The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สรุปเรื่องรามเกียรติ์ตอนศึกไมยราพ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

สรุปเรื่องรามเกียรติ์ตอนศึกไมยราพ

สรุปเรื่องรามเกียรติ์ตอนศึกไมยราพ

คุณค่าของวรรณคดี วรรณคดีคือวรรณกรรม หรือข้อเขียนที่ทรงคุณค่า เพราะสะท้อนให้เห็นถึงภูมิปัญญาที่ลึกซึ้งของ ผู้เขียน ทั้งทางด้านเนื้อหา และวิธีการประพันธ์ การอ่านวรรณกรรมแต่ละเรื่อง จึงทำให้ผู้อ่านได้ซึมซาบสิ่ง เหล่านี้ไปด้วย ซึ่งแบ่งได้แบ่งคุณค่าของวรรณคดีหรือวรรณกรรม ได้๔ ด้าน ดังนี้ ๑. คุณค่าด้านวรรณศิลป์คือ ความสละสลวยของภาษากวีซึ่งส่งผลต่ออารมณ์ของผู้อ่าน หรือกล่าว ได้ว่า ทำให้ผู้อ่านเกิดความสะเทือนอารมณ์เพราะตัวอักษรได้เกาะกินใจผู้อ่าน จนเกิดจินตนาการตามบท ประพันธ์และมีความรู้สึกร่วมในที่สุด กลวิธีทางภาษาที่กวีใช้บ่อย ๆ ได้แก่ - การเล่นเสียง โดยนำคำพ้องเสียง หรือพ้องรูป มาเรียงต่อกัน - การเล่นคำซ้ำ คือ การซ้ำคำเดิม เพื่อเน้นความหมายของคำให้ชัดเจน และหนักแน่น - การใช้ภาพพจน์คือ การใช้คำที่ไม่ตรงไปตรงมา แต่เป็นการอุปมาเพื่อเปรียบเทียบเห็นภาพ ๒. คุณค่าทางเนื้อหา คือ สาระที่ผู้อ่านได้รับ จะเป็นความรู้หรือข้อคิดก็ได้ ๓. คุณค่าด้านสังคม เพราะวรรณกรรมต่าง ๆ เป็นเครื่องสะท้อนสังคม วรรณกรรมที่ดีจึงต้องช่วย จรรโลงสังคมได้โดยสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างผู้คนในสังคมเดียวกัน เพื่อให้เกิดความสงบสุข ๔. การนำไปปรับใช้ชีวิตประจำวัน คือ ผู้อ่านสามารถนำความรู้แนวคิด หรือบทสอนต่าง ๆ จากวรรณกรรม ไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิตได้จริง


วรรณคดีเรื่อง รามเกียรติ์ ตอน ศึกไมยราพ บัดนั้น มัจฉานุผู้ใจแกล้วกล้า ซึ่งอยู่ในสระคงคา เป็นด่านรักษาชั้นใน ราตรีเที่ยงคืนเคยเที่ยว ลดเลี้ยวกระเวนทางใหญ่ ก็สำแดงแผลงฤทธิเกรียงไกร ขึ้นไปจากท้องชลธาร (กระเวน = เที่ยวไป เกรียงไกร = ใหญ่ยิ่ง ชลธาร = น้ำ คลอง) ถึงที่ขอบสระก็หยุดอยู่ แลดูไปทั่วทุกสถาน เห็นวานรเผือกผู้อหังการ ล่วงด่านผ่านทางเข้ามา โกรธาขบฟันกระทืบบาท ทำอำนาจออกยืนขวางหน้า แล้วร้องประกาศด้วยวาจา เหวยไอ้พาราใจฉกรรจ์ ตัวเอ็งมานี้จะไปไหน ไม่กลัวชีวาจะอาสัญ องอาจล่วงด่านกุมภัณฑ์ กูจะหั่นให้ยับลงกับกร (อหังการ = เย่อหยิ่ง พารา = ชั่วร้าย ใจฉกรรจ์ = ใจห้าวหาญ กุมภัณฑ์ = ยักษ์) บัดนั้น คำแหงหนุมานชาญสมร เห็นลิงน้อยขึ้นจากสาคร อ้างอวดฤทธิรอนอหังการ์ จึ่งคิดว่าวานรนี้ เหตุใดมีหางเป็นมัจฉา รูปทรงองอาจประหลาดตา ถ้อยคำหยาบช้าทะนงใจ จึ่งร้องว่าเหวยไอ้ลิงเล็ก จะเจียมตัวว่าเด็กก็หาไม่ มึงอย่าขวางหน้ากูไว้ ถอยไปให้พ้นไอ้สาธารณ์ (สาคร = แม่น้ำ ทะเล มัจฉา = ปลา สาธารณ์ = เลว ช้า) มัจฉานุผู้กล้าหาญผู้ทำหน้าที่รักษา ทางเข้าออก ชอบเที่ยวไปในที่ต่าง ๆ ก็แสดงความเก่งขึ้นจากน้ำทันที เมื่อถึงขอบสระมัจฉานุก็มองไป รอบ ๆ เห็นลิงขาวตัวใหญ่ผ่าน เข้ามา ด้วยความโกรธจึงยืนขวาง แล้วพูดว่า “มานี้จะไปไหน ไม่ตายหรือไงบังอาจบุกมาถึงที่นี่” หนุมานได้เห็นลิงน้อยขึ้นจากน้ำแล้ว พูดโอ้อวดตนเอง และคิดว่าทำไมมัน จึงมีหางเป็นปลา รูปร่างแปลกมาก แล้วพูดว่า “ เฮ้ย! ไอ้ลิงเล็ก ไม่เจียมตัวเองเลยว่ายังเด็ก ถอยไป อย่าขวางทางข้า


บัดนั้น มัจฉานุฤทธิไกรใจหาญ ได้ฟังกริ้วโกรธคือไฟกาล ตบมือฉัดฉานแล้วตอบไป ถึงตัวกูน้อยเท่านี้ จะกลัวฤทธีเอ็งก็หาไม่ อย่าพักอาจองทะนงใจ ใครดีจะได้เห็นกัน ว่าแล้วสำแดงเดชา พสุธาบาดาลไหวหวั่น โลดโผนโจนรุกบุกบัน เข้าไล่โรมรันราวี (ไฟกาล/ไฟกัลป์ = โกรธมาก สำแดง = แสดง พสุธา = แผ่นดิน โลดโผน = หวาดเสียว โรมรัน = รบพุ่งกัน) บัดนั้น หนุมานผู้ชาญชัยศรี กริ้วโกรธพิโรธดั่งอัคคี ขุนกระบี่รับระปะทะกร เคล่าคล่องว่องไวทั้งสองข้าง ต่างคนต่างหาญชาญสมร ถ้อยทีถ้อยมีฤทธิรอน ต่อกรไม่ละลดกัน (กระบี่ = ลิง ชาญสมร = ชำนาญการรบ ) บัดนั้น มัจฉานุฤทธิแรงแข็งขัน ปล้ำปลุกคลุกคลีตีประจัญ พัลวันหลบหลีกไปในที ถีบกัดวัดเหวี่ยงอุตลุด ทะยานยุทธ์ไม่ท้อถอยหนี กอดรัดฟัดกันเป็นโกลี เปลี่ยนท่าเปลี่ยนทีรอนราญ (ประจัญ = ต่อสู้ อุตลุด = ชุลมุน ยุทธ์ = สงคราม โกลี = วุ่นวาย รอนราญ =ต่อสู้) บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจหาญ รบรุกบุกบันประจัญบาน เผ่นทะยานโถมทีบด้วยบาทา ถูกมัจฉานุซวนไป ฉวยรวบเท้าได้ทั้งซ้ายขวา ฟาดลงกับแผ่นศิลา ด้วยกำลังศักดาราวี (ศิลา = หิน ศักดา = อำนาจ ราวี = รบ) เมื่อมัจฉานุได้ฟังคำหนุมานก็โกรธ มาก ตบมือแล้วตอบไปว่า “ถึงตัวกู จะน้อย ก็ไม่กลัวมึง อย่าคิดเข้าข้าง ตัวเองไป” แล้วจึงสำแดงฤทธิ์ด้วย การต่อสู้กับหนุมาน หนุมานได้ฟัง ก็โกรธเหมือนไฟเผา และต่อสู้กับมัจฉานุ ทั้งสองสู้กัน ไม่มีใครจะที่พ่ายแพ้เลย มัจฉานุต่อสู้อย่างเข้มแข็ง ทั้งถีบ ทุบ เตะกับหนุมานแบบชุลมุน เปลี่ยนท่าไปเรื่อย ๆ หนุมานผู้ไม่ยอมแพ้ รวบเท้าของมัจฉานุและฟาด ตัวของมัจฉานุลงกับแผ่นหินด้วยกำลังที่มีอยู่


