Chemical Bonding 51
อะตอมกลำง C ในโมเลกุล CH4 มีเวเลนต์อิเล็กตรอนท้ังหมด 4 คู่ และท้ัง 4 คู่เป็นอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะ
เด่ียว 4 พันธะ ซ่ึงเกิดกำรผลักกันให้ห่ำงกันมำกท่ีสุดทำให้โมเลกุลเป็นรูปทรงสี่หน้ำ มีมุมระหว่ำงพันธะเป็น 109.5 ° ดังรูป
ซัลเฟตไอออน (SO42- ) มสี ตู รแบบจดุ และแบบเส้นดังน้ี
4. รปู รำ่ งพรี ะมดิ คฐู่ ำนสำมเหลยี่ ม (Trigonal bipyramidal)
โมเลกุล PCl5 มีโครงสร้ำงแบบจดุ และแบบเส้นดงั น้ี
อะตอมกลำง P ในโมเลกุล PCl5 มีเวเลนต์อิเล็กตรอนท้ังหมด 5 คู่ และท้ัง 5 คู่ เป็นอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะ
เด่ียว 5 พันธะ ซึ่งเกิดกำรผลักกันให้ห่ำงกันมำกท่ีสุด ทำให้โมเลกุลเป็นรูปพีระมิดคู่ฐำนสำมเหล่ียม มีมุมระหว่ำงพันธะเป็น
120° และ 90° ดังรปู
5. รูปรำ่ งทรงแปดหนำ้ (Octahedral)
ในโมเลกุล SF6 มโี ครงสร้ำงแบบจุดและแบบเสน้ ดงั นี้
อะตอมกลำง S ในโมเลกุล SF6 มีเวเลนต์อิเลก็ ตรอนทั้งหมด 6 คู่ และท้ัง 6 คู่ เป็นอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะเดี่ยว 6
พันธะ ซงึ่ เกดิ จำกกำรผลักกนั ให้ห่ำงกนั มำกท่สี ดุ ทำให้โมเลกลุ เปน็ รปู ทรงแปดหนำ้ มมี ุมระหวำ่ งพันธะเป็น 900 ดงั รูป
Chemistry 1 Montfort college
Chemical Bonding 52
อเิ ลก็ ตรอนคโู่ ดดเดย่ี วกบั รปู รำ่ ง
อเิ ลก็ ตรอนครู่ ว่ มพนั ธะ (Bond pair electrons) คอื อิเล็กตรอนคู่ทใ่ี ช้รว่ มกันเพอ่ื เกดิ พนั ธะข้นึ
อเิ ลก็ ตรอนคโู่ ดดเดย่ี ว ( Lone pair electrons) คอื อิเล็กตรอนที่ไม่ได้ใช้เกดิ พนั ธะ
ตำมปกติอเิ ลก็ ตรอนแตล่ ะค่จู ะออกแรงผลกั กัน แรงผลกั ระหวำ่ งอเิ ล็กตรอนแต่ละคมู่ ำกนอ้ ยไม่เท่ำกัน ซง่ึ สำมำรถ
เขยี นแรงผลกั ระหวำ่ งอเิ ล็กตรอนคตู่ ำ่ ง ๆ จำกมำกไปหำนอ้ ยไดด้ งั น้ี
e- คู่โดดเดี่ยว กับ e- คู่โดดเดยี่ ว > e- คโู่ ดดเดี่ยว กบั e- ครู่ ว่ มพนั ธะ > e- ครู่ ว่ มพนั ธะกบั e- คู่รว่ มพนั ธะ
กำรพิจำรณำรปู รำ่ งโมเลกุลท่ีอะตอมกลำงมีจำนวนอเิ ลก็ ตรอนครู่ ว่ มพันธะและอเิ ล็กตรอนคูโ่ ดดเดย่ี วแตกตำ่ งกนั ดงั นี้
1. รปู รำ่ งพรี ะมดิ ฐำนสำมเหลย่ี ม (Trigonal pyramidal)
โมเลกลุ NH3 มสี ูตรโครงสรำ้ งดงั น้ี
อิเลก็ ตรอนทงั้ 4 คู่ รอบอะตอมกลำงจะผลกั กันให้ห่ำงมำกทสี่ ุด โดยพยำยำมปรบั ตัวใหอ้ ยใู่ นแนวเสน้ ตรงทีช่ ้ีออก
จำกอะตอมกลำงไปยงั มุมทั้ง 4 ของรปู ทรงส่ีหน้ำคล้ำยกบั มีเทน (CH4) และเนื่องจำกแรงผลักระหวำ่ งอเิ ล็กตรอนคูโ่ ดดเด่ียว
กับอิเล็กตรอนครู่ ว่ มพันธะของอะตอม N ใน NH3 มีคำ่ มำกกว่ำแรงผลกั ระหวำ่ งอิเล็กตรอนครู่ ว่ มพันธะกบั อิเล็กตรอนครู่ ว่ ม
พนั ธะ จึงทำให้มมุ ระหว่ำงพนั ธะ H - N - H ลดลงเหลือ 107 0 และมรี ูปร่ำงโมเลกลุ เป็น รูปพีระมดิ ฐำนสำมเหลยี่ ม ดัง
รูป
2. รปู รำ่ งโมเลกลุ แบบมมุ งอ หรอื ตวั วี (Bent or V-shaped)
โมเลกลุ ของ H2O มสี ูตรโครงสร้ำงดงั น้ี
เน่อื งจำก e- คโู่ ดดเดย่ี วของ O ท้งั 2 คู่ เกิดแรงผลักมำกกว่ำอเิ ลก็ ตรอนครู่ ว่ มพันธะจึงทำใหม้ ุมระหว่ำงพันธะ
H-O-H มมี ุมลดลงเหลือ 104.5 0 รปู ร่ำงโมเลกลุ จึงไมเ่ ปน็ เส้นตรงแต่เปน็ รูปมมุ งอ หรือ รปู ตวั วี ดังรูป
3. รูปไมก้ ระดำนหก (Distorted tetrahedral / seesaw) Montfort college
Chemistry 1
Chemical Bonding 53
4. รปู ตวั ที (T-shaped)
5. พรี ะมดิ ฐำนสเ่ี หลย่ี ม (Square pyramidal)
6. สเี่ หลย่ี มแบนรำบ (Square planar)
โจทยท์ ดสอบที่ 3 เรอ่ื ง รปู รำ่ งโมเลกุล
1. สรุปรปู รำ่ งโมเลกลุ โคเวเลนต์ ชอิ่ รปู รำ่ ง จำนวนแขน อะตอมรอบขำ้ ง e- คโู่ ดดเดย่ี ว
ขอ้ ที่ รปู รำ่ ง
1.
2.
3. Montfort college
4.
Chemistry 1
Chemical Bonding 54
5.
6.
7.
Chemistry 1 Montfort college
Chemical Bonding ชอ่ิ รปู รำ่ ง จำนวนแขน อะตอมรอบขำ้ ง 55
ขอ้ ที่ รปู รำ่ ง e- คโู่ ดดเดยี่ ว
8.
9.
10.
11.
12.
13.
14.
2. จงเตมิ ตำรำงใหส้ มบรู ณ์
สำรประกอบ รว่ มพนั ธะ อเิ ลก็ ตรอนคู่ รวม รปู รำ่ งโมเลกุลหรอื ไอออน
หรอื ไอออน 2 โดดเดย่ี ว 4 มมุ งอ
1. SeH2 2
2. GeCl4 Montfort college
3. AsF3
4. TeF6
5. KrF2
6. SeF4
7. POCl3
Chemistry 1
Chemical Bonding รว่ มพนั ธะ อเิ ลก็ ตรอนคู่ รวม 56
โดดเดย่ี ว
สำรประกอบ รปู รำ่ งโมเลกลุ หรอื ไอออน
หรอื ไอออน
8. SOCl2
9. PH4+
10 NH2-
11. PCl6-
12. BrF4-
13. H3O+
1. จงบอกรปู รำ่ งของสำรโมเลกุลต่อไปน้ี
ชอื่ สำรหรอื ไอออน สตู รโมเลกลุ หรอื ไอออน รปู รำ่ งโมเลกลุ หรอื ไอออน
1. ฟอสฟีน PH3
2. เมทลิ คลอไรด์ CH3Cl
3. ไนโตรซิลโบรไ์ มด์ NOBr
4. คำรบ์ อนไดซลั ไฟด์ CS2
5. ไฮโดรเจนฟอสเฟตไอออน
6. ซลั ไฟต์ไอออน HPO42-
SO32-
3. เพรำะเหตุใดมมุ ระหว่ำงพนั ธะ Cl- Be -Cl ใน BeCl2 จงึ มีคำ่ มำกกวำ่ มุมระหว่ำงพนั ธะ H-S-H ใน H2S
…………………………………………………………..…………………………………………..………………………………………..………………………………………..…
………………………………………………………..…………………………………………..………………………………………..………………………………………...……
…………………………………………………..…………………………………………..………………………………………..………………………………………..………….
