วัตตา) รูจักชี้แจง แนะน า ให้ผู้อื่นเขาใจดี แจ่มแจ้ง เป็นที่ปรึกษาที่ดี 5) เป็นผู้อดทนต่อถ้อยค าที่ล่วงเกิน วิพากษ์วิจารณ์ซักถาม หรือขอ ปรึกษาหารือ ขอให้ ค าแนะน าต่าง ๆ ได้(วจนักขโม) 6) สามารถแถลงชี้แจงเรื่องที่ลึกซึ้ง หรือเรื่องยุ่งยากซับซ้อนให้เข้าใจอย่าง ถูกต้องและ ตรงประเด็นได้ (คัมภีรัญ จะกะถังกัตตา) 7) ไม่ชักน าในอฐานะ (โน จัฏฐาเน นิโยชะเย) คือไม่ชักจูงไปในทางเสื่อม (อบายมุข) หรือไปในทางที่เหลวไหลไรสาระ หรือที่เป็นโทษ เป็นความทุกข์เดือดร้อน 5.2 จริยธรรมส าหรับนักบริหาร 1. เป็นผู้มีหลักธรรมในการครองงานที่ดีด้วยคุณธรรม คืออิทธิบาทธรรม ได้แก 1.1 ฉันทะ ความรักงาน คือจะต้องเป็นผู้รักงานที่ ตนมีหน้าที่รับผิดชอบ อยู่และทั้ง จะต้องเอาใจใสกระตือรือร้นในการเรียนรูงาน และเพิ่มพูนวิชาความรูความสามารถใน การท ากิจการงาน และมุ่งมั่นที่จะท างานในหน้าที่รับผิดชอบหรือกิจการงานอาชีพของตนให้ส าเร็จ เรียบร้อยอยู่เสมอ


๒๒ 1.2 วิริยะ ความเพียร คือ จะต้องเป็นผู้มีความขยันหมั่นเพียร ประกอบด้วยความอดทน ไมย่ ่อท้อต่อความยากล าบากในการประกอบกิจการงานในหนที่หรือใน อาชีพของตน จึงจะถึงความส าเร็จ และความเจริญก้าวหน้าได้ 1.3 จิตตะ ความเป็นผู้มีใจจดจ่ออยู่กับการงาน ผู้ที่ท างานได้ส าเร็จด้วยดีมีประสิทธิภาพ นั้น จะต้องเป็นผู้เอาใจใสต่อกิจการงานที่ท าและมุงกระท างานอย่างต่อเนื่องจนกว่า จะส าเร็จไม่ทอดทิ้ง หรือวางธุระเสียกลางคัน ไม่เป็นคนจับจด หรือท างานแบบท าๆ หยุดๆ หัวหน้าหน่วยงานหรือผู้บริหาร จะต้องคอยดูแลเอาใจใส “ติดตามผลงาน และ /หรือ ตรวจงาน” หน่วยงานต่าง ๆ ภายในองค์การของตน เพ ื่อประกอบการพิจารณาวินิจฉัย ตัดสินใจ และสั่งการให้กิจการงาน ทุกหน่วยด าเนินตามนโยบายและ แผนงาน ให้ถึงความส าเร็จ ตามวัตถุประสงค์ที่ก าหนดไว 1.4 วิมังสา ความเป็นผู้รูจักพิจารณาเหตุสังเกตผลในการปฏิบัติงานของ ตนเองและของ ผู้น้อยหรือของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา วาด าเนินไปตามนโยบายและแผนงานที่วางไว หรือไม่ได้ผลส าเร็จหรือมี ความคืบหน้าไปตามวัตถุประสงค์ที่ก าหนดไวหรือไม่เพียงไร มีอุปสรรค หรือปัญหาที่ควรได้รับการ ปรับปรุงแกไขวิธีการท างาน หรือวิธีการบริหารกิจการงานนั้นให้ส าเร็จ ตามวัตถุประสงคไ้ ด้อย่างไรขั้นตอน นี้เป็นการน าข้อมูลจากที่ได้ติดตามประเมินผลงานหรือตรวจ งานนั้นแหละมาวิเคราะห์วิจัย ให้ทราบ เหตุผลของปัญหาหรืออุปสรรคข้อขัดข้องในการท างาน แล้วพิจารณาแก้ไขปัญหาเหล่านั้น และปรับปรุง พัฒนาวิธีการท างานให้ด าเนินไปสู่ความส าเร็จ ให้ถึงความเจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไปได้ 2. รูจักหลักปฏิบัติต่อกันด้วยดีระหว่างผู้บังคับบัญชากับลูกน้อง หรือผู้อยู่ใต้ผู้บังคับบัญชา ตามหลักธรรมของพระพุทธเจา ชื่อ“เหฏฐิทิศ” มีเนื้อความว่า “เหฏฐิทิศ” คือ ทิศเบื้องต่ า เจ้านาย หรือ ผู้บังคับบัญชา พึงบ ารุงบ่าว คือ ผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยสถาน 5 คือ 2.1 ด้วยการจัดงานให้ตามก าลัง กล่าวคือ มอบหมายหน้าที่การงานให้ตามก าลัง ความรู้ สติปัญญาความสามารถ (Put the right man on the right job – รู้จักใช้คนให้ถูกกับงาน) 2.2 ด้วยการให้อาหารและบ าเหน็จรางวัล กล่าวคือ เมื่อท าดีก็รูจักยกย่องชมเชย และ/ หรือ สนับสนุน อุดหนุน ให้ได้รับบ าเหน็จรางวัลเลื่อนยศเลื่อนต าแหนง ตามสมควรแกฐานะ เมื่อท าไมดีก็ ให้ค าตักเตือน แนะน า สั่งสอน ให้พัฒนาสมรรถภาพให้ดีขึ้น ถ้าไม่ยอมแกไขพัฒนา ตนให้ดีขึ้น ก็ต้องต าหนิ และมีโทษตามกฎเกณฑ์โดยชอบธรรม 2.3 ด้วยการรักษาพยาบาลในยามเจ็บไขกล่าวคือ ตองรูจักดูแลสารทุกข์สุกดิบ ของผู้อยู่ ใต้บังคับบัญชาไม่เป็นผู้แล้งน้ าใจคือไม่ปฏิบัติกับลูกน้อง หรือผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา 2.4 ด้วยแจกของมีรสดีแปลกๆให้กิน หมายความว่า ให้รูจักมีน้ าใจแบ่งปันของกิน ของ ใช้ดีๆ ให้ลูกน้อง 2.5 ด้วยปล่อยในสมัยคือรู้จักให้ลูกน้อง หรือผู้ใต้บังคับบัญชาได้ลาพักผ่อนบ้าง ส่วนบ่าว หรือลูกน้องผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา เมื่อเจ้านาย หรือผู้บังคับบัญชา ท านุบ ารุงอย่างนี้แล้วก็พึง ปฏิบัติ อนุเคราะห์เจานายผู้บังคับบัญชาด้วยสถาน 5 ตอบแทนด้วยเช่นกัน คือ (1) ลุกขึ้นท างานก่อนนาย คือ ให้รับสนองงานผู้บังคับบัญชาด้วยความขยัน ขันแข็งควรมาท างานก่อนนาย หรือผู้บังคับบัญชาอย่างน้อยก็มาให้ทันเวลาท างาน ไม่มาสายกว่า นาย หรือสายกว่าเวลาท างานตามปกติ


๒๓ (2) เลิกการท างานที่หลังนายคือ ท างานด้วยความขยันขันแข็งแม้เลิกก็ควรเลิก ที่หลังนาย หรือผู้บังคับบัญชาอย่างน้อยก็อยู่ท างานให้เต็มเวลาไม่หนีกลับก่อนเวลาเลิกงาน (3) ถือเอาแต่ของที่นายให้คือ มีความซื่อสัตย์จงรักภักดีไม่คดโกงนาย หรือ ผู้บังคับบัญชาไม่คอร์รัปชั่น ไม่เรียกร้องต้องการโดยไม่เป็นธรรม หรือเกินเหตุ (4) ท างานให้ดีขึ้น คือ ตองรูจักพัฒนาคุณวุฒิความรูความสามารถและวิสัยทัศน์ ในการท างาน ให้ได้ผลดีมีประสิทธิภาพสูง (5) น าคุณของนายไปสรรเสริญ คือรู้จักน าคุณความดีของเจานายผู้บังคับบัญชา ไป ยกย่อง สรรเสริญ ตามความเป็นจริง ในที่และโอกาสอันสมควร กล่าวโดยยอ ผู้บังคับบัญชา กับ ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา พึงปฏิบัติต่อกัน ดังค านัก ปกครอง นัก บริหารแต่โบราณ กล่าวว่า “อยู่สูงให้นอนคว่ าอยู่ต่ าให้นอนหงาย” “อยู่สูงให้นอนคว่ า” หมายความว่า เป็นผู้ปกครองผู้บังคับบัญชา หรือเป็นผู้น าคน พึงดูแลเอาใจใส ท านุบ ารุง ผู้ใต้บังคับบัญชา หรือลูกน้อง ด้วยดีคือด้วยความเป็นธรรม ตาม หลักธรรมของพระพุทธเจา ตามที่กล่าวข้างต้นนี้เพื่อให้ลูกน้อง หรือผู้ อยู่ใต้บังคับบัญชา มีขวัญ ก าลังใจในการสนองงานได้เต็มที่ อย่าให้ลูกน้อง หรือผู้ใต้บังคับบัญชา เกิดความ รูสึกท้อถอยว่าท า ดีสักเท่าใดผู้ใหญ่ก็ไม่เหลียวแลดังค าโบราณท่านว่า มีปากก็มีเปลา เหมือนเต่าหอย เป็น ผู้น้อยแม้ท าดีไม่มีขลัง หรืออย่าให้ลูกน้อง หรือผู้ใต้บังคับบัญชา เกิดความรูสึกน้อยเนื้อต่ าใจว่าผู้ใหญ่ไม่ ยุติธรรม มักเลือกปฏิบัติไม่เสมอกัน ดังค าที่ว่า (เรา) ท างานทั้งวัน ได้พันห้า (สวนคนอื่น) เดินไปเดินมา ได้ ห้าพัน “อยู่ต่ าให้นอนหงาย” หมายความว่าลูกน้อง หรือผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาก็พึงปฏิบัติตน ต่อเจ้านาย หรือผู้บังคับบัญชาด้วยดีรับสนองงานท่านด้วยความยินดีด้วยใจจริง และท างานด้วย ความเข้มแข็ง ตาม หลักธรรม คือ “เหฏฐิมทิศ” ดังกล่าวมาแล้ว 3. เป็นผู้มีมนุษย์สัมพันธ์(Human Relation) ที่ดีด้วยคุณธรรม คือพรหมวิหาร ธรรม และ สังคหวัตถุเป็นต้น พรหมวิหารธรรม คุณธรรมเครื่องอยู่ของผู้ใหญ่ 4 ประการ (1) เมตาคือความรัก ปรารถนาที่จะให้ผู้อื่นอยู่ดีมีสุข (2) กรุณาคือความสงสาร ปรารถนาให้ผู้มีทุกข์เดือดร้อน ให้พ้นทุกข์ (3) มุทิตาคือความพลอยยินดีที่ผู้อื่นได้ดีไม่คิดอิจฉาริษยากัน (4)อุเบกขาคือความวางเฉย ไม่ยินดียินร้ายเมื่อผู้อื่นถึงซึ่งความวิบัติโดยที่ เราก็ช่วยอะไร ไม่ได้ก็ต้องปล่อยวางใจของเราเองด้วยปัญญา ตามพระพุทธพจน์ว่า “สัตว์โลก เป็นไปตามกรรม” สังคหวัตถุธรรม 4 ประการ คือ (1) ทาน รู้จักให้ปัน สิ่งของของตน แกผู้อื่นที่ควรให้ปัน (2) ปยวาจารูจักเจรจาอ่อนหวาน คือกล่าวแต่วาจาที่สุภาพอ่อนโยน (3) อัตถจริยารูจักประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชนแกผู้อื่น (4) สมานัตตตา เป็นผู้มีตนเสมอคือไม่ถือตัวเย่อหยิ่งจองหองอวดดีคุณธรรม 4 ประการ นี้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้อื่นไว้ได้และยังความสมัคร สมานสามัคคีให้เกิดขึ้นระหว่างกันและกัน ด้วย หรือจะเรียกว่า เป็น “หลักธรรมมหาเสน่ห์” ก็ได้ 4. เป็นผู้มีความคิดริเริ่ม (Initiatives) ด้วยความคิดสร้างสรรค์(Creative) โครงการใหม่ๆ ที่ เป็นประโยชนสุขแกหมูคณะ สังคม และประเทศชาติและวิธีการท างานใหม่ๆ ให้การปกครองการบริหาร กิจการงานได้บังเกิดผลดีมีประสิทธิภาพสูงยิ่งขึ้น