บัดนั้น มัจฉานุผู้ชาญชัยศรี มิได้ชอกช้ำอินทรีย์ โกรธดั่งอัคคีบรรลัยกัลป์ ผุดลุกขึ้นได้กระทืบบาท ทำอำนาจผาดเสียงดั่งฟ้าลั่น วิ่งผลุนหมุนเข้าบุกบัน โรมรันไม่คิดชีวา (อินทรีย์ = ร่างกาย อัคคี= ไฟ ชีวา = ชีวิต ) บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจกล้า โถมรับกลับกลอกไปมา หันเหียนเปลี่ยนท่าราวี (หันเหียน = เปลี่ยนท่าทาง พลิกแพลง) รบพลางรำพึงคะนึงคิดสงสัยในจิตกระบี่ศรี เหตุใดวานรน้อยนี้ จึ่งล้างชีวีไม่บรรลัย ทรหดอดทนสามารถ องอาจต่อสู้ด้วยกูได้ คิดแล้วจึ่งร้องถามไป เหวยไอ้ลิงน้อยเท่าแมงวัน เป็นไฉนมาอยู่รักษาด่าน ไมยราพขุนมารโมหันธ์ เชื้อชาติสุริย์วงศ์พงศ์พันธุ์ นามนั้นชื่อใดวานร (บรรลัย = วอดวาย โมหันธ์ = หลงผิด) บัดนั้น มัจฉานุกุมารชาญสมร ฟังความถามถึงนามกร พงศ์พันธุ์มารดรแลบิดา จึ่งคิดว่าวานรตัวนี้ ฤทธีองอาจแกล้วกล้า หักด่านผ่านทางลงมา ถึงมหานคราบาดาล รูปกายก็คล้ายกับกู สองหูพรรณรายฉายฉาน หรือจะเป็นกุณฑลสุรกานต์ เหมือนมารดาสั่งความไว้ ครั้นว่าจะนิ่งเสียบัดนี้ จะแจ้งเหตุร้ายดีก็หาไม่ คิดแล้วจึ่งร้องตอบไป ตัวเรานี้ได้นามกร ชื่อมัจฉานุวัยวุฒิ บุตรนางมัจฉาดวงสมร สำรอกไว้ริมสาคร ไมยราพฤทธิรอนได้มา ร่างกายของมัจฉานุมิได้บอกช้ำเลย เมื่อลุกขึ้นได้ก็โกรธมาก จึงสู้กับหนุมานแบบไม่คิดชีวิต จากกำลังที่ตนมีอยู่ทั้งหมด หนุมานผู้มีความกล้าหาญก็สู้กลับเปลี่ยนท่าในการสู้ไปเรื่อย หนุมานสู้ไปก็คิดไปว่า “เพราะสาเหตุใด ลิงน้อยตัวนี้จึงฆ่าไม่ตายสักที เก่ง สู้กับกู ได้” และร้องถามว่า “ไอ้ลิงน้อยทำไมมา อยู่รักษาด่านให้ไมยราพ เป็นลูกของใคร และชื่ออะไร” เมื่อมัจฉานุได้ฟังคำถามและคิดว่าลิงตัว นี้มีความเก่งกล้าสามารถลงมาเมือง บาดาลได้ อีกอย่างรูปร่างก็เหมือนเรา หรือจะเป็นของมีค่าที่แม่เคยได้บอกไว้ จึงตอบไปว่า “ชื่อ มัจฉานุแม่ชื่อนาง มัจฉา ที่คลอดไว้ริมน้ำ ไมยราพมาพบ ท ำไมลิง น้อยเก่งจัง


เลี้ยงไว้เป็นบุตรบุญธรรม์ ให้อยู่ด่านขัณฑ์ยักษา บิตุเรศของเราผู้ศักดา ชื่อว่าคำแหงหนุมาน ตัวท่านนี้เป็นวานร นามกรชื่อไรจึ่งอาจหาญ ล่วงมาถึงมือพระกาล ไม่กลัววายปราณหรือว่าไร (แกล้วกล้า = กล้าหาญ พรรณราย = งามผุดผ่อง กุณฑล สุรกานต์= เครื่องประดับมีค่า สำรอก = ขย้อน วายปราณ = ตาย) บัดนั้น คำแหงหนุมานทหารใหญ่ ฟังความจะแจ้งไม่แคลงใจ ยินดีดั่งได้ฟากฟ้า พินิจพิศดูดวงพักตร์ แสนรักพูนเพิ่มเสน่หา ตบมือสำรวลไปมา อนิจจาเป็นได้ถึงเพียงนี้ จึงว่าดูกรมัจฉานุ ดวงจักษุพ่อเฉลิมศรี เจ้าอย่าโกรธาราวี เรานี้คือศรีหนุมาน บุญแล้วจึ่งฆ่ากันไม่ตาย สายสวาทพ่อยอดสงสาร ทั้งเทเวศผู้ปรีชาชาญ บันดาลให้มาพบกัน (พินิจ = พิจารณา สำรวล = หัวเราะ เทเวศ = เทวดาผู้เป็นใหญ่) บัดนั้น มัจฉานุฤทธิแรงแข็งขัน ฟังลูกพระพายเทวัญ ขบฟันชี้หน้าแล้วร้องไป เหม่เหม่ดูดู๋กระบี่ศรี มุสาพาทีก็เป็นได้ ถ้อยคำหยาบช้าไม่เกรงใจ ใครจักเชื่อฟังวานร แม้นหาวเป็นดาวเดือนตะวัน ให้เห็นสำคัญประจักษ์ก่อน เราจึ่งจะเชื่อว่าบิดร ทหารพระสี่กรอวตาร (ลูกพระพาย = หนุมาน เทวัญ = เทวดา มุสา = พูดเท็จ พระสี่กรอวตาร= พระนารายณ์) เมื่อหนุมานได้ฟังคำตอบก็ดีใจมาก แล้วจึงมองหน้าพิจารณา แสดงอาการ ดีใจด้วยการตบมือ แล้วจึงกล่าวว่า “เจ้าอย่าโกรธพ่อเลยที่พ่อทำไป ดีแล้ว ที่ฆ่ากันไม่มีใครตาย” แล้วขอบคุณ เทวดาที่ดลบันดาลให้มาพบกัน จึงเก็บมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ให้ทำหน้าที่รักษาด่านยักษ์ ส่วนพ่อชื่อ หนุมาน” มัจฉานุจึงถามว่า “ตัวท่านเป็นลิง ชื่ออะไร ทำไมมาถึงนี้ ได้ ไม่กลัวตายหรืออย่างไร” มัจฉานุได้ฟังที่หนุมานพูดเช่นนั้น กล่าวว่า “พูดโกหก พูดจาพล่อยๆ ใครจะเชื่อได้” “แต่ถ้าจะให้เชื่อได้ต้องหาวเป็นดาวเดือนตะวัน ให้เห็นก่อนจึงจะเชื่อว่าเป็นพ่อจริง ๆ”


