The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

4. PTTบทที่ 3 ออกแบบวิจัย (6.1) ประชากร กลุ่มตัวอย่าง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ครูจุ๋ม, 2022-08-25 01:21:49

ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง

4. PTTบทที่ 3 ออกแบบวิจัย (6.1) ประชากร กลุ่มตัวอย่าง

Keywords: Population &Sample

การออกแบบงานวิจยั
และนวตั กรรม
ทางการศึกษา

สขุ เสนอ รตั นรงั สกิ ุล

ประเภทการวจิ ัย

มีหลายประเภทขึ้นอยกู่ บั เกณฑท์ ่นี ามาใชใ้ นการจาแนกประเภท

 จาแนกช่วงตามเวลา
 จาแนกตามการนาผลการวิจัยไปใช้
 จาแนกตามลักษณะของขอ้ มูลทน่ี ามาใช้
 จาแนกตามลักษณะการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
 จาแนกตามศาสตร์ (Science)

ประเภทการวจิ ยั จาแนกตามชว่ งตามเวลา

การวิจยั ประวัติศาสตร์ เป็นการวิจัยเพื่อตอ้ งการทราบความเป็นมาหรอื
พฒั นาการทางการศึกษาต้งั แตส่ มัยเริ่มตน้ มาจนถงึ
(Historical Rresearch) สมัยกอ่ นปัจจบุ นั

การวิจยั ปจั จบุ นั เปน็ การวิจัยเพื่อต้องการทราบปญั หาหรือข้อจากดั
อปุ สรรคทีเ่ กดิ ขึน้ ในปจั จุบนั เป็นอย่างไร การวิจัย
ประเภทนีม้ กั จะทาการสารวจหรือหาความสัมพันธ์
ต่าง ๆ เกย่ี วกบั เรือ่ งของความเช่อื ความคดิ เห็น
และเจตคติ

การวิจัยอนาคต ตวั อยา่ งวิธีวิจัยอนาคตที่นยิ มทากนั อยใู่ นปัจจบุ นั
(Futures Research) ได้แก่ เดลฟาย (Delphi) การสร้างอนาคตภาพ
(Scenario Building) ฟอร์ไซท้ ์ (Foresight) อเี อฟ
ฟาร์ (EFR) และ อีดเี อฟอาร์ (EDFR) เป็นตน้

ประเภทการวจิ ยั จาแนกตามการนาผลวจิ ัยไปใช้

การวิจัยเชิงทฤษฎี เปน็ การวิจยั ที่เสาะแสวงหาความรใู้ หม่
เพื่อสรา้ งเป็นทฤษฎี หรือเพือ่ เพิม่ พูนความรู้
(Theoretical research) ต่าง ๆ ให้กว้างขวางสมบรู ณ์ยง่ิ ขึ้นโดยมิได้
คานงึ ว่าความรนู้ ั้นจะนาไปแกป้ ัญหาใดได้
การวิจยั พื้นฐาน หรือไม่ การวิจยั ประเภทนีม้ ีความลึกซ้ึงและ
(Basic research) สลบั ซบั ซอ้ นมาก เช่น การวจิ ัยทาง
การวิจัยบริสทุ ธิ์ วิทยาศาสตร์และคณติ ศาสตร์
(Pure research)

การวิจัยประยกุ ต์ เป็นการวิจัยที่มงุ่ เสาะแสวงหาความรู้ และ

(Applied research) ประยกุ ต์ใชค้ วามรู้หรือวิทยาการต่าง ๆ ให้เป็น
หรือการวิจยั เชิงปฏิบัติ ประโยชน์ในทางปฏบิ ัตหิ รือเป็นการวจิ ยั ที่นาผล
ทไ่ี ด้ไปแกป้ ัญหาโดยตรงน่นั เอง การวิจัย
(Action research) ประเภทน้ีอาจนาผลการวิจัยพื้นฐานมาวิจัยต่อ

