ศิลปะการแสดงพื้น พื้ บ้าน จังหวัดสุรินทร์ โดย นายนรวิชญ์ เปรื่องวิชา ชั้น ชั้ มัธยมศึกษา.6/2 เลขที่21 เสนอ คุณครูสุภัทรกุล มั่นหมาย
การแสดงพื้นพื้บ้าน เป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำ ค่า ที่บรรพบุรุษไทยได้ สั่งสม สร้างสรรค์ และสืบทอดไว้เป็นเอกลักษณ์ประจำ ชาติ เพื่อให้รุ่นลูกรุ่น หลานได้เรียนรู้และรักในคุณค่าในศิลปะไทยในแขนงนี้ เกิดความภาคภูมิใจ ในความเป็นไทย และพร้อมที่จะช่วยสืบทอด จรรโลง และธำ รงไว้เป็นสมบัติ ของชาติสืบไป การแสดงพื้นพื้บ้าน เป็นการแสดงเพื่อก่อให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน และความบันเทิงในรูปแบบต่างๆ ซึ่งจะมีลักษณะแตกต่างกันตามสภาพ ภูมิประเทศ สังคม วัฒนธรรม แต่ละท้องถิ่น ดังนั้นนั้การแบ่งประเภทของการ แสดงพื้นพื้เมืองของไทย โดยทั่วไปจะแบ่งตามส่วนภูมิภาค การแสดงพื้นพื้บ้าน เป็นการแสดงที่แสดงออกถึงการสืบทอดทางศิลปะและ วัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่นที่สืบทอดกันต่อ ๆ มาอย่างช้านาน ตั้งตั้แต่ สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน การแสดงจะออกมาในรูปแบบใดนั้นนั้ขึ้นขึ้อยู่กับ สภาพทางภูมิศาสตร์ สิ่งแวดล้อม อาชีพ และความจำ เป็นทางเศรษฐกิจ ตลอดจนอุปนิสัยของประชาชนในท้องถิ่น จึงทำ ให้การแสดงพื้นพื้เมือง มี ลีลาท่าทางที่แตกต่างกันออกไป แต่ก็มีจุดมุ่งหมายอย่างเดียวกัน คือ เพื่อ ความสนุกสนานรื่นเริง และพักผ่อนหย่อนใจ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้รับอิทธิพลจากศิลปะของลาว ซึ่งมักเรียกการละเล่นว่า "เซิ้งซิ้ฟ้อน และหมอลำ " เช่น เซิ้งซิ้กระติบข้าว เซิ้งซิ้โปงลาง เซิ้งซิ้แหย่ไข่มดแดง ฟ้อนภูไท เซิ้งซิ้สวิง เซิ้งซิ้บ้องไฟ เซิ้งซิ้กะหยัง เซิ้งซิ้ตังหวาย ฯลฯ ใช้เครื่องดนตรีพื้นพื้บ้านประกอบด้วย แคน พิณ ซอ กลองยาวอีสาน โปงลาง โหวด ฉิ่ง ฉาบ ฆ้อง และ กรับ ส่วนกลุ่มอีสานใต้ ได้รับ อิทธิพลจากศิลปะของเขมร มีการละเล่นที่เรียกว่า "เรือม หรือ เร็อม" เช่น เรือมลูด อันเร (รำ กระทบสาก) รำ กระโน็บติงต็อง (ระบำ ตั๊กตั๊แตนตำ ข้าว) รำ อาไย (รำ ตัด) วง ดนตรีที่ใช้บรรเลงคือวงมโหรีอีสานใต้ มีเครื่องดนตรี เช่น ซอด้วง ซอตรัวเอก กลอง กันตรึม พิณ ระนาดเอกไม้ ปี่สไล กลองรำ มะนา และเครื่องประกอบจังหวะ การแต่ง กายประกอบการแสดงแต่งแบบวัฒนธรรม ของพื้นพื้บ้านอีสาน มีลักษณะลีลาท่ารำ และท่วงทำ นองดนตรีในการแสดงค่อนข้างกระชับ กระฉับกระเฉง รวดเร็ว และ สนุกสนาน
กล่าวได้ว่าการแสดงพื้นพื้บ้านในแต่ละภาคจะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันในเรื่องของ มูลเหตุแห่งการแสดง ซึ่งแบ่งออกได้ดังนี้ ๑.แสดงเพื่อเซ่นสรวงหรือบูชาเทพเจ้า เป็นการแสดงเพื่อแสดงความเคารพ ต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือเซ่นบวงสรวงดวงวิญญาณที่ล่วงลับ ๒.แสดงเพื่อความสนุกสนานในเทศกาลต่างๆ เป็นการรำ เพื่อการรื่นเริง ของ กลุ่มชนตามหมู่บ้าน ในโอกาสต่างๆ หรือเพื่อเกี้ยกี้วพาราสีกันระหว่าง ชาย – หญิง ๓.แสดงเพื่อความเป็นสิริมงคล เป็นการรำ เพื่อแสดงความยินดีในโอกาส ต่างๆ หรือใช้ในโอกาสต้อนรับแขกผู้มาเยือน ๔.แสดงเพื่อสื่อถึงเอกลักษณ์ของท้องถิ่นอันเกี่ยวกับการประกอบอาชีพ และ วัฒนธรรมประเพณีเพื่อสร้างชื่อเสียงให้เป็นที่รู้จัก