บัดนั้น วายุบุตรผู้ปรีชาหาญ ฟังมัจฉานุกุมาร ว่าขานกินแหนงแคลงใจ รับขวัญแล้วกล่าวพจนารถ สุดสวาทของพ่ออย่าสงสัย ว่าพลางก็เหาะขึ้นไป อยู่ในอากาศด้วยฤทธา (วายุบุตร = หนุมาน พจนารถ = เนื้อความของคำพูด) บัดนั้น มัจฉานุผู้ชาญชัยศรี เห็นประจักษ์เหมือนคำชนนี ยินดีก็วิ่งเข้าไป ยอกรขึ้นเหนือศิโรเพฐน์ น้อมเกศบังคมประนมไหว้ ตัวลูกไม่แจ้งประจักษ์ใจ จึ่งชิงชัยกับพระบิดา อันโทษนี้ใหญ่หลวงนัก ลูกรักจักขอโทษา อย่าให้เป็นกรรมเวรา แก่ข้าน้อยนี้สืบไป (ประจักษ์= ปรากฎชัด ชนนี= แม่ศิโรเพฐน์= หัว) บัดนั้น คำแหงหนุมานทหารใหญ่ สวมสอดกอดลูกเข้าไว้ ลูบไล้ไปทั่วทั้งอินทรีย์ รับขวัญจุมพิตแล้วพิศพักตร์ ดวงจักษุพ่อเฉลิมศรี ซึ่งเจ้าต่อยุทธ์บิดานี้ เพราะมิได้รู้จักกัน ถ้อยทีถ้อยรักษาตัว ด้วยกลัวชีวาจะอาสัญ อันซึ่งผิดพลั้งทั้งนั้น ไม่ถือโทษทัณฑ์แก่ลูกรัก พ่อจักอยู่ช้าก็หาไม่ จะรีบไปตามองค์พระทรงจักร สังหารไมยราพขุนยักษ์ ซึ่งมันไปลักพระองค์มา ตัวเจ้าเป็นอยู่เป็นสุขก่อน อย่าอาวรณ์เศร้าโทมนัสสา อันทางบาดาลนครา แก้วตาจงบอกให้พ่อไป (พระทรงจักร = พระราม สังหาร = ฆ่า อาวรณ์ = ห่วงใย อาลัย) หนุมานเมื่อได้ฟังมัจฉานุจึงกล่าวว่า “อย่าสงสัยในตัวพ่อเลย” แล้วก็เหาะ ขึ้นไปอยู่ในอากาศด้วยอิทธิ์ฤทธิ์ มัจฉานุเห็นเช่นนั้นก็คิดว่าเหมือนที่แม่ ได้บอกไว้ เข้าไปยกมือขึ้นเหนือหัว กราบเพื่อขอโทษที่ต่อสู้กับพ่อ ความผิดครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ลูกต้อง ขอโทษ อย่าให้เป็นกรรมกับลูกเลย หนุมานไม่ถือโทษกับมัจฉานุและก็กอด มัจฉานุลูบไปทั่วด้วย มองหน้าด้วย ความรักและเอ็นดู แล้วพูดว่า “ที่เราสู้ กันเพราะไม่รู้จักกันมาก่อน ต้องสู้เพื่อ ป้องกันตัวเอง พ่อไม่โกรธลูกหรอก” และถามอีกว่า “พ่อต้องรีบไปตามหา พระราม และฆ่าไมยราพ ขอให้บอก ทางพ่อที” ...........หนุมานกล่าว


บัดนั้น มัจฉานุผู้มีอัชฌาสัย ได้ฟังอัดอั้นตันใจ บังคมไหว้แล้วตอบวาที ข้อนี้ขัดสนเป็นพ้นคิด พระบิดาจงโปรดเกศี ด้วยพญาไมยราพอสุรี ได้เลี้ยงลูกนี้จนใหญ่มา พระคุณดังคุณบิตุเรศ ซึ่งบังเกิดเกศเกศา อันซึ่งจะบอกมรคา ดั่งข้าไม่มีกตัญญู บิดาลงมาทางไหน ทางนั้นจะไปยังมีอยู่ จงเร่งพินิจพิศดู ก็จะรู้ด้วยปรีชาชาญ (อัชฌาสัย = กิริยาดี อสุรี= ยักษ์ บังเกิดเกศเกศา = ผู้ให้กำเนิด มรคา = ทาง) บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจหาญ ฟังมัจฉานุกุมาร ว่าขานหลีกเลี้ยวเป็นคำใน ขุนกระบี่ผู้มีกำลังฤทธิ์ นิ่งคิดก็คิดขึ้นได้ จึ่งหักก้านบุษบงด้วยว่องไว ลอดไปตามไส้ปทุมา (บุษบง = ดอกบัว ปทุมา = บัวหลวง) ครั้นถึงซึ่งสระชลธาร ใกล้ทวารนิเวศน์ของยักษา เห็นหมู่อสุรโยธา ตรวจตรารอบราชธานี จึ่งหยุดยืนรำพึงคะนึงคิด จะตรงไปต่อฤทธิ์ด้วยยักษี ไหนจะรู้ข่าวพระจักรี ว่าอยู่ที่แห่งหนตำบลใด จำกูจะทำอุบายกล แอบตนฟังความให้จงได้ คิดพลางยืนอยู่แต่ไกล สำรวมใจกำบังกายา ( ทวารนิเวศน์ = ประตูวัง โยธา = ทหาร พระจักรี = พระราม) แล้วเข้าแอบต้นโศกอยู่ คอยฟังคำหมู่ยักษา เข้าออกบอกกันจำนรรจา ริมท่าสระโบกขรณี (จำนรรจา = พูด) เมื่อมัจฉานุได้ฟังจึงตอบแบบอึดอัดว่า “ไมราพมีบุญคุณกับลูกเลี้ยงลูกมาจน เติบโต ถ้าจะบอกทางเหมือนอกตัญญู” แต่บอกเป็นปริศนาว่า “พ่อมาทางไหน ก็ไปทางนั้น” หนุมานได้ฟังที่มัจฉานุบอก จึงคิดสักพักแล้วจึงหักก้านบัว แล้วลอดไปทางก้านบัวนั้น เมื่อถึงที่หมายใกล้ประตูเมืองยักษ์ เห็นทหารยักษ์เดินตรวจไปมา และคิดว่าจะทำอย่างไรดี จึงร่าย เวทมนตร์กำบังตนไม่ให้มีใครเห็น แล้วแอบที่ต้นโศกริมสระบัว เพื่อฟังคำพูดของพวกยักษ์


เมื่อนั้น ฝ่ายนางพิรากวนยักษี ต้องจำลำบากพันทวี กับด้วยอสุรีลูกรัก อยู่ในตรุกันดาร แสนทุกข์ทรมานเพียงอกหัก ไมยราพอสุราพญายักษ์ ใช้ให้ไปตักคงคา ใส่กระทะจะต้มลูกชาย ให้ตายด้วยพระรามนาถา ก็กระเดียดกระออมเดินมา ออกจากทวาราธานี (ตรุ= เรือนจำ กระเดียด = เอาเข้าข้างเอว กระออม = คล้ายกระบุง) ครั้นถึงที่สระบุษบง นั่งลงริมท่าวารีศรี คิดถึงลูกรักร่วมชีวี ตีทรวงเข้าร่ำโศกา โอ้ว่าไวยวิกของแม่เอ๋ย ทรามเชยผู้ยอดเสน่หา เสียแรงบำรุงเลี้ยงมา จนชันษาจำเริญวัย ควรหรือไมยราพขุนมาร คิดการพาลผิดก็เป็นได้ โทษกรณ์ไม่มีเท่ายองใย ใส่ไคล้จะล้างชีวัน อนิจจาสงสารตัวเจ้า รุ่งเช้าก็จะม้วยอาสัญ กับองค์พระรามด้วยกัน ใครจะช่วยได้นั้นก็ไม่มี (ชันษา = อายุโทษกรณ์= ความผิด ยองใย = ขนาดเล็กเท่าใยแมงมุม ใส่ไคล้= ใส่ร้าย) สุดที่แม่แล้วนะแก้วตา ซึ่งจะพ้นอาชญายักษี แม้นเจ้าสิ้นชีพชีวี แม่นี้ไม่อยู่จะสู้ตาย ก้มหน้าไปตามทรามสวาท ให้ประจักษ์โลกธาตุทั้งหลาย ถึงอยู่ไปจะทรมานกาย จะฟูมฟายชลเนตรทุกเวลา พรุ่งนี้ก็จะจากอกไป ที่ไหนแม่จะได้เห็นหน้า ร่ำพลางแสนโศกโศกา ดั่งว่าจะสิ้นชีวัน (อาชญา = อำนาจโทษ โลกธาตุ = แผ่นดิน ชลเนตร = น้ำตา) นางพิรากวนตกอยู่ในความลำบาก ต้องพลัดพรากจากลูกของตนที่อยู่ ในเรือนจำซึ่งตอนนี้ไมยราพให้ไป ตักน้ำด้วยกระออมมาต้มลูกชาย ของตนเองพร้อมกับพระราม เมื่อถึงสระบัวก็คิดถึงลูก ร้องไห้ ฟูมฟายออกมา รำพึงพูดว่า “ไวยวิกลูกรักของแม่ เสียแรงที่ แม่เลี้ยงมาจนเติบโต ควรหรอที่ ไมยราพจะเข้าใจผิดและจะฆ่า” “รุ่งเช้าก็จะตายพร้อมกับ พระราม ใครจะช่วยก็ไม่มี” “ถ้าลูกตาย แม่จะสู้ตายให้แผ่นดินได้รู้ แต่ถ้าอยู่ก็ ทรมานจะร้องไห้ทุกเวลา” “พรุ่งนี้แล้วที่จะไม่ได้เห็น หน้า” นางพิรากวนรำพึงเหมือนใจจะขาด