แล้วทดลองใช้

ประเภทการวจิ ยั จาแนกตามลกั ษณะของข้อมูลท่ีนามาใช้

การวิจยั เชิงปริมาณ เปน็ การวิจยั ทีน่ าเอาข้อมูลคณติ ศาสตรแ์ ละสถิติ มา
(Quantitative วิเคราะห์ สรปุ ผล และการเสนอผลการวิจยั ก็ออกมา
research) เป็นตวั เลขเชน่ เดียวกนั จึงเป็นงานวิจยั มุ่งที่จะอธิบาย
เหตกุ ารณ์ตา่ ง ๆ โดยอาศยั ตวั เลขยืนยันแสดงปรมิ าณ
การวิจัยเชิงคุณภาพ มากนอ้ ยแทนท่จี ะใช้ข้อความบรรยายให้เหตุผล
(Qualitative
research) เป็นการวจิ ยั ที่นาเอาข้อมูลทางด้านคณุ ภาพมา
วิเคราะห์ การเก็บข้อมูลทาได้โดยการสังเกต
การสมั ภาษณ์ การบนั ทึก เป็นต้น และทาทาการ
วิเคราะห์เนื้อหาทีไ่ ด้ สรุปผลเป็นข้อมูลท่ไี ม่เป็นตวั เลข
แต่จะใช้ข้อความบรรยายลกั ษณะสภาพเหตุการณ์ของ
สิ่งต่าง ๆ ทเ่ี กีย่ วข้อง หรืออาจมีการใชคั า่ สถติ ิได้
เลก็ น้อย เชน่ ความถ่ี ร้อยละ เปน็ ต้น

ประเภทการวจิ ยั จาแนกตามลกั ษณะการเก็บรวบรวมข้อมลู

การวิจัยเชิงสารวจ เป็นเทคนิคการวิจยั ซง่ึ รวบรวมขอ้ มลู จากกลมุ่ ตวั อย่างของ
(Survey research) ประชากรเป็นวิธีการท่ีใชม้ ากท่ีสดุ ในการรวบรวมขอ้ มลู ปฐมภมู ิ
โดยใชแ้ บบสอบถาม การเขียนแบบสอบถาม การกาหนด
การวิจัยเชิงเชิงทดลอง รายการของคาถามการออกแบบคาถามท่ีมีการจดั พิมพห์ รอื
(Experimental research) เป็นลายลกั ษณอ์ กั ษรเป็นลกั ษณะของการพฒั นาการออกแบบ
งานวิจยั เชิงสารวจ การวิจยั เชิงสารวจอาจใชโ้ ทรศพั ท์
การวิจยั เชิงสังเกต จดหมาย หรอื ใชบ้ คุ คลสมั ภาษณก์ ็ได้

(Observation techniques) การทดลองจะใชม้ ากในการกาหนดความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งเหตุ
และผล (Cause-and-effect relationships) การ
ทดลองเป็นการสารวจการเปล่ยี นแปลงในตวั แปรหน่งึ หรือ
หลายตวั แปรเพ่ือวดั ผลกระทบต่อตวั แปรตาม

การสงั เกตขนั้ ตอนการทางานและวิธีการใชเ้ ครอ่ื งสานกั งาน
ตา่ ง ๆ การทางานเป็นทีมการบรหิ ารเวลา

ประเภทการวจิ ยั จาแนกตามศาสตร์ (Science)

การวิจัยทาง เป็นการวิจัยเก่ยี วกับ ปรากฏการณ์ธรรมชาตทิ ง้ั

วิทยาศาสตร์ สิง่ มีชวี ิตและไม่มีชีวติ ซึ่งแบง่ ย่อยออกเปน็ หลายสาขา

(Sciencific Research) เช่น เคมี ฟิสิกส์วิทยาศาสตร์กายภาพ วิทยาศาสตร์

ชวี ภาพ และวิทยาศาสตรก์ ารแพทย์ เปน็ ต้น

การวิจยั ทาง เปน็ การวิจยั ที่เก่ยี วข้องกับพฤตกิ รรมด้านต่างๆ ของ
สังคมศาสตร์ มนษุ ยท์ ง้ั ในระดับบคุ คล กลุ่ม องคก์ าร สถาบัน และ
(Social Science สงั คม ซึ่งแบ่งยอ่ ยได้หลายสาขาเช่นเดียวกนั เช่น
Research) นิตศิ าสตร์ เศรษฐศาสตร์ รฐั ศาสตร์ สังคมศาสตร์
มนุษยศาสตร์ และศึกษาศาสตร์ เป็นตน้