4. จงเรยี งลำดับค่ำมมุ ระหวำ่ งพันธะในโมเลกุลต่อไปนีจ้ ำกนอ้ ยไปหำมำก
ก. N2O ข. NH3 ค. SO3 ง. H2O จ. SiH4
…………………………………………………………..…………………………………………..………………………………………..………………………………………...…
5. จงขีดเส้นใต้โมเลกุลโควำเลนต์ท่ีมมี ุมระหว่ำงพันธะ = 180 o
NO2 + PCl 5 COCl2 C2H2 SF6 SF4 SO2Cl2
BrF4- IF5 ClF3 PCl3 SO 2 NO2- AsH3
Chemistry 1 Montfort college
Chemical Bonding 57
6. มุมพันธะของโมเลกุลใดมีคำ่ แคบทส่ี ดุ
1. BeH2 2. BF3 3. H2S 4. CH4
7. ไอออนในขอ้ ใดมีรูปรำ่ งเหมอื นกัน
1. CO32- , SO32- 2. NO3- , ClO3-
4. NO3- , SO32-
3. CO32- , NO3-
3.3.15 สภำพขั้วของพนั ธะและโมเลกลุ โคเวเลนต์
ในพันธะโคเวเลนต์ อเิ ลก็ ตรอนคู่ร่วมพันธะจะเคล่อื นที่อยู่ระหว่ำงอะตอมทั้งสองทส่ี รำ้ งพันธะกัน ถำ้ พบว่ำอิเลก็ ตรอนคู่
ร่วมพันธะเคล่ือนที่อยู่ตรงกลำงระหว่ำงอะตอมพอดี แสดงว่ำอะตอมคู่นั้นมีควำมสำมำรถในกำรดึงดูดอิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะ
เท่ำกัน แต่ถำ้ พบวำ่ อเิ ลก็ ตรอนครู่ ว่ มพนั ธะเคล่อื นทอี่ ยู่ใกลอ้ ะตอมใดอะตอมหน่งึ มำกกว่ำอกี อะตอมหนึง่ แสดงว่ำอะตอมคนู่ ้นั
มคี วำมสำมำรถในกำรดงึ ดดู อเิ ลก็ ตรอนคูร่ ว่ มพนั ธะไม่เท่ำกัน ดงั ภำพ
อเิ ลก็ ตรอนถกู ดงึ ดูดเทำ่ ๆ กนั
อเิ ลก็ ตรอนถกู ดงึ ดดู ไม่เทำ่ กนั อเิ ลก็ ตรอนถำ่ ยเทจำกอะตอมหนง่ึ ไปสอู่ กี อะตอมหนงึ่
Chemistry 1 Montfort college
Chemical Bonding 58
พนั ธะไมม่ ขี ว้ั และพนั ธะมขี ว้ั
คำ่ อิเล็กโทรเนกำติวติ สี ำมำรถนำไปใชอ้ ธบิ ำยสมบตั ิบำงประกำรของสำรได้ เชน่ สภำพข้ัวของพนั ธะโคเวเลนต์
1. “พนั ธะโคเวเลนตไ์ มม่ ขี ว้ั ”
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
2. “พนั ธะโคเวเลนตม์ ขี ว้ั ”
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
กำรแสดงขัว้ ของพนั ธะโคเวเลนต์ ใชส้ ญั ลักษณ์ (อำ่ นวำ่ เดลตำลบ และเดลตำบวก ตำมลำดบั )
ตวั อย่ำงเช่น
และควำมแรงของขั้วของพันธะขน้ึ กบั ผลตำ่ งของค่ำอิเล็กโทรเนกำตวิ ติ ีของอะตอมคูส่ รำ้ งพนั ธะ โดยถ้ำคำ่ อเิ ลก็ โทรเนกำ
ตวิ ติ ี แตกต่ำงกนั มำกกว่ำ สภำพข้ัวจะแรงกว่ำ เช่น H–F มสี ภำพขวั้ แรงกวำ่ H–Cl
สรปุ พนั ธะทเี่ กดิ จำกอะตอมของธำตชุ นดิ เดยี วกนั เปน็ พนั ธะไมม่ ขี ว้ั
พนั ธะทเี่ กดิ จำกอะตอมตำ่ งชนิดกนั เปน็ พนั ธะมขี วั้
โมเลกลุ ไมม่ ขี วั้ และโมเลกลุ มขี วั้
วธิ พี จิ ำรณำวำ่ โมเลกลุ ใดมขี ว้ั หรอื ไมม่ ขี วั้ มหี ลกั ดงั นี้
1. โมเลกลุ ทไี่ มม่ ขี ว้ั
2. โมเลกลุ มขี วั้
สรปุ สภำพขว้ั ของโมเลกลุ โคเวเลนต์
Chemistry 1 Montfort college
Chemical Bonding 59
ควำมแรงของสภำพมขี วั้ ของพนั ธะและของโมเลกลุ
สภำพมขี ว้ั ของพนั ธะจะมีคำ่ มำกนอ้ ยแคไ่ หนขน้ึ อยกู่ บั ผลตำ่ งของค่ำอเิ ลก็ โทรเนกำตวิ ติ ขี องอะตอมทั้งสองเกดิ พนั ธะ ถ้ำ
ผลตำ่ งของคำ่ อิเลก็ โทรเนกำติวิตเี พิ่มขึน้ สภำพมขี ั้วของพันธะกจ็ ะเพ่ิมขึ้น ถำ้ สภำพมขี วั้ ของพนั ธะเพมิ่ ข้ึนกจ็ ะมีผลทำให้สภำพมีขั้ว
ของโมเลกลุ เพ่ิมขน้ึ ด้วย (โมเลกุลมขี ัว้ เด่นชัดขึน้ ) เพรำะสภำพมีข้ัวของโมเลกลุ ขึ้นอย่กู บั สภำพมขี ว้ั ของพันธะ และสำรใดที่มสี ภำพมี
ขั้วของโมเลกลุ สงู กจ็ ะทำใหม้ แี รงดึงดูดระหว่ำงโมเลกุลแข็งแรงด้วย เช่น HF สภำพมีขว้ั ของโมเลกลุ แรงกว่ำ HCl จึงทำใหจ้ ดุ
เดอื ดของ HF สงู กวำ่ HCl
สำร คำ่ อเิ ลก็ โทรเนกำตวิ ติ ี ผลต่ำงของคำ่ อเิ ลก็ โทรเนกำตวิ ติ ี จดุ เดอื ด (oC)
HF H = 2.2 , F = 3.98 1.78 19
HCl H = 2.2 , Cl = 3.16 0.96 -85
แบบฝกึ หดั ท่ี 8 เรือ่ ง สภำพขวั้ ของโมเลกลุ โคเวเลนต์
1. จงเขียนสญั ลักษณ์แสดงขัว้ ของพนั ธะต่อไปน้ี
ก. C – Si ข. N – Cl ค. H – S – H
ฉ. Br – I
H O
ง. C จ. P
HHH Cl Cl Cl
2. พนั ธะแตล่ ะคตู่ อ่ ไปนี้ พนั ธะใดมีสภำพขว้ั แรงกว่ำ
ก. H–Br กับ H-Cl ข. C=O กบั N=O
ค. C-Cl กับ Si–C ง. P-Cl กับ N–Cl
จ. Br-Cl กบั F-O ฉ. H–O กบั F-N
3. จงขดี เสน้ ใต้โมเลกุลตอ่ ไปนี้ ที่ประกอบดว้ ยพันธะมีขวั้ แตโ่ มเลกลุ ไม่มีขว้ั
ก. P4 ข. HCN ค. BeI2 ง.CH2Cl2 จ. SiCl4 ฉ. SF6
Chemistry 1 Montfort college
Chemical Bonding 60
4. จงขดี เส้นใตโ้ มเลกุลตอ่ ไปน้ี ทีเ่ ปน็ โมเลกลุ มขี ั้ว ง.C2H6 จ. HCHO ฉ. PCl3 ช. SF4
ก. CCl4 ข. CH2I2 ค. NO
5. ธำตุในหมู VII ซ่ึงเรยี งจำกบนลงล่ำง มี F, Cl, Br และ I ตำมลำดับ เม่อื ธำตเุ หล่ำนี้ทำปฏิกิรยิ ำกันจะไดส้ ำรประกอบ
เปน็ โมเลกุลทม่ี ีข้วั โมเลกลุ ที่เกดิ ขน้ึ ตำมข้อใดตอ่ ไปนี้
1. F+ -- Cl- 2. Cl+ -- Br-
3. Br+-- I- 4. I+ -- Cl-
6. โมเลกุลใดตอ่ ไปนจ้ี ดั เปน็ โมเลกุลมขี ้ัว
1. CO2 2. BeH2 3. BCl3 4. NCl3
7. NCl3 และ AsCl3 โมเลกุลใดมีสภำพข้วั ของโมเลกลุ แรงกวำ่ เพรำะเหตใุ ด
8. สำรในข้อใดเปน็ โมเลกุลไมม่ ขี ว้ั ทุกสำร 3. CO SO3 4. S8 SiH4
1. COCl2 NH4+ 2. BH3 Cl2O
9. ธำตุ A และ B มีเลขอะตอม 7 และ 35 ตำมลำดับ คลอไรด์ของ A และ B ควรมรี ูปร่ำงอยำ่ งไรตำมลำดับ
1. พีระมดิ คู่ฐำนสำมเหล่ียม เส้นตรง 2. พีระมิดฐำนสำมเหล่ยี ม เส้นตรง
3. ทรงส่ีหนำ้ สำมเหลีย่ มแบนรำบ 4. สำมเหลยี่ มแบนรำบ พีระมดิ ฐำนสำมเหล่ียม
10. ธำตุ A B C D E และ F มเี ลขอะตอม 15, 9, 8, 6, 5 และ 1 ตำมลำดบั โมเลกุลในข้อใดมขี ้ัวทกุ สำร
1. B2C EB3 DC2 2. AB3 DC2 DB4
3. F2C B2C AB3 4. EB3 DB4 F2C
3.3.16 อเิ ลก็ โทรเนกำตวิ ติ กี บั เปอรเ์ ซน็ ตพ์ นั ธะโคเวเลนตแ์ ละเปอรเ์ ซน็ ตพ์ นั ธะไอออนกิ
เมอื่ อะตอมของธำตมุ ำรวมตวั กนั พนั ธะทเี่ กดิ ขน้ึ อำจเปน็ พนั ธะโคเวเลนตห์ รอื พนั ธะไอออนกิ กไ็ ด้ แต่พนั ธะที่เกิดขนึ้ ส่วน
ใหญ่ไมไ่ ด้เป็นพันธะอย่ำงใดอย่ำงหนึง่ 100 % แต่จะมเี ปอร์เซน็ ต์พันธะโคเวเลนต์ปนอยดู่ ว้ ยเสมอ กำรพิจำรณำวำ่ พันธะทีเ่ กดิ ขึ้น
ระหวำ่ งอะตอมมีเปอร์เซ็นต์พันธะไอออนิกเหรือเปอร์เซน็ ต์พนั ธะโคเวเลนต์เทำ่ ใดนั้น ให้พิจำรณำค่ำแตกตำ่ งของคำ่ อเิ ลกโทรเนกำ
ตวิ ิตดี งั น้ี