บัดนั้น ฝ่ายลูกพระพายรังสรรค์ เห็นนางโศกาจาบัลย์ รำพันออกนามพระรามา ว่ารุ่งเช้าชีวิตจะวายปราณ กับไวยวิกขุนมารยักษา จึ่งคลายพระเวทกำบังตา เดินเข้าไปหาทันใด (จาบัลย์ = ร้องไห้คร่ำครวญสะอึกสะอื้น) นั่งลงแล้วกล่าววาที ยายอย่าโศกีละห้อยไห้ เราเป็นทหารพระภูวไนย ผู้ใดไม่รอต่อกร ชื่อว่าหนุมานชาญณรงค์ มาตามพระองค์ทรงศร ด้วยไอ้ไมยราพฤทธิรอน มันพาภูธรลงมา ไม่รู้ว่าอยู่ตำบลใด จนใจที่จะเสาะแสวงหา จงพาเราไปในพารา จะฆ่ามันให้ม้วยชีวี จะช่วยไวยวิกให้พ้นตาย ด้วยยายก็จะสุขเกษมศรี เป็นเจ้าแก่หมู่อสุรี ในที่นคราบาดาล (ชาญณรงค์ = ชำนาญในการรบ พระองค์ทรงศร = พระราม) เมื่อนั้น พิรากวนผู้ยอดสงสาร ได้ฟังคำแหงหนุมาน นงคราญค่อยคลายจาบัลย์ มีความชื่นชมโสมนัส ดั่งได้สมบัติในสวรรค์ จึ่งว่าไมยราพชาญฉกรรจ์ มันเอาพระองค์ไปไว้ ดงตาลท้ายเมืองอสุรี อยู่ในในกรงเหล็กใหญ่ อสุรารักษาทั้งนอกใน ซึ่งจะพาเข้าไปนั้นยากนัก ด้วยว่ากุมภัณฑ์นายประตู ชั่งมิดูให้เบาหนัก ถึงจะเหาะข้างกำแพงยักษ์ ก็จะต้องจักรกรดมรณา มาตรแม้นจะแปลงเป็นแมงวัน อย่าสำคัญจะพ้นยักษา ขุนกระบี่ผู้มีปรีชา ตรึกตราอย่าให้เสียกร (โสมนัส = ความสุขใจ ฉกรรจ์= ห้าวหาญ มรณา = ตาย) เมื่อหนุมานเห็นนางพิรากวนเช่นนั้นจึง คลายเวทมนตร์กำบังตาแล้วเดินเข้า ไปหานางพิรากวน หนุมานนั่งลงข้าง ๆ นางพิรากวน แล้วพูดว่า “เราชื่อหนุมาน เป็นทหาร ของพระราม มาตามหาพระรามซึ่ง ไมยราพพาตัวมา ขอให้บอกมาว่า พระรามอยู่ที่ไหนแล้วจะช่วยลูกชาย เจ้าให้พ้นจากความตายได้” เมื่อพิรากวนได้ฟังดังนั้นจึงคลายจาก ความเศร้าเสียใจ มีความสุขเหมือน ได้สมบัติในสวรรค์ แล้วตอบว่า “ไมยราพพาพระรามไปไว้ที่ดงตาล ท้ายเมืองยักษ์ ซึ่งอยู่ในกรงเหล็ก ใหญ่ ในนั้นมียักษ์เฝ้าประตูอยู่ ใคร จะผ่านเข้าไปต้องผ่านตราชั่งก่อน ถ้าจะเหาะไปก็ไม่พ้นสายตา จะแปลงเป็นแมลงวันจะจับได้ หนุมานจงคิดว่าทำเช่นไรดี”….


บัดนั้น วายุบุตรผู้ปรีชาหาญ ฟังพิรากวนนางมาร บอกขานจะแจ้งไม่แคลงใจ จึ่งว่าเพียงนี้ไม่ยากนัก ตัวข้าพอจักคิดได้ จะแปลงเป็นใยบัวติดสไบ เข้าไปมิให้สงกา แม้นว่าชั่งหนักจะหักลง จงเอาสำนวนนี้ว่า คันชั่งอยู่ครั้นบุราณมา แก่แก่คร่ำคร่าช้านาน ข้ามิได้พาผู้ใด มาในพาราราชฐาน จงดูเอาเถิดนะขุนมาร อย่าแสร้งมาพาลพาที สงกา = สงสัย คันชั่ง = เครื่องชั่ง บุราณ = เก่า พารา = เมือง ราชฐาน = ที่อยู่ของพระเจ้าแผ่นดิน) เมื่อนั้น นางพิรากวนยักษี ได้ฟังทหารพระจักรี ยินดีแล้วตอบวาจา อันความคิดนี้ประเสริฐนัก เราจะตอบตามท่านว่า จงเร่งนิมิตกายา ตัวข้าจะพาบทจร บัดนั้น คำแหงหนุมานชาญสมร ประนมหัตถ์ร่ายเวทฤทธิรอน สังวรใจนิมิตอินทรีย์ เมื่อนั้น นางพิรากวนยักษา เอากระออมนั้นตักคงคา ขึ้นมากระเดียดเดินไป บัดนั้น อสุรยักษ์รักษาทวารใหญ่ เห็นนางพิรากวนอรทัย ไปตักซึ่งชลธีมา จึงเอากระออมกับตัวนาง วางเหนือตราชูยักษา ชั่งดูกับลูกศิลา ที่เคยตรวจตราทุกที (ชลธี = น้ำ ตราชู = เครื่องชั่งที่มีถาดห้อย ๒ ข้าง) เมื่อหนุมานได้ฟังก็ตอบนางพิรากวนว่า “เรื่องแค่นี้ไม่ยากเลย ข้าจะแปลงเป็น ใยบัวติดสไบนางเข้าไปเพื่อไม่ให้ใคร สงสัย...ถ้าตาชั่งหักก็ให้ตอบว่า...ตราชั่ง เก่ามากแล้ว ข้าไม่ได้พาผู้ใดเข้ามาเลย ก็มองดูซิ ว่าข้าพาใครเข้ามาหรือไม่” หนุมานให้นางพิรากวนตอบแบบนี้ เมื่อนางพิรากวนได้ฟังหนุมานว่าก็ยินดีที่ จะทำตามและคิดว่าเป็นความคิดที่ดีมาก ให้รีบแปลงเป็นใยบัว เราจะได้พาท่านไป แล้วหนุมานก็ร่ายเวทมนตร์ทันที นางพิรากวนนำกระออมตักน้ำ แล้วกระเดียดเดินไป ยักษ์เฝ้าประตูเห็นนางพิรากวนกระเดียด กระออมเดินมา จึงให้ขึ้นไปชั่งบน ตราชั่งที่ชั่งเป็นประจำ


ครั้นตราชูยนต์หนักนัก ก็ลั่นเดาะหักลงกับที่ กระออมแตกไม่สมประดี อสุรีเข้าจับวุ่นไป แล้วตั้งกระทู้ขู่ถาม นางนี้ทำความเป็นไฉน พาใครเข้ามาหรือว่าไร จงบอกไปแต่โดยสัจจา (เดาะ = ร้าวจวนจะหัก กระทู้= ข้อความอธิบาย สัจจา = ความจริง) เมื่อนั้น นางพิรากวนยักษา ขึ้นเสียงเถียงตอบอสุรา เหตุใดมาว่าดังนี้ เรามาผู้เดียวก็เห็นอยู่ เมื่อตราชูยนต์ของยักษี คร่ำคร่ามานานกว่าแสนปี ไม่ดีหักเองจะโทษใคร อนิจจาเห็นว่ากูตกยาก น้ำท่วมปากแล้วก็ว่าได้ จะทำกระไรก็ตามใจ ไม่อาลัยแก่ชีพชีวัน บัดนั้น นายประตูหมู่มารตัวขยัน ฟังนางว่าขึงดึงดัน ไม่ทันรู้กลมารยา ต่างคนต่างเห็นเป็นจริง ทุกสิ่งมิได้กังขา แต่เหลียวดูหน้ากันไปมา ไม่ตอบวาจาเทวี (อสุรา = ยักษ์ กังขา = ความสงสัย) เมื่อนั้น นางพิรากวนยักษี เถียงพลางทางรีบจรลี เข้ามายังที่ทวารชัย ครั้นถึงซึ่งหน้าพระลาน ชี้บอกหนุมานทหารใหญ่ อันพญาไมยราพฤทธิไกร หลับอยู่ที่ไสยา แต่ตัวไวยวิกกุมภัณฑ์ ใส่ตรุจำมั่นอยู่ข้างหน้า นั่นดงตาลท้ายพารา ซึ่งยักษามันไว้พระจักรี บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรชัยศรี ยอกรเหนือเกล้าเมาลี ขุนกระบี่ร่ายเวทกำบังกาย (จรลี = เดิน ไสยา = ห้องนอน วายุบุตร = หนุมาน เมาลี = ผมจุก) เมื่อชั่งปรากฏว่าตราชั่งได้หักลงบรรดายักษ์ ก็ชุลมุนรีบจับตัวนางพิรากวนทันที พวกยักษ์ก็ตั้งคำถามว่า “พาใครเข้า มาให้ตอบมาตามความจริง นางพิรากวนก็ขึ้นเสียงแล้วตอบยักษไปว่า “เรามาผู้เดียวก็เห็นอยู่ ตราชั่งมันเก่า แล้ว มันคงหักเป็นธรรมดา....เห็นว่าเรา ตกยากพูดอะไรก็ไม่มีใครเชื่อ ทำอะไรก็ ทำไม่เสียดายชีวิตแล้ว” เมื่อยักษ์ได้ฟังนางพิรากวนตอบเสียงแข็ง เช่นนั้นก็เชื่อเพราะก็เห็นว่าไม่ได้พาใครเข้า มาจริง ๆ ก็เหลียวมองกันและก็ไม่ว่าอะไร เมื่อนางพิรากวนพูดจบก็รีบเข้าเมืองทันที เมื่อถึงหน้าพระลานนางพิรากวนก็บอก หนุมานว่า “ไมยราพหลับอยู่ในห้องนั้น แต่ไวยวิกอยู่ในเรือนจำข้างหน้า และ พระรามอยู่ในดงตาลท้ายเมือง หนุมานคลายเวทมนตร์กำบังกาย แล้วยกมือไหว้เหนือหัว


