The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วัดและประเมินผล

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by , 2022-01-03 09:31:11

วัดและประเมินผล

วัดและประเมินผล

การวางแผนการวัดประเมินผลการเรียนรู้ในสถานศึ กษา

ขั้นตอนการวัดทางการศึ กษา

1. ระบุจุดประสงค์และขอบเขตของการวัด ว่าวัดอะไร วัดใคร

2. นิ ยามคุณลักษณะที่ต้องการวัดให้เป็นพฤติกรรมที่วัดได้

3. กำหนดวิธีการวัดและเครื่องมือวัด

4. จัดหาหรือสร้างเครื่องมือวัด กรณีสร้างเครื่องมือใหม่ดำเนิ น

การตามขั้นตอน ดังนี้

4.1 สร้างข้อคำถาม เงื่อนไขสถานการณ์ หรือสิ่งเร้า ที่จะ

กระตุ้นให้ผู้ถูกวัดแสดงพฤติกรรมตอบสนองออกมาเพื่อทำการวัดโดย

ข้อคำถามเงื่อนไข สถานการณ์ หรือสิ่ งเร้าดังกล่าวต้องตรงและ

ครอบคลุมคุณลักษณะที่นิ ยามไว้

4.2 พิจารณาข้อคำถาม เงื่อนไข สถานการณ์หรือสิ่งเร้า โดย

อาจให้ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเนื้ อหาและทางด้านวัดผลช่วยพิจารณา

4.3 ทดลองใช้เครื่องมือกับกลุ่มที่เทียบเคียงกับกลุ่มที่

ต้องการวัด

4.4 หาคุณภาพของเครื่องมือ มีคุณภาพรายข้อและคุณภาพ เครื่องมือ

ทั้งฉบับ

4.5 จัดทำคู่มือวัดและการแปลความหมาย

4.6 จัดทำเครื่องมือฉบับสมบูรณ์

5. ดำเนิ นการวัดตามวิธีการที่กำหนด

6. ตรวจสอบและวิเคราะห์ผลการวัด

7. แปลความหมายผลการวัดและนำผลการวัดไปใช้

ขั้นตอนในการประเมินทางการศึ กษา

การประเมินทางการศึกษามีขั้นตอนที่สำคัญ ดังนี้

1.กำหนดจุดประสงค์การประเมิน โดยให้สอดคล้องและครอบคลุม

จุดประสงค์ของหลักสูตร

2. กำหนดเกณฑ์เพื่อตีค่าข้อมูลที่ได้จาการวัด

3. รวบรวมข้อมูลจากการวัดหลายๆ แหล่ง

4. ประมวลและผสมผสานข้อมูลต่างๆ ของทุกรายการที่วัดได้

5. วินิ จฉัยชี้บ่งและตัดสินโดยเทียบกับเกณฑ์ที่ตั้งไว้

การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย ด้านทักษะพิสัย
และด้านเจตพิสั ยการวัดและประเมินผล

1. กำหนดสิ่งที่ต้องการวัดให้ชัดเจน
2. ลดความคลาดเคลื่อนด้วยเครื่องมือที่มีคุณภาพกระบวนการวัดที่เหมาะสม
การตรวจสอบและ
เกณฑ์การวัดที่ชัดเจน
3. ใช้เครื่องมือวัดที่หลากหลายทั้งด้านพุทธพิสัย จิตพิสัยและทักษะพิสัย
4. กำหนดวัตถุประสงค์การวัดให้ชัดเจน
พุทธิพิสัย (Cognitive Domain)
พฤติกรรมด้านสมองเป็นพฤติกรรมเกี่ยวกับสติปัญญา ความรู้ ความคิด ความ
เฉลียวฉลาด ความสามารถในการคิดเรื่องราวต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็น
ความสามารถทางสติปัญญา
พฤติกรรมด้านสมองเป็นพฤติกรรมเกี่ยวกับสติปัญญา ความรู้ ความคิด ความ
เฉลียวฉลาด ความสามารถในการคิดเรื่องราวต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็น
ความสามารถทางสติปัญญา
พฤติกรรมทางพุทธิพิสัย 6 ระดับ ได้แก่
1.ความรู้ความจำความสามารถในการเก็บรักษามวลประสบการณ์ต่าง ๆ จากการที่
ได้รับรู้ไว้และระลึกสิ่งนั้ นได้เมื่อต้องการเปรียบดังเทปบันทึกเสียงหรือวีดิทัศน์
ที่สามารถเก็บเสียงและภาพของเรื่องราวต่างๆได้ สามารถเปิดฟังหรือ ดูภาพเหล่า
นั้ นได้ เมื่อต้องการ
2. ความเข้าใจเป็นความสามารถในการจับใจความสำคัญของสื่อ และสามารถ
แสดงออกมาในรูปของการแปลความ ตีความ คาดคะเน ขยายความ หรือ การกระ
ทำอื่น ๆ
3. การนำความรู้ไปใช้ เป็นขั้นที่ผู้เรียนสามารถนำความรู้ ประสบการณ์ไปใช้ในกา
แก้ปัญหาในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ ซึ่งจะต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจ จึงจะสามารถ
นำไปใช้ได้
4. การวิเคราะห์ ผู้เรียนสามารถคิด หรือ แยกแยะเรื่องราวสิ่งต่าง ๆ ออกเป็นส่วน
ย่อย เป็นองค์ประกอบที่สำคัญได้ และมองเห็นความสัมพันธ์ของส่วนที่เกี่ยวข้องกัน
ความสามารถในการวิเคราะห์จะแตกต่างกันไปแล้วแต่ความคิดของแต่ละคน
5. การสังเคราะห์ ความสามารถในการที่ผสมผสานส่วนย่อย ๆ เข้าเป็นเรื่องราว
เดียวกันอย่างมีระบบ เพื่อให้เกิดสิ่งใหม่ที่สมบูรณ์และดีกว่าเดิม อาจเป็นการ
ถ่ายทอดความคิดออกมาให้ผู้อื่นเข้าใจได้ง่าย การกำหนดวางแผนวิธีการดำเนิ น
งานขึ้นใหม่ หรือ อาจจะเกิดความคิดในอันที่จะสร้างความสัมพันธ์ของสิ่งที่เป็น
นามธรรมขึ้นมาในรูปแบบ หรือ แนวคิดใหม่
6. การประเมินค่า เป็นความสามารถในการตัดสิน ตีราคา หรือ สรุปเกี่ยวกับ
คุณค่าของสิ่งต่าง ๆ ออกมาในรูปของคุณธรรมอย่างมีกฎเกณฑ์ที่เหมาะสม ซึ่งอาจ
เป็นไปตามเนื้ อหาสาระในเรื่องนั้ น ๆ หรืออาจเป็นกฎเกณฑ์ที่สังคมยอมรับก็ได้

ลักษณะเครื่องมือที่ใช้วัดด้านพุทธพิสัย ได้แก่
-ข้อสอบถูก ผิด
-ข้อสอบจับคู่
-แบบเลือกตอบ
-แบบตอบสั้ น
-แบบความเรียง
จิตพิสัย (Affective Domain)(พฤติกรรมด้านจิตใจ)
ค่านิ ยม ความรู้สึก ความซาบซึ้ง ทัศนคติ ความเชื่อ ความสนใจและคุณธรรม
พฤติกรรมด้านนี้ อาจไม่เกิดขึ้นทันที ดังนั้ น การจัดกิจกรรมการเรียนการ
สอนโดยจัดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม และสอดแทรกสิ่งที่ดีงามอยู่ตลอด
เวลา จะทำให้พฤติกรรมของผู้เรียนเปลี่ยนไปในแนวทางที่พึงประสงค์ได้
ด้านจิตพิสัย จะประกอบด้วย พฤติกรรมย่อย ๆ 5ประการ

1.การรับรู้ เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นต่อปรากฏการณ์ หรือสิ่งเร้าอย่างใด
อย่างหนึ่ ง
ซึ่งเป็นไปในลักษณะของการแปลความหมายของสิ่งเร้านั้ นว่าคืออะไร แล้วจะ
แสดงออกมาในรู ปของความรู้สึ กที่เกิดขึ้น

2.การตอบสนอง เป็นการกระทำที่แสดงออกมาในรูปของความเต็มใจ
ยินยอม และพอใจต่อสิ่งเร้านั้ น ซึ่งเป็นการตอบสนองที่เกิดจากการเลือกสรร
แล้ว

3.การเกิดค่านิ ยม การเลือกปฏิบัติในสิ่งที่เป็นที่ยอมรับกันในสังคม การ
ยอมรับนั บถือในคุณค่านั้ น ๆ หรือปฏิบัติตามในเรื่องใดเรื่องหนึ่ ง จนกลาย
เป็นความเชื่อ แล้วจึงเกิดทัศนคติที่ดีในสิ่งนั้ น

4.การจัดระบบ การสร้างแนวคิด จัดระบบของค่านิ ยมที่เกิดขึ้นโดยอาศัย
ความสั มพันธ์
ถ้าเข้ากันได้ก็จะยึดถือต่อไปแต่ถ้าขัดกันอาจไม่ยอมรับอาจจะยอมรับค่านิ ยม
ใหม่โดยยกเลิกค่านิ ยมเก่า

5.บุคลิกภาพการนำค่านิ ยมที่ยึดถือมาแสดงพฤติกรรมที่เป็นนิ สัยประจำ
ตัว ให้ประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งที่ถูกต้องดีงามพฤติกรรมด้านนี้ จะเกี่ยวกับความ
รู้สึกและจิตใจ ซึ่งจะเริ่มจากการได้รับรู้จากสิ่งแวดล้อม แล้วจึงเกิดปฏิกิริยา
โต้ตอบ ขยายกลายเป็นความรู้สึกด้านต่างๆจนกลายเป็นค่านิ ยม และยัง
พัฒนาต่อไปเป็นความคิด อุดมคติ ซึ่งจะเป็นควบคุมทิศทางพฤติกรรมของคน
คนจะรู้ดีรู้ชั่วอย่างไรนั้ น ก็เป็นผลของ
ลักษณะเครื่องมือที่ใช้วัดด้านจิตพิสัย ได้แก่

