The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รานงานมรดกเเก้ไขล่าสุด

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by love_sekdef, 2022-03-23 22:44:04

รานงานมรดกเเก้ไขล่าสุด

รานงานมรดกเเก้ไขล่าสุด

รายงาน
เรื่อง สทิ ธแิ ละสว่ นแบ่งของทายาทโดยธรรม

จัดทาโดย
นางสาว โสภิดา อนุวัฒนากลุ 621081466
นางสาว กฤตพร ทพิ ศรี 622081004
นางสาว นาเพชร สจั จมาตย์ 622081022
นาย ณัชพล เปรมมณุ ี 622081054
นาย สิรวชิ ญ์ นวลศรี 622081086

คณะนติ ศิ าสตร์
เสนอ

อาจารย์ มาตา สนิ ดา

ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2564
มหาวิทยาลัยทกั ษณิ วิทยาเขตพัทลงุ

คานา

รายงานเลม่ น้เี ป็นสว่ นหนึ่งของรายวิชามรดก ช้นั ปีที่ 3จัดทาขึ้นเพอ่ื ให้ได้ศึกษาหาความรใู้ นเร่อื ง สิทธิ
และส่วนแบ่งของทายาทโดยธรรม เพือ่ ใหผ้ ู้อา่ นศกึ ษาอย่างเข้าใจเพือ่ เป็นประโยชนใ์ นการเรยี น

ผ้จู ัดทาหวังอยา่ งยิ่งว่ารายงานเลม่ น้จี ะเป็นประโยชน์กับผอู้ ่าน หรอื นกั เรยี น นักศึกษาทก่ี าลงั หาข้อมูล
เรอื่ งนี้อยู่ หากมขี ้อแนะนาหรอื ผดิ พลาดประการใด ผูจ้ ัดทาต้องขออภัยมา ณ ทนี่ ้ีดว้ ย

คณะผู้จดั

สารบัญ หนา้
1
เร่อื ง 2
ทายาทโดยธรรม 9
9
ทายาทโดยธรมลาดบั ท1่ี 9
ทายาทโดยธรมลาดับท2ี่ 10
ทายาทโดยธรมลาดบั ท3่ี 10
ทายาทโดยธรมลาดับท4ี่ 10
ทายาทโดยธรมลาดบั ท5ี่ 11
ทายาทโดยธรมลาดบั ท6่ี 13
คู่สมรส 23
สิทธใิ นการรับมรดก
การแบง่ มรดกในระหว่างทายาทโดยธรรม
อ้างองิ

1

ทายาทโดยธรรม

ทายาทโดยธรรมน้นั แบ่งออกเป็น2 กรณี
คือ ทายาทโดยธรรมที่เป็นญาติและทายาทโดยธรรมที่เป็นคู่สมรส
ทายาทโดยธรรมที่เป็นญาติ มีอยดู่ ว้ ยกนั 6 ลาดบั ลาดบั ตามมาตรา 1629 คือ
1) ผสู้ ืบสนั ดาน
2) บิดามารดา
3) พน่ี อ้ งร่วมบิดามารดาเดียวกนั
4) พ่นี อ้ งร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกนั
5) ป่ ูยา่ ตายาย
6) ลุงป้านา้ อา
ตามปกติแลว้ ทายาทเหล่าน้ีจะไดร้ ับมรดกก่อนหลงั กนั ตามลาดบั ในมาตรา 1629 และตราบใดท่ีทายาทใน
ลาดบั หน่ึงๆ ยงั มีชีวิตอยหู่ รือมีผรู้ ับมรดกแทนที่ยงั ไม่ขาดสายทายาทท่ีอยใู่ นลาดบั ถดั ลงไปไม่มีสิทธิใน
ทรัพยม์ รดกของผตู้ ายเลยเวน้ แต่จะมีกฎหมายบญั ญตั ิไวเ้ ป็นอยา่ งอื่นเช่นในมาตรา 1630 กาหนดวา่ ทายาทใน
ลาดบั ที่1ไม่ตดั ทายาทในลาดบั ที่ 2ดงั น้นั ถา้ เจา้ มรดกมีทายาทในลาดบั ที่1และ2คือผสู้ ืบสันดานและบิดา
มารดาบิดามารดาคงไดร้ ับส่วนแบ่งเสมือนหน่ึงวา่ เป็นทายาทฉนั บุตรอยา่ งน้ีเป็นตน้

ข้อสังเกต
คาวา่ บิดามารดาตามมาตรา 1630 วรรคสองน้นั หมายถึงบิดาคนหน่ึงและมารดาคนหน่ึงไม่ใช่บิดาและมารดา
รวมกนั เป็นหน่ึงคนแมว้ า่ กฎหมายจะไม่เขียนคาวา่ หรือเอาไวก้ ต็ ามเช่นเจา้ มรดกมีผสู้ ืบสนั ดานสี่คนและมี
บิดามารดาหากเจา้ มรดกมีทรัพยม์ รดกหกลา้ นบาทมรดกของเจา้ มรดกกจ็ ะตกแก่ผสู้ ืบสนั ดานคนละหน่ึงลา้ น
บาทบิดาหน่ึงลา้ นบาทและมารดาหน่ึงลา้ นบาทเป็นตน้

2

ทายาทโดยทาลาดบั ท1่ี ผู้สืบสันดาน คาวา่ ผสู้ ืบสนั ดานตามมาตรา 1629(1) หมายถึงผสู้ ืบสายโลหิตโดยตรง
ลงมาของเจา้ มรดกเช่นบุตรหลาน เหลน ล่ือ และสืบต่อกนั เร่ือยไปจนขาดสายโดยไม่จากดั วา่ สืบต่อกนั กี่ช้นั
สาหรับคาวา่ “หลาน”ในท่ีน้ี ไม่ไดห้ มายถึงบุตรของนอ้ งหรือบุตรของพี่ แต่หมายถึงบุตรของบุตรเจา้ มรดก

ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยม์ าตรา 1631 บญั ญตั ิวา่ ในระหวา่ งผสู้ ืบสนั ดานต่างฉนั กนั น้นั บุตรของเจา้
มรดกอนั อยใู่ นฉนั สนิทท่ีสุดเท่าน้นั มีสิทธิรับมรดก ผสู้ ืบสนั ดานคนท่ีอยใู่ นช้นั ถดั ลงไปจะรับมรดกไดก้ แ็ ต่
โดยอาศยั สิทธิในการรับมรดกแทนท่ี จากบทบญั ญตั ิดงั กล่าวจะเห็นวา่ ผสู้ ืบสนั ดานที่ต่างฉนั กนั น้นั บุตรของ
เจา้ มรดกอนั อยใู่ นช้นั สนิทที่สุดเท่าน้นั มีสิทธิไดร้ ับมรดกผสู้ ืบสนั ดานท่ีอยใู่ นช้นั ถดั ลงไปจะไดร้ ับมรดกก็
แต่โดยอาศยั สิทธิในการรับมรดกแทนท่ีเท่าน้นั

เช่น นายดามีบุตรสามคนคือหน่ึงสองและสาม หน่ึงมีภริยาและบุตรสองคนสองมีภริยาและบุตรสองคนส่วน
สามยงั เป็นโสดหากนายดาตายมีมรดกสามลา้ นบาทมรดกของนายดากจ็ ะตกแก่นายหน่ึงสองและสามคนละ
หน่ึงลา้ นบาทส่วนบุตรของหน่ึงและสองไม่มีสิทธิรับมรดกของนายดาแต่ถา้ นายดาตายหลงั จากที่หน่ึงและ
สองตายแลว้ มรดกของนายดากจ็ ะแบ่งเป็นสามส่วนเหมือนเดิมสาหรับส่วนของหน่ึงและสองน้นั บุตรของ
หน่ึงและสองเขา้ มารับมรดกแทนท่ีไป

บุตรน้นั แยกไดส้ ามประเภทคือ

1) บุตรชอบดว้ ยกฎหมาย

2)บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแลว้

3) บุตรบุญธรรม

3

1) บุตรชอบด้วยกฎหมาย

1.1) บุตรท่ีเกิดแต่บิดามารดาไดจ้ ดทะเบียนสมรสโดยชอบดว้ ยกฎหมาย

เดก็ เกิดแต่หญิงขณะเป็นภริยาชาย เม่ือชายหญิงไดส้ มรสโดยจดทะเบียนตามมาตรา 1457
แลว้ ใหส้ นั นิษฐานไวก้ ่อนวา่ เดก็ ท่ีเกิดมาเป็นบุตรท่ีชอบดว้ ยกฎหมายของชายผเู้ ป็นสามีตามมาตรา 1536
วรรคหน่ึง

ถา้ เดก็ เกิดแตห่ ญิงภายใน 310 วนั นบั แต่วนั ท่ีการสมรสสิ้นสุดลง เมื่อชายหญิงไดส้ มรสโดย
จดทะเบียนตามมาตรา 1457 แลว้ หากต่อมาการสมรสสิ้นสุดลงตามมาตรา 1501 ดว้ ยความตายการหยา่ หรือ
ศาลพพิ ากษาใหเ้ พกิ ถอนถา้ ภายใน 310 วนั นบั แตว่ นั ที่การสมรสสิ้นสุดลงหญิงเกิดบุตรโดยท่ีหญิงน้นั ไม่ได้
สมรสใหม่กฎหมายใหส้ นั นิษฐานวา่ เดก็ ที่เกิดมาเป็นบตุ รท่ีชอบดว้ ยกฎหมายของชายผเู้ ป็นสามีหรือเคยเป็น
สามีตามมาตรา 1536 วรรคหน่ึง

บุตรท่ีเกิดจากหญิงก่อนท่ีจะไดม้ ีคาพพิ ากษาถึงที่สุดแสดงวา่ การสมรสเป็นโมฆะหรือ
ภายในระยะเวลา 310 วนั นบั แต่วนั น้นั ใหส้ นั นิษฐานไวก้ ่อนวา่ เป็นบตุ รชอบดว้ ยกฎหมายของชายผเู้ ป็นสามี
หรือเคยเป็นสามีตามมาตรา 1536 วรรคสอง

เดก็ ที่เกิดระหวา่ งการสมรสที่ศาลพิพากษาเพิกถอนภายหลงั ตามมาตรา 1560 ซ่ึงบญั ญตั ิวา่
บุตรเกิดระหวา่ งสมรสซ่ึงศาลพพิ ากษาใหเ้ พิกถอนภายหลงั น้นั ใหถ้ ือวา่ เป็นบุตรชอบดว้ ยกฎหมาย
หมายความวา่ ในระหวา่ งท่ีศาลยงั ไม่ไดพ้ พิ ากษาเพกิ ถอนการสมรสน้นั หากเกิดบุตรใหถ้ ือวา่ เป็นบุตรท่ีชอบ
ดว้ ยกฎหมายของสามีแมต้ ่อมาศาลจะพพิ ากษาใหเ้ พกิ ถอนการสมรสน้นั ในภายหลงั กต็ าม

เดก็ ที่เกิดจากหญิง(หมา้ ย) ซ่ึงทาการสมรสใหม่ตามมาตรา 1453 และคลอดบุตรภายใน 310
วนั นบั แตว่ นั ที่การสมรสสิ้นสุดลง ใหส้ นั นิษฐานไวก้ ่อนวา่ เป็นบุตรชอบดว้ ยกฎหมายของชายผเู้ ป็นสามีคน
ใหม่ตามมาตรา 1537 กรณีน้ีเป็นกรณีท่ีหญิงซ่ึงไดท้ าการสมรสโดยชอบดว้ ยกฎหมายมาแลว้ และไดท้ าการ
หยา่ ร้างโดยชอบดว้ ยกฎหมายแลว้ เช่นกนั ต่อมาหญิงน้นั ไดจ้ ดทะเบียนสมรสใหม่โดยฝ่ าฝืนมาตรา 1453 คือ
ไม่รอใหผ้ ลกาหนด 310 วนั เสียก่อน ต่อมาหากหญิงน้นั เกิดบุตรข้ึนระหวา่ งที่อยกู่ บั สามีใหม่กฎหมายให้
สนั นิษฐานวา่ เดก็ น้นั เป็นบุตรท่ีชอบดว้ ยกฎหมายของสามีคนใหม่

