เป็นประเพณลี อยกระทงตามประเพณีลา้ นนาทีจ่ ดั ทำข้นึ ในวันเพ็ญเดอื น
2 ของชาวล้านนา เปน็ ภาษาคำเมืองในภาคเหนอื คำวา่ " " แปลว่า สอง และคำ
ว่า " " ตรงกับคำวา่ "เพญ็ " หรอื พระจนั ทรเ์ ตม็ ดวง ซ่งึ ชาวไทยในภาคเหนือจะนบั
เดอื นทางจันทรคติเรว็ กวา่ ไทยภาคกลาง 2 เดือน ทำให้ ื ิ ไค
ื หื ื 2 ไ
ประเพณียเี่ ปงจะเรม่ิ ตั้งแต่ ึ 13 คำ ซ่ึงถอื ว่าเปน็ " " หรอื วนั จ่าย
ของเตรยี มไปทำบุญเลยี้ งพระท่วี ดั ครัน้ ถงึ ึ 14 คำ พอ่ อ้ยุ แมอ่ ยุ้ และผมู้ ศี รทั ธากจ็ ะ
พากันไปถอื ศลี ฟังธรรม และทำบุญเลีย้ งพระทว่ี ัด มกี ารทำกระทงขนาดใหญต่ ั้งไว้ทลี่ าน
วัด ในกระทงน้นั จะใสข่ องกนิ ของใช้ ใครจะเอาของมาร่วมสมทบด้วยกไ็ ดเ้ พ่ือเป็นทาน
แก่คนยากจน ครั้นถงึ ึ 15 คำ จงึ นำกระทงใหญ่ท่ีวัดและกระทงเลก็ ๆ ของ
สว่ นตวั ไปลอยในลำนำ้
ประเพณี ทานขันขา้ วน้ี เปน็ ประเพณีการทำบุญเพอื่ อทุ ศิ สว่ นกศุ ลให้แก่ผ้วู าย
ชนม์ไปแลว้ ซึ่งมีมาแต่โบราณกาล ซ่งึ บรรพบรุ ษุ ของเราทา่ นทำกันสืบๆมาจนถึงปจั จุบนั
นี้ นับเป็นเวลาหลายรอ้ ยปที เี ดียว เปน็ วัฒนธรรมทแ่ี สดงถึงความกตัญญูอีกแบบหนง่ึ
ของชาวไทย โดยนำสำรบั กับขา้ วไปถวายวดั ในวันเทศกาลสำคัญ เชน่ สงกรานต์
เขา้ พรรษาและออกพรรษา หรือทำบุญอทุ ศิ สว่ นกศุ ลในโอกาสอ่นื ๆพธิ ที านขันข้าวนี้ คอื
เปน็ การทำบุญอทุ ิศไปใหผ้ ้ทู ี่ตายไปแล้วน่ันเอง เรมิ่ ต้นด้วยการจดั หาขา้ ว
ปลาอาหารคาวหวาน นำ้ เปล่า ดอกไม้ ธูป เทยี น ไปหาพระคณุ เจา้ ทวี่ ัดท่ที า่ นเป็น
ผู้ทำพธิ ีน้ีได้เป็นอยา่ งดี ทา่ นจะเป็นผกู้ ลา่ วคำอทุ ศิ ไปหาผู้ตายใช้เวลาทำพิธนี ้รี ายละ
ประมาณ ๑๕ นาที บางทจี ะมผี ู้มาทานขวญั ขา้ วนถี้ ึง ๑๐-๒๐ รายพร้อมกัน พิธนี ี้จะ
มีแต่เฉพาะถิ่นไท-ยวน เท่านนั้ โดยมากจะทำกนั ในวนั พระเท่าน้ัน เพราะเชื่อกนั วา่ ญาติ
ทีต่ ายไปแล้วนนั้ จะมารอรับขา้ วปลาอาหารในวนั พระเท่านั้น และจะทำกันใน
เทศกาล เช่น เทศกาลวันขึน้ ปีใหม่ เทศกาลสงกรานต์ เทศกาลเข้าพรรษา เทศกาล