- แบบมาตราวัด
- แบบประมาณค่า
- แบบตรวจสอบรายการ
- แบบบันทึกพฤติการณ์

3.ทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) (พฤติกรรมด้านกล้ามเนื้อ
ประสาท)
พฤติกรรมที่บ่งถึงความสามารถในการปฏิบัติงานได้อย่างคล่องแคล่ว
ชำนิ ชำนาญ ซึ่งแสดงออกมาได้โดยตรงโดยมีเวลาและคุณภาพของงาน
เป็นตัวชี้ระดับของทักษะ
พฤติกรรมด้านทักษะพิสัย ประกอบด้วย พฤติกรรมย่อย ๆ 5 ขั้น ดังนี้

1.การรับรู้ เป็นการให้ผู้เรียนได้รับรู้หลักการปฏิบัติที่ถูกต้อง หรือ
เป็นการเลือกหาตัวแบบที่สนใจ
2.กระทำตามแบบ หรือ เครื่องชี้แนะเป็นพฤติกรรมที่ผู้เรียนพยายามฝึก
ตามแบบที่ตนสนใจและพยายามทำซ้ำ เพื่อที่จะให้เกิดทักษะตามแบบที่
ตนสนใจให้ได้ หรือ สามารถปฏิบัติงานได้ตามข้อแนะนำ

3.การหาความถูกต้อง พฤติกรรมสามารถปฏิบัติได้ด้วยตนเอง โดยไม่
ต้องอาศัยเครื่องชี้แนะเมื่อได้กระทำซ้ำแล้วก็พยายามหาความถูกต้องใน
การปฏิบัติ
4.การกระทำอย่างต่อเนื่ องหลังจากตัดสินใจเลือกรูปแบบที่เป็นของ
ตัวเองจะกระทำตามรูปแบบนั้ นอย่างต่อเนื่ องจนปฏิบัติงานที่ยุ่งยากซับ
ซ้อนได้อย่างรวดเร็วถูกต้อง คล่องแคล่ว การที่ผู้เรียนเกิดทักษะได้ต้อง
อาศัยการฝึกฝนและกระทำอย่างสม่ำเสมอ

5.การกระทำได้อย่างเป็นธรรมชาติพฤติกรรมที่ได้จากการฝึกอย่างต่อ
เนื่ อง
ลักษณะเครื่องมือที่ใช้วัดด้านทักษะพิสัย ได้แก่

-แบบประเมินกระบวนการ
-แบบประเมินผลงาน
-แบบสั งเกต

ประเภทของเครื่องมือวัดด้าน พุทธิพิสัย ทักษะพิสัย และจิตพิสัย

1.พุทธิพิสัย (Cognitive Domain)
เป็นจุดประสงค์ทางการศึกษาที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ทางด้านสติปัญญา คือ
ความรู้ ความเข้าใจ การใช้ความคิด พุทธิพิสัยแบ่งออกเป็น 6ระดับ คือ
1.ความรู้ หมายถึง ความสามารถในการจำแนกเนื้ อหาความรู้ และระลึกได้เมื่อ
ต้องการนำมาใช้
2.ความเข้าใจ หมายถึง การเข้าใจความหมายของเนื้ อหาสาระ
3.การนำไปใช้ หมายถึง การนำเอาเนื้ อหาสาระ หลักการ ความคิดรวบยอด
และทฤษฎีต่าง ๆ ไปใช้ในรูปแบบใหม่
4.การวิเคราะห์หมายถึง ความสามารถในการแยกเนื้ อหาให้เป็นส่วนย่อยเพื่อ
ค้นหาองค์ประกอบ โครงสร้าง หรือความสัมพันธ์ในส่วนย่อยนั้ น
5.การสังเคราะห์ หมายถึง ความสามารถที่จะนำองค์ประกอบหรือส่วนย่อย ๆ
นั้ นเข้ามารวมกันเพื่อให้เป็นภาพที่สมบูรณ์เกิดความกระจ่างใสในสิ่งเหล่านั้ น
6.การประเมินค่า หมายถึง ความสามารถในการพิจรณาคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ
โดยผู้กำหนดตัดสิ นขึ้นมาเอง
เครื่องมือวัดพฤติกรรมพุทธิพิสั ย
แบบทดสอบ (Test)
แบบทดสอบเป็นเครื่องมือสำหรับใช้ในการวัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสั ย
ประกอบด้วยชุดของคำถาม หรือข้อสอบหลาย ๆ ข้อที่สร้างขึ้นโดยมี
กระบวนการสร้างที่เป็นระบบ
ข้อสอบ (Item test)
ข้อสอบ คือ ข้อคำถามเป็นรายข้อที่เขียนขึ้น ตามจุดประสงค์การเรียนรู้ที่
ต้องการตรวจสอบ ข้อสอบหลาย ๆ ข้อ เมื่อนำมารวมกันแล้วจัดเป็นฉบับ
เรียกว่าแบบทดสอบ
รูปแบบของข้อสอบ
ข้อสอบมีหลายรูปแบบแต่ละรูปแบบมีคุณสมบัติในการวัดที่แตกต่างกัน แบ่ง
ตามวิธีการตอบ ได้ 2 รูปแบบ คือข้อสอบแบบปรนั ย กับ ข้อสอบแบบอัตนั ย
ข้อสอบแบบปรนั ย
เป็นข้อสอบที่มุ่งให้ผู้สอบเขียนคำตอบสั้นๆ โดยการเขียนคำสั้น ๆ ประโยคสั้น
ๆ อาจตอบโดยใช้เครื่องหมาย หรือสัญญลักษณ์ ก็ได้ ข้อสอบปรนั ยมีหลาย
ชนิ ด เช่น แบบถูกผิดแบบเติมคำ แบบจับคู่ หรือแบบเลือกตอบ
ข้อสอบแบบอัตนั ย
เป็นข้อสอบที่มุ่งให้ผู้สอบเขียนบรรยายคำตอบยาว ๆ โดยเรียบเรียงจากความ
เข้าใจ หรือความคิดของตนเอง บางครั้งเรียกข้อสอบแบบความเรียง (Essay
Test)

2.ทักษะพิสัย (Psychomotor Domain)
เป็นจุดประสงค์ ที่เกี่ยวกับทักษะในการเคลื่อนไหว และใช้อวัยวะต่างๆของ
ร่างกายมีลำดับการพัฒนาดังนี้
1.การเลียนแบบ เป็นการทำตามัวอย่างที่ครูให้ หรือดูแบบจากของจริง
2.การทำตามคำบอก เป็นการทำตามตัวอย่างที่ครูให้
3.การทำอย่างถูกต้องเหมาะสม เป็นการกระทำโดยนั กเรียนอาศัยความรู้ที่
เคยทำมาก่อนแล้วเพิ่มเติม
4.การทำถูกต้องหลากหลายรูปแบบ เป็นการกระทำในเรื่องคล้ายๆกันและ
แยกรูปแบบได้ถูกต้อง
5.การทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ เป็นการทำให้เกิดความชำนาญ และสำเร็จ
ในเวลาที่รวดเร็ว
เครื่องมือวัดพฤติกรรมด้านจิตพิสั ย
1.การทดสอบภาคปฏิบัติ
การทดสอบภาคปฏิบัติเป็นการวัดผลจากการลงมือปฏิบัติจริงของผู้เรียน
เพื่อมุ่ง ที่จะตรวจสอบความสามารถของผู้เรียนในด้านต่างๆ เช่น การเลือก
ใช้เครื่องมือการทำงานเป็น 102 ขั้นตอน ความคล่องแคล่วในการท างาน
ความประหยัดค่าวัสดุ เวลา และแรงงานและ ความสำเร็จของผลงาน
2.การสั งเกต
การสังเกตเป็นวิธีการเครื่องมือสำคัญในการศึกษาพฤติกรรมของคน โดย
เฉพาะ ในชั้นเรียน การสังเกตของครูจะทำให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรม
ของนั กเรียนในชั้นเรียนแต่ละคน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ ต่อการดูแลเอาใจใส่
นั กเรียนแต่ละคนอย่างเหมาะสม
3. แบบประเมินผลงาน
เป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้การสังเกตเป็นไปอย่างสมบูรณ์ ในระหว่างการ
สังเกต จำเป็นต้องมีแบบประเมินผลงานเพื่อใช้ตรวจสอบความสมบูรณ์ใน
แต่ละประเด็นอย่างเป็นระบบ แบบประเมินผลงานอาจมีรูปแบบ

3.จิตพิสัย(Affective Domain)

เป็นจุดประสงค์ที่เกี่ยวกับความรู้สึกทางจิตใจ ซึ่งรวมถึงความสนใจ อารมณ์ เจตคติ ค่า

นิ ยมและคุณธรรม กระบวนการที่เกิดขึ้นภายในเหล่านี้ จะเกิดตามลำดับขั้นตอนดังนี้

1.การรับ คือการที่นั กเรียนได้รับประสบการณ์จากสิ่งแวดล้อม

2.การตอบสนอง คือการมีปฎิกิริยาโต้ตอบกับสิ่งแวดล้อมที่รับเข้ามาด้วยความเต็มใจ

3.การเห็นคุณค่า เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายหลังที่รับรู้สิ่งแวดล้อม และมีปฎิกิริยาโต้ตอบ

สังเกตได้จากพฤติกรรมที่ยมรับค่านิ ยมใดค่านิ ยมหนึ่ ง

4.การจัดรวบรวมเป็นการพิจราณา และรวบรวมค่านิ ยมให้เข้าเป็นระบบค่านิ ยมหรือสร้าง

มโนทัศน์ ของค่านิ ยม

5.การพิจรณาคุณลักษณะจากค่านิ ยม เป็นเรื่องของความประพฤติ คุณสมบัติ และ

คุณลักษณะของแต่ละบุคคลที่เป็นผลของความรู้สึ ก

เครื่องมือวัดพฤติกรรมด้านจิตพิสั ย

1.แบบตรวจสอบรายการ

แบบตรวจสอบรายการเป็นการสร้างรายงานของข้อความที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรม หรือ