เดก็ ท่ีเกิดแต่หญิงซ่ึงทาการสมรสฝ่ าฝืนมาตรา 1452(สมรสซอ้ น) มาตรา 1538 บญั ญตั ิให้
สนั นิษฐานไวก้ ่อนวา่ เดก็ ท่ีเกิดระหวา่ งการสมรสท่ีฝ่ าฝื นน้นั เป็นบุตรชอบดว้ ยกฎหมายของชายผเู้ ป็นสามีซ่ึง
ไดจ้ ดทะเบียนคร้ังหลงั

4

1.2) บุตรท่ีเกิดแต่บิดามารดาที่ไม่ไดจ้ ดทะเบียนสมรส ตามมาตรา 1547 เดก็ เกิดจากบิดามารดาที่
ไม่ไดส้ มรสกนั จะเป็นบุตรชอบดว้ ยกฎหมายต่อเม่ือบิดามารดาไดส้ มรสกนั ในภายหลงั หรือบิดาไดจ้ ด
ทะเบียนวา่ เป็นบุตรหรือศาลพิพากษาวา่ เป็นบุตรและในปี พ.ศ. 2551 ไดม้ ีการแกไ้ ขมาตรา 1557 โดย
กาหนดใหก้ ารเป็นบุตรชอบดว้ ยกฎหมายตามมาตรา 1547 น้นั มีผลนบั แต่วนั ท่ีเดก็ เกิด ขอ้ สงั เกตกรณีต่างๆท่ี
กล่าวมาน้ีจะเป็นขอ้ พจิ ารณาในกรณีการเป็นบุตรชอบดว้ ยกฎหมายของบิดาส่วนกรณีของมารดาน้นั จะถือวา่
เดก็ ที่เกิดจากหญิงใดจะเป็นบุตรชอบดว้ ยกฎหมายของหญิงน้นั แมจ้ ะไม่ไดจ้ ดทะเบียนสมรสกบั ชายกต็ าม
ดงั ท่ีมาตรา 1546 ไดก้ าหนดวา่ ” เดก็ เกิดจากหญิงที่มิไดม้ ีการสมรสกบั ชายใหถ้ ือวา่ เป็นบุตรชอบดว้ ย
กฎหมายของหญิงน้นั เวน้ แต่จะมีกฎหมายบญั ญตั ิไวเ้ ป็นอยา่ งอ่ืน”

2) บุตรนอกกฎหมายทบ่ี ดิ ารับรองแล้ว

ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยม์ าตรา 1627 บญั ญตั ิวา่ “บุตรนอกกฎหมายที่บิดาไดร้ ับรองแลว้ ใหถ้ ือวา่
เป็นผสู้ ืบสนั ดานเหมือนกบั บุตรท่ีชอบดว้ ยกฎหมายตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายน้ี”

บุตรนอกกฎหมาย คือ บุตรที่เกิดจากหญิงที่ไม่ไดส้ มรสกบั ชายแมใ้ นความเป็นจริงจะเป็นที่รู้กนั โดยทว่ั กนั
วา่ ผใู้ ดเป็นบิดา กฎหมายกไ็ ม่ไดร้ ับรองวา่ เป็นบิดาและบตุ รกนั ตามกฏหมายจึงไม่ถือวา่ เป็นผสู้ ืบสนั ดานตาม
มาตรา 1629(1) ของบิดา แตส่ าหรับบุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแลว้ ใหถ้ ือวา่ เป็นผสู้ ืบสนั ดานเหมือนกบั
บุตรท่ีชอบดว้ ยกฎหมายจึงมีสิทธิรับมรดกของบิดาเช่นเดียวกบั บุตรท่ีชอบดว้ ยกฎหมาย การรับรองน้นั
กฎหมายไม่ไดก้ าหนดแบบพิธีการรับรองไวว้ า่ แค่ไหนเพียงใดจะถือวา่ เป็นการรับรองจึงจะตอ้ งพจิ ารณาดู
ตามพฤติการณ์เป็นเร่ืองเร่ืองไปวา่ การประพฤติท่ีบิดามีต่อบุตรน้นั เป็นการเปิ ดเผยถึงขนาดวิญญูชนจะเพิ่ง
เขา้ ใจไดห้ รือไม่วา่ บิดาไดร้ ับรองบุตรแลว้

เช่น แจง้ ในสูติบตั รของเดก็ วา่ เป็นบิดาใหก้ ารศึกษาใหก้ ารอุปการะเล้ียงดูหรือยอมใหใ้ ชช้ ื่อสกลุ เป็นตน้
การรับรองบุตรน้นั ผทู้ ่ีรับรองจะตอ้ งเป็นบิดาเท่าน้นั ผอู้ ่ืนรับรองไม่ไดแ้ ละเดก็ ท่ีบิดารับรองน้นั จะตอ้ ง
ปรากฏชดั แจง้ วา่ เป็นผสู้ ืบสายโลหิตของบิดาอยา่ งแทจ้ ริง การรับรองบุตรตามมาตรา 1627 น้นั เป็นการ
รับรองบุตรนอกกฎหมายใหม้ ีสิทธิบางอยา่ งเหมือนกบั บุตรที่ชอบดว้ ยกฎหมายเท่าน้นั เช่น มีสิทธิรับมรดก
ของบิดา มีสิทธิเรียกค่าปลงศพ แต่การรับรองบุตรตามมาตรา 1627 จะไม่ทาใหบ้ ุตรน้นั กลายเป็นบุตรที่ชอบ
ดว้ ยกฎหมายข้ึนมาไดแ้ ละไม่ทาใหบ้ ิดาที่ไม่ชอบดว้ ยกฎหมายมีสิทธิรับมรดกของบุตรซ่ึงการรับรองบุตร
นอกกฎหมายน้ีจะมีผลนบั แต่เวลาท่ีมีพฤติกรรมอนั เป็นการรับรองเป็นตน้

5

คาพพิ ากษาฎกี าท่ี 205 / 2494
บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแลว้ ไม่จาตอ้ งเป็นการรับรองในทางจดทะเบียนรับรองบุตรการไปแจง้ เกิด
วา่ โจทกเ์ ป็นบตุ รถือเป็นการรับรองโดยกิริยาความประพฤติเป็นที่เปิ ดเผยซ่ึงเพียงพอใหบ้ ุตรนอกกฎหมาย
น้นั มีสิทธิรับมรดกเหมือนกบั บุตรที่ชอบดว้ ยกฎหมายพพิ ากษายนื ตามศาลอุทธรณ์
คาพพิ ากษาฎกี าที่ 677 / 2538
ผรู้ ้องเป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแลว้ ถือวา่ เป็นผสู้ ืบสนั ดานเหมือนบุตรที่ชอบดว้ ยกฎหมายและ
เป็นทายาทโดยทาผมู้ ีสิทธิไดร้ ับมรดกในลาดบั ท่ีหน่ึง ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยม์ าตรา 1629 หาก
จาตอ้ งไปฟ้องคดีขอใหร้ ับเป็นบุตรหรือตอ้ งมีคาสง่ั ศาลวา่ ผรู้ ้องเป็นบุตรท่ีชอบดว้ ยกฎหมาย

คาพพิ ากษาฎกี าที่ 216 / 2538
บุตรที่บิดารับรองแลว้ ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยม์ าตรา 1627 มีสิทธิไดร้ ับมรดกเสมือนเป็น
ผสู้ ืบสนั ดานตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยม์ าตรา 1629(1)เท่าน้นั
คาพพิ ากษาฎกี าท่ี 1507 / 2537
การรับรองบุตรนอกกฎหมายจะตอ้ งกระทาโดยผเู้ ป็นบิดาเท่าน้นั
คาพพิ ากษาฎกี าที่ 1271 / 2506
การที่บิดากบั บุตรเป็นทายาทและ มีสิทธิ รับมรดกซ่ึงกนั และกนั ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์
มาตรา 1629 น้นั หมายถึงบิดาและบุตรต่อกนั ตามกฏหมายแตก่ รณีมาตรา 1627 เป็นบทยกเวน้ ใหบ้ ุตรที่ไม่
ชอบดว้ ยกฎหมายแต่บิดาไดร้ ับรองแลว้ มีสิทธิไดร้ ับมรดกของบิดา จึงตอ้ งตีความโดยเคร่งครัดมาตราน้ีให้
ถือวา่ บุตรน้นั เป็นผสู้ ืบสนั ดานเหมือนกบั บุตรที่ชอบดว้ ยกฎหมายแต่จะถือวา่ บิดาน้นั เป็นบิดาโดยชอบดว้ ย
กฎหมายไม่ได้ บิดาจึงไม่มีสิทธิรับมรดกของบุตรท่ีตนไดร้ ับรองน้นั (ประชุมใหญค่ ร้ังที่ 14 / 2506)
ข้อสังเกต
การรับรองบุตรตามมาตรา 1627 อาจรับรองไดแ้ มว้ า่ ทารกจะอยใู่ นครรภม์ ารดา

6

คาพิพากษาฎีกาที่ 341 / 2502 มาตรา 1627 บญั ญตั ิใหบ้ ุตรนอกกฎหมายท่ีบิดารับรองแลว้ เป็นผสู้ ืบสันดาน
เหมือนกบั บุตรท่ีชอบดว้ ยกฎหมายการรับรองของบิดาตามกฎหมายบทน้ีไม่ไดบ้ งั คบั วา่ จะตอ้ งรับรองโดย
วธิ ีการอยา่ งใดจึงอาจปรากฏจากพฤติการณ์ใดใดใหเ้ ห็นไดว้ า่ เป็นการรับรองกใ็ ชไ้ ด้ ปัญหาจึงมีต่อไปวา่ บุตร
ที่บิดารับรองตามความหมายแห่งมาตราน้ี จะหมายความตลอดถึงทารกในครรภด์ ว้ ยหรือไม่เห็นวา่ มาตรา
1604 ประกอบมาตรา 15 บญั ญตั ิใหส้ ิทธิแก่ทารกที่อยใู่ นครรภม์ ารดาขณะเจา้ มรดกตายมีสิทธิท่ีเป็นทายาท
ได้ ถา้ ภายหลงั เกิดมาและอยรู่ อดท้งั พฤติการณ์ที่บิดารับรองทารกในครรภม์ ารดาวา่ เป็นบุตรของตนอาจจะมี
ได้ เมื่อกฎหมายยอมใหท้ ารกในครรภม์ ีสิทธิเป็นทายาทไดฉ้ นั ไหนทารกในครรภจ์ ะไม่ไดร้ ับประโยชนจ์ าก
มาตรา 1627 เช่นเดียวกบั เดก็ ท่ีคลอดจากครรภแ์ ลว้ (ดูคาพพิ ากษาฎีกาที่ 489 / 2506 ประกอบ)

