51
การประเมนิ พฤตกิ รรมความรกั ความเปน็ ไทย มีจิตสาธารณะ มีสขุ ภาพและสนุ ทรภี าพทดี่ ี
คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงคข์ อ้ ที่ 7 รักความเป็นไทย
ตัวชี้วดั 7.1 ภาคภมู ิใจในขนบธรรมเนียมประเพณี ศลิ ปะ วฒั นธรรมไทย และมคี วามกตัญญูกตเวที เหน็ คณุ ค่า และใชภ้ าษาไทยใน
การส่อื สารได้อยา่ งถูกตอ้ ง เหมาะสม
ระดับคณุ ภาพ เกณฑ์การพจิ ารณา
ดเี ยี่ยม (3) ไดผ้ ลการประเมินระดับดเี ยี่ยมจานวน 3-4 ตวั ชวี้ ัด และไม่มตี ัวช้วี ดั ใดไดผ้ ลการประเมินตา่
กวา่ ระดับดี
ดี (2) 1. ได้ผลการประเมนิ ระดบั ดเี ยย่ี มจานวน 1 ตวั ชีว้ ดั และระดับดี 2 ตัวชว้ี ดั หรือ
2. ได้ผลการประเมนิ ระดับดีทุกตัวช้ีวัด หรอื
3. ได้ผลการประเมินต้ังแตร่ ะดับดขี ึ้นไปจานวน 2 ตัวชว้ี ัดและระดับผ่านจานวน 1 ตวั ช้ีวดั
ผา่ น (1) 1. ได้ผลการประเมนิ ดับผา่ นทกุ ตัวช้วี ดั หรอื
2. ไดผ้ ลการประเมนิ ระดบั ดเี ย่ยี มจานวน 1 ตัวชวี้ ัด และระดบั ผ่าน 2 ตัวชว้ี ดั
ไม่ผา่ น (0) ไดผ้ ลการประเมินระดับไมผ่ า่ นตัง้ แต่ 1 ตวั ชีว้ ัดขน้ึ ไป
คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ขอ้ ท่ี 8 มีจิตสาธารณะ
ตัวชีว้ ดั 8.1 ชว่ ยเหลอื ผู้อนื่ ด้วยความเต็มใจ และพงึ พอใจ
8.2 เขา้ ร่วมกิจกรรมทีเ่ ป็นประโยชน์ต่อโรงเรยี น ชมุ ชน และสงั คม
ระดับคุณภาพ เกณฑก์ ารพิจารณา
ดีเย่ียม (3) ไดผ้ ลการประเมนิ ระดบั ดีเยย่ี มทุกตัวชี้วดั
ดี (2) 1. ไดผ้ ลการประเมนิ ระดับดเี ยยี่ มจานวน 1 ตวั ชี้วัดและระดับดี 1 ตวั ชี้วดั หรือ
2. ไดผ้ ลการประเมินระดับดีทุกตวั ช้วี ัด
ผ่าน (1) 1. ไดผ้ ลการประเมนิ ดับผา่ นทุกตวั ชี้วดั หรือ
2. ไดผ้ ลการประเมินระดบั ดีขึ้นไปจานวน 1 ตวั ชวี้ ัด และ ระดบั ผา่ น 1 ตวั ชี้วดั
ไม่ผา่ น (0) ไดผ้ ลการประเมินระดบั ไมผ่ า่ นตงั้ แต่ 1 ตัวชี้วดั ขนึ้ ไป
ตวั ชว้ี ัด 9.1 มสี ุขภาพท่ดี ี คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ข้อท่ี 9 มีสุขภาพและสนุ ทรีภาพทด่ี ี
9.2 มสี ุนทรภี าพที่ดี
ระดับคณุ ภาพ เกณฑ์การพิจารณา
ดเี ย่ยี ม (3) ได้ผลการประเมินระดับดีเย่ียมทุกตัวชี้วดั
ดี (2) 1. ไดผ้ ลการประเมินระดบั ดีเยี่ยมจานวน 1 ตัวช้ีวัดและระดับดี 1 ตวั ชี้วดั หรือ
2. ได้ผลการประเมนิ ระดบั ดีทกุ ตวั ชว้ี ดั
ผ่าน (1) 1. ไดผ้ ลการประเมนิ ดับผา่ นทกุ ตวั ช้ีวัด หรือ
2. ได้ผลการประเมินระดับดขี น้ึ ไปจานวน 1 ตวั ชวี้ ดั และ ระดบั ผ่าน 1 ตวั ชี้วัด
ไมผ่ า่ น (0) ไดผ้ ลการประเมินระดับไมผ่ ่านตั้งแต่ 1 ตัวชี้วัดขึ้นไป
52
แผนการจัดการเรยี นรู้
Learning Area กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
Term ภาคเรยี นที่ 2 Academic Year ปีการศกึ ษา 2563
Title of Subject เคมี Subject Code ว31222 Level ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 4
Unit No. หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 4 Title of Unit ปฏิกริ ิยาเคมีและสมการ Time Allocated 5 Periods (คาบ)
Week No. สอนสัปดาห์ที่ 8-18, 12 Day วัน จันทร์-ศุกร์ Date ท่ี 14 ธ.ค. – 15 Month เดือน มกราคม Year พ.ศ. 2564
1. Strand and Learning Outcomes สาระและผลการเรียนรู้
สาระเคมี
2. เข้าใจการเขยี นและการดลุ สมการเคมี ปริมาณสัมพนั ธใ์ นปฏิกิริยาเคมี อัตราการเกิดปฏิกิรยิ าเคมี สมดุลในปฏิกิริยาเคมี
สมบตั ิและปฏิกิริยาของกรด–เบส ปฏิกิริยารีดอกซแ์ ละเซลล์เคมีไฟฟา้ รวมท้ังการนาความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์
ผลการเรยี นรู้
11. แปลความหมายสัญลักษณใ์ นสมการเคมเี ขยี นและดลุ สมการเคมีของปฏกิ ริ ยิ าเคมีบางชนิด
12. คานวณปรมิ าณของสารในปฏกิ ิรยิ าเคมีทีเ่ กย่ี วข้องกบั มวลสาร
2. Sub-topics (Topic Discussed in this Learning Unit) / Local Wisdom / 21th Century Skills / School policies
สาระการเรยี นรู้เพ่ิมเตมิ (หวั ขอ้ ยอ่ ย) /ภูมปิ ัญญาทอ้ งถน่ิ / ทักษะในศตวรรษท่ี 21 หรอื จดุ เน้นตามนโยบายของโรงเรียน
2.1 สาระการเรยี นรู้เพ่มิ เตมิ (ปฏกิ ิริยาเคมีและสมการ)
2.1.1 แปลความหมายสัญลักษณ์ในสมการเคมี
2.1.2 การเขียนและดลุ สมการเคมขี องปฏิกริ ิยาเคมบี างชนดิ
2.2 ทกั ษะของผู้เรยี นศตวรรษท่ี 21 (3Rs x 8Cs x 2Ls)
R1– Reading (อา่ นออก) R2– (W)riting (เขยี นได้) R3 – (A)Rithmetics (คดิ เลขเปน็ )
C1 - Critical Thinking and Problem Solving (ทกั ษะดา้ นการคดิ อย่างมวี จิ ารณญาณและทกั ษะในการแก้ปญั หา)
C2 - Creativity and Innovation (ทกั ษะดา้ นการสรา้ งสรรคแ์ ละนวตั กรรม)
C3 - Cross-cultural Understanding (ทกั ษะด้านความเข้าใจต่างวฒั นธรรม ตา่ งกระบวนทัศน)์
C4 - Collaboration, Teamwork and Leadership (ทักษะดา้ นความรว่ มมือ การทางานเปน็ ทมี และภาวะผนู้ า)
C5 – Communications, Information and Media Literacy (ทักษะดา้ นการส่อื สารสารสนเทศและรเู้ ท่าทันส่ือ)
C6 - Computing and ICT Literacy (ทกั ษะดา้ นคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสือ่ สาร)
C7 - Career and Learning Skills (ทักษะอาชีพและทักษะการเรยี นรู)้
C8 – Compassion (ความมเี มตตากรณุ า วินัย คณุ ธรรม จรยิ ธรรม)
L1 – Learning (ทักษะการเรยี นรู้)
L2 – Leadership (ทักษะความเปน็ ผู้นา)
53
3. Learners’ Key Competencies and Desirable Characteristics สมรรถนะและคณุ ลกั ษณะพงึ ประสงค์
3.1 Learners’ Key Competencies สมรรถนะ
1. Communication Capacity ความสามารถในการส่ือสาร
2. Thinking Capacity ความสามารถในการคดิ
3. Problem Solving Capacity ความสามารถในการแก้ปญั หา
4. Capacity for Applying Life Skills ความสามารถในการใชท้ กั ษะชวี ติ
5. Capacity for Technological Application ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
3.2 Desirable Characteristics คุณลักษณะพงึ ประสงค์
1. Love of nation, religion and king รกั ชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์
2. Honesty and integrity ซอ่ื สัตยส์ จุ รติ
3. Self – Discipline มวี นิ ัย
4. Avidity for Learning ใฝเ่ รียนรู้
5. Observance of principles of Sufficiency Economy Philosophy in one’s way of Life อยอู่ ยา่ งพอเพยี ง
6. Dedication and commitment to work ม่งุ มน่ั ในการทางาน
7. Cherishing Thai-ness รักความเป็นไทย
8. Public-mindness มจี ติ สาธารณะ
9. Be health and well-balance สุขภาพและสุนทรยี ภาพ
4. จุดประสงค์การเรียนรู้ (ระบใุ ห้ครบ KPA)
4.1 นักเรยี นสามารถแปลความหมายสญั ลักษณ์ในสมการเคมไี ด้ (P, K)
4.2 นักเรยี นสามารถเขียนสมการเคมขี องปฏกิ ริ ยิ าเคมีบางชนดิ ได้ (P, K)
4.3 นกั เรียนสามารถดลุ สมการเคมขี องปฏกิ ริ ิยาเคมีบางชนดิ ได้ (P, K)
4.4 นกั เรียนสามารถคานวณปรมิ าณของสารในปฏิกิรยิ าเคมที ี่เกีย่ วข้องกบั มวลสารได้ (P, K)
4.5 นักเรียนมีวินัย ใฝ่เรยี นรู้ และมุ่งม่ันในการทางาน (A)
54
5. Learning Activities (Session Plan) การออกแบบกิจกรรมการจัดการเรยี นรู้
5.1 Period No ชว่ั โมงที่ /คาบท่ี 21
Day วัน จนั ทร์ –ศุกร์ Date ท่ี 14-18 Month เดือน ธันวาคม Year พ.ศ. 2563
Learning Objective จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
4.1 นักเรียนสามารถแปลความหมายสญั ลกั ษณใ์ นสมการเคมี (P, K)
4.2 นกั เรียนสามารถเขยี นสมการเคมขี องปฏิกิริยาเคมีบางชนดิ ได้ (P, K)
4.5 นกั เรียนมวี นิ ัย ใฝ่เรียนรู้ และมงุ่ มั่นในการทางาน (A)
Teaching Procedure กระบวนการจดั การเรยี นการสอน (ระบกุ ระบวนการหลกั ท่ใี ช้ออกแบบจดั การเรยี นรูใ้ นแตล่ ะช่วั โมงหรือ
คาบ)
Mathematics Process Skill Problem Solving Reasoning with Principles
Reasoning from Experience Create Critical thinking Value Creating Process
Knowledge and Understanding Awareness Creating Step Analysis Process
Decision Making Process Language Learning Process Reading Process
Listening Process Grouping Process Scientific Process
Inquiry Process Historical Process Technological Process
Working Process Creating skills for practice Process Attitude Process
Decision Making process Building Creative Process Building Conceptual Process
Communication, interpretation and presentation Process
Teaching Procedure กิจกรรมการเรียนการสอน คือ กระบวนการสร้างความคิดรวบยอด
1) ขั้นสงั เกต/รับรู้
1.1 ครูเปดิ สอื่ การสอนเปน็ คลปิ วดิ โี อสนั้ นาอภปิ รายเร่อื งปฏกิ ริ ิยาเคมี เปน็ การเปลี่ยนแปลงที่มสี ารใหมเ่ กดิ ขนึ้ จากการ
จดั เรยี งตัวใหมข่ องอะตอมธาตุ โดยจานวนและชนิดของอะตอมธาตไุ ม่เปล่ยี นแปลง ปฏกิ ิริยาเคมเี ขยี นแสดงไดด้ ว้ ยสมการเคมซี ่งึ
ประกอบด้วยสตู รเคมีของสารต้ังตน้ และผลติ ภัณฑ์ ลกู ศรแสดงทิศทางของการเกิดปฏกิ ิรยิ า และเลขสมั ประสิทธขิ์ องสารตั้งต้น และ
ผลิตภณั ฑ์ทีด่ ลุ แล้ว นอกจากนอี้ าจมีสญั ลกั ษณแ์ สดงสถานะของสาร หรอื ปัจจัยอ่นื ท่เี กี่ยวขอ้ งในการเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมี
2) ขนั้ จาแนกความแตกต่าง
2.1 ครูนาเสนอด้วยส่ือ power point แสดงตัวอย่างปฏิกิริยาเคมีให้นักเรียนสังเกตเลขสัมประสิทธิ์ของสารต้ังต้น และ
ผลติ ภณั ฑ์ สัญลักษณแ์ สดงสถานะของสาร หรือปัจจัยอ่ืนที่เกย่ี วข้องในการเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี
2.2 ครูให้นักเรียนที่น่ังคู่กันศึกษาตัวอย่างปฏิกิริยาเคมีเพิ่มเติมจากตัวอย่างในเอกสารประกอบการเรียน จากน้ันระบุ
สญั ลกั ษณ์ลงในสมการเคมี
3) ขั้นหาลกั ษณะร่วม
3.1 ครใู หน้ ักเรยี นแต่ละคสู่ ับเปลย่ี นกนั อธบิ ายตัวอย่างท่ีศกึ ษาเป็นอยา่ งดใี ห้เพ่อื นฟัง
4) ขน้ั ระบชุ ื่อความคดิ รวบยอด
4.1 ครูนาอภปิ รายตัวอย่างเพม่ิ เติมและนาอภิปรายเกีย่ วกบั แปลความหมายสัญลักษณใ์ นสมการเคมี
4.2 ให้นักเรียนสรุปองค์ความรูด้ ้วยการเขยี นแผนผงั ความคดิ
55
5) ข้นั ทดสอบและนาไปใช้
5.1 ให้นกั เรียนทาแบบฝกึ หัด โดยครูคอยแนะนาและซักถามความเขา้ ใจของนกั เรยี น
5.2 ครสู ุ่มถามนกั เรียนเพ่อื สรปุ ความเข้าใจทเี่ กิดขนึ้
5.3 ครูให้นกั เรยี นทาแบบทดสอบ
6. Teaching Strategies / Teaching Method ระบุวธิ กี ารสอนที่ใชใ้ นการจัดการเรียนรู้
Lecture ใชบ้ รรยาย Experiment ใชก้ ารทดลอง Discussions (Spoken)
Hand-on Learning
Deduction ใชก้ ารนิรนยั Field Trip ใช้การไปทัศนศึกษา Learning Communities
Small Group Discussion ใชก้ ารอภิปรายรายกลุ่ม Dramatization ใช้การแสดงละคร Multimedia Instruction
Peer Tutoring
ยอ่ ย Project-based Learning
Questioning
Role Playing ใชก้ ารแสดงบทบาทสมมติ Case Study ใชก้ รณีตวั อยา่ ง Reading
Presentation
Simulation ใชส้ ถานการณจ์ าลอง Learning Centre ใช้ศูนยก์ ารเรียน
Programmed Instruction ใช้บทเรียนโปรแกรม Game
Demonstration ใช้การสาธติ Induction ใช้การอุปนยั
Brainstorming Cooperative Learning
Dialogue Journals Discovery Learning
7. Material Aids ส่อื การเรยี นการสอน/แหลง่ เรียนรู้ (ส่อื วัสดุ สงิ่ ของ / สอ่ื ธรรมชาติ / สื่อเทคโนโลยี / ฯลฯ)
7.1 เอกสารประกอบการเรียนการสอนเร่อื งปรมิ าณสารสมั พนั ธ์
7.2 Power point เรือ่ งปรมิ าณสารสมั พนั ธ์
7.3 คอมพวิ เตอร์แบบพกพา (Note book)
7.4 ปากกาไวท์บอร์ดสีดา นา้ เงนิ และแดง
7.5 Active board
7.6 iPad หรือ Tablet
8. การวัดผลประเมินผล Method of Tool of Assessment 56
Learning Objective Assessment เครือ่ งมือวดั ผล
จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ วธิ กี ารวัดผล ประเมนิ ผล Criteria
ประเมินผล เกณฑก์ ารผ่านแตล่ ะ
(ระบใุ ห้ครบทกุ จดุ ประสงค)์ การทาแบบฝกึ หดั แบบฝึกหัดและ จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
4.1 นักเรยี นสามารถแปลความหมายสญั ลกั ษณ์ และแบบทดสอบ แบบทดสอบเรอ่ื งปรมิ าณ
ในสมการเคมี (P, K) เรอื่ งปริมาณสาร ร้อยละ 70
สารสัมพันธ์
4.2 นกั เรยี นสามารถเขยี นสมการเคมีของ สัมพนั ธ์ รอ้ ยละ 70
ปฏกิ ริ ิยาเคมบี างชนดิ ได้ (P, K) การทาแบบฝกึ หดั แบบฝกึ หดั และ
และแบบทดสอบ แบบทดสอบเรอ่ื งปริมาณ ร้อยละ 90