การปฏิบัติหรือคุณลักษณะที่ต้องการประเมินว่ามีหรือไม่มี แบบตรวจสอบรายการนิ ยมใช้

ในการประเมินความสนใจของผู้เรียน เจตคติ คุณลักษณะส่วนตัว

2. มาตราส่วนประมาณค่า

มาตราส่วนประมาณค่าแตกต่างจากแบบตรวจสอบรายการ กล่าวคือ แบบ ตรวจสอบ

รายการต้องการทราบว่ามีหรือไม่มีในเรื่องนั้ น แต่มาตราส่วนประมาณค่าต้องการ ทราบ

ละเอียดยิ่งขึ้นว่ามีอยู่เพียงใด หรือมีในระดับใด เพื่อจัดอันดับคุณภาพในการประมาณค่า

กระบวนการ ผลผลิต และวัดคุณลักษณะนิ สัยหรือลักษณะทางจิตวิทยา เช่น ความสนใจ

ค่านิ ยมการปรับตัว และความคิดเห็น

3. แบบวัดเชิงสถานการณ์

แบบวัดเชิงสถานการณ์เป็นการจำลอง หรือสร้างเหตุการณ์เรื่องราวต่างๆ ขึ้นแล้วให้

บุคคลแสดงความรู้สึ กว่าตนเองจะกระทำ หรือมีความเห็นอย่างไรต่อสถานการณ์ ที่

กำหนดขึ้น โดยปกติแล้วการตอบสนองต่อสถานการณ์นั้ นอาจให้ตอบสนองว่าตัวเขาเอง

จะทำอย่างไร หรือ การให้เขาแสดงความคิดเห็นว่าตัวบุคคลในสถานการณ์นั้ นๆ จะทำ

อย่างไร การตอบอาจจะให้ ผู้ตอบเขียน หรือบอกข้อความคิดเห็นของตนเองหรืออาจจะให้

เลือกตัวเลือกที่กำหนดให้ตอบก็ได้

4. การสังเกต

การสังเกตเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูล หมายถึงการเฝ้าดูหรือศึกษาเหตุการณ์ของ เรื่อง

ราวโดยละเอียด ดังนั้ นเมื่อกล่าวถึงการสังเกตเพื่อรวบรวมข้อมูล ย่อมขึ้นอยู่กับ

วัตถุประสงค์ว่าใครเป็นผู้สังเกต สังเกตอะไร ภายใต้สภาพการณ์ใด เพราะความหมาย

ของการ สังเกตจะแปรเปลี่ยนไปตามบริบท

5. การสัมภาษณ์

การสั มภาษณ์ เป็นวิธีการรวบรวมข้อมูลโดยผู้รวบรวมมีโอกาสพบปะสนทนากับ ผู้ให้

ข้อมูลโดยตรงและมีจุดมุ่งหมายที่แน่ นอนทั้งสองฝ่าย คือ ผู้สัมภาษณ์และผู้ให้สัมภาษณ์

การสัมภาษณ์จะทำให้ได้ความรู้ ความจริง เกี่ยวกับพฤติกรรม คุณลักษณะ เจตคติ

บุคลิกภาพ ท่วงที วาจา อุปนิ สัย ปฏิภาณไหวพริบ นั บว่าเป็นวิธีการที่รวบรวมข้อมูลได้

ละเอียด

การสร้างและตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือวัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสั ย

หลักทั่วไปในการเขียนข้อสอบ

ข้อสอบแต่ละชนิ ดไม่ว่าจะเป็นข้อสอบอัตนั ยหรือปรนั ยก็ตาม สิ่งที่ผู้เขียน

ข้อสอบจะต้องคำนึ งถึงอยู่เสมอในการเขียนข้อสอบมีหลายประการ ซึ่ง

พอสรุปได้ดังนี้ (อนั นต์ ศรีโสภา,2525 อ้างถึงใน วาโร เพ็งสวัสดิ์, 2542

: 45-46)

1. กำหนดจุดมุ่งหมายในการสอน ก่อนจะเริ่มลงมือเขียนข้อสอบจะต้อง

กำหนดจุดมุ่งหมายในการสอนให้อยู่ในรูปจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ซึ่ง

สามารถเขียนข้อสอบได้จริงๆ

2.เตรียมตารางวิเคราะห์หลักสูตร ซึ่งจะช่วยให้การเขียนข้อสอบ

สอดคล้องกับเป้าหมายของการทดสอบที่กำหนดไว้ เพราะตาราง

วิเคราะห์หลักสูตร เป็นตารางที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างจุดประสงค์

เชิงพฤติกรรมกับเนื้ อหาวิชา อีกทั้งบอกให้ทราบว่าจะเขียนข้อสอบวัด

เนื้ อหา และพฤติกรรมอะไร ซึ่งจะทำให้ได้ข้อสอบที่มีความเที่ยงตรงตาม

เนื้ อหา

3. ภาษาที่ใช้ควรชัดเจน เข้าใจง่ายไม่กำกวม

4. ควรเขียนข้อสอบแต่ละข้อลงในบัตรแต่ละใบ เพื่อจะได้สะดวกต่อการ

จัดเรียงลำดับตรวจทาน และนำไปวิเคราะห์

5. เตรียมเฉลยและกำหนดคะแนนในขณะเขียนข้อสอบ เพราะจะทำให้ข้อ

บกพร่องต่างๆ ของข้อสอบลดน้ อยลง

6. ควรเขียนข้อสอบให้มีจำนวนมากกว่าที่ต้องการในตารางวิเคราะห์

หลักสูตร เพราะว่าหลังจากวิเคราะห์ข้อสอบแล้ว จะมีบางข้อที่ถูกตัดออก

7. จงเขียนข้อสอบทันทีที่สอนเนื้ อหาวิชานั้ นจบ เพราะจะทำให้ออก

ข้อสอบได้ตรงกับจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่ครูเน้ นในการสอนตอน

นั้ น

8. ควรเขียนข้อสอบแต่เนิ่ น ๆ จะทำให้มีเวลาแก้ไขและตรวจทานได้มาก

ประเภทของแบบทดสอบ
แบบทดสอบนั้ นสามารถแบ่งได้หลายประเภท แล้วแต่ว่าจะยึดอะไรเป็นเกณฑ์ในการแบ่งซึ่งจะขอยกตัวอย่างการ
แบ่งประเภท พร้อมทั้งอธิบายสั้นๆ ดังนี้
1. แบ่งตามสิ่งที่วัด แบ่งออกได้ 3 ประเภท คือ

1.1 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ (Achievement) หมายถึงข้อสอบที่วัดสมรรถภาพสมองด้านต่างๆ ที่นั กเรียนได้
รับการเรียนรู้ผ่านมาแล้วว่ามีอยู่เท่าใด แบ่งออกเป็น 2 ชนิ ด คือ

1.1.1 แบบทดสอบที่ครูสร้างขึ้น (Teacher Made Test) เป็นข้อสอบที่มุ่งวัดผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนเฉพาะกลุ่ม
ที่ครูสอนเท่านี้ ไม่น าไปใช้กับกลุ่มอื่น

1.1.2 แบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized Test) เป็นข้อสอบที่มุ่งวัดผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน ได้มีการพัฒนา
ด้วยการวิเคราะห์ทางสถิติมาแล้วหลายครั้งจนมีคุณภาพสมบูรณ์ อีกทั้งยังมีเกณฑ์ปกติ(Norm) ไว้สำหรับเปรียบ
เทียบคุณภาพต่างๆ ของนั กเรียนต่างกลุ่มกันได้อีกด้วย

1.2 แบบทดสอบวัดความถนั ด (Aptitude) เป็นข้อสอบที่มุ่งวัดสมรรถภาพสมองของผู้เรียนว่าจะเรียนได้ไกลหรือ
ประสบผลสำเร็จเพียงใด เพื่อใช้ในการทำนายหรือพยากรณ์อนาคตของผู้เรียน แบ่งออกเป็น 2 ชนิ ด คือ

1.2.1 แบบทดสอบวัดความถนั ดทางการเรียน (Scholastic Aptitude Test) เป็นแบบทดสอบที่มุ่งวัดความ
สามารถทางวิชาการต่างๆ เช่น ภาษา คณิตศาสตร์

1.2.2 แบบทดสอบวัดความถนั ดเฉพาะอย่าง (Specific Aptitude Test) เป็นแบบทดสอบที่มุ่งวัดความถนั ด
เฉพาะอย่างที่เกี่ยวข้องกับอาชีพต่างๆ เช่น ความสามารถทางศิลปะ เครื่องยนต์

1.3 แบบทดสอบวัดบุคลิกภาพ (Personality) เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดบุคลิกภาพและการปรับตัวให้เข้ากับ
สังคม เช่น แบบทดสอบวัดเจตคติ ความสนใจ
2. แบ่งตามลักษณะการเขียนตอบ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ (วิเชียร เกตุสิงห์,2515 : 20-21)

2.1 แบบทดสอบอัตนั ย (Subjective) หรือแบบทดสอบความเรียง หรือแบบทดสอบเรียงความ (Essay) หมายถึง
แบบทดสอบที่กำหนดปัญหาแล้วให้ผู้ตอบเขียนตอบยาวๆ

2.2 แบบทดสอบปรนั ย (Objective) แบ่งออกเป็นส่วนย่อย ๆ ได้ 4 แบบ คือ
2.2.1 แบบถูก – ผิด (True - False)
2.2.2 แบบเติมคำ (Completion)
2.2.3 แบบจับคู่ (Matching)
2.2.4 แบบเลือกตอบ (Multiple Choice)

3. แบ่งตามวิธีการตอบ แบ่งได้ 3 ประเภท คือ
3.1 แบบให้ลงมือกระทำ (Performance Test) หมายถึงข้อสอบภาคปฏิบัติทั้งหลาย เช่น พลศึกษา การฝีมือ การ

ปรุงอาหาร เป็นต้น
3.2 แบบให้เขียนตอบ (Paper – pencil Test) หมายถึงข้อสอบที่ต้องใช้การเขียนตอบทั้งหมด
3.3 แบบสอบปากเปล่า (Oral Test) หมายถึงการถามตอบแบบปากเปล่า โดยการโต้ตอบกันทางคำพูด การสอน

แบบนี้ จะสอบทีละคน (Individual Test) เช่นการสอบสัมภาษณ์
4. แบ่งตามเวลาที่กำหนดให้ตอบ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ

4.1 แบบใช้ความเร็ว (Speed Test) ข้อสอบประเภทนี้ จะมีจำนวนข้อมากๆ และง่าย แต่จะจำกัดเวลา เช่น ข้อสอบ
วิชาเลขคณิตคิดในใจ ข้อสอบวัดทักษะทางตา