3)บุตรบุญธรรม

การรับรองบุตรบุญธรรมก่อนปี พ.ศ. 2478 น้นั ไม่ตอ้ งจดทะเบียนและบุตรบุญธรรมไม่มีสิทธิไดร้ ับมรดก แต่
ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2478 กฎหมายบญั ญตั ิไวใ้ นมาตรา 1627 วา่ บุตรบุญธรรมถือวา่ เป็นผสู้ ืบสนั ดานมีสิทธิรับ
มรดกของผรู้ ับบุตรบุญธรรมดงั น้นั จึงมีปัญหาวา่ บุตรบุญธรรมก่อนปี พ.ศ. 2478 น้นั จะมีสิทธิไดร้ ับมรดก
ของผรู้ ับบุตรบุญธรรมหรือไม่ เรื่องน้ี พ.ร.บ.ใหใ้ ชป้ ระมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยบ์ รรพ 5 ไดบ้ ญั ญตั ิวา่
“บทบญั ญตั ิบรรพน้ีไม่กระทบกระเทือนถึงการรับบุตรบุญธรรมซ่ึงมีอยกู่ ่อนใชป้ ระมวลกฎหมายบรรพน้ี”
แสดงวา่ บุตรบญุ ธรรมตามกฎหมายเก่าซ่ึงไม่ตอ้ งจดทะเบียนยอ่ มมีฐานะเป็นบุตรบุญธรรมตามกฎหมายอยู่
ตลอดไป ส่วนในเรื่องที่จะมีสิทธิรับมรดกหรือไม่น้นั ปัญหาน้ีมีคาพิพากษาฎีกาวินิจฉยั เป็น บรรทดั ฐานอยู่
หลายฉบบั วา่ บุตรบุญธรรมตามกฎหมายเก่าถา้ ไม่ไดจ้ ดทะเบียนเป็นบตุ รบุญธรรมตามประมวลกฎหมาย
แพง่ และพาณิชยบ์ รรพ 5 ไม่มีสิทธิรับมรดกของผรู้ ับบุตรบุญธรรม ฉะน้นั ถา้ หากวา่ ผรู้ ับบุตรบุญธรรม
ตอ้ งการใหบ้ ุตรบุญธรรมก่อนปี พ.ศ. 2478 มีสิทธิไดร้ ับมรดกของผรู้ ับบุตรบุญธรรมตามประมวลกฎหมาย
แพง่ และพาณิชยว์ า่ ดว้ ยมรดกปี พ.ศ. 2478 ผรู้ ับบุตรบุญธรรมจะตอ้ งไปจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมเสียให้
ถูกตอ้ งตามกฎหมายลกั ษณะครอบครัวปี พ.ศ. 2478 เรื่องบุตรบุญธรรมน้ีกฎหมายบญั ญตั ิไวใ้ นมาตรา 1598 /
19ถึงมาตรา 1598 / 37โดยมาตรา 1598 / 19กาหนดวา่ บคุ คลท่ีมีอายไุ ม่ต่ากวา่ 25 ปี จะรับบุคคลอื่นเป็นบุตร
บุญธรรมกไ็ ด้ แต่ผนู้ ้นั ตอ้ งมีอายแุ ก่กวา่ ผทู้ ี่จะเป็นบตุ รบุญธรรมอยา่ งนอ้ ย 15ปี ในมาตรา 1598 /20 กาหนดวา่
การรับบุตรบุญธรรมถา้ ผทู้ ่ีจะเป็นบตุ รบุญธรรมมีอายไุ ม่ต่ากวา่ 15 ปี ผนู้ ้นั ตอ้ งใหค้ วามยนิ ยอมดว้ ย
นอกจากน้ีมาตรา 1598 /25 ยงั กาหนดวา่ ผจู้ ะรับบุตรบุญธรรมหรือผทู้ ี่จะเป็นบุตรบุญธรรมถา้ มีคู่สมรสอยู่
ตอ้ งไดร้ ับความยนิ ยอมของคู่สมรสน้นั ก่อน

7

เช่น นายดากบั นางแดงเป็นสามีภริยากนั แตไ่ ม่มีบุตร นายดาตอ้ งการรับเดก็ ชายเอกเป็นบุตรบุญธรรมแต่นาง
แดงไม่ยนิ ยอม นายดาจึงจดทะเบียนรับเดก็ ชายเอกเป็นบตุ รบุญธรรมโดยไดป้ ลอมลายเซ็นของนางแดงวา่ ให้
ความยนิ ยอมรับบุตรบุญธรรม ต่อมานายดาตาย นางแดงอา้ งวา่ ผทู้ ี่จะรับบุตรบุญธรรมถา้ มีคูส่ มรสอยตู่ อ้ ง
ไดร้ ับความยนิ ยอมของคู่สมรสน้นั ก่อน ดงั น้นั เมื่อนางแดงไม่ไดใ้ หค้ วามยนิ ยอมการจดทะเบียนรับบุตรบุญ
ธรรมดงั กล่าวจึงตกเป็นโมฆะซ่ึงศาลฎีกาวนิ ิจฉยั วา่ การจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมดงั กล่าวเป็นโมฆะเพราะ
การจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมเป็นการทานิติกรรมอยา่ งหน่ึงเมื่อนายดาทานิติกรรมขดั ต่อกฎหมายนิติ
กรรมน้ีจึงตกเป็นโมฆะดงั น้นั เดก็ ชายเอกจึงไม่มีสิทธิไดร้ ับมรดกของนายดา

ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยม์ าตรา 1598 /28 บญั ญตั ิวา่ “ บุตรบุญธรรมยอ่ มมีฐานะอยา่ งเดียวกบั บุตร
ชอบดว้ ยกฎหมายของผรู้ ับบุตรบุญธรรมน้นั แต่ไม่สูญสิทธิและหนา้ ที่ในครอบครัวท่ีไดก้ าเนิดมาในกรณี
เช่นน้ีใหบ้ ิดามารดาโดยกาเนิดหมดอานาจปกครองนบั แต่วนั เวลาท่ีเดก็ เป็นบุตรบุญธรรมแลว้ ใหน้ า
บทบญั ญตั ิลกั ษณะ2หมวด2แห่งบรรพน้ี มาใชบ้ งั คบั โดยอนุโลม”

คาวา่ ”บุตรบุญธรรมยอ่ มไม่สูญสิทธิ และหนา้ ท่ีในครอบครัวที่ไดก้ าเนิดมา” น้นั เป็นจุดสาคญั ของ

มาตรา1598 /28 ซ่ึงสามารถยกตวั อยา่ งไดเ้ ช่น นายดามีบุตรชื่อนายขาวและมีเพ่อื นชื่อนายแดงซ่ึงมีฐานะดี
มาก นายแดงไม่มีบุตรจึงมาขอในขาวไปเป็นบุตรบุญธรรมนายดาตกลงยกนายขาวใหเ้ ป็นบุตรบุญธรรมแก่
นายแดงเมื่อนายแดงจดทะเบียนรับนายขาวเป็นบุตรบุญธรรมแลว้ กท็ าใหน้ ายแดงเป็นบิดาบุญธรรมของนาย
ขาวและมีผลใหส้ ิทธิในการใชอ้ านาจปกครองบุตรของนายดาท่ีมีต่อนายขาวในฐานะบิดาสิ้นสุดลงโดยสิทธิ
อานาจปกครองมาตกอยกู่ บั ไดแ้ ดงแต่อยา่ งไรกต็ ามการท่ีนายขาวมาเป็นบุตรบุญธรรมของนายแดงกไ็ ม่ทา
ใหส้ ิทธิและหนา้ ท่ีในครอบครัวท่ีไดก้ าเนิดมาของนายขาวสิ้นสุดลงไป ถา้ นายดาตาย นายเขากม็ ีสิทธิรับ
มรดกของนายดาได้ และในกรณีที่นายแดงตายนายขาวมีสิทธิรับมรดกของนายแดงบิดาบุญธรรมไดด้ ว้ ย

ตวั อยา่ ง นายเเดงจดทะเบียนรับนายขาวเป็นบุตรบุญธรรม นายเเดงไดส้ ่งเสียเล้ียงดูนายขาวเป็นอยา่ งดี เเละ
ไดย้ กท่ีดินใหน้ ายขาวหน่ึงเเปลง นายขาวไดน้ าท่ีดินไปทามาหากินจนมีเงินสดข้ึนมา 1,000,000 บาท ต่อมา
นายขาวตาย ดงั น้ี นายเเดงไม่มีสิทธิรับมรดกของนายขาวตามาตรา 1598/29 ทาใหท้ ่ีดินเเละเงินสด
1,000,000 บาทของนายขาวตอ้ งตกทอดเเกทายาทของเขา เเต่มีปัญหาวา่ นายเเดงจะขอท่ีดินเเปลงที่ยกใหน้ าย
ขาวไดห้ รือไม่ ซ่ึงในเรื่องน้ีมาตรา 1598/30 กาหนดไวว้ า่ ผรู้ ับบุตรธรรมมีสิทธิเรียกร้องเอาทรัพยท์ ่ีตกไดย้ ก
ใหเ้ เก่บุตรบุญธรรมคืนจากกองมรดกของบุตรบุญธรรมไดเ้ พียงเท่าที่ทรัพยส์ ินน้นั ยงั คงเหลืออยภู่ ายหลงั ที่
ชาระหน้ีของกองมรดกเสร็จสิ้นเเลว้ เม่ือกองมรดกของนายขาวไม่มีหน้ีสินอะไร นายเเดงจึงสามารถเรียก
ที่ดินคืนจากกองมรดกของนายขาวบตุ รบุญธรรมได้

8

เเต่ถา้ ขอ้ เทจ็ จริงเปล่ียนวา่ หลงั จากนายเเดงรับนาวขาวเป็นบุตรบุญธรรมเเลว้ นายขาวไดส้ มรสกบั นางเหลือง
หรือไปจดทะเบียนรับนายสม้ เป็นบุตรบุญธรรม หรือนายขาวไปยงุ่ เกี่ยวกบั หญิงคนหน่ึง จนมีบุตรเเละนาย
ขาวไดร้ ับรองโดยพฤตินยั วา่ เดก็ เป็นบุตรของตน ดงั น้ี ต่อมาหากนายขาวถึงเเก่ความตายทนายเเดงจะขอท่ี

ดินเเปลงท่ียกใหน้ ายขาวคืนไม่ไดเ้ พราะนายขาวบุตรบุญธรรมมีคู่สมรสหรือผสู้ ืบสนั ดานเเลว้ ก่อนตาย

อยา่ งไรกต็ ามการท่ีผรู้ ับบุตรบุญธรรมจะเรียกร้องเอาทรัพยส์ ินที่ตนไดใ้ หแ้ ก่บุตรบุญธรรมคืนจากกองมรดก
ของบุตรบุญธรรมน้นั จะตอ้ งเรียกคืนภายในอายคุ วาม คอื ตอ้ งฟ้องร้องเรียกคืนภายในหน่ึงปี นบั แต่เวลาที่
ผรู้ ับบุตรบุญธรรมไดร้ ู้หรือควรไดร้ ู้ถึงความตายของบุตรบุญธรรมหรือภายใน 10 ปี นบั แต่วนั ที่บุตรบุญ
ธรรมตาย

9

ทายาทโดยทาลาดับท2่ี บิดามารดา

คาวา่ ”บิดามารดา”ตามมาตรา 1629 (2)หมายถึงเฉพาะบิดามารดาของเจา้ มรดกเท่าน้นั ไม่รวมพอ่ ตา
แม่ยาย และไม่รวมพอ่ สามีหรือแม่สามี เช่น ถา้ เจา้ มรดกเป็นชายและมีคู่สมรส พอ่ ตาแม่ยายน้นั ไม่ใช่บิดา
มารดาตามความหมายน้ี และบิดามารดาน้ีจะตอ้ งเป็นบิดามารดาท่ีชอบดว้ ยกฎหมาย จึงจะมีสิทธ์ิรับมรดก
ของบุตร สาหรับมารดาน้นั ไม่มีปัญหาเพราะมารดายอ่ มเป็นมารดาที่ชอบดว้ ยกฎหมายของบุตรเสมอตาม
มาตรา 1546