ทำบญุ สราท (กระยาสราท) และถ่ินไท-ยวน ยงั เช่อื กันอีกวา่ ถ้าญาตทิ ี่ตายไปแล้วนน้ั
มาแลว้ แตไ่ มม่ ีใครทำทานขวญั ขา้ วไปให้ ผู้ทต่ี ายหรอื ญาติทตี่ ายเหลา่ น้ี กลบั ไปจะพา
กันร้องไห้รอ้ งหม่ เพราะความหิวแตไ่ ม่ไดก้ นิ ระหวา่ งรอ้ งไหน้ น้ั เขาก็จะแชง่ ด่าไปดว้ ยใหผ้ ้ทู ี่
ยังอยมู่ อี ันเป็นไปตา่ งๆประเพณี ทานขวญั ข้าวนจ้ี งึ ถือวา่ มคี วามสำคญั ต่อชวี ิตการเป็นอยู่
เหมือนกัน
ำำ
ำ ำ เปน็ ประเพณที ่ีชาวจังหวัดเพชรบูรณ์ ไดร้ ว่ มมอื กนั จดั ขึน้ ในวัน
แรมสิบห้าค่ำเดือนสิบ ซึ่งประวตั คิ วามเป็นมาของประเพณอี มุ้ พระดำนำ้ กค็ อื เมอื่
ประมาณ 400 ปีท่ผี า่ นมามีชาวบา้ นกลมุ่ หนึง่ มอี าชพี หาปลาขาย และไดไ้ ปหาปลาทีแ่ ม่
นำ้ ปา่ สกั เป็นประจำทุกวนั อยูม่ าวันหนึง่ ก็ไดเ้ กิดเรื่องท่ไี มม่ ีใครให้คำตอบได้วา่ เกิดอะไร
ขนึ้ เพราะวันนนั้ ไม่มใี ครจบั ปลาได้สกั ตัว จากนนั้ กเ็ กิดเหตุการณ์ประหลาดข้ึนตรง
บริเวณ วังมะขามแฟบ (ไม้ระกำ) ซ่ึงปกติบริเวณนนี้ ้ำจะไหลเชีย่ วมาก จู่ ๆ นำ้ กห็ ยุดไหล
และมพี รายนำ้ ผุดขึน้ มาพรอ้ มกับพระพุทธรปู ชาวบา้ นจึงอัญเชญิ พระพทุ ธรปู องค์
ดงั กลา่ ว ข้นึ จากนำ้ และนำไปประดิษฐานไวท้ ีว่ ดั ไตรภมู ิ เปน็ พระพทุ ธรปู ค่บู ้านคู่เมอื งของ
จงั หวดั เพชรบูรณ์ จนกระทงั่ ถงึ วันสารทไทยหรอื วันแรม 15 คำ่ เดือนสบิ พระพทุ ธรปู
องคด์ ังกลา่ ว (พระพทุ ธมหาธรรมราชา) กไ็ ดห้ ายไปจากวดั ชาวบ้านจึงชว่ ยกนั ตามหา
และเจอพระพทุ ธรปู อยบู่ ริเวณวงั มะขามแฟบ จากน้นั เปน็ ต้นมา พอถงึ วนั แรม 15 คำ่
เดอื น 10 ชาวจังหวดั เพชรบูรณ์ ก็จะจดั งานซง่ึ เรยี กว่า “อมุ้ พระดำนำ้ ”[1] ตั้งแต่วนั ท่ี 19
กันยายน พ.ศ. 2522 เปน็ ตน้ มา
(ไทใหญ:่ ပွွႆးသၢင်ႇလငွ ွႆး, ปอ๊ ยส่างล้อง) หรอื
เพื่อทำการบรรพชาเป็นสามเณรในพระพทุ ธศาสนา โดยจะพบเหน็ การจดั ปอยสา่ งลอง
กนั มากท่จี งั หวดั แมฮ่ ่องสอน โดยเฉพาะในเขตอำเภอเมือง อำเภอขุนยวม และอำเภอ
ปาย คนสว่ นใหญท่ เี่ ข้ารว่ มประเพณีนก้ี ส็ ืบเชื้อสายมาจากไทใหญ่ ซึง่ กไ็ ด้ร่วมกนั สบื ทอด