4.2 แบบให้เวลามากๆ (Power Test) ข้อสอบประเภทนี้ มักจะเป็นข้อสอบอัตนั ย เพื่อทดสอบความรู้ที่มีอยู่ว่ามี
มากน้ อยเพียงใด โดยให้เวลานานๆ หรือบางครั้งก็ให้นำกลับไปทำที่บ้าน เช่น รายงาน ภาคนิ พนธ์ วิทยานิ พนธ์
5. แบ่งตามจุดมุ่งหมายในการใช้ประโยชน์ อาจแบ่งออกได้ ดังนี้ (วิเชียรเกตุสิงห์, 2515 : 23-24)

5.1 แบบทดสอบเพื่อวินิ จฉัย (Diagnostic Test) หมายถึง แบบทดสอบที่สร้างขึ้น เพื่อค้นหาข้อบกพร่อง หรือจุด
อ่อนในการเรียนแต่ละวิชาเป็นเรื่องๆ ไป

5.2 แบบทดสอบเพื่อทำนาย (Prognostic Test) เป็นแบบทดสอบที่มีคุณภาพในด้านความเที่ยงตรงเชิงพยากรณ์
(Predictive Validity) สูง เพื่อใช้ทำนายว่าจะเรียนสำเร็จหรือไม่ในอนาคต ซึ่งส่วนมากจะเป็นแบบทดสอบวัดความ
ถนั ดในการเรียน
6. แบ่งตามความถี่ในการสอบ แบ่งออกได้ 2 ประเภทคือ (บุญเชิด ภิญโญอนั นตพงษ์, 2526 : 107)

6.1 แบบทดสอบย่อย (Formative Test) เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดหลังจบหน่ วยการเรียนแต่ละหน่ วย
แล้วนำผลที่ได้มาปรับปรุงการเรียนการสอน

6.2 แบบทดสอบรวม (Summative Test) เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดหลังจากที่ศึกษาจบรายวิชานั้ นทั้งหมดแล้ว
เพื่อจะประเมินผลว่านั กเรียนสอบได้หรือตก ผ่านหรือไม่ผ่าน

การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ
เครื่องมือวัดผลที่ดีจะต้องเป็นเครื่องมือที่มีคุณภาพจึงจะช่วยให้การวัดผลมีความถูกต้อง
เชื่อถือได้ และผลการประเมินที่ได้ย่อมเชื่อถือได้ด้วย ดังนั้ นเครื่องมือที่ครูสร้างขึ้นเอง
ก่อนจะนำไปใช้จริงจึงควรตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือก่อนทุกครั้ง การตรวจสอบ
คุณภาพเครื่องมือเป็นการตรวจสอบคุณสมบัติของเครื่องมือในเรื่อง ความเที่ยงตรง ความ
เชื่อมั่น ความยาก อำนาจจำแนก และความเป็นปรนั ย
ลักษณะแบบทดสอบที่ดี
แบบทดสอบที่ดีควรมีลักษณะดังนี้
1. ความเที่ยงตรง (Validity) หมายถึง คุณลักษณะของแบบทดสอบที่สามารถวัดในสิ่งที่
ต้องการวัดได้ถูกต้อง แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ

1.1 ความเที่ยงตรงตามเนื้ อหา (Content Validity) หมายถึง ข้อสอบที่มีคำถาม
สอดคล้องกับเนื้ อหาในหลักสูตร เช่น สอนเรื่องน้ำ ก็ต้องตั้งคำถามเกี่ยวกับน้ำ และ
ครอบคลุมเนื้ อหาเรื่องน้ำทั้งหมด

1.2 ความเที่ยงตรงตามโครงสร้าง (Construct Validity) หมายถึงคุณลักษณะของแบบ
ทดสอบที่สามารถวัดคุณลักษณะ หรือพฤติกรรมที่ต้องการวัดได้อย่างถูกต้อง เช่น
ต้องการวัดเจตคติ ลักษณะของค าถามควรเป็นพฤติกรรมที่เกี่ยวกับเจตคติ

1.3 ความเที่ยงตรงตามสภาพ (Concurrent Validity) หมายถึง คุณลักษณะแบบ
ทดสอบที่วัดได้ตรงกับสภาพความเป็นจริงของเด็กในขณะนั้ น กล่าวคือถ้าเด็กทำข้อสอบ
เรื่องใดได้ดีแล้วเด็กคนนั้ นสามารถปฏิบัติได้จริงๆ ด้วย เช่น เด็กสอบวิชาพลานามัยได้
คะแนนดี ดังนั้ นในชีวิตประจำวันเขาควรมีพลานามัยที่สมบูรณ์ – แข็งแรง และออกกำลัง
อยู่เสมอ เป็นต้น

1.4 ความเที่ยงตรงเชิงพยากรณ์ (Predictive Validity) หมายถึง ลักษณะข้อสอบที่
สามารถวัดแล้วทำนายได้ว่าเด็กคนใดจะเรียนวิชาใดได้ดีเพียงใดในอนาคต
2. ความเชื่อมั่น (Reliability) หมายถึง คุณลักษณะของแบบทดสอบที่สามารถวัดได้
แน่ นอน คงเส้นคงวา ไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา การวัดครั้งแรกเป็นอย่างไร เมื่อวัดซ้ำอีกหรือ
หลายๆ ครั้ง โดยสิ่งที่วัดคงที่ผลการวัดก็ยังคงเดิม เช่น ถ้านำแบบทดสอบฉบับหนึ่ งไป
ทดสอบกับเด็กกลุ่มหนึ่ ง แล้วบันทึกคะแนนไว้ เมื่อนำแบบทดสอบฉบับเดิมไปทดสอบกับ
เด็กกลุ่มเดิม (สมมติว่าเด็กจำข้อสอบไม่ได้) คะแนนที่ทำได้ก็จะคงเดิม คือครั้งแรกสอบได้
คะแนนมากครั้งที่สองก็ยังคงได้คะแนนมากอยู่เหมือนเดิม เป็นต้น
3. อำนาจจำแนก (Discrimination) คือความสามารถของข้อสอบในการจำแนกผู้สอบออก
เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มสูง – กลุ่มต่ำ หรือ กลุ่มเก่ง – กลุ่มอ่อนได้
4. ความเป็นปรนั ย (Objectivity) หมายถึง ข้อสอบที่มีคุณสมบัติ 3 ประการ คือ (พิตร
ทองชั้น, 2524 : 7)

4.1 คำถามชัดเจน ผู้เข้าสอบเข้าใจได้ตรงกัน
4.2 การตรวจให้คะแนนได้ตรงกันไม่ว่าใครจะตรวจก็ตาม
4.3 มีความแจ่มชัดในการแปลความหมายของคะแนน กล่าวคือ แปลคะแนนที่ได้เป็น
อย่างเดียวกัน เพื่อประโยชน์ ในการเปรียบเทียบข้อสอบข้อใดก็ตามที่มีคุณสมบัติครบทั้ง 3
ประการ เราเรียกข้อสอบนั้ นว่า
เป็นปรนั ยทั้งสิ้น

5.ความยาก (Difficulty) หมายถึง สัดส่วนที่ผู้ตอบข้อสอบข้อนั้ นถูกกับจำนวนคน

ที่เข้าสอบทั้งหมด ความยากของข้อสอบขึ้นอยู่กับทฤษฎีการวัด ถ้าตามทฤษฎีการ

วัดผลแบบอิงกลุ่ม ข้อสอบที่ดีคือข้อสอบที่ไม่ยากเกินไปหรือไม่ง่ายเกินไป เพราะ

ข้อสอบดังกล่าวจะสามารถจำแนกได้ว่าใครเก่งใครอ่อน ส่วนทฤษฎีการวัดผล

แบบอิงเกณฑ์มีจุดประสงค์ เพื่อให้ผู้เรียนได้บรรลุจุดประสงค์ตามที่กำหนดไว้

ดังนั้ น ถ้าผู้เข้าสอบทำข้อสอบได้หมด แสดงว่าเขาบรรลุจุดประสงค์ตามต้องการ

และจะถือว่าเป็นข้อสอบที่ไม่ดีก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้ นตามแนวคิดนี้ เรื่องความยาก

ง่ายของข้อสอบจึงไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งที่สำคัญอยู่ที่ข้อสอบนั้ นจะวัดจุดประสงค์ที่

ต้องการวัดได้จริงหรือไม่

6. ความมีประสิทธิภาพ (Efficiency) หมายถึง ลักษณะข้อสอบที่มีคุณสมบัติที่

แสดงถึงการประหยัดเศรษฐกิจ (Economic) เช่น ลงทุนน้ อย มีราคาถูก ง่ายต่อ

การดำเนิ นการสอบ พิมพ์ชัดเจน อ่านง่าย มีเนื้ อหามากแต่ใช้เวลาสอบน้ อย

เป็นต้น

7. การวัดอย่างลึกซึ้ง (Searching) หมายถึง ลักษณะข้อสอบที่ถามครอบคลุม

พฤติกรรมหลายๆ ด้าน เช่น มีคำถามวัดความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์

การสังเคราะห์และการประเมินค่า เป็นต้น ไม่ใช่ว่าวัดแต่พฤติกรรมตื้นๆ คือด้าน

ความรู้ความจำเพียงอย่างเดียว

8. ความยุติธรรม (Fair) หมายถึง การดำเนิ นการสอบจะต้องไม่เปิดโอกาสให้เด็ก

คนใดคนหนึ่ งได้เปรียบคนอื่นๆ นอกจากได้เปรียบเรื่องความรู้เท่านั้ นและ

ข้อสอบควรจะถามมากๆ เพื่อให้ครบถ้วนตามหลักสูตร

9. ความเฉพาะเจาะจง (Definite) หมายถึง ข้อสอบที่มีแนวทางหรือทิศทางการ

ถามการตอบอย่างชัดเจน ไม่คลุมเครือ ไม่แฝงกลเม็ดให้เด็กงง ในแต่ละข้อควร

ถามประเด็นเดียว ไม่ถามหลายแง่หลายมุม เพราะจะทำให้เด็กไม่เข้าใจคำถาม

10. การกระตุ้นยุแหย่ (Exemplary) หมายถึง แบบทดสอบที่นั กเรียนทำด้วยความ

สนุกสนาน เพลิดเพลิน มีการถามล่อ โดยจัดเอาข้อสอบง่ายๆ ไว้ในตอนแรก

แล้วจึงค่อยถามให้ยากขึ้นตามลำดับ นอกจากนี้ ลักษณะคำถามควรมีรูปภาพ

ประกอบจะช่วยให้ข้อสอบมีความน่ าสนใจมากยิ่งขึ้น

แบบทดสอบใดมีลักษณะครบทั้ง 10 ประการดังกล่าว ถือว่าเป็นแบบ

ทดสอบที่ดีเยี่ยม แต่โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว แบบทดสอบที่มีคุณสมบัติเพียง 5 ประการ