ขอ้ สังเกต บิดามารดาของเจา้ มรดกแมจ้ ะเป็นทายาทตามมาตรา 1629(2)กจ็ ะไม่อยใู่ นบงั คบั ของหลกั เร่ือง
ญาติสนิทตดั ญาติห่าง ซ่ึงโดยหลกั แลว้ มาตรา 1630 กาหนดวา่ ตราบใดท่ีมีทายาทซ่ึงยงั มีชีวิตอยหู่ รือมีผรู้ ับ
มรดกแทนท่ีอยา่ งไม่ขาดสายในลาดบั หน่ึงๆ ที่ระบุไวใ้ นมาตรา 1629 ทายาทผอู้ ยใู่ นลาดบั ถดั ไปไม่มีสิทธิใน
ทรัพยม์ รดกของผตู้ ายเลย แต่ในกรณีของบิดามารดาน้ีเป็นขอ้ ยกเวน้ ที่ไม่นาความในวรรคหน่ึงมาใชบ้ งั คบั
กล่าวคือ กรณีเฉพาะที่มีผสู้ ืบสนั ดานคนใดยงั มีชีวติ อยหู่ รือมีผรู้ ับมรดกแทนท่ี แลว้ แต่กรณีและยงั มีบิดา
มารดายงั มีชีวติ อยู่ ในกรณีเช่นน้ีใหบ้ ิดามารดาไดส้ ่วนแบ่งเสมือนหน่ึงวา่ เป็นทายาทช้นั บุตร

จากบทบญั ญตั ิมาตรา 1630 จะมีทายาทลาดบั ที่1 อยกู่ ไ็ ม่ตดั บิดามารดา ซ่ึงเป็นทายาทลาดบั ที่2 คือ
ใหบ้ ิดาและมารดาแต่ละคนไดร้ ับส่วนแบ่งเท่ากบั บุตรของเจา้ มรดก

อน่ึง ดงั ไดก้ ล่าวมาแลว้ วา่ บิดาจะรับมรดกของบุตรนอกกฎหมายไม่ได้ แมบ้ ิดาไดร้ ับรองบุตรน้นั
แลว้ แต่บิดามารดาอาจรับมรดกของบุตรชอบดว้ ยกฎหมายของตนท่ีไปเป็นบุตรบุญธรรมของผอู้ ่ืนได้ เพราะ
บิดามารดาโดยชอบดว้ ยกฎหมายไม่สูญเสียสิทธิดงั กล่าว

ทายาทโดยทาลาดับท3่ี

พน่ี อ้ งร่วมบิดามารดาเดียวกนั พนี่ อ้ งร่วมบิดามารดาเดียวกนั หมายถึงพนี่ อ้ งพอ่ แม่เดียวกนั ของเจา้
มรดกไม่วา่ จะเป็นผหู้ ญิงหรือผชู้ ายกต็ ามโดยถือความเป็นพนี่ อ้ งตามความเป็นจริง

ทายาทโดยทาลาดบั ท4่ี

พน่ี อ้ งร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกนั พน่ี อ้ งร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกนั หมายถึงพ่ีนอ้ งพอ่
เดียวกนั หรือแม่เดียวกนั ของเจา้ มรดกเช่นพอ่ เดียวกนั แต่คนละแม่หรือ แม่เดียวกนั แตค่ นละพอ่ เป็นตน้ โดย
ถือความเป็นพนี่ อ้ งตามความเป็นจริงเช่นกนั

10

ทายาทโดยทาลาดบั ที่ 5

ป่ ูยา่ ตายาย ป่ ูกบั ยา่ คือบิดามารดาของพอ่ ตากบั ยายกค็ ือบิดามารดาของแม่กรณีของป่ แู ละยา่ น้นั
จะตอ้ งเป็นป่ ูและยา่ ที่ชอบดว้ ยกฎหมายของบิดาที่ชอบดว้ ยกฎหมายของเจา้ มรดกส่วนตากต็ อ้ งเป็นบิดาท่ี
ชอบดว้ ยกฎหมายของมารดาของเจา้ มรดก

ข้อสังเกต เฉพาะป่ ูยา่ ตายาย 4คนน้ี เท่าน้นั ที่จะมีสิทธิรับมรดกพ่นี อ้ งของป่ ูหรือยา่ ซ่ึงเรามกั จะเรียกกนั วา่ ป่ ู
หรือยา่ ดว้ ยน้นั ไม่มีสิทธิรับมรดก

ทายาทโดยทาลาดับท6่ี

ลุงป้านา้ อา ลุงหรือป้า กค็ ือพช่ี ายหรือพสี่ าวของบิดาหรือมารดา นา้ กค็ ือนอ้ งสาวหรือนอ้ งชายของ
มารดา ส่วนอากค็ ือนอ้ งสาวหรือนอ้ งชายของบิดากรณีของลุงป้านา้ อาน้ีไม่ไดจ้ ากดั วา่ จะสนิทหรือห่าง ถา้
เป็นลุงป้านา้ อากจ็ ะไดร้ ับมรดกเท่ากนั แต่มีขอ้ สงั เกตวา่ ลุงป้านา้ อาน้นั จะตอ้ งเป็นสายเดียวกนั คือเกิดจากยาย
คนเดียว ถา้ คนละยายแลว้ กถ็ ือวา่ เป็นคนละสาย

ทายาทท้งั 6ลาดบั น้ีเรียกวา่ ทายาทโดยธรรม การแบ่งมรดกของทายาทโดยทาน้นั ทายาทในลาดบั ตน้ จะตดั
ทายาทในลาดบั หลงั ยกเวน้ เฉพาะทายาทในลาดบั ที่1เเละ2 จะไม่ตดั กนั

น่ีคือทายาทโดยธรรมกรณีที่เป็นญาติต่อไปเป็นทายาทโดยธรรมท่ีเป็นคูส่ มรส

คู่สมรส

คูส่ มรสน้นั กฎหมายบญั ญตั ิใหเ้ ป็นทายาทมีสิทธิไดร้ ับมรดกของผตู้ ายเสมอ ไม่วา่ ผตู้ ายจะมีทายาท
ในลาดบั ใดและทายาทซ่ึงเป็นคู่สมรสจะไม่ตดั ทายาทซ่ึงเป็นญาติและผรู้ ับมรดกแทนที่ทายาทซ่ึงเป็นญาติ
เป็นแต่เพียงแตกต่างกนั ในส่วนแบ่งตามท่ีบญั ญตั ิไวใ้ นมาตรา 1635 คือถา้ เจา้ มรดกมีทายาทลาดบั ใดลาดบั
หน่ึงดงั ท่ีบญั ญตั ิไวส้ ่วนแบง่ ของคูส่ มรสกจ็ ะแตกต่างกนั ออกไปแลว้ แต่เจา้ มรดกจะมีทายาทในลาดบั ใด

ขอ้ สังเกต ชายหญิงท่ีสมรสกนั ก่อนปี พ.ศ. 2478 แมไ้ ม่ไดจ้ ดทะเบียนสมรสกนั เม่ือมีการประกาศใชบ้ รรพ5
ใหม่กย็ งั คงเป็นสามีภริยาโดยชอบดว้ ยกฎหมายอยแู่ ต่ตอ้ งระวงั เร่ืองการสิ้นสุดการสมรสเท่าน้นั ท้งั หมดน้ี
คือทายาทประเภทท่ี 1คือทายาทโดยธรรม

11


สิทธิในการรับมรดก

ขอ้ พจิ ารณาเกี่ยวกบั สิทธิในการรับมรดกแยกไดเ้ ป็น2กรณีดงั น้ี

กรณที 1่ี สิทธิของทายาทโดยธรรมในกรณีที่เจา้ มรดกไดท้ าหรือมิไดท้ าพินยั กรรมไว้ ประมวลกฎหมายแพง่
และพาณิชยม์ าตรา 1620 บญั ญตั ิวา่ “ ถา้ ผใู้ ดตายโดยไม่ไดท้ าพินยั กรรมไวห้ รือทาพนิ ยั กรรมไวแ้ ต่ไม่มีผล
บงั คบั ไดใ้ หป้ ันซบั มรดกท้งั หมดแก่ทายาทโดยธรรม ของผตู้ ายน้นั ตามกฎหมาย

ถา้ ผใู้ ดตายโดยไดท้ าพนิ ยั กรรมไว้ แต่พินยั กรรมน้นั จาหน่ายหรือมีผลบงั คบั ไดแ้ ต่เพยี งบางส่วนแห่ง
ทรัพยม์ รดก ใหป้ ันส่วนที่มิไดจ้ าหน่ายโดยพินยั กรรมหรือส่วนที่พินยั กรรมไม่มีผลบงั คบั ใหแ้ ก่ทายาทโดย
ธรรมตามกฎหมาย”

จากบทบญั ญตั ิมาตรา 1620 หมายความวา่ ผรู้ ับพินยั กรรมมีสิทธิไดร้ ับทรัพยต์ ามพนิ ยั กรรมบางส่วน
ของทรัพยม์ รดกหรือท้งั หมดก่อนทายาทโดยธรรม ทายาทโดยธรรมจะไดร้ ับปันทรัพยม์ รดก ต่อเมื่อเจา้
มรดกไม่ไดท้ าพินยั กรรมไวห้ รือทาไวแ้ ต่ไม่มีผลบงั คบั หรือทาพินยั กรรมเฉพาะทรัพยบ์ างส่วนหรือมีผล
บงั คบั ไดเ้ ฉพาะบางส่วน ทรัพยม์ รดกส่วนท่ีไม่มีพนิ ยั กรรมหรือส่วนที่ไม่มีผลบงั คบั จึงตกแก่ทายาทโดย
ธรรมตามมาตรา 1620 ประกอบมาตรา 1698 และมาตรา 1699

สรุป

กรณีเจา้ มรดกทาพนิ ยั กรรมไว้ ทรัพยม์ รดกกต็ กทอดไปตามพินยั กรรมน้นั ถา้ กรณีเจา้ มรดกไม่ไดท้ า
พินยั กรรมไวม้ รดกกต็ กไดแ้ ก่ทายาทโดยธรรม ท่ีจะแบง่ ปันกนั ตามกฏหมายแพง่ และพาณิชยว์ า่ ดว้ ยมรดก
ต่อไป หรือกรณีเจา้ มรดกทาพนิ ยั กรรมไวแ้ ต่ไม่มีผลบงั คบั มรดกท้งั หมดกต็ กไดแ้ ก่ทายาทโดยธรรม ตาม
มาตรา 1698 1699 เช่น กรณีที่บุคคลอายยุ งั ไม่ครบ 15 ปี ทาพนิ ยั กรรม (มาตรา 1703) หรือพนิ ยั กรรมไดท้ า
ข้ึนโดยไม่ถูกตอ้ งตามแบบ(มาตรา 1705) หรือพินยั กรรม ที่กาหนดยกทรัพยส์ ิน ใหแ้ ก่สิ่งท่ีไม่ใช่บุคคล เป็น
ตน้ และในกรณีท่ีพนิ ยั กรรมจาหน่ายทรัพย์ หรือมีผลบงั คบั ไดแ้ ต่เพยี งบางส่วน มรดกส่วนที่มิไดจ้ าหน่าย
โดยพินยั กรรมหรือส่วนท่ีพนิ ยั กรรมไม่มีผลบงั คบั ยอ่ มตกแก่ทายาทโดยธรรม ของเจา้ มรดก

12


กรณีท2ี่ สิทธิของทายาทโดยธรรมในการเรียกเอาส่วนโดยธรรม นอกเหนือจากทรัพยม์ รดกตามพนิ ยั กรรรม
ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยม์ าตรา 1621 บญั ญตั ิวา่ “ เวน้ แต่ผทู้ าพนิ ยั กรรมจะไดแ้ สดงเจตนากาหนด
ไวใ้ นพินยั กรรมเป็นอยา่ งอ่ืนแมท้ ายาทโดยธรรม คนใดจะไดร้ ับทรัพยส์ ิน อยา่ งหน่ึงอยา่ งใดตามพนิ ยั กรรม
ทายาทคนน้นั กย็ งั มีสิทธิท่ีจะเรียก เอาส่วนโดยธรรมของตนจากทรัพยม์ รดก ส่วนที่ยงั ไม่ไดจ้ าหน่ายโดย
พนิ ยั กรรมจนเตม็ อีกกไ็ ด”้