งานประเพณนี ีม้ าเปน็ เวลาชา้ นาน ดังปรากฏวา่ หลกั ฐานว่าประเพณนี ม้ี มี าตัง้ แตม่ ีการ
สร้างแปลนเมอื งแมฮ่ ่องสอน ซ่ึงก็ได้มีการจดั งานอย่างยง่ิ ใหญ่ทุก ๆ ปี เนื่องจากเปน็
ประเพณีทีส่ ำคญั ทางศาสนา และเปน็ เอกลกั ษณข์ องจงั หวัด จนกระทง่ั ในช่วง
สงครามโลกครั้งท่ี 2 ไดเ้ กดิ ความขัดแย้งในวงกว้าง ครอบคลมุ ทุกทวปี และประเทศสว่ น
ใหญใ่ นโลกรวมท้งั ในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2482 (ค.ศ. 1939) จนกระท่งั สิน้ สุดในปี
พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) ในระหวา่ งนัน้ ประเทศไทยได้ประสบปัญหาทางดา้ นตา่ งๆ ทัง้
การเมือง เศรษฐกิจ และสงั คม ทำใหป้ ระเพณปี อยสา่ งลองถกู งดและเลกิ ไป จนกระทั่ง
เมอื่ ปี พ.ศ. 2525 อันเปน็ ปีฉลองกรุงรัตนโกสนิ ทร์ครบ 200 ปี ก็ได้มกี ารฟื้นฟแู ละจดั
งานประเพณีปอยสา่ งลองขึ้นทกุ ๆปีจนถงึ ปจั จบุ ัน และประเพณนี ีก้ ไ็ ดข้ ยายไปยงั จงั หวัด
ใกล้เคยี ง คอื จงั หวัดเชยี งราย และจงั หวดั เชยี งใหม่อีกด้วย
การฟ้อนผีป่ยู า่ เปน็ ประเพณีการเล้ยี งผบี รรพบรุ ษุ โดยมีดนตรีประโคมใหผ้ ีได้
ฟ้อนร า โดยจะประกอบ พิธีตงั้ แต่ชว่ งเดือนห้าเหนือหรอื ประมาณเดือนกุมภาพนั ธ์ไปจน
ยา่ งเขา้ ฤดฝู น ประเพณนี ม้ี อี ยหู่ ลายทห่ี ลายแห่ง ในภาคเหนือ แต่ทีจ่ งั หวดั ล าปางมอี ยู่
ชกุ ชุมจนถอื เป็นประเพณีเอกลักษณข์ องชาวล าปาง ซึ่งแมไ้ มส่ ามารถสบื ได้ วา่ มคี วาม
เป็นมาตงั้ แตส่ มยั ใด แต่ลกั ษณะสำคญั ทมี่ องเหน็ บง่ บอกว่ามที ม่ี าจากความเช่อื ความ
ศรทั ธาต่อผบี รรพ บรุ ุษแบบดัง้ เดิมก่อนศาสนาพุทธจะเผยแผเ่ ขา้ สู่ดินแดนละแวกน้ี
(บาลี: สลากภตตฺ ) เป็นศัพทใ์ นพระวนิ ยั ปิฎก เปน็ ชื่อเรยี กวิธถี วายทาน
แก่พระสงฆ์วิธีหนึ่ง โดยการจับสลากเพอ่ื แจกภตั ตาหารหรอื ปัจจัยวตั ถทุ ไี่ ดร้ ับจากผู้
ศรัทธาถวาย เพอื่ อนเุ คราะหแ์ ก่ผศู้ รัทธาทมี่ ปี ัจจยั วัตถจุ ำกัดและไม่สามารถถวายแก่
พระสงฆ์ทง้ั หมดได้