ก็ถือว่าเป็นแบบทดสอบที่มีคุณภาพแล้ว คุณสมบัตินั้ นได้แก่ ความเที่ยงตรง

ความเชื่อมั่น อำนาจจำแนก ความยากและความมีประสิทธิภาพของข้อสอบ

การสร้างและตรวจสอบเครื่องม
ือวัดพฤติกรรมด้านทักษะพิสั ย

การวัดพฤติกรรมด้านทักษะ (Psychomotor Domain) เป็นการวัดพฤติกรรมที่เป็นการปฏิบัติ
หรือแสดงออกของบุคคล ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมเคลื่อนไหวของร่างกายตาม การสั่ง
งานของสมอง เช่น การว่ายน้ำ การร้องเพลง การวาดภาพ การทำครัว ในการวัดพฤติกรรม
ด้านนี้ ให้ครอบคลุมครบถ้วน ควรคำนึ งถึงส่วนประกอบที่สำคัญ 2 ส่วน (ดวงกมล ไตรวิจิตร
คุณ, ม.ป.ป. : 141-146) คือ
1. วิธีการปฏิบัติงาน (Procedure) หมายถึง ขั้นตอนในระหว่างปฏิบัติงานเป็นกระบวนการที่
เกิดขึ้นขณะกำลังปฏิบัติงาน
2. ผลงาน (Product) หมายถึง ผลผลิตสุดท้ายที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติ ตัวอย่างเช่น การทำ
ขนมครก วิธีการปฏิบัติงานจะเป็นขั้นตอนตั้งแต่เริ่มต้นเตรียมของที่จะทำ เช่น แป้ง น้ำตาล
การลงมือปฏิบัติ เช่น การผสมแป้ง การหยอดแป้ง จนถึงการ
ได้ขนมครก 1 จาน ส่วนผลงาน คือ คุณภาพของขนมครกที่ทำเสร็จแล้ว ว่าอร่อยหรือไม่จะเห็น
ว่าการพิจารณาโดยแยกเป็น 2 ส่วน จะทำให้ผลการวัดพฤติกรรมด้านนี้ น่ าเชื่อถือมากขึ้น ทั้งนี้
เพราะถ้าเราพิจารณาเพียงส่วนใดส่วนหนึ่ ง เช่น ดูที่วิธีการปฏิบัติงานเพียงอย่างเดียวหรือดูที่
ผลงานเพียงอย่างเดียว อาจไม่เกิดความยุติธรรมแก่ผู้เรียนได้ เพราะในบางครั้งขณะปฏิบัติ
งานอาจมีพฤติกรรมในระดับที่น่ าพอใจ แต่ผลงานอาจไม่ดี หรือขณะปฏิบัติงานมีพฤติกรรม
ไม่เป็นที่น่ าพอใจ แต่ผลงานออกมาดีมาก เป็นต้น ดังนั้ นจึงควรพิจารณาทั้งสองส่วนประกอบ
กันจึงจะทำให้ผลจากการวัดมีความถูกต้องแม่นยำมากขึ้น
1. การทดสอบภาคปฏิบัติ

การทดสอบภาคปฏิบัติเป็นการวัดผลจากการลงมือปฏิบัติจริงของผู้เรียน เพื่อมุ่งที่จะตรวจ
สอบความสามารถของผู้เรียนในด้านต่างๆ เช่น การเลือกใช้เครื่องมือการท างานเป็นขั้นตอน
ความคล่องแคล่วในการท างาน ความประหยัดค่าวัสดุ เวลา และแรงงานและความสำเร็จของ
ผลงาน เป็นต้น (พิชิต ฤทธิ์จรูญ, 2552 : 75-76)
1.1 ประเภทของการทดสอบภาคปฏิบัติ
การทดสอบภาคปฏิบัติแบ่งออกได้หลายประเภทขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้แบ่งมีดังนี้
1.1.1 แบ่งตามปัจจัยที่จะประเมิน แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ

1) การวัดกระบวนการ (Process) เป็นการวัดที่พิจารณาเฉพาะวิธีทำวิธีปฏิบัติในการทำงาน
หรือกิจกรรม เช่น การขับรถยนต์ การใช้คอมพิวเตอร์ การว่ายน้ำท่าผีเสื้อ เป็นต้น
2) การวัดผลงานหรือผลผลิต (Product) เป็นการวัดที่พิจารณาผลผลิตที่เกิดขึ้นจากการท า
งานของผู้เรียน เช่น ภาพวาด เสื้อที่ตัดสำเร็จแล้ว เอกสารที่พิมพ์ เป็นต้น

การประเมินแต่ละครั้งอาจจะประเมินเฉพาะกระบวนการหรือประเมินเฉพาะผลผลิต หรือ
ประเมินทั้งกระบวนการและผลผลิตพร้อมกันก็ได้
1.1.2 แบ่งตามลักษณะสถานการณ์ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1) สถานการณ์จำลอง (Simulated Setting) ให้สำหรับวัดผล
การปฏิบัติงานที่เสี่ยงอันตรายต่อบุคคลที่ปฏิบัติ ถ้าผู้ปฏิบัตินั้ นไม่มีความชำนาญหรือทักษะ
เพียงพอ หรือในสภาพจริงไม่สามารถปฏิบัติได้ เช่น การใช้เครื่องมือ การขับรถยนต์ การยิง
ปืน เป็นต้น
2) สถานการณ์จริง (Real Setting) ใช้สำหรับวัดผลการปฏิบัติงาน ที่ไม่เสี่ยงอันตรายต่อผู้ที่
ปฏิบัติหรือใช้ในกรณีที่ผู้ปฏิบัติมีความชำนาญ เช่น การขับรถยนต์จริงบนถนน การยิงปืนจริง
ในป่า เป็นต้น

การประเมินผลบางกิจกรรมอาจใช้ทั้งสถานการณ์
จำลองและสถานการณ์จริงก็ได้ เช่น การทดสอบ

การขับรถยนต์อาจให้ทดลองขับในสถานการณ์ จำลองหรือไปฝึกปฏิบัติการขับแล้วจึงออกไปทดสอบ
บนถนนจริง เป็นต้น
1.1.3 แบ่งตามการเกิดสิ่งเร้า แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1) ใช้สิ่งเร้าที่เป็นธรรมชาติ (Natural Stimulus) เป็นการวัดผลที่
เป็นไปตามธรรมชาติ ผู้วัดไม่ต้องไปจัดกระทำ หรือแทรกแซง หรือสร้างสถานการณ์ใด ๆ เช่น
นิ สัยการทำงานของผู้เรียน บุคลิกภาพของผู้เรียน เป็นต้น
2) ใช้สิ่งเร้าที่จัดขึ้น (Structure Stimulus) เป็นการวัดผลที่ผู้วัดต้องจัดสิ่งเร้า หรือสถานการณ์
ขึ้นเพื่อประกันว่าพฤติกรรมที่กำลังประเมินจะต้องปรากฏ เช่น การกล่าวสุนทรพจน์ การเล่น
ดนตรี การใช้คอมพิวเตอร์ เป็นต้น โดยวิธีนี้ จะลดเวลาการ
สั งเกตลงเพราะไม่ต้องรอให้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
1.2 หลักและวิธีการทดสอบภาคปฏิบัติ มีแนวปฏิบัติ ดังนี้
1.2.1 การสร้างเครื่องมือควรก าหนดทักษะที่สอบวัดจากจุดประสงค์การเรียนรู้กำหนดขั้นตอน
ของการปฏิบัติงานที่จะสอบวัดกำหนดกิจกรรมในแต่ละขั้นตอน
กำหนดรายการปฏิบัติในแต่ละขั้นตอน เขียนรายการ สาระของงาน และกำหนดเกณฑ์การ
ตัดสิ น

1.2.2 ผู้สอบควรใช้การสังเกตควบคู่ไปกับการประเมินการปฏิบัติงานโดยบันทึกผลการสังเกต
หรือผลการประเมินลงในแบบประเมินที่สร้างขึ้น
1.2.3 เนื้ อหาสาระของงานที่จะให้ผู้เรียนสอบปฏิบัติควรสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง

1.2.4 จำนวนและพฤติกรรมที่จะสอบวัดต้องมีเพียงพอที่จะเป็นตัวแทนทักษะตามที่กำหนดใน
จุดประสงค์การเรียนรู้
1.2.5 สิ่งที่จะสอบวัดต้องสามารถสังเกตได้โดยตรง และกำหนดเงื่อนไขในการสอบวัดให้ชัดเจน
1.2.6 การสอบวัดโดยใช้สิ่งเร้าที่จัดขึ้นควรมีคำชี้แจงที่ชัดเจน และสมบูรณ์
1.3 ข้อดีของการทดสอบภาคปฏิบัติ

1.3.1 สามารถใช้สอบวัดความสามารถในการปฏิบัติได้จริง หรือวัดได้สอดคล้องกับสภาพจริง
ของผู้เรียน

1.3.2 สามารถสอบวัดทักษะ และความสามารถในทางปฏิบัติบางอย่างที่ไม่อาจสอบวัดได้ด้วย
เครื่องมืออย่างอื่น เช่น แบบทดสอบเขียนตอบ แบบทดสอบเลือกตอบเป็นต้น
1.3.3 สามารถใช้สอบวัดความสามารถในการนำความรู้ไปใช้ได้เป็นอย่างดี
1.3.4 ช่วยให้นั กเรียนเกิดการเรียนรู้จากการทดสอบการปฏิบัติ
1.4 ข้อจำกัดของการสอบภาคปฏิบัติ