๒๔ 5. มีความคิดพัฒนา (Development) คือ เป็นนักพัฒนา ปรับปรุงแกไขสิ่งที่ล้า หลังหรือข้อ บกพรองในการท างานให้ดีขึ้นอยู่เสมอ 6. เป็นผู้มีส านึกในภาระหน้าที่ความรับผิดชอบ (Sense of Responsibilities) สูง คือ มีส านึก ในความรับผิดชอบต่อตนเอง โดยการศึกษาหาความรูเพิ่มพูนศักยภาพ และส านึกใน การสร้างฐานะของ ตน และมีส านึกในหน้าที่ ความรับผิดชอบต่อส่วนรวม คือต่อครอบครัว ต่อองค์กรและหมูคณะที่ตน รับผิดชอบอยู่และต่อสังคมประเทศชาติให้เจริญสันติสุขและมั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ส านึกในหน้าที่ รับผิดชอบต่อสถาบันหลักทั้ง 3 ของประเทศชาติไทยเรา คือ สถาบันชาติ1 สถาบันพระพุทธศาสนา 1 และสถาบันพระมหากษัตริย์1 เพราะสถาบันหลักทั้ง 3 นี้หากสถาบันใดคลอนแคลน ไม่มั่นคง ไม่ว่าจะ เป็นเพราะถูกศัตรูภายใน และ/หรือศัตรูจากภายนอก รุกราน ยอมกระทบกระเทือนถึงสถาบันหลักอื่น ๆ ของชาติไทยเรา ให้พลอยคลอนแคลนอ่อนแอไป ด้วย ผู้น าที่ดีจึงย่อมต้องส าเหนียกและจักต้องมีความ ส านึกในหน้าที่ความรับผิดชอบ ต่อสถาบันหลักทั้ง 3 นี้อย่างจริงใจ และจะต้องรับช่วยกันด าเนินการ ให้ ความคุ้มครอง ปองกัน แกไข บ ารุงรักษาอย่างเข้มแข็งจริงจังและต่อเนื่อง ให้เกิดความเจริญ และความ สันติสุขอย่างมั่นคง ให้ได้ 7. มีความมั่นใจตนเอง (Self Confidence) สูง นี้หมายถึง มีความมั่นใจโดยธรรม คือมีความ มั่นใจในความรูความสามารถ สติปัญญาและวิสัยทัศน์และทั้งคุณธรรม คือความเป็นผู้มีศีลมีธรรม อันตน ได้ศึกษาอบรมมาดีแล้ว มิใช่มีความมั่นใจอย่างผิด ๆ ลอย ๆ อย่างหลงตัวหลงตน ทั้ง ๆที่แท้จริง ตนเองหา ได้มีคุณสมบัติและคุณธรรมดีสมจริงไม่และจักต้องรูจักแสดงความมั่นใจ ในเวลาคิด พูด ท าให้เหมาะสมกับ กาละเทศะ บุคคล สถานที่และประชุมชน ด้วย 8. เป็นผู้ประกอบด้วย “หลักธรรมาภิบาล” คือ คุณธรรมของนักปกครอง นัก บริหาร ที่ดี (Good Governance) คือ 1.1 หลักความถูกต้องคือ มีการพิจารณาวินิจฉัยปัญหาการท าการตัดสินใจ (Decision Making) และสั่งการ (Command) ด้วยความถูกต้องตามกฎหมายบ้านเมือง และ กฎระเบียบข้อบังคับ ขององค์กร ที่ออกตามกฎหมายถูกต้องตามหลักศีลธรรมเนียมประเพณีที่ดีของ สังคม ถูกต้องตามนโยบาย ของผู้บังคับบัญชาหน่วยเหนือและถูกต้องตรงประเด็นตามหลักวิชาและ ได้รับความพึงพอใจจากชนที่ เกี่ยวข้องทุกฝ่าย 1.2 หลักความเหมาะสม คือ รูจักคิด พูด ท า กิจการงาน และปฏิบัติงานได้เหมาะสมถูก กาละเทศะ บุคคล สังคม และสถานการณกล่าวคือเป็นผู้มีสัปปุริสธรรม คือคุณธรรม ของสัตบุรุษคือคนดีมี ศีลธรรม มี7 ประการคือ 1) ธัมมัญ ุตารูจักเหตุไดแกปัญญารู้เหตุแห่งทางเจริญและทางเสื่อม เป็นต้น 2) อัตถัญ ุตารู้จักผลไดแกปัญญารูผล ที่เป็นมาแต่เหตุหรือปัจจัยให้เกิดผล ต่าง ๆ ตามที่เป็นจริง 3) อัตตัญ ุตา รูจักตน คือรูภูมิธรรม ภูมิปัญญาและฐานะของตน ตามที่เป็น จริงแล้ว วางตนให้เหมาะสมแกฐานะ 4) มัตตัญ ุตารูจักประมาณ ปฏิบัติตน วางตนให้เหมาะสมแกฐานะและรูจัก ประมาณ ในการบริโภคใช้สอนทรัพยมีอยู่และตามมีตามได้


๒๕ 5) กาลัญ ุตา รูจักกาล คือ รูจักเวลา หรือโอกาสที่สมควร และไม่ควรพูด หรือกรท า การต่าง ๆ 6) ปริสัญ ุตา รูจักชุมชน ว่ามีอัธยาศัยใจคอ ฐานะความเป็นอยู่ และ ขนบธรรมเนียม ประเพณีของหมูชนต่าง ๆ เพื่อให้รูจักวางตัวให้เหมาะสม 7) ปุคลัญ ุตา รูจักบุคคล ว่ามีอัธยาศัยใจคอ มีภูมิธรรม ภูมิปัญญา และมีฐานะอย่างไร เพื่อปฏิบัติตน หรือวางตน ใหเหมาะสมตามฐานะของเราและของเขา 2.3 หลักความบริสุทธิ์คือ มีการวินิจฉัย สั่งการกระท ากิจการงาน ด้วยความ บริสุทธิ์ใจคือด้วย เจตนาความคิดอ่าน ที่บริสุทธิ์ 2.4 หลักความยุติธรรม คือ มีการวินิจฉัย สั่งการ และปฏิบัติต่อผู้อยู่ใต้ปกครอง และบุคคล ที่เกี่ยวข้องด้วยความชอบธรรม บนพื้นฐานแห่งหลักธรรม หลักการ เหตุผล และข้อมูลที่ถูกต้องเชื่อถือได้ และตรงประเด็น และด้วยความเที่ยงธรรม คือไม่อคติหรือล าเอียง ด้วยความหลงรัก หลงชังด้วยความกลัง เกรง และด้วยความหลง ไม่รูจริง คือขาดข้อมูลที่ถูกต้อง เชื่อถือได้และสมบูรณเป็นเครื่องประกอบการ วินิจฉัย ตัดสินใจให้ความเที่ยงธรรม คุณธรรม-จริยธรรมตามแนวพระบรมราโชวาท หลัก “ธรรมาภิบาล” นี้เมื่อกระจายเป็นข้อปฏิบัติดี-ปฏิบัติชอบ ส าหรับพระราชา มหากษัตริย์ที่ทรงใช้ปกครองพระ ราชอาณาจักร ให้อาณาประชาราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข ชื่อวา “ทศพิธราชธรรม”อันผู้ปกครอง/ผู้บริหาร ประเทศชาติทุกระดับ และแม้ผู้บริหารองค์กรอื่น ๆ พึงใช้ประกอบการปฏิบัติงานของตน ให้บรรลุ ความส าเร็จตามเป้าหมาย เพื่อประโยชนสุขแกประชาชน โดยส่วนรวม ได้เป็นอย่างดี“ทศพิธราชธรรม” อันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงคุณอันประเสริฐของ เราได้ทรงถือเป็นหลักปฏิบัติในการครอง ราชอาณาจักรให้พสกนิกรของพระองค์อยู่เย็นเป็นสุขเป็น ที่ประจักษ์ตา ประจักษ์ใจแก่ชาวโลกเสมอมานั้น มี10 ประการ ตามพระพุทธภาษิตดังต่อไปนี้คือ 1) ทาน การให้ 2) ศีล การสังวรระวังกายและวาจา ให้เรียบร้อยดีไม่มีโทษ 3) ปริจจาคะ การเสียสละ 4) อาชชวะ ความซื่อตรง 5) มัททวะ ความสุภาพอ่อนโยน 6) ตปะ ความเพียรเพ่งเผากิเลส 7) อักโกธะ ความไม่โกรธ 8) อวิหิงสา การไม่เบียดเบียนผู้อื่น ตลอดทั้งสัตว์ให้ได้ทุกข์ยาก 9) ขันติความอดทน 10) อวิโรธนะ ความประพฤติปฏิบัติที่ไม่ผิดท านองคลองธรรม และ ด ารงอาการคงที่ไม่ หวั่นไหวด้วยอ านาจยินดียินร้าย การเสริมสร้างคุณธรรม-จริยธรรมส าหรับนักบริหาร 5.2 หลักการการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมส าหรับผู้บริหาร ผู้บริหารที่ทรงไว้ซึ่งคุณธรรมและจริยธรรมควรต้องศึกษาข้อคิด คติธรรมและหลักค าสอนทาง ศาสนา เพื่อท าความเข้าใจกับหลักธรรมนั้น ๆ เป็นเบื้องต้น แล้วน าไปคิดวิเคราะห์พิจารณาปรับใช้ให้ เหมาะกับภารกิจของผู้บริหาร เช่น ภารกิจในฐานะผู้น าองค์กร ผู้น าชุมชนหรือสังคม ภารกิจของผู้


๒๖ วางแผน ก าหนดนโยบาย จัดองค์การ บริหารบุคคล ฯลฯ ล้วนต้องอาศัยหลักธรรมในการประกอบควบคู่ ไปกับความรู้ความสามารถทั้งสิ้น จึงควรศึกษา วิเคราะห์รวบรวมหลักธรรมแล้วน าไปประพฤติปฏิบัติ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง ต่อองค์กรและสังคมอย่างแท้จริง ซึ่งมีหลักการ และทฤษฎีเกี่ยวกับ คุณธรรมที่น าเสนอในที่นี้มีรายละเอียด ดังนี้ ๑. พัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบอก์(Kohlberg) ได้ก าหนดเกณฑ์การประเมินจริยธรรม ของบุคคลโดยการแบ่งขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาและจริยธรรมของเพียเจต์ดังนี้ ๑) การลงโทษ และการเชื่อฟัง อายุ ๒-๗ ปี ๒) การแสวงหารางวัล หรือการสนองความต้องการ อายุ ๗-๑๐ ปี ๓) การท าตามสิ่งที่ผู้อื่นเห็นชอบ หรือการคาดหวังทางสังคม อายุ ๑๐-๑๓ ปี ๔) การท าหน้าที่ทางสังคมหรือระบบสังคมและมโนธรรม อายุ ๑๓-๑๖ ปี ๕) การท าตามค ามั่นสัญญาหรือสัญญาสังคมและสิทธิส่วนบุคคล อายุ ๑๖ ปี ๖) การยึดถืออุดมคติสากลหรือจริยธรรมสากล (วัยผู้ใหญ่) โคลเบอร์ก แบ่งคุณลักษณะทางจริยธรรมของบุคคลออกเป็น ๔ ล าดับ ขั้นคือ ๑) ความรู้เชิงจริยธรรม หมายถึง การมีความรู้เกี่ยวกับสังคมและสามารถบอกได้ว่าการ กระท าชนิดใดดีและควรกระท า การกระท าชนิดใดเลวและไม่ควรกระท า พฤติกรรมลักษณะใด เหมาะสม หรือไม่เหมาะสมมากน้อยเพียงใด ความรู้เชิงจริยธรรมหรือความรู้เกี่ยวกับค่านิยมทางสังคม จึง เปลี่ยนแปลงไปตามระดับอายุระดับการศึกษา พัฒนาการทางสติปัญญาและความรู้เกี่ยวกับ กฎเกณฑ์ ทางสังคมและศาสนา ๒) เจตคติเชิงจริยธรรม หมายถึง การมีความรู้หรือความรู้สึกต่อพฤติกรรมเชิง จริยธรรมต่าง ๆ ในทางที่ชอบหรือไม่ชอบมากน้อยเพียงใด เจตคติเชิงจริยธรรมของบุคคลมักจะสอดคล้องกับค่านิยมของ สังคมและการท านายพฤติกรรมเชิงจริยธรรมของบุคคลนั้น ควรท านายตาม เจตคติเชิงจริยธรรม ซึ่ง สามารถท านายได้เที่ยงตรงมากกว่าการท านายตามความรู้เชิงจริยธรรม ๑) เหตุผลเชิงจริยธรรม หมายถึง เหตุผลที่บุคคลใช้เป็นเกณฑ์ในการเลือกหรือไม่ เลือก กระท าพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง เหตุผลเชิงจริยธรรมเป็นเหตุจูงใจซึ่งอยู่เบื้องหลังการกระท าของบุคคล อย่างไรก็ตาม บุคคลที่มีเหตุผลเชิงจริยธรรมในระดับที่แตกต่างกัน อาจมีการกระท า ที่คล้ายคลึงกัน หรือมี การกระท าที่แตกต่างกันก็ได้เหตุผลเชิงจริยธรรมยังมีความสัมพันธ์กับพัฒนาการทางสติปัญญาและทาง อารมณ์ด้วย ๒) พฤติกรรมเชิงจริยธรรม หมายถึง การแสดงพฤติกรรมที่พึงประสงค์ของสังคม และ ปฏิเสธการแสดงพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของสังคม พฤติกรรมเชิงจริยธรรมมีความส าคัญต่อความสงบ สุขและความมั่นคงของสังคมอย่างยิ่ง จึงเป็นหน้าที่ของสมาชิกในสังคมที่จะต้องอบรมและ ปลูกฝังเยาวชน ให้เป็นผู้มีพฤติกรรมเชิงจริยธรรมอย่างมั่นคง ๒. ทฤษฎีต้นไม้จริยธรรม อธิบายถึงทฤษฎีต้นไม้จริยธรรมว่า พฤติกรรมของคนดีและคนเก่ง นั้นมีลักษณะทางจิตใจที่ส าคัญ ๕ ประการ โดยทฤษฎีนี้เปรียบเทียบพฤติกรรมต่าง ๆ ของ คนดีและคนเก่ง เหมือนผลไม้บนต้น เช่น ผลมะม่วงจะได้ผลมะม่วงดกและผลใหญ่หวานอร่อยนั้น ล าต้นและรากต้อง สมบูรณ์โดยเปรียบเทียบลักษณะทางจิตใจ ๕ ประการว่าเปรียบเหมือนส่วนล าต้นของ จริยธรรมซึ่งเป็น สาเหตุของพฤติกรรม ดังนี้