4.5 นกั เรียนมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมัน่ ในการ เรื่องปรมิ าณสาร
ทางาน(A) สารสมั พนั ธ์
สมั พันธ์
การสังเกตการรว่ ม แบบประเมนิ และสงั เกต
กิจกรรมระหวา่ งการ พฤติกรรม
เรยี นการสอน
57
5. Learning Activities (Session Plan) การออกแบบกิจกรรมการจดั การเรียนรู้
5.1 Period No ชั่วโมงท่ี /คาบที่ 22
Day วนั จนั ทร์ –ศกุ ร์ Date ที่ 21-25 Month เดอื น ธนั วาคม Year พ.ศ. 2563
Learning Objective จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
4.3 นักเรียนสามารถดลุ สมการเคมีของปฏิกิริยาเคมีบางชนิด (P, K)
4.5 นักเรยี นมีวนิ ยั ใฝ่เรียนรู้ และมงุ่ มัน่ ในการทางาน (A)
Teaching Procedure กระบวนการจดั การเรยี นการสอน (ระบกุ ระบวนการหลักทีใ่ ชอ้ อกแบบจดั การเรยี นรใู้ นแตล่ ะช่วั โมงหรอื
คาบ)
Mathematics Process Skill Problem Solving Reasoning with Principles
Reasoning from Experience Create Critical thinking Value Creating Process
Knowledge and Understanding Awareness Creating Step Analysis Process
Decision Making Process Language Learning Process Reading Process
Listening Process Grouping Process Scientific Process
Inquiry Process Historical Process Technological Process
Working Process Creating skills for practice Process Attitude Process
Decision Making process Building Creative Process Building Conceptual Process
Communication, interpretation and presentation Process
Teaching Procedure กิจกรรมการเรียนการสอน คอื กระบวนการกลมุ่
1) ขน้ั กาหนดเป้าหมาย
1.1 ทบทวนเรอ่ื งการแปลสญั ลกั ษณในสมการเคมี
1.2 ครูนาอภิปรายเร่ืองการเขียนและการดุลสมการเคมีของปฏิกิริยาเคมี การดุลสมการเคมีทาได้โดยการเติมเลข
สัมประสิทธิห์ น้าสารตง้ั ตน้ และผลิตภณั ฑ์ เพ่ือใหอ้ ะตอมของธาตใุ นสารตั้งตน้ และผลติ ภณั ฑ์เท่ากัน
2) ข้นั วางแผน
2.1 ครูให้นกั เรยี นแบ่งกลุ่ม กลุ่มละไม่เกิน 3 คน โดยคละคนเกง่ ปานกลาง ออ่ น
2.2 ครอู ธิบายข้ันตอนเขียนและการดุลสมการเคมี ยกตวั อยา่ งโจทย์
2.3 มอบหมายใหน้ ักเรียนแตล่ ะกล่มุ ทาโจทยแ์ บบฝึกหัดทค่ี รูกาหนดให้ โดยให้สมาชกิ กลุม่ ชว่ ยเหลอื และอธิบายเพอื่ นท่ยี ัง
ไม่เขา้ ใจ
3) ขน้ั คน้ หาคาตอบ
3.1 นักเรยี นแตก่ ลมุ่ ส่งคาตอบโดยครูชว่ ยตรวจทานคาตอบ
3.2 ครมู อบหมายให้เลอื กตวั แทนแต่ละกล่มุ นาเสนอการแกโ้ จทยห์ น้าหอ้ ง
4) ขน้ั ประเมินผล
4.1 ครบู นั ทกึ คะแนนการทางานเป็นกล่มุ ลงในแบบประเมนิ ทค่ี รูเตรียมไว้
5) ขน้ั ประยุกต์ใช้
5.1 ครใู ห้แตล่ ะกลมุ่ ไปเตรยี มตวั นาเสนอหน้าหอ้ งเรียนในคาบถดั ไป
58
6. Teaching Strategies / Teaching Method ระบวุ ธิ ีการสอนท่ีใช้ในการจดั การเรียนรู้
Lecture ใชบ้ รรยาย Experiment ใชก้ ารทดลอง Discussions (Spoken)
Hand-on Learning
Deduction ใช้การนริ นยั Field Trip ใช้การไปทศั นศึกษา Learning Communities
Small Group Discussion ใช้การอภปิ รายรายกลมุ่ Dramatization ใชก้ ารแสดงละคร Multimedia Instruction
Peer Tutoring
ย่อย Project-based Learning
Questioning
Role Playing ใชก้ ารแสดงบทบาทสมมติ Case Study ใชก้ รณตี ัวอยา่ ง Reading
Presentation
Simulation ใชส้ ถานการณ์จาลอง Learning Centre ใชศ้ ูนยก์ ารเรียน
Programmed Instruction ใชบ้ ทเรียนโปรแกรม Game
Demonstration ใช้การสาธติ Induction ใชก้ ารอุปนยั
Brainstorming Cooperative Learning
Dialogue Journals Discovery Learning
7. Material Aids ส่ือการเรียนการสอน/แหล่งเรียนรู้ (สื่อวัสดุ ส่งิ ของ / สอ่ื ธรรมชาติ / สอ่ื เทคโนโลยี / ฯลฯ)
7.1 เอกสารประกอบการเรยี นการสอนเรอื่ งปริมาณสารสมั พนั ธ์
7.2 Power point เรอ่ื งปริมาณสารสัมพันธ์
7.3 คอมพวิ เตอรแ์ บบพกพา (Note book)
7.4 ปากกาไวท์บอรด์ สีดา นา้ เงิน และแดง
7.5 Active board
7.6 iPad หรอื Tablet
8. การวัดผลประเมนิ ผล Method of Tool of Assessment Criteria
Learning Objective Assessment วธิ กี าร เครอ่ื งมือวดั ผล เกณฑก์ ารผา่ นแตล่ ะ
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ ประเมนิ ผล จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
วดั ผลประเมนิ ผล แบบฝกึ หดั และ
(ระบุใหค้ รบทกุ จดุ ประสงค)์ การทาแบบฝกึ หดั และ รอ้ ยละ 70
4.3 นักเรียนสามารถดลุ สมการเคมขี องปฏกิ ริ ยิ า แบบทดสอบเรอ่ื งปริมาณ
เคมบี างชนิด (P, K) แบบทดสอบเรื่อง สารสัมพนั ธ์ ร้อยละ 90
ปรมิ าณสารสมั พนั ธ์
4.5 นักเรยี นมีวนิ ยั ใฝเ่ รยี นรู้ และมงุ่ ม่นั ในการ แบบประเมนิ และสงั เกต
ทางาน(A) การสังเกตการรว่ ม พฤติกรรม
กจิ กรรมระหวา่ งการ
เรยี นการสอน
59
5. Learning Activities (Session Plan) การออกแบบกิจกรรมการจดั การเรียนรู้
5.1 Period No ช่ัวโมงที่ /คาบท่ี 23
Day วัน จันทร์ –ศุกร์ Date ท่ี 28 ธ.ค. -1 Month เดือน มกราคม Year พ.ศ. 2564
Learning Objective จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
4.4 นักเรยี นสามารถคานวณปรมิ าณของสารในปฏกิ ริ ิยาเคมที เ่ี กย่ี วขอ้ งกับมวลสาร (P, K)
4.5 นักเรียนมวี ินัย ใฝเ่ รยี นรู้ และมงุ่ ม่นั ในการทางาน (A)
Teaching Procedure กระบวนการจัดการเรียนการสอน (ระบกุ ระบวนการหลักทใี่ ช้ออกแบบจดั การเรยี นรใู้ นแต่ละชั่วโมงหรือ
คาบ)
Mathematics Process Skill Problem Solving Reasoning with Principles
Reasoning from Experience Create Critical thinking Value Creating Process
Knowledge and Understanding Awareness Creating Step Analysis Process
Decision Making Process Language Learning Process Reading Process
Listening Process Grouping Process Scientific Process
Inquiry Process Historical Process Technological Process
Working Process Creating skills for practice Process Attitude Process
Decision Making process Building Creative Process Building Conceptual Process
Communication, interpretation and presentation Process
Teaching Procedure กิจกรรมการเรียนการสอน คอื กระบวนการเรยี นร้คู วามเขา้ ใจ
1) ขั้นสังเกต/ตระหนัก
1.1 ครูนาอภิปราย การเปลย่ี นแปลงปรมิ าณสารในปฏิกริ ิยาเคมีมีความสัมพนั ธก์ นั ตามเลขสมั ประสิทธใิ์ นสมการเคมี ซ่งึ บอก
ถงึ อตั ราส่วนโดยโมลของสารในปฏกิ ิรยิ า สามารถนามาใช้ในการคานวณปริมาณของสารท่ีเกี่ยวข้องกับมวล ความเข้มข้น
ของสารละลาย และปริมาตรของแก๊สได้
2) ขน้ั วางแผนปฏบิ ตั ิ
2.1 ให้นกั เรยี นศึกษาตัวอย่างการเปลีย่ นแปลงปรมิ าณสารในปฏกิ ริ ยิ าเคมมี คี วามสมั พันธ์กันตามเลขสมั ประสิทธ์ิในสมการ
เคมีในเอกสารประกอบการเรยี น
2.2 ครูยกตัวอย่างโจทยแ์ ละสาธติ การคานวณ
3) ข้ันลงมือปฏิบตั ิ
3.1 นกั เรยี นทาแบบฝกึ หัดตามทีค่ รูกาหนด
3.2 ครตู รวจดูการทาแบบฝึกหดั ของนกั เรยี นแต่ละคน
4) ขั้นพฒั นาความรู้ ความเข้าใจ
4.1 ครูใหน้ กั เรยี นทม่ี ขี ้อสงสัย ซักถามไดร้ ะหว่างการเรียนรู้
5) ขั้นสรปุ
5.1 ครูสมุ่ ถามนกั เรียนเพอื่ สรุปความเข้าใจท่ีเกิดขนึ้
5.2 ครูมอบหมายให้นกั เรยี นไปทาแบบฝกึ หัดเพิ่มเติมจากเอกสารประกอบการเรียน
60
6. Teaching Strategies / Teaching Method ระบุวธิ กี ารสอนที่ใชใ้ นการจัดการเรียนรู้
Lecture ใช้บรรยาย Experiment ใช้การทดลอง Discussions (Spoken)
Hand-on Learning
Deduction ใช้การนิรนยั Field Trip ใชก้ ารไปทัศนศกึ ษา Learning Communities
Small Group Discussion ใช้การอภปิ รายรายกลมุ่ Dramatization ใชก้ ารแสดงละคร Multimedia Instruction
Peer Tutoring
ย่อย Project-based Learning
Questioning
Role Playing ใช้การแสดงบทบาทสมมติ Case Study ใช้กรณตี ัวอยา่ ง Reading
Presentation
Simulation ใชส้ ถานการณ์จาลอง Learning Centre ใชศ้ นู ย์การเรียน
Programmed Instruction ใช้บทเรียนโปรแกรม Game
Demonstration ใช้การสาธติ Induction ใชก้ ารอุปนัย
Brainstorming Cooperative Learning
Dialogue Journals Discovery Learning
7. Material Aids สอื่ การเรยี นการสอน/แหลง่ เรยี นรู้ (ส่อื วสั ดุ สิ่งของ / ส่ือธรรมชาติ / สอื่ เทคโนโลยี / ฯลฯ)
7.1 เอกสารประกอบการเรียนการสอนเรอื่ งปริมาณสารสัมพันธ์
7.2 Power point เรอ่ื งปรมิ าณสารสมั พนั ธ์
7.3 คอมพิวเตอร์แบบพกพา (Note book)
7.4 ปากกาไวท์บอรด์ สดี า นา้ เงนิ และแดง
7.5 Active board
7.6 iPad หรือ Tablet
8. การวดั ผลประเมินผล Method of Tool of Assessment Criteria
Learning Objective Assessment เคร่ืองมือวดั ผล เกณฑ์การผ่านแตล่ ะ
จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ วิธีการวัดผล ประเมินผล จุดประสงค์การเรียนรู้
ประเมนิ ผล
(ระบุให้ครบทุกจุดประสงค)์ การทาแบบฝกึ หดั แบบฝกึ หดั และ ร้อยละ 70
4.4 นกั เรยี นสามารถคานวณปรมิ าณของสารใน และแบบทดสอบ แบบทดสอบเร่ืองปรมิ าณ
ปฏกิ ิริยาเคมที ี่เกี่ยวขอ้ งกับมวลสาร (P, K) เรื่องปรมิ าณสาร รอ้ ยละ 90
สารสมั พนั ธ์
4.5 นักเรยี นมวี ินยั ใฝ่เรียนรู้ และม่งุ มน่ั ในการ สัมพนั ธ์
ทางาน(A) การสงั เกตการรว่ ม แบบประเมินและสังเกต
กจิ กรรมระหว่างการ พฤตกิ รรม
เรียนการสอน
61
5. Learning Activities (Session Plan) การออกแบบกจิ กรรมการจัดการเรยี นรู้
5.1 Period No ช่ัวโมงที่ /คาบท่ี 24-25
Day วนั จันทร์ –ศุกร์ Date ท่ี 11-15 Month เดือน มกราคม Year พ.ศ. 2564
Learning Objective จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
4.4 นกั เรยี นสามารถคานวณปรมิ าณของสารในปฏกิ ริ ยิ าเคมีที่เกยี่ วข้องกับมวลสาร (P, K)
4.5 นักเรยี นมวี ินัย ใฝเ่ รียนรู้ และม่งุ ม่นั ในการทางาน (A)
Teaching Procedure กระบวนการจดั การเรียนการสอน (ระบกุ ระบวนการหลกั ทใี่ ชอ้ อกแบบจดั การเรียนรูใ้ นแตล่ ะชว่ั โมงหรือ
คาบ)
Mathematics Process Skill Problem Solving Reasoning with Principles
Reasoning from Experience Create Critical thinking Value Creating Process
Knowledge and Understanding Awareness Creating Step Analysis Process
Decision Making Process Language Learning Process Reading Process
Listening Process Grouping Process Scientific Process
Inquiry Process Historical Process Technological Process
Working Process Creating skills for practice Process Attitude Process
Decision Making process Building Creative Process Building Conceptual Process
Communication, interpretation and presentation Process
Teaching Procedure กิจกรรมการเรียนการสอน คือ กระบวนการเรยี นรคู้ วามเข้าใจ
1) ขั้นสงั เกต/ตระหนกั
1.1 ครทู บทวนคานวณปรมิ าณของสารในปฏกิ ิรยิ าเคมที ่ีเก่ยี วข้องกับมวลสารทเ่ี รยี นจากชั่วโมงกอ่ นหน้า
2) ข้นั วางแผนปฏบิ ตั ิ
2.1 ให้นกั เรยี นศึกษาตวั อย่างการเปล่ียนแปลงปรมิ าณสารในปฏกิ ริ ยิ าเคมีมคี วามสมั พนั ธ์กนั ตามเลขสัมประสทิ ธิใ์ นสมการ
เคมใี นเอกสารประกอบการเรยี น
2.2 ครูยกตัวอย่างโจทย์และสาธิตการคานวณ
3) ขน้ั ลงมือปฏบิ ัติ
3.1 นกั เรยี นทาแบบฝกึ หดั ตามทีค่ รูกาหนด
3.2 ครูตรวจดูการทาแบบฝกึ หดั ของนักเรียนแต่ละคน
4) ขั้นพฒั นาความรู้ ความเขา้ ใจ
4.1 ครใู ห้นักเรยี นทม่ี ขี ้อสงสยั ซักถามได้ระหวา่ งการเรียนรู้
5) ขั้นสรปุ
5.1 ครสู มุ่ ถามนักเรยี นเพื่อสรปุ ความเขา้ ใจทเี่ กดิ ข้ึน
5.2 ครมู อบหมายให้นักเรียนไปทาแบบฝึกหดั เพม่ิ เตมิ จากเอกสารประกอบการเรยี น
62
6. Teaching Strategies / Teaching Method ระบุวธิ กี ารสอนที่ใชใ้ นการจัดการเรียนรู้
Lecture ใช้บรรยาย Experiment ใช้การทดลอง Discussions (Spoken)
Hand-on Learning
Deduction ใช้การนิรนยั Field Trip ใชก้ ารไปทัศนศกึ ษา Learning Communities
Small Group Discussion ใช้การอภปิ รายรายกลมุ่ Dramatization ใชก้ ารแสดงละคร Multimedia Instruction
Peer Tutoring
ย่อย Project-based Learning
Questioning
Role Playing ใช้การแสดงบทบาทสมมติ Case Study ใช้กรณตี ัวอยา่ ง Reading
Presentation
Simulation ใชส้ ถานการณ์จาลอง Learning Centre ใชศ้ นู ย์การเรยี น
Programmed Instruction ใช้บทเรียนโปรแกรม Game