1.4.1 ใช้เวลาในการดำเนิ นการสอบมากเนื่ องจากไม่สามารถให้ผู้เรียนสอบได้พร้อมๆ กันทั้งชั้น
โดยปกติการสอบภาคปฏิบัติจะทดสอบได้ทีละคน หรือเป็นกลุ่มเล็กๆ 2 – 3 คน จึงต้องใช้เวลา
มากกว่าจะครบทุกคน

1.4.2 สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมากเนื่ องจากการปฏิบัติจริงต้องใช้วัสดุอุปกรณ์ในการทดสอบเป็น
รายคน
1.4.3 การตรวจให้คะแนนการทดสอบภาคปฏิบัติ จะมีลักษณะเช่นเดียวกับแบบทดสอบอัตนั ย
ดังนั้ นหากเกณฑ์ไม่ชัดเจน หรือผู้ตรวจหรือผู้ประเมินมีความลำเอียงผลการประเมินจะขาดความ
เชื่อถือ

การสั งเกต

การสังเกตเป็นวิธีการเครื่องมือสำคัญในการศึกษาพฤติกรรมของคน โดยเฉพาะใน

ชั้นเรียน การสังเกตของครูจะทำให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของนั กเรียนในชั้น

เรียนแต่ละคน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ ต่อการดูแลเอาใจใส่นั กเรียนแต่ละคนอย่างเหมาะ

สม (ดวงกมล ไตรวิจิตรคุณ, ม.ป.ป. : 141-146)

หลักการสังเกต มีดังนี้

1. กำหนดพฤติกรรมที่จะสังเกตให้ชัดเจน และครอบคลุมกับสิ่งที่ต้องการศึกษา

เช่น ถ้าสนใจศึกษาเรื่องความร่วมมือของนั กเรียนในขณะเข้ากลุ่มทำงานปั้ นดิน ควร

ระบุพฤติกรรมที่แสดงว่านั กเรียนให้ความร่วมมือมีอะไรบ้าง เช่น การจัดเตรียมวัสดุ

อุปกรณ์ การลงมือปั้ น การช่วยส่งวัสดุอุปกรณ์ เป็นต้น ที่สำคัญคือพฤติกรรมที่

กำหนดจะต้องเป็นพฤติกรรมที่สั งเกตได้อย่างชัดเจน

2. ควรสังเกตหลายๆ ครั้งในเวลาต่างกัน เพื่อป้องกันการผิดพลาดในการสังเกตได้

3. ควรใช้เครื่องมือประกอบในการสังเกต คือ แบบประเมินผลงาน ซึ่งอาจมีลักษณะ

เป็นมาตรประมาณค่า (Rating Scale) เพื่อให้การสังเกตเป็นไปอย่างมีระบบและ

บันทึกข้อมูลได้ครบถ้วน

4. ถ้าเป็นไปได้ ควรใช้ผู้สังเกตมากกว่า 1 คน เพื่อช่วยตรวจสอบความถูกต้องของ

ข้อมูลที่ได้

5. ควรมีการฝึกการสังเกตก่อนการลงมือสังเกตจริง จะทำให้ไม่ตื่นเต้นและมีทักษะ

มากขึ้น

2. แบบประเมินผลงาน

เป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้การสั งเกตเป็นไปอย่างสมบูรณ์ ในระหว่างการสั งเกต

จำเป็นต้องมีแบบประเมินผลงานเพื่อใช้ตรวจสอบความสมบูรณ์ ในแต่ละประเด็น

อย่างเป็นระบบ

แบบประเมินผลงานอาจมีรูปแบบดังนี้

2.1 มาตรประมาณค่า (Rating Scales)

มาตรประมาณค่าเป็นเครื่องมือที่สามารถใช้ได้ในแบบสอบถามเพื่อถามความรู้สึ ก

นึ กคิด และนำมาใช้ประกอบการสั งเกตได้ด้วย เพื่อดูว่าวิธีการปฏิบัติ

งาน(Procedure) ในแต่ละขั้นตอนมีการปฏิบัติในระดับใด มากน้ อยเพียงใด และผล

งาน (Product)มีปริมาณและคุณภาพในระดับใด มากน้ อยเพียงใด

2.2 แบบสำรวจรายการ (Check list)

แบบสำรวจรายการ เป็นเครื่องมืออีกประเภทหนึ่ งที่ใช้ประกอบการสังเกตได้มี

ลักษณะคล้ายกับมาตรวัดประมาณค่า (Rating Scales) ต่างกันที่แบบสำรวจรายการ

มีจุดมุ่งหมายเพียงเพื่อตรวจสอบว่าผู้เรียนแต่ละคนได้ปฏิบัติในแต่ละรายการหรือไม่

ไม่สนใจประเมินในคุณภาพว่าผลงานที่ปฏิบัติอยู่ในระดับใด ส่วนมาตรวัดประมาณ

ค่า มีจุดมุ่งหมายเพื่อดูระดับการปฏิบัติและระดับของผลงานด้วย

ขั้นตอนในการวัดการปฏิบัติ


ผู้สอนเป็นผู้ สังเกตพฤติกรรมในระหว่างการดำเนิ นงาน มีขั้นตอนในการวัด ดังนี้

1. กำหนดจุดประสงค์ หรือผลงานให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติงานอย่างชัดเจน โดยเน้ นผลงานที่มี

ความสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของหลักสูตรของแต่ละรายวิชา

2. กำหนดสถานการณ์ที่จะใช้ในการวัดการปฏิบัติงานว่าจะมีในลักษณะใด ที่อาจเป็น

สถานการณ์จริงหรือสถานการณ์จำลองที่คล้ายสภาพจริง หรือการวัดโดย

ใช้แบบทดสอบใน สถานการณ์ที่ไม่ต้องลงมือปฏิบัติงาน

3.กำหนดคุณลักษณะที่ต้องการวัด ว่ในการวัดครั้งนั้ น ๆ จะเน้ นการวัดกระบวนการ

ปฏิบัติงานหรือคุณภาพของผลงานอย่างไรและมีตัวบ่งชี้อะไรบ้างที่จะ

นำมาใช้พิจารณา

4. กำหนดวิธีการวัดการปฏิบัติที่เหมาะสมกับพฤติกรรมที่จะวัด อาทิ การทดสอบด้วย

แบบทดสอบ การให้ปฏิบัติงานในสถานการณ์จริง หรือการส่งผลงาน

5. กำหนดเครื่องมือที่ใช้ การสร้างเครื่องมือ การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ อาทิ แบบ

ทดสอบ แบบตรวจสอบรายการ แบบสัมภาษณ์ หรือแบบบันทึก

พฤติกรรม เป็นต้น ซึ่งในการวัด ภาคปฏิบัติใด ๆ จำเป็นต้องมีการใช้เครื่องมือมากกว่า 1

อย่างเพื่อความคลอบคลุมในประเด็นที่ ต้องการวัด

6. กำหนดเกณฑ์การให้คะแนน

6.1 กำหนดสัดส่วนของคะแนนกระบนการปฏิบัติงาน หรือผลงานอย่างชัดเจน เหมาะสม

6.2 กำหนดรายละเอียดของการให้คะแนน

6.2.1 กระบวนการปฏิบัติงาน ได้แก่ ชั้นตอนการปฏิบัติงาน การใช้อุปกรณ์ หรือ ทักษะใน

ระหว่างการการปฏิบัติงาน เป็นต้น

6.2.2 ผลงาน ได้แก่ ความสวยงาม ความคงทน และประโยชน์ ที่ได้รับ เป็นต้น

7. กำหนดวิธีการประเมินผลและรายงานผลการวัดการปฏิบัติ มีดังนี้

7.1 เปรีอบเทียบความสามารถในกระบวนการปฏิบัติงานและผลงานกับสมาชิกในกลุ่ม

เดียวกัน เพื่อจจำแนกระดับความสามารถ

7.2เปรียบเทียบความสามารถในกระบวนการปฏิบัติงานและผลงานกับเกณฑ์มาตรฐาน

เพื่อตรวจสอบจุดบกพร่อง

ที่ควรนำมาปรับปรุงแก้ไซ

7.3 เปรียบเทียบพัฒนาการของแต่ละบุคคลระหว่างก่อนและหลังการดำเนิ นงานนั้ นๆ

เพื่อรับทราบความก้าวหน้ าของตนเอง

วิธีการในการวัดปฏิบัติ

1. การทดสอบด้วยแบบทดสอบ เป็นวิธีการที่สอดคล้องกับสภาพที่เป็นจริงน้ อยที่สุดแต่

จะเลือกใช้ในกรณี ดังนี้

1.1 เป็นการวัดการปฏิบัติที่มีจุดประสงค์เพื่อตรวจสอบความรู้ความเข้าใจที่เกี่ยวกับการ

ปฏิบัติ

1.2 การปฏิบัติงานที่มีความเสี่ยงสูง จะต้องมีการตรวจสอบความรู้ (ความชัดเจนของ

กระบวนการปฏิบัติงานของผู้เรียนก่อน

2. การทดสอบในสถานการณ์จำลอง

3. การทดสอบในสถานการณ์จริง

การสร้างเครื่องมือวัดพ
ฤติกรรมด้านจิตพิสัย

เครื่องมือวัดพฤติกรรมด้านจิตพิสัยมีหลายประเภท ได้แก่ แบบตรวจสอบ
รายการ มาตรส่วนประมาณค่า แบบวัดเชิงสถานการณ์ การสังเกต และการ
สัมภาษณ์ ซึ่งแต่ละ ประเภทมีลักษณะและความเหมาะสมกับพฤติกรรมที่จะ
วัดแตกต่างกัน ผู้ทำหน้ าที่วัดผล ทางด้านจิตพิสัยควรจะได้ทราบถึงลักษะ
ของเครื่องมือแต่ละประเภท (พิชิต ฤทธิ์จรูญ, 2552 : 65-67)
1. แบบตรวจสอบรายการ