เดชะด้วยวิทยามนต์ ทั้งตนแลเงาก็สูญหาย รีบไปตามองค์พระนารายณ์ ยังท้ายพารากุมภัณฑ์ ครั้นมาถึงที่ดงตาล เห็นหมู่มารรักษากวดขัน นั่งนอนล้อมวงหลายชั้น ผลัดกันกั้นกระเวนตรวจตรา ขุนกระบี่ผู้มีฤทธิรอน ยอกรเหนือเกล้าเกศา จึ่งร่ายพระเวทวิทยา สะกดนิทราหมู่มาร เสียงสนั่นครั่นครื้นโพยมหน มืดมนทั่วทิศาศาล เยือกเย็นไปทั่วบาดาล ปานดั่งฤดูเหมันต์ (สะกดนิทรา = ทำให้หลับ โพยม = อากาศ ฤดูเหมันต์ = ฤดูหนาว) บัดนั้น ฝ่ายพวกอสุราพลขันธ์ ต้องเวทหนุมานชาญฉกรรจ์ ให้บันดาลมัวตามัวใจ ล้มหลับทับกันทั้งไพร่นาย จะเกริ่นกรายตรวจตราก็หาไม่ บ้างกรนบ้างครางวุ่นไป ไม่เป็นสติสมประดี บัดนั้น ลูกพระพายผู้ชาญชัยศรี ครั้นเสด็จสะกดอสุรี ขุนกระบี่ก็เดินเข้าไป จึ่งเห็นสมเด็จพระหริวงศ์ หลับอยู่ในกรงเหล็กใหญ่ กราบลงแทบบาทภูวไนย ซบพักตร์ร่ำไห้โศกา (พลขันธ์ = กองทัพ สมประดี = ความรู้สึกตัว หริวงศ์ = พระราม) เมื่อคลายเวทมนตร์ก็รีบไปหาพระราม ที่ท้ายเมืองยักษ์ เมื่อมาถึงที่ดงตาลเห็นยักษ์เดินเฝ้าเวรยาม หนุมานจึงใช้เวทมนตร์ในการสะกดให้ บรรดายักษ์ทั้งหลายได้หลับ ขณะนี้เสียงดังสนั่นไปทั่ว มืดมิดไม่มีแสง สว่าง อากาศก็หนาวเหมือนฤดูหนาว เหล่าบรรดากองทัพยักษ์เมื่อถูกมนตร์ สะกดก็หลับกันหมดทั้งเจ้านายและ ลูกน้องไม่มีใครเหลือ มีเสียงกรนด้วย เมื่อหนุมานได้สะกดบรรดายักษ์ให้ หลับหมดแล้วจึงเดินเข้าไป จึงเห็นพระรามนอนหลับอยู่ในกรงเหล็กขนาดใหญ่ หนุมานกราบที่เท้าพระรามและร้องไห้


โอ้ว่าพระจอมมงกุฎเกศ ลือเดชทั่วทศทิศา เป็นที่พึ่งมนุษย์เทวา ควรหรือมานอนอยู่ในกรง อนิจจาเป็นน่าอนาถจิต พระกายติดไปด้วยธุลีผง ไร้ทั้งภูษาผทมทรง ใบไม้จะรององค์ก็ไม่มี เสียแรงเลี้ยงทหารชำนาญยุทธ์ นับสมุทรไว้ใต้บทศรี แจ้งว่าไมยราพอสุรี ในราตรีจะลอบขึ้นไป ทำการสะกดแต่เพียงนั้น ช่วยกันรักษาไว้ไม่ได้ เสียทีที่มีฤทธิไกร มาหลับใหลด้วยเวทวิทยา มันจึ่งได้พาพระจักรี มาถึงบุรียักษา หาไม่ที่ไหนอสุรา จะรอดลงมายังบาดาล จะพิฆาตฟาดฟันด้วยตรีเพชร ให้เศียรเด็ดเสียบไว้กับหน้าฉาน จึ่งจะสมน้ำหน้าอ้ายสาธารณ์ ที่อหังการกำเริบใจ ร่ำพลางฟูมฟายชลนา ซบพักตร์โศกาสะอื้นไห้ ดั่งหนึ่งจะสิ้นชีวาลัย ไม่เป็นสติสมประดี (อนาถ = สงสาร ธุลี= ละออง ภูษาผทม = ผ้าห่ม บทศรี= เท้า ราตรี= กลางคืน พิฆาต = ฆ่า) ครั้นคลายแสนโศกจาบัลย์ อภิวันท์เหนือเกล้าเกศี ทำลายกรงช้อนองค์พระจักรี ด้วยกำลังฤทธีพาจร รีบออกมาจากเมืองมาร ถึงเขาสุกานต์สิงขร ตรงลงยังเชิงคีรินทร วานรเพ่งพิศไปมา เห็นแท่นสุวรรณบัลลังก์อาสน์ อยู่ในนพมาศคูหา เอกเอี่ยมเทียมทิพย์ไสยา ก็วางพระจักราด้วยยินดี (สิงขร = ภูเขา คูหา = ถ้ำ) เมื่อพบพระราม หนุมานก็รำพึงว่า “ท่านเป็นที่เคารพนับถือไปทั่วเป็นที่ พึ่งพาของเทวดา ควรหรือมานอนในกรง นี้ น่าอนาถใจนัก ร่างกายก็เปื้อนไปด้วย ฝุ่นละออง ไม่มีผ้าห่ม ใบไม้รองนอนก็ยัง ไม่มี เสียแรงเลี้ยงทหาร ที่เก่งในการต่อสู้ รบแต่เมื่อเกิดที่เหตุที่ไมยราพไปลักลอบ พาตัวพระรามมาก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย” “ไมยราพจึงพาตัวพระรามมาที่นี่ จะฆ่ามันด้วยตรีเพชร ให้หัวขาด แล้วนำไปเสียบที่หน้าฉาน จึงจะ สมใจที่มันบังอาจทำได้เพียงนี้” ว่าแล้วก็ร้องไห้แทบจะขาดใจ ในตอนนี้ เมื่อหายเศร้า ก็ไหว้เหนือหัวและ ทำลายกรงเหล็กด้วยกำลัง และพาตัวพระรามออกมา หนุมานได้พาพระรามมาที่เขาสามยอด ภายในถ้ำมองไป รอบ ๆ เห็นแท่นสูง ๆ ก็วางพระรามลง