ประเภทการวิจัย จาแนกตามศาสตร์ (Science)

การวิจัยประวตั ิศาสตร์ เป็นการวิจยั เพื่อตอ้ งการทราบความเป็นมาหรอื
พฒั นาการทางการศึกษาตั้งแตส่ มัยเริม่ ต้นมาจนถงึ
(Historical Rresearch) สมัยก่อนปจั จุบนั

การวิจยั ปัจจบุ ัน เป็นการวิจัยเพือ่ ต้องการทราบปัญหาหรือข้อจากัด
อปุ สรรคที่เกดิ ขึ้นในปัจจบุ ันเป็นอยา่ งไร การวิจยั
ประเภทนีม้ กั จะทาการสารวจหรือหาความสมั พันธ์
ตา่ ง ๆ เก่ยี วกบั เรื่องของความเช่อื ความคดิ เหน็
และเจตคติ

การวิจยั อนาคต ตัวอย่างวิธีวิจยั อนาคตที่นยิ มทากนั อย่ใู นปจั จบุ นั
(Futures Research) ไดแ้ ก่ เดลฟาย (Delphi) การสร้างอนาคตภาพ
(Scenario Building) ฟอรไ์ ซ้ท์ (Foresight) อีเอฟ
ฟาร์ (EFR) และ อีดีเอฟอาร์ (EDFR) เป็นต้น

ประเภทของการวิจัย
ท่ีใช้กันมากทางการศึกษา

01- การวิจยั เชิงสารวจ
02- การวิจยั เชิงทดลอง
03- การวิจยั เชิงปฏิบตั ิการในชนั้ เรียน
04- การวิจยั เชิงประเมินหลกั สตู ร
05- การวิจยั พฒั นานวตั กรรมทางการศึกษา

กระบวนการ (Process) หมายถึง การดาเนินการใดๆ ทีม่ กี ารกาหนดขั้นตอนอยา่ งเปน็ ระบบ มี

ความตอ่ เนื่องและรายละเอียดท่ชี ดั เจน และสามารถทีจ่ ะนาไปปฏิบตั ิการอย่างใดอยา่ งหนึง่ จนกระท่งั บรรลวุ ัตถปุ ระสงค์
ของการดาเนินการนน้ั ๆ



กระบวนการวิจยั
ทางพฤติกรรมศาสตรแ์ ละ
สังคมศาสตร์

ท่มี า:
สมชาย วรกิจเกษมสขุ
“ระเบียบวธิ ีการวจิ ยั ทาง
พฤติกรรมศาสตรแ์ ละสงั คม
ศาสตร” (2554)

การออกแบบกระบวนการวจิ ยั

 ประชากรและกลุม่ ตัวอย่าง
 เครื่องมือที่ใชก้ ารเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
 สถติ ิทีใ่ ช้ในการหาคณุ ภาพเครือ่ งมอื

ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง

ประชากร (Population)

คือ สมาชิกทกุ หน่วยของสิ่งที่สนใจศึกษาวิจยั

กลมุ่ ตัวอย่าง (Sample)

คือ ส่วนหนึ่งของประชากรทีน่ ามาเปน็ ตวั แทนของกล่มุ ประชากร
ทั้งหมด จึงต้องมีการคดั เลือกกล่มุ ตัวอย่างทีเ่ หมาะสม เพือ่ ให้สามารถ
อ้างอิงไปยงั ประชากรได้อย่างนา่ เชื่อถือ

(Population)

(Sample)

ตารางเปรยี บเทียบข้อแตกตา่ งระหวา่ งประชากร และกล่มุ ตัวอย่าง

ประเดน็ พิจารณา ประชากร กลุ่มตัวอย่าง
ความหมาย
การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู จาก เก็บจากกลุม่ ยอ่ ยส่วน
ส่วนประกอบ องค์ประกอบทง้ั หมด หนึ่งจากประชากร