ประเภทของการแสดงพื้น พื้ บ้าน ๑.การแสดงในเชิงร้องและขับลำ ๒.การแสดงในเชิงเรื่องราว การแสดงในเชิงเรื่องราวรวมทั้งทั้การแสดงขับร้องขับลำ ที่ขยายออกไปเป็นเรื่องราว จนถึงการแสดงแบบละคร ซึ่งมีการแสดง เช่น ฟ้อนรำ ออกท่าทาง และจัดตัวแสดง อย่างละคร มีดนตรีประกอบบ้าง ลักษณะการแสดงอาจจะใช้เรื่องราวจากนิทาน นิยายหรือวรรณกรรมตอนใดตอนหนึ่ง ๓.การแสดงในเชิงขบวนแห่ การแสดงในเชิงจัดขบวน มีขึ้นขึ้เพื่อแสดงความครึกครื้นรื้สนุกสนานในการเดินทาง เคลื่อนที่จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง จัดเป็นขบวนแห่ซึ่งมีการร้องรำ ทำ เพลงและฟ้อนรำ เข้าขบวนไปด้วยกัน เป็นการแสดงที่มีอยู่ทุกภาคง การร้องและขับลำ เป็นการใช้ภาษาเชิงปฏิภาณไหวพริบอย่างฉับไว แม้บางส่วนบางตอนจะใช้บทที่ท่อง ไว้แล้วก็ตาม แต่อาจนำ เอามาปรุงถ้อยคำ ใหม่ได้ นับเป็นการแสดงที่เน้นเฉพาะการ ขับร้อง อาศัยถ้อยคำ ทำ นอง และสำ เนียงตลอดจนภาษาถิ่น
การแสดงพื้นพื้บ้านของไทย เป็นสิ่งที่แสดงถึงความมีอารยธรรมและความ เจริญงอกงามของคนในชาติ ซึ่งสามารถจำ แนกคุณค่าของการแสดงพื้นพื้ บ้านเป็นด้านต่างๆ ดังนี้ ๑. คุณค่าด้านความบันเทิง ความเจริญเป็นจุดมุ่งหมายสำ คัญ ของการแสดงทุกประเภท เพราะการแสดงพื้นพื้บ้านทำ ให้เกิดความ สนุกสนานเพลิดเพลินทั้งทั้จากลีลาท่าทางของผู้แสดง ความวิจิตรงดงาม ของเครื่องแต่งกาย ความงามสวยงามของฉาก ๒. คุณค่าด้านศิลปวัฒนธรรม การแสดงพื้นพื้บ้านเป็นศูนย์รวม ของงามศิลป์หลากหลายสาขา เช่น ดุริยางคศิลป์ นาฏศิลป์ วรรณศิลป์ มัณฑนศิลป์ วิจิตรศิลป์ และขนบธรรมเนียมประเพณีอันงดงามของท้อง ถิ่น ๓. คุณค่าด้านจริยธรรม เนื้อเรื่องของการแสดงส่วนใหญ่จะ สะท้อน คติธรรมค่านิยมทางพุทธศาสนา การทำ ดีได้ดี ทำ ชั่วได้ชั่ว เสริม สร้างคุณธรรม และจริยธรรม ๔. คุณค่าด้านความคิด การแสดง และการละเล่นพื้นพื้บ้านหลาย ประเภท เป็นการแสดงความสามารถด้านคิดสร้างสรรค์ สร้าง จินตนาการ สอดแทรกคติสอนใจ และแนวคิดที่เป็นประโยชน์ ๕. คุณค่าด้านการศึกษา การแสดงพื้นพื้บ้านของภาคต่างๆ ก่อให้ ประโยชน์ต่อการศึกษาค้นคว้า ทั้งทั้ในด้านประวัติศาสตร์ วิถีชีวิตความ เป็นอยู่ สังคม ขนบธรรมเนียม ประเพณีวัฒนธรรม และความเชื่อของ ผู้คนในแต่ละท้องถิ่น คุณค่าของการแสดงพื้น พื้ บ้าน
๑. การรวบรวมข้อมูลการแสดงพื้นพื้บ้านต่างๆ ทั้งทั้จากคนในท้องถิ่น และเอกสารที่ได้มีการบันทึกไว้ เพื่อนำ มาศึกษา วิจัยให้เข้าใจถึงแก่น แท้ เอกลักษณ์ และคุณประโยชน์ของการแสดงนั้นนั้ๆ ซึ่งจะช่วยให้คน รุ่นใหม่เกิดการยอมรับ และนำ ไปปรับใช้กับชีวิตยุคปัจจุบันได้ ๒. ส่งเสริมให้เห็นคุณค่าของการแสดงพื้นพื้บ้านไทย โดยเฉพาะการ แสดงในท้องถิ่น ให้คนในท้องถิ่นตระหนักถึงเอกลักษณ์ของการแสดง พื้นพื้บ้าน ๓. การรณรงค์เพื่อปลูกฝังจิตสำ นึกความรับผิดชอบในการอนุรักษ์การ แสดงพื้นพื้บ้านให้กับคนไทยทุกคน เพื่อให้ตระหนักถึงความสำ คัญของ การแสดงพื้นพื้บ้านว่าเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกัน รวมทั้งทั้ ภาคเอกชนต้องร่วมกันในการส่งเสริมสนับสนุน ประสานงานการ บริการความรู้ วิชาการ และทุนทรัพย์สำ หรับจัดกิจกรรมทางการแสดง พื้นพื้บ้านให้กับชุมชน ๔. สร้างศูนย์กลางในเผยแพร่ประชา สัมพันธ์ผลงานทางด้านวัฒนธรรม ด้วยระบบเครือข่ายสารสนเทศ เช่นเว็บไซต์ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงได้ ง่าย สะดวกรวดเร็ว และสามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับการดำ เนิน ชีวิตได้ง่าย อย่างไรก็ดีสื่อมวลชนควรมีบทบาทในการส่งเสริม และ สนับสนุนงานด้านการแสดงพื้นพื้บ้านมากยิ่งขึ้นขึ้ด้วย การอนุรักษ์การแสดงพื้น พื้ บ้าน
วัฒนธรรมถือเป็นมรดกร่วมของกลุ่มชน การสร้างสรรค์ สังคมสืบทอด วัฒนธรรมเป็นกิจกรรมสำ คัญอย่างหนึ่งของมนุษย์ทุกยุค ทุกสมัย การฟ้อนรำ เป็นส่วนหนึงของวัฒนธรรมที่ชาวบ้านสร้างสรรค์ขึ้นขึ้จากเงื่อนไขสภาพแวดล้อม ของแต่ละถิ่น เป็นมรดก ที่ชาวบ้านในท้องถิ่นนั้นนั้ๆ สั่งสม สืบทอด ปรับ เปลี่ยน เพื่อความเหมาะสมตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป วิธีการสืบทอด ยา ศัยการบอกเล่า จดจำ ทำ ตามครูรู้แบบซึมซับและรับด้วยความพึงพอใจ การ ฟ้อนรำ พื้นพื้บ้านถือเป็นมรดกร่วมกันของกลุ่มชาวบ้านเป็นต้นคิดเป็นผู้เล่น และ สืบทอดโดยมีจุดมุ่งหมาย เพื่อสนองความ ต้องการของชาวบ้าน ลักษณะของการ ฟ้อนรำ พืเนบ้านจะใช้ภาษาถิ่น ท่วงทำ นองลีลาเฉพาะถิ่นเป็นรูปแบบ การฟ้อนรำ ของชาวจังหวัด สุรินทร์ที่พูดภาษาเขมร
การฟ้อนรำ ในจังหวัดสุรินทร์ อาจมีกำ เนิดมาจากสาเหตุต่าง ๆ ดังนี้ ความเชื่อเกี่ยวกับอำ นาจเร้นลับเหนือธรรมชาติ มนุษย์แต่เดิมมีความเชื่อใน เรื่องสิ่งศึกดิ์สิทธิ์ ภูติผีปีศาจ วิญญาณบรรพบุรุษ เทวดา เมื่อทำ ผิดอะไร ไป เช่น การตาย น้ำ ท่วม ทำ นาไม่ได้ผล เกิดความแห้งแล้ง หรือไฟ ไหม้ก็คิดว่าตนได้กระทำ ผิดและเชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือภูติผีปีศาจ สามารถ ให้คุณและโทษแก่มนุษย์ได้จึงมีการบวงสรวงเพื่อขอขมา หรือทำ ให้สิ่งเหนือ ธรรมชาติพอใจโดยจัดเครื่องเซ่นสังเวย มีผู้ติดต่อกับเทพหรือวัญญาณต่าง ๆ มีการขับร้องฟ้อนรำ ถวายเพื่อเป็นการบวงสรวง ดนตรีและการละเล่นพื้นพื้ บ้านสุรินทร์ที่เกิดขึ้นขึ้จากความเชื่อนั้นนั้เช่น เรือมมม็อต เรือมตรต(ตรุษ) มองก๊วลจองได เป็นต้น การทำ งานร่วมกันเป็นหมู่คณะ ในสังคมเกษตรกรรมชาวบ้านจะทำ งานช่วย เหลือกันเป็นหมู่คณะ ซึ่งเรียกว่าการลงแขกเป็นการแสดงน้ำ ใจเอื้ออื้เผื้อผื้ต่อ เพื่อนบ้านปลูกฝังความสามัคคี เช่น ลงแขกเกี่ยวข้าว ลงแขดำ นา เป็นต้น การที่ชาวบ้านมารวมกลุ่มร่วมมือกัน ย่อมมีการแสวงหาความบันเทิงใจ หรือต้องการผ่อนคบายอารมณ์ จึงมีการคิดการแสดงและการละเล่นต่าง ๆ ขึ้นขึ้เช่น เกิดการร้องเพลงเกี่ยวข้าว เกิดรำ เต้นกำ รำ เคียว กำ เนิดของการฟ้อนรำ ในจังหวัดสุรินทร์