แล้วจึ่งบังคมก้มเกศ กราบเบื้องบทเรศทั้งสองศรี คำรบจบพื้นพระธรณี ชุลีกรประกาศด้วยวาจา ขอฝูงเทวาสุราฤทธิ์ ซึ่งสถิตสิงสู่ในภูผา ทั้งหกห้องสวรรค์ชั้นฟ้า มาช่วยรักษาพระทรงธรรม์ ตัวข้าจะไปสังหาร ไมยราพขุนมารให้อาสัญ ฝากแล้วก็รีบจรจรัล ผันพักตร์คืนเข้ายังธานี (จรจรัล = เที่ยวไป ผันพักตร์= หันหน้า) มาจะกล่าวบทไป ถึงเทพไทเรืองศรี อันสถิตถ้ำธารคีรี มีทิพโสตนัยนา เล็งมาเห็นลูกพระพาย พาองค์พระนารายณ์นาถา ออกจากกรงเหล็กอสุรา มาไว้ปากถ้ำสุรกานต์ บัดนี้จะกลับไปชิงชัย ฆ่าไอ้ไมยราพใจหาญ ก็พาฝูงเทพบริวาร เหาะทะยานมายังพระจักรี (ทิพโสตนัยนา = หูตาทิพย์ชิงชัย = รบกัน) ครั้นถึงจึ่งเข้าแวดล้อม ขับกล่อมบำเรอดีดสี จำเรียงเสียงทิพย์ดนตรี ฉ่ำเฉื่อยเรื่อยรี่จับใจ บ้างโบกปัดพัดวีระวังองค์ บ้างล้อมวงตามเชิงเขาใหญ่ พิทักษ์รักษาภูวไนย มิให้ราคีบีฑา (จำเรียง = ขับกล่อม พิทักษ์= ดูแล ราคี= มัวหมอง บีฑา = รบกวน) บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจกล้า เขม้นหมายจะล้างอสุรา ก็ตรงมายังหน้าพระลาน ครั้นถึงปราสาทอลงกรณ์ วานรสำแดงกำลังหาญ กระทืบบาทผาดโผนโจนทะยาน ถีบบานสีหบัญชรชัย (สีหบัญชร = หน้าต่าง) แล้วก้มกราบลงที่เท้าของพระราม กราบที่พื้นดินแล้วกล่าวว่า “ขอให้ เทวดาที่อยู่ในภูเขานี้และทั้งที่อยู่บน สวรรค์ทั้งหกห้อง ช่วยมาดูแลพระราม ตัวข้าจะไปฆ่าไมยราพให้ตาย” เมื่อฝาก เสร็จก็หันหน้ารีบกลับไปยังเมืองยักษ์ กล่าวถึงเทพ เทวดาที่อาศัยอยู่ถ้ำที่มี หูตาทิพย์ก็มองเห็นหนุมานพา พระรามมาไว้ฝากไว้ที่ถ้ำนี้เพื่อจะไป ฆ่าไมยราพเมื่อเป็นเช่นนั้นเหล่าเทพ เทวดาก็มาที่ถ้ำแห่งนี้ เมื่อเทพ เทวดามาถึงก็ขับกล่อม บรรเลงดนตรี พัดวีตัวพระราม บ้างก็เฝ้ายามเชิงเขาเพื่อไม่ให้มีอะไรมา รบกวนพระราม หนุมานผู้กล้าหาญประสงค์ที่จะฆ่า ไมยราพ จึงตรงไปที่หน้าพระลาน เมื่อถึงที่อยู่ของไมยราพหนุมานก็ กระทืบเท้าและถีบไปที่หน้าต่าง


เสียงสนั่นครั่นครื้นกุลาหล พังลงไม่ทนกำลังได้ แล้วมีวาจาประกาศไป เหวยไอ้ไมยราพกุมภัณฑ์ เป็นไฉนตัวมึงไปลอบลัก องค์พระหริรักษ์รังสรรค์ กูเป็นทหารชาญฉกรรจ์ ตามมาโรมรันอสุรี ชื่อว่าหนุมานชาญณรงค์ อาจองดั่งพญาราชสีห์ ตัวมึงดั่งหนึ่งมฤคี วันนี้จะม้วยวายปราณ เมื่อนั้น พญาไมยราพใจหาญ ผวาตื่นจากแท่นอลงการ ขุนมารก็เหลือบแลไป เห็นวานรเข้ามาถึงปราสาท องอาจกล่าวคำหยาบใหญ่ โกรธฉวยคว้าพระขรรค์ชัย ผุดลุกขึ้นได้ก็ร้องมา เหม่เหม่ดูดู๋ไอ้ชาติลิง เย่อหยิ่งอวดฤทธิ์ว่าแกล้วกล้า ตัวกูผู้ทรงศักดา ใต้ฟ้าไม่มีใครเทียมทัน มึงดั่งหิ่งห้อยน้อยแสง หรือจะแข่งกับดวงสุริย์ฉัน ว่าพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แกว่งพระขรรค์ออกไล่ราญรอน (อาจอง = ลักษณะสง่า มฤคี= กวาง พระขรรค์= ศัสตราวุธชนิดหนึ่ง ดวงสุริย์ฉัน = ดวงอาทิตย์) บัดนั้น คำแหงหนุมานชาญสมร รับรองป้องกันประจัญกร วานรโถมถีบด้วยฤทธา ถ้อยตีถ้อยรับสับสน ไล่ประจญถอยประจัญเข่นฆ่า ฟันแทงแย้งยุทธ์กันไปมา ต่างหาญต่างกล้าไม่ลดกัน เมื่อนั้น ไมยราพฤทธิแรงแข็งขัน รับรองป้องปัดโรมรัน ขบฟันโลดโผนโจนมา เสียงดังสนั่นและก็พังลงแล้ว หนุมานก็พูดว่า “ไอ้ยักษ์ไมยราพ ทำไมถึงไปลักลอบพาตัวพระรามมา กูเป็นทหารของพระรามชื่อหนุมาน เหมือนราชสีห์ส่วนมึงเป็นแค่กวาง วันนี้กูจะมาเอาชีวิตมึง” ไมยราพผวาตื่นแล้วเห็นหนุมาน มาถึงนี่แล้วพูดหยาบคาย ด้วยความโกรธรีบคว้าพระขรรค์ลุก ขึ้นและพูดว่า “เหม่เหม่ดูดู๋ไอ้ชาติลิง อวดว่าตัวเองเก่ง ตัวกูนี่แหล่ะเก่ง ใครจะมาเทียบได้ มึงเท่าหิ่งห้อย หรือจะสู้ดวงอาทิตย์แบบกูได้” ขณะพูดก็แกว่งพระขรรค์ไปมา หนุมานป้องกันตนเองจากไมยราพ และถีบกลับด้วยกำลังที่มี ต่างก็สู้กัน ไล่ฆ่ากันด้วยกันฟันแทง แต่ต่างคนต่างเกงทั้งคู่ไม่มีใครยอมใคร ไมยราพผู้มีอิทธิฤทธิ์ก็ป้องกันตัวเองเช่นกัน


เท้าหนึ่งเหยียบเข่าวานร กรแกว่งพระขรรค์เงื้อง่า กลอกกลับจับกันเป็นโกลา หันเหียนเปลี่ยนท่าในที บัดนั้น หนุมานผู้ชาญชัยศรี รบชิดติดพันประจัญตี ได้ทีโจมจับกุมภัณฑ์ โผนเผ่นขึ้นยืนเหยียบบ่า กรขวาฉวยชิงพระขรรค์ กลอกกลับสัปยุทธ์พัลวัน ฟาดฟันต้องกายขุนมาร พระขรรค์ก็หักเป็นสองท่อน วานรถีบด้วยกำลังหาญ อสุรีล้มลุกคลุกคลาน ขุนกระบี่ทะยานตามตี เมื่อนั้น ไมยราพสิทธิศักดิ์ยักษี เสียพระขรรค์เพชรอันฤทธี อสุรีคว้าได้คทาวุธ กวัดแกว่งแสงวาบปลาบตา กระทีบบาทาอึงอุด ผาดแผลงสำแดงฤทธิรุทร กลับเข้าสัประยุทธ์ชิงชัย ต่างคนต่างรับต่างตี เข้าออกเป็นทีหนีไล่ จนกระบองนั้นหักกระเด็นไป ฉวยได้หอกใหญ่เข้ารอนราญ บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจหาญ หลีกหลบรบรันประจัญบาน โถมทะยานเข้าไล่ราวี มือขวาฉวยชิงโตมร ได้ด้วยฤทธิรอนกระบี่ศรี แทงต้องกุมภัณฑ์เป็นหลายที จนหอกอสุรีนั้นหักไป แล้วชักตรีเพชรออกจากกาย ลูกพระพายฟอนฟันกระชั้นไล่ หวดซ้ายป่ายขวาว่องไว มิให้ดำรงกายทัน (โกลา = วุ่นวาย สัปยุทธ์ = รบชิงชัยกัน พัลวัน = พัวพัน คทาวุธ = ตระบอง ประจัญบาน = สู้รบ โตมร = อาวุธ ดำรง = อยู่) เท้าหนึ่งของไมยราพเหยียบที่อกหนุมาน มือแกว่งพระขรรค์จะฟันหนุมาน เปลี่ยนท่ากันไปเรื่อย วุ่นวายไปหมด เมื่อไมยราพเสียพระขรรค์จึงคว้าคทาวุธและ แกว่งเกิดแสงวาบ พร้อมกับกระทึบเท้าเสียง ดังสั่นพร้อมสู้กับหนุมานต่อ หนุมานก็สู้และจับไปที่ไมยราพ และหนุมานเหยียบไปที่บ่า มือก็ชิง พระขรรค์และฟันไปที่ตัวไมยราพ พระขรรค์หักเป็นสองท่อน หนุมาน ถีบไปที่ไมยราพ ไมยราพล้มลง แล้วหนุมานก็ตามไปซ้ำ ต่างคนต่างรับต่างตีผลัดกันจนกระบอง นั้นหักและกระเด็นไป คว้าหอกสู้กันต่อ หนุมานก็หลบหอกของไมยราพ พร้อมกับกระโดดเข้าใส่ไมยราพ มือขวาชิงอาวุธจากไมยราพและแทงไป ที่ตัวไมยราพหลายครั้งจนหอกนั้นหัก และชักตรีเพขรออกจากตัวเองพร้อม ฟันเข้าไปที่ไมยราพทันทีโดยไม่ให้ตั้งตัว