๒๗ ๑) ทัศนคติคุณธรรม ค่านิยม ที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมคนดีและคนเก่งคือ มีความ พอใจและเห็นความส าคัญของความดีงาม เห็นโทษของความชั่วร้ายต่าง ๆ พร้อมที่จะกระท า พฤติกรรมที่ ยึดคุณธรรมเป็นหลัก ๒) เหตุผลเชิงจริยธรรม หรือการเห็นแก่ผู้อื่น ส่วนรวม ประเทศชาติและหลักสากล มากกว่าตนเอง ๓) ลักษณะมุ่งอนาคตและควบคุมตน สามารถคาดการณ์ไกลและสามารถควบคุมตนให้ รอได้อย่างเหมาะสม ๔) ความเชื่ออ านาจในตน เชื่อว่าผลที่เกิดขึ้นกับตนเป็นเพราะการกระท าของ ตนเอง มากกว่าการเกิดจากการบังเอิญ โชคเคราะห์หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์คือเชื่อว่าท าดีได้ดีท าชั่วจะต้อง ได้รับโทษ ๕) แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์หรือความมุมานะบากบั่น ฝ่าฟันอุปสรรค ประสบความส าเร็จตาม เป้าหมายที่วางไว้อย่างเหมาะสมกับความรู้ความสามารถของตน ๓. ทฤษฎีของแบนดูรา(Bandura) ได้เสนอแนวความคิดเกี่ยวกับการ พัฒนาคุณธรรม จริยธรรมตามแนวทางการเรียนรู้ทางสังคมไว้ดังนี้ ๑) สิ่งที่เรียนรู้โดยการเรียนรู้ของบุคคลเกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งต่างๆ ซึ่ง กลายเป็นความเชื่อที่มีผลต่อการควบคุมพฤติกรรมและเมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นบุคคลก็จะมีความคาดหวัง ล่วงหน้าเกี่ยวกับการเกิดของผลจากการกระท านั้นได้ท าให้ตัดสินใจได้ว่าควรท าหรือไม่ควรท า ๒) วิธีการเรียนรู้กล่าวคือ การเรียนรู้เกิดจากประสบการณ์ซึ่งมีทั้งประสบการณ์ตรงและ ประสบการณ์ทางอ้อมโดยการสังเกต อ่าน ฟัง การบอกเล่าที่เกิดจากกับผู้อื่นท าให้บุคคลมีการเรียนรู้ได้ อย่างกว้างขวาง ๓) ความเชื่อ ผลจากการเรียนรู้อยู่ในรูปของความเชื่อว่าสิ่งหนึ่งจะสัมพันธ์กับอีก สิ่งหนึ่ง ทั้งนี้เกิดจากการสังเกตและการคิดของบุคคล รวมทั้งการบอกเล่าจากบุคคลอื่น ความเชื่อนี้สามารถ ก าหนดพฤติกรรมของบุคคลได้ ๔) การควบคุมพฤติกรรมด้วยความรู้และความเข้าใจ บุคคลมีความรู้ความเข้าใจได้ และสามารถถ่ายทอดสิ่งที่ตนรู้ได้รวมทั้งมองเห็นผลการกระท าที่จะเกิดตามมาซึ่งอาจดีหรือเลว ท าให้ สามารถตัดสินใจได้ว่าควรท าหรือไม่ควรท า ๕) จริยธรรม เป็นหลักเกณฑ์กฎเกณฑ์แนวทางของการประพฤติปฏิบัติโดย บุคคล สามารถประเมินได้ถึงความผิดถูกของการกระท า ๖) การบังคับตนเอง กล่าวคือ บุคคลสามารถบังคับตนเองที่จะประพฤติหรือละ เว้นการ ประพฤติได้ตามมาตรฐานของตนเอง ตามการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงและอ้อมของตน โดย ความสามารถในการบังคับตนเองนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขทางสังคม หากการเสริมแรงเป็นไปในทางบวก ก็มี แนวโน้มที่จะละเว้นไม่ปฏิบัติในสิ่งไม่ดีและประพฤติในสิ่งดีงาม คุณธรรมพื้นฐาน ๘ ประการ กระทรวงศึกษาธิการ ให้นโยบายเร่งรัดการปฏิรูป โดยยึด คุณธรรมน าความรู้สร้างความตระหนักส านึกในคุณค่าของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ความสมานฉันท์ สันติวิธีวิถีประชาธิปไตยพัฒนาคนโดยใช้คุณธรรมเป็นพื้นฐานของกระบวนการ เรียนรู้ที่เชื่อมโยงความ ร่วมมือของสถาบันครอบครัว ชุมชน สถาบันศาสนาและสถาบันการศึกษาเพื่อ พัฒนาเยาวชนให้เป็นคนดี มีความรู้และอยู่ดีมีสุขโดย ๘ คุณธรรมพื้นฐานประกอบด้วย


๒๘ ๑. ขยัน คือ ผู้ที่มีความตั้งใจ เพียรพยายามท าหน้าที่การงานอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ในเรื่อง ที่ถกู ที่ควรสู้งานมีความพยายาม ไม่ท้อถอย กล้าเผชิญอุปสรรค รักงานที่ท าตั้งใจท าหน้าที่อย่างจริงจัง ๒. ประหยัด คือ ผู้ที่ด าเนินชีวิตความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย รู้จักฐานะการเงินของตน คิดก่อน ใช้คิดก่อนซื้อ เก็บออมถนอมใช้ทรัพย์สินสิ่งของอย่างคุ้มค่า ไม่ฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อ รู้จักท าบัญชีรายรับรายจ่ายของตนเองอยู่เสมอ ๓. ซื่อสัตย์คือ ผู้ที่มีความประพฤติตรงทั้งต่อเวลา ต่อหน้าที่ และต่อวิชาชีพ มีความ จริงใจ ปลอดจากความรู้สึกล าเอียงหรืออคติไม่ใช้เล่ห์กลคดโกงทั้งทางตรงและทางอ้อม รับรู้หน้าที่ ของตนเอง ปฏิบัติอย่างเต็มที่และถูกต้อง ๔. มีวินัย คือ ผู้ที่ปฏิบัติตนในเขตเขต กฎ ระเบียบของสถานศึกษา สถาบัน องค์กร และ ประเทศ โดยที่ตนยินดีปฏิบัติตามอย่างเต็มใจและตั้งใจยึดมั่นในระเบียบแบบแผน ข้อบังคับและ ข้อปฏิบัติ รวมถึงการมีวินัยทั้งต่อตนเองและสังคม ๕. สุภาพ คือ ผู้ที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตนตามสถานภาพและกาลเทศะมีสัมมาคารวะ เรียบร้อยไม่ก้าวร้าว รุนแรง หรือวางอ านาจข่มผู้อื่นทั้งโดยวาจาและท่าทางเป็นผู้มีมารยาทที่ดีงาม วางตน เหมาะสมกับวัฒนธรรมไทย ๖. สะอาด คือ ผู้ที่รักษาร่างกาย ที่อยู่อาศัย และสิ่งแวดล้อมได้อย่างถูกต้องตาม สุขลักษณะ ฝึกฝนจิตไม่ให้ขุ่นมัว มีความแจ่มใสอยู่เสมอ ปราศจากความมัวหมองทั้งกายใจและ สภาพแวดล้อม มีความผ่องใสเป็นที่เจริญตา ท าให้เกิดความสบายใจแก่ผู้พบเห็น ๗. สามัคคีคือ ผู้ที่เปิดใจกว้าง รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น รู้บทบาทของตนทั้งในฐานะผู้น ำ และผู้ตามที่ดีมีความมุ่งมั่นต่อการรวมพลัง ช่วยเหลือเกื้อกูนกัน เพื่อให้การงานส าเร็จลุล่วง สามารถ แก้ปัญหาและขจัดความขัดแย้งได้เป็นผู้มีเหตุมีผล ยอมรับความแตกต่าง ความหลากหลาย ทางวัฒนธรรม ความคิดและความเชื่อ พร้อมที่จะปรับตัวเพื่ออยู่ร่วมกันอย่างสันติและสมานฉันท์ ๘. มีน้ าใจ คือ ผู้ให้และผู้อาสาช่วยเหลือสังคม รู้จักแบ่งปัน เสียสละความสุขส่วนตน เพื่อท า ประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น เห็นอกเห็นใจ และเห็นคุณค่าในเพื่อนมนุษย์และผู้ที่มีความเดือดร้อน มีความเอื้อ อาทรเอาใจใส่ อาสาช่วยเหลือสังคมด้วยแรงกายและสติปัญญา ลงมือปฏิบัติการเพื่อบรรเทาปัญหา หรือ ร่วมสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้เกิดขึ้นในชุมชน ตัวบ่งชี้คุณธรรมจริยธรรม นงลักษณ์วิรัชชัย ได้กล่าวถึงตัวบ่งชี้คุณธรรมจริยธรรมพื้นฐาน ดังนี้ ๑. ความเป็นอิสระ หมายถึง คุณลักษณะที่แสดงถึงการเคารพ ศรัทธา และนับถือ ตนเอง มี ความเป็นตัวของตัวเอง ดูแลเอาใจใส่รักษาสุขภาพด้านร่างกายและจิตใจอย่างเหมาะสม (Self-Care) มี ความสามารถในการพึ่งพาตนเองในการปฏิบัติงาน และด าเนินชีวิตอย่างถูกต้อง ๒. การมุ่งผลสัมฤทธิ์ของงาน หมายถึง คุณลักษณะที่แสดงถึงความตั้งใจกระตือรือร้น ใฝ่รู้ ขวนขวายหาความรู้และประสบการณ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ มีการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง มุ่งมั่น จริงจังที่จะ ปฏิบัติหน้าที่ตามความรับผิดชอบอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ๓. ความมีวินัย หมายถึง คุณลักษณะที่แสดงถึงความเคารพและปฏิบัติตาม หลักเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบังคับ กฎหมาย รวมถึงค่านิยมที่ดีและจารีตประเพณีของสังคม