การเลียนแบบธรรมชาติ ธรรมชาติมีอิทํธิพลต่อวิถีชีวิตของมนุษย์เป็น แรงบันดาลใจที่ทำ ให้มนุษย์คิดสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ขึ้นขึ้การฟ้อนรำ ที่ คิดประดิษฐ์ท่ารำ มาจากการลอกเลียนแบบกิริยาของสัตว์ เช่น เรือมก ระโน้บติงตอง เป็นการเลียนแบบลีลา ท่าทางของตั๊กตั๊แตนซึ่งกำ ลัง เกี้ยกี้วพาราสีกัน นอกจากนี้ยันี้ยังมีท่ารำ ที่ดัดแปลงมาจากธรรมชาติ เช่น ท่ามะโลบโดง (ร่มมะพร้าว) ในรำ เรือมอันเรซึ่งนำ เอาลีลาของใบ มะพร้าว ต้นมะพร้าว เวลาโดนลมพัดโอนเอนไปมา แล้วใช้ภาษา ท่าทางนาฏศิลป์เข้าประกอบเพื่อความสวยงาน เป็นต้น เกิดขึ้นขึ้จากความต้องการความสนุกสนานและประโคม ในงานเทศกาล บุญประเพณีของหมู่บ้าน ชาวบ้านจะคิดการแกดงที่จะทำ ให้เกิดความ สนุกสนานหรือเป็นการประโมจึงมีการละเล่นหรือการแสดงประจำ ท้อง ถิ่นขึ้นขึ้เช่น การละเล่นกันตรึม เรือมอาไย มองก๊วลจองได ระบำ รำ กรับ ระบำ ศรีขรภูมิ เป็นต้น การฟ้อนรำ ที่เกิดจากอาชีพในท้องถิ่น เป็นการฟ้อนรำ ที่คิดประดิษฐ์ขึ้นขึ้ จากการประกอบอาชีพต่าง ๆ ในท้องถิ่น เช่น การเลี้ยลี้งไหม ทอผ้า มีการนำ ขั้นขั้ตอนการเลี้ยลี้งไหม จนถึงขั้นขั้ตออนการทอผ้าเป็นลายต่าง ๆ มาประดิษฐ์เป็นท่ารำ โดยเสริมแต่งลีลาทางนาฏศิลป็เข้าไป เกิดเป็น ระบำ ศรีผไทสมันต์ขึ้นขึ้นอกจากนี้ก็นี้ ก็ มีระบำ ปั้นหม้อ จากอาชีพการปั้น หม้อโดยนำ ขั้นขั้ตอนจากการปั้นหม้อดินมาประดิษฐ์เป็นท่าฟ้อนรำ ให้ สวยงามขึ้นขึ้
การฟ้อนรำ ในประเพณีและพิธีกรรม ประกอบด้วย เรือมมม็วต เรือมก็วลจองได เรือมตรต (เรือมมตรุษ) การฟ้อนรำ ในงานนักขัตฤกษ ์ได้แก่ เรือมอันเร เรือมอายัย เรือมกันตรึม ระบำ สุ่ม ระบำ ร่ม ระบำ กะลา เรือมศรีผไทสมันต์ ระบำ ซาปาดาน เรือมกระโน้บติงตอง ระบำ รำ กรับ ลิเกเขมร เจรียงต่าง ๆ ประเภทของการฟ้อนรำ ในจังหวัดสุรินทร์ สามารถจำ แนกออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 2 ประเภท
การฟ้อนรำ ที่กล่าวมาทั้งทั้2 ประเภท ต่างก็มีต้นกำ เนิดมาแตกต่างกันไปแต่ละ อย่างก็มีลักษณะเด่นของตนเอง บางอย่างก็มีลักษณะร่วมกันอยู่ การฟ้อนรำ บาง ชนิดคนรุ่นใหม่คิดประดิษฐ์ท่ารำ ขึ้นขึ้มาใหม่ เกิดเป็นระบำ ต่าง ๆ ขึ้นขึ้มามากมาย การฟ้อนรำ บางอย่างเกิดขึ้นขึ้มานานมีการถ่ายทอดสืบต่อกันมาด้วยวิธีการบอกเล่า หรือจดจำ ทำ ตามครูแล้วมีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมตามสภาพแวดล้อมที่ เปลี่ยนไป การฟ้อนรำ ในยุคแรก ๆ ของจังหวัดสุรินทร์ ที่เกิดขึ้นขึ้เนื่องมาจากความเชื่อทาง ศาสนาของชาวบ้านและการเฉลิมฉลองในงานเทศกาล ชีวิตของคนไทยผูกพันกับ สถาบันศาสนามากที่สุดเพราะต้องเกี่ยวข้องตั้งตั้แต่เกิดจนตาย ระบบความเชื่อจาก ศาสนาพุทธ พราหมณ์ และความเชื่อดั้งดั้เดิมที่ผสมผสานกลมกลืนกันได้ เข้ามา มีส่วนกำ หนดค่านิยมประเพณี ตลอดจนพิธีกรรมต่าง ๆ ของชาวสุรินทร์ และ ได้มีการร่วมสังสรรค์ทางวัฒนธรรมขึ้นขึ้ทำ ให้เกิดการฟ้อนรำ ขึ้นขึ้ซึ่งแยกออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ
การฟ้อนรำ ในประเพณีพิธีกรรมและการฟ้อนรำ ในงานนักขัตฤกษ์ การฟ้อนรำ ในประเพณีพิธีกรรม ได้แก่ เรือมมม็วต เป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่งของชาวสุรินทร์ซึ่งมีความเชื่อ มาแต่โบราณว่า เรือมมม็วตเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยให้คนกำ ลังเจ็บ ไข้ได้ป่วยมีอาการทุเลา ได้แม้จะป่วยมานาน เมื่อจัดการให้มี การเล่นมม็วต คนป่วยได้ยินเสียงดนตรีกระหึ่มเท่านั้น นั้ ก็มี อาการดีขึ้น ขึ้ ทำ นองและจังหวะดนตรีที่ใช้มีหลายทำ นอง เช่น ทำ นองจังหวะไหว้ครู ทำ นองจังหวะไหว้ครูผู้เข้ามม็วต ทำ นอง จังหวะออกรำ ทำ นองจังหวะรำ ดาบ ทำ นองและจังหวะ เบ็ดเตล็ด เป็นต้น การเล่นเรือมมม็วต แล้วแต่ความเลื่อมใสศรัทธาในการเล่นจะ มีครูมม็วตเป็นผู้ทำ พิธีต่าง ๆ และเป็นผู้จัดระเบียบแนะนำ สั่ง สอนทั้ง ทั้ มม็วตเก่าและมม็วตเข้าใหม่ และเป็นผู้รำ ดาบ ทำ นอง เพลง กาปเป ไล่ฟันผีหรือเสนียดนัญไร จะต้องมีพี่เลี้ย ลี้ งของม ม็วตเท่าจำ นวนผู้เล่น ดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบการเล่นมม็วต ใช้วงกันตรึมมีการไหว้ครูดนตรี และจัดสร้างปะรำ พิธีตลอดจน เตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จำ เป็นต้องใช้ไว้ล่วงหน้า เรือมมองก็วลจองได "มองก็วล" แปลว่า มงคลหรือสิ่งที่ ดีงาม "จองได" แปลว่า ผูกข้อมือ มองก็วลจองได หมายถึง มงคลผูกข้อมือ คือการนำ เอาฝ้าย เส้นเล็ก ๆ พอให้ผูกกับข้อมือได้ มาทำ พิธีให้เกิดความ ศักดิ์สิทธิ์และนำ ไปผูกข้อมือเพื่อแสดงถึงความผูกพัน ความ ห่วงใย ความเป็นมิตร ความชอบพอ และความพึงพอใจ ระหว่างผู้ให้และผู้รับทั้ง ทั้ สองฝ่าย
เรือมมองก็วลได เป็นการรำ ประกอบในพิธีบายศรีสู่ขวัญซึ่งแต่เดิม เป็นการรำ แบบพื้นพื้เมืองที่ไม่มีรูปแบบต่อมา ได้รับการปรับท่ารำ ให้เป็นรูป แบบขึ้นขึ้มาโดยอาจารย์จากภาควิชานาฏศิลป์วิทยาลัยครูสุรินทร์เมื่อปี 2526 โดยปรับท่ารำ จากท่าพื้นพื้เมืองให้สวยงามขึ้นขึ้เพลงร้องก็ใช้ทำ นอง เพลงกันตรึม คำ ร้องเป็นภาษาเขมร โอกาสที่ใช้แสดงใช้แสดง ได้ทุกโอกาสในการทำ พิธีบายศรีประเพณีบายศรีสู่ขวัญเป็นพิธีสำ คัญอย่าง หนึ่งของชาวจังหวัดสุรินทร์ทั้งทั้ในมูลเหตุแห่งความดีและไม่ดี เพราะถือว่า เป็นการเรียกขวัญให้มาอยู่กับตัว พิธีสู่ขวัญจัดได้ทั้งทั้ในโอกาสแสดงความ ชื่นชมยินดีและเป็นการปล่อยใจให้เจ้าของขัวัญจากคณะญาติมิตรและ บุคคลทั่วไป ได้ดีมีโชค หรือผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือมาเยี่ยมเยียนก็ จัดพิธีสู่ขวัญให้เป็นต้น ทำ นองเพลงมองก็วลจองไดจะมีทำ นอง เฉพาะ ส่วนเนื่อร้องมีหลายอย่างแตกต่างกันออกไป
เรือมตรต (หรือเรือมตรุษ) เรือมตรต แปลว่า รำ ตรุษ นิยมเล่นกันในวันหยุดสงกรานต์ผู้เล่นมีทั้งทั้หญิงและชายไม่กำ หนดว่ากี่คน การแต่งกายจะแต่งให้สวยงามหรือตลกก็ได้ ในวงรำ จะมีหัวหน้ากลอนเป็น ผู้นำ ร้องจะจำ ยทเก่า ๆ หรือแต่งเองก็ได้ เนื้อร้องส่วนใหญ่เป็นบทอวยพร เจ้าของบ้านในวันขึ้นขึ้ปีใหม่ของไทย ต่อจากนั้นนั้ก็เป็นยทขมเชยยกย่องเจ้าของ บ้านหรือบทเกี้ยกี้วพาราสี ผู้ที่มีบทบาทสำ คัญในคณะรำ ตรุษ คือ หัวหน้า ตรุษซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับความนับถือของคนในหมู่บ้าน จะเป็นผู้พาคณะเรือมตรุษ ไปตามบ้านเรือนในหมู่บ้านเรือนในหมู่บ้าน เมื่อไปถึงบ้านใดถ้าได้รับเชิญขึ้นขึ้ บ้านเจ้าของบ้านช่วยบริจาคเงินทอง สิ่งของนำ ไปบำ รุงวัด หรือ สาธารณประโยชน์ในหมู่บ้านจะลาเจ้าของบ้านเดินทางไปหมู่บ้านอื่นต่อไป การร้องรำ ไปทั่งหมู่บ้านต้องมีการกำ หนดวันเอาไว้ว่าจะร้องขอบริจาคกี่วัน และไปกี่หมู่บ้าน เมื่อครบกำ หนดหัวหน้าตรุษก็จะนำ สิ่งขอองที่บริจาคไปถวาย เจ้าอาวาสที่วัดเพื่อเป็นการทำ บุญต่อไป