Demonstration ใช้การสาธติ Induction ใชก้ ารอุปนัย
Brainstorming Cooperative Learning
Dialogue Journals Discovery Learning
7. Material Aids สอื่ การเรยี นการสอน/แหลง่ เรยี นรู้ (ส่อื วสั ดุ สิ่งของ / ส่ือธรรมชาติ / สื่อเทคโนโลยี / ฯลฯ)
7.1 เอกสารประกอบการเรียนการสอนเรอื่ งปริมาณสารสัมพันธ์
7.2 Power point เรอ่ื งปรมิ าณสารสมั พนั ธ์
7.3 คอมพิวเตอร์แบบพกพา (Note book)
7.4 ปากกาไวท์บอรด์ สดี า นา้ เงนิ และแดง
7.5 Active board
7.6 iPad หรือ Tablet
8. การวดั ผลประเมินผล Method of Tool of Assessment Criteria
Learning Objective Assessment เคร่ืองมอื วดั ผล เกณฑ์การผ่านแตล่ ะ
จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ วิธีการวัดผล ประเมนิ ผล จุดประสงค์การเรียนรู้
ประเมนิ ผล
(ระบุให้ครบทุกจุดประสงค)์ การทาแบบฝกึ หดั แบบฝกึ หดั และ ร้อยละ 70
4.4 นกั เรยี นสามารถคานวณปรมิ าณของสารใน และแบบทดสอบ แบบทดสอบเรอ่ื งปรมิ าณ
ปฏกิ ิริยาเคมที ี่เกี่ยวขอ้ งกับมวลสาร (P, K) เรื่องปรมิ าณสาร รอ้ ยละ 90
สารสมั พันธ์
4.5 นักเรยี นมวี ินยั ใฝ่เรียนรู้ และม่งุ มน่ั ในการ สัมพนั ธ์
ทางาน(A) การสงั เกตการรว่ ม แบบประเมินและสังเกต
กิจกรรมระหว่างการ พฤตกิ รรม
เรียนการสอน
63
การประเมินพฤติกรรมมีวนิ ัย ใฝ่เรยี นรู้และความมุ่งมนั่ ในการทางาน
คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ขอ้ ท่ี 3 มีวินยั
ตวั ชี้วดั 3.1 ปฏิบตั ิตามขอ้ ตกลง กฎเกณฑ์ ระเบียบขอ้ บังคบั ของครอบครัว โรงเรียน และสงั คม
ระดับคณุ ภาพ เกณฑก์ ารพจิ ารณา
ดเี ยย่ี ม (3) ไดผ้ ลการประเมินตัวชว้ี ดั ระดบั ดีเยย่ี ม
ดี (2) ได้ผลการประเมนิ ตวั ช้ีวดั ระดับดี
ผ่าน (1) ไดผ้ ลการประเมนิ ตวั ชี้วัด ระดับผา่ น
ไมผ่ า่ น (0) ได้ผลการประเมินตัวชี้วัด ระดบั ไมผ่ ่าน
คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ข้อท่ี 4 ใฝเ่ รียนรู้
ตัวชีว้ ดั 4.1 ต้งั ใจเพยี รพยายามในการเรยี นและเขา้ ร่วมกิจกรรม
4.2 แสวงหาความรู้จากแหล่งเรียนรตู้ า่ ง ๆ ทั้งภายใน และภายนอกโรงเรยี นด้วยการเลอื กใชส้ ่อื อยา่ งเหมาะสม บนั ทกึ
ความรู้ วิเคราะห์ สรุปองค์ความรู้ สามารถนาไปใช้ในชวี ติ ประจาวนั ได้
ระดบั คณุ ภาพ เกณฑก์ ารพิจารณา
ดเี ย่ยี ม (3) ได้ผลการประเมินระดบั ดเี ยย่ี มทุกตวั ช้วี ดั
ดี (2) 1. ไดผ้ ลการประเมินระดบั ดเี ยี่ยมจานวน 1 ตัวชว้ี ัดและระดับดี 1 ตวั ชวี้ ัดหรอื
2. ได้ผลการประเมินระดบั ดีทุกตวั ชว้ี ัด
ผ่าน (1) 1. ไดผ้ ลการประเมินดับผา่ นทุกตวั ชี้วดั หรอื
2. ได้ผลการประเมินระดับดขี นึ้ ไปจานวน 1 ตวั ชี้วดั และ ระดับผา่ น 1 ตวั ชี้วดั
ไมผ่ า่ น (0) ได้ผลการประเมนิ ระดับไมผ่ ่านตั้งแต่ 1 ตวั ช้ีวดั ข้ึนไป
คุณลักษณะอันพึงประสงคข์ ้อที่ 6 มุ่งม่ันในการทางาน
ตวั ช้ีวัด 6.1 ต้งั ใจและรับผดิ ชอบในหนา้ ที่การงาน
6.2 ทางานด้วยความเพยี รพยายาม และอดทนเพื่อให้งานสาเรจ็ ตามเปา้ หมาย
ระดบั คณุ ภาพ เกณฑก์ ารพจิ ารณา
ดเี ย่ยี ม (3) ได้ผลการประเมนิ ระดับดเี ยีย่ มทกุ ตัวชีว้ ดั
ดี (2) 1. ไดผ้ ลการประเมนิ ระดับดีเย่ยี มจานวน 1 ตัวช้วี ัดและระดบั ดี 1 ตวั ช้วี ดั หรอื
2. ได้ผลการประเมินระดับดที ุกตวั ชวี้ ดั
ผา่ น (1) 1. ไดผ้ ลการประเมนิ ดบั ผา่ นทุกตวั ช้วี ัด หรือ
2. ไดผ้ ลการประเมนิ ระดบั ดีขึ้นไปจานวน 1 ตัวชี้วัด และ ระดับผา่ น 1 ตวั ชีว้ ัด
ไม่ผา่ น (0) ได้ผลการประเมนิ ระดบั ไมผ่ ่านตั้งแต่ 1 ตัวชวี้ ัดข้นึ ไป
64
แผนการจัดการเรียนรู้
Learning Area กลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
Term ภาคเรยี นที่ 2 Academic Year ปีการศกึ ษา 2563
Title of Subject เคมี Subject Code ว31222 Level ช้ัน มธั ยมศกึ ษาปีที่ 4
Unit No. หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 5 Title of Unit การคานวณปรมิ าณของสารใน Time Allocated 9 Periods (คาบ)
ปฏิกิรยิ าเคมี1
Week No. สอนสัปดาห์ที่ 12-15 Day วัน จันทร์-ศกุ ร์ Date ที่ 11 ม.ค. – 5 Month เดือน กมุ ภาพนั ธ์ Year พ.ศ. 2564
1. Strand and Learning Outcomes สาระและผลการเรยี นรู้
สาระเคมี
2. เข้าใจการเขยี นและการดุลสมการเคมี ปรมิ าณสมั พนั ธ์ในปฏิกิริยาเคมี อัตราการเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมี สมดุลในปฏิกิรยิ าเคมี
สมบัตแิ ละปฏิกริ ิยาของกรด–เบส ปฏิกิริยารดี อกซ์และเซลลเ์ คมีไฟฟ้า รวมท้ังการนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
ผลการเรยี นรู้
13. คานวณปรมิ าณของสารในปฏกิ ิรยิ าเคมีทเ่ี ก่ียวข้องกบั ความเข้มขน้ ของสารละลาย
14. คานวณปริมาณของสารในปฏกิ ิริยาเคมที ีเ่ กย่ี วขอ้ งกับปริมาตรแกส๊
15. คานวณปรมิ าณของสารในปฏกิ ริ ยิ าเคมีหลายขน้ั ตอน
2. Sub-topics (Topic Discussed in this Learning Unit) / Local Wisdom / 21th Century Skills / School policies
สาระการเรยี นรเู้ พิม่ เติม (หวั ขอ้ ย่อย) /ภูมปิ ัญญาทอ้ งถนิ่ / ทกั ษะในศตวรรษท่ี 21 หรือจดุ เนน้ ตามนโยบายของโรงเรยี น
2.1 สาระการเรยี นรู้เพม่ิ เติม (การคานวณปริมาณของสารในปฏิกริ ยิ าเคม1ี )
2.1.1 คานวณปรมิ าณของสารในปฏกิ ริ ยิ าเคมที ่ีเก่ียวขอ้ งกับความเขม้ ข้นของสารละลาย
2.1.2 คานวณปรมิ าณของสารในปฏกิ ริ ยิ าเคมที เ่ี กย่ี วขอ้ งกับปรมิ าตรแก๊ส
2.1.3 คานวณปริมาณของสารในปฏกิ ิรยิ าเคมีหลายข้ันตอน
2.2 ทกั ษะของผเู้ รียนศตวรรษท่ี 21 (3Rs x 8Cs x 2Ls)
R1– Reading (อา่ นออก) R2– (W)riting (เขียนได้) R3 – (A)Rithmetics (คดิ เลขเป็น)
C1 - Critical Thinking and Problem Solving (ทกั ษะด้านการคิดอยา่ งมีวิจารณญาณและทักษะในการแก้ปัญหา)
C2 - Creativity and Innovation (ทกั ษะดา้ นการสร้างสรรคแ์ ละนวัตกรรม)
C3 - Cross-cultural Understanding (ทักษะด้านความเขา้ ใจต่างวฒั นธรรม ตา่ งกระบวนทศั น)์
C4 - Collaboration, Teamwork and Leadership (ทักษะด้านความรว่ มมือ การทางานเปน็ ทมี และภาวะผ้นู า)
C5 – Communications, Information and Media Literacy (ทกั ษะดา้ นการส่อื สารสารสนเทศและรเู้ ท่าทนั สอื่ )
C6 - Computing and ICT Literacy (ทกั ษะด้านคอมพวิ เตอร์ และเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอ่ื สาร)
C7 - Career and Learning Skills (ทกั ษะอาชพี และทกั ษะการเรียนร)ู้
C8 – Compassion (ความมีเมตตากรณุ า วินยั คณุ ธรรม จรยิ ธรรม)
L1 – Learning (ทักษะการเรยี นร)ู้
L2 – Leadership (ทักษะความเป็นผู้นา)
65
3. Learners’ Key Competencies and Desirable Characteristics สมรรถนะและคณุ ลกั ษณะพงึ ประสงค์
3.1 Learners’ Key Competencies สมรรถนะ
1. Communication Capacity ความสามารถในการส่อื สาร
2. Thinking Capacity ความสามารถในการคิด
3. Problem Solving Capacity ความสามารถในการแก้ปญั หา
4. Capacity for Applying Life Skills ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ติ
5. Capacity for Technological Application ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
3.2 Desirable Characteristics คุณลกั ษณะพงึ ประสงค์
1. Love of nation, religion and king รกั ชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์
2. Honesty and integrity ซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ
3. Self – Discipline มวี นิ ัย
4. Avidity for Learning ใฝ่เรยี นรู้
5. Observance of principles of Sufficiency Economy Philosophy in one’s way of Life อยอู่ ยา่ งพอเพียง
6. Dedication and commitment to work ม่งุ มั่นในการทางาน
7. Cherishing Thai-ness รักความเปน็ ไทย
8. Public-mindness มีจติ สาธารณะ
9. Be health and well-balance สุขภาพและสุนทรยี ภาพ
4. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ (ระบุใหค้ รบ KPA)
4.1 นักเรียนสามารถคานวณปรมิ าณของสารในปฏกิ ริ ิยาเคมีที่เกีย่ วขอ้ งกบั ความเขม้ ขน้ ของสารละลายได้ (P, K)
4.2 นักเรียนสามารถคานวณปรมิ าณของสารในปฏกิ ิรยิ าเคมีทเี่ กี่ยวข้องกับปรมิ าตรแกส๊ ได้ (P, K)
4.3 นักเรยี นสามารถคานวณปรมิ าณของสารในปฏกิ ิริยาเคมีหลายขนั้ ตอนคานวณความเขม้ ข้นของสารละลายในหนว่ ย
ต่าง ๆ ได้ (P, K)
4.4 นกั เรยี นมีวนิ ัย ใฝเ่ รยี นรู้ และมุ่งมน่ั ในการทางาน (A)
66
5. Learning Activities (Session Plan) การออกแบบกจิ กรรมการจดั การเรยี นรู้
5.1 Period No ชว่ั โมงท่ี /คาบที่ 26-27
Day วนั จนั ทร์ –ศกุ ร์ Date ที่ 11-15 Month เดือน มกราคม Year พ.ศ. 2564
Learning Objective จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
4.1 นกั เรียนสามารถคานวณปรมิ าณของสารในปฏกิ ิริยาเคมที ีเ่ กย่ี วข้องกับความเข้มขน้ ของสารละลายได้ (P, K)
4.4 นักเรียนมวี นิ ยั ใฝ่เรยี นรู้ และมงุ่ ม่นั ในการทางาน (A)
Teaching Procedure กระบวนการจดั การเรยี นการสอน (ระบกุ ระบวนการหลกั ที่ใชอ้ อกแบบจดั การเรยี นรูใ้ นแต่ละช่วั โมงหรือ
คาบ)
Mathematics Process Skill Problem Solving Reasoning with Principles
Reasoning from Experience Create Critical thinking Value Creating Process
Knowledge and Understanding Awareness Creating Step Analysis Process
Decision Making Process Language Learning Process Reading Process
Listening Process Grouping Process Scientific Process
Inquiry Process Historical Process Technological Process
Working Process Creating skills for practice Process Attitude Process
Decision Making process Building Creative Process Building Conceptual Process
Communication, interpretation and presentation Process
Teaching Procedure กจิ กรรมการเรยี นการสอน คือ กระบวนการสรา้ งความคิดรวบยอด
1) ขนั้ สงั เกต/รับรู้
1.1 ครูใหน้ กั เรียนสบื คน้ ข้อมลู เรอื่ งการคานวณปรมิ าณของสารในปฏิกริ ยิ าเคมีทีเ่ กีย่ วข้องกบั ความเขม้ ขน้ ของสารละลาย
1.2 ครูทบทวนความหมายของปฏกิ ิรยิ าเคมีวา่ เป็นการเปลยี่ นแปลงที่มสี ารใหมเ่ กดิ ขน้ึ โดยชนดิ และจานวนอะตอมของธาตุ
ไมเ่ ปล่ยี นแปลง แลว้ ยกตวั อย่างปฏกิ ริ ยิ าเคมที ีพ่ บในชวี ิตประจาวัน เชน่ ปฏิกิรยิ าของกรดซิทริกและโซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนตในยา
ลดกรดเมอ่ื ละลายน้า ปฏกิ ริ ยิ าการเผาไหมข้ องแกส๊ โพรเพนในแกส๊ หุงต้ม และแสดงสมการเคมีของปฏิกริ ิยาดงั กลา่ ว เพ่ือชใ้ี หเ้ หน็ ว่ามี
การเปลยี่ นแปลงของสูตรเคมขี องสารตัง้ ต้นไปเป็นสตู รเคมขี องผลติ ภณั ฑ์ โดยอะตอมของธาตุทกุ ชนิดมีจานวนเท่าเดมิ แตม่ ีการ
จัดเรยี งตัวใหม่
1.3 ครูตั้งคาถามว่า การต้มน้าจนเดือดกลายเป็นไอเป็นปฏิกิริยาเคมีหรือไม่ เพราะเหตุใด ซึ่งควรได้คาตอบว่า ไม่เป็น
ปฏิกิรยิ าเคมี แต่เป็นการเปล่ียนแปลงทางกายภาพ เนื่องจากนา้ และไอน้าเปน็ สารเคมีชนิดเดียวกัน แต่สถานะต่างกัน จากนน้ั ครูอาจ
สาธติ หรือยกตวั อยา่ งปฏกิ ริ ิยาเคมีระหว่างสารละลายกรดและสารละลายเบส ซึ่งไมส่ ามารถสงั เกตเหน็ การเปลย่ี นแปลง แล้วตั้งคาถาม
วา่ นกั เรียนจะทราบได้อยา่ งไรว่ามีการเปล่ียนแปลงเกิดขึ้น ซึง่ ควรตอบไดว้ า่ ต้องใช้เครอื่ งมือตรวจสอบ เช่น ใชก้ ระดาษ pH วัดค่า pH
ดังน้ันการจะระบุว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นปฏิกิริยาเคมีหรอื ไม่ อาจไม่สามารถบอกได้ด้วยการสังเกต แต่ต้องทราบว่ามีสารใหม่เกิดข้ึน
หรือไม่
2) ข้นั จาแนกความแตกตา่ ง
2.1 ครูอธิบายความหมายของปริมาณสัมพันธ์ว่าเป็นการศึกษาความสัมพันธ์ระหวา่ งปริมาณสารต้ังต้นท่ีใช้ไปและปริมาณ
ผลิตภัณฑ์ท่ีเกดิ ข้นึ ในปฏิกิริยาเคมี ซึ่งพจิ ารณาได้จากเลขสมั ประสทิ ธิใ์ นสมการเคมี
2.2 ครูยกตัวอย่างสมการเคมีของปฏิกิริยาระหว่างโลหะโซเดียมกับแก๊สคลอรีน แล้วให้นักเรียนหาอัตราส่วนโดยโมลของ
โลหะโซเดียมที่ทาปฏิกิริยากับแก๊สคลอรีนและโซเดียมคลอไรด์ที่เกิดข้ึน ซ่ึงควรตอบได้ว่า มีค่าเท่ากับ 2 : 1 : 2 จากนั้นครูทบทวน
เกีย่ วกบั การเขยี นแฟกเตอร์เปลี่ยนหนว่ ยและวธิ กี ารเทียบหนว่ ย
67
2.3 ครูอธิบายการคานวณจานวนโมลของสารในสมการเคมี เมอื่ กาหนดจานวนโมลของสารใด
สารหนึง่ ด้วยวธิ กี ารเทียบหนว่ ยจากอตั ราสว่ นโดยโมล โดยยกตัวอย่าง 5 ประกอบการอธิบาย