1. เมอ่ื ธำตทุ มี่ คี ำ่ อเิ ลกโทรเนกำตวิ ติ ีเทำ่ กนั ซึ่งส่วนใหญเ่ ปน็ อะตอมของธำตุชนิดเดียวกนั มำรวมตัวกัน พนั ธะท่ีเกิดข้นึ
จะเปน็ พนั ธะโคเวเลนต์ 100 % เช่น พันธะใน Cl – Cl , H – H , O = O เปน็ ต้น
2. เมอื่ ธำตทุ มี่ อี เิ ลกโทรเนกำตวิ ติ ตี ำ่ งกนั ไมม่ ำกมำรวมตวั กนั พนั ธะทเ่ี กดิ ขนึ้ จะเปน็ พนั ธะโคเวเลนต์ เพรำะมีเปอร์เซ็นต์
ของพนั ธะโคเวเลนต์มำกกวำ่ เปอร์เซ็นตพ์ นั ธะไอออนิก เชน่ พนั ธะระหวำ่ งอะตอมในโมเลกุล HCl , CO2 , SCl2 ,CCl4 ,SF6
ฯลฯ
Chemistry 1 Montfort college
Chemical Bonding 61
3. เมอื่ ธำตทุ ม่ี ำรวมตวั กนั มคี ำ่ อเิ ลก็ โทรเนกำตวิ ติ ตี ำ่ งกนั มำกพอ (ค่ำตำ่ งกนั ประมำณ 1.7 ขนึ้ ไป ) พนั ธะที่เกดิ ข้ึนจะ
มเี ปอรเ์ ซน็ ต์พนั ธะไอออนิกมำกกว่ำเปอร์เซน็ ตพ์ ันธะโคเวเลนต์ หรือมีเปอรเ์ ซ็นต์พันธะไอออนกิ มำกกวำ่ 50% จงึ เรยี กพนั ธะที่
เกดิ ขนึ้ วำ่ พนั ธะไอออนกิ และยิ่งค่ำอิเลก็ โทรเนกำตวิ ติ ตี ่ำงกันมำกพันธะที่เกิดขึ้นก็ยง่ิ มีควำมเป็นไอออนกิ มำกธำตุทีม่ ีคำ่
อิเลก็ โทรเนกำตวิ ิตตี ำ่ งกนั มำก และทำใหเ้ กิดพันธะไอออนกิ กค็ อื โลหะกับอโลหะนนั้ เอง ธำตทุ ่รี วมกันแล้วเกิดพันธะทม่ี ี
เปอร์เซ็นตพ์ นั ธะไอออนกิ มำก คือ ธำตทุ อ่ี ยมู่ ุมลำ่ งทำงซำ้ ยกบั ธำตทุ ีอ่ ยูม่ ุมบนทำงขวำในตำรำง
ตวั อยำ่ ง ในสำรประกอบตอ่ ไปน้ี KCl NaCl LiCl และ CsCl จงเรยี งลำดบั ตำมเปอรเ์ ซน็ ตพ์ นั ธะไอออนกิ จำกนอ้ ยไป
หำมำก
………………………..………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
พนั ธะโคเวเลนตใ์ นสำรประกอบไอออนกิ
สำรประกอบไอออนกิ ท่ปี ระกอบไปดว้ ยไอออนเชงิ ซอ้ น หรอื ประกอบด้วยธำตุมำกกวำ่ 2 ชนดิ หรือประกอบด้วยอโลหะ
มำกกว่ำ 1 ชนดิ นอกจำกจะมีพันธะไอออนิกแลว้ ยังมพี ันธะโควำเลนตป์ นอย่ดู ว้ ย เช่น
1. KOH K+ + OH- ใน OH- มีพันธะโควำเลนต์ 1 พันธะระหว่ำง H กับ O
2. KNO3 K+ + NO3- ใน NO3- มพี ันธะโควำเลนต์ 3 พนั ธะระหว่ำง N กับ O
3. NH4HCO3 NH4+ + HCO3- ใน NH4+ มพี นั ธะโควำเลนต์ 4 พนั ธะระหวำ่ ง N กับ H
และใน HCO3- มพี ันธะโคเวเลนต์ 4 พันธะ
กำรหำจำนวนพนั ธะโควำเลนต์ในสำรประกอบไอออนกิ สำมำรถหำวธิ ไี ดด้ งั น้ี
จำนวนพนั ธะโควำเลนต์ = จำนวนอะตอมของอโลหะ -1
ทดสอบ จงหำจำนวนพนั ธะโคเวเลนตใ์ นสำรประกอบดงั น้ี
1. KClO4
2. Al2(SO4)3
3.3.17 แรงยดึ เหนย่ี วระหว่ำงโมเลกลุ โคเวเลนต์
สงิ่ ท่แี สดงวำ่ มีแรงยดึ เหน่ยี วระหวำ่ งโมเลกุล ไดแ้ ก่ ควำมร้อนแฝง จุดหลอมเหลวและ จุดเดือด กำรเปลย่ี นสถำนะของ
สำรตอ้ งมกี ำรใหค้ วำมรอ้ นแกส่ ำร เพอื่ ใหอ้ นภุ ำคของสำรมีพลงั งำนจลนส์ ูงพอทจี่ ะหลุดออกจำกกัน แสดงว่ำสำรแตล่ ะสถำนะมี
แรงยึดเหนีย่ วระหวำ่ งโมเลกุล ซงึ่ เรยี งลำดับจำกมำกไปน้อยดงั น้ี ของแขง็ > ของเหลว > กำ๊ ซ
กำรเปลย่ี นสถำนะของสำรโคเวเลนต์ มกี ำรทำลำยแรงยดึ เหนย่ี วระหวำ่ งโมเลกลุ เท่ำนนั้ ไมม่ กี ำรทำลำยพนั ธะเคมี
อธบิ ำยไดด้ ังนี้ เนือ่ งจำกพนั ธะโคเวเลนตภ์ ำยในโมเลกุลแขง็ แรงมำก กำรหลอมเหลวและกำรเดือดถ้ำต้องทำลำยพันธะโคเวเลนต์
จะตอ้ งใช้พลังงำนมำก(ควำมรอ้ นแฝงมำก) จดุ หลอมเหลว และ จุดเดอื ดจะสูง แตส่ ำรโคเวเลนต์มีควำมร้อนแฝง จดุ หลอมเหลว
และ จุดเดอื ดต่ำแสดงวำ่ ไมไ่ ดท้ ำลำยพนั ธะโคเวเลนตภ์ ำยในโมเลกลุ นอกจำกน้นั สำรโคเวเลนต์เมือ่ เปลย่ี นสถำนะจำกของแขง็ เป็น
Chemistry 1 Montfort college
Chemical Bonding 62
ของเหลวหรอื เปล่ยี นจำกของเหลวเปน็ ไอยงั คงอยูใ่ นรูปของโมเลกุล แสดงว่ำไมไ่ ดท้ ำลำยพันธะระหว่ำงอะตอมภำยในโมเลกลุ เพยี งแค่
ทำลำยแรงยึดเหนย่ี วระหวำ่ งโมเลกุลเท่ำนั้น ดงั นน้ั สำรที่มจี ุดเดือดจดุ หลอมเหลวสูงแสดงว่ำแรงยึดเหน่ยี วระหว่ำงโมเลกุลสงู
แรงยึดเหนี่ยวระหว่ำงโมเลกุล (intermolecular force) เป็นแรงยึดเหนี่ยวที่เกิดข้ึนระหว่ำงโมเลกุลกบั โมเลกุล โดย
จะเปน็ โมเลกลุ ชนดิ เดียวกนั หรอื โมเลกุลต่ำงชนิดกนั กไ็ ด้ แรงยึดเหนีย่ วประเภทนี้ได้แก่ แรงแวนเดอรว์ ำลส์ และพันธะไฮโดรเจน
1. แรงแวนเดอรว์ ำลส์ มี 3 ชนิด คือ
1.1 แรงยดึ เหนย่ี วระหวำ่ งโมเลกลุ ไมม่ ขี ว้ั กบั โมเลกลุ ไมม่ ขี ว้ั (Dispersion forces หรอื London force)
1.2 แรงยดึ เหนยี่ วระหวำ่ งโมเลกลุ ไมม่ ขี ว้ั กบั โมเลกลุ มขี ว้ั (dipole-induced dipole Interaction)
1.3 แรงยดึ เหนย่ี วระหวำ่ งโมเลกลุ มขี วั้ กบั โมเลกลุ มขี วั้ (dipole-dipole Interaction)
1.1 แรงยึดเหนยี่ วระหวำ่ งโมเลกุลไม่มีขัว้ กับไมม่ ีขั้ว (London Force) แรงยึดเหน่ยี วระหว่ำงโมเลกุลไมม่ ีขั้วกบั ไม่มขี ้ัว
คือ แรงแวนเดอรว์ ำลล์ ชนิด แรงลอนดอน แรงนี้เกิดข้ึนเนือ่ งจำกอิเล็กตรอน มกี ำรเคล่อื นทีร่ อบนิวเคลียสตลอดเวลำ จึงทำให้
ควำมหนำแน่นของอิเล็กตรอนรอบๆนิวเคลียส หรือ อิเล็กตรอนในโมเลกุลเปลี่ยนแปลงตลอดเวลำ ให้โมเลกลุ กลำยเป็นโมเลกุลมี
ขั้วอย่ำงอ่อนๆ (เกิดขึ้นเนื่องจำกด้ำนหน่ึงของโมเลกุลมีควำมหนำแน่นของอิเล็กตรอนมำกกว่ำอีกด้ำนหน่ึง) เม่ือโมเลกุลไม่มีขั้ว
กลำยเป็นโมเลกุลมีขั้วก็จะไปเหน่ยี วนำให้โมเลกลุ ใกลเ้ คียงกลำยเป็นโมเลกลุ มขี ั้วด้วย แรงดงึ ดดู ระหว่ำงโมเลกลุ มขี วั้ นี้ ซึง่ เรยี กว่ำ
แรงลอนดอน (London Force) แรงนี้มคี ่ำนอ้ ยมำกแต่จะมคี ำ่ มำกข้นึ เมื่อสำรมมี วลโมเลกลุ เพ่มิ ขึ้น
รปู แสดงกำรเกดิ โมเลกลุ มขี วั้ อยำ่ งออ่ นๆ และชกั นำใหโ้ มเลกลุ ใกลเ้ คยี งกลำยเปน็ โมเลกลุ มขี วั้ ตำม
เน่ืองจำกแรงลอนดอนมีค่ำน้อย ดังนั้นสำรที่โมเลกุลมีขั้วจะมีควำมร้อนแฝง จุดหลอมเหลว จุดเดือดต่ำ แต่เมื่อมวล
โมเลกุลเพ่ิมขึน้ จะมคี ่ำควำมรอ้ นแฝง จุดหลอมเหลวและจดุ เดือดสงู ขน้ึ
ตำรำงท่ี 4 แสดงสมบัตบิ ำงประกำรของสำรโคเวเลนตท์ ่โี มเลกลุ ไม่มขี ้ัว
สำร มวลโมเลกลุ จดุ หลอมเหลว (oC) จดุ เดอื ด (oC)
He 4 -272 -269
Ne 20.18 -249 -246
Ar 39.95 -189 -186
Kr 83.80 -157 -152
S8 256 113 445
หมำยเหตุ แรงลอนดอนนอกจำกเปน็ แรงยึดเหนยี่ วระหว่ำงโมเลกุลไมม่ ขี ว้ั กับมขี ว้ั แล้วแรงลอนดอนยงั เกดิ ระหวำ่ งโมเลกลุ