ทกุ หน่วยของกลุ่ม บางสว่ นของประชากร

คณุ ลักษณะเฉพาะ พารามเิ ตอร์ สถิติ

ลักษณะของกลุม่ ตัวอย่างที่ดี มีดงั นี้

ต้องเปน็ ตวั แทนทีด่ ีของกล่มุ ประชากร
โดยต้องมีคณุ สมบตั ิเดียวกนั กับประชาชนอย่างครบถว้ น

ต้องมีจานวนหรือขนาดที่เหมาะสม
ความไม่มีอคติของกล่มุ ตวั อย่างในการให้ข้อมลู กล่าวคือ ค่าสถิติ

(Statistics) กับ ค่าพารามิเตอร์ทีไ่ ด้จากการคานวณมีความใกล้เคียง
กนั ค่าสถิติ (Statistics) กบั ค่าพารามิเตอร์ทีไ่ ด้จากการคานวณมี
ความใกล้เคียงกนั
ค่าจากการประมาณเป็นค่าทางสถิติที่ ได้จากตวั อย่างในแต่ละครงั้ ซึ่ง
มีความใกล้เคียงกัน

ดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมลู

วธิ กี าหนดขนาดกลุม่ ตัวอย่าง
1. การกาหนดเกณฑ์

ในกรณีน้ผี ู้วิจัยต้องทราบจานวนประชากรที่แน่นอนก่อน
แล้ว ใช้เกณฑ์โดยกาหนดเป็นร้อยละของประชากรในการ
พิจารณา ดังนี้

 ถ้าขนาดประชากรเป็นหลกั ร้อย ควรใช้กล่มุ ตัวอย่างอย่างน้อย 25%
 ถ้าขนาดประชากรเป็นหลักพนั ควรใช้กลุ่มตัวอย่างอย่างน้อย 10%
 ถ้าขนาดประชากรเปน็ หลักหมนื่ ควรใช้กลุ่มตัวอย่างอย่างน้อย 5%
 ถ้าขนาดประชากรเป็นหลกั แสน ควรใช้กลุ่มตวั อย่างอย่างน้อย 1%

2.การใช้ตารางสาเรจ็ รปู

วจิ ัยเชิงปรมิ าณ
นยิ มกาหนดขนาดของกลมุ่ ตัวอยา่ งโดยใช้สตู ร Taro Yamane และ Krejcie Morgan

ในปี 1970 ทาโร ยามาเน (Taro Tayamane) นักเศรษฐศาสตรแ์ ละสถิติชาวญ่ปี นุ่
ได้คดิ ค้นทฤษฎกี ารคานวณ หรือสูตรคานวณ สาหรับการกาหนดขนาดกลุ่มจานวน
ประชากรตวั อย่างขึ้น เหมาะสมสาหรับการวิจัยทีส่ นใจประชากรจานวนมากและ
ทราบจานวนประชากรทงั้ หมดที่ตอ้ งการศึกษา โดยมีสมการดังนี้



ตารางสาเร็จรปู ของเครจซีแ่ ละมอร์แกน

สาหรับตารางของเครจซี่และมอร์แกน (Krejcie & Morgan) ตารางนี้ใช้
ในการประมาณค่าสดั ส่วนของประชากรเช่นเดียวกนั ละกาหนดให้
สัดส่วนของลกั ษณะที่สนใจในประชากร เท่ากบั 0.5 ระดับ
ความคลาดเคลือ่ นทีย่ อมรับได้ 5% และระดับความเชื่อม่ัน 95%
สามารถคานวณหาขนาดของกล่มุ ตัวอย่างกบั ประชากรที่มีขนาดเล็ก
ได้ต้งั แต่ 10 ขึ้นไป ดังตารางที่ 2 วิธีการอ่านตารางผ้วู ิจัยต้องทราบ
ขนาดของประชากร



เปรียบเทยี บปจั จยั การกาหนดขนาดกลุม่ ตัวอย่างจากตารางสาเรจ็ รปู

ปจั จยั พิจารณา Yamane Krejcie & Welch & Salant &
จานวนประชากร Morgan Comer Dillman