เรือมอันเร เรือมอันเร แปลว่า รำ สาก แต่เดิมเรียกว่า ลูด อันเร ซึ่งหมายถึง การเต้นสาก ต่อมาได้พัฒนารูปแบบในด้านต่าง ๆ ทั้งทั้ทางด้านท่ารำ ดนตรี การแต่งกายใหม่ให้เป็นแบบแผนขึ้นขึ้และเรียก ว่า เรือมอันเร การรำ เรือมอันเรแต่เดิมท่ารำ จะรำ กันอย่างไรก็ได้ ผู้รำ ไม่ จำ กัดจำ นวน จะมีฝ่ายหญิงรำ รอบสากฝ่ายชายจะเข้าไปโค้งและร่วมรำ ด้วยถ้าต้องการใกล้ชิดหญิงที่ตนรักก็จะพารำ เข้าในสากที่กำ ลังกระทบกัน อยู่ปัจจุบันได้ปรับรูปแบบท่ารำ และจังหวะดนตรีให้เป็นแบบแผน ดังนี้ ทำ นองจังหวะเรือมอันเรในสมัยก่อนมีเพียง 3 จังหวะ ปัจจุบันได้ พัฒนาขึ้นขึ้เป็น 5 จังหวะ คือ จังหวะไหว้ครู (เกริ่นครู) จังหวะกัตปกา (เด็ดดอกไม้) จังหวะจึงมุย (รำ สากทีละเท้า) จังหวะโล้บโดง (ร่มมะพร้าว) จังหวะจึงปีร (สองเท้า หมายถึงรำ เข้าสากทีละสองเท้า)
ระบำ สุ่ม ระบำ สุ่ม เป็นการแสดงที่ปรับปรุงมาจากการ ละเล่นของชาวเขมรจากศูนย์อพยพที่อำ เภอกาบเชิง โดยอาจารย์จากภาควิ ชานนาฏศิลป์วิทยาลัยครูสุริทร์ ซึ่งนำ การแสดงของชาวเขมรอพยพมา ปรับปรุงจัดเป็นชุดการแสดงขึ้นขึ้เมื่อ พ.ศ. 2524 ในหารปรับปรุงท่ารำ จะ ยึดรูปแบบท่ารำ เดิมเป็นหลัก การแสดง ระบำ สุ่มเป็นการแสดงให้เห็นถึงขั้นขั้ตอนการประกอบอาชีพจับ ปลา ใช้ผู้แสดงทั้งทั้ชายและหญิง มีอุปกรณ์ประกอบการแสดง คือ สุ่ม และ เฉนียง ดนตรี ที่ใช้ประกอบใช้วงดนตรีพื้นพื้เมืองสุรินทร์โดยนำ ทำ นองดนตรีของ เขมรจากศูนย์อพยพมาปรับใหม่จนมีลักษณะเฉพาะ ฉาบ และกรับ การแต่งกาย เลียนแบบการแต่งกายของเขมร คือฝ่ายชายจะสวมเสื้อสื้ คอกลมแขนสั้นสั้สวมกางเกงขายาวสีดำ มีผ้าคาดเอวฝ่ายหญิงจะนุ่งโจง กระเบน สวมเสื้อสื้ลูกไม้แขนยาวมีระบายที่เอวและแขนมีผ้าพาดตะเบง โอกาสที่ใช้แสดง ใช้แสดงในโอกาสทั่ว ๆ ไปในงานประเพณีรื่นเริงต่าง ๆ
เรือมอายัย เรือมอายัย เป็นการละเล่นพื้นพื้เมืองที่ได้รับการ ถ่ายทอดมาขากประเทศเขมรมานาน ตั้งตั้แต่สมัยสงครามอินโดจีน ลักษณะการ แสดงเรือมอายัยเป็นการร้องรำ โต้กลอนเกี้ยกี้วพาราสีกันระหว่างหนุ่มสาวคล้ายกับ เพลงปาฏิพากย์ของภาคกลาง นิยมเล่นใน งานเทศกาลต่าง ๆ วงดนตรี ที่ใช้ประกอบในการเล่นเรือมอายัยจะใช้วงกันตรึม ซึ่งประกอบ ด้วย โทน ซอ ปี่อ้อ ปี่ชลัย ฉิ่ง ฉาบ และกรับ ทำ นองและจังหวะ เรือมอายัย มีทำ นองและจังหวะหลายอย่าง แต่ที่นิยมคือ อายัยลำ แบ เพราะเป็นทำ นองที่เร่งเร้าสนุกสนาน