มีขัว้ ไดด้ ้วยแตเ่ ปน็ เพยี งแรงเสริม
Chemistry 1 Montfort college
Chemical Bonding 63
1.2. แรงยดึ เหนยี่ วระหว่ำงโมเลกลุ ไม่มีขัว้ กับโมเลกุลมีขัว้ (dipole-induced dipole Interaction) เป็นแรงวัน
เดอร์วำลล์ชนิดหนง่ึ ซึง่ เรยี กว่ำ แรงไดโพล-ไดโพลที่ถูกเหนยี่ วนำ (Dipole-induce dipole interaction) แรงนเ้ี กิดขน้ึ เม่อื
มีโมเลกุลมีขั้วอยู่ใกล้กับโมเลกุลไม่มีข้ัว โมเลกุลมีข้ัวจะไปเหนี่ยวนำให้โมเลกุลไม่มีข้ัวกลำยเป็นมีขั้วด้วยจึงเกิดแรงดึงดูดระหว่ำง
โมเลกุลท้ังสอง เช่น ก๊ำซออกซิเจน (O2) ซ่ึงโมเลกุลไม่มีขวั้ สำมำรถละลำยในนำ้ (H2O) ซ่ึงเป็นโมเลกุลมีขวั้ ได้บ้ำง เพรำะเกิด
แรงดังกล่ำวนอกจำกยึดเหน่ียวกันด้วยแรงดงั กล่ำวแลว้ ยงั มีแรงลอนดอนร่วมดว้ ย
1.3. แรงยึดเหนีย่ วระหวำ่ งโมเลกลุ มขี ั้วกับโมเลกุลมขี ัว้ (dipole-dipole Interaction) เปน็ แรงแวนเดอรว์ ำลส์อีก
ชนิดหน่งึ ซ่งึ เรยี กชอื่ เฉพำะวำ่ แรงไดโพล – ไดโพล ( Dipole – dipole interaction ) หรอื แรงดงึ ดูดระหว่ำงข้ัวบวกกับข้วั
ลบของโมเลกุล แรงไดโพล – ไดโพลนี้ แข็งแรงกว่ำลอนดอน เพรำะเป็นแรงดึงดูดทำงไฟฟำ้ ระหว่ำงขว้ั บวกของโมเลกุลหน่ึงกับขั้ว
ลบของอีกโมเลกลุ หนง่ึ แรงยึดเหนี่ยวระหวำ่ งโมเลกลุ มขี ั้วนอกจำกแรงไดโพลแลว้ ยงั มีแรงลอนดอนร่วมอยดู่ ว้ ย
ดังน้ันสำรที่มีโมเลกุลมีข้ัว เช่น H2S , CO , SO2 , CHCl3 HCl ฯลฯ จึงมีจุดหลอมเหลวและจุดเดือดสูงกว่ำ
สำรท่ีมโี มเลกุลไมม่ ีข้วั ซ่ึงมีโมเลกลุ เท่ำกันหรอื ใกล้เคยี งกนั ดตู ัวอยำ่ งในตำรำง
ตำรำงที่ 5 แสดงสมบตั บิ ำงประกำรของสำรโคเวเลนตบ์ ำงชนดิ
สำร มวลโมเลกลุ สภำพขวั้ ของโมเลกลุ จดุ หลอมเหลว (oC) จดุ เดอื ด (oC)
-111.8
SiH4 32 ไมม่ ขี ว้ั -185 -186
-152
Ar 40 ไมม่ ขี ว้ั -189 445
-60.7
Kr 84 ไมม่ ขี ั้ว -157 -85
S8 256 ไม่มขี ว้ั 113
H2S 34 มีข้วั -85.5
HCl 36.5 มขี ้ัว -114
Chemistry 1 Montfort college
Chemical Bonding 64
2. พันธะไฮโดรเจน (hydrogen bond)
โมเลกลุ มขี ั้วที่จะมแี รงยึดเหนยี่ วระหวำ่ งโมเลกุลเป็นพันธะไฮโดรเจน ส่วนใหญจ่ ะมีลกั ษณะดงั น้ี
1. มีธำตไุ ฮโดรเจน (H) เป็นองคป์ ระกอบ
2. ธำตไุ ฮโดรเจน เกิดพนั ธะกบั คำบท่ีมคี ำ่ อเิ ล็กโทรเนกำตติ สี ูง และขนำดอะตอมเลก็ ได้แกธ่ ำตุ F (EN=4.0),
O (EN=3.5) และ N (EN=3.0)
3. ทธ่ี ำตุ F, O หรอื N มีอเิ ลก็ ตรอนคโู่ ดดเด่ยี วเหลอื อยู่
ตัวอย่ำงโมเลกุลท่มี พี นั ธะไฮโดรเจนระหวำ่ งโมเลกุล ไดแ้ ก่ HF, H2O, NH3 , CH3OH , HCOOH, CH3COOH เปน็
ตน้ ดังน้ัน พนั ธะไฮโดรเจน (Hydrogen bond , H–bond ) จงึ เป็นแรงดึงดูดระหว่ำงโมเลกุลที่เกิดจำกไฮโดรเจนอะตอมสร้ำง
พันธะโคเวเลนต์ กับอะตอมทม่ี ีค่ำอิเลก็ โทรเนกำติวติ ีสงู ๆ และมีขนำดเล็ก แล้วเกดิ พนั ธะโคเวเลนตม์ ขี ้ัวชนิดมสี ภำพขัว้ แรงมำก ท้งั นี้
เน่ืองจำกพันธะท่ีเกิดขึ้นนี้อิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะจะถูกดึงเข้ำมำใกล้อะตอมของธำตุท่ีมีค่ำอิเล็กโทรเนกำติวิตีสูง มำกกว่ำทำงด้ำน
อะตอมของไฮโดรเจนมำก และอะตอมของธำตุท่ีมีค่ำอิเล็กโทรเนกำติวิตีสูง ยังมีอิเล็กตรอนคู่โดดเดี่ยว จึงเกิดดึงดูดกันระหว่ำง
อเิ ล็กตรอนคูโ่ ดดเด่ียวกบั อะตอมของไฮโดรเจนชึง่ มอี ำนำจไฟฟ้ำบวกสูงของอกี โมเลกุลหนึ่ง ทำให้เกดิ เป็น “พันธะไฮโดรเจน”
พนั ธะไฮโดรเจนในโมเลกลุ ของนำ้
พันธะไฮโดรเจนในโมเลกุลของแอมโมเนยี พันธะไฮโดรเจนในกรดแอซีตกิ
พันธะไฮโดรเจนนอกจำกเกดิ ข้ึนระหวำ่ งโมเลกลุ ของสำรชนิดเดยี วกนั แลว้ ยงั เกดิ ข้ึนระหว่ำงโมเลกลุ ของสำรต่ำงชนิดกันได้
เชน่ กำรเกดิ พนั ธะไฮโดรเจนระหวำ่ งโมเลกลุ ของน้ำ (H2O) กับโมเลกลุ ของแอมโมเนีย (NH3)
Chemistry 1 Montfort college
Chemical Bonding 65
ผลของพนั ธะไฮโดรเจนตอ่ สมบตั ขิ องสำร
1. สำรท่ีมีพันธะไฮโดรเจนจะมีจุดหลอมเหลวและจุดเดือดสูงผิดปกติ คือ สูงกว่ำสำรอ่ืน ๆ ท่ีมวลโมเลกุลเท่ำกันหรือ
ใกลเ้ คยี งมำก กรำฟแสดงจุดเดือดของสำรประกอบไฮไดรด์
ของธำตหุ มู่ IV V VI VII
ตำรำงที่ 6 แสดงควำมสมั พันธร์ ะหว่ำงจดุ เดอื ดกับมวลโมเลกุลของสำรประกอบไฮไดรดข์ องธำตหุ มู่ IV V VI VII
หมู่ IV หมู่ V
สตู ร มวลโมเลกลุ จดุ เดอื ด สตู ร มวลโมเลกลุ จดุ เดอื ด
CH4 16 -164 NH3 17 -33
SiH4 32.1 -112 PH3 34 -85
GeH4 76.6 -88 AsH3 77.9 -55
SnH4 122.7 -52 SbH3 124.8 -17
หมู่ VI หมู่ VII
สตู ร มวลโมเลกลุ จดุ เดอื ด สตู ร มวลโมเลกลุ จดุ เดอื ด
H2O 18 +100 HF 20 19
H2S 34.1 -60 HCl 36.5 -85
H2Se 81 -42 HBr 80.9 -67
H2Te 129.6 -2 HI 127.9 -35
จำกกรำฟแสดงจุดเดอื ดและตำรำงแสดงควำมสมั พนั ธร์ ะหวำ่ งมวลในโมเลกลุ จะเหน็ ว่ำ
1. .............……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
2. …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
3. ทำใหโ้ ครงสรำ้ งของนำ้ แขง็ เป็นโพรงและมีควำมหนำแนน่ ตำ่ กว่ำน้ำ
4. พันธะไฮโดรเจนมผี ลต่อกระบวนกำรเมตำบอลิซึมในร่ำงกำย และช่วยทำให้โปรตนี และ DNA มโี ครงสรำ้ งตำ่ งๆ
ดงั น้ี
รปู แสดงกำรยดึ เหนย่ี ว
ระหวำ่ งเสน้ DNA ดว้ ยพันธะไฮโดรเจน
Chemistry 1 Montfort college
Chemical Bonding 66
แบบฝกึ หดั ท่ี 9 เรอื่ ง แรงยดึ เหนย่ี วระหวำ่ งโมเลกลุ
1. แรงยดึ เหนีย่ วระหวำ่ งโมเลกลุ ต่อไปนี้เปน็ แรงยึดเหนีย่ วประเภทใด
ก. CS2 ………. CS2
ข. O2 ………. N2
ค. CH3F ………. CH3F
ง. HF ………. H2O
จ. CH3OH ………. CH3OH
ฉ. CH3COOH ………. CH3COOH
ช. PCl3 ………. PCl3
ซ. C5H12 ………. C5H12
ฌ. CHCl3 ………. (CH3)2CO
ญ. NH3 ………. NH3
ฎ. HCl ………. HCl
3.3.18 สมบตั ขิ องสำรโคเวเลนต์
1. มีจุดเดือดจุดและหลอมเหลวต่ำ เพรำะกำรจะทำใหเ้ ดือดหรอื หลอมเหลวตอ้ งใชพ้ ลังงำนไปในกำรทำลำยแรงยึดเหนยี่ ว
ระหว่ำงโมเลกลุ ( ไมไ่ ด้ทำลำยพนั ธะโคเวเลนต์ ยกเวน้ โครงผลึกรำ่ งตำข่ำย ) แบ่งสำรโคเวเลนต์ตำมจุดเดือด จุดหลอมเหลว จะ
ได้ 4 พวกดงั นี้