๒๙ ๔. ความอดทน หมายถึง คุณลักษณะที่แสดงถึงความเข้มแข็งทางร่างกายและจิตใจ สามารถ ปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ให้ส าเร็จลุล่วงตามเป้าหมายที่ก าหนดไว้มีความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อต่อ ปัญหาอุปสรรค และสามารถควบคุมอารมณ์และพฤติกรรมให้เป็นปกติและปรับตัวได้แม้เผชิญกับ ปัญหาอุปสรรคและสิ่ง ยั่วยุต่าง ๆ ๕. ฉันทะ หมายถึง คุณลักษณะที่แสดงถึงความพอใจ ความยินดีและความรักในสิ่งที่ถูกต้อง ดีงามที่จะท าให้ได้ผลดียิ่งๆ ขึ้นไป ๖. ความขยันหมั่นเพียร หมายถึง คุณลักษณะที่แสดงถึงความปรารถนาอันแรงกล้าที่ จะมุ่งมั่น สู่ความส าเร็จ/ความเป็นเลิศ ทุ่มเททั้งก าลังกาย ก าลังใจ โดยไม่เห็นแก่เหนื่อยยากเพื่อให้สัมฤทธิ์ผลดี ยิ่งขึ้น ๗. ความประหยัด หมายถึง คุณลักษณะที่แสดงถึงการด าเนินชีวิตอย่างพอเพียง โดยใช้เวลา แรงงานและทรัพยากรทั้งของตนเอง และส่วนรวมอย่างคุ้มค่า ๘. ความซื่อสัตย์สุจริต หมายถึง คุณลักษณะที่แสดงการยึดมั่นความจริงความถูกต้อง ดีงาม เป็นหลักในการด าเนินชีวิตทั้งทางกาย วาจาและใจ มีความจริงใจ ให้ข้อมูลที่ถูกต้องไม่บิดเบือน รู้จัก รักษาความลับ หลีกเลี่ยงการมีผลประโยชน์ทับซ้อน (conflict of Interest) มีความละอายและ เกรงกลัว ที่จะประพฤตชิ ั่ว ๙. ความมีสติสัมปชัญญะ หมายถึง คุณลักษณะที่แสดงถึงการรู้ตัวทั่วพร้อมการรู้เท่า ทันในสิ่ง ต่าง ๆ โดยสามารถพิจารณาหาวิถีทางที่ถูกต้อง และมีประสิทธิภาพในการด าเนินกิจกรรมต่าง ๆ โดยใช้ เหตุผลที่ดีประกอบการตัดสินใจที่จะกระท าหรือไม่กระท าการใด ๆ ๑๐. ความรับผิดชอบ หมายถึง ความรับผิดชอบ (หมายรวมถึงความรับผิดชอบทั้งต่อ ตนเอง สังคม และประเทศชาติ) คุณลักษณะที่แสดงถึงความเอาใจใส่ จดจ่อและมุ่งมั่นต่อหน้าที่อย่าง เต็ม ความสามารถ เพื่อให้งานบรรลุผลส าเร็จตามเป้า หมายที่ตั้งไว้ภายในเวลาที่ก าหนด การเสียสละก าลังกาย ก าลังใจและก าลังทรัพย์เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ความจงรักภักดีต่อชาติศาสนา พระมหากษัตริย์การ รู้จักสิทธิหน้าที่ของตน และบ าเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัวสังคมและประเทศชาติพร้อมที่ จะยอมรับผลการกระท าของตนเองและปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น ๑๑. ความยุติธรรม หมายถึง คุณลักษณะที่แสดงถึงการให้เกียรติในความเป็นมนุษย์การ ยอมรับและเข้าใจในอารมณ์ความรู้สึก ความคิดของผู้อื่น การคิด และการปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเสมอภาค เท่าเทียมกัน และมีความเที่ยงตรงในการตัดสินใจ ๑๒. ความสามัคคีหมายถึง คุณลักษณะที่แสดงถึงความเป็นน้ าหนึ่งใจเดียวกัน ปฏิบัติหน้าที่ อย่างประสานสอดคล้องกันให้บรรลุผลส าเร็จตามเปูาหมายที่ก าหนดไว้ร่วมกัน ๑๓. ความเป็นกัลยาณมิตร หมายถึง คุณลักษณะที่แสดงถึงการมีสัมมาคารวะ ความ ปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข การเป็นเพื่อนที่ดีสามารถน าช่วยเหลือเกื้อกูลให้ผู้อื่นประพฤติชอบ และมี ความเจริญก้าวหน้า ๑๔. ความกตัญญูกตเวทีหมายถึง คุณลักษณะที่แสดงถึงการรู้จักส านึกในบุญคุณ ผู้อื่น ความ เคารพบูชาผู้มีพระคุณ และการตอบแทนบุญคุณทั้งก าลังกาย ก าลังใจ และก าลังทรัพย์ผลการจัดล าดับ ความส าคัญของตัวบ่งชี้คุณธรรมจริยธรรมที่มีความส าคัญในสังคมไทย เรียงล าดับจากมากไปน้อย คือ ๑) ความซื่อสัตย์สุจริต ๒) ความรับผิดชอบ ๓) ความมีสติสัมปชัญญะ ๔) ความขยันหมั่นเพียร


๓๐ ๕) ความมีวินัย ๖) ความอดทน ๗) การมุ่งสัมฤทธิ์ ๘) ความยุติธรรม ๙) ความเป็นกัลยาณมิตร ๑๐) ความสามัคคี๑๑ ) ความกตัญญูกตเวที๑๒ ) ฉันทะ ๑๓) ความประหยัด และ ๑๔) ความเป็นอิสระ 5.3 หลักธรรมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมส าหรับผู้บริหาร ทศพิธราชธรรม เป็นธรรมะส าหรับผู้บริหารที่จะต้องมีทุกคนฉะนั้นการบริหารงานทุก หน่วยงานต้องมผี ู้น าไว้ส าหรับบริหารผู้น าจะต้องมีคุณธรรม หลักทศพิธราชธรรมส าหรับผู้น า มีความหมาย ดังต่อไปนี้ ราชธรรม ๑๐ หรือ ทศพิธราชธรรม คือ ธรรมของพระราชา, กิจวัตรที่พระเจ้าแผ่นดินควร ประพฤต, ิคุณธรรมของผู้ปกครองบ้านเมือง, หรือธรรมของนักปกครอง ประกอบด้วย 1. ทาน (การให้) คือ สละทรัพย์สิ่งของ บ ารุงเลี้ยง ช่วยเหลือประชาราษฎร์และ บ าเพ็ญ สาธารณประโยชน์นักบริหารหรือนักปกครองต้องรู้จักบ าเพ็ญตนเป็นผู้ให้เป็นนักเสียสละ โดยมุ่งปกครอง หรือท างานเพื่อให้เขาได้มิใช่หมายจะเอาจากเขา รู้จักเอาใจใส่ดูแล จัดสรรสงเคราะห์อนุเคราะห์ให้ ประชาชนหรือผู้ใต้บังคับบัญชาได้รับประโยชน์สุข ได้รับความสะดวกปลอดภัยตลอดจน ให้ความช่วยเหลือ แก่ผู้เดือดร้อน และให้ความสนับสนุนแก่ผู้บ าเพ็ญคุณงามความดีเช่นให้รางวัล ให้เลื่อนยศเลื่อนฐานะ เพื่อ เป็นขวัญก าลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ทอดทิ้งดูดายยามทุกข์ยาก เข้าลักษณะที่ว่า “ยามปกติก็เรียกใช้ ยามเจ็บไข้ก็รักษา” ยามต้องการค าแนะน าปรึกษาก็ช่วยให้แสงสว่าง แนะ คือ บอกอุบายให้รู้น า คือท าให้ ดูเป็นแบบอย่าง แม้หากผู้น้อยผิดพลาดไปบ้าง โดยมิได้ตั้งใจ ผู้ใหญ่ก็ต้องรู้จักให้โอกาสแก้ไข ให้อภัยให้ น้ าใจ นี่เป็นเหตุน ามาซึ่งความสามัคคีในหมู่คณะเพราะ “ถ้า ไม่มีการให้อภัยผิด และไม่คิดที่จะลืมซึ่ง ความหลัง จะหาสามัคคียากล าบากจัง ความพลาดพลั้งย่อมมีทั่วทุกตัวคน” นี่เป็นคุณสมบัติของผู้น า ข้อที่ ๑ ๒. ศีล (ความประพฤติดีงาม) คือ ส ารวมกายและวจีทวารประกอบแต่การสุจริต รักษากิตติ คุณให้ควรเป็นตัวอย่าง และเป็นที่เคารพนับถือของประชาราษฎร์ผู้ปกครอง ต้องมีความประพฤติดีงาม รู้จักรักษาความซื่อสัตย์สุจริต รักษาเกียรติคุณประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างและเป็นที่เคารพนับถือของ ประชาชน มิมีข้อที่ผู้ใดจะดูหมิ่นดูแคลนได้ก่อให้เกิดความไว้วางใจเลื่อมใสในผู้น า รวมความว่า การรักษา ศีลโดยเฉพาะศีลห้านั้น ความมุ่งหมายก็คือรักษาตนเองไว้มิให้เสียหาย เป็นการปิดช่องทางที่จะน าความ เสียหายมาสู่ตนได้ถึง ๕ ทาง ด้วยกันคือ ศีลข้อที่ ๑ ป้องกันทางที่ตนจะเสียหายเพราะความโหดร้าย ศีลข้อที่ ๒ ป้องกันทางที่ตนจะเสียหายเพราะความใจอยาก ศีลข้อที่ ๓ ป้องกันทางที่ตนจะเสียหายเพราะความมากรัก ศีลข้อที่ ๔ ป้องกันทางที่ตนจะเสียหายเพราะความปากชั่ว ศีลข้อที่ ๕ ป้องกันทางที่ตนจะเสียหายเพราะความมัวเมา 3. ปริจจาคะ (การบริจาค) คือ เสียสละความสุขส าราญ ตลอดจนชีวิตของตนเพื่อ ประโยชน์ สุขของประชาชน และความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง การบ าเพ็ญกิจด้วยเสียสละ คือสามารถเสียสละ ความสุข ความส าราญ เป็นต้น ตลอดจนชีวิตของตนได้เพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวม และความสงบ เรียบร้อยของบ้านเมือง นักบริหารและนักปกครองนั้น หากเห็นแต่ประโยชน์ตน ก็เป็นคนสกปรก ไม่ สามารถท างานเพื่อบ้านเมืองได้กว้างขวาง เพราะคนเห็นแก่ตนแก่ตัวนั้น เป็นผู้ที่มีจิตใจคับแคบ ย่อมจัก