เมื่อนั้น ไมยราพฤทธิแรงแข็งขัน สิ้นสุดอาวุธโรมรัน กุมภัณฑ์ถวิลจินดา วานรตนนี้สามารถ ฤทธิรงค์องอาจแกล้วกล้า ยิ่งกว่าเทวัญชั้นฟ้า นักสิทธิ์วิทยานาคี จำเป็นจะคิดอุบายกล ด้วยแยบยลลวงฆ่ากระบี่ศรี ถึงมาตรมันจะกลับตี กูนี้ไม่ครั่นคร้ามใจ ด้วยดวงจิตไม่อยู่กับกาย อันที่จะตายนั้นหาไม่ คิดแล้วจึ่งร้องว่าไป เหวยอ้ายลิงไพรพาลา ตัวเราทั้งสองประลองยุทธ์ สัประยุทธ์ขับเคี่ยวกันหนักหนา ถ้อยทีไม่แพ้ฤทธา ต่างคนอย่าคิดผิดผัน จะเอาต้นตาลสามต้นมาพัน ตะบิดฟั่นให้เป็นตระบองตาล ผลัดกันตีคนละสามที ใครดีก็ไม่ม้วยสังขาร ให้ปรากฏไว้ในไตรดาล ตัวท่านจะเห็นประการใด (ถวิลจินดา = คิด นักสิทธิ์ = ฤาษี นาคี= นาค ขับเคี่ยว = ต่อสู้ ไตรดาล = โลกมนุษย์ สวรรค์ บาดาล ) บัดนั้น คำแหงหนุมานทหารใหญ่ ได้ฟังก็ดำริตริไตร อันไอ้ไมยราพอสุรา มันคิดเปรียบเทียบมาดั่งนี้ เห็นจะมีอุบายยักษา กูก็ไม่เกรงฤทธา จะซ้อนกลฆ่ามันให้วายปราณ ถึงจะตายแม้นต้องพระพายพัด ก็อุบัติคืนชีพสังขาร อันตัวของไอ้ขุนมาร นัยจะแหลกลาญด้วยฤทธี คิดแล้วจึ่งร้องตอบไป ว่าจริงหรือไฉนยักษี เกลือกจักไม่เหมือนหนึ่งพาที ที่คำอสุรีสัญญา (ดำริ= คิด ไตร่ตรอง อุบัติ= เกิดขึ้น แหลกลาญ = ย่อยยับ) ไมยราพเมื่อไม่มีอาวุธที่จะสู้ก็คิดว่า “ทำไมลิงตัวนี้เก่งยิ่งกว่าเทวดาบนฟ้า ฤาษีหรือนาค” จึงคิดแผนอุบายที่จะฆ่า หนุมาน ถึงยังไงตัวเองก็ไม่ตายเพราะ หัวใจไม่ได้อยู่ที่ตัวเอง แล้วจึงพูดไปว่า “เอาแบบนี้ดีไหม...เราก็สู้กันมานาน แล้วก็ไม่มีใครแพ้ ชนะ จะเอาต้นตาล มาสามต้นบิดเป็นเกลียวแล้วผลัดกันตี คนละสามที ใครเก่งกว่าก็ไม่ตาย ให้เห็นในสามโลก ตัวท่านเห็นว่ายังไง” หนุมานได้ฟังดังนั้นก็คิดว่าไมยราพ มีแผนอะไรเป็นแน่แต่ตนเองก็ไม่กลัว เพราะจะซ้อนแผนของไมยราพอีกรอบ ถึงตายเมื่อมีลมพัดมาก็จะฟื้น ไมยราพ ต่างหากที่จะตายด้วยฤทธิ์ของหนุมาน แล้วจึงตอบว่า “จริงหรือไม่ ที่กล่าว”


เมื่อนั้น พญาไมยราพยักษา ได้ฟังจึ่งตอบวาจา อันคำเราว่านี้โดยธรรม์ แม้นมาตรมิคงในสัจ ขอจงหัสนัยน์รังสรรค์ กับฝูงเทวาทั้งนั้น สังหารชีวันให้บรรลัย แต่เราจะตีสามทีก่อน ครบแล้วจะนอนลงให้ ตัวเอ็งจงลุกขึ้นตีไป ตามที่เราได้ปฏิญาณ (หัสนัยน์ = พระอินทร์ บรรลัย = วอดวาย ปฏิญาณ = คำมั่น) บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจหาญ ฟังคำไมยราพขุนมาร ตบหัตถ์ฉัดฉานแล้วตอบไป ไฉนจึ่งมาเลือกว่า สัญญาเอาเปรียบก็เป็นได้ ตัวเราเป็นแขกมาแต่ไกล ชอบให้ตีก่อนอสุรี ซึ่งว่าทั้งนี้แต่พึงรู้ ใช่กูจะโง่กว่ายักษี เอ็งจะตีก่อนก็เร่งตี ใครดีจะรอดชีวา เมื่อนั้น พญาไมยราพยักษา ได้ฟังกระบี่ก็ปรีดา อสุราเข้าถอนเอาต้นตาล เท้ายันบ่าดันกระชากฉุด ก็หลุดขึ้นด้วยกำลังหาญ สามต้นสูงเทียมคัคนานต์ ขุนมารบิดเป็นคทาธร แล้วร้องว่าเหวยไอ้ลิงป่า มึงอวดฤทธาว่าชาญสมร ใครดีจะได้เห็นกร จงนอนลงให้กูตี บัดนั้น หนุมานผู้ชาญชัยศรี ได้ฟังอสุราพาที ขุนกระบี่ร่ายวิทยามนต์ ไมยราพได้ฟังก็ตอบว่า “จริงซิ ถ้าไม่ จริงขอให้พระอินทร์และเทวดาฆ่าให้ ตายได้เลย...” “แต่เราขอตีสามทีก่อน นะ ครบแล้วเราจะนอนลงให้ตี ตามที่ ได้ให้คำสัญญาไว้…” หนุมานเมื่อฟังไมยราพก็ปรบมือแล้วร้อง ไปว่า “สัญญาที่ว่านี้เอาเปรียบนัก ตัวเราเป็นแขกมาไกล ชอบให้ตีก่อน” และคิดว่าใช่ว่ากูจะโง่ที่ให้ตีก่อน .. และพูดว่า “จะตีก่อนก็รีบตี ใครดีจะรอด” ไมยราพได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ และรับไปถอนต้นตาลทันที เท้าดันพื้นและดึงเอาต้นตาลสามต้น ด้วยกำลัง ต้นสูงเท่าฟ้า และบิดเป็น อาวุธแล้วพูดว่า “เหวย! ไอ้ลิงป่า รีบมานอนลงให้กูตี ” หนุมานได้ฟังไมยราพกล่าวจึงร่ายเวทมนตร์