500 ขึ้นไป 10 ขึ้นไป 1,000 ขึ้นไป 100 ขึ้นไป

ระดับความคลาด 1-5 % 1 %, 5 %,
10 %
เคลือ่ นทีย่ อมรบั ได้ 1-10 % ไม่ระบุ

ระดบั ความเชื่อมั่น 95 %, 95 % 95 % 95 %
99 %

3. การใช้สูตรคานวณ

กรณีทราบขนาดของประชากร
1) สตู รของทาโร่ ยามาเน่

2) สูตรของเครซีแ่ ละมอรแ์ กน

กรณีไมท่ ราบขนาดของประชากร 3. การใช้สตู รคานวณ

สตู รของคอแครน (Cochran)

วิธีสมุ่ ตัวอยา่ ง (Sampling)

1) วิธีการสมุ่ ตวั อยา่ งโดยไม่ใช้หลักความนา่ จะเป็น
(Non-probability sampling)

2) วิธีการสมุ่ ตวั อย่างโดยใช้หลักความนา่ จะเป็น
(Probability sampling)

1) วธิ กี ารสมุ่ ตวั อย่างโดยไม่ใช้หลกั ความน่าจะเป็น (Non-probability sampling)

การส่มุ แบบบังเอิญ เปน็ การเกบ็ ข้อมูลการวิจยั ทีไ่ ม่ มีกฎเกณฑท์ ี่แน่นอน นักวิจัยจะเลือกใครก็
ได้เพยี งแค่หาใหค้ รบตามจานวนที่ต้องการเท่านั้น ซึง่ นักวจิ ยั เลือกใชว้ ิธกี าร
(Accidental sampling) สุ่มนเี้ พือ่ ความสะดวกในการดาเนินการวจิ ัย กลุ่มตวั อย่างพบเจอได้ง่าย
เข้าถงึ ข้อมลู ไดง้ า่ ย ผู้ให้ข้อมลู มคี วามเตม็ ใจ ทาให้งานวิจยั สาเร็จตามเวลา
การสุ่มแบบเจาะจง และมผี ู้ชว่ ยเก็บข้อมูลแทนได้

(Purposive sampling) เปน็ การเลือกกลุ่มตัวอย่างที่ นกั วิจัยต้องใช้เหตุและผลในการเลือกกลุ่ม
ตัวอย่างตามกฎเกณฑท์ ีน่ กั วิจัยกาหนดขึน้ หรือมีการ กาหนดคณุ สมบัติของ
การสุ่มแบบกาหนด กลุ่มตัวอย่าง โดยถ้าพบตัวอย่างที่มคี ณุ สมบัติครบถ้วนตามที่กาหนดไวก้ ็
โควตา้ จะทาการเลือกตวั อยา่ งน้ัน
(Quota sampling)
กลุ่มตวั อย่างท่ไี ด้เกิดจากการ คัดเลือกอย่างมหี ลกั เกณฑ์ โดยนักวิจยั ต้อง
ทราบคณุ ลกั ษณะหรือกาหนดคณุ สมบัติไว้ล่วงหน้า ของกลมุ่ ตวั อย่างแต่ละ
กลุ่มย่อย ซง่ึ จานวนกลมุ่ ตัวอย่างแต่ละกลุ่มย่อยต้องมสี ดั สว่ นมาจาก
ประชากรและการให้สิทธิใ์ นสดั สว่ นน้ัน เชน่ เพศ การศึกษา

การส่มุ แบบกอ้ นหิมะ เป็นการเลือกกลุ่มตัวอย่าง ตามทีน่ กั วิจัยต้องการและใหก้ ลุ่มตัวอย่าง
แนะนากลุ่มตวั อย่างอืน่ ทีม่ ีลักษณะเดียวกนั และ นกั วิจัยกระทาเชน่ นี้
(Snowball sampling) เรื่อยไปจนได้ข้อมูลครบตามทีต่ ้องการ

1) วธิ กี ารส่มุ ตวั อย่างโดยไม่ใช้หลักความน่าจะเปน็ (Non-probability sampling)

วิธีเลือกกลมุ่ ตัวอย่าง ข้อเดน่ ขอ้ ด้อย

การสุ่มแบบบังเอิญ สะดวกในการเก็บ ข้อมลู ใช้ความระมัดระวงั ในการ ตีความเนื่องจาก
การเกบ็ ข้อมลู เป็นความบังเอญิ กลุ่ม
(Accidental sampling) ตวั อยา่ งไม่ถูกกาหนด คุณสมบัติ