๓๑ ไม่ได้รับความร่วมมือจาก ทุกๆ ฝ่าย และอ านาจน าความเสียหายมาสู่ประเทศชาติสังคมได้มากแต่หาก ผู้น าเป็นนักเสียสละ มีจาคะธรรม ก็ย่อมสามารถที่จะเป็นผู้น าที่บันดาลประโยชน์สุขให้เกิดได้อย่างไพศาล ฉะนั้น วิญญาณ ของผู้น า จึงได้แก่ ความเป็นนักเสียสละ สมเด็จพระบรมศาสดาได้ตรัสไว้ว่า “พึงสละ ทรัพย์เพื่อรักษา อวัยวะ พึงสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต พึงสละชีวิตเพื่อรักษาธรรม” นี้เป็นยอดของนัก เสียสละ เป็นคุณสมบัติของผู้น าข้อที่ ๓ ๔. อาชชวะ (ความซื่อตรง) คือ ซื่อตรงทรงสัตย์ไร้มารยา ปฏิบัติภารกิจโดยสุจริต มีความ จริงใจ ไม่หลอกลวงประชาชน การปฏิบัติภาระโดยซื่อตรง ไม่คด ไม่โกง ไม่กอบโกย ไม่โกงเงิน ไม่เส แสร้ง แกล้งมายาหาผลประโยชน์ในทางมิชอบ แต่ปฏิบัติโดยสุจริต ข้อนี้สมเด็จบพิตร ได้พระราชทาน พระบรม ราโชวาท ในการเสด็จออกมหาสมาคมรับการถวายพระพรชัยมงคล พระราชพิธีเฉลิมพระชนม์พรรษา ๕ ธันวามหาราช พุทธศักราช ๒๕๕๒ ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ความตอนหนึ่งว่า “ความเจริญมั่นคง ทั้งนั้น จะส าเร็จผลเป็นจริงได้ก็ด้วยทุกคนทุกฝ่ายในชาติมุ่งที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตน ให้เต็มก าลัง ด้วยสติ รู้ตัว ด้วยปัญญารู้คิด และด้วยความสุจริตจริงใจ โดยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมยิ่ง กว่าส่วนอื่นๆ” ความ สะอาดในการปฏิบัติหน้าที่ก็ดีความซื่อตรงในการปฏิบัติหน้าที่ก็ดีฝรั่งเรียกว่า “คลีน” และ “เคลีย” ได้แก่ สะอาด โปร่งใส และตรวจสอบได้มีความจริงใจต่อประชาชน และประเทศชาติอันว่าความซื่อสัตย์ซื่อตรง ที่ผู้น าทุกชั้นจะพึงระวังและปฏิบัติให้ได้โดยเคร่งครัดนั้น เช่น (๑) ซื่อตรงต่อบุคคล ได้แก่ ไม่คิดคดทรยศ ต่อมิตร และผู้มีพระคุณ (๒) ซื่อตรงต่อเวลา ได้แก่ การ ท างานตรงกับเวลานาทีที่ก าหนดหมาย ไม่เอา เวลาราชการไปเป็นประโยชน์ส่วนตน (๓) ซื่อตรงต่อ วาจา ได้แก่ รับปากรับค าไว้กับใครอย่างไร ก็พยายาม ปฏิบัติให้ได้ตามนั้น (๔) ซื่อตรงต่อหน้าที่ ได้แก่ ตั้งใจท างานตามที่ได้รับมอบหมายให้เกิดผล ไม่ละทิ้งเสีย กลางคัน (๕) ซื่อตรงต่อความดีได้แก่ รักษา ความดีที่เรียกว่า “ธรรม” ไว้มิให้เสียหายเช่น ความเที่ยง ธรรม ความยุติธรรม ความชอบธรรม และความเป็นธรรม (๖) ซื่อตรงต่อตนเอง ได้แก่ การไม่โกหกตนเอง ซื่อสัตย์สุจริตต่ออุดมการณ์ของตน เอาเหตุผลเข้าปรับปรุงกับเหตุการณ์อันเป็นแนวความคิดของตน ไม่ฝืน ใจประพฤติปฏิบัติสิ่งที่ไม่ดีงาม ผิดจากปฏิญาณของตน นี้เป็นคุณสมบัติของผู้น าข้อที่ ๔ ๕. มัททวะ (ความอ่อนโยน) คือ มีอัธยาศัย ไม่เย่อหยิ่งหยาบคายกระด้างถือองค์มีความงาม สง่าเกิดแต่ท่วงทีกิริยาสุภาพนุ่มนวล ละมุนละไม ให้ได้ความรักภักดีการแสดงกิริยาอ่อนโยน อ่อนน้อม เป็นคนไม่แข็งกระด้าง ปราศจาก มานะทิฐิมีอัธยาศัยไม่เย่อหยิ่ง หรือหยาบคาบ ไม่เป็น “ท้าวพระยาลืม กัน ต้นไม้ลืมดิน ปักษินลืมไพร” นี้เป็นคุณสมบัติของผู้น าข้อที่ ๕ ๖. ตปะ (ความทรงเดช) คือ แผดเผากิเลสตัณหา มิให้เข้ามาครอบง าย่ ายีจิตระงับ ยับยั้งข่มใจ ได้มีความเป็นอยู่สม่ าเสมอ หรืออย่างสามัญ มุ่งมั่นแต่จะบ าเพ็ญเพียร การใช้ความเพียรเพื่อเผาผลาญ กิเลสตัณหา มิให้เข้ามาครอบง าจิตเห็นผิดเป็นชอบรู้จักระงับยับยั้งชั่งใจได้ไม่หลงใหลหมกมุ่นในความสุข ส าราญ และการปรนเปรอ มีความเป็นอยู่อย่างสม่ าเสมอ มุ่งมั่นในอันที่จะบ าเพ็ญเพียรท ากิจในหน้าที่ให้ สมบูรณ์นี้เป็นคุณสมบัติของผู้น าข้อที่ ๖ ๗. อักโกธร (ความไม่โกรธ) คือ ไม่กริ้วกราด ลุอ านาจความโกรธ จนเป็นเหตุให้วินิจฉัยความ และกระท ากรรมต่างๆ ผิดพลาดเสียธรรม มีเมตตาประจ าใจ รู้จักใช้เหตุผล ไม่เกรี้ยวกราดปราศจาก เหตุผล และไม่กระท าการด้วยอ านาจความโกรธ มีเมตตาธรรมประจ าใจ รู้จักระงับความขุ่นเคืองแห่งจิต และมีวินิจฉัย ตลอดถึงการกระท าด้วยจิตอันสุขุม รอบคอบ เยือกเย็น นี้เป็นคุณสมบัติของผู้น าข้อที่ ๗


๓๒ ๘. อวิหิงสา (ความไม่เบียดเบียน) คือ ไม่บีบคั้นกดขี่ เช่น เก็บภาษีขูดรีดหรือเกณฑ์แรงงาน เกินขนาด ไม่หลงระเริงอ านาจ ขาดความกรุณา หาเหตุเบียดเบียนลงโทษอาชญาแก่ ประชาราษฎร์ผู้ใด เพราะอาศัยความอาฆาตเกลียดชัง ความเป็นผู้ไม่หลงระเริงในอ านาจ ไม่บีบคั้นกดขี่ มีความกรุณา ไม่หา เหตุเบียดเบียนลงโทษด้วยอาชญาแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา หรือประชาราษฎร์ด้วยอ านาจความอาฆาต เกลียด ชังนี้เป็นคุณสมบัติของผู้น าข้อที่ ๘ ๙. ขันติ(ความอดทน) คืออดทนต่องานที่ตรากตร า ถึงจะล าบากกายน่าเหนื่อยหน่าย เพียงไร ก็ไม่ท้อถอย ถึงจะถูกยั่วถูกหยันด้วยค าเสียดสีถากถางอย่างใด ก็ไม่หมดก าลังใจยอมละทิ้งกรณีที่บ าเพ็ญ โดยชอบธรรม ความเป็นผู้อดทนต่อกระแสอกุศลที่มากระทบ ตลอดถึงอดทนต่องานที่ตรากตร าต่อความ เหนื่อยยาก ถึงจะล าบากกายน่าเหนื่อยหน่ายเพียงไร ก็ไม่ท้อแท้ไม่ท้อถอยไม่หมด ก าลังใจ ไม่ละทิ้ง กิจการงานที่ท าโดยชอบธรรมนี้เป็นคุณสมบัติของผู้น าข้อที่ ๙ ๑๐. อวิโรธนะ (ความไม่คลาดธรรม) คือ วางองค์เป็นหลักหนักแน่นในธรรมคงที่ไม่มีความ เอนเอียงหวั่นไหวเพราะถ้อยค าที่ดีร้าย ลาภสักการะ หรืออิฎฐารมณ์อนิฎฐารมณ์ใดๆ สติมั่น ในธรรมทั้ง ส่วนยุติธรรม คือความเที่ยงธรรม นิติธรรม คือ ระเบียบแบบแผน หลักการปกครอง ตลอดจน ขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม ความเป็นผู้ประพฤติมิให้ผิดพลาดจากศีลธรรม กฎหมาย ระเบียบวินัย ขนบประเพณีอันดีงามของบ้านเมือง ถือประโยชน์สุขความดีงามของรัฐและประชาราษฏร์เป็นที่ตั้ง สถิต มั่นในธรรมทั้งส่วนยุติธรรม คือความเที่ยงธรรมก็ดีนิติธรรม คือระเบียบแบบแผนหลักการ ปกครอง ตลอดจนขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามดังกล่าวแล้วก็ดีไม่ประพฤติให้พลาด ไม่ปฏิบัติให้เคลื่อนจน กลายเป็นวิปริตผิดเพี้ยนไป นี้เป็นคุณสมบัติของผู้น าข้อสุดท้าย แนวคิดหลักทศพิธราชธรรมข้างต้น ทศพิธราชธรรม หมายถึง ธรรมของพระราชา, กิจวัตรที่ พระเจ้าแผ่นดินควรประพฤติ, คุณธรรมของผู้ปกครองบ้านเมือง, หรือธรรมของนักปกครอง นักธรรมะ ส าหรับผู้บริหารที่จะต้องมีทุกคน ฉะนั้นการบริหารงานทุกหน่วยงานต้องมีผู้น าไว้ส าหรับบริหารผู้น า จะต้องมีคุณธรรม ส าหรับผู้บริหารควรตองมีธรรมะที่สูงกวาฆราวาสธรรม อันน าไปสู่ความส าเร็จในการควบคุม ตนเองคือ สัปปุริสธรรม (Qualities of a good man ; Virtues of a Gentleman) ซึ่งก็คือธรรมะส าหรับ สัตบุรุษ หรือ หรือธรรมะของผู้ดีประกอบด้วย • ธัมมัญ ุตา (Knowing the law ; Knowing the cause) แปลวา รูจักธรรมชาติและรูจัก เหตุหมายความวา รูหลักตามจริงของธรรมชาติรูหลักการกฎเกณฑ์แบบแผน หนาที่ซึ่ง จะเป็น เหตุให้ กระท าการได้ส าเร็จผลตามความมุงหมาย • อ ัตถ ัญ ุตา (Knowing the meaning ; Knowing the purpose ; Knowing the Consequence) แปลวา รูความมุงหมายและรูจักผล หมายความวา รูความหมายและ ความมุงหมายและ รูผลที่ประสงค์ ของกิจที่กระท า • อัตตัญ ุตา (Knowing oneself) แปลวา รูจักตน หมายความวา รู ฐานะ ภาวะ เพศ ก าลัง ความรูความถนัด ความสามารถและคุณธรรม ของตนตามจริง เพื่อประพฤติปฏิบัติได เหมาะสมและให้ เกิดผลดี


๓๓ • มัตตัญ ุตา (Moderation ; Knowing how to be temperate) แปลวา รูจักประมาณ หมายความวา รูจักความพอเหมาะพอดี • กาลัญ ุตา (Knowing the proper time ; Knowing how to choose and keep time) แปลวา รูจักกาล หมายความวา รูวาเวลาไหน ควรท าอะไร • ปริสัญ ุตา (Knowing the assembly ; Knowing the society) แปลว่า รูจักชุมชน หมายความว่า รูจักถิ่น รูจักมารยาท ระเบียบวินัย ขนบธรรมเนียม ประเพณีและขอควร ปฏิบัติตางๆเพื่อ ปฏิบัติตนไดอยางเหมาะสม • ปุคคลัญ ุตา (Knowing the individual ; Knowing the different individuals) แปลวา รูจักบุคคล หมายความวา รูจักความแตกตางระหว่างบุคคลโดยอัธยาศัย ความสามารถ และคุณธรรม เพื่อ ปฏิบัติตอผูนั้นโดยถูกตอง ทานอาจารย์พุทธทาสภิกขุเคยบรรยายธรรมที่นาสนใจวา ธรรมชีวีคือ การมีความ ประพฤติ การ กระท าที่เป็นธรรมะอยู่กับเนื้อกับตัว เป็นชีวิ้ตจิตใจนั่นแหละมีธรรมเป็นชีวิต จะมีความถูกตองอยู่ ตลอดกาล ดังนั้นการด าเนินชีวิตอย่างฆราวาสด้วยระบบธรรมชีวีนั้นมีความส าคัญอย่างยิ่งที่สามารถปอง กันการเป็น ฆราวาสประเภทจมปลักอยู่ใน อบายมุข 6 ซึ่งเป็นปากทางแห่งความทุกข์อันได้แก ดื่มน าเมา ที่น าสู่การขาดสติรับผิดชอบ บทบาทหน้าที่ ในครอบครัวการงานและสังคม เที่ยวกลางคืน ที่จะกระตุ้นความรู้สึกของอายตนะ 6 ไดแก ตา หูจมูก ลิ้น กายและใจ ให้หลง ไปสูความเสื่อมทั้งการงานและสุขภาพ ดูการเลน เพลิดเพลินในการแสดง จนเป็นเหตุให้สูญเสียทั้งเวลาและเงินทอง เลนการพนัน ซึ่งมีลักษณะที่ท่านกล่าวว่า เหมือนผีสิง คือท าให้หลงเพลิดเพลินเล่นการพนัน เสียจนท าใหยากจนยิ่งกว่าหมดเนื้อหมดตัว คบเพื่อนชั่ว ที่จะชักน าให้ประกอบกิจกรรมของความชั่ว ความไมดีตามกลุ่มดังคติคบคน พาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล เกียจคร้านการงาน เปนเรื่องตรงกันข้ามกับการท างานคือ การปฏิบัติธรรม ที่มีแต่จะน าไปสู่ ความอ่อนด้วยทั้งสติปัญญา และประสบการณ อบายมุขทั้ง 6 ขอ ดังกล่าวจะน าไปสูความยากจน ขัดสน การเบียดเบียนตนเองและผู้ที่อยู่รอบ ขางตลอดจนความเสื่อมทางสุขภาพอนามัย อันเป็นต้นเหตุของความทุกข์ในครอบครัว และหากเป็นผู้ บริหารที่ติดอยู่ในอบายมุขดังกล่าว ยอมง่ายต่อการที่จะกาวไปสูการกระท าทุจริตคิดมิชอบเพื่อใหตัวเอง คงอยูได้ หลักธรรมของพุทธศาสนายังมีความละเอียดลึกซึ้ง เพื่อนน าไปสู่การประพฤติดีประพฤติชอบ กล่าวคือ หนาที่รับผิดชอบของมนุษย์โดยตรงตอ “ทิศทั ง 6” ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านตรัสไววา เป็นทศที่จะ ต้องดูแล อย่าให้มีอะไรบกพร่อง เพื่อปิดกั้นทุกข์ที่จะเกิดขึ้น ไดแก ทิศเบื องหน้า คือ บิดา มารดา ที่กุลบุตรกุลธิดา ตองสงเคราะห์เพื่อตอบแทนพระคุณอย่างสูง สุด ทิศเบื องหลัง คือ บุตร ภรรยา ที่จะตองดูแล สงเสริมให้มีความสุขและความเจริญในสังคม ทิศเบื องซาย คือ มิตรสหาย ที่จะตองเกื้อกูลและพัฒนาไปสูการเป็นกัลยาณมิตร ทิศเบื องขวา คือ ครูบาอาจารย์ที่จะตองตอบแทนท่านด้วยความเคารพ เชื่อฟังและกตัญ ู