1.1 สำรโคเวเลนต์ไม่มีข้ัว พวกนี้จะมีจุดเดือดจุดหลอมเหลวต่ำกว่ำพวกอ่ืนๆ เพรำะโมเลกุลยึดเหน่ียวกันด้วยแรง
ลอนดอนอย่ำงเดยี วเท่ำนนั้
1.2 สำรโคเวเลนต์มีขั้ว พวกนี้จะมีจุดเดือดจุดหลอมเหลวสูงกว่ำพวกไม่มีขั้ว เพรำะยึดเหน่ียวโมเลกุลด้วยแรง 2
แรง คือแรงลอนดอนและแรงดงึ ดูดระหว่ำงขว้ั
1.3 สำรโคเวเลนต์ทีส่ ำมำรถสรำ้ งพนั ธะไฮโดรเจนได้ เช่น HF , NH3 , H2O พวกน้จี ะมีจุดเดือดจุดหลอมเหลว
สงู กว่ำสำรโคเวเลนตท์ ่ีมขี ว้ั เพรำะโมเลกลุ ยึดเหนีย่ วกันดว้ ยแรงแวนเดอร์วำลสแ์ ละพนั ธะไฮโดรเจน
Chemistry 1 Montfort college
Chemical Bonding 67
1.4 พวกทมี่ ีโครงสร้ำงเป็นโครงผลกึ รำ่ งตำข่ำย เชน่ เพชร แกรไฟต์ คำรบ์ อรันดมั ซิลิกอนไดออกไซด์ พวกน้ี
มีจุดเดือด จุดหลอมเหลวสูงมำก ซ่ึงโดยท่ัวไปสำรโคเวเลนต์มีจุดเดือดจุดหลอมเหลวต่ำ ท่ีเป็นเช่นน้ี เพรำะกำรจัดเรียงอะตอม
ภำยในผลกึ
2. สำรโคเวเลนต์จะไม่นำไฟฟ้ำไม่ว่ำจะอยู่ในสถำนะใดหรือเม่ือละลำยน้ำอยู่ในสภำพสำรละลำย (ยกเว้น แกรไฟต์)
เน่ืองจำกไม่มีอิเล็กตรอนอิสระ และเมื่อหลอมเหลวไม่แตกตัวเป็นอิออน ยกเว้น สำรโคเวเลนต์ที่โมเลกุลมีสภำพขั้วแรงมำก เช่น
HCl , HBr , HI , HNO3 , HClO4 , H2SO4 เม่อื ละลำยนำ้ นำไฟฟำ้ ได้
3. โมเลกลุ ที่มีข้ัวสำมำรถละลำยในตวั ทำละลำยทโ่ี มเลกลุ มขี ้วั ได้ และโมเลกลุ ทไี่ ม่มีขว้ั สำมำรถละลำยในตวั ทำละลำยทไ่ี ม่
มีข้ัวได้
3.3.19 สำรโครงผลกึ รำ่ งตำขำ่ ย
อโลหะสว่ นใหญ่อยู่ในรปู โมเลกุลเดี่ยว มีจุดหลอมเหลว จุดเดือดตำ่ แต่อโลหะบำงชนิดมีจุดหลอมเหลว และจุดเดือด
สงู บำงชนิดนำไฟฟ้ำได้ บำงชนิดนำไฟฟ้ำไดบ้ ้ำง สำรพวกนี้ ได้แก่ สำรท่ีมีโครงสร้ำงแบบโครงผลึกร่ำงตำขำ่ ย สำรโครง
ผลึกร่ำงตำข่ำยอะตอมยึดเหนี่ยวกันด้วยพันธะโคเวเลนต์แบบต่อเนื่องกันคล้ำยตำข่ำยสำมมิติบ้ำง สองมิติบ้ำง สำรพวกนี้ไม่มี
สูตรโมเลกุล เขียนได้แต่สตู รอย่ำงง่ำยหรือสูตรเอมพิริคัล สำรพวกนี้ได้แก่ คำร์บอนในรูปเพชร และ แกรไฟต์ ฟอสฟอรัสดำ
นอกจำกนี้ยังมีพวกกึ่งโลหะ และสำรประกอบบำงชนิด ก็เป็นสำรโครงผลึกร่ำงตำข่ำย เช่น ซิลิคอน (Si) เจอร์เมเน่ียม(Ge)
ซิลิคอนไดออกไซด์หรือซลิ กิ ำ (SiO2) ซลิ ิคอนคำรไ์ บหรอื คำรบ์ อรันดัม(SiC) เปน็ ตน้
เพชร (Diamond) คำร์บอน 1 อะตอมมีวำเลนต์อิเล็กตรอนเท่ำกับ 4 จึงสำมำรถเกิดพันธะ
โคเวเลนต์กับคำร์บอนอะตอมอ่ืนได้ 4 อะตอม ดังน้ันอะตอมของคำร์บอนแต่ละอะตอมจะเช่ือมโยงกับ
คำร์บอนใกล้เคียงอีก 4 อะตอม ดว้ ยพันธะโคเวเลนต์ชนิดเด่ียว ซึ่งมคี วำมยำวพันธะเทำ่ กับ 154 pm ได้
โครงสร้ำงรูปทรงส่ีหน้ำและอะตอมของคำร์บอนจะเชื่อมโยงกันทั้ง 3 มิติ คลำ้ ยตำข่ำย ดังน้ันคำร์บอนแต่
ละอะตอมถูกยึดไว้แน่นเคล่ือนที่ไม่ได้ เพชรจึงมีควำมแข็งแรงมำก และเนื่องจำกคำร์บอนแต่ละอะตอมใน
ผลึกของเพชรได้ใช้เวเลนต์อิเล็กตรอนในกำรสร้ำงพันธะหมดไม่มีเวเลนซ์อิเล็กตรอนที่เคลื่อนท่ีได้อย่ำงอิสระ จึงทำให้เพชรไม่นำ
ไฟฟำ้
แกรไฟต์ (Graphite) แกรไฟตม์ โี ครงสรำ้ งเป็นช้ันๆ ในช้ันเดยี วกันคำร์บอนแต่ละอะตอม
สร้ำงพันธะโคเวเลนซ์กับคำร์บอนอะตอมอ่ืน 3 อะตอมซึ่งอยู่ใกล้เคียงด้วยพันธะที่มีลักษณะก้ำกึ่ง
ระว่ำงพันธะเดี่ยวกับพันธะคู่ เพรำะมีควำมยำวพันธะ C-C เทำ่ กับ 140 พิโกเมตร ซึง่ มคี ำ่ อยู่ระหว่ำง
ควำมยำวของพันธะเด่ียวกับพันธะคู่ (พันธะเดี่ยวระหว่ำงคำร์บอน (C-C) มีควำมยำว 154 pm
ส่วนพันธะคู่ระหวำ่ งคำร์บอน (C-C) มคี วำมยำว 134 pm) และอะตอมของคำร์บอนในช้ันเดียวกัน
จะเชื่อมโยงกันแบบโครงสร้ำงสองมติ ิคล้ำยตำข่ำย เน่ืองจำกคำร์บอนแตล่ ะอะตอมเกิดพันธะโคเวเลนต์
กับคำร์บอนอะตอมอื่นอีก 3 อะตอมท่อี ย่ใู กลเ้ คยี งภำยในช้ันเดียวกัน
เพรำะเหตุใดแกรไฟต์จึงนำไฟฟำ้ ได้……………………………………………………………………………..…………………………………………
ระหวำ่ งชั้นของแกรไฟตย์ ึดกันดว้ ยแรงวนั เดอรว์ ำลสร์ ะยะระหว่ำงช้ันของแกรไฟต์เท่ำกับ 340 pm ซง่ึ เป็นระยะท่ี
ยำวกว่ำควำมยำวพันธะระหว่ำงคำรบ์ อนกับคำร์บอนในช้นั เดียวกนั ดว้ ยเหตุนีเ้ องผลึกของแกรไฟต์จึงอ่อนสึกกร่อนได้ง่ำยสำมำรถ
ใช้ทำไส้ดนิ สอและใช้เปน็ สำรหล่อลน่ื ได้
สรปุ สมบตั ขิ องสำรโครงสรำ้ งผลกึ รำ่ งตำขำ่ ย
1. ในภำวะปกติมีสถำนะเปน็ ของแข็งที่แข็งมำก ยกเวน้ แกรไฟต์
2. บำงชนิดไมน่ ำไฟฟ้ำ เช่น เพชร บำงชนดิ นำไฟฟ้ำได้ดีคอื แกรไฟต์ บำงชนดิ นำไฟฟ้ำได้บ้ำง เชน่ ซิลคิ อน
Chemistry 1 Montfort college
Chemical Bonding 68
3. มจี ดุ หลอมเหลว จดุ เดอื ดสงู เช่น เพชรมีจุดหลอมเหลว 3,550 oC แกรไฟต์มีจดุ หลอมเหลว 3,652 oC ซลิ คิ อน
มีจดุ หลอมเหลว 1,410 oC ซิลิคอนคำร์ไบด์ หรือคำร์โบรนั ดมั (SiC) ใช้ทำกระดำษทรำย เครื่องบด เคร่อื งโม่
มีจดุ หลอมเหลว 2,700 oC ซลิ คิ อนไดออกไซด์ หรือซลิ ิกำ (SiO2) ใช้ทำแก้ว ใยแกว้ นำแสง สว่ นประกอบของ
นำฬกิ ำควอตซ์มีจดุ หลอมเหลว 1,723 oC สำเหตุที่โครงสรำ้ งผลึกรำ่ งตำข่ำยมีจดุ หลอมเหลว จดุ เดอื ดสงู เพรำะวำ่
กำรหลอมเหลวหรอื กำรเดอื ดของสำรพวกนีต้ อ้ งทำลำยพันธะโคเวเลนตซ์ ง่ึ เปน็ พนั ธะแขง็ แรงมำก
4. ไม่ละลำยน้ำ
5. ไม่มสี ูตรโมเลกลุ มแี ตส่ ูตรแอมพริ คิ ลั (สูตรอยำ่ งงำ่ ย)
ขอ้ แนะนำเพมิ่ เตมิ
ธำตุคำรบ์ อน นอกจำกพบในรปู ของเพชร และแกรไฟตแ์ ลว้ ได้คน้ พบรปู ใหมข่ องคำร์บอนซ่ึง
ลักษณะเหมือนตะกรอ้ หรือลกู ฟุตบอล และไดต้ ั้งชื่อว่ำ ฟลู เลอรนี (Fullerenes) ฟลู เลอรนี โมเลกุล
เล็กท่ีสุดประกอบด้วยคำร์บอน 60 อะตอม (C60) โมเลกุลของ C60 ประกอบด้วยรูปห้ำเหลี่ยม 12
รูป และ รูปหกเหลี่ยม 20 รูป โดยอะตอมคำรบ์ อนจะปรำกฏอยู่ท่ีมมุ ของรปู เหลี่ยมเหล่ำนน้ั เนอ่ื งจำก
C60 มลี กั ษณะเหมอื นลกู ฟตุ บอลจงึ มเี รียกอีกชื่อหนง่ึ ว่ำ บกั กบ้ี อล (Bucky ball)
ชนิด สำรโคเวเลนซ์ สรปุ สำรโครงผลกึ
สมบตั ิ รำ่ งตำขำ่ ย
1. สถำนะทสี่ ภำวะ ไมม่ ขี ว้ั มขี ว้ั สำรไอออนกิ โลหะ
ปกติ ของแขง็ ของแข็ง
2. ควำมเหนียว มที ั้งกำซ มีทง้ั กำซ เปรำะ ของแขง็
3. จดุ หลอมเหลว ของเหลว ของเหลว เปรำะ ยกเว้นปรอท
และจดุ เดือด ของแข็ง ของแข็ง
เหนยี ว
4. กำรนำไฟฟ้ำ เปรำะ เปรำะ
(ของแข็ง) (ของแขง็ )