การสุ่มแบบเจาะจง - ได้กล่มุ ตวั อยา่ งในการเก็บ ขอ้ มลู - อาจจะเกิดความลาเอยี งใน การเลอื กกลมุ่
ตามทีต่ อ้ งการ ตัวอยา่ ง
(Purposive sampling) - สามารถเกบ็ ขอ้ มูล และใช้
- อาจจะเกิดความคลาดเคลือ่ นหรือความ
ประโยชนจ์ ากกล่มุ ตัวอยา่ งได้ แปรปรวน ของข้อมลู ได้

การสุ่มแบบกาหนด - มีการแบง่ กลุ่มตามลกั ษณะท่ี - ถ้านกั วิจัยมีประสบการณ์ นอ้ ยอาจทาให้
โควต้า ชัดเจน เกิดความ คลาดเคล่อื นได้
(Quota sampling)
- ความแปรปรวนหรือความ - ไมค่ วรใช้ประมาณคา่ กบั ประชากรทง้ั หมด
คลาดเคล่อื นในกล่มุ ตวั อย่าง จะ
ต่า - อาจมีความลาเอยี งหรือมี อคติทีส่ งู
เนือ่ งจากกลุ่มตวั อย่างแตล่ ะกลุ่มไม่เปน็
การส่มุ แบบกอ้ นหิมะ - มีประโยชนส์ าหรบั งานวิจยั อสิ ระต่อกนั
(Snowball sampling) ที่ มีความเส่ยี งสูง
- ไมค่ วรใชป้ ระมาณค่ากับประชากรท้ังหมด

2) วธิ กี ารสุม่ ตวั อยา่ งโดยใช้หลกั ความนา่ จะเปน็ (Probability sampling)

วธิ กี ารสุ่มแบบง่ายหรือ เป็น การสมุ่ ตัวอย่างทีท่ กุ หน่วยของ ประชากรได้รับการสุ่มตัวอย่าง มาเท่ากัน
แบบธรรมดา โดยมีการกาหนด รหสั Code ของกลุ่มตวั อย่าง การสุ่มตวั อย่างแบบนี้สามารถ
แบ่งออกได้เปน็ 2 วิธยี อ่ ย คือ การสมุ่ ตัวอย่างโดยวิธกี ารจับ ฉลากและการสมุ่
(Simple random sampling) ตัวอย่างโดย ใช้ตารางเลขสมุ่

การสมุ่ แบบระบบ คือ กระบวนการสุ่มตัวอย่างทีใ่ ช้ การเลือกตัวอยา่ งในลักษณะที่ เปน็ ช่วงสมุ่
(Sampling interval) ที่เท่าๆ กนั โดยช่วงการสมุ่ (k) = ขนาดของประชากร(N)
(Systematic sampling) ขนาดของกลมุ่ ตัวอย่าง (n)

การสุ่มแบบชนั้ ภูมิ คือ กระบวนการของการจาแนก สมาชกิ ของประชากรออกเป็นชั้นต่างๆ โดยท่ี
สมาชิกของ ประชากรทีอ่ ยู่ในชั้นภูมิ เดียวกันจะมลี กั ษณะหรือ คณุ สมบัติ
(Stratified sampling) เดยี วกัน แต่ต่างช้ัน ภูมิกันจะมลี กั ษณะหรือ คณุ สมบตั ิที่แตกต่างกันและมกี าร
สมุ่ ตวั อย่างเพือ่ ใหไ้ ด้กลุ่มตัวอย่างจากแต่ละชนั้ ภมู ิเพือ่ นามาศึกษา
การสมุ่ แบบแบ่งกล่มุ
(Cluster sampling) คือ กระบวนการของการจาแนก สมาชกิ ของประชากรออกเปน็ กลุ่มต่างๆ โดย
ยึดเกณฑค์ วาม เหมือนหรือความคล้ายคลงึ กัน โดยที่แต่ละกลุ่มมคี วาม
การสุม่ แบบหลาย ขัน้ ตอน เหมือนกันหรือคลา้ ยคลึงกัน แต่ภายในกลมุ่ เดยี วกนั จะมี ความแตกต่างใน
ลักษณะหรือ คณุ สมบัติ โดยอาจจะแบง่ ออก ตามสภาพพื้นทีห่ รือสภาพ
(Multi-stage sampling) ภมู ิศาสตร์ หรืออาจแบง่ โดยใช้ เกณฑ์อืน่ ทีน่ ักวิจัยกาหนด ขึ้นมากไ็ ด