กรณีที่ผรู้ ับพนิ ยั กรรมเป็นทายาทโดยธรรมที่มีสิทธิไดร้ ับมรดกตามกฏหมายดว้ ยเมื่อไดร้ ับทรัพย์
มรดก ตามพินยั กรรมอยา่ งหน่ึงอยา่ งใดแลว้ กย็ งั มีสิทธิไดเ้ เบ่งปันทรัพยใ์ นส่วนที่เหลือนอกพินยั กรรมน้นั อีก
ได้

ตวั อยา่ ง นายหน่ึงมีบุตร 2 คนคือนายสองและนายสามนายหน่ึงมีมรดกเป็นท่ีดิน 1 แปลงและเงินสดฝาก
ธนาคาร 400,000 บาทก่อนที่นายหน่ึงจะถึงแก่ความตายไดท้ าพนิ ยั กรรมยกท่ีดินใหแ้ ก่นายสองดงั น้ีถา้ นาย
หน่ึงตายนายสองนอกจากจะไดท้ ี่ดินตามพนิ ยั กรรมแลย้ งั มีสิทธิไดส้ ่วนแบ่งในฐานะทายาทโดยธรรมตาม
มาตรา 1629(1) และมาตรา 1633 สาหรับเงินสด 400,000 บาทซ่ึงเป็นทรัพยน์ อกพนิ ยั กรรมร่วมกบั นายสาม
ดว้ ย

13


การแบ่งมรดกในระหว่างทายาทโดยธรรม

ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยม์ าตรา 1632 ทายาทโดยธรรมในหมวด 3 ส่วนที่ 1 คือทายาทโดย
ธรรมประเภทญาติน้นั ใหแ้ บง่ ส่วนมรดกตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยม์ าตรา 1633 1634 แต่
อยา่ งไรกต็ ามตอ้ งอยใู่ นบงั คบั มาตรา 1629 วรรคทา้ ยดว้ ย ซ่ึงบญั ญตั ิวา่ “คูส่ มรสที่มีชีวิตอยกู่ เ็ ป็นทายาทโดย
ธรรมภายใตบ้ งั คบั ของบทบญั ญตั ิมาตราพเิ ศษแห่งมาตรา 1635” ดงั น้นั ผลของมาตราดงั กล่าวการแบ่งมรดก
ระหวา่ งทายาทโดยธรรมประเภทญาติน้นั ถา้ มีคู่สมรสที่ยงั มีชีวิตอยกู่ ต็ อ้ งแบ่งมรดกตามท่ีกฎหมายบญั ญตั ิ
เอาไวใ้ นส่วนท่ี 2 วา่ ดว้ ยคู่สมรสตามมาตรา 1635 ถึงมาตรา 1638
การแบ่งมรดกในระหวา่ งทายาทโดยธรรมที่เป็นญาติแยกไดเ้ ป็น 2 กรณีคือ

1)เจา้ มรดกมีทายาทโดยธรรมอยา่ งเดียวโดยไม่มีคูส่ มรส
2)เจา้ มรดกมีทายาทโดยธรรมและมีคูส่ มรส

กรณีท่ี 1 การแบ่งมรดกในระหวา่ งทายาทโดยธรรมที่เป็นญาติโดยเจา้ มรดกไม่มีคูส่ มรส
ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยม์ าตรา 1630 บญั ญตั ิวา่ “ภายใตบ้ งั คบั แห่งมาตรา 1629 วรรค

สุดทา้ ยการแบ่งส่วนมรดกของทายาทโดยธรรมในลาดบั ญาติใหเ้ ป็นไปตามบทบญั ญตั ิในส่วนที่ 1 แห่ง
หมวดน้ี”

ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยม์ าตรา 1633 บญั ญตั ิวา่ “ทายาทโดยธรรมในลาดบั เดียวกนั ใน
ลาดบั หน่ึงๆ ที่ระบุไวใ้ นมาตรา 1629 น้นั ชอบท่ีจะไดร้ ับส่วนแบ่งเท่ากนั ถา้ ในลาดบั 1 มีทายาทโดยธรรม
คนเดียวทายาทโดยธรรมคนน้นั มีสิทธิไดร้ ับส่วนแบ่งท้งั หมด”
เหตุท่ีกฎหมายตอ้ งบญั ญตั ิมาตรา 1633 กเ็ พอ่ื ป้องกนั การทะเลาะวิวาทกนั ในระหวา่ งทายาทโดยกฎหมาย
บญั ญตั ิใหท้ ายาทในลาดบั เดียวกนั ใหร้ ับส่วนแบ่งเท่ากนั

ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยม์ าตรา 1634 บญั ญตั ิวา่ “ระหวา่ งผสู้ ืบสนั ดานที่รับมรดกแทนที่
กนั ในส่วนแบ่งของสายหน่ึงๆ ตามบญั ญตั ิในลกั ษณะ 2 หมวด 4 น้นั ใหไ้ ดร้ ับส่วนแบ่งมรดกดงั น้ี
1)ถา้ มีผสู้ ืบสนั ดานต่างช้นั กนั บุตรของผตู้ ายซ่ึงอยใู่ นช้นั สนิทที่สุดเท่าน้นั มีสิทธิรับมรดก ผสู้ ืบสนั ดานใน
ช้นั ถดั ไปจะรับมรดกไดก้ แ็ ต่โดยอาศยั สิทธิในการรับมรดกแทนที่
2)ผสู้ ืบสนั ดานในช้นั เดียวกนั ไดร้ ับส่วนแบ่งเท่ากนั
3)ถา้ ในช้นั หน่ึงมีผสู้ ืบสนั ดานคนเดียวผสู้ ืบสนั ดานคนน้นั มีสิทธิไดร้ ับส่วนแบ่งท้งั หมด”

14


ตัวอย่าง การแบ่งมรดกในระหวา่ งทายาทโดยธรรมประเภทญาติและเจา้ มรดกไม่มีคูส่ มรส
(1) นาย ก. มีบตุ รท่ีเกิดจากการสมรส 3 คน มีบุตรเกิดจากบิดารับรองตามมาตรา 1627 จานวน 2 คน

และมีบุตรท่ีจดทะเบียนรับเป็นบุตรอีก 1 คน คือ นาย ก. ตายมีมรดก 600000 บาท บาท ดงั ไดก้ ล่าวแลว้ วา่
ทายาทในลาดบั เดียวกนั จะไดร้ ับส่วนแบ่งในมรดกเท่ากนั ตามมาตรา 1633 ดงั น้นั ดงั น้นั เม่ือเจา้ มรดกมีบุตร
ซ่ึงเป็นทายาทในลาดบั ท่ี 1 อยู่ 6 คนแต่ละคนจะไดร้ ับมรดกเท่ากนั คือ 100,000 บาท

(2) นาย ก.เจา้ มรดกมีบุตร 2 คนมีพีน่ อ้ งร่วมบิดามารดาเดียวกนั 3 คน เมื่อนาย ก. ตายมีมรดก
200,000 บาท กรณีน้ีจะเห็นไดว้ า่ เจา้ มรดกมีผสู้ ืบสนั ดานซ่ึงเป็นทายาทในลาดบั ท่ี 1 และมีพน่ี อ้ งร่วมบิดา
มารดาเดียวกนั ซ่ึงเป็นทายาทในลาดบั ท่ี 3 โดยหลกั ในการแบ่งมรดกตามมาตรา 1630 วรรคหน่ึงทายาท
ลาดบั ตน้ จะตดั ทายาทในลาดบั หลงั ดงั น้นั มรดกของ นาย ก.กจ็ ะตกแก่ทายาทในลาดบั ท่ี 1 เพราะทายาทใน
ลาดบั ที่ 1 ตดั ทายาทในลาดบั ท่ี 3 มรดก 200,000บาท จึงตกแก่บุตรของ นาย ก. เจา้ มรดกคนละ 100,000บาท
เพราะทายาทในลาดบั เดียวกนั ยอ่ มไดร้ ับมรดกเท่ากนั ตามมาตรา 1633

(3) นาย ก. เจา้ มรดกมีบุตรคือ นาย ข. นาย ข. มีบุตรคือ นาย ค. เเละนาย ค. มีบุตร คือ นาย ง. เม่ือ
นาย ก. ตายมีมรดก 100,000 บาท กรณีจะเห็นไดว้ า่ นาย ข. นาย ค. เเละนาย ง. น้นั ถือเป็นผสู้ ืบสนั ดานของ
นาย ก. แต่เป็นผสู้ ืบสนั ดานต่างชนิดกนั โดยที่นาย ข. เป็นผสู้ ืบสนั ดานในช้นั สนิทท่ีสุดของเจา้ มรดก ซ่ึงจาก
บทบญั ญตั ิมาตรา 1631 ท่ีกาหนดวา่ “ในระหวา่ งผสู้ ืบสนั ดานต่างช้นั กนั น้นั บตุ รของเจา้ มรดกอนั อยใู่ นช้นั
สนิทท่ีสุดเท่าน้นั มีสิทธิรับมรดก ผสู้ ืบสนั ดานที่อยใู่ นช้นั ถดั ไปจะรับมรดกไดก้ แ็ ต่โดยอาศยั สิทธิในการรับ
มรดกแทนท่ี”
ดงั น้นั มรดกของนาย ก. จึงตกแก่นาย ข. ซ่ึงเป็นผสู้ ืบสนั ดานช้นั สนิทท่ีสุดของเจา้ มรดก สาหรับนาย ค. และ
นาย ง. จะไดร้ ับมรดก กโ็ ดยอาศยั สิทธิในการรับมรดกแทนท่ีเท่าน้นั ซ่ึงจะไดก้ ล่าวโดยละเอียดในเรื่องการ
รับมรดกแทนท่ี

(4) นาย ก. เป็นเจา้ มรดกมีนาย ข. เป็นบุตร มีนาย ค. เป็ นพนี่ อ้ งร่วมบิดามารดาเดียวกนั มีนาย จ. เป็น

ลุง เมื่อนาย ก. ตายมีมรดก 100,000 บาท กรณีน้ีจะเห็นไดว้ า่ เจา้ มรดกมีท้งั ทายาทในลาดบั ที่ 1, 3เเละ 6

ซ่ึงการแบ่งมรดกในกรณีน้ีเมื่อเจา้ มรดกมีทายาทต่างลาดบั กนั ทายาทในลาดบั ตน้ จะตดั ทายาทในลาดบั หลงั
(ยกเวน้ ทายาทในลาดบั ท่ี 1 และ 2) ดงั น้นั มรดกท้งั หมดของนาย ก. กจ็ ะตอ้ งตกแก่นาย ข. ซ่ึงเป็นทายาทใน
ลาดบั ที่ 1 โดยตดั ทายาทในลาดบั ที่ 3 และ 6 เป็นไปตามมาตรา 1630 วรรคหน่ึง

(5) นาย ก. เป็นเจา้ มรดกท่ีมีนาย ข. เป็นพน่ี อ้ งร่วมมารดาเดียวกนั มีนาย ค. เป็นตาและมีนาย ง. เป็น
อา เมื่อนาย ก. ตายมีมรดก 100,000 บาท กรณีน้ีจะเห็นไดว้ า่ เจา้ มรดกมีทายาทในลาดบั ที่ 4, 5 และ 6 ดงั น้นั ก็
ทานองเดียวกนั กบั ตวั อยา่ งที่ 4 คือทายาทใดท่ียงั มีชีวติ อยใู่ นลาดบั หน่ึงๆ ท่ีระบุไวใ้ นมาตรา 1629 ทายาทที่
อยใู่ นลาดบั ถดั ลงไปไม่มีสิทธิในทรัพยม์ รดกของผตู้ ายเลย(ทายาทในลาดบั ตน้ ตดั ทายาทในลาดบั หลงั )
ดงั น้นั มรดกของนาย ก. จึงตกแก่นาย ข. พน่ี อ้ งร่วมมารดาเดียวกนั แต่เพยี งผเู้ ดียว