๓๔ ทิศเบื องบน คือ สมณะ ที่ต้องปฏิบัติตอท่านให้เหมาะสม เพื่อที่จะได้เผยแพรธรรมะ ให้ ฆราวาส ไดมีปัญญา ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามหลักพุทธศาสนา ทิศเบื องล่าง คือ ผูที่มีฐานะต่ ากว่า คือ ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา ที่ผู้บริหารจะต้องรับผิดชอบ ดูแลให้ได้ทั้งใจและงาน ดังนั้น จะเห็นได้วาผู้ที่ไม่บกพรองหรือปฏิบัติอย่างดีในการดูแล ทิศทั ง 6 ดังกล่าว ยอม จะห่างไกล จากปัญหาแห่งความทุกข์ความเสื่อมเสียทั้งในที่แจงหรือที่ลับ ในการปองกันนักบริหารจาก อบายมุข 6 และบ ารุงทิศทั้ง 6 ได้อย่างสมบูรณ์ บุญกิริยาวัตถุ นักบริหารมีบทบาทหลายฐานะ ในเบื้องต้นคือ ฐานะของมนุษย์ในสังคมโลก พระพุทธองค์ได้ ประทานธรรมที่เป็นรากแก้วของความเป็นมนุษย์อันเป็นการสร้างพื้นฐานของคุณงามความดีให้เกิดขึ้นใน คนทั่วไป เพื่อการพัฒนาสู่การเป็นมนุษย์ที่สมบูรณได้แก่ ก ทานมัย คือการท าบุญด้วยการเสียสละ แบ่งปันสมบัติเงินทอง เรี่ยวแรง วิชาความรูความ คิดเห็นต่าง ๆ ซึ่งจะสามารถก่อใหเกิดความสุขของผู้ให้และเป็นที่ประทับใจแก่ผู้รับเป็นการสร้าง ความรัก เชื่อถือและศรัทธาที่ยั่งยืน ข. ศีลมัย คือขอปฏิบัติเพื่อละความไม่ดีของกาย วาจา ใจ ได้แก ศีล 5 ส าหรับคนทั่วไปเป็น เบื้องตนอันจะน ามาซึ่งความสุขจากการไม่เบียดเบียนชีวิตผู้อื่นทั้งสัตว์ใหญ่น้อย ไม่เป็นผู้โลภอยากได้ของ ผู้อื่นที่ไม่ใช่ของเรา มาเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ไม่ประพฤติผิดลูก และสามีภรรยาของผู้อื่น ไม่นอกใจสามี ภรรยา เป็นผู้ที่มีวาจาไพเราะ มีสัมมาวาจา ปิยะวาจา พูดแต่สิ่งที่ดีมีประโยชน์ไม่พูดเท็จ ไม่เสพสุรายาเมา ไม่ติดหรือคายาเสพติด ผู้ทรงศีล ยอมเป็นผู้ทรงไวซึ่งความดีงามทั้งปวง มีเมตตา มีจิตใจที่นุ่มนวล อ่อน โยน มีความสุข ครอบครัวก็จะอบอุ่น บ้านเมืองก็จะรมเย็นเป็นสุข ค. ภาวนามัย คือ การฝึกสติความระลึกรู้ความนึกคิด หรือการเคลื่อนไหวของจิตเป็นวิธิ้อ่าน หรือส ารวจตัวเองให้รู้จักความผิด ถูก ชั่ว ดีได้อย่างถูกตอง ยิ่งกวาให้ผู้อื่นมาชี้แจงความบกพรองของ ตัว เองให้ตัวเองทราบ ในขณะเดียวกันก็เป็นวิธีก าจัดหรือลดละความผิดที่เคยมีมา และปดกั้นสิ่งไมดีทั้ง หลาย มิให้เกิดขึ้นอีกตอไป การไม่ส ารวจตนเองท าให้เกิดเรื่องยุงบ่อย ๆ การภาวนาจึงเป็นวิธีการของผู้แสวงหา ความสุขโดยถูกตองอยางแท้จริง การหมั่นน้อมเขามาดูจิตใจตนเอง จะรักษาจิตใจของเราให้เป็นปกติเสมอ การภาวนาหรือ ฝึกสติอย่างงาย ๆ ที่พระพุทธองคบอกวา การเจริญอานาปานสติมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่ พวกเราสวน ใหญ่ไม เคยไดยินไดฟัง หรือเคยไดรับฟัง แต่ไมเคยลองปฏิบัติไมไดสนใจ คิดวายาก ปล่อยให้ผู้อาวุโสหรือ พวกเข้าวัดปฏิบัติธรรมท า โดยที่ไม่รู้วาการฝึกเจริญอานาปานสตินั้นส าคัญมาก ท่านอาจารย์ มิตซูโอะ คเวสโก ทานสอนวาการปฏิบัติไมยากมากมาย หายใจเขาลึก ๆ หายใจออกยาว ๆ ก็เท่านั้นหายใจเขาลึก ๆ หายใจออกยาว ๆ สบาย ๆ พยายามท าความรูจักกับลมหายใจ ลมหายใจเขาก็รูลมหายใจออกก็รูเป็น การท าให้ศีลบริสุทธิ์ที่จิต ที่เจตนาถูกตองเป็นการเจริญสติสัมปชัญญะและปัญญาด้วยเป็นการพัฒนา จิตใจโดยตรง สุขภาพจิตก็จะดีขึ้น เมื่อเกิดปัญหาเป็นทุกข์ไมสบายใจรีบหายใจเข้าลึก ๆ หายใจออกยาว ๆ สบาย ๆ จะท าให้ใจของเราสงบเป็นปกติสุข สภาพใจก็ดีทานสอนให้ตั้งใจปฏิบัติอย่างน้อยก็ก่อนนอนกับ ตอนเช้า แค 5 นาที10 นาที20 นาทีก็ไดเป็นการท าความดีที่เราไดรับผลหรืออานิสงส์ทันทีเมื่อเราเริ่ม ปฏิบัติเราจะเห็น สิ่งไมเคยเห็น คือเห็นตัวของเรา รูจักตัวเองแล้วเราจะปิติดีใจมากและมีความสุขมาก ดู


๓๕ ตัวเอง แกไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง ดีกวาที่จะไปดูไปวิพากษ์คนอื่นให้เสียเวลาและสร้างมลภาวะให้กับ จิตใจตนเอง ดังนั้น ทาน ศีล ภาวนา คือการท าความดีหรือคุณธรรมเบื้องตนที่บุคคลทุกระดับ ทั้งผู้ บริหารและ เจาหนาที่ในองค์การทุกระดับ ตลอดจนสาธุชนทั่วไป พึงปฏิบัติอยางสม่ าเสมอเพื่อความสุข สงบของตนเอง และสังคมอย่างยั่งยืน ส าหรับคนไทย คุณธรรมจริยธรรมส่วนใหญ่จะประยุกต์มาจากพระพุทธศาสนาเป็นหลัก ค าสั่ง สอนของพระพุทธเจ้านั้น ถึงแม้ว่าจะมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล นับถึงปัจจุบัน เป็นเวลากว่า ๒๕๕๖ ปี แล้ว แต่ทุกหลักธรรมยังคงทันสมัยอยู่เสมอ สามารถน าไปประยุกต์ใช้เป็นเครื่องด าเนินชีวิตและแนวทาง ในการบริหารงานได้เป็นอย่างดี ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะหลักธรรมดังกล่าวเป็นความจริงที่ สามารถพิสูจน์ได้ ที่เรียกว่า “สัจธรรม” ปฏิบัติได้เห็นผลได้อย่างแท้จริงอยู่ที่เราจะน าหลักธรรมข้อใดมาใช้ให้เหมาะสมกับ ตัวเรามากที่สุด ส าหรับผู้บริหารก็มีหลักธรรมส าหรับยึดถือและปฏิบัติอย่างมากมาย คุณธรรม จริยธรรมที่ ผู้บริหารควรมีได้แก่ สังคหวัตถุ๔ คือ 1 ทาน คือ การให้ รู้จักเสียสละแบ่งปันด้วยจิตใจที่โอบอ้อมอารีมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เป็น การครองใจคนที่ดีเพราะผู้ที่ให้ย่อมเป็นที่รักของบุคคลทั่วไป และผู้ให้ย่อมท าให้เกิดความรัก ความศรัทธา ๒ ปิยวาจา คือ การพูดจาสุภาพ รู้จักเลือกใช้วาจาที่ไพเราะอ่อนหวาน คนอื่นฟังแล้วสบายใจ อยากอยู่ใกล้อยากคบค้าสมาคมด้วย ต้องมีความรับผิดชอบค าพูดของตนตามสุภาษิต พูดเป็นนาย ใจเป็น บ่าว หมายความว่า ให้คิดก่อนพูด พูดแล้วต้องท าปฏิบัติตามอย่างที่พูด 3 อัตถจริยา คือ การบ าเพ็ญประโยชน์และรู้จักแบ่งปันน้ าใจให้แก่กันและกัน 4 สมานัตตา คือ วางตนเสมอต้นเสมอปลาย ไม่เสแสร้ง มีสัจจะมีความยับยั้ง ข่มใจ มีความ อดทน เป็นผู้ให้และผู้รับที่ดี พรหมวิหาร ๔ ซึ่งประกอบด้วย 1 เมตตา คือความปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุขความสุขเกิดขึ้นได้ทั้งทางกายและทางใจ ได้แก่ ความสุขจากการมีทรัพย์ความสุขจากการใช้จ่ายทรัพย์ความสุขจากการไม่เป็นหนี้และความสุขจากการ ท างานที่ปราศจากโทษหรือปราศจากอันตราย ๒ กรุณา คือความปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ความทุกข์คือ สิ่งที่เข้ามาเบียดเบียนให้เกิดความ ไม่สบายกายและความไม่สบายใจและเกิดขึ้นจากปัจจัยหลายประการด้วยกันพระพุทธองค์ทรงสรุปไว้ว่า ความทุกข์มี๒ กลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้ ทุกข์ประจ าหรือทุกข์โดยสภาวะที่สิ่งมีชีวิตจะต้องประสบซึ่งเกิดจากเปลี่ยนแปลงตาม ธรรมชาติคือ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย สิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่เกิดมาในโลกจะต้องประสบกับการเปลี่ยนแปลง ทางร่างกายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เรียกว่า กายิกทุกข์ ทุกข์จรหรือทุกข์ทางใจ เป็นความทุกข์ที่เกิดจากสาเหตุภายนอกเมื่อปรารถนาแล้วไม่สมหวังก็ เป็นทุกข์การประสบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์การพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์เรียกว่า เจตสิกทุกข์ ๓ มุทิตา คือ ยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดีค าว่า “ดี” หมายถึง การมีความสุขหรือมีความเจริญก้าวหน้า ความยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดีจึง หมายถึง ความปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุขความเจริญก้าวหน้ายิ่ง ๆขึ้นโดยที่ไม่ มีจิตใจอิจฉาริษยา