5. กำรละลำยน้ำ
และกำรนำไฟฟำ้ ของ ตำ่ ต่ำ สูง สงู สูง
สำรละลำย
ไม่นำไฟฟ้ำ ไมน่ ำไฟฟำ้ ไมน่ ำไฟฟ้ำ มีทงั้ นำไฟฟ้ำ นำไฟฟำ้
ไม่ละลำยนำ้ แต่หลอมเหลว ไดด้ คี อื แกรไฟต์ ยกเวน้ สถำนะก๊ำซ
ละลำยน้ำไดแ้ ต่ นำไฟฟำ้ ไดบ้ ้ำง
สำรละลำย นำไฟฟำ้ เชน่ ซิลคิ อนและไม่ ไมล่ ะลำยนำ้
นำไฟฟ้ำ เชน่ แตโ่ ลหะบำงชนิด
สว่ นใหญ่ไม่นำ มีทัง้ ละลำยนำ้ ไดแ้ ละไม่ ทำปฏิกริ ยิ ำกบั น้ำ
ไฟฟ้ำ ละลำยน้ำ สำรละลำย เพชร เชน่ โลหะหมู่ IA
สำรละลำยนำ้ ได้ นำ
นำไฟฟ้ำได้ ไม่ละลำยนำ้
ไฟฟำ้ ได้
Chemistry 1 Montfort college
Chemical Bonding 69
แบบฝกึ หดั ที่ 10 แบบฝกึ หดั ทบทวน
1. สำรในข้อใดท่อี ะตอมกลำงของสำรทง้ั สองมีจำนวนอิเล็กตรอนค่โู ดดเดี่ยวไมเทำ่ กนั แต่เมื่อรวมกนั จะได้ 4 คู
1. PBr3 , ClF3 2. H2O , H2S
3. PCl3 , I3-
4. PCl5 , SF4
2. สำรประกอบในข้อใดมีจำนวนโมเลกุลไมมีขัว้ เป็น 2 เท่ำของโมเลกุลมขี วั้
1. CHCl3 , CCl4 , HCl 2. CCl4 , NH3 , SiH4
3. PCl3 , H2O, CO2 4. CH4 , SO2 , CH3Cl
3. โมเลกลุ ของสำรใดเม่อื อยู่ในสถำนะของแขง็ ใชแ้ รงแวนเดอร์วำลส์ ยดึ กันเพียงอย่ำงเดยี ว
1. คำร์บอนเตตระคลอไรด์ 2. แอมโมเนีย 3. คำรบ์ อนมอนอกไซด์ 4. นำ้
4. ขอ้ ใดตอ่ ไปน้ไี ม่ใช้สำเหตุสำคญั ทที่ ำใหส้ ำรโควำเลนตม์ ีจดุ เดอื ดสูงกวำ่ สำรอนื่ ทม่ี มี วลโมเลกลุ ใกล้เคียงกนั
1. เป็นโมเลกลุ แบบมีขวั้ 2. เปน็ โมเลกุลทเ่ี กดิ พนั ธะไฮโดรเจน
3. พนั ธะระหวำ่ งอะตอมเปน็ พันธะโควำเลนตต์ ่ำงกนั 4. สภำพข้ัวของโมเลกุล
5. ข้อใดแสดงสมบัตขิ อง AxBy ท่เี กิดจำกสำร 2 ชนิด (A และ B) รวมตวั กันไดถ้ กู ตอ้ ง
ขอ้ ธำตุ A ธำตุ B สตู ร ชนดิ พนั ธะ สภำพขวั้ ของโมเลกลุ รปู รำ่ งโมเลกลุ
1. C H C2H2 โคเวเลนต์ มี สำมเหลี่ยมแบนรำบ
ไมม่ ี เสน้ ตรง
2. Na Cl NaCl ไอออนิก ไมม่ ี ทรงส่ีหน้ำ
3. Xe F XeF4 ไอออนิก มี มมุ งอ
4. N O NO2 โคเวเลนต์
6. ควำมสัมพนั ธร์ ะหว่ำงควำมยำวพนั ธะเฉล่ยี และพลงั งำนพนั ธะเฉล่ยี ของสำรตำ่ งๆ เป็นอย่ำงไร
1. พลังงำนพันธะเฉลยี่ สูงเม่อื ควำมยำวพนั ธะเฉล่ยี นอ้ ย
2. มแี นวโน้มทีค่ วำมยำวพนั ธะเฉลีย่ น้อยจะมพี ลงั งำนพันธะเฉลย่ี สงู
3. พลังงำนพันธะเฉลย่ี สูงเม่อื ควำมยำวพันธะมำก
4. ไม่มีควำมสมั พันธถ์ ำ้ อะตอมที่เกย่ี วข้องแตกตำ่ งกนั
7. สำรประกอบทีม่ ีสตู รโมเลกลุ และไอออน SO3, C2N2 , CH2O , SO32- มีรปู ร่ำงโมเลกลุ และไอออนเรยี งตำมลำดับ
ตำมขอ้ ใด
1. สำมเหล่ยี มแบนรำบ มมุ งอ ทรงส่หี น้ำ พรี ะมิดฐำนสำมเหลยี่ ม
2. สำมเหลย่ี มแบนรำบ เสน้ ตรง ทรงสีห่ น้ำ พีระมดิ ฐำนสำมเหล่ียม
3. สำมเหลย่ี มแบนรำบ เสน้ ตรง สำมเหลยี่ มแบนรำบ พีระมิดฐำนสำมเหล่ียม
4. สำมเหลีย่ มแบนรำบ มมุ งอ สำมเหล่ยี มแบนรำบ พรี ะมิดฐำนสำมเหลยี่ ม
Chemistry 1 Montfort college
Chemical Bonding 70
8. กำหนดตำรำงธำตตุ ่อไปน้ี
คำบ/หมู่ I II III IV V VI VII VIII
2 ABCDEFG H
3 I JK LMNO P
ข้อใดเปน็ รูปร่ำงโมเลกลุ ของ MG3
1. มมุ งอ 2. ทรงส่ีหน้ำ 3. พรี ะมดิ ฐำนสำมเหล่ยี ม 4. สำมเหล่ียมแบนรำบ
9. สำรในข้อใดมีทงั้ พนั ธะไอออนิกและพนั ธะโคเวเลนต์
1. H2O 2. C2H5Cl 3. NaOH 4. CO2
10. โมเลกลุ ในขอ้ ใดทมี่ ีแรงระหวำ่ งอนภุ ำคประเภทเดียวกนั 2. SO2 HCl PH3
1. H2O NH3 HBr 4. CS2 KrF2 SCl2
3. SO3 CH4 XeO2
11. ขอ้ ใดกล่ำวถกู ตอ้ ง
1. SO2 มีมุมพนั ธะแคบกว่ำ SO3 เพรำะอิเลก็ ตรอนคูโ่ ดดเดย่ี วมแี รงผลกั มำกกวำ่
2. NH3 มีมุมพนั ธะกวำ้ งกว่ำ PH3 เพรำะมีอเิ ลก็ ตรอนคู่โดดเดย่ี วน้อยกว่ำ
3. H2O มมี ุมพันธะแคบกวำ่ H2S เพรำะ O มีค่ำ EN สูงกวำ่ S
4. CH2Cl2 มีมมุ พันธะทุกมมุ เท่ำกันเทำ่ กับ 109.5
12. XF3 มีรูปรำ่ งโมเลกุลเป็นสำมเหลย่ี มแบนรำบ สว่ น YF3 มีรปู รำ่ งเป็นพรี ะมิดฐำนสำมเหลี่ยม ขอ้ ใดกลำ่ วไมถ่ ูกตอ้ ง
1. ถ้ำ X และ Y อยูใ่ นคำบเดียวกัน YF3 จะมีจุดเดือดสงู กว่ำ XF3
2. ธำตุ X มเี วเลนต์อเิ ล็กตรอนนอ้ ยกวำ่ ธำตุ Y
3. โมเลกุท้ังสองไมเ่ ปน็ ไปตำมกฎออกเตท
4. มุมพนั ธะของ YF3 มีคำ่ นอ้ ยกวำ่ 109.50
Chemistry 1 Montfort college
Chemical Bonding 71
แนวขอ้ สอบเขำ้ มหำวทิ ยำลยั เรอื่ งพนั ธะเคมี
1. ฟอสเฟตไอออนมีโครงสรำ้ งเรโซแนนซ์ได้ทง้ั หมดกี่แบบ
2. จำนวนอเิ ลก็ ตรอนทไ่ี มใ่ ช้สร้ำงพนั ธะในผลึกกำมะถันมกี อี่ ิเลก็ ตรอน
3. คลอรนี สำมำรถเกดิ สำรประกอบออกไซดไ์ ด้เป็น ClO- , ClO2- , ClO3- และ ClO4- มจี ำนวนอิเลก็ ตรอนทไ่ี มใ่ ช้สร้ำง
พันธะของคลอรนี ในสำรประกอบออกไซด์ มที งั้ หมดกีอ่ ิเล็กตรอน
4. กำหนดใหพ้ ลงั งำนพันธะ (KJ/mol ) C-C 348 , C=C 614 , C C 839 ,C-H 413 ,
H-H 436 ปฏิกริ ยิ ำระหว่ำงแกส๊ อะเซทิลนี กบั แก๊สไฮโดรเจนใหแ้ ก๊สอีเทน มกี ำรคำยพลังงำนกก่ี ิโลจลู ตอ่ โมล
5. จำกปฏกิ ริ ิยำตอ่ ไปนี้ จงหำพลงั งำนพันธะของ C – F ในหน่วย kJ / mol
C2H4(g) + F2(g) → C2H4F2 ∆H = −541 kJ
กำหนดใหพ้ ลังงำนพนั ธะ C – C = 347 kJ / mol ; C = C = 614 kJ / mol ; F – F =
154 kJ / mol
1. 962 2. 575 3. 481 4. 210.5
Chemistry 1 Montfort college
Chemical Bonding 72
6. ปฏิกริ ยิ ำระหวำ่ งแกส๊ คลอรนี 0.5 mol และแกส๊ มีเทน 2 mol ดงั สมกำร
CH4(g) + Cl2(g) ⟶ CH3Cl(g) + HCl(g)
หำกกำหนดใหพ้ ลงั งำนพันธะระหว่ำงอะตอมคู่ตำ่ งๆ ในหนว่ ย kJ / mol เปน็ ดังนี้
H – H 436 C – C 348
H – Cl 431 C – Cl 327
H – C 413 C – N 286
H–N 391 Cl – Cl 243
ขอ้ ใดถกู ตอ้ ง 2. ปฏิกิริยำคำยควำมร้อน 51 kJ
1. ปฏกิ ิรยิ ำคำยควำมร้อน 102 kJ 4. ปฏกิ ิริยำดูดควำมร้อน 51 kJ
3. ปฏกิ ริ ยิ ำดดู ควำมรอ้ น 102 kJ
7. พลังงำนแลตทซิ (U) คอื พลังงำนทีใ่ ชเ้ พอื่ ใหไ้ อออนและลบแยกออกจำกโครงผลกึ หำได้จำกสมกำร U=KQ1Q2/r เมื่อ K
คอื คำ่ คงที่ Q1 และ Q2 คอื ประจขุ องไอออน และ r คอื รัศมขี องไอออน ขอ้ ใดเรยี งลำดับพลังงำนแลตทิซจำกสูงไปตำ่ ถูกตอ้ ง
1. MgF2 MgCl2 CaCl2 2. CaCl2 NaCl NaF
3. LiF NaF MgF2 4. KCl NaCl LiCl
8. สำรในข้อใดทจี่ ัดเป็นสำรประกอบไอออนิกทุกตัว 2. NH4Cl MgCl2 Na2S