15


(6) นาย ก. เจา้ มรดกมีบุตร 2 คนและบิดามารดายงั มีชีวติ อยเู่ ม่ือนาย ก. ตายมีมรดก 400,000 บาท
โดยปกติถา้ เจา้ มรดกมีทายาทท่ีอยใู่ นลาดบั ตน้ ทายาทในลาดบั หลงั ๆจะไม่มีสิทธิรับมรดกเลยอยา่ งไรกต็ าม
กรณีน้ีเจา้ มรดกมีท้งั ผสู้ ืบสนั ดานและบิดามารดาซ่ึงมาตรา 1630 วรรคสองกบ็ ญั ญตั ิใหเ้ ป็นขอ้ ยกเวน้ วา่ ใน
กรณีท่ีมีผสู้ ืบสนั ดานคนใดยงั มีชีวิตอยหู่ รือมีผรู้ ับมรดกแทนท่ีกนั แลว้ แต่กรณีและบิดามารดายงั มีชีวิตอยู่
กรณีเช่นน้ีใหบ้ ิดามารดาไดส้ ่วนแบ่งเสมือนหน่ึงวา่ เป็นทายาทช้นั บุตร

ดงั น้นั จะเห็นไดว้ า่ เม่ือเจา้ มรดกมีผสู้ ืบสนั ดานซ่ึงเป็นทายาทในลาดบั ท่ี 1 และมีบิดามารดาซ่ึงเป็น
ทายาทในลาดบั ท่ี 2 ทายาทในลาดบั ท่ี 1 และท่ี 2 จะไม่ตดั กนั บิดาและมารดาแต่ละคนจะไดร้ ับส่วนแบ่ง
เท่ากบั บุตร 1 คน ในกรณีน้ีมรดกของนาย ก. จึงตอ้ งแบ่งเป็น 4 ส่วนบิดาและมารดาไดร้ ับส่วนแบง่ ในมรดก
คนละ 100,000 บาท บุตร 2 คนน้นั กจ็ ะไดร้ ับส่วนแบ่งในมรดกคนละ 100,000 บาทเช่นเดียวกนั

สรุป
การแบ่งมรดกในระหวา่ งทายาทโดยธรรมประเภทญาติโดยหลกั ตามบทบญั ญตั ิมาตรา 1630 วรรคหน่ึงน้นั
ทายาทในลาดบั ตน้ จะตดั ทายาทในลาดบั หลงั เวน้ แต่จะเป็นกรณีทายาทในลาดบั ที่ 1 และ 2 จะไม่ตดั การตาม
มาตรา 1630 วรรคสอง

16


กรณีท่ี 2 การแบ่งมรดกในกรณีที่เจา้ มรดกมีทายาทโดยธรรมท่ีเป็นญาติและมีคูส่ มรส
คาวา่ คู่สมรส ในที่น้ีหมายความรวมท้งั ชายและหญิง โดยผทู้ ี่อยกู่ ินดว้ ยกนั ก่อน พ.ศ. 2478 ถือ

วา่ ถือวา่ เป็นสามีภริยากนั ตามกฎหมายลกั ษณะผวั เมียและ ถือวา่ เป็นสามีภริยากนั ตามกฎหมายลกั ษณะผวั
เมียและผชู้ ายสามารถมีภริยาไดห้ ลายคนกม็ กั จะมีภริยาหลวงและภริยานอ้ ยเป็นผลติดตามมาแต่หลงั จาก
พ.ศ. 2478 การเป็นสามีภริยาจะตอ้ งจดทะเบียนสมรส ถา้ ไม่จดทะเบียนสมรสแลว้ ไม่ถือวา่ การสมรสเกิดข้ึน
เม่ือไม่มีการสมรสกจ็ ะรับมรดกซ่ึงกนั และกนั ไม่ได้ เป็นทายาทตามมาตรา 1629 วรรคทา้ ย
เม่ือมีการสมรสแลว้ กต็ อ้ งมีทรัพยส์ ินระหวา่ งสมรส ในสมยั ก่อนวนั ท่ี 16 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ทรัพยส์ ิน
ระหวา่ งสามีและภริยาน้นั มีอยู่ 3 ประเภท คือ สินเดิม สินส่วนตวั และสินสมรส โดยเฉพาะสินเดิมกบั
สินสมรสน้นั เรียกวา่ สินบริคณห์ แต่ทรัพยส์ ินระหวา่ งสมรสในปัจจุบนั จะมีเพยี ง 2 ประเภท คือ สินส่วนตวั
และสินสมรส

สินส่วนตัว (มาตรา 1471) มีดงั น้ี
1) ทรัพยส์ ินที่ฝ่ ายใดฝ่ ายหน่ึงมีอยกู่ ่อนสมรส
2) เคร่ืองใชส้ อยส่วนตวั เครื่องแต่งกาย เครื่องประดบั กายตามควรแกฐานะและเครื่องมือเคร่ืองใช้

ที่จาเป็ นในการประกอบอาชีพ
3) ทรัพยส์ ินท่ีฝ่ ายใดฝ่ ายหน่ึงไดม้ าในระหวา่ งสมรสโดยการรับมรดก หรือโดยการใหโ้ ดยเสน่หา
4) ของหม้นั

สินสมรส(มาตรา1474)มีดงั น้ี

1)ทรัพยส์ ินท่ีคู่สมรสไดม้ าในระหวา่ งการสมรส

2)ดอกผลสินส่วนตวั

3)ทรัพยส์ ินที่ฝ่ ายใดฝ่ ายหน่ึงไดม้ าในระหวา่ งสมรสโดยพินยั กรรม หรือโดยการใหเ้ ป็นหนงั สือ
หรือเมื่อพนิ ยั กรรมหรือหนงั สือยกใหว้ า่ เป็นสินสมรส

เมื่อการสมรสสิ้นสุดลงกจ็ ะตอ้ งมีการคิดส่วนแบ่งและการป่ันทรัพยส์ ินระหวา่ งผตู้ ายกบั คูส่ มรสซ่ึง
บญั ญตั ิอยใู่ นมาตรา 1625

ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยม์ าตรา 1625 บญั ญตั ิวา่ “ถา้ ผตู้ ายเป็นผสู้ มรสแลว้ การคิดส่วนแบ่ง
และการปันทรัพยส์ ินระหวา่ งผตู้ ายกบั คู่สมรสท่ียงั มีชีวติ อยใู่ หเ้ ป็นไปดงั น้ี

1)ในเร่ืองส่วนแบ่งในทรัพยส์ ินระหวา่ งสามีภรรยาใหอ้ ยใู่ นบงั คบั ของบทบญั ญตั ิแห่งประมวล
กฎหมายน้ีวา่ ดว้ ยการยาโดยยนิ ยอมท้งั สองฝ่ ายอนั มีบทบญั ญตั ิเพม่ิ เติมใหบ้ ริบูรณ์ในมาตรา 1637 และมาตรา

17


1638 และโดยเฉพาะตอ้ งอยใู่ นบงั คบั แห่งมาตรา 1533 ถึงมาตรา 1534 แห่งประมวลกฎหมายน้ี แต่การคิด
ส่วนแบ่งน้นั ใหม้ ีผลต้งั แต่วนั ที่การสมรสสิ้นสุดไปดว้ ยเหตุความตายน้นั

2)ในเรื่องส่วนแบ่งในทรัพยม์ รดกของผตู้ ายใหอ้ ยใู่ นบงั คบั ของบทบญั ญตั ิแห่งแบบน้ีนอกจาก
มาตรา 1637 และมาตรา 1638”

จากบทบญั ญตั ิมาตรา 1625 (1) เห็นไดว้ า่ การคิดส่วนแบ่งในทรัพยส์ ินน้นั ใหแ้ บ่งโดยใชบ้ ท บงั คบั
ของเร่ืองการหยา่ โดยความยนิ ยอมซ่ึงการยาโดยความยนิ ยอมน้นั จะมีผลต้งั แต่วนั จดทะเบียนหยา่ แต่การคิด
ส่วนแบ่งในกรณีน้ีใหม้ ีผลต้งั แต่วนั ที่การสมรสสิ้นไปดว้ ยเหตุความตายน้นั

ตวั อย่าง

นาย ก. มีเงินอยกู่ ่อนสมรส 100,000 บาท นาง ข. มีสินส่วนตวั อยกู่ ่อนสมรส 50,000 บาท และมีของหม้นั
เมื่อนาย ก. และนาง ข. จดทะเบียนสมรสกนั แลว้ อยกู่ ินดว้ ยกนั ไดเ้ งินมาอีก 1,000,000 บาท นาย ก. ถึงแก่
ความตาย กรณีน้ีกใ็ หใ้ ชก้ ารหยา่ โดยความยนิ ยอมตามมาตรา 1625 มาแบ่งสินส่วนตวั กนั ก่อน สาหรับ นาง
ข. กใ็ หส้ ินส่วนตวั 50,000 บาท กบั ของหม้นั ไป ส่วนสินสมรส 1,000,000 บาท น้นั ใหแ้ บ่งกนั ตามมาตรา
1533 คือ คนละ 500,000 บาท ฉะน้นั ส่วนของนาย ก. ท้งั หมดกค็ ือ เงิน 500,000 บาท กบั สินส่วนตวั อีก
100,000 บาท ซ่ึงจะเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาท

อน่ึง ถา้ หากในระหวา่ งที่มีชีวติ อยนู่ ้นั คูส่ มรสไดก้ ่อหน้ีสินกนั ไว้ กฎหมายลกั ษณะครอบครัวมาตรา
1535 บญั ญตั ิวา่ “เมื่อการสมรสสิ้นสุดลงใหแ้ บ่งความรับผดิ ในหน้ีที่จะตอ้ งรับผดิ ดว้ ยกนั ตามส่วนเท่ากนั ”
แสดงวา่ เมื่อมีหน้ีสินแลว้ จะตอ้ งแบ่งกนั คนละคร่ึงเสียก่อนตามาตรา 1535 คือ ความรับผดิ ในหน้ีน้นั ตอ้ งแบ่ง
เท่ากนั จานวนหน้ีคร่ึงหน่ึงของหน้ีท้งั หมดของคนตายกจ็ ะเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาท เป็นตน้ ส่วนมาตรา
1625 (2) เป็นบทบญั ญตั ิพิเศษพเิ ศษเก่ียวกบั การรับประโยชน์จากเงินประกนั ชีวติ หรือเงินปี ซ่ึงจะตอ้ ง
พิจารณาตามมาตรา 1637 และมาตรา 1638

ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยม์ าตรา 1637 บญั ญตั ิ “ถา้ คู่สมรสฝ่ ายใดท่ียงั มีชีวิตอยเู่ ป็นผรู้ ับ
ประโยชน์ตามสญั ญาประกนั ชีวิตคู่สมรสฝ่ ายน้นั มีสิทธิท่ีรักจานวนเงินท้งั หมด ที่ไดต้ กลงไวก้ บั ผรู้ ับ
ประกนั ภยั แต่จาเป็นตอ้ งเอาจานวนเงินเบ้ียประกนั ภยั เพียงเท่าท่ีพิสูจนไ์ ดว้ า่ สูงกวา่ จานวนเงินท่ีผตู้ ายจะเพ่งิ
ส่งใชเ้ ป็นเบ้ียประกนั ภยั ไดต้ ามการไดห้ รือฐานะของตนโดยปกติไปชดใชส้ ินเดิมของคู่สมรสอีกฝ่ ายหน่ึง
หรือสินสมรสแลว้ แตก่ รณี