แบบตรวจสอบรายการเป็นการสร้างรายงานของข้อความที่เกี่ยวข้องกับ
พฤติกรรม หรือการปฏิบัติหรือคุณลักษณะที่ต้องการประเมินว่ามีหรือไม่มี
แบบตรวจสอบรายการนิ ยมใช้ ในการประเมินความสนใจของผู้เรียน เจตคติ
คุณลักษณะส่ วนตัว
แบบตรวจสอบรายการจะให้ประเมินว่า มีหรือไม่มี ทำหรือไม่ทำ ใช่หรือไม่ใช่
ตาม รายการที่กำหนดมาให้จะไม่ใช่ในการประเมินที่มีระดับหรือความถี่ของ
สิ่งที่เกิดขึ้นนอกจากนี้ แบบตรวจสอบรายการยังสามารถใช้ประเมินผลรวม
ทุกรายการได้
1.1 การสร้างแบบตรวจสอบรายการ มีแนวปฏิบัติดังนี้
1) กำหนดคุณลักษณะของสิ่งที่ต้องการตรวจสอบหรือประเมิน
2) กำหนดพฤติกรรมที่จะบ่งชี้ หรือแสดงคุณลักษณะของสิ่งต้องการ ตรวจ
สอบ
3) เขียนข้อความที่แสดงพฤติกรรม หรือคุณลักษณะของสิ่งที่จะตรวจสอบ
4) ตรวจสอบข้อความที่เขียนว่าชัดเจนหรือไม่ ซ้ำซ้อนกับรายการอื่น หรือไม่
แล้วจัดเรียงรายการตามลำดับของการกระทำ หรือพฤติกรรม
5) นำไปทดลองใช้ และปรับปรุงแก้ไข
1.2 ข้อดีของแบบตรวจสอบรายการ
1) สร้างง่ายและใช้สะดวก
2) สามารถนำไปวัดพฤติกรรม หรือใช้ประกอบการสังเกตพฤติกรรมได้
อย่างละเอียด
3) ผลการประเมินเป็นรายการบุคคลสามารถนำไปปรับปรุงส่งเสริมหรือ
พัฒนาเป็นรายบุคคลได
1.3 ข้อจำกัดของแบบตรวจสอบรายการ
1) พฤติกรรมที่กำหนดในรายการต้องชัดเจน มิฉะนั้ นจะทำให้สื่อ ความหมาย
ไม่ตรงกัน

2) ผู้ประเมินต้องมีโอกาสได้รับรู้ได้เห็นหรือเกี่ยวข้องคลุกคลีกับผู้เรียนผล
การประเมินจึงจะเชื่อถือได้และถูกต้อง

2. มาตราส่วนประมาณค่า

มาตราส่วนประมาณค่าแตกต่างจากแบบตรวจสอบรายการ กล่าวคือ แบบ

ตรวจสอบรายการต้องการทราบว่ามีหรือไม่มีในเรื่องนั้ น แต่มาตราส่ วน

ประมาณค่าต้องการ ทราบละเอียดยิ่งขึ้นว่ามีอยู่เพียงใด หรือมีในระดับใด เพื่อ

จัดอันดับคุณภาพในการประมาณค่า กระบวนการ ผลผลิต และวัดคุณลักษณะ

นิ สัยหรือลักษณะทางจิตวิทยา เช่น ความสนใจ ค่านิ ยมการปรับตัว และความ

คิดเห็น เป็นต้น

2.1 รูปแบบของมาตราส่วนประมาณค่า มีหลายรูปแบบดังนี้

1) มาตราส่วนประมาณค่าแบบบรรยาย (Descriptive Rating Scales) เป็นการ

ใช้ข้อความบอกระดับที่ผู้ตอบจะพิจารณาเลือกตอบ

2) มาตราส่วนประมาณค่าแบบตัวเลข (Numerical Rating Scales) เป็นการใช้

ตัวเลขบอกระดับที่ผู้ตอบจะพิจารณาเลือกตอบ

3) มาตราส่วนประมาณค่าแบบเส้นหรือกราฟ (Graphic Rating Scales)

เป็นการใช้เส้ นตรงแบ่งเขตช่องบอกระดับการเลือกตอบ

4) มาตราส่วนประมาณค่าแบบใช้สัญลักษณ์ (Symbolic Rating Scales)

เป็นการใช้สัญลักษณ์บอกระดับที่ผู้ตอบจะพิจารณาเลือกตอบ สัญลักษณ์ที่ใช้

อาจเป็นตัวอักษร หรือเป็นรูปแบบ

5) การจัดอันดับ (Ranking) เป็นการใช้ตัวเลขแสดงการเรียงลำดับ ความ

สำคัญ หรือให้จัดเรียงใหม่

ความคิดเห็น เจตคติ หรือพฤติกรรมในเชิงสนั บสนุน – ไม่สนั บสนุนข้อความ

นั้ น กำหนด คำตอบเป็น 5 ระดับ เป็นการประมาณค่าของลิเคิร์ท (Likert

Rating Scale) หากกำหนด คำคุณศัพท์ที่มีความหมายตรงกันข้ามโดยมีคำ

หรือตัวเลขแสดงระดับพฤติกรรมตั้งแต่ต่ำสุดไป จนถึงสูงสุด เป็นการ

ประมาณค่าของออสกูด (Osgood) หรือวิธีหาความแตกต่างของ ความหมาย

(Semantic Differential Scale)

2.2 การสร้างมาตราส่วนประมาณค่า มีแนวปฏิบัติดังนี้

1) กำหนดคุณลักษณะของสิ่งที่ต้องการวัด

2) กำหนดพฤติกรรมที่จะบ่งชี้หรือแสดงคุณลักษณะของสิ่งที่ต้องการ

3) เลือกรูปแบบของมาตราส่วนประมาณค่า

4) เขียนข้อความที่แสดงพฤติกรรมหรือคุณลักษณะของสิ่งที่ต้องการวัด

5) ตรวจสอบข้อความที่เขียนว่าชัดเจนหรือไม่ ซ้อนกับรายการอื่นหรือไม่ แล้ว

จัดเรียงข้อความตามลำดับการกระทำ หรือพฤติกรรม

6) นำไปทดลองใช้และปรับปรุงแก้ไข

2.3 ข้อดีของมาตราส่วนประมาณค่า



1) ใช้ประมาณคุณลักษณะหรือใช้ประกอบการสังเกตพฤติกรรมได้อย่าง ละเอียด

2) ผลการประเมินสามารถนำไปปรับปรุงพฤติกรรม หรือคุณลักษณะที่วัด ได้

2.4 ข้อจำกัดของมาตราส่วนประมาณค่า

1) ข้อคำถามต้องชัดเจนมิฉะนั้ นจะทำให้สื่อความหมายไม่ตรงกัน

2) การพิจารณาตัดสินใจบางครั้งทำได้ยาก

3. แบบวัดเชิงสถานการณ์

แบบวัดเชิงสถานการณ์เป็นการจำลอง หรือสร้างเหตุการณ์เรื่องราวต่างๆ ขึ้นแล้ว

ให้ บุคคลแสดงความรู้สึกว่าตนเองจะกระทำ หรือมีความเห็นอย่างไรต่อ

สถานการณ์ที่กำหนดขึ้น โดยปกติแล้วการตอบสนองต่อสถานการณ์นั้ นอาจให้

ตอบสนองว่าตัวเขาเองจะทำอย่างไร หรือ การให้เขาแสดงความคิดเห็นว่าตัวบุคคล

ในสถานการณ์นั้ นๆ จะทำอย่างไร การตอบอาจจะให้ ผู้ตอบเขียน หรือบอก

ข้อความคิดเห็นของตนเองหรืออาจจะให้เลือกตัวเลือกที่กำหนดให้ตอบก็ ได้

3.1 หลักและวิธีสร้างแบบวัดเชิงสถานการณ์ มีแนวปฏิบัติ (พิชิต ฤทธิ์จรูญ, 2552 :

70-72) ดังนี้

1) กำหนดเนื้ อหาและพฤติกรรมหรือคุณลักษณะที่ต้องการจะวัดให้ชัดเจน

2) เลือกข้อความหรือสถานการณ์ที่มีความยากพอเหมาะกับระดับชั้นของ ผู้เรียน

และเนื้ อเรื่องหรือสถานการณ์ที่ใช้ถามจะต้องไม่ลำเอียงต่อเด็กกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ ง

โดยเฉพาะ

3) พยายามเขียนคำถามเพื่อถามตามใจความในเนื้ อหา หรือสถานการณ์ นั้ นตาม

พฤติกรรม หรือคุณลักษณะที่ต้องการจะวัดซึ่งการเขียนสถานการณ์และการเขียน

คำถามมีข้อควรคำนึ งดังนี้

การเขียนสถานการณ์ มีหลักดังนี้

(1) สถานการณ์ที่สร้างขึ้น ควรเลือกสถานการณ์ที่มีความเป็นไปได้ที่ จะเกิดขึ้นได้

จริง ๆ กับบุคคล หรือกลุ่มตัวอย่างในขณะนั้ น

(2) ปัญหาในสถานการณ์ที่สร้างขึ้นหรือกำหนดขึ้นควรมีความเข้มหรือ ความ

รุนแรงในระดับกลาง ๆ ไม่สร้างความเครียดให้กับผู้ตอบจนเกินไป เพราะหาก

สร้างปัญหา ที่มีความเข้มเกินไปจะทำให้ผู้ตอบไขว้เขวได้ เช่น เขียนสถานการณ์ว่า

แม่ป่วยหนั ก และ ต้องการผ่าตัดอีก 2 วัน หากหาเงินไม่ได้จะต้องตาย ตนเองไม่มี

เงินหากมีคนมาเสนอให้ไป ขายบริการทางเพศ 1 คน จะได้เงินจำนวนมากพอ

รักษา จัดว่าเป็นสถานการณ์ที่เข้มรุนแรง มากไป อาจทำให้ผู้ตอบไขว้เขวได้ ความ

จริงไม่อยากขายบริการทางเพศ แต่ต้องการตอบ แทนบุญคุณพ่อแม่ (เป็นคน

กตัญญู)