1. NaCl BeCl2 K2O 4. KI MgSO4 SiO2
3. HCl AgCl KNO3
9. กำรเรยี กชอื่ สำรประกอบในขอ้ ใดถูกต้อง 2. CaH2 แคลเซียมไฮไดรด์
1. N2O ไนโตรเจนไดออกไซด์ 4. KHSO3 โพแทสเซยี มไฮโดรเจนซัลเฟต
3. Al(OH)3 อะลูมเิ นยี มไตรไฮดรอกไซด์
10. สำรประกอบใดที่มีมมุ ระหว่ำงพันธะในโมเลกุลเท่ำกัน
1. Cl2O , I3- 2. CO32- , NO3-
3. BF3 , NH3 4. CHCl3 , XeF4
11. สำรประกอบในขอ้ ใดทมี่ รี ปู ร่ำงโมเลกลุ เหมอื นกับแกส๊ หัวเรำะ
1. โอโซน 2. คลอรีนไดออกไซด์ 3. ไนโตรเจนไดออกไซด์ 4. ไฮโดรเจนไซยำไนด์
12. โมเลกุลขอ้ ใดมรี ูปร่ำงต่ำงไปจำกโมเลกลุ อน่ื
1. BCl3 2. PCl3 3. HCHO 4. SO3
13. สำรประกอบในขอ้ ขอ้ ใดมีรปู ร่ำงโมเลกลุ เหมอื นฟอรม์ ัลดีไฮด์
1. ฟอสเฟตไอออน 2. ซลั ไฟต์ไอออน 3. ไดคลอโรมีเทน 4. ไนเตรตไอออน
Chemistry 1 Montfort college
Chemical Bonding 73
14. สำรประกอบใดจดั เป็นโมเลกุลทม่ี ขี ว้ั ท้ังหมด
1. SO3 , CH2O 2. SF6 , ClF3 3. O3 , PCl5 4. CH2Cl2 , SF4
15. ข้อใดถูกตอ้ ง
1. ควำมยำวพันธะระหวำ่ ง C กับ O ใน CO32– เท่ำกับ COCl2
2. ไนโตรเจนไดออกไซด์จัดเป็นโมเลกุลมีขัว้ เชน่ เดยี วกบั โอโซน
3. H2O มจี ุดเดอื ดต่ำกว่ำ HF เพรำะสภำพขวั้ ของพนั ธะ O – H ตำ่ กว่ำ F – H
4. พลงั งำนกำรสลำยพันธะระหว่ำงคำรบ์ อนในโมเลกุล C6H6 น้อยกวำ่ C6H12
16. ขอ้ ใดเรียงลำดบั จุดเดอื ดของสำรจำกสูงไปต่ำ 2. กรดแอซิตกิ กรดกัดแก้ว กรดเกลอื
1. เฮกเซน อะเซทิลีน แอซีโตน 4. ซลิ ิคอนไดออกไซด์ น้ำแข็งแห้ง น้ำ
3. เอทลิ อีเทอร์ เอทำนอล แอซโี ตน
17. จำกสมบัติของสำรประกอบตำ่ งๆ ทก่ี ำหนดให้ สำรประกอบใดที่มโี ครงสร้ำงเปน็ แบบโครงขำ่ ยโควำเลนต์
สำรประกอบ จดุ หลอมเหลว กำรนำไฟฟำ้ กำรละลำยนำ้
A 3730 นำไฟฟำ้ ได้เฉพำะบำงทศิ ทำง ไมล่ ะลำย
B 838 นำไฟฟำ้ ไมล่ ะลำย
C 2700 ไม่นำไฟฟำ้ ไมล่ ะลำย
D 1540 นำไฟฟำ้ ไมล่ ะลำย
1. A และ E 2. A และ D 3. B และ D 4. B และ E
18. X เปน็ ของแข็งทม่ี ลี กั ษณะเป็นผลกึ สมี ว่ ง หลอมเหลวท่ีอณุ หภูมิ 120 องศำเซลเซยี สไอระเหยให้กล่นิ ระคำยเคืองตอ่ ระบบ
หำยใจไมน่ ำไฟฟ้ำทง้ั สภำวะของและของเหลวขอ้ ใดถูกตอ้ งเก่ยี วกบั สำร X
1. สำรที่มีพันธะโลหะ 2. สำรทม่ี ีพันธะไอออนกิ
3. สำรโคเวเลนต์โครงผลึกรำ่ งตำขำ่ ย 4. โมเลกุลโคเวเลนตแ์ รงดึงดูดวัลเดอรว์ ำลส์
19. สำรประกอบในข้อใดมีแรงดึงดดู ระหว่ำงโมเลกุลทส่ี ำคัญชนดิ เดียวกนั ทง้ั หมด
1. CS2 , F2 , H2O และ Cl2
2. CH4 , H2S , CS2 และ CO2
3. SO2 , OF2 , NH3 และ NF3
4. CH3COOH , CH3CH2OH , CH3CH2CH3 และ C6H5OCH3
20. คำกล่ำวตอ่ ไปนี้ถกู ต้องกข่ี อ้
ก. CsI มพี ลังงำนแลตทิซมำกกว่ำ NaF และ CaO ตำมลำดับ
ข. O3 SO2 CO32– และฟุลเลอรนี มีโครงสร้ำงเรโซแนนซ์
ค. NO+ I3– NO2– RnCl2 มีโครงสรำ้ งลวิ อิสเป็นไปตำมกฏออกเตต
ง. แอซิโตนมรี ปู รำ่ งโมเลกุลตำมหลัก VSEPR เปน็ แบบทรงสห่ี นำ้ และสำมเหล่ยี มแบนรำบ
1. 1 2. 2 3. 3 4. 4
Chemistry 1 Montfort college
Chemical Bonding 74
21. ธำตุ A , B , C , D และ E เปน็ อโลหะ โดยท่ีธำตุ A , B , C และ D อย่คู ำบเดยี วกัน ธำตุ D และ E อยู่หมู่
เดียวกัน พบว่ำสำรประกอบระหวำ่ งธำตตุ ่ำงๆ เปน็ ดงั นี้
สำรประกอบ รปู รำ่ งโมเลกลุ สำรประกอบ รูปร่ำงโมเลกลุ
AD2 มุมงอ EC2 มมุ งอ
BC4 ทรงส่หี น้ำ ED3 สำมเหล่ยี มแบนรำบ
BD2 เสน้ ตรง AC3 พีระมดิ ฐำนสำมเหล่ยี ม
ED32- พรี ะมดิ ฐำนสำมเหล่ียม AD2+ เส้นตรง
จำกขอ้ มลู ขำ้ งตน้ ขอ้ ใดไมถ่ กู ตอ้ ง 2. เมือ่ ไดร้ ับอิเล็กตรอนแล้ว B เสถียรน้อยกวำ่ C
1. ค่ำอิเลก็ โทรเนกำตวิ ติ ีของอะตอม A มำกกว่ำอะตอม B
3. ขนำดอะตอม C ใหญ่กว่ำ อะตอม D 4. ธำตุ D และ E อยหู่ มู่ 6
22. ขอ้ ใดถูกต้องเก่ียวกบั มมุ พนั ธะในโครงสร้ำงเคมที ี่กำหนดให้
1. มุม A มขี นำดมำกทส่ี ดุ
2. มมุ B มขี นำดมำกทีส่ ุด
3. มุมทัง้ สำมมขี นำดเท่ำกัน
4. มมุ B มีขนำดเท่ำกบั มุม C
23. โครงสรำ้ งผลกึ ของสำรประกอบไอออนิกชนดิ หนง่ึ มี X เป็นไอออนบวกและ Y เป็นไอออนลบ พบว่ำมี Y ล้อมรอบแตล่ ะ
X อยู่ 4 ไอออนและมี X ลอ้ มรอบแต่ละ Y อยู่ 2 ไอออน ขอ้ ใดเปน็ ประจขุ อง X และ Y ตำมลำดบั
1. +1 และ -1 2. +2 และ -4 3. +3 และ -2
4. +1 และ -2 5. +4 และ -2
24. โมเลกุลหรือไอออนใดบำ้ งท่ีมีรปู รำ่ งเป็นรปู สำมเหลีย่ มแบนรำบ
H3O+ PH3 I3- CH2O
BF3 NCl3 V VI
I II III IV 3. 5 และ 6
1. 1 เทำ่ นน้ั 2. 1 และ 6
4. 2 และ 4 5. 1 และ 3
25. ธำตุ A B C และ D มเี ลขอะตอม 6 12 14 และ 17 ตำมลำดบั พิจำรณำสำรประกอบของธำตเุ หล่ำน้ี ข้อใดถกู
1. สำรประกอบระหว่ำง A กบั D เปน็ แบบโมเลกุลไมม่ ีขั้ว จึงไม่ละลำยน้ำได้สว่ นสำรประกอบระหว่ำง C กับ D เป็นสำร
ไอออนิก จงึ ละลำยนำ้ ได้
2. สำรประกอบออกไซคข์ อง B กบั C ต่ำงกม็ โี ครงสรำ้ งผลกึ ที่แขง็ แรง แตม่ ีพนั ธะต่ำงชนิดกัน
3. สำรประกอบธำตุครู่ ะหวำ่ งไฮโดรเจนกับ A กับ C มีพันธะโคเวเลนต์แบบไมม่ ีข้วั ทำให้โมเลกุลไม่มขี วั้ สำรประกอบทัง้
สองจงึ มจี ุดหลอมเหลวต่ำ
4. สำรประกอบระหว่ำงไฮโดรเจนกบั D มแี รงยึดเหนี่ยวระหว่ำงโมเลกุลเปน็ พนั ธะไฮโดรเจน สำรน้จี ึงมีจุดหลอมเหลวสูง
5. สำรประกอบระหวำ่ ง B กบั D มีสตู ร BD2 จัดเป็นแบบโมเลกุลมีขั้ว เม่ือละลำยน้ำจะเกดิ พนั ธะไฮโดรเจนกับน้ำได้
Chemistry 1 Montfort college
Chemical Bonding 75
26. กำหนดค่ำพลงั งำนไอออไนเซชัน (MJ/mol) ของธำตุ X , Y , Z ดงั ตำรำง
IE1 IE2 IE3 IE4 IE5 IE6 IE7
X 0.425 3.058 4.418 5.883 7.982 9.660 11.349
Y 1.320 3.395 5.307 7.476 11.996 13.333 71.343
Z 1.407 2.862 4.585 7.482 9.452 53.274 64.368
ถ้ำ Y และ Z อยู่ในคำบท่ี 2 ของตำรำงธำตุ สูตรของสำรประกอบในขอ้ ใดเป็นไปไมไ่ ด้
1. X2Y 2.X3Z2 3.Y2Z 4. YZ2 5. X2Y2
27. จำกโครงสรำ้ งของกลูตำไทโอนท่ีแสดง กำรเรยี งลำดับมุมพนั ธะในข้อใดถูกต้อง
1. θ1< θ2< θ3< θ4 2. θ3< θ4< θ1< θ2 3. θ4< θ1< θ2< θ3
4. θ4< θ1< θ3< θ2 5. θ1< θ4< θ3< θ2