ครั้นครบเจ็ดคาบก็เป่าไป กลั้นใจลูบกายสามหน ให้คงทรหดอดทน แล้วทอดกายตนกวักเรียกอสุรา เมื่อนั้น พญาไมยราพยักษา เห็นกระบี่นอนทอดกายา ก็ปรีดาเงือดเงื้อตระบองตาล กวัดแกว่งสำแดงแผลงฤทธิ์ เสียงสนั่นครรชิตทุกทิศาล สองเท้ากระเหย่งเผ่นทะยาน ขุนมารก็ตีลงไป สามทีสนั่นดั่งฟ้าฟาด ปัถพีกัมปนาทหวาดไหว อันกายหนุมานชาญชัย ก็จมลงในพื้นพสุธา บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจกล้า มิได้เจ็บช้ำกายา ผุดลุกขึ้นมาด้วยว่องไว ร้องว่าเหวยเหวยขุนมาร รู้จักพระกาลหรือหาไม่ เร่งนอนลงเถิดไอ้จังไร ส่งตระบองมาให้กูตี แม้นมึงรักตัวกลัวตาย จะถ่ายชีวิตยักษี กราบลงที่ตีนของกูนี้ จึ่งจะไว้ชีวีอสุรา เมื่อนั้น พญาไมยราพยักษา เห็นวานรไม่สิ้นชีวา อหังการ์เยาะเย้ยไยไพ ให้ประหวั่นครั่นคร้ามขามฤทธิ์ร้อนจิตดั่งหนึ่งเพลิงไหม้ แล้วรื้อมานะหักใจ กูจะเกรงมันไยไอ้สาธารณ์ คิดแล้วจึ่งตอบวาจา เหวยไอ้พาลาเดียรัจฉาน กูไม่ประณตบทมาลย์ มึงอย่าอวดหาญพาที ว่าแล้วก็ทอดกายลง ส่งตระบองให้กระบี่ศรี ตัวเอ็งจงเร่งมาตี ตามที่ซึ่งให้สัญญา (ไยไพ = เยาะเย้ย ประหวั่น = กลัว ครั่นคร้าม = เกรงขาม ประณตบทมาลย์= ไหว้เท้า) เมื่อครบเจ็ดครั้งก็กลั้นหายใจและ ลูบกายสามครั้งขอให้ไม่เป็นไรแล้ว ก็นอนลงเรียนให้ไมยราพมาตี ไมยราพเห็นหนุมานนอนลงก็ดีใจและ ยกตระบองตาลขึ้น แกว่งอย่างแรง สองเท้าเหยียบที่พื้นแล้วตีไปสามครั้ง ตีสามครั้งเสียงดังมาก พื้นสั่นสะเทือน ตัวของหนุมานก็จมลงไปในพื้นดิน หนุมานไม่ได้เป็นอะไรเลย รีบลุกขึ้นมาทันที หนุมานพูดว่า “เหวย เหวย ไมยราพรู้จักข้าน้อยไป รีบนอนลงแล้วส่งตะบองตาลมา ถ้ามึงรักตัว กลัวตาย ก็กราบลงที่ตีนของกูนี่ กูจะไว้ชีวิตมึง” ไมยราพเห็นว่าหนุมานไม่ตาย หนุมานจึงพูดจา เยาะเย้ยไมยราพ ไมยราพจึงพูดว่า “กูไม่ไหว้มึง แน่ มึงอย่าพูดอวดตนเองมากจนเกินไป” พูดแล้วก็นอนลงแล้วส่งตะบองตาลให้หนุมาน และพูดว่า... “รีบตีก็รีบมาทำตามที่สัญญาไว้”


บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจกล้า ฉวยจับตระบองตาลมา เงื้อง่าด้วยกำลังฤทธิรอน ตาหมายเขม้นจะพิฆาต องอาจดั่งพญาไกรสร สองมือกวัดแกว่งคทาธร วานรก็ฟาดลงสามที เสียงสนั่นครั่นครื้นอากาศ ตระบองแหลกกายขาดไปกับที่ แล้วฉีกแขนขาอสุรี ขุนกระบี่ขว้างไปด้วยฤทธา เมื่อนั้น พญาไมยราพยักษา เท้ากรกลับติดกายา อสุราไม่ม้วยบรรลัย ลุกขึ้นกระทีบบาทผาดร้อง กึกก้องกัมปนาทหวาดไหว โผนไปด้วยกำลังว่องไว เข้าไล่ประจญประจัญบาน บัดนั้น วายุบุตรวุฒิไกรใจหาญ หักเอาด้วยกำลังชัยชาญ โถมทะยานถีบต้องอสุรี ล้มลงกับพื้นพสุธา ด้วยศักดาเดชเรืองศรี โลดโผนโจนไปทันที ขุนกระบี่เหยียบอกลงไว้ จึ่งถามพิรากวนนงลักษณ์ไมยราพขุนยักษ์นี้ไฉน ฆ่ามันจึ่งไม่บรรลัย สงสัยเป็นพ้นพรรณนา เมื่อนั้น นางพิรากวนยักษา ฟังวายุบุตรก็ปรีดา จึ่งร้องบอกมาทันที ซึ่งว่ามันฆ่าไม่ตาย เพราะด้วยอุบายยักษี ถอดจิตออกเป็นภุมรี ใส่กล่องมณีอลงกรณ์ แล้วเอาลงไปซ่อนไว้ ในยอดตรีกูฎสิงขร ท่านจงคิดฆ่าตัวภมร ไมยราพริทธิรอนจะวายปราณ (พญาไกรสร = ราชสีห์ กัมปนาท = สนั่น ทะยาน = โผนเข้าใส่ นงลักษณ์= นางพิรากวน พรรณนา = กล่าวละเอียด ปรีดา = ปลื้มใจ อุบาย = เล่ห์เหลี่ยม ภุมรี= ผึ้ง แมลงภู่ ตรีกูฎ = ชื่อเขามี ๓ ยอด) หนุมานก็จับกระบองตาลง้างด้วยกำลังที่มี สายตาพิฆาต กล้าหาญเหมือนราชสีห์ สองมือก็แกว่งอาวุธและฟาดลงไปสามที เสียงดังสนั่น กระบองตาลแหลกตัว ของไมยราพขาดออกจากกัน หนุมานก็ฉีกแขนขาแล้วขว้างออกไป แล้วแขนขาไมยราพก็ลอยมาติดกัน ไมยราพไม่ตายลุกขึ้นแล้วกระทึบเท้า แล้วก็กระโจนใส่หนุมานต่อสู้กันต่อ หนุมานกระโดดถีบและไมยราพก็ล้มลงนอนกับพื้น หนุมานตามไปและเหยียบที่อกไมยราพ หนุมานจึงถามนางพิรากวนว่า “ทำไมไมยราพจึงฆ่าไม่ตาย” นางพิรากวนเมื่อได้ยินหนุมานถามจึงตอบว่า “ไมยราพ ถอดดวงใจฝากไว้ที่ผึ้งซึ่งอาศัยอยู่ที่ยอดเขา ท่านต้องฆ่า ผึ้งตัวนั้น ไมยราพจึงจะตาย”


เมื่อนั้น วายุบุตรผู้ปรีชาหาญ ฟังนางบอกแจ้งทุกประการ ยินดีปานได้ฟากฟ้า เท้าเหยียบอสุราไว้มั่น กรนั้นประนมเหนือเกศา ก็ร่ายพระเวทอันศักดา นิมิตกายกายาวานร รูปนั้นใหญ่เท่าพรหมาน สูงตระหง่านดั่งหนึ่งสิงขร พร้อมทั้งสี่พักตร์แปดกร สำแดงฤทธิรอนเกรียงไกร เท้าซ้ายเหยียบอกอสุรี มิให้เคลื่อนจากที่ขึ้นได้ เท้าขวานั้นก้าวทะยานไป ยังในตรีกูฎบรรพตา (สูงตระหง่าน = สูงเด่นเป็นสง่า บรรพตา = ภูเขา) มือหนึ่งง้างยอดคีรินทร กรหนึ่งนั้นค้นคว้าหา จับได้แมลงภุมรา ก็เอาขึ้นมาชูไว้ เหวยเหวยไมยราพยักษี นี่หัวใจมึงหรือมิใช่ ว่าแล้วขยี้เป็นจุณไป ตัดเศียรลงให้พร้อมกัน ดั่งหนึ่งพระกาลพาลราช มาฟันฟาดด้วยคมพระแสงขรรค์ กายดิ้นระด่าวแดยัน กุมภัณฑ์ก็ม้วยชีวี เมื่อหนุมานได้ฟังคำตอบนางพิรากวน ก็ดีใจมากที่จะได้ฆ่าไมยราพให้ตาย เท้าเหยียบที่อกไมยราพมือไหว้เหนือหัว ร่ายเวทมนตร์แล้วแปลงกายให้ตัวใหญ่ ใหญ่ รูปร่างสูงใหญ่เท่าภูเขา มีสี่หน้าแปดมือ แสดงอิทธิฤทธิ์เท้าซ้ายเหยียบอกไมยราพ เพื่อไม่ให้ขยับไปไหน เท้าขวาก็ก้าวไปที่ ภูเขาสามยอดที่ผึ้งอาศัยอยู่ อีกมือหนึ่งของหนุมานก็ง้างยอดเขา มือหนึ่ง ก็แหวกหาผึ้งตัวนั้น และจับผึ้งได้ก็เอาชูขึ้น มาแล้วพูดกับไมยราพว่า “นี่หัวใจมึงหรือไม่” แล้วก็ขยี้ผึ้งจนละเอียด พร้อมทั้งตัดหัวของ ไมยราพให้ขาดไปพร้อมกัน” ในที่สุดไมยราพก็ตายลงด้วยน้ำมือของหนุ มานและหนานก็พาตัวพระรามกลับเมือง


Click to View FlipBook Version