18


ถึงอยา่ งไรกด็ ีจานวนเงินเบ้ียประกนั ภยั ซ่ึงจะพึงส่งคืนตามบทบญั ญตั ิขา้ งตน้ น้นั รวมท้งั สิ้น ตอ้ งไม่
เกินจานวนเงินท่ีผรู้ ับประกนั ภยั ไดช้ าระให”้

บทบญั ญตั ิมาตรา 1637 หมายความวา่ ถา้ คู่สมรสฝ่ ายท่ีมีชีวติ อยเู่ ป็นผรู้ ับประโยชนต์ ามสญั ญา
ประกนั ชีวติ คูส่ มรสฝ่ ายน้นั มีสิทธิรับเงินท้งั หมดที่ผรู้ ับประกนั จ่ายให้ แต่การที่จะไดร้ ับจริงเท่าไหร่น้นั
จะตอ้ งคานึงถึงจานวนเบ้ียประกนั ภยั ที่ผตู้ ายส่งไวว้ า่ จานวนท่ีส่งน้นั เหมาะสมแก่รายไดห้ รือฐานะของผตู้ าย
โดยปกติหรือไม่ ถา้ จานวนเบ้ียประกนั ภยั ท่ีผตู้ ายสูงสูงกวา่ จานวนท่ีควรจะส่งไดเ้ ม่ือคานึงถึงรายไดห้ รือ
ฐานะของผตู้ ายโดยปกติแลว้ จานวนเงินที่สูงกวา่ น้นั คูส่ มรสฝ่ ายที่มีชีวิตอยจู่ ะเอาไวไ้ ม่ได้ จะตอ้ งส่งไป
ชดใชส้ ินเดิม (ปัจจุบนั มีแต่สินส่วนตวั ) ของคู่สมรสอีกฝ่ ายหน่ึงหรือสินสมรสแลว้ แต่กรณี แต่คูส่ มรสไม่
จาตอ้ งคืนใหเ้ กินกวา่ จานวนเงินที่จะไดร้ ับจากบริษทั ผรู้ ับประกนั ภยั ซ่ึงจะเห็นไดว้ า่ คู่สมรสจะตอ้ งส่งคืนเงิน
น้ีกเ็ ฉพาะเบ้ียประกนั ภยั และเฉพาะจานวนท่ีสูงกวา่ ท่ีผตู้ ายควรจะส่งไดเ้ ม่ือคานึงถึงรายไดห้ รือฐานะของ
ผตู้ ายโดยปกติเท่าน้นั จานวนใดจะถือวา่ สูงกวา่ ที่ผตู้ ายควรส่งไดเ้ ป็นขอ้ เทจ็ จริงที่จะตอ้ งพิจารณาเป็นเร่ือง
เร่ืองไป ถา้ มีขอ้ โตแ้ ยง้ เกี่ยวกบั จานวนน้ี กเ็ ป็นหนา้ ท่ีของทายาทอ่ืนจะตอ้ งพสิ ูจนว์ า่ เบ้ียประกนั ภยั ท่ีพดู ตาย
ส่งน้นั สูงกวา่ ท่ีผตู้ ายควรส่งไดเ้ มื่อคานึงถึงรายไดห้ รือฐานะของผตู้ ายโดยปกติ เหตุท่ีกฎหมายบญั ญตั ิไว้
เช่นน้ีกเ็ พ่ือใหเ้ กิดความเป็นธรรมแก่ทายาทเพราะการส่งเงินเบ้ียประกนั ที่เกินรายไดห้ รือฐานะของผตู้ ายน้นั
ยอ่ มทาใหเ้ งินในกองมรดกนอ้ ยลงกฎหมายจึงกาหนดใหเ้ งินดงั กล่าวกลบั มาสู่กองมรดกเพ่ือแบ่งปันแก่
ทายาทของเจา้ มรดกต่อไป

ข้อสังเกต

ภายหลงั จากมีการแกไ้ ขประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยบ์ รรพ 5 ใหม่ ไม่ไดม้ ีการบญั ญตั ิถึงสิ้นเดือน
ดงั น้นั การชดใชส้ ินเดิมตามมาตรา 1637 กจ็ ะมีไม่ไดอ้ ีกต่อไปคงมีแต่การชดใชแ้ ก่สินสมรสอยา่ งเดียวและ
มาตรา 1637 จะใชเ้ ฉพาะกรณีคูส่ มรสท่ีทาสญั ญาประกนั ชีวติ โดยระบุใหค้ ูส่ มรสอีกฝ่ ายที่ยงั มีชีวิตอยเู่ ป็น
ผรู้ ับประโยชนต์ ามสญั ญาประกนั ชีวิตเท่าน้นั หากระบุใหท้ ายาทอื่นหรือบุคคลอื่นเป็นผรู้ ับประโยชน์ตอ้ ง
บงั คบั ตามมาตรา 897

ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยม์ าตรา 1638 บญั ญตั ิวา่ “เม่ือคู่สมรสท้งั สองฝ่ ายไดล้ งทุนออก เงิน
ในการทาสัญญา และตามสญั ญาน้นั ท้งั สองฝ่ ายจะตอ้ งไดร้ ับเงินปี ในขณะท่ียงั มีชีวติ อยรู่ ่วมกนั และเมื่อฝ่ าย
หน่ึงฝ่ ายใดตายฝ่ ายท่ียงั มีชีวติ อยยู่ งั จะตอ้ งไดร้ ับเงินปี ต่อไปตลอดอายฝุ ่ายท่ียงั มีชีวติ อยจู่ าตอ้ งชดใชส้ ินเดิม
ของอีกฝ่ ายหน่ึงหรือสินสมรสแลว้ แต่กรณีสุดแตว่ า่ ไดเ้ อาเงินสินเดิมหรือสินสมรสไปใชใ้ นการลงทุนน้นั
เงินที่จะตอ้ งชดใชส้ ินเดิมหรือสินสมรสดงั วา่ น้ีใหช้ ดใชเ้ ท่าที่จานวนเงินซ่ึงเป็นผจู้ ่ายเงินรายปี จะเรียกใหใ้ ช้
เพม่ิ ข้ึนเป็นพิเศษเพอ่ื ผจู้ ่ายจะไดเ้ งินรายปี แก่คู่สมรสฝ่ ายท่ียงั มีชีวติ อยนู่ ้นั ต่อไป”

19


กรณีของมาตรา 1638 กม็ ีหลกั การเช่นเดียวกบั มาตรา 1637 และสญั ญาน้ีกค็ ลา้ ยสญั ญาประกนั ภยั คอื
เป็นสญั ญาประกนั แบบออมทรัพยอ์ ยา่ งหน่ึงเม่ือไดส้ ่งเงินครบตามสญั ญาแลว้ กจ็ ะไดร้ ับเงินตอบแทนแต่ละ
ปี จนกวา่ จะตายท้งั เม่ือตายกย็ งั จ่ายเงินใหแ้ ก่คู่สมรสแต่ปรากฏวา่ การทาสญั ญาน้นั ทาใหส้ ินเดิมหรือ
สินสมรสของผตู้ ายนอ้ ยไปกวา่ ที่ควรกใ็ หไ้ ดร้ ับการชดใชเ้ พอื่ จะเป็นซบั มรดกแบ่งใหท้ ายาทอ่ืนเพ่มิ ข้ึนตาม
ส่วนแต่ในปัจจุบนั ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยบ์ รรพ 5 ไม่มีการบญั ญตั ิถึงสินเดิมดงั น้นั การชดใชส้ ิน
เดิมตามมาตรา 1638 กจ็ ะมีไม่ไดอ้ ีกต่อไปคงมีแต่การชดใชแ้ ก่สินสมรส

สรุป

เม่ือคูส่ มรสฝ่ ายใดตายและไดม้ ีการแบ่งสินส่วนตวั และสินสมรสกนั แลว้ ซบั ในส่วนของผตู้ ายท่ีแบง่ แลว้ ก็
จะเป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทในขณะเดียวกนั คู่สมรสฝ่ ายที่ยงั มีชีวติ อยกู่ ม็ ีสิทธิไดร้ ับส่วนแบ่งในกองมรดก
ของคู่สมรสท่ีตายดว้ ยแต่คูส่ มรสท่ียงั มีชีวติ อยจู่ ะไดร้ ับมรดกจานวนเท่าใดตอ้ งเป็นไปตามบทบญั ญตั ิมาตรา
1635

ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยม์ าตรา 1635 บญั ญตั ิวา่ ลาดบั และส่วนแบ่งของคู่สมรสที่ยงั มีชีวติ
อยใู่ นการรับมรดกของผตู้ ายน้นั ใหเ้ ป็นไปดงั ต่อไปน้ี

(1) ถา้ มีทายาทตามมาตรา 1629(1) ซ่ึงยงั มีชีวิตอยหู่ รือมีผรู้ ับมรดกแทนท่ีแลว้ แต่กรณีคู่สมรสที่ยงั มีชีวิตอยู่
น้นั มีสิทธิไดร้ ับส่วนแบ่งเสมือนหน่ึงวา่ ตนเป็นทายาทช้นั บุตร

(2) ถา้ มีทายาทตามมาตรา 1629(3) และทายาทน้นั ยงั มีชีวติ อยหู่ รือมีผรู้ ับมรดกแทนที่หรือถา้ ไม่มีทายาทตาม
มาตรา 1629(1) แต่มีทายาทตามมาตรา 1629(2) แลว้ แต่กรณีคูส่ มรสที่ยงั มีชีวิตอยนู่ ้นั มีสิทธิไดร้ ับมรดกก่ึง
หน่ึง

(3) ถา้ มีทายาทตามมาตรา 1629(4) หรือ (6) และทายาทน้นั ยงั มีชีวติ อยหู่ รือมีผรู้ ับมรดกแทนท่ีแทนที่หรือมี
ทายาทตามมาตรา 1629(5) แลว้ แต่กรณีคู่สมรสที่ยงั มีชีวติ อยมู่ ีสิทธิไดร้ ับมรดกสองในสามส่วน

(4) ถา้ ไม่มีทายาทดงั ท่ีระบุไวใ้ นมาตรา 1629 คูส่ มรสท่ียงั มีชีวติ อยนู่ ้นั มีสิทธิไดร้ ับมรดกท้งั หมด หาก
เจา้ มรดกมีทายาทโดยธรรมท่ีมีสิทธิรับมรดกและมีท้งั คู่สมรสท่ียงั มีชีวติ อยบู่ ุคคลท้งั สองพวกน้ีต่างมีสิทธิรับ
มรดกตามส่วนแบ่งภายใตบ้ งั คบั มาตรา 1635 โดยการแบง่ มรดกของทายาทท่ีมีคูส่ มรสของเจา้ มรดกอยดู่ ว้ ย
น้นั จะมีบทบญั ญตั ิที่เกี่ยวขอ้ งเพ่มิ ข้ึนมาเช่นมาตรา 1629 วรรคทา้ ยมาตรา 1635 มาตรา 1636

20

คาวา่ “คู่สมรส” น้นั เป็นคารวมซ่ึงอาจจะเป็นท้งั สามีหรือภริยา แต่ท้งั น้ีจะตอ้ งเป็นคู่สมรสท่ีชอบดว้ ย
กฎหมายเท่าน้นั ซ่ึงการแบ่งมรดกตามมาตรา 1635 สามารถอธิบายไดด้ งั น้ี