โดยสลากภตั นบั เนอื่ งในสงั ฆทานทมี่ ีอานิสงสม์ าก เพราะถอื วา่ แม้จะตง้ั สลากถวาย
กบั พระภกิ ษรุ ปู ใดรปู หนึง่ ทีจ่ บั สลากได้ ยอ่ มเทา่ กบั ถวายกับพระสงฆท์ งั้ หมด เพราะสลาก
ท่ีจับนน้ั พระสงฆ์ทกุ รปู ในอารามนั้นมสี ทิ ธไ์ิ ด้ นอกจากนน้ั สลากภัตยงั เป็นหลกั การในพระ
วนิ ัยทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ทรงวางไวเ้ พื่อสร้างจติ สำนกึ ความเทา่ เทียมกนั และสรา้ งความเป็น
อนั หนง่ึ เดยี วกนั แกค่ ณะสงฆ์
ในประเทศไทย มีประเพณีสลากภตั ภาคเหนือเรียกวา่ ประเพณีทานกว๋ ยสลาก
ตามวัดตา่ ง ๆ โดยจดั ในช่วงเดือน 6 จนถงึ เดอื น 8 ซึ่งเป็นช่วงผลไม้อดุ มสมบูรณ์[3] โดยมี
การรวมตัวของคณะศรทั ธาทัง้ หมู่บ้านนำผลไมแ้ ละสำรบั คาวหวานไปตงั้ เป็นสลากถวาย
พระภกิ ษุทน่ี มิ นต์มาจากวัดตา่ ง ๆ เป็นประเพณใี หญส่ ำหรับหมบู่ ้านและวดั นัน้ ๆ โดยใน
แต่ละภมู ภิ าคมรี ายละเอยี ดการจดั ประเพณแี ตกต่างกันไป
ค
ไ
ิ
ไ
ไ
ประเพณีตกั บาตรดอกไมม้ ีตำนานมาตั้งแตส่ มยั พทุ ธกาล โดยมีเรื่องเลา่ ว่า นายสุมนมาลา
การ เป็นชาวเมืองราชคฤห์ เขามีหนา้ ทน่ี ำดอกมะลไิ ปถวายพระเจา้ พิมพิสารวนั ละ 8 ทะนาน ทุก
วัน และจะไดท้ รัพย์วันละ 8 กหาปณะ ตอ่ มาเช้าวนั หน่งึ ขณะทเ่ี ขากำลงั ถือดอกไม้จะเข้าประตู
เมือง เปน็ เวลาท่ีพระพทุ ธเจา้ เสด็จออกบิณฑบาตพร้อมดว้ ยภิกษุสงฆ์ เขาเห็นพระพุทธเจ้าแลว้ เกิด
ความเลอ่ื มใส จงึ ถวายดอกไมด้ ้วยดอกไมท้ ีจ่ ะนำไปถวายพระราชาโดยมีความคิดว่า แมจ้ ะตอ้ งตาย
ดว้ ยโทษประหารก็ยอม ชาวเมอื งทราบดงั นั้นจึงพาการโห่รอ้ งสรรเสรญิ เป็นอนั มาก มเี พียงภรรยา
ของเขาที่ไมพ่ อใจ ภรรยาจึงนำความนนั้ ไปกราบทลู พระเจา้ พิมพสิ าร แต่พระเจ้าพิมพิสารเป็นพระ
โสดาบนั นอกจากจะไมโ่ กรธแล้ว ยงั นำความนี้กราบทูลพระพุทธเจ้าอกี ที พระพทุ ธเจา้ ไดก้ ล่าว
สรรเสริญนายสุมนมาลาการ ทำให้นายสมุ นมาลาการไดร้ บั ของพระราชทานจากพระเจ้าพิมพิสาร
ถงึ 8 ชนิด คือชา้ ง ม้า ทาส ทาสี เคร่อื งประดับ นารี อย่างละแปด ทรัพย์อีก 8 พันกหาปณะ และ