(3) สาระสำคัญที่กำหนดให้ในสถานการณ์ จะต้องเพียงพอที่จะให้ ผู้สอบตัดสินใจ

เลือกทางปฏิบัติในแนวทางที่เหมาะสมได้

3.2 ข้อดีของแบบวัดเชิงสถานการณ



1) แบบวัดเชิงสถานการณ์เป็นแบบวัดที่แสดงถึงฝีมือ หรือความ

สามารถ ของผู้เขียนข้อสอบว่าสามารถนำความรู้ที่เรียนมาผนวกกับ

เงื่อนไขในสถานการณ์ที่กำหนดได้ดี เพียงใด

2) สามารถวัดความรู้ขั้นสูงทั้งด้านสมรรถภาพทางสมอง และด้าน

จิตพิสั ย

3) เร้าใจผู้ตอบให้ติดตามเพราะได้อย่างเรื่องราวและได้คิดมากกว่า

ข้อสอบ ประเภทอื่นๆ

4) สร้างความยุติธรรมให้แก่ผู้เข้าสอบทุกคน เพราะได้อ่าน

สถานการณ์ เดียวกันทั้งหมดไม่มีใครได้เปรียบ หรือเสียเปรียบ

เพราะใช้ตำราต่างกัน หรือการสอนที่ต่างกัน เป็นต้น

3.3 ข้อจำกัดของแบบวัดเชิงสถานการณ์

1) การเขียนคำชี้แจงของแบบวัดเชิงสถานการณ์ ต้องพึงระวังเป็น

พิเศษ ต้องชี้แจงให้ผู้สอนใช้สถานการณ์ที่กำหนดให้เป็นหลักถึงจะ

ผิดแปลกจากความเป็นจริงก็ต้อง ตอบตามนั้ น

2) สร้างค่อนข้างยาก ผู้เขียนข้อสอบจะต้องเลือกสถานการณ์ที่เป็น

ปัจจุบัน และไม่เข้มจนเกินไป และจะต้องล้วงลึกเฉพาะใน

สถานการณ์ที่กำหนดให้เท่านั้ น

3) กำหนดเกณฑ์ในการให้คะแนนค่อนข้างทำได้ยาก

4. การสังเกต

การสั งเกตเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูล หมายถึงการเฝ้าดูหรือศึกษา

เหตุการณ์ของ เรื่องราวโดยละเอียด ดังนั้ นเมื่อกล่าวถึงการสังเกตเพื่อ

รวบรวมข้อมูล ย่อมขึ้นอยู่กับ วัตถุประสงค์ว่าใครเป็นผู้สังเกต สังเกต

อะไร ภายใต้สภาพการณ์ใด เพราะความหมายของการ สังเกตจะแปร

เปลี่ยนไปตามบริบท (นิ ศา ชูโต, 2545 : 136)

4.1 ประเภทของการสังเกต เมื่อแบ่งตามเกณฑ์การมีส่วนร่วม การสังเกต

แบ่งเป็น 2 ประเภท (พิชิต ฤทธิ์จรูญ, 2552 : 73-74) คือ

1) การสังเกตแบบมีส่วนร่วม (Participation Observation) เป็นการ

สังเกตที่ผู้สังเกตเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ต้องการสังเกต หรือเข้าไป

เป็นสมาชิกคนหนึ่ งใน กลุ่มที่ศึกษา จะทำให้ได้ข้อมูลที่ละเอียด ถูกต้อง

ชัดเจน เป็นลักษณะของการสังเกตทางตรง (Direct Observation) เช่น

การศึกษาเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของชาวเขาที่มาอาศัยวัดถ้ำ กระบอก

จังหวัดสระบุรี ผู้สังเกตจะต้องเข้าไปอยู่ในวัดถ้ำกระบอบนานๆ จนไม่รู้

สึกว่าเป็นคน แปลกหน้ า

2) การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม (Non – Participation Observation)

เป็นการสั งเกตที่ผู้สั งเกตไม่ได้เข้าไปร่วมกิจกรรมในเหตุการณ์ ที่ศึ กษา

แต่คอยเฝ้าดูอยู่ห่างๆ อาจให้ผู้ถูกสังเกตรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ได้ การสังเกต

แบบนี้ เป็นการสังเกตทางอ้อม (Indirect Observation) ซึ่งอาจมีการใช้

อุปกรณ์ต่างๆ เข้าช่วยในการเก็บรวบรวมข้อมูล เช่น กล้อง ถ่ายภาพ

กล้องถ่ายวีดีทัศน์ เป็นต้น

เมื่อแบ่งตามการมีโครงสร้าง การสังเกตแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1) การสังเกตแบบมีโครงสร้าง (Structured Observation) เป็นการ สังเกตที่
ได้กำหนดเรื่องราว หรือขอบเขตของเนื้ อหาไว้ล่างหน้ าแน่ นอนว่าจะสังเกต
พฤติกรรม หรือปรากฏการณ์อะไร มีการเตรียมเครื่องมือที่จะใช้ประกอบการ
สังเกตล่วงหน้ า
2) การสังเกตแบบไม่มีโครงสร้าง (Unstructured Observation) เป็นการ
สังเกตที่ไม่มีการกำหนดเรื่องราวหรือขอบเขตของเนื้ อหาไว้ล่างหน้ า เป็นการ
สังเกตอย่างอิสระ ผู้สังเกตจะสังเกตอย่างกว้างๆ
4.2 หลักและวิธีการสังเกต มีแนวปฏิบัติดังนี้

1) กำหนดเป้าหมายของการสังเกตให้แน่ นอน และชัดเจนโดยกำหนด
ขอบเขตของเรื่องที่จะสังเกต รายละเอียดของเรื่อง และลักษณะของการสังเกต

2) สังเกตอย่างละเอียด มีขั้นตอนเป็นระบบ และตั้งใจตลอดระยะเวลาที่
สั งเกต
3) ควรมีการบันทึกทันทีที่สังเกตไม่ควรทิ้งไว้นานเพราะอาจลืมได้และไม่ ควร
บันทึกให้ผู้ถูกสั งเกตเห็น

4) ผู้สังเกตควรมีสุขภาพปกติ มีการรับรู้ที่ถูกต้องและรวดเร็ว
5) ผู้สังเกตต้องขจัดความอคติหรือความลำเอียงให้หมด วางตัวเป็นกลาง
บันทึกเหตุการณ์ ตามการรับรู้อย่างตรงไปตรงมาและไม่รังเกียจผู้ถูกสั งเกต
6) ก่อนการสังเกตจริงควรมีการฝึกการสังเกต และบันทึกเหตุการณ์
7) ไม่ควรตีความขณะสังเกตเพราะจะทำให้ความสนใจในการสังเกตลดลง
8) ควรระมัดระวังความคลาดเคลื่อนจากการสุ่มเวลา ดังนั้ นบางเรื่องอาจ
ต้องสังเกตตามช่วงเวลาต่างๆ กัน หลายๆ ครั้ง หรือใช้ผู้สังเกตหลายๆ คน
เพื่อให้ผลการ สังเกตเชื่อถือได้
4.3 ข้อดีของการสังเกต
1) ได้ข้อมูลจากแหล่งโดยตรง และได้รายละเอียดต่าง ๆ อย่างลึกซึ้ง
2) สามารถเก็บข้อมูลกับผู้ที่พูดไม่ได้ เขียนไม่ได้ ไม่มีเวลา และไม่ให้ ความร่วม
มือ
3) สามารถใช้เครื่องมืออื่นร่วมด้วยได้
4) สามารถเก็บข้อมูลที่เป็นความลับ ความละอาย หรือข้อมูลที่เขาไม่เต็ม ใจจะ
ตอบได้
5) สะดวกในการปฏิบัติ ซึ่งจะเริ่มสังเกต หรือหยุดสังเกตเวลาใดก็ได้
6) ใช้เป็นหลักฐานสนั บสนุนหรือขัดแย้งความในเรื่องเดียวกันที่ทราบจาก
การเก็บข้อมูลโดยวิธีอื่น หรือเสริมให้ชัดเจนขึ้น

5. การสัมภาษณ์

การสั มภาษณ์ เป็นวิธีการรวบรวมข้อมูลโดยผู้รวบรวมมีโอกาส

พบปะสนทนากับ ผู้ให้ข้อมูลโดยตรงและมีจุดมุ่งหมายที่แน่ นอนทั้ง

สองฝ่าย คือ ผู้สัมภาษณ์และผู้ให้สัมภาษณ์ การสัมภาษณ์จะทำให้ได้

ความรู้ ความจริง เกี่ยวกับพฤติกรรม คุณลักษณะ เจตคติ

บุคลิกภาพ ท่วงที วาจา อุปนิ สัย ปฏิภาณไหวพริบ นั บว่าเป็นวิธีการที่

รวบรวมข้อมูลได้ ละเอียด (พิชิต ฤทธิ์จรูญ, 2552 : 75-76)

5.1 ประเภทของการสัมภาษณ์ การสัมภาษณ์แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ

1) การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง (Structured or Standardized

Interview) เป็นการสัมภาษณ์ที่ใช้แบบสัมภาษณ์ที่สร้างขึ้นไว้แล้ว

เป็นแบบในการถาม กล่าวคือ ผู้สัมภาษณ์จะใช้ถามตามแบบ

สัมภาษณ์กับผู้ให้สัมภาษณ์เหมือนกันหมดทุกคน การ สัมภาษณ์

แบบนั้ นมีลักษณะไม่ค่อยยืดหยุ่น แต่มีข้อดีคือจัดหมวดหมู่ข้อมูลได้

ง่ายและสะดวกใน การวิเคราะห์ การสัมภาษณ์วิธีนี้ อาจกระทำเป็น

รายบุคคล หรือกลุ่มย่อยๆ ก็ได้ เหมาะสำหรับ ผู้สัมภาษณ์ที่ยังไม่มี

ความชำนาญในการสั มภาษณ์

2) การสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง (Unstructured or

Standardized Interview) เป็นการสัมภาษณ์ที่ไม่ใช้แบบสัมภาษณ์

กำหนดเพียงแนวหัวข้อการสัมภาษณ์ กว้างๆ ผู้สัมภาษณ์จะตั้งคำถาม

เองในแต่ละหัวข้อ ไม่จำเป็นต้องใช้คำถามที่เหมือนกันหมดกับ ผู้ให้

สัมภาษณ์ทุกคน และมีอิสระในการดัดแปลงคำถามให้เหมาะสมกับ

สถานการณ์ ผู้ให้ สัมภาษณ์ตอบได้โดยอิสระ การสัมภาษณ์ลักษณะ

นี้ จะต้องมีความชำนาญในการสัมภาษณ์มาก


Click to View FlipBook Version