2.4 ครูใหน้ ักเรยี นตอบคาถามเพื่อตรวจสอบความเข้าใจ
3) ข้ันหาลกั ษณะรว่ ม
3.1 ครูต้งั คาถามว่า จากอัตราส่วนโดยโมล เมือ่ ทราบจานวนโมลของสาร สามารถเปลีย่ นเป็นปริมาณใดไดบ้ ้าง ซึง่ ควรตอบ
ได้ว่า จากจานวนโมลสามารถเปล่ียนเป็นปริมาณอ่ืน ๆ ได้ เชน่ จานวนอนภุ าค มวล ความเข้มข้นของสารละลาย ปริมาตรของแก๊สท่ี
STP เพือ่ นาเข้าสกู่ ารคานวณจานวนโมลของสารในปฏิกริ ิยาเคมกี บั ปริมาณอ่ืน ๆ
3.2 ให้นกั เรยี นจับคชู่ ่วยกันทาโจทย์คานวณปริมาณของสารในปฏกิ ริ ยิ าเคมีทีเ่ กี่ยวข้องกบั ความเขม้ ขน้ ของสารละลาย
4) ข้ันระบชุ อ่ื ความคิดรวบยอด
4.1 ครูนาอภิปรายตัวอย่างเพิ่มเติมและสรุปคานวณปริมาณของสารในปฏิกิริยาเคมีที่เกี่ยวข้องกับความเข้มข้นของ
สารละลาย
4.2 ให้นักเรียนสรปุ องคค์ วามร้ดู ้วยการเขยี นแผนผังความคดิ
5) ขนั้ ทดสอบและนาไปใช้
5.1 ใหน้ ักเรียนทาแบบฝกึ หัด โดยครคู อยแนะนาและซักถามความเข้าใจของนกั เรียน
5.2 ครูสุ่มถามนกั เรียนเพื่อสรุปความเข้าใจทีเ่ กิดขน้ึ
5.3 ครใู ห้นักเรยี นทาแบบทดสอบ
6. Teaching Strategies / Teaching Method ระบวุ ิธีการสอนทีใ่ ช้ในการจดั การเรียนรู้
Lecture ใช้บรรยาย Experiment ใช้การทดลอง Discussions (Spoken)
Deduction ใช้การนิรนยั Field Trip ใชก้ ารไปทศั นศกึ ษา Hand-on Learning
Small Group Discussion ใช้การอภิปรายรายกลมุ่ Dramatization ใชก้ ารแสดงละคร Learning Communities
ยอ่ ย
Role Playing ใชก้ ารแสดงบทบาทสมมติ Case Study ใช้กรณีตัวอยา่ ง Multimedia Instruction
Simulation ใช้สถานการณ์จาลอง Learning Centre ใช้ศูนยก์ ารเรยี น Peer Tutoring
Programmed Instruction ใชบ้ ทเรยี นโปรแกรม Game Project-based Learning
Demonstration ใช้การสาธติ Induction ใชก้ ารอปุ นัย Questioning
Brainstorming Cooperative Learning Reading
Dialogue Journals Discovery Learning Presentation
7. Material Aids สอ่ื การเรียนการสอน/แหล่งเรยี นรู้ (สอ่ื วัสดุ สิง่ ของ / สื่อธรรมชาติ / สื่อเทคโนโลยี / ฯลฯ)
7.1 เอกสารประกอบการเรยี นการสอนเร่อื งปรมิ าณสารสมั พนั ธ์
7.2 Power point เร่ืองปรมิ าณสารสัมพันธ์
7.3 คอมพวิ เตอร์แบบพกพา (Note book)
7.4 ปากกาไวท์บอร์ดสีดา นา้ เงิน และแดง
7.5 Active board
7.6 iPad หรอื Tablet
8. การวดั ผลประเมินผล Method of Tool of Assessment 68
Assessment เครอื่ งมือวัดผล
Learning Objective วธิ ีการวัดผล ประเมนิ ผล Criteria
จุดประสงค์การเรยี นรู้ ประเมินผล เกณฑ์การผา่ นแตล่ ะ
(ระบุให้ครบทกุ จุดประสงค)์ การทาแบบฝกึ หดั แบบฝกึ หดั และ จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
และแบบทดสอบ แบบทดสอบเรอ่ื งปริมาณ
4.1 นกั เรียนสามารถคานวณปรมิ าณของสารใน เรื่องปริมาณสาร รอ้ ยละ 70
ปฏกิ ริ ยิ าเคมีทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั ความเข้มขน้ ของ สารสมั พันธ์
สารละลายได้ (P, K) สัมพนั ธ์ ร้อยละ 90
การสงั เกตการรว่ ม แบบประเมินและสงั เกต
4.4 นักเรยี นมวี นิ ัย ใฝเ่ รียนรู้ และม่งุ ม่ันในการ กิจกรรมระหว่างการ พฤติกรรม
ทางาน (A)
เรยี นการสอน
69
5. Learning Activities (Session Plan) การออกแบบกจิ กรรมการจัดการเรียนรู้
5.1 Period No ชัว่ โมงท่ี /คาบท่ี 28-29
Day วัน จนั ทร์ –ศกุ ร์ Date ท่ี 18-22 Month เดอื น มกราคม Year พ.ศ. 2564
Learning Objective จุดประสงค์การเรียนรู้
4.1 นักเรยี นสามารถคานวณปรมิ าณของสารในปฏิกิรยิ าเคมีทเี่ กีย่ วขอ้ งกบั ความเข้มข้นของสารละลายได้ (P, K)
4.4 นักเรยี นมวี ินยั ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งม่นั ในการทางาน (A)
Teaching Procedure กระบวนการจดั การเรยี นการสอน (ระบกุ ระบวนการหลกั ที่ใชอ้ อกแบบจดั การเรยี นรใู้ นแตล่ ะช่วั โมงหรอื
คาบ)
Mathematics Process Skill Problem Solving Reasoning with Principles
Reasoning from Experience Create Critical thinking Value Creating Process
Knowledge and Understanding Awareness Creating Step Analysis Process
Decision Making Process Language Learning Process Reading Process
Listening Process Grouping Process Scientific Process
Inquiry Process Historical Process Technological Process
Working Process Creating skills for practice Process Attitude Process
Decision Making process Building Creative Process Building Conceptual Process
Communication, interpretation and presentation Process
Teaching Procedure กจิ กรรมการเรยี นการสอน คอื กระบวนการสร้างความคดิ รวบยอด
1) ขัน้ สงั เกต/รบั รู้
1.1 ครตู ้ังคาถามวา่ ในทางปฏบิ ตั นิ ยิ มวัดปรมิ าณของสารด้วยวิธีการใด ซ่งึ ควรตอบได้วา่ วดั มวลของสารจากการนาสารไป
ช่งั เนือ่ งจากสะดวกต่อการวดั
2) ข้นั จาแนกความแตกตา่ ง
2.1 ครูทบทวนความรเู้ ก่ียวกับการเปล่ยี นหนว่ ยจากโมลไปเปน็ มวล โดยใชม้ วลต่อโมล เพอ่ื นาไปใชค้ านวณปริมาณของสาร
ในปฏิกริ ยิ าเคมที ี่เกย่ี วขอ้ งกบั มวลสาร โดยใช้อัตราสว่ นโดยโมลในการหาจานวนโมลของสารที่ต้องการ และใช้มวลต่อโมลในการ
เปลย่ี นจานวนโมลใหเ้ ปน็ มวลของสารจากนั้นอธิบายการคานวณปรมิ าณสารทเี่ กย่ี วข้องกบั มวล โดยยกตวั อย่างโจทยก์ ารคานวณ
ประกอบการอธิบาย
2.2 ครอู ธบิ ายตวั อย่างการวิเคราะห์โจทย์ปัญหา การกาหนดข้นั ตอนการแกป้ ัญหา และการดาเนินการ
2.3 ครใู ห้นกั เรยี นจบั คู่ช่วยกันทาแบบฝึกหัด
3) ขัน้ หาลักษณะรว่ ม
3.1 ครูยกตัวอย่างปฏิกิริยาเคมีบางชนิดทส่ี ารต้งั ต้นเป็นสารละลาย เชน่ ปฏิกิรยิ าระหว่างสารละลายกรดกับเบส สารท่ีทา
ปฏิกิริยาเคมีกันคอื ตัวละลาย โดยปริมาณของตวั ละลายในสารละลายแสดงในรูปของความเขม้ ขน้ ของสารละลาย สาหรับในวิชาเคมี
นิยมแสดงความเข้มข้นของสารละลายในหน่วยโมลาร์หรือโมลต่อลิตร เนื่องจากมีความสัมพันธ์กับโมล จากนั้นครูทบทวนความรู้
เกย่ี วกบั การคานวณจานวนโมล จากความเข้มขน้ และปรมิ าตรของสารละลาย
3.2 ครูให้นักเรียนช่วยกนั ยกตัวอยา่ งโจทยก์ ารคานวณประกอบการอธิบายการคานวณปรมิ าณสารในปฏิกิรยิ าเคมที ี่
เก่ยี วขอ้ งกับความเข้มขน้ ของสารละลาย
3.3 ครูใหน้ กั เรยี นศกึ ษาตัวอยา่ งในเอกสารประกอบการเรยี น วเิ คราะห์โจทยป์ ญั หา ศึกษาขนั้ ตอนการแกป้ ัญหา และสรปุ
ขัน้ ตอนการคานวณ
70
4) ขัน้ ระบชุ ือ่ ความคิดรวบยอด
4.1 ครใู หน้ กั เรียนทาแบบฝึกหดั
4.2 ครูตั้งคาถามว่า สาหรบั สารทม่ี สี ถานะแก๊ส ซง่ึ วดั มวลไดย้ าก ในทางปฏิบัตจิ ะใชป้ รมิ าณใดในการวัดแก๊ส ซึ่งควรตอบได้
ว่า ส่วนใหญ่วัดปริมาตรของแก๊ส จากนั้นครูทบทวนความรู้เกี่ยวกับการเปล่ียนจานวนโมลเป็นปริมาตรของแก๊สที่ STP โดยใช้
ความสัมพันธ์ แก๊ส 1 โมล มีปริมาตร 22.4 ลิตรท่ี STP เพ่ือเชื่อมโยงสู่การคานวณปริมาณสารในปฏิกิริยาเคมีที่เก่ียวข้องกับแก๊สท่ี
STP พร้อมท้งั ยกตวั อยา่ งโจทย์ประกอบการอธบิ าย
5) ขน้ั ทดสอบและนาไปใช้
5.1 ให้นักเรียนทาแบบฝึกหัด โดยครูคอยแนะนาและซักถามความเขา้ ใจของนักเรียน
5.3 ครใู ห้นักเรยี นทาแบบทดสอบ
5.2 ครูส่มุ ถามนักเรยี นเพอ่ื สรุปความเขา้ ใจท่ีเกิดข้ึน
5.3 ครูให้นกั เรียนทาแบบทดสอบ
6. Teaching Strategies / Teaching Method ระบุวิธกี ารสอนท่ใี ชใ้ นการจัดการเรยี นรู้
Lecture ใช้บรรยาย Experiment ใชก้ ารทดลอง Discussions (Spoken)
Deduction ใชก้ ารนิรนัย Field Trip ใชก้ ารไปทัศนศกึ ษา Hand-on Learning
Small Group Discussion ใช้การอภิปรายรายกลมุ่ Dramatization ใชก้ ารแสดงละคร Learning Communities
ย่อย
Role Playing ใช้การแสดงบทบาทสมมติ Case Study ใชก้ รณตี ัวอย่าง Multimedia Instruction
Simulation ใช้สถานการณ์จาลอง Learning Centre ใชศ้ นู ยก์ ารเรียน Peer Tutoring
Programmed Instruction ใช้บทเรียนโปรแกรม Game Project-based Learning
Demonstration ใช้การสาธติ Induction ใช้การอปุ นยั Questioning
Brainstorming Cooperative Learning Reading
Dialogue Journals Discovery Learning Presentation
7. Material Aids สอื่ การเรยี นการสอน/แหลง่ เรียนรู้ (ส่ือวัสดุ ส่งิ ของ / สื่อธรรมชาติ / ส่ือเทคโนโลยี / ฯลฯ)
7.1 เอกสารประกอบการเรยี นการสอนเรือ่ งปรมิ าณสารสมั พันธ์
7.2 Power point เรื่องปรมิ าณสารสัมพนั ธ์
7.3 คอมพิวเตอรแ์ บบพกพา (Note book)
7.4 ปากกาไวทบ์ อร์ดสดี า นา้ เงิน และแดง
7.5 Active board
7.6 iPad หรือ Tablet
8. การวดั ผลประเมินผล Method of Tool of Assessment 71
Assessment เครอื่ งมือวัดผล
Learning Objective วธิ ีการวัดผล ประเมนิ ผล Criteria
จุดประสงค์การเรยี นรู้ ประเมินผล เกณฑ์การผา่ นแตล่ ะ
(ระบุให้ครบทกุ จุดประสงค)์ การทาแบบฝกึ หดั แบบฝกึ หดั และ จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
และแบบทดสอบ แบบทดสอบเรอ่ื งปริมาณ
4.1 นกั เรียนสามารถคานวณปรมิ าณของสารใน เรื่องปริมาณสาร รอ้ ยละ 70
ปฏกิ ริ ยิ าเคมีทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั ความเข้มขน้ ของ สารสมั พันธ์
สารละลายได้ (P, K) สัมพนั ธ์ ร้อยละ 90
การสงั เกตการรว่ ม แบบประเมินและสงั เกต
4.4 นักเรยี นมวี นิ ัย ใฝเ่ รียนรู้ และม่งุ ม่ันในการ กิจกรรมระหว่างการ พฤติกรรม
ทางาน (A)
เรยี นการสอน
72
5. Learning Activities (Session Plan) การออกแบบกิจกรรมการจดั การเรยี นรู้
5.1 Period No ชั่วโมงที่ /คาบท่ี 30-31
Day วัน จันทร์ –ศกุ ร์ Date ที่ 25- 29 Month เดอื น มกราคม Year พ.ศ. 2564
Learning Objective จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
4.2 นักเรยี นสามารถคานวณปรมิ าณของสารในปฏิกิริยาเคมีท่เี กย่ี วข้องกบั ปรมิ าตรแกส๊ ได้ (P, K)
4.4 นกั เรยี นมวี ินัย ใฝเ่ รยี นรู้ และมุ่งมัน่ ในการทางาน (A)
Teaching Procedure กระบวนการจัดการเรยี นการสอน (ระบกุ ระบวนการหลักทใ่ี ชอ้ อกแบบจดั การเรยี นรู้ในแต่ละ
ช่วั โมงหรอื คาบ)
Mathematics Process Skill Problem Solving Reasoning with Principles
Reasoning from Experience Create Critical thinking Value Creating Process
Knowledge and Understanding Awareness Creating Step Analysis Process
Decision Making Process Language Learning Process Reading Process
Listening Process Grouping Process Scientific Process
Inquiry Process Historical Process Technological Process
Working Process Creating skills for practice Process Attitude Process
Decision Making process Building Creative Process Building Conceptual Process
Communication, interpretation and presentation Process
Teaching Procedure กจิ กรรมการเรยี นการสอน คอื กระบวนการกล่มุ
1) ขั้นกาหนดเปา้ หมาย
1.1 ครนู าอภิปรายเรอ่ื งคานวณปรมิ าณของสารในปฏกิ ิริยาเคมที ี่เก่ียวข้องกบั ปริมาตรแกส๊
1.2 ครตู งั้ คาถามว่า สาหรับสารทม่ี สี ถานะแก๊ส ซง่ึ วัดมวลได้ยาก ในทางปฏิบัติจะใช้ปริมาณใดในการวัดแก๊ส ซง่ึ ควรตอบได้
ว่า ส่วนใหญ่วัดปริมาตรของแก๊ส จากน้ันครูทบทวนความรู้เก่ียวกับการเปล่ียนจานวนโมลเป็นปริมาตรของแก๊สท่ี STP โดยใช้
ความสัมพันธ์ แก๊ส 1 โมล มีปริมาตร 22.4 ลิตรท่ี STP เพ่ือเช่ือมโยงสู่การคานวณปริมาณสารในปฏิกิริยาเคมีท่ีเก่ียวข้องกับแก๊สที่
STP พรอ้ มท้ังยกตวั อย่างโจทยป์ ระกอบการอธิบาย
2) ขนั้ วางแผน
2.1 ครใู หน้ ักเรียนแบง่ กลุ่มออกเป็น 10 กลุ่ม กลุ่มละไมเ่ กิน 4 คน โดยคละคนเกง่ ปานกลาง ออ่ น
2.2 ครูทบทวนเก่ียวกบั กฎสัดส่วนคงท่ีซ่งึ มอี ัตราส่วนโดยมวลของธาตุท่เี ป็นองค์ประกอบคงที่เสมอ แล้วใช้คาถามนาว่า ถ้า
นาแก๊สสองชนิดมาทาปฏิกิริยากัน อัตราส่วนโดยปริมาตรระหว่างแก๊สท้ังสองท่ีทาปฏิกิริยาพอดีกันจะเป็นอย่างไร เพื่อนา เข้าสู่การ
สาธิตกิจกรรมการทดลองปฏกิ ิรยิ าเคมรี ะหว่างแกส๊ ออกซเิ จนและแก๊สไนโตรเจนมอนอกไซด์ เนอ่ื งจากการทดลองน้ีใช้แก๊สไนโตรเจน
มอนอกไซด์ ท่ีเป็นอันตราย จงึ เป็นการสาธิตแต่สามารถให้นักเรียนทาการทดลองได้ถ้ามีตู้ควันหรอื ทาการทดลองในบริเวณที่อากาศ
ถา่ ยเทสะดวก
2.3 มอบหมายให้นกั เรียนแต่ละกลุ่มอภปิ รายผลการทดลองตามคาถามท้ายการทดลอง และสรุปผลการทดลอง
3) ขน้ั ค้นหาคาตอบ
3.1 นกั เรียนแตก่ ลมุ่ สง่ คาตอบโดยครูชว่ ยตรวจทานคาตอบ