บ้านส่วยอกี 8 ตำบล คร้ันกลบั ถงึ วดั พระอานนท์ได้กราบทูลผลบุญทน่ี ายสุมนมาลาการจะพึง
ไดร้ บั พระพุทธองค์ตรสั วา่ นายสุมนมาลาการไดส้ ละชวี ิตบชู าพระองคใ์ นครั้งนี้จกั ไมไ่ ดไ้ ปเกิดใน
นรกตลอดแสนกลั ป์
ิ จห
ไดม้ ีการค้นพบรอยพระพุทธบาททว่ี ดั พระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร ซ่ึงอยูใ่ นสมยั พระเจา้
ทรงธรรม และมรการกำหนดเทศกาลนมัสการรอยพระพุทธบาทข้นึ 2 ครัง้ ในเดือน 3 และ เดอื น
4 ของทกุ ปี และในช่วงฤดฝู นใกล้กับวันเขา้ พรรษา จะมดี อกไมท้ ้องถิน่ ชนิดหน่งึ ที่จดั อยูใ่ นกลุ่มพชื
จำพวกกระชาย และขมิ้น ซึ่งจะออกดอกในชว่ งเวลาดงั กล่าว ซึ่งชาวบ้านทีพ่ บเหน็ ดอกไม้ชนดิ นี้จงึ
ได้เก็บนำมาถวายพระสงฆ์ และชาวบา้ นได้เรยี กช่อื ดอกไม้ชนดิ นว้ี ่า "ดอกเข้าพรรษา" ซ่งึ มาจาก
ชว่ งเวลาทดี่ อกไมช้ นิดน้ีบานในช่วงเทศกาลเข้าพรรษาพอดี ชาวบ้านได้พรอ้ มใจกนั นำดอก
เขา้ พรรษามาถวายพระสงฆ์ เพื่อนำไปสักการะรอยพระพทุ ธบาท เปน็ ประจำทุกๆ ปี
ิ
พธิ ีกวนข้าวทพิ ย์จังหวดั พระนครศรอี ยุธยาช่วงเวลา วันขน้ึ ๑๓-๑๔ คำ่ เดอื น ๖
พิธกี วนข้าวทพิ ยไ์ ดย้ ึดถอื ปฏบิ ตั ิเป็นประเพณสี บื ตอ่ กันมาต้งั แตอ่ ดีตจนถงึ ปจั จบุ นั ในหมู่
ของชาวพทุ ธทัว่ ไป เพอ่ื ระลึกถงึ สมเด็จพระสมั มาสัมพุทธเจ้าและเหตกุ ารณ์ท่ีนางสุชาดา
ไดก้ วนข้าวทิพยใ์ นวนั ขนึ้ ๑๔ ค่ำ แล้วนำไปถวายพระพุทธเจา้ กอ่ นทจี่ ะตรสั รู้ ๑ วัน โดย
ถอื วา่ มผี ลานสิ งฆม์ าก ดว้ ยเหตนุ ีช้ าวพุทธจงึ พรอ้ มใจกันกวนขา้ วทพิ ย์ เพื่อถวายเปน็ พทุ ธ
บูชา เทิดทูนพระเกียรตคิ ณุ ด้วยความกตญั ญูกตเวทติ าธรรม ขา้ วทิพย์มธปุ ายาสนเี้ ชื่อกัน
ว่า เม่อื ทำครบถ้วนตามพธิ ีแลว้ จะเปน็ สริ มิ งคลแด่ผู้ทำและผูบ้ รโิ ภค สมควรจะเซน่ สรวง
เทพารกั ษ์ ผทู้ ่ีไดบ้ รโิ ภคขา้ วทพิ ยแ์ ลว้ จะประสบโชคลาภต่างๆ นานา ปราศจาก
โรคาพยาธิ ภยั พบิ ตั ิ ประสบสิ่งทเ่ี ปน็ มงคล
ห แปลว่า การเสดจ็ ลงจากเทวโลก (ของพระพทุ ธเจ้า) เปน็