๓๖ ๔ อุเบกขา คือการรู้จักวางเฉย หมายถึง การวางใจเป็นกลางเพราะพิจารณาเห็นว่าใครท าดี ย่อมได้ดีตามกฎแห่งกรรม ใครท าสิ่งใดไว้สิ่งนั้นย่อมตอบสนองคืนบุคคลผู้กระท าเมื่อเห็นใครได้รับผลกรรม ในทางที่เป็นโทษก็ไม่ควรดีใจหรือคิดซ้ าเติมในเรื่องที่เกิดขึ้นควรมีความปรารถนาดีคือพยายามช่วยเหลือ ผู้อื่นให้พ้นจากความทุกข์ในลักษณะที่ถูกต้องตามท านองคลองธรรม หลักธรรมที่น าไปสู่ความส าเร็จ คืออิทธิบาท ๔ ได้แก่ ๑ ฉันทะ ความพอใจคือความพอใจจะสิ่งนั้นและท าด้วยใจรัก ด้วยใจจดจ่อ ต้องท าให้ส าเร็จ จะต้องเป็นผู้รักงานที่ตนมีหน้าที่รับผิดชอบอยู่ และทั้งจะต้อง เอาใจใส่กระตือรือร้นในการเรียนรู้ งาน และเพิ่มพูนวิชาความรู้ความสามารถในการท ากิจการงาน และมุ่งมั่น ที่จะท างานในหน้าที่ รับผิดชอบหรือกิจการงานอาชีพของตนให้ส าเร็จเรียบร้อยอยู่เสมอ ๒ วิริยะ ความเพียร คือ มีความขยันกระท าสิ่งนั้นด้วยความพยายาม อดทน ตั้งมั่น ไม่ ท้อถอยจะต้องเป็นผู้มีความขยันหมั่นเพียร ประกอบด้วยความอดทน ไม่ย่อท้อต่อความยากล าบากใน การประกอบกิจการงานในหน้าที่หรือในอาชีพของตน จึงจะถึงความส าเร็จและ ความเจริญก้าวหน้าได้ ๓ จิตตะ ความคิดฝักใฝ่ คือตั้งจิตรับรู้ในสิ่งที่ท าและท าสิ่งนั้นด้วยความสนใจ จริงใจ มั่นคง ท าบ่อย ๆ ย้ าคิดย้ าท าผู้ที่จะท างานได้ส าเร็จด้วยดี มีประสิทธิภาพ นั้น จะต้องเป็นผู้เอาใจใส่ต่อกิจการ งานที่ท า และมุ่งกระท างานอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะส าเร็จ ไม่ทอดทิ้งหรือ วางธุระเสียกลางคัน ไม่เป็น คนจับจด หรือท างานแบบท า ๆหยุดๆหัวหน้าหน่วยงานหรือผู้บริหารจะต้องคอยดูแลเอาใจใส่ “ติดตาม ผลงาน และ/หรือ ตรวจงาน” หน่วยงานต่างๆ ภายในองค์การของตน เพื่อประกอบการพิจารณาวินิจฉัย ตัดสินใจ และสั่งการ ให้กิจการงาน ทุกหน่วยด าเนินตามนโยบายและแผนงาน ให้ถึงความส าเร็จตาม วัตถุประสงค์ที่ก าหนดไว้ ๔ วิมังสา การสอบสวนตรวจตราคือหมั่นใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญตรวจตราหาเหตุผล ตรวจสอบข้อบกพร่องในสิ่งที่ท านั้น มีการทดลอง วางแผน วัดผล คิดค้นหาวิธีแก้ไขปรับปรุงให้งานดี ขึ้นอยู่เสมอความเป็นผู้รู้จักพิจารณาเหตุสังเกตผลในการปฏิบัติงานของตนเองและของผู้น้อยหรือของผู้อยู่ใ ต้บังคับบัญชา ว่า ด าเนินไปตามนโยบายและแผนงานที่วางไว้หรือไม่ ได้ผลส าเร็จหรือมีความคืบหน้าไป ตามวัตถุประสงค์ที่ก าหนดไว้หรือไม่เพียงไร มีอุปสรรคหรือปัญหาที่ควรได้รับ การปรับปรุงแก้ไขวิธีการ ท างาน หรือวิธีการบริหารกิจการงานนั้นให้ส าเร็จตามวัตถุประสงค์ได้อย่างไร ขั้นตอนนี้เป็นการน าข้อมูล จากจากที่ได้ติดตามประเมินผลงานหรือตรวจงานนั้นแหละมาวิเคราะห์วิจัย ให้ทราบเหตุผลของปัญหา หรืออุปสรรคข้อขัดข้องในการท างาน แล้วพิจารณาแก้ไขปัญหาเหล่านั้น และปรับปรุงพัฒนาวิธีการ ท างานให้ด าเนินไปสู่ความส าเร็จ ให้ถึงความเจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไปได้ 6.จรรยาบรรณวิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษา ส านักงานเลขานุการคุรุสภา (2556) ได้ให้ความส าคัญไว้ว่า จรรยาบรรณต่อตนเอง 1. ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องมีวินัยในตนอง พัฒนาตนเองด้านวิชาชีพบุคลิกภาพ และวิสัยทัศน์ให้ทันต่อการพัฒนาทางวิทยาการ เศรษฐกิจ สังคม และการเมืองอยู่เสมอ


๓๗ จรรยาบรรณต่อวิชาชีพ 1. ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องรัก ศรัทธา ซื่อสัตย์สุจริต รับผิดชอบต่อวิชาชีพและ เป็นสมาชิกที่ดีขององค์กรวิชาชีพ จรรยาบรรณต่อผู้รับบริการ 1. ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องรัก เมตตา เอาใจใส่ ช่วยเหลือ ส่งเสริม ให้ก าลังใจแก่ ศิษย์และผู้รับบริการ ดามบทบาทหน้าที่โดยเสมอหน้า 2. ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ทักษะ และนิสัยที่ถูกต้องดี งามแก่ศิษย์และผู้รับบริการ ตามบทบาทหน้าที่อย่างเต็มความสามารถด้วยความบริสุทธิ์ใจ 3. ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีทั้งทาง กาย วาจา และจิตใจ 4. ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกยา ต้องไม่กระท าตนเป็นปฏิปักษ์ต่อความเจริญทาง กาย สติปัญญา จิตใจ อารมณ์และสังคมของศิษย์และผู้รับบริการ 5. ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องให้บริการด้วยความจริงใจและเสมอภาค โดยไม่เรียก รับหรือยอมรับผลประโยชน์จากการ ใช้ต าแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ จรรยาบรรณต่อผู้ร่วมประกอบวิชาชีพ 1. ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา พึงช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันอย่างสร้างสรรค์โดยยึด มั่นในระบบคุณธรรม สร้างความสามัคคีในหมู่คณะ จรรยาบรรณต่อสังคม 1. ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา พึงประพฤติปฏิบัติตนเป็นผู้น าในการอนุรักษ์และพัฒนา เศรษฐกิจ สังคม ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญา สิ่งแวดล้อม รักษาผลประโยชน์ของส่วนรวมและยึด มั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 7.มาตรฐานวิชาชีพของผู้บริหาร ประกาศคณะกรรมการคุรุสภา เรื่อง สาระความรู้สมรรถนะและประสบการณ์วิชาชีพของผู้ประกอบวิชาชีพครูผู้บริหาร สถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา และศึกษานิเทศก์ตามข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพ พ.ศ. ๒๕๕๖ หมวด ๒ ผู้ประกอบวิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษา สาระความรู้และสมรรถนะของผู้ประกอบวิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษาตามมาตรฐานความรู้การพัฒนา วิชาชีพ ประกอบด้วย (ก) สาระความรู้ (๑) จิตวิญญาณ อุดมการณ์ของผู้บริหาร (๒) การจัดการความรู้เกี่ยวกับการบริหารสถานศึกษา (๓) ความเป็นผู้บริหารมืออาชีพ (๔) การวิจัยเพื่อพัฒนาวิชาชีพ


๓๘ (ข) สมรรถนะ (๑) มีอุดมการณ์ของผู้บริหารและแนวทางการพัฒนาเป็นผู้บริหารมืออาชีพ (๒) สามารถศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาวิชาชีพ ความเป็นผู้น าทางวิชาการ ประกอบด้วย สาระความรู้ (๑) การเปลี่ยนแปลงของโลกและสังคม ผู้น าการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมผู้น า ภาวะผู้น า (๒) การระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา (๓) การนิเทศเพื่อพัฒนาครูให้จัดการการเรียนรู้ของผู้เรียนให้เติบโตเต็มตามศักยภาพ (๔) การบริหารความเสี่ยงและความขัดแย้ง (๕) ปฏิสัมพันธ์และการพัฒนาเพื่อนร่วมงาน (๖) ความสัมพันธ์ระหว่างสถานศึกษากับชุมชน และท้องถิ่น (ข) สมรรถนะ (๑) สามารถระดมทรัพยากรเพื่อการศึกษา (๒) สามารถบริหารการศึกษาและสร้างความสัมพันธ์กับชุมชนและท้องถิ่นได้ การบริหารสถานศึกษา ประกอบด้วย (ก) สาระความรู้ (๑) ทฤษฎีหลักการ กระบวนการ และหน้าที่ในการบริหาร (๒) การบริหารงานวิชาการเพื่อคุณภาพและความเป็นเลิศ (๓) การบริหารแหล่งเรียนรู้และสิ่งแวดล้อมเพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ (๔) นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการบริหารและการเรียนรู้ (๕) การบริหารงานบุคคล (๖) การบริหารงานธุรการ การเงิน พัสดุและอาคารสถานที่ (๗) กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา และผู้บริหารสถานศึกษา (๘) การวางแผนเพิ่มประสิทธิภาพ และประสิทธิผลการบริหารสถานศึกษา (ข) สมรรถนะ (๑) สามารถก าหนดนโยบาย แผน กลยุทธ์และน าไปสู่การปฏิบัติให้สอดคล้องกับบริบทของ สถานศึกษา (๒) เลือกใช้ทฤษฎีหลักการ และกระบวนการบริหารให้สอดคล้องกับบริบทมหภาคและภูมิสังคม (๓) สามารถบริหารงานวิชาการ บริหาร แหล่งเรียนรู้และสิ่งแวดล้อมเพื่อส่งเสริมการจัดการ เรียนรู้ หลักสูตร การสอน การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ประกอบด้วย (ก) สาระความรู้ (๑) พัฒนาหลักสูตรและหลักสูตรสถานศึกษา (๒) การจัดการเรียนการสอนและการสอนเสริม (๓) การวัดและประเมินผลการเรียนรู้


๓๙ (ข) สมรรถนะ (๑) สามารถพัฒนาหลักสูตรและบริหารการจัดการเรียนการสอนในแนวทางใหม่ได้ (๒) ปฏิบัติการประเมิน และปรับปรุงการบริหารหลักสูตรและการจัดการเรียนรู้ กิจการและกิจกรรมนักเรียน ประกอบด้วย (ก) สาระความรู้ (๑) บริหารกิจกรรมเสริมหลักสูตรและกิจกรรมนักเรียนเพื่อพัฒนาศักยภาพผู้เรียนให้รู้จักการ จัดการและคิดเป็น (๒) บริหารจัดการให้เกิดการพัฒนาทักษะชีวิตของผู้เรียน (๓) บริหารจัดการให้เกิดการดูแลช่วยเหลือผู้เรียน (ข) สมรรถนะ (๑) สามารถบริหารจัดการให้เกิดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน การดูแลช่วยเหลือผู้เรียน (๒) สามารถส่งเสริมวินัย คุณธรรม จริยธรรม และความสามัคคีในหมู่คณะ การประกันคุณภาพการศึกษา ประกอบด้วย (ก) สาระความรู้ (๑) หลักการและกระบวนการในการประกันคุณภาพการศึกษา (๒) การประกันคุณภาพภายในและภายนอก (ข) สมรรถนะ (๑) สามารถจัดท ารายงานผลการประเมินตนเองของสถานศึกษาเพื่อรองรับการประเมินภายนอก (๒) น าผลการประกันคุณภาพการศึกษาไปใช้เพื่อพัฒนาสถานศึกษา คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณ ประกอบด้วย (ก) สาระความรู้ (๑) หลักธรรมาภิบาล และความซื่อสัตย์สุจริต (๒) คุณธรรม และจริยธรรมของวิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษา (๓) จรรยาบรรณของวิชาชีพที่คุรุสภาก าหนด (ข) สมรรถนะ (๑) ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีมีจิตส านึกสาธารณะและเสียสละให้สังคม (๒) ปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณของวิชาชีพ


๔๐ 7. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ฐิตาภา เบ็ญจาธิกุล ได้ศึกษารูปแบบการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมของ ผู้บริหารสถานศึกษาโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อ พิจารณาเป็นรายด้านเกี่ยวกับระดับของการพัฒนา คุณธรรมจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาเรียง ตาม ล าดับดังนี้การพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมด้านจรรยา บรรณทางวิชาชีพ การพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม ด้านมาตรฐานวิชาชีพ และการพัฒนาด้านคุณธรรม จริยธรรม 2. ผลการศึกษาการสร้างรูปแบบการพัฒนา คุณธรรมจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษามีองค์ ประกอบหลัก 4 องค์ประกอบ และองค์ประกอบย่อย 10 องค์ประกอบ 3. ระดับความเหมาะสมของรูปแบบการ พัฒนาคุณธรรมจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยภาพรวมพบว่า ระดับความเหมาะสมของโดย ภาพ รวมความเหมาะสมของรูปแบบการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัด ส านักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ระดับ ความเหมาะสม ของรูปแบบการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมของผู้บริหาร สถานศึกษาอยู่ในระดับมากทั้ง 3 ด้านเรียงตามล าดับ ดังนี้ด้านการปรับประยุกต์ใช้รูปแบบ ด้านองค์ประกอบ ของรูปแบบ ด้านความ เหมาะสมของร่างรูปแบบการ พัฒนาคุณธรรมจริยธรรม สุธันยชนก ทรัพย์ย้อย ได้ศึกษาบทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาในการบริหารงานพัฒนา คุณธรรมจริยธรรม ในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 2 ผลการวิจัยพบว่า 1. บทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาในการบริหารงานพัฒนาคุณธรรม จริยธรรมใน สถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรีเขต 2 โดย ภาพรวม อยู่ในระดับมาก ส าหรับรายด้านมีระดับการปฏิบัติอยู่ในระดับมากทุกด้าน เรียงตามล าดับ ค่าเฉลี่ย คือ ด้านการจัดกิจกรรมนักเรียน ด้านการจัดสภาพแวดล้อม ด้านการบริหารโรงเรียนด้านการจัดหลักสูตร ด้านการนิเทศและการสอน และด้านการประเมินผล 2. ผลการเปรียบเทียบบทบาทของผู้บริหารสถานศึกษาในการบริหารงานคุณธรรม จริยธรรม ในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรีเขต 2 จ าแนก ตาม ขนาดของสถานศึกษาโดยภาพรวม มีความแตกต่างกัน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ทุกด้านมีความ แตกต่างกัน ยกเว้นด้านการจัดกิจกรรมนักเรียน มีความแตกต่างกัน นั่นคือ ผู้บริหาร สถานศึกษาขนาด ใหญ่มีการปฏิบัติมากกว่าผู้บริหารสถานศึกษาขนาดเล็กและขนาดกลาง (4) 3. ปัญหา และแนวทางในการบริหารงานพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม ของผู้บริหารสถานศึกษา ขั้นพื้นฐานสังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรีเขต 2 พบว่า 3.1 ด้านการบริหารโรงเรียน ปัญหาที่พบมาก คือ งบประมาณในการจัดกิจกรรมส่งเสริม คุณธรรมจริยธรรมไม่เพียงพอ แนวทางในการส่งเสริม คือ หน่วยงานต้นสังกัดควรจัดสรรงบประมาณ และ ระดมทรัพยากรจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 3.2 ด้านการจัดหลักสูตร ปัญหาที่พบมากที่สุด คือ การจัดกิจกรรมไม่ต่อเนื่อง แนวทาง ใน การส่งเสริม คือ มีการนิเทศอย่างสม่ าเสมอและจัดกิจกรรมให้หลากหลาย


๔๑ 3.3 ด้านการจัดสภาพแวดล้อม ปัญหาที่พบมากที่สุด คือ ขาดแคลนงบประมาณ แนวทางใน การส่งเสริม คือ หน่วยงานต้นสังกัดควรให้การสนับสนุนงบประมาณและระดมทรัพยากรจาก ชุมชนและ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง 3.4 ด้านการนิเทศและการสอน ปัญหาที่พบมากที่สุด คือ ครูไม่ได้สอดแทรกคุณธรรม จริยธรรมในการจัดการเรียนการสอน แนวทางในการส่งเสริม คือ มีการนิเทศการจัดกิจกรรม การเรียน การสอนของครูและมีการบันทึกพฤติกรรมด้านคุณธรรม จริยธรรมของผู้เรียน 3.5 ด้านการจัดกิจกรรมนักเรียน ปัญหาที่พบมากที่สุด คือ การส่งเสริมการจัดกิจกรรม ส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมไม่ชัดเจนและขาดความต่อเนื่อง แนวทางในการส่งเสริม คือ ควรก าหนด แนว ปฏิบัติกิจกรรมไว้อย่างชัดเจน 3.6 ด้านการประเมินผล ปัญหาที่พบมากที่สุด คือ ไม่มีการประเมินและสรุปผลการ ด าเนินงานแนวทางในการส่งเสริม คือ ควรมีการสรุปผลการประเมินและน าผลการประเมินมาพัฒนา ต่อไป สรุป การพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม ส าหรับผู้บริหารสถานศึกษานับว่ามีความส าคัญอย่างยิ่งใน สังคมปัจจุบันที่มีผู้คนในสังคมจ านวนมาก มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม แก่เด็กและเยาวชน ในรูปแบบต่าง ๆจะท าให้คุณธรรมจริยธรรมของประชาชนเป็นไปอย่างยั่งยืน โดย กระทรวงศึกษาธิการได้ก าหนดเป้าหมายการศึกษาไว้ว่า การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้ เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้คู่คุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการ ด ารงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข การจัดกระบวนการเรียนรู้ให้สถานศึกษาจัดการเรียน การสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ด้านต่าง ๆ อย่างได้สัดส่วน สมดุลกัน รวมทั้งปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยม ที่ดีงาม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ในทุกวิชาโดยให้ผู้เรียนเกิดคุณลักษณะที่พึงประสงค์คือเห็น คุณค่าของตนเอง มีวินัยในตนเอง ปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเน้นการ พัฒนา ความรู้ความคิด และทักษะในการปฏิบัติจริง อันจะน าไปสู่การพัฒนาตนเอง มีความสุข และ น าไปสู่การพัฒนาอาชีพสุจริตการมีงานท าและมีรายได้และมีส่วนท าประโยชน์ให้แก่กับสังคมของตนเอง และ ประเทศชาติดังนั้น ผู้บริหารการศึกษาทุกคนจึงควรน าหลักจริยธรรม ทั้งสัปปุริสธรรม อิทธิบาทธรรม พรหมวิหารธรรม สังคหวัตถุธรรม และ ทศพิธราชธรรม มาเป็นหลักในการบริหารการศึกษา อันเป็น เครื่องบ่งชี้ว่าเป็นผู้บริหารที่สมบูรณ์ท าให้บุคลากรผู้ร่วมงานเกิดแรงจูงใจร่วมมือเกิดเป็นการยอมรับเป็น แบบอย่างที่ดีแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา สามารถบริหารน าพาองค์กรได้พัฒนาก้าวไปข้างหน้าด้วยความสถาพร มั่นคง อย่างมีประสิทธิผล และมีประสิทธิภาพ


๔๒ บรรณานุกรม ปกรณ์ปรียากร. ทฤษฎีและแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนา ในการบริการการพัฒนา อุทัย เลาหวิเชียร. กรุงเทพฯ: สามเจริญพานิช, 2538 พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2525. หน้า 189, 238. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ: อักษร เจริญทัศน์, 2538 ดิเรก ฤกษ์หร่าย. ทฤษฎีและแนวทางการพัฒนาสังคม. ในเอกสารการสอนชุดวิชา คหกรรมศาสตร์ กับการพัฒนาชุมชน หน้า 282. นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2543 สัญญา สัญญาวิวัฒน์.ทฤษฎีและกลยุทธ์การพัฒนาสังคม หน้า 3. พิมพ์ครั้งที่ 5, กรุงเทพฯ: ส านักพิมพ์แห่งมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์, 2547 สนธยา พลศรี.ทฤษฎีและหลักการพัฒนาชุมชน (พิมพ์ครั้งที่ 5). กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์, 2547 พระเมธีธรรมาภรณ์(ประยูร ธมฺมจิตฺโต).ความสัมพันธ์ระหว่างจริยธรรม จริยศาสตร์และจริยศึกษา ความรู้คู่คุณธรรม. ในรวมบทความเกี่ยวกับคุณธรรม จริยธรรม, กรุงเทพฯ: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2534 _______.จรรยาบรรณของข้าราชการ. กรุงเทพฯ: มูลนิธิพุทธธรรม, 2538 พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต).พระพุทธศาสนากับการพัฒนาคนและสังคม กรุงเทพฯ : การไฟฟ้า ฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย,2540 วศิน อินทสระ.พุทธจริยศาสตร์, กรุงเทพฯ: ทองกวาว,2541 อนิวัช แก้วจ านง.การจัดการเชิงกลยุทธ์, (พิมพ์ครั้งที่ 2). สงขลา: น าศิลป์โฆษณา, 2555 พจนานุกรมศัพท์ปรัชญา อังกฤษ-ไทย ฉบับราชบัณฑิตสถาน, พิมพ์ครั้งที่ 4, กรุงเทพฯ, 2548 พระธรรมไตรปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต).พจนานุกรมพุทธศาสตร์ฉบับประมวลศัพท์. (พิมพ์ครั้งที่ 11). กรุงเทพฯ : มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย, 2546 พระราชด ารัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2549 ในวโรกาสอันเป็นมหา มงคลที่เสด็จออกสีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคม ปรีชา เศรษฐีธร.ปรัชญาและคุณธรรมส าหรับครู, กรุงเทพฯ: โอเดี่ยนสโตร์, 2523 พรนพ พุกกะพันธ์.จริยธรรมทางธุรกิจ, (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์จามจุรีโปรดักท์, 2543 พุทธทาสภิกขุ. ธรรมส าหรับครู, กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์การศาสนา, 2529 พิมพ์พรรณ เทพสุเมธานนท์และนุชนาถ สุนทรพันธุ์. การศึกษาเพื่อพัฒนาชีวิตและสังคม(พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: ส านักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามค าแหง, 2537 ประวัติพื้นผาสุก.คุณธรรมส าหรับผู้บริหาร. เชียงใหม่: มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่, 2549 อ าไพ สุจริตกุล.ความรู้คู่คุณธรรม. ในรวมบทความเกี่ยวกับคุณธรรมจริยธรรมและการศึกษา, กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2534 กมล ฉายาวัฒนะ. บริหารคนและงานตามหลักการของพระพุทธเจ้า กรุงเทพมหานคร: ชบาพลับลิช ชิง เกิร์กส์, ๒๕๕๔. ข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยแบบแผนพฤติกรรมตามจรรยาบรรณของวิชาชีพ. (2550). ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 124 ตอนพิเศษ 50 ง (27 เมษายน 2550). ดนัย เทียนพุฒ, การจัดท าแผน HRD สู่สหัสวรรษหน้า ส าหรับนักฝึกอบรมมืออาชีพ, กรุงเทพมหานคร: ดีเอ็น


๔๓ ทีคอนซัลแตนท์,๒๕๔๓. ดุจเดือน พันธุมนาวิน. การสังเคราะห์งานวิจัยเกี่ยวกับคุณธรรม จริยธรรมในประเทศไทยและ ต่างประเทศ กรุงเทพมหานคร: พริกหวานกราฟฟิค, ๒๕๕๑. ดวงเดือน พันธุนาวิน. ทฤษฎีต้นไม้จริยธรรม การวิจัยและพัฒนาบุคคล พิมพ์ครั้งที่ ๒ กรุงเทพมหานคร สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์. เนตร์พัณณา ยาวิราช. การจัดการสมัยใหม่, พิมพ์ครั้งที่ ๘, กรุงเทพมหานคร: บริษัททริป เพิ้ลกรุ๊ป จ ากัด, ๒๕๕๖ ประภาพร จันทรัศมี. (2559). กลยุทธ์การบริหารโรงเรียนเพื่อเสริมสร้างความเข็มแข็งทางคุณธรรม จริยธรรมของนักเรียนประถมศึกษา. ดุษฎีนิพนธ์ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิต. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุต.โต) พระไตรปิฎกสิ่งที่ชาวพุทธต้องรู้. กรุงเทพฯ : เอส อาร์ พริ้นติ้ง แมสโปร ดักส์, ๒๕๔๖. พระระพิน พุทธิสาโร, พระมหามนัส กิตติสาโร. พระพุทธศาสนา ชั นประถมศึกษาปีที่๑ กรุงเทพ :ส านักพิมพ์ บริษัท พัฒนาคุณภาพวิชาการ(พว.)จ ากัด,๒๕๕๔. พระธรรมปิฏก (ป.อ ปยุตฺโต). พจนานุกรมพุทธศาสตร์ฉบับประมวลศัพท์. พิมพ์ครั้งที่ ๑๐.กรุงเทพมหานคร: บริษัท เอส.อาร์. พริ้นติ้ง แมส โปรดักส์จ ากัด, ๒๕๔๖. มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรป ฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙. สมเด็จพระญาณสังวร เจริญ สุวัฑฒนมหาเถร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก. ทศบารมี ทศพิธราชธรรม กรุงเทพมหานคร: มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๔. ส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. เป้าหมายยุทธศาสตร์และตัวบ่งชี การปฏิรูปการศึกษาใน ทศวรรษที่สอง พ.ศ.๒๕๕๒ -๒๕๖๑, กรุงเทพมหานคร: กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๕๐.


Click to View FlipBook Version