3.2 ครมู อบหมายใหเ้ ลือกตวั แทนแต่ละกลมุ่ นาเสนอการแกโ้ จทย์หน้าหอ้ ง
4) ขนั้ ประเมนิ ผล
4.1 ครูบนั ทกึ คะแนนการทางานเปน็ กลมุ่ ลงในแบบประเมินที่ครูเตรียมไว้
73
5) ข้นั ประยุกตใ์ ช้
5.1 ครูให้แต่ละกลมุ่ ไปเตรยี มตวั นาเสนอหน้าหอ้ งเรียนในคาบถัดไป
6. Teaching Strategies / Teaching Method ระบวุ ิธีการสอนท่ีใชใ้ นการจัดการเรยี นรู้
Lecture ใชบ้ รรยาย Experiment ใชก้ ารทดลอง Discussions (Spoken)
Hand-on Learning
Deduction ใช้การนิรนยั Field Trip ใช้การไปทศั นศึกษา Learning Communities
Small Group Discussion ใช้การอภิปรายรายกล่มุ Dramatization ใช้การแสดงละคร Multimedia Instruction
Peer Tutoring
ย่อย Project-based Learning
Questioning
Role Playing ใชก้ ารแสดงบทบาทสมมติ Case Study ใชก้ รณีตวั อยา่ ง Reading
Presentation
Simulation ใชส้ ถานการณ์จาลอง Learning Centre ใช้ศนู ย์การเรียน
Programmed Instruction ใชบ้ ทเรียนโปรแกรม Game
Demonstration ใชก้ ารสาธติ Induction ใชก้ ารอุปนยั
Brainstorming Cooperative Learning
Dialogue Journals Discovery Learning
7. Material Aids สื่อการเรียนการสอน/แหลง่ เรียนรู้ (สอ่ื วัสดุ ส่ิงของ / สอ่ื ธรรมชาติ / สือ่ เทคโนโลยี / ฯลฯ)
7.1 เอกสารประกอบการเรียนการสอนเรื่องปริมาณสารสมั พนั ธ์
7.2 Power point เรื่องปริมาณสารสัมพนั ธ์
7.3 คอมพวิ เตอร์แบบพกพา (Note book)
7.4 ปากกาไวท์บอร์ดสดี า น้าเงิน และแดง
7.5 Active board
7.6 iPad หรอื Tablet
8. การวัดผลประเมนิ ผล Method of Tool of Assessment Criteria
Learning Objective Assessment เครื่องมอื วดั ผล เกณฑก์ ารผา่ นแตล่ ะ
จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ วิธีการวดั ผล ประเมินผล จดุ ประสงค์การเรียนรู้
ประเมนิ ผล
(ระบใุ ห้ครบทกุ จุดประสงค)์ การทาแบบฝึกหดั แบบฝึกหัดและ รอ้ ยละ 70
4.2 นกั เรียนสามารถคานวณปรมิ าณของสารใน และแบบทดสอบ แบบทดสอบเรือ่ งปรมิ าณ
ปฏกิ ริ ิยาเคมที ีเ่ กี่ยวขอ้ งกับปรมิ าตรแก๊สได้ (P, K) เร่ืองปรมิ าณสาร รอ้ ยละ 90
สารสมั พันธ์
4.4 นกั เรยี นมวี ินยั ใฝเ่ รยี นรู้ และม่งุ มน่ั ในการ สัมพนั ธ์
ทางาน (A) การสังเกตการรว่ ม แบบประเมนิ และสงั เกต
กิจกรรมระหว่างการ พฤตกิ รรม
เรียนการสอน
74
5. Learning Activities (Session Plan) การออกแบบกจิ กรรมการจดั การเรียนรู้
5.1 Period No ช่ัวโมงที่ /คาบที่ 32-33
Day วัน จันทร์ –ศกุ ร์ Date ท่ี 1-5 Month เดือน กมุ ภาพนั ธ์ Year พ.ศ. 2564
Learning Objective จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
4.3 นักเรียนสามารถคานวณปรมิ าณของสารในปฏิกริ ิยาเคมหี ลายขนั้ ตอนคานวณความเขม้ ขน้ ของสารละลายในหนว่ ย
ต่าง ๆ ได้ (P, K)
4.4 นกั เรียนมีวินยั ใฝเ่ รียนรู้ และมงุ่ มัน่ ในการทางาน (A)
Teaching Procedure กระบวนการจดั การเรยี นการสอน (ระบกุ ระบวนการหลักที่ใช้ออกแบบจดั การเรยี นร้ใู นแตล่ ะ
ช่วั โมงหรือคาบ)
Mathematics Process Skill Problem Solving Reasoning with Principles
Reasoning from Experience Create Critical thinking Value Creating Process
Knowledge and Understanding Awareness Creating Step Analysis Process
Decision Making Process Language Learning Process Reading Process
Listening Process Grouping Process Scientific Process
Inquiry Process Historical Process Technological Process
Working Process Creating skills for practice Process Attitude Process
Decision Making process Building Creative Process Building Conceptual Process
Communication, interpretation and presentation Process
Teaching Procedure กจิ กรรมการเรยี นการสอน คอื กระบวนการปฏบิ ัติ
1) ขั้นสงั เกต
1.1 ครูให้ความรู้ว่าปฏิกิริยาเคมีบางชนิดมีหลายข้ันตอน จึงมีสมการเคมีท่ีเกี่ยวข้องหลายสมการ จากนั้นครูยกตัวอย่าง
ปฏกิ ิรยิ าเคมขี องการถลุงโลหะสังกะสี พร้อมแสดงสมการเคมีทเ่ี ก่ียวข้องประกอบการอธบิ าย ดังน้ี
2C(s) + O2(g) 2CO(g) .....(1)
ZnO(s) + CO(g) Zn(s) + CO2(g) …..(2)
1.2 ครูต้ังคาถามว่า สมการเคมีทั้งสองมีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร ซ่ึงควรตอบได้ว่า ในสมการเคมีท้ังสองมีแก๊ส
คาร์บอนมอนอกไซด์เป็นตัวร่วมของทั้งสองสมการ โดยเปน็ ผลิตภัณฑ์ในสมการ (1) และเป็นสารต้งั ต้นในสมการ (2) จากน้ันครอู ธบิ าย
เก่ยี วกับวธิ กี ารรวมสมการเคมี ซึง่ ต้องทาใหต้ วั รว่ มของทงั้ สองสมการเท่ากนั แลว้ นาไปหักลา้ งกนั ไดส้ มการเคมรี วมดังน้ี
2C(s) + O2(g) + 2ZnO(s) 2Zn(s) + 2CO2(g)
1.3 นกั เรียนสังเกตและซักถามขอ้ สงสัย ครูอภิปรายเพอ่ื ตอบขอ้ สงสัยของนักเรียน
2) ขน้ั ทาตามแบบ
2.1 ครูสรปุ ว่า ถ้าทราบปรมิ าณของสารใดสารหน่ึงในสมการหน่ึง จะสามารถหาปริมาณของสารในอีกสมการหนง่ึ ได้
2.2 ครูอธบิ ายการคานวณปรมิ าณสารในปฏกิ ิรยิ าเคมที ่เี กย่ี วข้องกับสมการหลายข้ันตอน โดยยกตัวโจทยป์ ระกอบ
2.3 นกั เรยี นจับกลุ่ม 6 คน โดยเรียงลาดับตามเลขท่ีชว่ ยกนั ทาโจทย์ท่คี รกู าหนดให้
3) ขั้นใหท้ าเองโดยไม่มีแบบ
3.1 นักเรียนแต่ละกลุ่มช่วยกันทาโจทย์การคานวณิเพ่ือทบทวนความรู้เกี่ยวกับการรวมสมการเคมี และการคานวณปริมาณ
ของสารทีเ่ กี่ยวขอ้ งกับปฏกิ ริ ิยาเคมีหลายขั้นตอน
3.2 ครูควรตรวจสอบความถูกตอ้ งและอธบิ ายเพ่ิมเติมในกรณที ี่นกั เรยี นมีความเข้าใจท่คี ลาดเคล่อื น
75
3.3 ตัวแทนกลุ่มนักเรยี นนาเสนอผลการทากจิ กรรม ครูและเพื่อนซักถาม
4) ขัน้ ฝึกใหช้ านาญ
4.1 ครสู ุ่มนกั เรียนแต่ละกลมุ่ ใหท้ าการสาธติ การคานวณใหด้ ู
4.2 กอ่ นหมดเวลา 5 นาที ครแู ละนกั เรยี นสรุปการเรียนรรู้ ว่ มกัน
4.3 ครมู อบหมายการบ้านเพ่ือใหน้ กั เรียนฝกึ ฝนการทาโจทย์เพิม่ เติมดว้ ยตนเองให้เกดิ ความชานาญ
6. Teaching Strategies / Teaching Method ระบวุ ิธกี ารสอนท่ใี ชใ้ นการจัดการเรยี นรู้
Lecture ใชบ้ รรยาย Experiment ใช้การทดลอง Discussions (Spoken)
Hand-on Learning
Deduction ใชก้ ารนริ นัย Field Trip ใชก้ ารไปทศั นศึกษา Learning Communities
Small Group Discussion ใช้การอภปิ รายรายกลมุ่ Dramatization ใชก้ ารแสดงละคร Multimedia Instruction
Peer Tutoring
ยอ่ ย Project-based Learning
Questioning
Role Playing ใชก้ ารแสดงบทบาทสมมติ Case Study ใช้กรณตี ัวอย่าง Reading
Presentation
Simulation ใชส้ ถานการณจ์ าลอง Learning Centre ใช้ศนู ยก์ ารเรยี น
Programmed Instruction ใช้บทเรียนโปรแกรม Game
Demonstration ใช้การสาธติ Induction ใช้การอุปนัย
Brainstorming Cooperative Learning
Dialogue Journals Discovery Learning
7. Material Aids สือ่ การเรยี นการสอน/แหลง่ เรียนรู้ (ส่อื วัสดุ สง่ิ ของ / ส่อื ธรรมชาติ / สื่อเทคโนโลยี / ฯลฯ)
7.1 เอกสารประกอบการเรยี นการสอนเรื่องปรมิ าณสารสมั พันธ์
7.2 Power point เรอ่ื งปรมิ าณสารสัมพันธ์
7.3 คอมพิวเตอรแ์ บบพกพา (Note book)
7.4 ปากกาไวทบ์ อร์ดสดี า นา้ เงิน และแดง
7.5 Active board
7.6 iPad หรือ Tablet
8. การวัดผลประเมินผล
Learning Objective Method of Tool of Assessment Criteria
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ Assessment เครื่องมอื วัดผล เกณฑก์ ารผา่ นแตล่ ะ
(ระบุใหค้ รบทกุ จุดประสงค)์ วิธกี ารวดั ผล ประเมนิ ผล จุดประสงค์การเรียนรู้
ประเมนิ ผล
4.3 นักเรียนสามารถคานวณปรมิ าณของสารใน การทาแบบฝกึ หดั แบบฝกึ หัดและ ร้อยละ 70
ปฏกิ ริ ยิ าเคมีหลายข้นั ตอนคานวณความเข้มขน้ และแบบทดสอบ แบบทดสอบเรือ่ งปริมาณ
ของสารละลายในหนว่ ย เรื่องปริมาณสาร สารสมั พันธ์
ต่าง ๆ ได้ (P, K) สมั พนั ธ์
4.4 นักเรียนมีวนิ ยั ใฝเ่ รียนรู้ และมุง่ มนั่ ในการ การสังเกตการรว่ ม แบบประเมนิ และสงั เกต ร้อยละ 90
ทางาน (A) กจิ กรรมระหวา่ งการ พฤตกิ รรม
เรียนการสอน
76
5. Learning Activities (Session Plan) การออกแบบกจิ กรรมการจัดการเรยี นรู้
5.1 Period No ช่ัวโมงท่ี /คาบที่ 34
Day วัน จนั ทร์ –ศกุ ร์ Date ที่ 1-5 Month เดอื น กมุ ภาพนั ธ์ Year พ.ศ. 2564
Learning Objective จุดประสงค์การเรยี นรู้
4.3 นกั เรียนสามารถคานวณปรมิ าณของสารในปฏิกิรยิ าเคมีหลายขน้ั ตอนคานวณความเข้มขน้ ของสารละลายในหนว่ ย
ต่าง ๆ ได้ (P, K)
4.4 นกั เรยี นมีวนิ ยั ใฝเ่ รียนรู้ และมุ่งมนั่ ในการทางาน (A)
Teaching Procedure กระบวนการจัดการเรยี นการสอน (ระบกุ ระบวนการหลกั ท่ีใช้ออกแบบจดั การเรียนรใู้ นแตล่ ะ
ชัว่ โมงหรอื คาบ)
Mathematics Process Skill Problem Solving Reasoning with Principles
Reasoning from Experience Create Critical thinking Value Creating Process
Knowledge and Understanding Awareness Creating Step Analysis Process
Decision Making Process Language Learning Process Reading Process
Listening Process Grouping Process Scientific Process
Inquiry Process Historical Process Technological Process
Working Process Creating skills for practice Process Attitude Process
Decision Making process Building Creative Process Building Conceptual Process
Communication, interpretation and presentation Process
Teaching Procedure กจิ กรรมการเรยี นการสอน คอื กระบวนการปฏบิ ัติ
1) ขั้นสังเกต
1.1 ครูให้ความรู้ว่าปฏิกิริยาเคมีบางชนิดมีหลายขั้นตอน จึงมีสมการเคมีท่ีเก่ียวข้องหลายสมการ จากน้ันครูยกตัวอย่าง
ปฏกิ ริ ิยาเคมขี องการถลุงโลหะสงั กะสี พร้อมแสดงสมการเคมีที่เกี่ยวขอ้ งประกอบการอธิบาย ดงั น้ี
2C(s) + O2(g) 2CO(g) .....(1)
ZnO(s) + CO(g) Zn(s) + CO2(g) …..(2)
1.2 ครตู ั้งคาถามวา่ สมการเคมที ้ังสองมีความเกยี่ วข้องกันอย่างไร ซงึ่ ควรตอบได้ว่า ในสมการเคมีท้ังสองมีแกส๊ คาร์บอนมอน
อกไซด์เป็นตวั ร่วมของท้งั สองสมการ โดยเปน็ ผลิตภณั ฑใ์ นสมการ (1) และเป็นสารต้งั ต้นในสมการ (2) จากนัน้ ครอู ธิบายเกย่ี วกับวธิ ีการ
รวมสมการเคมี ซง่ึ ตอ้ งทาให้ตวั รว่ มของทั้งสองสมการเท่ากัน แลว้ นาไปหกั ลา้ งกนั ได้สมการเคมีรวมดังน้ี
2C(s) + O2(g) + 2ZnO(s) 2Zn(s) + 2CO2(g)
1.3 นกั เรยี นสังเกตและซักถามข้อสงสัย ครอู ภปิ รายเพือ่ ตอบขอ้ สงสัยของนกั เรียน
2) ขั้นทาตามแบบ
2.1 ครสู รุปว่า ถ้าทราบปรมิ าณของสารใดสารหน่ึงในสมการหนึง่ จะสามารถหาปริมาณของสารในอกี สมการหน่ึงได้
2.2 ครอู ธบิ ายการคานวณปริมาณสารในปฏิกริ ิยาเคมที เ่ี กี่ยวข้องกับสมการหลายข้นั ตอน โดยยกตัวโจทย์ประกอบ
2.3 นักเรยี นจบั กลุม่ 6 คน โดยเรยี งลาดับตามเลขท่ชี ่วยกนั ทาโจทย์ที่ครกู าหนดให้
3) ขน้ั ใหท้ าเองโดยไมม่ แี บบ
3.1 นักเรียนแต่ละกลุ่มช่วยกันทาโจทย์การคานวณิเพื่อทบทวนความรู้เก่ียวกับการรวมสมการเคมี และการคานวณปริมาณ
ของสารทเี่ กีย่ วขอ้ งกบั ปฏกิ ิริยาเคมหี ลายข้ันตอน
3.2 ครูควรตรวจสอบความถูกตอ้ งและอธบิ ายเพิม่ เตมิ ในกรณที น่ี ักเรียนมคี วามเขา้ ใจท่ีคลาดเคลอ่ื น
77
3.3 ตัวแทนกลุ่มนักเรยี นนาเสนอผลการทากจิ กรรม ครูและเพื่อนซักถาม
4) ขัน้ ฝึกใหช้ านาญ
4.1 ครสู ุ่มนกั เรียนแต่ละกลมุ่ ใหท้ าการสาธติ การคานวณใหด้ ู
4.2 กอ่ นหมดเวลา 5 นาที ครแู ละนกั เรยี นสรุปการเรียนรรู้ ว่ มกัน
4.3 ครมู อบหมายการบ้านเพ่ือใหน้ กั เรียนฝกึ ฝนการทาโจทย์เพิม่ เติมดว้ ยตนเองให้เกดิ ความชานาญ
6. Teaching Strategies / Teaching Method ระบวุ ิธกี ารสอนท่ใี ชใ้ นการจัดการเรยี นรู้
Lecture ใชบ้ รรยาย Experiment ใช้การทดลอง Discussions (Spoken)
Hand-on Learning
Deduction ใชก้ ารนริ นัย Field Trip ใชก้ ารไปทศั นศึกษา Learning Communities
Small Group Discussion ใช้การอภปิ รายรายกลมุ่ Dramatization ใชก้ ารแสดงละคร Multimedia Instruction
Peer Tutoring
ยอ่ ย Project-based Learning
Questioning
Role Playing ใชก้ ารแสดงบทบาทสมมติ Case Study ใช้กรณตี ัวอย่าง Reading
Presentation
Simulation ใชส้ ถานการณจ์ าลอง Learning Centre ใช้ศนู ยก์ ารเรยี น
Programmed Instruction ใช้บทเรียนโปรแกรม Game
Demonstration ใช้การสาธติ Induction ใช้การอุปนัย
Brainstorming Cooperative Learning
Dialogue Journals Discovery Learning