เรือมกันตรึม เรือมกันตรึม เป็นการฟ้อนรำ ประกอบทำ นอง เพลงกันตรึม โดยมีวงดนตรีกันตรึม ซึ่งถือว่า เป็นแม่บทของเพลงพื้นพื้เมืองแต่ เดิมไม่มีรูปแบบท่ารำ แน่นอน ขึ้นขึ้อยู่กับความพอใจของผู้รำ ต่อมากลุ่มศิลปินท้อง ถิ่นคือ อาจารย์ผ่องศรี ทองหล่อ ได้คิดประดิษฐ์ท่ารำ ขึ้นขึ้ ใหม่ ให้เข้ากับจังหวะ และทำ นองเพลงกันตรึม 7 เพลงคือ 1. เพลงอาไยซาระยัง 2. เพลงเชิ้ปชิ้เชิ้ปชิ้ 3. เพลงกัญจัญเจก (เขียดตาปาด) 4. เพลงอมตูก (พายเรือ) 5. เพลงมม็วต 6. เพลงกัตปกา 7. เพลงมองก็วตจองได การแต่งกาย รำ กันตรึมแบบเดิม แต่งกายแบบพื้นพื้เมืองใช้ผู้แสดงทั้งทั้ชาย และหญิง หญิงจะสวมเสื้อสื้แขนกระบอก นุ่งผ้าถุงและห่มสไบ ชายจะนุ่งโจง กระเบน สวมเสื้อสื้คอกลมแขนสั้นสั้มีผ้าคาดเอวและคล้องคอโดยปล่อยชายไปด้าน หลังทั้งทั้สองชายเหมือนเรือมอันเร การแต่งกายเรือมกันตรึม ที่ประดิษฐ์ ท่ารำ ขึ้นขึ้ ใหม่ ผู้แสดงเป็นหญิงล้วนนุ่งผ้าถุงพื้นพื้เมืองยาวครึ่งน่อง มีผ้าขาวม้าไหม กระโจมอกจับจีบที่มุมผ้าด้านซ้ายเรือมกันตรึมที่ประดิษฐ์ท่ารำ ขึ้นขึ้ ใหม่นั้นนั้ ใช้รำ ในงาน มงคลเพื่อความสนุกสนานรื่นเริง เป็นต้น
ระบำ ร่ม ระบำ ร่ม เป็นการแสดงที่ปรับปรุงมาจากการละเล่นของชาว เขมรอพยพ ที่อำ เภอกาบเชิง เช่นเดียวกันกับระบำ สุ่มในช่วงปี พ.ศ. 2524 การแสดงระบำ ใช้ผู้แสดงชายหญิงเป็นคู่ มีอุปกรณ์ประกอบการแสดงคือร่ม เป็นการหยอกล้อกันระหว่างหนุ่มสาว การปรับปรุงท่ารำ จะยึดรูปแบบท่ารำ เดิมของ ชาวเขมรอพยพที่อำ เภอกาบเชิง การแต่งกาย เลียบแบบการแต่งกายของชาวเขมรโดยฝ่ายหญิงสวมเสื้อสื้คอกลม แขนในตัว นุ่งผ้าจับจีบหน้านางเฉียงด้านข้าง ใส่เครื่องประดับ เช่น สร้อย ตุ้มหู มีผ้าคาดเอว ดนตรีที่ใช้ ใช้ทำ นองดนตรีพื้นพื้เมืองของเขมรอพยพอำ เภอกาบเชิง จังหวัด สุรินทร์ มาปรับปรุงโดยยึดทำ นองเพลงเดิมเป็นหลัก แต่ใช้วงดนตรีพื้นพื้เมือง สุรินทร์บรรเลง โอกาสที่ใช้แสดง ใช้แสดงในโอกาสทั่ว ๆ ไปในงานประเพณีรื่นเริงต่าง ๆ
ระบำ กะลา ระบำ กะลาเป็นการแสดงที่ปรับปรุงมาจากการ ละเล่นของชาวเขมรอพยพ ที่อำ เภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ เมื่อปี พ.ศ. 2524 เช่นเดียวกับระบำ สุ่มและระบำ ร่ม การแสดงระบำ กะลา จะเน้นให้เห็นถึงความสนุกสนานและการหยอกล้อกัน ระหว่างหนุ่มสาวโดยมีอุปกรณ์ประกอบการแสดงคือ กะลามะพร้าว คนละคู่ และใช้กะลามะพร้าว เคาะตามจังหวะของเสียงเพลง แปรแถวในรูปแบบต่าง ๆ ดนตรีที่ใช้ ใช้ทำ นองเพลงพื้นพื้เมืองของเขมรอพยพมาปรับปรุงโดยยึดทำ นอง เดิมเป็นหลัก บรรเลงด้วยวงพื้นพื้เมืองสุรินทร์เขมรประกอบ การแต่ง กาย เลียนแบบการแต่งกายระบำ กะลาของชาวเขมรอพยพโดยผู้แสดงฝ่ายหญิง จะนุ่งผ้าถุงยาวกรอมเท้า สวมเสื้อสื้แขนกระบอกมีสไบพาดเฉียงบ่ามามัดรวมด้าน ข้าง ฝ่ายชายสวมเสื้อสื้คอกลมแขนสั้นสั้สุ่งกางเกงขายาวสีดำ มีผ้าคาดเอว โอกาสที่ใช้แสดง ใช้แสดงในโอกาสต่าง ๆ เช่นเดียวกับระบำ สุ่มและระบำ ร่ม
เรือมศรีผไทสมันต์ เรือมศรีผไทสมันต์ เป็นชุดการแสดงที่คิด ประดิษฐ์ขึ้นขึ้ ใหม่โดยคณะครูโรงเรียนอนุบาลและโรงเรียนสิรินธร จังหวัด สุรินทร์ ระบำ ศรีผไทสมันต์ได้คิดประดิษฐ์ท่ารำ จากขั้นขั้ ตอนต่าง ๆ ของการทอผ้าตั้งตั้แต่เริ่มเลี้ยลี้งตัวไหม จนถึงขั้นขั้ตอนต่าง ๆ ของการทอผ้าตั้งตั้แต่เริ่มเลี้ยลี้งตัวไหม จนถึงขั้นขั้ทอผ้าและนำ ผ้าไหมออกมาโชว์ ลีลาท่ารำ ตลอดจนท่วงทำ นองเพลงสอดคล้องและสวยงามน่าชมมาก ทำ นองเพลงและดนตรี ใช้ทำ นองเพลงกันตรึมโดยเลือกเพลงหลาย ๆ เพลงที่มีอารมณ์เพลงต่างกันมาบรรเลงต่อเนื่องกันให้สอดคล้องกับท่ารำ การแต่งกาย ผู้แสดงหญิงจะนุ่งผ้าถุงพื้นพื้เมืองสุรินทร์ยาวกรอมเท้า สวม เสื้อสื้แขนกระบอก โดยเอาชายเสื้อสื้ ไว้ข้างในผ้าถุงแล้วคาดเข็มขัดทับ ศรีษะ โพกด้วยผ้าพื้นพื้เมืองสุรินทร์ มีผ้าคล้องไหล่ โอกาสที่ใช้แสดง ใช้แสดงในโอกาสต่าง ๆ ที่เป็นงานรื่นเริงทั่วไป