28. กำหนดให้ (1) พลังงำนพันธะเฉลี่ย (KJ/mol) C-Cl Cl-Cl
H-H C-H
435 410 325 240
(2) ปฎกิ ิริยำ H2 + Cl2 2HCl ∆H = -185 kJ
เมือ่ แกส๊ มเี ทนทำปฏกิ ิรยิ ำกบั แก๊ส Cl2 ไดแ้ ก๊สไตรคลอโรมเี ทน 1 mol จะดดู พลงั งำนหรอื คำยพลังงำนเทำ่ ใด
1.คำยพลังงำน 210 kJ 2.คำยพลังงำน 315 kJ 3. ดดู พลังงำน 62.5 kJ
4.ดูดพลงั งำน 65 kJ 5. ดูดพลังงำน 157.5 kJ
29. สำรประกอบของ Xe ในข้อใดมีรปู รำ่ งโมเลกลุ เหมือนกนั (กำหนดเลขอะตอมของ Xe = 54)
2. XeOF2 และ XeF3+
1. XeO3 และ XeOF2 3. XeO4 และ XeF4
4. XeO3 และ XeF3+
5. XeOF2 และ XeF4
30. กำรเรียงลำดับจดุ เดอื ดของสำรจำกมำกไปนอ้ ยขอ้ ใดผดิ (กำหนดเลขอะตอม Se = 34 Te = 32)
1. Ar > Ne > He 2. Cl2 > F2 > HF 3. C2H5OH > CH3OCH3 > CH4
4. H2Te > H2Se > H2S 5. เพชร > เหลก็ > กำมะถัน
Chemistry 1 Montfort college
Chemical Bonding 76
31. เมอ่ื โลหะอะลมู เิ นียมทำปฏิกิริยำกับแกส๊ คลอรนี เกดิ เป็นสำรประกอบ AlCl3 มขี ้อมูลเกย่ี วข้องดงั น้ี
พลงั งำนแลตทิชของ AlCl3 = -5,500 kJ/mol
พลงั งำนไอออไนเซชนั ลำดับที่ 1 ของ Al = 570 kJ/mol
พลังงำนไอออไนเซชันลำดับที่ 2 ของ Al = 1,800 kJ/mol
พลังงำนไอออไนเซชนั ลำดบั ที่ 3 ของ Al = 2,750 kJ/mol
พลงั งำนกำรระเหิดของ Al = 320 kJ/mol
พลังงำนกำรสลำยพนั ธะของ Cl2 = 240 kJ/mol
สมั พรรคภำพอเิ ลก็ ตรอนของ Cl = -350 kJ/mol
ขอ้ ใดถกู ตอ้ ง
1. กำรเกดิ สำรประกอบ AlCl3 7 mol จะดูดพลงั งำนเท่ำกบั 5,250 kJ
2. กระบวนกำร Al (g) --> Al+(g) + 3e- จะคำยพลังงำนเทำ่ กบั 5,120 kJ/mol
3. กระบวนกำร Al (s) --> Al3+(g) + 3e- สำหรบั กำรเกดิ สำรประกอบ AlCl3 1 mol จะใช้พลังงำน 5,500 kJ
4. กระบวนกำร Cl2 (g) + 2e- --> 2Cl- (g) สำหรบั กำรเกิดสำรประกอบ AlCl3 1 mol จะคำยพลังงำน 690 kJ
5. พลังงำนที่ใชใ้ นกำรสลำยสำรประกอบ AlCl3 1 mol ใหเ้ ปน็ ไอออนในรูปแก๊ส มีค่ำเท่ำกบั 750 kJ
32. จำกปฏกิ ิริยำของสำรตง้ั ตน้ ทีก่ ำหนดใหก้ ำรเขยี นสมกำรไอออนกิ สุทธใิ นขอ้ ใดผิด
สำรตง้ั ตน้ สมกำรไอออนกิ สทุ ธิ
1. HCl (aq) + NaOH (aq) H+(aq) + OH- (aq) --> H2O (l)
2. Pb(NO3)2 (aq) + KI (aq) Pb2+ (aq) + 2I- (aq) --> PbI2 (s)
3. Na (s) + H2O (l) Na (s) + H2O (l) --> Na+ (aq) + H+ (aq) + 1/2H2 (aq)
4. Na2CO3 (aq) + HCl (aq) CO32- (aq) + 2 H+ (aq) --> CO (g) + H2O (l)
5. CuSO4 (aq) + NH3 (aq) 10 mol/dm3 Cu2+ (aq) + 4NH3 (aq) + SO42- (aq) --> [Cu(NH3)4]SO4 (aq)
33. เมื่อละลำยแคลเซียมคลอไรด์ (CaCl2) ในนำ้ ท่อี ณุ หภมู หิ อ้ ง พบว่ำสำรละลำยมอี ุณหภูมิสูงข้ึนและเม่อื เตมิ สำรละลำยโซเดียม
คำรบ์ อเนต (Na2CO3) ลงไปจะเกิดตะกอนสีขำว ข้อสรปุ ใดถกู
1. ถ้ำเติมกรดไฮโดรคลอรกิ ลงในสำรละลำย จะเกิดตะกอนสีขำวมำกขน้ึ
2. กำรละลำยของแคลเซยี มคลอไรดใ์ นน้ำ เปน็ กำรเปลย่ี นแปลงแบบดดู ควำมร้อน
3. ของผสมท่ีไดใ้ นขนั้ ตอนสดุ ท้ำยของกำรทดลองนไี้ มส่ ำมำรถนำไฟฟำ้ ได้เพรำะเกิดตะกอน
4. สมกำรไอออนิกสทุ ธิของปฏกิ ริ ิยำท่ีเกิดขนึ้ คอื
Ca2+(aq) + 2Cl-(aq) + 2Na+ + CO32-(aq)
CaCO3(s) + 2NaCl(s)
5. พลงั งำนแลตทซิ ของแคลเซียมคลอไรด์มคี ่ำต่ำกวำ่ พลงั งำนไฮเดรชันระหวำ่ งโมเลกลุ ของน้ำกบั แคลเซียมไอออนและคลอไรด์
ไอออน
Chemistry 1 Montfort college
Chemical Bonding 77
บรรณำนุกรม
กฤษณำ ชุติมำ. 2549. หลกั เคมที ่วั ไป เลม่ 1. พมิ พค์ ร้งั ท่ี 17 กรุงเทพฯ :
สำนักพิมพแ์ หง่ จุฬำลงกรณม์ หำวิทยำลัย.
กำนต์ตะรตั น์ วฒุ เิ สลำ และคณะ. 2555. เคมสี ำหรบั โครงกำรเรยี นล่วงหนำ้ ตอน 1.
สืบคน้ เม่ือ 12 กรกฏำคม 2561, จำก http://www.il.mahidol.ac.th/e-media/ap-
chemistry1/index.htm
คณะอนกุ รรมกำรปรบั ปรงุ หลักสูตรวทิ ยำศำสตรสำขำเคม.ี 2540. เคมี เลม 1. พมิ พครั่งที่ 10. กรุงเทพ ฯ :
อักษรเจริญทศั น.
เจโรมี, โรเซน็ เบอร์ก แอล. 2540. ทฤษฎแี ละตัวอย่ำงโจทย์เคมพี น้ื ฐำน. แปลและเรยี บเรยี งโดย
วชั รี ชำตกติ ตคิ ณุ วงศ์. กรุงเทพ ฯ : แมคกรอ-ฮลิ .
ฉตั รชัชชญำน์ โชติชญำณ์พงศ.์ 2557. เอกสำรประกอบกำรสอน เรอ่ื ง พนั ธะเคม.ี
มหำวิทยำลยั เทคโนโลยีรำชมงคลอสี ำน
แชง, เรยมอนด์. 2543. เคมี เลม่ 1. แปลและเรยี บเรยี งโดย นภดล ไชยคำ, พรี วรรณ พันธุมนำวนิ และ
ลดั ดำวลั ย์ ผดุงทรัพย์. กรุงเทพ ฯ : แมคกรอ-ฮิล.
เทพรัตน์ ลีลำสัตตรัตน์กุล. 2557. พนั ธะเคม.ี สบื คน้ เมื่อ 12 กรกฏำคม 2561,
จำก http://www.chem.rmutk.ac.th/pdf/tapparath/003_Chemicalbonding.pdf
บัญชำ แสนทวี และคณะ. 2551. สำรและสมบตั ขิ องสำร ม.4 – ม.6. กรุงเทพฯ:
วฒั นำพำนิช
ประภำณี เกษมศรี ณ อยุธยำและคณะ. 2550. เคมีทวั่ ไปเลม่ 1. พิมพค์ รง้ั ที่ 10 กรงุ เทพฯ :
สำนักพมิ พแ์ ห่งจฬุ ำลงกรณม์ หำวิทยำลยั .
ศักดำ ไตรศกั ด์ิ. 2546. โครงสรำงอะตอมและทฤษฎพี นั ธะเคมี. พิมพครง้ั ท่ี 2. กรงุ เทพ ฯ :
สถำบันเทคโนโลยีพระจอมเกลำเจำคุณทหำรลำดกระบงั .
สถำบนั ส่งเสรมิ กำรสอนวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี. 2560. หนงั สอื เรยี นวชิ ำเพม่ิ เตมิ เคมี
เลม่ 1 ชนั้ มธั ยมศกึ ษำปีที่ 4–6 กลมุ่ สำระกำรเรยี นรู้ . กรุงเทพฯ:
โรงพมิ พ์ สกสค. ลำดพรำ้ ว
สถำบนั สง่ เสรมิ กำรสอนวิทยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี. 2553. หนงั สอื เรยี นวชิ ำเพมิ่ เตมิ เคมี
เลม่ 1 ชนั้ มธั ยมศกึ ษำปีท่ี 4–6 กลมุ่ สำระกำรเรยี นรู้. กรงุ เทพฯ:
โรงพมิ พ์ สกสค. ลำดพรำ้ ว
สถำบันสง่ เสริมกำรสอนวิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี. 2553. หนงั สอื เรยี นวิชำเพม่ิ เตมิ เคมี
เลม่ 2 ชน้ั มธั ยมศกึ ษำปที ่ี 4–6 กลมุ่ สำระกำรเรยี นรู้. กรุงเทพฯ:
โรงพิมพ์ สกสค. ลำดพรำ้ ว
สมพงษ์ จันทรโ์ พธ์ศรี. 2537. ค่มู อื เตรยี มสอบเคมี ม.4 – 5 – 6. กรุงเทพฯ :
บริษัท ไฮเอด็ พับลิชชิ่ง จำกัด.
Chemistry 1 Montfort college
Chemical Bonding 78
NOTE :
Chemistry 1 Montfort college
Chemical Bonding 79
Chemistry 1 Montfort college