7. Material Aids สือ่ การเรยี นการสอน/แหลง่ เรียนรู้ (ส่อื วัสดุ สง่ิ ของ / ส่อื ธรรมชาติ / สื่อเทคโนโลยี / ฯลฯ)
7.1 เอกสารประกอบการเรยี นการสอนเรื่องปรมิ าณสารสมั พันธ์
7.2 Power point เรอ่ื งปรมิ าณสารสัมพันธ์
7.3 คอมพิวเตอรแ์ บบพกพา (Note book)
7.4 ปากกาไวทบ์ อร์ดสดี า นา้ เงิน และแดง
7.5 Active board
7.6 iPad หรือ Tablet
8. การวัดผลประเมินผล
Learning Objective Method of Tool of Assessment Criteria
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ Assessment เครื่องมอื วัดผล เกณฑก์ ารผา่ นแตล่ ะ
(ระบุใหค้ รบทกุ จุดประสงค)์ วิธกี ารวดั ผล ประเมนิ ผล จุดประสงค์การเรียนรู้
ประเมนิ ผล
4.3 นักเรียนสามารถคานวณปรมิ าณของสารใน การทาแบบฝกึ หดั แบบฝกึ หัดและ ร้อยละ 70
ปฏกิ ริ ยิ าเคมีหลายข้นั ตอนคานวณความเข้มขน้ และแบบทดสอบ แบบทดสอบเรือ่ งปริมาณ
ของสารละลายในหนว่ ย เรื่องปริมาณสาร สารสมั พันธ์
ต่าง ๆ ได้ (P, K) สมั พนั ธ์
4.4 นักเรียนมีวนิ ยั ใฝเ่ รียนรู้ และมุง่ มนั่ ในการ การสังเกตการรว่ ม แบบประเมนิ และสงั เกต ร้อยละ 90
ทางาน (A) กจิ กรรมระหวา่ งการ พฤตกิ รรม
เรียนการสอน
78
การประเมินพฤติกรรมมีวินัย ใฝเ่ รยี นรูแ้ ละความมุ่งมั่นในการทางาน
คุณลกั ษณะอันพึงประสงคข์ อ้ ที่ 3 มีวินัย
ตวั ชว้ี ัด 3.1 ปฏบิ ัติตามขอ้ ตกลง กฎเกณฑ์ ระเบยี บข้อบังคับของครอบครัว โรงเรยี น และสงั คม
ระดับคณุ ภาพ เกณฑ์การพจิ ารณา
ดีเยีย่ ม (3) ไดผ้ ลการประเมนิ ตวั ชว้ี ดั ระดับดีเยีย่ ม
ดี (2) ไดผ้ ลการประเมนิ ตัวชี้วัด ระดับดี
ผ่าน (1) ไดผ้ ลการประเมินตัวชี้วัด ระดบั ผา่ น
ไมผ่ า่ น (0) ไดผ้ ลการประเมนิ ตัวช้วี ัด ระดับไม่ผา่ น
คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ข้อที่ 4 ใฝเ่ รยี นรู้
ตัวชวี้ ัด 4.1 ตง้ั ใจเพยี รพยายามในการเรยี นและเข้ารว่ มกจิ กรรม
4.2 แสวงหาความรจู้ ากแหล่งเรยี นรูต้ า่ ง ๆ ท้ังภายใน และภายนอกโรงเรียนด้วยการเลือกใชส้ ือ่ อย่างเหมาะสม บนั ทกึ
ความรู้ วเิ คราะห์ สรปุ องคค์ วามรู้ สามารถนาไปใชใ้ นชวี ิตประจาวันได้
ระดับคณุ ภาพ เกณฑ์การพจิ ารณา
ดเี ยีย่ ม (3) ได้ผลการประเมนิ ระดบั ดีเย่ียมทุกตัวช้ีวัด
ดี (2) 1. ได้ผลการประเมินระดบั ดีเยี่ยมจานวน 1 ตัวช้วี ัดและระดับดี 1 ตวั ชว้ี ดั หรอื
2. ได้ผลการประเมินระดบั ดที กุ ตวั ชว้ี ดั
ผ่าน (1) 1. ไดผ้ ลการประเมนิ ดับผา่ นทุกตวั ช้ีวดั หรอื
2. ได้ผลการประเมนิ ระดับดีข้นึ ไปจานวน 1 ตวั ช้วี ัด และ ระดบั ผา่ น 1 ตัวชี้วัด
ไม่ผา่ น (0) ไดผ้ ลการประเมินระดบั ไมผ่ ่านตง้ั แต่ 1 ตวั ชวี้ ดั ขน้ึ ไป
คณุ ลักษณะอนั พึงประสงคข์ ้อท่ี 6 ม่งุ ม่นั ในการทางาน
ตัวชี้วดั 6.1 ตงั้ ใจและรบั ผดิ ชอบในหน้าที่การงาน
6.2 ทางานดว้ ยความเพยี รพยายาม และอดทนเพือ่ ใหง้ านสาเรจ็ ตามเปา้ หมาย
ระดบั คณุ ภาพ เกณฑก์ ารพจิ ารณา
ดีเย่ยี ม (3) ได้ผลการประเมินระดบั ดเี ยย่ี มทกุ ตัวชว้ี ัด
ดี (2) 1. ไดผ้ ลการประเมนิ ระดบั ดีเยยี่ มจานวน 1 ตวั ช้ีวัดและระดบั ดี 1 ตวั ชีว้ ดั หรือ
2. ได้ผลการประเมนิ ระดับดีทุกตวั ช้ีวดั
ผา่ น (1) 1. ไดผ้ ลการประเมนิ ดับผา่ นทุกตวั ช้วี ดั หรือ
2. ไดผ้ ลการประเมินระดบั ดีขนึ้ ไปจานวน 1 ตวั ชว้ี ดั และ ระดบั ผ่าน 1 ตัวชีว้ ดั
ไมผ่ า่ น (0) ได้ผลการประเมินระดับไมผ่ า่ นต้ังแต่ 1 ตัวชว้ี ัดขึน้ ไป
79
แผนการจดั การเรียนรู้
Learning Area กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
Term ภาคเรยี นที่ 2 Academic Year ปกี ารศกึ ษา 2563
Title of Subject เคมี Subject Code ว31222 Level ชั้น มธั ยมศึกษาปีที่ 4
Unit No. หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 6 Title of Unit การคานวณปรมิ าณของสารใน Time Allocated 9 Periods (คาบ)
ปฏิกิรยิ าเคมี 2
Week No. สอนสปั ดาหท์ ี่ 16-19 Day วัน จนั ทร์-ศุกร์ Date ท่ี 8 ก.พ. – 5 Month เดอื น มีนาคม Year พ.ศ. 2564
1. Strand and Learning Outcomes สาระและผลการเรียนรู้
สาระเคมี
2. เข้าใจการเขียนและการดลุ สมการเคมี ปริมาณสัมพันธ์ในปฏิกริ ิยาเคมี อัตราการเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี สมดลุ ในปฏกิ ิรยิ าเคมี
สมบัติและปฏิกิริยาของกรด–เบส ปฏกิ ิริยารีดอกซ์และเซลล์เคมไี ฟฟ้า รวมทง้ั การนาความร้ไู ปใช้ประโยชน์
ผลการเรยี นรู้
16. ระบสุ ารกาหนดปรมิ าณและคานวณปรมิ าณสารต่าง ๆ ในปฏกิ ริ ยิ าเคมี
17. คานวณผลไดร้ ้อยละของผลติ ภณั ฑใ์ นปฏกิ ิรยิ าเคมี
2. Sub-topics (Topic Discussed in this Learning Unit) / Local Wisdom / 21th Century Skills / School policies
สาระการเรยี นรู้เพิม่ เติม (หวั ขอ้ ย่อย) /ภูมิปญั ญาทอ้ งถิน่ / ทกั ษะในศตวรรษที่ 21 หรือจดุ เนน้ ตามนโยบายของโรงเรียน
2.1 สาระการเรยี นรู้เพ่มิ เติม (การคานวณปรมิ าณของสารในปฏกิ ริ ิยาเคมี 2 )
2.1.1 ระบสุ ารกาหนดปรมิ าณ
2.1.2 คานวณปรมิ าณสารตา่ ง ๆ ในปฏกิ ริ ยิ าเคมี
2.1.3 คานวณผลไดร้ ้อยละของผลติ ภัณฑใ์ นปฏกิ ริ ยิ าเคมี
2.2 ทักษะของผู้เรยี นศตวรรษท่ี 21 (3Rs x 8Cs x 2Ls)
R1– Reading (อ่านออก) R2– (W)riting (เขยี นได)้ R3 – (A)Rithmetics (คิดเลขเป็น)
C1 - Critical Thinking and Problem Solving (ทกั ษะดา้ นการคดิ อยา่ งมีวจิ ารณญาณและทักษะในการแก้ปัญหา)
C2 - Creativity and Innovation (ทกั ษะดา้ นการสรา้ งสรรคแ์ ละนวัตกรรม)
C3 - Cross-cultural Understanding (ทักษะด้านความเข้าใจต่างวฒั นธรรม ต่างกระบวนทัศน)์
C4 - Collaboration, Teamwork and Leadership (ทักษะดา้ นความรว่ มมอื การทางานเป็นทมี และภาวะผ้นู า)
C5 – Communications, Information and Media Literacy (ทกั ษะด้านการส่ือสารสารสนเทศและรเู้ ทา่ ทันสอื่ )
C6 - Computing and ICT Literacy (ทักษะดา้ นคอมพวิ เตอร์ และเทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่อื สาร)
C7 - Career and Learning Skills (ทักษะอาชพี และทักษะการเรียนร)ู้
C8 – Compassion (ความมเี มตตากรณุ า วินยั คณุ ธรรม จรยิ ธรรม)
L1 – Learning (ทกั ษะการเรยี นร)ู้
L2 – Leadership (ทักษะความเป็นผนู้ า)
80
3. Learners’ Key Competencies and Desirable Characteristics สมรรถนะและคณุ ลักษณะพึงประสงค์
3.1 Learners’ Key Competencies สมรรถนะ
1. Communication Capacity ความสามารถในการสื่อสาร
2. Thinking Capacity ความสามารถในการคดิ
3. Problem Solving Capacity ความสามารถในการแก้ปญั หา
4. Capacity for Applying Life Skills ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวติ
5. Capacity for Technological Application ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
3.2 Desirable Characteristics คุณลักษณะพงึ ประสงค์
1. Love of nation, religion and king รักชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์
2. Honesty and integrity ซอื่ สตั ยส์ ุจรติ
3. Self – Discipline มีวนิ ัย
4. Avidity for Learning ใฝเ่ รยี นรู้
5. Observance of principles of Sufficiency Economy Philosophy in one’s way of Life อยู่อยา่ งพอเพียง
6. Dedication and commitment to work มุง่ มั่นในการทางาน
7. Cherishing Thai-ness รกั ความเป็นไทย
8. Public-mindness มีจิตสาธารณะ
9. Be health and well-balance สขุ ภาพและสุนทรยี ภาพ
4. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ (ระบใุ ห้ครบ KPA)
4.1 นักเรียนสามารถระบสุ ารกาหนดปริมาณได้ (P, K)
4.2 นกั เรยี นสามารถคานวณปรมิ าณสารต่าง ๆ ในปฏิกริ ยิ าเคมีได้ (P, K)
4.3. นักเรยี นสามารถคานวณผลได้รอ้ ยละของผลติ ภณั ฑใ์ นปฏิกริ ิยาเคมีได้ (P, K)
4.4 นักเรียนมวี ินยั ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมน่ั ในการทางาน (A)
81
5. Learning Activities (Session Plan) การออกแบบกจิ กรรมการจดั การเรียนรู้
5.1 Period No ชั่วโมงท่ี /คาบที่ 35-36
Day วนั จนั ทร์ –ศกุ ร์ Date ท่ี 8-12 Month เดอื น กมุ ภาพันธ์ Year พ.ศ. 2564
Learning Objective จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
4.1 นักเรียนสามารถระบุสารกาหนดปรมิ าณได้ (P, K)
4.4 นกั เรียนมวี นิ ัย ใฝเ่ รียนรู้ และมุ่งมนั่ ในการทางาน (A)
Teaching Procedure กระบวนการจัดการเรียนการสอน (ระบกุ ระบวนการหลักที่ใช้ออกแบบจดั การเรยี นรู้ในแต่ละชัว่ โมงหรือ
คาบ)
Mathematics Process Skill Problem Solving Reasoning with Principles
Reasoning from Experience Create Critical thinking Value Creating Process
Knowledge and Understanding Awareness Creating Step Analysis Process
Decision Making Process Language Learning Process Reading Process
Listening Process Grouping Process Scientific Process
Inquiry Process Historical Process Technological Process
Working Process Creating skills for practice Process Attitude Process
Decision Making process Building Creative Process Building Conceptual Process
Communication, interpretation and presentation Process
Teaching Procedure กิจกรรมการเรยี นการสอน คอื กระบวนการสรา้ งความคิดรวบยอด
1) ขั้นสังเกต/รับรู้
1.1 ครแู จง้ หัวขอ้ ทีจ่ ะเรยี นในชวั่ โมงนค้ี อื สารกาหนดปรมิ าณ
1.2 ครนู าเขา้ ส่บู ทเรียนโดยให้นักเรียนเล่นเกมเกา้ อี้ดนตรี ดงั น้ี
- แบ่งกลมุ่ นักเรยี นกลุ่มละประมาณ 15 คนหรอื มากกว่า 10 คน แล้วให้นักเรยี นแตล่ ะกล่มุ ร่วมกนั ทากจิ กรรม
เก้าอี้ดนตรี โดยนาเกา้ อี้ 10 ตัวมาเรียงเปน็ วงกลม
- เปิดเพลงหรือร้องเพลงแลว้ เดนิ รอบเก้าอี้ เมอื่ เสยี งเพลงจบแลว้ ใหน้ บั จานวนนกั เรียนที่น่งั เก้าอแ้ี ละนักเรยี นทไี่ ม่
มีเก้าอีน้ ่ัง
1.3 ครนู าอภิปรายเก่ยี วกบั กจิ กรรม โดยใช้ประเด็นคาถามต่อไปน้ี
- นักเรยี นสามารถน่ังเก้าอไ้ี ดก้ ค่ี น และมอี กี กค่ี นทไ่ี ม่มเี กา้ อนี้ ่งั
- นักเรียนหรอื เกา้ อเ้ี ปน็ ตวั กาหนดการนั่งของนกั เรยี นซึง่ ควรตอบไดว้ า่ นกั เรยี นน่งั เกา้ อไี้ ด้ 10 คน จานวน
นกั เรยี นทเ่ี หลือคือคนทไ่ี มม่ ีเก้าอี้นงั่ และเกา้ อ้ีเป็นตวั กาหนดการน่ังของนักเรียน
2) ขั้นจาแนกความแตกต่าง
2.1 ครูอธิบายเกี่ยวกับปฏิกิริยาเคมีที่มีปริมาณของสารตั้งต้นบางชนิดมากกว่าอัตราส่วนท่ีทาปฏิกิริยาพอดีกันตามสมการ
เคมี และสารกาหนดปริมาณซึ่งเป็นสารตั้งต้นที่ทาปฏิกิริยาหมดก่อนสารอนื่ จึงเป็นสารทีก่ าหนดปริมาณผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้น แล้วต้ัง
คาถามวา่ จากเกมเก้าอี้ดนตรี ถ้าเปรียบเทียบเก้าอ้ีและนักเรียนเปน็ สารต้ังต้นท่ีเขา้ ทาปฏิกิริยาเคมี ส่ิงใดเป็นสารกาหนดปรมิ าณ ซ่ึง
ควรตอบได้ว่าเก้าอี้เปรียบได้กับสารกาหนดปริมาณ เนื่องจากเป็นสารต้ังต้นท่ีทาปฏิกิริยาหมดก่อน และเป็นตัวกาหนดปริมาณ
ผลติ ภณั ฑท์ ่ีเกิดข้นึ จากน้นั ให้นกั เรยี นตอบคาถามเพอ่ื ตรวจสอบความเข้าใจ
2.2 ครูให้นักเรียนพิจารณารูปซึ่งเป็นปฏิกิริยาเคมีระหว่างแก๊สไฮโดรเจนและแก๊สออกซิเจนท่ีมีปริมาณแก๊สไฮโดรเจน
มากกวา่ อตั ราส่วนที่ทาปฏกิ ิริยาพอดีกนั ตามสมการ
82
2.3 ครูใหน้ กั เรยี นตอบคาถามเพ่ือตรวจสอบความเขา้ ใจ
3) ข้นั หาลักษณะรว่ ม
3.1 ครูให้นกั เรยี นจับคชู่ ว่ ยกนั ทาโจทยเ์ ร่อื งสารกาหนดปรมิ าณ
4) ขั้นระบุชือ่ ความคดิ รวบยอด
4.1 ครนู าอภิปรายตวั อยา่ งเพิ่มเตมิ และสรุปเรือ่ งสารกาหนดปรมิ าณ
4.2 ใหน้ ักเรียนสรุปองค์ความรู้ด้วยการเขียนแผนผังความคดิ
5) ขนั้ ทดสอบและนาไปใช้
5.1 ให้นักเรยี นทาแบบฝกึ หัด โดยครูคอยแนะนาและซักถามความเขา้ ใจของนักเรียน
5.2 ครูสุ่มถามนักเรยี นเพือ่ สรปุ ความเข้าใจท่เี กดิ ข้ึน
5.3 ครูใหน้ กั เรียนทาแบบทดสอบ
6. Teaching Strategies / Teaching Method ระบวุ ธิ กี ารสอนท่ใี ช้ในการจดั การเรียนรู้
Lecture ใช้บรรยาย Experiment ใชก้ ารทดลอง Discussions (Spoken)
Hand-on Learning
Deduction ใช้การนิรนัย Field Trip ใชก้ ารไปทศั นศกึ ษา Learning Communities
Small Group Discussion ใช้การอภิปรายรายกลุ่ม Dramatization ใช้การแสดงละคร Multimedia Instruction
Peer Tutoring
ยอ่ ย Project-based Learning
Questioning
Role Playing ใช้การแสดงบทบาทสมมติ Case Study ใชก้ รณีตัวอย่าง Reading