(1) กรณีที่มีทายาทตามมาตรา 1629(1)ซ่ึงยงั มีชีวิตอยหู่ รือมีผรู้ ับมรดกแทนที่คูส่ มรสจะไดร้ ับส่วนแบง่
เสมือนหน่ึงวา่ เป็นทายาทฉนั บุตรซ่ึงเม่ือเปรียบเทียบกบั มาตรา 1630 แลว้ มาตรา 1630 น้นั ทายาทใน
ลาดบั ตน้ ตดั ทายาทในลาดบั หลงั หรือญาติสนิทตดั ญาติห่างแต่คูส่ มรสไม่อยใู่ นหลกั เกณฑต์ าม
มาตรา 1630 คือคู่สมรสไดร้ ับมรดกไปทุกลาดบั ทายาทแต่จะไดร้ ับมรดกมากข้ึนถา้ ทายาทน้นั ยง่ิ
ห่างออกไปแต่ถา้ ยง่ิ สนิทคู่สมรสกจ็ ะไดร้ ับมรดกนอ้ ยลง ตวั อยา่ ง เจา้ มรดกมีมรดก 300,000 บาทมี
ภริยาคือนาง ก. และมีบุตรสองคนคือนาย ข.เเละนาย ค. ดงั น้ีมรดก ยอ่ มตกแก่นาง ก. นาย ข. เเละ
นาย ค. คนละ 1 ใน3 นนั่ คือคนละ 100,000 บาท

ตามตวั อยา่ งขา้ งตน้ ถา้ เจา้ มรดกมีบิดามารดายงั มีชิวติ อยดู่ ว้ ย กรณีเช่นน้ีเม่ือเจา้ มรดกมีทายาทโดยธรรมตาม
มาตรา 1620 และมีคูส่ มรสดว้ ยหลกั ในการพจิ ารณาใหด้ ูทายาทโดยธรรมท่ีมีสิทธิไดร้ ับมรดกเสียก่อน แลว้
จึงไปพจิ ารณาคูส่ มรสทีหลงั หมายความวา่ ใหพ้ จิ ารณาดูวา่ ทายาทโดยธรรมน้นั มีสิทธิท่ีจะไดร้ ับมรดก
หรือไม่ แลว้ เรากจ็ ะเอาทายาทเฉพาะผมู้ ีสิทธิไดร้ ับมรดกไปแบ่งปันมรดกกบั คูส่ มรสของเจา้ มรดก ในกรณีน้ี
เจา้ มรดกมีนาย ข. กบั นาย ค. เป็นทายาทในลาดบั ที่ 1 และมีบิดามารดาซ่ึงเป็นทายาทในลาดบั ที่ 2 ดงั ได้
ศึกษากนั มาแลว้ วา่ ทายาทลาดบั ท่ี 1 จะไมต่ ดั ทายาทลาดบั ที่ 2 คือ ไดร้ ับมรดกเหมือนกนั (มาตรา1630) เม่ือ
บิดามารดายงั มีชีวติ อยแู่ ละผสู้ ืบสนั ดาน คือ บุตรยงั มีชีวติ อยกู่ ใ็ หบ้ ิดามารดาไดร้ ับส่วนแบ่งเสมือนหน่ึงวา่
เป็นทายาทช้นั บุตร ดงั น้นั บิดามารดาท้งั 2 คน จะไดร้ ับมรดกเท่ากบั บตุ ร 2 คน ฉะน้นั มรดกท้งั หมดกจ็ ะ
แบ่งออกเป็น 5 ส่วน คือ แบง่ ใหภ้ ริยา 1 ส่วนตามาตรา 1635(1) ท่ีวา่ เมื่อเจา้ มรดกมีคูส่ มรสและมี
ผสู้ ืบสนั ดานกใ็ หค้ ูส่ มรสไดร้ ับมรดกเท่ากบั บุตร 1 คน ส่วนบิดามารดาในแต่ละคนจะไดร้ ับมรดกเท่ากบั
บุตร 1 คน ตามมาตรา 1630 วรรคสอง เพราะฉะน้นั เมื่อรวมกนั แลว้ จะไดร้ ับมรดกเท่ากนั ตามมาตรา 1633
นนั่ คือ คูส่ มรส บิดามารดาและนาย ข. กบั นาย ค. จะไดร้ ับมรดกคนละ 60,000 บาท

(2) กรณีที่มีทายาทตามมาตรา 1629(3) และทายาทน้นั ยงั มีชีวติ อยหู่ รือมีผรู้ ับมรดกแทนที่หรือถา้ ไม่มี
ทายาทตามาตรา 1629(1)แตม่ ีทายาทตามมาตรา 1629(2) แลว้ แตก่ รณีคูส่ มรสจะไดร้ ับส่วนแบ่งใน
กองมรดกก่ึงหน่ึง
ตวั อย่าง
เจา้ มรดกมีภริยาที่ยงั มีชีวิตอยู่ และมีบิดามารดา “เจา้ มรดกมีมรดกอยทู่ ้งั หมด 1,000,000 บาท ดงั น้ี
จะเห็นไดว้ า่ เจา้ มรดกไม่มีผสู้ ืบสนั ดาน มีเพียงบิดามารดาซ่ึงเป็นทายาทลาดบั ท่ี 2 และมีคูส่ มรส จึง
ตอ้ งไปพจิ ารณาตามาตรา 1635(2) ท่ีวา่ “เจา้ มรดกไม่มีผสู้ ืบสนั ดาน แต่มีบิดามารดาซ่ึงยงั มีชีวติ อยู่

21

หรือถา้ ไม่มีบิดามารดา แต่มีพี่นอ้ งร่วมบิดามารดาเดียวกนั ที่ยงั มีชีวติ อยู่ ใหค้ ู่สมรสไดร้ ับส่วนแบ่ง
คร่ึงหน่ึง” ดงั น้นั เมื่อมีมรดกอยู่ 1,000,000 บาท คูส่ มรสจะไดร้ ับมรดกไป 500,000 บาท ส่วนอีก
500,000 บาท น้นั ตกไดแ้ ก่บิดามารดาคนละ 250,000 บาท

ตัวอย่าง
เจา้ มรดกมีภริยาท่ียงั มีชีวิตอยู่ มีพ่นี อ้ งร่วมบิดามารดาเดียวกนั 3 คน คือ นาย ก. นาย ข. นาย ค. นาย
ก. น้นั มีบุตร คือ นาย ง. กบั นาย จ. เจา้ มรดกมีมรดกอยู่ 600,000 บาท ปรากฏวา่ นาย ก. ตายก่อนเจา้
มรดก ดงั น้ี จะเห็นไดว้ า่ เจา้ มรดกมีคูส่ มรสและมีทายาทลาดบั ท่ี 3 คู่สมรสจะไดร้ ับมรดกคร่ึงหน่ึง
ตามาตรา 1635(2) แสดงวา่ คูส่ มรส(ภริยา) กจ็ ะไดร้ ับมรดกไป 300,000 บาท ส่วนนาย ก.และนาย ข.
และนาย ค. ซ่ึงเป็นพน่ี อ้ งร่วมบิดามารดากบั เจา้ มรดกจะไดร้ ับมรดกคนละ 100,000 บาท แต่ในส่วน
ของนาย ก. น้นั เมื่อนาย ก. ตายไปก่อนเจา้ มรดก นาย ง. และนาย จ. ซ่ึงเป็นบุตรของนาย ก. กเ็ ขา้ มา
รับมรดกแทนท่ี เพราะฉะน้นั นาย ง.และนาย จ. จะไดร้ ับมรดกคนละ 50,000 บาท

ตวั อย่าง
เจา้ มรดกมีภริยาที่ยงั มีชีวิตอยู่ มีบิดามารดาท่ียงั มีชีวิตอยแู่ ละมีนอ้ งร่วมบิดามารดาเดียวกนั 3 คน เจา้
มรดกมีมรดกอยู่ 2,000,000 บาท ดงั ไดก้ ล่าวแลว้ วา่ เมื่อจะแบ่งมรดกกใ็ หม้ าดูทายาทหรือลาดบั
ทายาทของเจา้ มรดกเสียก่อน ในกรณีน้ีบิดามารดาเป็นทายาทในลาดบั ที่ 2 พ่นี อ้ งร่วมบิดามารดา
เดียวกนั ซ่ึงเป็นทายาทในลาดบั ที่ 3 ดงั น้นั ทายาทในลาดบั ท่ี 2 ตดั ทายาทในลาดบั ที่ 3 ผมู้ ีสิทธิไดร้ ับ
มรดก ในที่น้ีกค็ ือบิดามารดา ส่วนพีน่ อ้ งร่วมบิดามารดาเดียวกนั ไม่มีสิทธิไดร้ ับมรดก ในเมื่อมี
มรดกอยู่ 2,000,000 บาท ภริยาของเจา้ มรดกจึงมีสิทธิไดร้ ับมรดกคร่ึงหน่ึงคือ 1,000,000บาท ส่วน
บิดาและมารดาไดร้ ับมรดก 1,000,000 บาท แต่ในระหวา่ งบิดามารดาดว้ ยกนั จะไดร้ ับมรดกคนละ
500,000 บาท ส่วนพน่ี อ้ งร่วมบิดามารดาเดียวกนั ไม่มีสิทธิไดร้ ับมรดกเลย

(3) กรณีที่คูส่ มรสมีสิทธิไดร้ ับส่วนแบ่ง 2 ใน 3 ตามมาตรา 1635 (3) คือ ถา้ เจา้ มรดกมีทายาทตาม
มาตรา 1629(4)หรือ (5) หรือ (6) ทายาทน้นั ยงั มีชีวิตอยหู่ รือมีผรู้ ับมรดกแทนที่(ยกเวน้ ทายาทตาม
มาตรา 1629 (5) ที่ไม่มีการรับมรดกแทนท่ี) แลว้ แต่กรณี คูส่ มรสท่ียงั มีชีวิตอยมู่ ีสิทธิไดร้ ับมรดก
2 ใน 3

22

ตวั อย่าง เจา้ มรดกมีภริยา มีพีน่ อ้ งร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกนั ซ่ึงเป็นทายาทในลาดบั ท่ี 4 มีป่ ู 1
คน ซ่ึงเป็นทายาทในลาดบั ท่ี 5และมีลุง 1 คน ซ่ึงเป็นทายาทในลาดบั ท่ี 6 เจา้ มรดกมีมรดกอยู่
600,000 บาท ดงั น้ี เมื่อเจา้ มรดกมีทายาทในลาดบั ท่ี 4,5และ6 ผมู้ ีสิทธิไดร้ ับมรดกคือทายาทใน
ลาดบั ท่ี 4 ตามหลกั ญาติสนิทตดั ญาติห่าง เม่ือเจา้ มรดกมีคูส่ มรส คู่สมรสมีสิทธิไดร้ ับมรดก2ใน3
ตามมาตรา 1635 (3) คือ 400,000 บาท ส่วนอีก 200,000 บาท ตกไดแ้ ก่ทายาทในลาดบั ที่ 4

(4) กรณีที่คูส่ มรสมีสิทธิท่ีจะไดร้ ับมรดกท้งั หมดตามาตรา 1635 (4) ตอ้ งเป็นกรณีท่ีวา่ เจา้ มรดกไม่มี
ทายาทดงั ท่ีระบุไวใ้ นมาตรา 1629 คูส่ มรสท่ียงั มีชีวติ อยจู่ ึงมีสิทธิไดร้ ับมรดกท้งั หมด
ข้อสังเกต

กรณีเจา้ มรดกมีคูส่ มรสหลายคนคูส่ มรสเหล่าน้นั ตอ้ งมาแบ่งมรดกกนั เองทีหลงั คือรับมรดกมาก่อนแลว้ จึงจะ
เอาส่วนที่รับมาน้นั มาแบ่งระหวา่ งภริยาดว้ ยกนั เช่นถึงแมว้ า่ เจา้ มรดกจะมีคูส่ มรสถึง 10 คนแต่คู่สมรส
เหล่าน้นั ทุกคนเมื่อรวมส่วนแบ่งของกองมรดกแลว้ จะไดร้ ับเท่ากบั บุตรหน่ึงคน

23

อ้างองิ

สรปุ คาบรรยาย LAW 3109 กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ ว่าด้วย มรดก ฉบับปรับปรงุ แก้ไขตามกฎหมายใหม่
พ.ศ.2561


Click to View FlipBook Version