คือ เป็นกระบวน การสุ่มกลุ่มตวั อย่างเพือ่ ศึกษา สง่ิ ทย่ี ังไม่ทราบ และใชเ้ ปน็
แนวทางในการศึกษาขั้นต่อไป

2) วธิ กี ารส่มุ ตวั อยา่ งโดยใชห้ ลกั ความน่าจะเป็น (Probability sampling)

การสุม่ แบบระบบ (Systematic sampling) การสุ่มแบบชนั้ ภมู ิ (Stratified sampling)

การส่มุ แบบแบ่งกล่มุ (Cluster sampling) การสมุ่ แบบหลาย ขั้นตอน (Multi-stage sampling)

2) วิธีการสุม่ ตัวอยา่ งโดยใช้หลักความน่าจะเปน็ (Probability sampling)

วิธีเลือกกลุ่มตวั อย่าง ข้อเด่น ขอ้ ดอ้ ย

การสุ่มแบบงา่ ยหรอื - ง่ายต่อการรวบรวมขอ้ มลู วิเคราะห์ข้อมลู - ถ้ามีรายละเอยี ดขอ้ มูลอยู่ แล้ว ก็เสีย
แบบธรรมดา - ไม่จาเปน็ ต้องทราบราย ละเอียดมาก เพยี งแค่ โอกาสในการใช้ ประโยชน์จากขอ้ มลู ที่
มีอยู่ - ตอ้ งมีกรอบตวั อย่าง ไม่
(Simple random sampling) ขอ้ มลู มีลกั ษณะท่คี ล้ายคลึงกนั ก็พอ เหมาะสมกบั ประชากรท่มี ี ความ
- เกดิ ความเปน็ ธรรมในการเลอื กกลุ่มตัวอย่าง แตกตา่ งกันมาก
การสุ่มแบบระบบ - ความเปน็ ตวั แทนของประชากร

(Systematic sampling) - ง่ายตอ่ การเลือกกลุ่ม ตัวอย่างและการตรวจสอบ - อาจจะเกิดลกั ษณะทซ่ี ้าๆ กนั ไดจ้ าก
ช่วงในการสมุ่ เลอื ก
การสุม่ แบบชั้นภมู ิ
(Stratified sampling) - ได้ตัวแทนจากกลุ่มตัวอย่าง ทกุ กลมุ่ เท่าๆ กัน - ตอ้ งมีเกณฑ์ในการแบ่งท่ี ชัดเจนและ
การสุ่มแบบแบง่ กลมุ่
(Cluster sampling) - ลดความแปรปรวนและ ครอบคลุม

การสุ่มแบบหลาย - การแบง่ กลุ่มตามลกั ษณะ ของภมู ิศาสตร์ไวแ้ ล้ว - อาจมีข้อผิดพลาดหรือ แบ่งกลุ่มไว้ไม่
ข้ันตอน - ลดต้นทุนในงานสนาม ชดั เจนหรือ ซ้าซ้อน
- สามารถประมาณคา่ ลักษณะกลมุ่ ได้
(Multi-stage sampling) - เน้นกลุ่มย่อยเฉพาะภายใน ประชากร
- ประหยดั เวลา
- ประหยัดงบประมาณ - - ถ้าวางแผนผิดก็จะทาให้ เสียเวลา
- ประหยัดขนาดกลมุ่ ตวั อย่าง
- ใช้เปน็ แนวทางในการวจิ ยั ตอ่ ไป
- -ใช้กบั ประชากรทม่ี ีขนาดใหญ่

“หัวใจของการศึกษา
คือการได้พฒั นาตนเอง
ใหเ้ ป็นคนทีด่ ีขึน้ และดีขึ้น
กว่าที่ผ่านมา”

เรียนสนุก กับสุขเสนอ

พบกนั ครงั้ ต่อไปคะ่


Click to View FlipBook Version