Presentation
Simulation ใชส้ ถานการณจ์ าลอง Learning Centre ใชศ้ ูนยก์ ารเรียน
Programmed Instruction ใช้บทเรยี นโปรแกรม Game
Demonstration ใช้การสาธติ Induction ใช้การอปุ นัย
Brainstorming Cooperative Learning
Dialogue Journals Discovery Learning
7. Material Aids สื่อการเรยี นการสอน/แหล่งเรยี นรู้ (สอ่ื วัสดุ สง่ิ ของ / สอื่ ธรรมชาติ / สื่อเทคโนโลยี / ฯลฯ)
7.1 เอกสารประกอบการเรียนการสอนเร่อื งปริมาณสารสมั พนั ธ์
7.2 Power point เรือ่ งปรมิ าณสารสัมพนั ธ์
7.3 คอมพวิ เตอรแ์ บบพกพา (Note book)
7.4 ปากกาไวทบ์ อร์ดสดี า นา้ เงิน และแดง
7.5 Active board
7.6 iPad หรอื Tablet
8. การวดั ผลประเมนิ ผล Method of Tool of Assessment 83
Learning Objective Assessment เครอื่ งมอื วดั ผล
จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ วิธีการวัดผล ประเมนิ ผล Criteria
ประเมนิ ผล เกณฑก์ ารผ่านแตล่ ะ
(ระบุใหค้ รบทุกจดุ ประสงค)์ การทาแบบฝึกหดั แบบฝกึ หดั และ จุดประสงค์การเรยี นรู้
4.1 นักเรียนสามารถระบสุ ารกาหนดปรมิ าณได้ และแบบทดสอบ แบบทดสอบเรื่องปรมิ าณ
(P, K) เรื่องปรมิ าณสาร รอ้ ยละ 70
สารสมั พันธ์
4.4 นักเรยี นมวี นิ ัย ใฝ่เรียนรู้ และมุง่ มัน่ ในการ สัมพนั ธ์ ร้อยละ 90
ทางาน (A) การสงั เกตการร่วม แบบประเมนิ และสงั เกต
กิจกรรมระหวา่ งการ พฤติกรรม
เรียนการสอน
84
5. Learning Activities (Session Plan) การออกแบบกจิ กรรมการจดั การเรยี นรู้
5.1 Period No ช่ัวโมงท่ี /คาบที่ 37-38
Day วัน จันทร์ –ศุกร์ Date ท่ี 15-19 Month เดือน กมุ ภาพนั ธ์ Year พ.ศ. 2564
Learning Objective จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
4.2 นักเรียนสามารถคานวณปรมิ าณสารต่าง ๆ ในปฏกิ ริ ิยาเคมีได้ (P, K)
4.4 นักเรียนมวี นิ ัย ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมน่ั ในการทางาน (A)
Teaching Procedure กระบวนการจดั การเรยี นการสอน (ระบกุ ระบวนการหลกั ท่ีใช้ออกแบบจดั การเรยี นรู้ในแตล่ ะชัว่ โมงหรือ
คาบ)
Mathematics Process Skill Problem Solving Reasoning with Principles
Reasoning from Experience Create Critical thinking Value Creating Process
Knowledge and Understanding Awareness Creating Step Analysis Process
Decision Making Process Language Learning Process Reading Process
Listening Process Grouping Process Scientific Process
Inquiry Process Historical Process Technological Process
Working Process Creating skills for practice Process Attitude Process
Decision Making process Building Creative Process Building Conceptual Process
Communication, interpretation and presentation Process
Teaching Procedure กิจกรรมการเรียนการสอน คอื กระบวนการสร้างความคิดรวบยอด
1) ข้นั สงั เกต/รับรู้
1.1 ครแู สดงสมการเคมขี องปฏกิ ริ ยิ าระหวา่ งแกส๊ ไฮโดรเจนและแกส๊ ออกซเิ จนได้นา้ ดงั น้ี
2H2(g) + O2(g) 2H2O(l)
จากนั้นครูอธิบายสรุปเก่ียวกับปฏิกิริยาโดยใช้รูปประกอบการอธิบาย โดยเช่ือมโยงกับสมการเคมีว่า จากสมการเคมีแก๊ส
ไฮโดรเจน 2 โมลทาปฏิกิริยาพอดีกับแก๊สออกซิเจน 1 โมล เกิดเป็นน้า 2 โมล ดังนั้นถ้ามีแก๊สไฮโดรเจน 6 โมล จะต้องใช้แก๊ส
ออกซิเจน 3 โมล แตถ่ ้าในปฏกิ ิริยามีแก๊สออกซเิ จนเพียง 2 โมล แก๊สออกซิเจนจงึ ทาปฏกิ ริ ยิ าหมดและเป็นสารกาหนดปรมิ าณ โดยใช้
แก๊สไฮโดรเจนไปเพยี ง 4 โมลเทา่ นนั้ เมื่อส้ินสุดปฏิกริ ยิ าจึงไดน้ า้ 4 โมลหรอื 72.08 กรัม และเหลอื แก๊สไฮโดรเจน 2 โมล
2) ขัน้ จาแนกความแตกต่าง
2.1 ครูนาอภิปรายโดยตั้งคาถามว่า ในกรณีที่ปริมาณของสารตั้งต้นบางชนิดมากกว่าอัตราส่วนที่ทาปฏิกิริยาพอดีกันตาม
สมการเคมี จะคานวณปริมาณผลิตภัณฑ์และสารตั้งต้นที่เหลือได้อย่างไร ซ่ึงควรสรุปได้ว่า ต้องหาสารกาหนดปริมาณก่อน โดย
คานวณว่าสารใดท่ีทาปฏิกิริยาหมด แล้วใช้สารกาหนดปริมาณในการคานวณปริมาณผลิตภัณฑ์และสารต้ังต้นที่เหลือ จากนั้นครู
ยกตัวอยา่ งโจทย์ประกอบการอธบิ าย
2.2 ครูใหน้ ักเรยี นจับคชู่ ่วยกนั ทาแบบฝึกหดั
3) ข้ันหาลกั ษณะร่วม
3.1 ครูยกตัวอย่างปฏิกริ ิยาเคมีบางชนิดทส่ี ารต้งั ต้นเป็นสารละลาย เช่น ปฏิกิรยิ าระหว่างสารละลายกรดกับเบส สารท่ีทา
ปฏิกริ ิยาเคมีกันคือตวั ละลาย โดยปริมาณของตวั ละลายในสารละลายแสดงในรูปของความเข้มข้นของสารละลาย สาหรับในวิชาเคมี
นิยมแสดงความเข้มข้นของสารละลายในหน่วยโมลาร์หรือโมลต่อลิตร เน่ืองจากมีความสัมพันธ์กับโมล จากนั้นครูทบทวนความรู้
เก่ียวกับการคานวณจานวนโมล จากความเข้มข้นและปริมาตรของสารละลาย
85
3.2 ครยู กตัวอย่างโจทย์การคานวณปริมาณสารตา่ ง ๆ ในปฏิกริ ิยาเคมี
3.3 ครูให้นกั เรียนจับคู่ ช่วยกันศึกษาตัวอย่างในเอกสารประกอบการเรยี น วิเคราะห์โจทยป์ ญั หา ศกึ ษาข้ันตอนการ
แกป้ ัญหา และสรปุ ขั้นตอนการคานวณ
4) ขนั้ ระบุช่อื ความคิดรวบยอด
4.1 ครูใหน้ กั เรยี นแต่ละคนทาแบบฝกึ หดั ดว้ ยตัวเอง โดยครูคอยแนะนาและซกั ถามความเขา้ ใจของนกั เรียน
5) ขัน้ ทดสอบและนาไปใช้
5.1 ครสู มุ่ ถามนกั เรยี นเพอ่ื สรปุ ความเข้าใจทเ่ี กดิ ขน้ึ
5.2 ครูให้นักเรยี นทาแบบทดสอบ
5.3 ครูส่มุ ถามนักเรียนเพ่อื สรุปความเขา้ ใจทีเ่ กิดขึ้น
5.4 ครูใหน้ กั เรยี นทาแบบทดสอบ
6. Teaching Strategies / Teaching Method ระบวุ ิธกี ารสอนทใี่ ชใ้ นการจัดการเรยี นรู้
Lecture ใชบ้ รรยาย Experiment ใช้การทดลอง Discussions (Spoken)
Hand-on Learning
Deduction ใชก้ ารนริ นยั Field Trip ใช้การไปทัศนศึกษา Learning Communities
Small Group Discussion ใชก้ ารอภิปรายรายกล่มุ Dramatization ใชก้ ารแสดงละคร Multimedia Instruction
Peer Tutoring
ย่อย Project-based Learning
Questioning
Role Playing ใช้การแสดงบทบาทสมมติ Case Study ใชก้ รณตี ัวอยา่ ง Reading
Presentation
Simulation ใชส้ ถานการณ์จาลอง Learning Centre ใช้ศูนย์การเรียน
Programmed Instruction ใชบ้ ทเรยี นโปรแกรม Game
Demonstration ใชก้ ารสาธติ Induction ใชก้ ารอุปนยั
Brainstorming Cooperative Learning
Dialogue Journals Discovery Learning
7. Material Aids สื่อการเรียนการสอน/แหล่งเรยี นรู้ (สือ่ วสั ดุ สิ่งของ / สือ่ ธรรมชาติ / ส่อื เทคโนโลยี / ฯลฯ)
7.1 เอกสารประกอบการเรียนการสอนเรอ่ื งปรมิ าณสารสมั พันธ์
7.2 Power point เรื่องปริมาณสารสัมพนั ธ์
7.3 คอมพวิ เตอรแ์ บบพกพา (Note book)
7.4 ปากกาไวท์บอร์ดสีดา นา้ เงนิ และแดง
7.5 Active board
7.6 iPad หรือ Tablet
8. การวัดผลประเมินผล Method of Tool of Assessment 86
Learning Objective Assessment เครื่องมอื วัดผล
จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ วธิ ีการวดั ผล ประเมินผล Criteria
ประเมนิ ผล เกณฑ์การผ่านแตล่ ะ
(ระบใุ หค้ รบทกุ จุดประสงค์) การทาแบบฝกึ หดั แบบฝึกหดั และ จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
4.2 นกั เรียนสามารถคานวณปรมิ าณสารต่าง ๆ และแบบทดสอบ แบบทดสอบเรื่องปรมิ าณ
ในปฏิกิริยาเคมีได้ (P, K) เรือ่ งปริมาณสาร รอ้ ยละ 70
สารสมั พันธ์
4.4 นักเรยี นมีวินยั ใฝ่เรียนรู้ และม่งุ ม่นั ในการ สมั พันธ์ ร้อยละ 90
ทางาน (A) การสังเกตการร่วม แบบประเมนิ และสังเกต
กจิ กรรมระหวา่ งการ พฤตกิ รรม
เรยี นการสอน
87
5. Learning Activities (Session Plan) การออกแบบกิจกรรมการจัดการเรียนรู้
5.1 Period No ชว่ั โมงที่ /คาบท่ี 39-40
Day วัน จันทร์ –ศุกร์ Date ท่ี 22-26 Month เดือน กุมภาพันธ์ Year พ.ศ. 2564
Learning Objective จุดประสงค์การเรียนรู้
4.2 นกั เรยี นสามารถคานวณปรมิ าณสารตา่ งๆ ในปฏิกิริยาเคมไี ด้ (P, K)
4.4 นกั เรียนมีวินยั ใฝ่เรียนรู้ และมงุ่ ม่นั ในการทางาน (A)
Teaching Procedure กระบวนการจดั การเรยี นการสอน (ระบกุ ระบวนการหลกั ที่ใช้ออกแบบจดั การเรยี นรู้ในแตล่ ะ
ชว่ั โมงหรือคาบ)
Mathematics Process Skill Problem Solving Reasoning with Principles
Reasoning from Experience Create Critical thinking Value Creating Process
Knowledge and Understanding Awareness Creating Step Analysis Process
Decision Making Process Language Learning Process Reading Process
Listening Process Grouping Process Scientific Process
Inquiry Process Historical Process Technological Process
Working Process Creating skills for practice Process Attitude Process
Decision Making process Building Creative Process Building Conceptual Process
Communication, interpretation and presentation Process
Teaching Procedure กิจกรรมการเรียนการสอน คอื กระบวนการกลมุ่
1) ขัน้ กาหนดเป้าหมาย
1.1 ครูทบทวนเนอ้ื หาและการคานวณจากชว่ั โมงทผี่ ่านมา โดยใช้คลปิ วิดิโอของครูผู้สอน
1.2 ครูนาอภิปรายโดยตั้งคาถามว่า ในกรณีที่ปริมาณของสารตั้งต้นบางชนิดมากกว่าอัตราส่วนท่ีทาปฏิกิริยาพอดีกันตาม
สมการเคมี จะคานวณปริมาณผลิตภัณฑ์และสารตั้งต้นที่เหลือได้อย่างไร ซึ่งควรสรุปได้ว่า ต้องหาสารกาหนดปริมาณก่อน โดย
คานวณว่าสารใดที่ทาปฏิกิริยาหมด แล้วใช้สารกาหนดปริมาณในการคานวณปริมาณผลิตภัณฑ์และสารตั้งต้นท่ีเหลือ จากน้ันครู
ยกตัวอยา่ งโจทย์ในเอกสารการเรยี น ประกอบการอธิบาย
2) ขั้นวางแผน
2.1 ครใู ห้นกั เรยี นแบ่งกลุ่มออกเป็น 10 กล่มุ กลุ่มละไม่เกิน 4 คน โดยคละคนเกง่ ปานกลาง อ่อน
2.2 ครูมอบหมายใหน้ กั เรียนแตล่ ะกล่มุ ช่วยกันทาโจทย์คานวณปรมิ าณสารต่าง ๆ ในปฏกิ ริ ิยาเคมีทค่ี รกู าหนดให้
3) ขน้ั ค้นหาคาตอบ
3.1 นักเรยี นแต่กลมุ่ สง่ คาตอบโดยครชู ่วยตรวจทานคาตอบ
3.2 ครูมอบหมายให้เลือกตัวแทนแต่ละกลมุ่ นาเสนอการแกโ้ จทย์หนา้ ห้อง
4) ขั้นประเมินผล
4.1 ครูบันทกึ คะแนนการทางานเปน็ กลุ่มลงในแบบประเมนิ ทค่ี รเู ตรียมไว้
5) ข้ันประยกุ ตใ์ ช้
5.1 ครูให้แตล่ ะกลุม่ ไปเตรยี มตวั นาเสนอหน้าหอ้ งเรียนในคาบถดั ไป
88
6. Teaching Strategies / Teaching Method ระบวุ ธิ ีการสอนทใ่ี ช้ในการจดั การเรียนรู้
Lecture ใชบ้ รรยาย Experiment ใชก้ ารทดลอง Discussions (Spoken)
Hand-on Learning
Deduction ใช้การนริ นยั Field Trip ใชก้ ารไปทศั นศกึ ษา Learning Communities
Small Group Discussion ใช้การอภิปรายรายกลมุ่ Dramatization ใชก้ ารแสดงละคร Multimedia Instruction
Peer Tutoring
ยอ่ ย Project-based Learning
Questioning
Role Playing ใชก้ ารแสดงบทบาทสมมติ Case Study ใช้กรณีตัวอย่าง Reading
Presentation
Simulation ใชส้ ถานการณ์จาลอง Learning Centre ใช้ศูนยก์ ารเรียน
Programmed Instruction ใชบ้ ทเรยี นโปรแกรม Game
Demonstration ใช้การสาธติ Induction ใชก้ ารอปุ นัย
Brainstorming Cooperative Learning
Dialogue Journals Discovery Learning
7. Material Aids สือ่ การเรยี นการสอน/แหล่งเรียนรู้ (สือ่ วสั ดุ สง่ิ ของ / ส่อื ธรรมชาติ / สือ่ เทคโนโลยี / ฯลฯ)
7.1 เอกสารประกอบการเรยี นการสอนเรือ่ งปรมิ าณสารสัมพันธ์
7.2 Power point เรื่องปรมิ าณสารสมั พนั ธ์
7.3 คอมพิวเตอร์แบบพกพา (Note book)
7.4 ปากกาไวท์บอร์ดสดี า น้าเงิน และแดง
7.5 Active board
7.6 iPad หรอื Tablet
8. การวดั ผลประเมินผล Method of Tool of Assessment Criteria
Learning Objective Assessment เคร่ืองมอื วดั ผล เกณฑก์ ารผา่ นแตล่ ะ
จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ วิธกี ารวัดผล ประเมนิ ผล จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
ประเมินผล
(ระบุใหค้ รบทุกจดุ ประสงค์) การทาแบบฝกึ หดั แบบฝึกหดั และ รอ้ ยละ 70
4.2 นกั เรียนสามารถคานวณปรมิ าณสารต่าง ๆ และแบบทดสอบ แบบทดสอบเรอ่ื งปรมิ าณ
ในปฏิกิรยิ าเคมีได้ (P, K) เร่อื งปรมิ าณสาร ร้อยละ 90
สารสัมพันธ์
4.4 นักเรียนมวี นิ ัย ใฝ่เรียนรู้ และมงุ่ มนั่ ในการ สมั พนั ธ์
ทางาน (A) การสังเกตการรว่ ม แบบประเมนิ และสงั เกต
กจิ กรรมระหวา่ งการ พฤติกรรม
เรียนการสอน
89
5. Learning Activities (Session Plan) การออกแบบกจิ กรรมการจัดการเรยี นรู้
5.1 Period No ชั่วโมงที่ /คาบที่ 41-42
Day วนั จนั ทร์ –ศุกร์ Date ท่ี 1-5 Month เดือน มนี าคม Year พ.ศ. 2564