เรือมกโนปติงต็อง กโนปติงต็อง แปลว่า ตั๊กตั๊แตนตำ ข้าว เป็นการแสดงเลียนแบบมาจากลีลาการเคลื่อนไหวของตั๊กตั๊แตนที่กำ ลังเกี้ยกี้วพาราสีกัน ผู้ที่คิดประดิษฐ์ท่าทางเลียนแบบตั๊กตั๊แตน และนำ มาถ่ายทอดให้กับคณะดนตรีพื้นพื้ บ้าน คือนายเหือน ตรงศูนย์ดี อยู่ที่ บ้านโพธิ์กอง ต.ไพล อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ การเต้นตั๊กตั๊แตนในตอนแรก เป็นการเต้นที่สนุกสนานของเด็ก ๆ ในหมู่บ้าน ขณะที่รวมกันอยู่หลาายคนในคืนเดือนหงายหรือเวลามีงาน เช่น งานทอดกฐิน งานผ้าป่า ฯลฯ เครื่องดนตรี ที่ใช้ประกอบมี ปี่ ซอ ฉิ่ง กรับ กลองโทน ทำ นองร้องใช้เพลง พื้นพื้เมือง ทำ นองเพลงอายัย จำ นวนผู้แสดง ไม่จำ กัดคู่ ต่างรำ คลอเคลียกันเป็นคู่ ๆ การแต่งกาย ใช้ผ้าสีเขียวใบไม้ตัดเป็นชุดแต่งให้คล้ายตั๊กตั๊แตนตำ ข้าวถ้าผู้แสดง เป็นตัวเมียต้องมีกระโปรงสั้นสั้ๆ ตัดให้บานเล็กน้อยสวมทับอีกชั้นชั้เพื่อให้ดู แปลกว่าผู้แสดงเป็นตั๊กตั๊แตนตัวผู้ อุปกรณ์ประกอบอย่างอื่นก็มีปีกของตั๊กตั๊แตน ซึ่ง ทำ ด้วยกระดาษแข็งปิดด้วยกระดาษมันสีเขียว ก่อนแสดงผู้รำ จะสวมปีกไว้ด้านหลัง เพื่อให้มีลักษณะคล้ายตัวตั๊กตั๊แตนจริง ๆ นอกจากปีกแล้วก็มีหัวทำ เป็นหมวกหรือ หน้ากากใช้สวมใส่ วิธีการแสดง จะแบ่งผู้แสดงเป็นตั๊กตั๊แตนตัวเมียและตัวผู้เริ่ม แสดงโดยผู้แสดงเป็นตัวตั๊กตั๊แตนออกมาเต้นเป็นคู่ ๆ ตามจังหวะดนตรี ผู้เต้นต้อง ส่ายตัวไปมาด้วยท่าทางเลียนแบบลีลาของตั๊กตั๊แตนให้มากที่สุดในขณะเดียวกันก็จะ เปลี่ยนท่าทางต่าง ๆ ของการเต้นไปตามจังหวะและคำ ร้องเพื่อให้เกิดความ สวยงามตามจังหวะที่เร่งเร้าสนุกสนานผู้เต้นจะต้องใช้ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น มือ เท้า แขน ขา หน้าตา ลำ ตัว ในขณะการเต้นด้วย
ระบำ กรับ เป็นการรำ ที่ใชักรับเป็นอถปกรณ์ประกอบการแสดงโดยร่ายรำ ขับร้องประกอบกับ เสียงกรับกระทบกัน เรียกตามภาษาท้องถิ่นว่า จั๊กจั๊ตะล็อก ระบำ กรับมีมานาน ตั้งตั้แต่สมัยที่เมืองสุรินทร์ยังไม่มีเครื่องรับวิทยุทรานซิสเตอร์แบบใช้แบตเตอรี่ทุกรูป แบบ ผู้แสดงระบำ กรับ ส่วนมากจะเป็นชาย เป็นการรำ ที่แสดงออกถึงความ สนุกสนานเพลิดเพลินให้กับตนเองอย่าง ที่เรียกว่าศิลปินเพื่อศิลปะ ในการรับกรับ อาจจะมีผู้ที่สนใจอาสามาเป็นลูกคู่ ปรบมือ ตีเกราะ เคาะไม้ผสมโรงไปด้วย โอกาสที่ใช้แสดง นิยมแสดงในงานนักขัตฤกษ์งานมงคลทุกประเภท ลิเกเขมร ลิเกเขมรมีลักษณะการเล่นเหมือนลิเกทั่ว ๆ ไป คงได้รูปแบบ มาจากการเล่นลิเกของภาคกลาง รูปแบบการเล่น คล้ายกับลิเกภาคกลาง เรื่องที่นำ เล่นมักเป็นเรื่องนิทานที่เล่า สืบต่อกันมา แต่ใช้ภาษาเขมรทั้งทั้หมด เครื่องดนตรี ที่ใช้ประกอบการเล่น มี กลองรำ มะนา ซออู้ และเครื่อง ประกอบจังหวะ เช่น ฉิ่ง ฉาบ กรับ ก่อนการเล่นจะมีการไหว้ครูและออกแขก เหมือนกับลิเกทั่วไป