Learning Objective จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
4.3. นกั เรยี นสามารถคานวณผลไดร้ ้อยละของผลติ ภณั ฑ์ในปฏกิ ริ ยิ าเคมีได้ (P, K)
4.4 นักเรยี นมีวินยั ใฝ่เรยี นรู้ และมุ่งมน่ั ในการทางาน (A)
Teaching Procedure กระบวนการจัดการเรียนการสอน (ระบกุ ระบวนการหลักทใ่ี ชอ้ อกแบบจดั การเรยี นรูใ้ นแตล่ ะ
ชว่ั โมงหรอื คาบ)
Mathematics Process Skill Problem Solving Reasoning with Principles
Reasoning from Experience Create Critical thinking Value Creating Process
Knowledge and Understanding Awareness Creating Step Analysis Process
Decision Making Process Language Learning Process Reading Process
Listening Process Grouping Process Scientific Process
Inquiry Process Historical Process Technological Process
Working Process Creating skills for practice Process Attitude Process
Decision Making process Building Creative Process Building Conceptual Process
Communication, interpretation and presentation Process
Teaching Procedure กิจกรรมการเรยี นการสอน คือ กระบวนการปฏิบตั ิ
1) ขั้นสังเกต
1.1 ครูแจ้งหวั ขอ้ ในการเรียนวันน้ีคือ ผลได้รอ้ ยละของผลติ ภณั ฑ์ในปฏกิ ิรยิ าเคมี
1.2 ครูใช้คาถามนาว่า ในทางปฏิบัติปริมาณของผลิตภัณฑ์ท่ีเกิดจริงมีค่าเท่ากับผลท่ีคานวณได้ตามทฤษฎีหรือไม่ จากนั้นให้
นักเรยี นทากิจกรรมการทดลองผลได้รอ้ ยละของปฏิกริ ิยาระหวา่ งโซเดยี มคาร์บอเนตกับกรดไฮโดรคลอริกและอภปิ รายผลการทดลอง
โดยใชค้ าถามทา้ ย
2) ขั้นทาตามแบบ
2.1 ครูอธบิ ายการทดลอง แต่สาธิตให้นกั เรยี นดูเปน็ ตัวอย่าง โดยแจง้ ข้อควรระวังกอ่ นการทดลองดังน้ี
- HCl มีสมบัตกิ ดั กรอ่ น ควรใช้อย่างระมัดระวงั
- เตือนนักเรียนให้เท Na2CO3 ลงในสารละลาย HCl ทีละน้อยจนหมด และต้องระวังสารกระเด็น เนื่องจากมีแก๊ส
คารบ์ อนไดออกไซด์เกิดขึน้
- เม่ือผสมสารเข้าด้วยกันแล้ว ต้องแกว่งบีกเกอร์ เพื่อให้สารทาปฏิกิริยากันจนหมดและทาแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ออก
จากบกี เกอรจ์ นหมด
- ในการคานวณต้องใชม้ วลของ Na2CO3 ที่ไดจ้ ากการช่งั
2.2 ใหน้ กั เรียนจบั กลมุ่ 6 คน โดยเรียงลาดับตามเลขทช่ี ่วยกนั ทาการทดลองตามใบงาน
3) ขั้นให้ทาเองโดยไม่มแี บบ
3.1 นักเรียนแตล่ ะกลุ่มชว่ ยกนั ทาการทดลอง
3.2 ครูควรตรวจสอบความถกู ตอ้ งและอธบิ ายเพ่มิ เตมิ ในกรณีทีน่ กั เรียนมีความเขา้ ใจท่คี ลาดเคลอื่ น
3.2 ตวั แทนกลมุ่ นกั เรียนนาเสนอผลการทากจิ กรรม ครแู ละเพ่อื นซักถาม
90
4) ข้นั ฝกึ ใหช้ านาญ
4.1 ครูสุ่มนักเรียนแต่ละกลมุ่ ให้ทาการสาธิตการคานวณใหด้ ู
4.2 ก่อนหมดเวลา 5 นาที ครูและนักเรียนสรุปการเรียนรรู้ ่วมกัน
4.3 ครูมอบหมายการบ้านเพ่อื ใหน้ กั เรียนฝกึ ฝนการทาโจทยเ์ พิ่มเตมิ ดว้ ยตนเองให้เกดิ ความชานาญ
6. Teaching Strategies / Teaching Method ระบวุ ิธกี ารสอนที่ใช้ในการจัดการเรยี นรู้
Lecture ใช้บรรยาย Experiment ใชก้ ารทดลอง Discussions (Spoken)
Hand-on Learning
Deduction ใชก้ ารนิรนยั Field Trip ใชก้ ารไปทัศนศกึ ษา Learning Communities
Small Group Discussion ใช้การอภปิ รายรายกลมุ่ Dramatization ใชก้ ารแสดงละคร Multimedia Instruction
Peer Tutoring
ย่อย Project-based Learning
Questioning
Role Playing ใชก้ ารแสดงบทบาทสมมติ Case Study ใช้กรณีตัวอยา่ ง Reading
Presentation
Simulation ใชส้ ถานการณจ์ าลอง Learning Centre ใช้ศูนย์การเรียน
Programmed Instruction ใช้บทเรยี นโปรแกรม Game
Demonstration ใชก้ ารสาธติ Induction ใชก้ ารอุปนยั
Brainstorming Cooperative Learning
Dialogue Journals Discovery Learning
7. Material Aids ส่อื การเรยี นการสอน/แหล่งเรยี นรู้ (ส่ือวัสดุ ส่ิงของ / สือ่ ธรรมชาติ / สือ่ เทคโนโลยี / ฯลฯ)
7.1 เอกสารประกอบการเรยี นการสอนเรื่องปริมาณสารสมั พันธ์
7.2 Power point เรื่องปรมิ าณสารสมั พนั ธ์
7.3 คอมพิวเตอรแ์ บบพกพา (Note book)
7.4 ปากกาไวทบ์ อร์ดสดี า นา้ เงนิ และแดง
7.5 Active board
7.6 iPad หรอื Tablet
8. การวัดผลประเมินผล
Learning Objective Method of Tool of Assessment Criteria
จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ Assessment เคร่อื งมอื วดั ผล เกณฑ์การผา่ นแตล่ ะ
(ระบใุ ห้ครบทกุ จดุ ประสงค์) วิธกี ารวดั ผล ประเมินผล จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
ประเมนิ ผล
4.3. นักเรียนสามารถคานวณผลได้ร้อยละของ การทาแบบฝกึ หดั แบบฝึกหัดและ ร้อยละ 70
ผลิตภณั ฑ์ในปฏกิ ิรยิ าเคมีได้ (P, K) และแบบทดสอบ แบบทดสอบเร่ืองปรมิ าณ
เร่อื งปรมิ าณสาร สารสัมพันธ์
สมั พนั ธ์
4.4 นักเรียนมวี ินัย ใฝเ่ รยี นรู้ และมงุ่ มั่นในการ การสงั เกตการร่วม แบบประเมนิ และสังเกต ร้อยละ 90
ทางาน (A) กจิ กรรมระหว่างการ พฤติกรรม
เรียนการสอน
91
5. Learning Activities (Session Plan) การออกแบบกิจกรรมการจัดการเรียนรู้
5.1 Period No ช่ัวโมงที่ /คาบท่ี 43-44
Day วนั จันทร์ –ศกุ ร์ Date ที่ 1-5 Month เดอื น มีนาคม Year พ.ศ. 2564
Learning Objective จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
4.3. นักเรยี นสามารถคานวณผลได้ร้อยละของผลติ ภณั ฑใ์ นปฏกิ ริ ยิ าเคมีได้ (P, K)
4.4 นกั เรยี นมวี นิ ัย ใฝเ่ รียนรู้ และมงุ่ มั่นในการทางาน (A)
Teaching Procedure กระบวนการจัดการเรียนการสอน (ระบกุ ระบวนการหลกั ทีใ่ ช้ออกแบบจดั การเรยี นรใู้ นแตล่ ะ
ชัว่ โมงหรือคาบ)
Mathematics Process Skill Problem Solving Reasoning with Principles
Reasoning from Experience Create Critical thinking Value Creating Process
Knowledge and Understanding Awareness Creating Step Analysis Process
Decision Making Process Language Learning Process Reading Process
Listening Process Grouping Process Scientific Process
Inquiry Process Historical Process Technological Process
Working Process Creating skills for practice Process Attitude Process
Decision Making process Building Creative Process Building Conceptual Process
Communication, interpretation and presentation Process
Teaching Procedure กิจกรรมการเรียนการสอน คอื กระบวนการปฏิบัติ
1) ขนั้ สังเกต
1.1 ครูให้ความรู้เกี่ยวกับผลได้ตามทฤษฎีว่าเป็นปริมาณของผลิตภัณฑ์ที่คานวณได้จากสารกาหนดปริมาณตามสมการเคมี
ส่วนผลได้จริงเป็นปริมาณของผลิตภัณฑ์ท่ีเกิดจริง รวมท้ังสาเหตุท่ีทาให้ผลได้จริงมีค่าน้อยกว่าผลได้ตามทฤษฎี จากน้ันอธิบาย
เก่ียวกบั การวดั ประสิทธิภาพของปฏิกิริยาโดยการแสดงด้วยผลได้รอ้ ยละ ซ่งึ เปน็ การเปรยี บเทยี บผลได้จรงิ กบั ผลไดต้ ามทฤษฎเี ปน็ รอ้ ย
ละ
1.2 ครูให้นักเรยี นตอบคาถามเพอ่ื ตรวจสอบความเขา้ ใจ
2) ขั้นทาตามแบบ
2.1 ครอู ธบิ ายวิธกี ารคานวณผลได้รอ้ ยละ โดยยกตัวอยา่ งในเอกสารประกอบการเรียนประกอบ แล้วให้นักเรียนทาแบบฝกึ หัด
เพือ่ ทบทวนความรู้
2.2 ครูให้นกั เรยี นจบั กลุ่ม 6 คน โดยเรียงลาดบั ตามเลขทช่ี ว่ ยกนั ทาโจทยท์ ี่ครูกาหนดให้
3) ข้ันให้ทาเองโดยไม่มีแบบ
3.1 ครูสรุปความสาคัญของเน้ือหาในบทปริมาณสัมพันธ์ในปฏิกิรยิ าเคมีท่ีเป็นพื้นฐานในการคานวณปริมาณสารในบทต่อ ๆ
ไป แล้วใหน้ ักเรียนทาแบบฝึกหัดทา้ ยบท
3.2 นักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ ชว่ ยกนั ทาโจทย์การคานวณเพอื่ ทบทวนความรู้เกย่ี วกับผลได้รอ้ ยละของผลิตภัณฑ์ในปฏกิ ริ ิยาเคมี
3.3 ครูคอยตรวจสอบความถูกต้องและอธบิ ายเพม่ิ เติมในกรณที ่นี ักเรยี นมคี วามเข้าใจทคี่ ลาดเคล่ือน
3.4 ตัวแทนกลมุ่ นักเรียนนาเสนอผลการทากจิ กรรม ครูและเพ่อื นซกั ถาม
4) ข้นั ฝึกใหช้ านาญ
4.1 ครูสุ่มนกั เรยี นแต่ละกล่มุ ใหท้ าการสาธติ การคานวณใหด้ ู
4.2 ก่อนหมดเวลา 5 นาที ครแู ละนกั เรยี นสรปุ การเรียนร้รู ่วมกนั
92
4.3 ครูมอบหมายการบ้านเพือ่ ใหน้ ักเรยี นฝกึ ฝนการทาโจทยเ์ พิ่มเติมดว้ ยตนเองใหเ้ กดิ ความชานาญ
6. Teaching Strategies / Teaching Method ระบวุ ิธกี ารสอนที่ใช้ในการจัดการเรยี นรู้
Lecture ใชบ้ รรยาย Experiment ใช้การทดลอง Discussions (Spoken)
Hand-on Learning
Deduction ใช้การนริ นัย Field Trip ใช้การไปทศั นศกึ ษา Learning Communities
Small Group Discussion ใชก้ ารอภิปรายรายกลมุ่ Dramatization ใชก้ ารแสดงละคร Multimedia Instruction
Peer Tutoring
ยอ่ ย Project-based Learning
Questioning
Role Playing ใชก้ ารแสดงบทบาทสมมติ Case Study ใชก้ รณตี วั อยา่ ง Reading
Presentation
Simulation ใช้สถานการณจ์ าลอง Learning Centre ใชศ้ นู ย์การเรยี น
Programmed Instruction ใช้บทเรยี นโปรแกรม Game
Demonstration ใช้การสาธติ Induction ใช้การอปุ นัย
Brainstorming Cooperative Learning
Dialogue Journals Discovery Learning
7. Material Aids สอ่ื การเรยี นการสอน/แหลง่ เรยี นรู้ (สอื่ วสั ดุ สิ่งของ / สอ่ื ธรรมชาติ / สอื่ เทคโนโลยี / ฯลฯ)
7.1 เอกสารประกอบการเรียนการสอนเรอื่ งปรมิ าณสารสมั พันธ์
7.2 Power point เรอื่ งปรมิ าณสารสมั พันธ์
7.3 คอมพิวเตอร์แบบพกพา (Note book)
7.4 ปากกาไวทบ์ อรด์ สีดา นา้ เงนิ และแดง
7.5 Active board
7.6 iPad หรอื Tablet
8. การวดั ผลประเมนิ ผล Method of Tool of Assessment Criteria
Learning Objective Assessment เครื่องมอื วดั ผล เกณฑก์ ารผ่านแตล่ ะ
จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ วิธีการวดั ผล ประเมนิ ผล จดุ ประสงค์การเรียนรู้
ประเมนิ ผล
(ระบใุ หค้ รบทกุ จุดประสงค์) การทาแบบฝึกหดั แบบฝึกหดั และ ร้อยละ 70
4.3. นักเรยี นสามารถคานวณผลไดร้ อ้ ยละของ และแบบทดสอบ แบบทดสอบเรือ่ งปริมาณ
ผลิตภณั ฑใ์ นปฏิกิรยิ าเคมีได้ (P, K) เร่ืองปรมิ าณสาร รอ้ ยละ 90
สารสัมพนั ธ์
4.4 นักเรียนมวี ินัย ใฝ่เรยี นรู้ และม่งุ มน่ั ในการ สัมพนั ธ์
ทางาน (A) การสงั เกตการร่วม แบบประเมนิ และสังเกต
กจิ กรรมระหวา่ งการ พฤตกิ รรม
เรียนการสอน
93
การประเมินพฤติกรรมมีวินัย ใฝเ่ รยี นรู้และความมุ่งมั่นในการทางาน
คุณลกั ษณะอันพึงประสงคข์ อ้ ที่ 3 มีวินัย
ตวั ชว้ี ัด 3.1 ปฏบิ ัติตามขอ้ ตกลง กฎเกณฑ์ ระเบยี บข้อบังคับของครอบครัว โรงเรยี น และสงั คม
ระดับคณุ ภาพ เกณฑ์การพิจารณา
ดีเยีย่ ม (3) ไดผ้ ลการประเมนิ ตวั ชว้ี ดั ระดบั ดเี ยยี่ ม
ดี (2) ไดผ้ ลการประเมนิ ตัวชี้วัด ระดบั ดี
ผ่าน (1) ไดผ้ ลการประเมินตัวชี้วัด ระดบั ผา่ น
ไมผ่ า่ น (0) ไดผ้ ลการประเมนิ ตัวช้วี ัด ระดับไม่ผา่ น
คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ข้อที่ 4 ใฝเ่ รียนรู้
ตัวชวี้ ัด 4.1 ตง้ั ใจเพยี รพยายามในการเรยี นและเข้ารว่ มกจิ กรรม
4.2 แสวงหาความรจู้ ากแหล่งเรยี นรูต้ า่ ง ๆ ท้ังภายใน และภายนอกโรงเรียนด้วยการเลอื กใชส้ ือ่ อย่างเหมาะสม บนั ทกึ
ความรู้ วเิ คราะห์ สรปุ องคค์ วามรู้ สามารถนาไปใชใ้ นชวี ิตประจาวันได้
ระดับคณุ ภาพ เกณฑ์การพจิ ารณา
ดเี ยีย่ ม (3) ได้ผลการประเมนิ ระดบั ดีเย่ียมทุกตัวชว้ี ัด
ดี (2) 1. ได้ผลการประเมินระดบั ดีเยี่ยมจานวน 1 ตัวชี้วัดและระดับดี 1 ตวั ชว้ี ดั หรอื
2. ได้ผลการประเมินระดบั ดที กุ ตวั ชว้ี ดั
ผ่าน (1) 1. ไดผ้ ลการประเมนิ ดับผา่ นทุกตวั ช้ีวดั หรอื
2. ได้ผลการประเมนิ ระดับดขี นึ้ ไปจานวน 1 ตวั ชวี้ ดั และ ระดับผ่าน 1 ตัวชี้วัด
ไม่ผา่ น (0) ไดผ้ ลการประเมินระดบั ไมผ่ ่านตง้ั แต่ 1 ตวั ชวี้ ดั ขน้ึ ไป
คณุ ลักษณะอนั พึงประสงคข์ อ้ ท่ี 6 ม่งุ ม่นั ในการทางาน
ตัวชี้วดั 6.1 ตงั้ ใจและรบั ผดิ ชอบในหน้าที่การงาน
6.2 ทางานดว้ ยความเพยี รพยายาม และอดทนเพือ่ ใหง้ านสาเรจ็ ตามเปา้ หมาย
ระดบั คณุ ภาพ เกณฑก์ ารพจิ ารณา
ดีเย่ยี ม (3) ได้ผลการประเมินระดบั ดเี ยย่ี มทกุ ตัวชว้ี ดั
ดี (2) 1. ไดผ้ ลการประเมนิ ระดบั ดีเยยี่ มจานวน 1 ตวั ช้ีวดั และระดบั ดี 1 ตวั ชีว้ ดั หรือ
2. ได้ผลการประเมนิ ระดับดีทกุ ตวั ช้ีวดั
ผา่ น (1) 1. ไดผ้ ลการประเมนิ ดับผา่ นทุกตวั ช้วี ดั หรือ
2. ไดผ้ ลการประเมินระดบั ดีขนึ้ ไปจานวน 1 ตัวชวี้ ัด และ ระดบั ผ่าน 1 ตัวชีว้ ดั
ไมผ่ า่ น (0) ได้ผลการประเมินระดับไมผ่ า่ นต้ังแต่ 1 ตัวชว้ี ัดขึน้ ไป