เหตุการณ์ตอนหนง่ึ ของพระพทุ ธเจา้ คอื ในพรรษาท่ี 7 ได้เสดจ็ ขึน้ ไปจำพรรษาบน
เทวโลกคอื บนสวรรคช์ ้ันดาวดงึ สเ์ พอื่ แสดงธรรมโปรดพทุ ธมารดา ครัน้ ถึงวนั มหา
ปวารณา เสดจ็ ลงจากเทวโลกในวันขน้ึ 15 คำ่ เดอื น 11 ตำนานเลา่ วา่ พระอนิ ทร์
ทรงนิมิตบนั ได 3 อยา่ งถวาย คอื บนั ไดทอง บนั ไดแก้วมณี บนั ไดเงนิ หัวบันได
พาดอยูท่ ่ยี อดเขาสเิ นรุ เชิงบันไดอย่ทู ปี่ ระตูเมืองสังกัสสนคร เวลาเสด็จลงทรงใช้
บนั ไดแกว้ มณี เหล่าเทวดาลงทางบันไดทอง เหลา่ มหาพรหมลงทางบนั ไดเงนิ
เรยี กการเสดจ็ ครง้ั น้ันวา่ ห
ำ
การทำขวญั ขา้ ว เป็นประเพณีบวงสรวงแมโ่ พสพ ผ้เู ป็นวญิ ญาณแห่งขา้ ว
โดยเชือ่ วา่ ถา้ ขา้ วมีขวัญสงิ อยปู่ ระจำไมห่ ลกี ลไี้ ปไหน ตน้ ข้าวก็จะงอกงามสมบรู ณ์
ใหผ้ ลสงู ไม่มีโรคภยั เบียดเบียน หรือเฉาตาย ส่วนท่เี ก็บเกีย่ วข้นึ สู่ยุ้งฉางแล้ว แม้
จะจำหน่ายขายหรอื กินก็สิ้นเปลอื งไปน้อยทสี่ ุด ชาวบา้ นในสมยั ก่อนเชอื่ กนั วา่ แม่
โพสพเป็นวิญญาณของข้าว ฉะน้ันจึงเกดิ ความเคารพยำเกรง และตอ้ งการทจี่ ะ
แสดงความกตัญญูกตเวทีต่อแมโ่ พสพ จงึ มีการบวงสรวงบชู าแม่โพสพขึน้
นอกจากนน้ั ชาวบ้านยังเชอ่ื วา่ ขา้ วมี "ขวญั ” สิงสถิตอย่ปู ระจำไม่หลีกหนีไปไหน
การท่ขี า้ วมขี วัญสงิ อยู่จะทำใหต้ น้ ขา้ วงอกงามสมบูรณ์ ใหผ้ ลผลิตสงู และไมม่ ี
โรคภยั เบียดเบยี นหรอื เฉาแหง้ ตาย เมือ่ นำขา้ วทเ่ี ก็บเกี่ยวเสรจ็ แลว้ ข้ึนสู่ย้งุ ขา้ ว
หรือลอมขา้ ว หรือเรนิ ขา้ ว แม้ว่าจะนำมาจำหนา่ ยหรือกนิ ก็ไมห่ มด หรอื สนิ้ เปลอื ง
น้อยทสี่ ดุ การทำขวญั ขา้ วนิยมทำหลงั จากเก็บเกยี่ วและขนขา้ วขนึ้ สยู่ ้งุ ฉาง
เรียบรอ้ ยแล้ว ชาวบา้ นในจังหวัดพัทลุงเช่อื วา่ การทำขวญั ข้าวเปน็ การประกอบพิธี
เพ่ือสดดุ ีแมโ่ พสพ เพอื่ ความสวสั ดิมงคลและเพอื่ แสดงความช่ืนชมยินดที ไี่ ดท้ ำนา
ประสบผลสำเรจ็ เกอื บทกุ ขนั้ ตอนของการทำนา ชาวนาต้องรำลกึ ถงึ แมโ่ พสพ
เรมิ่ แต่แรกหว่านก็ต้องหาวนั ดี พันธุ์ขา้ วตอ้ งแบ่งส่วนจากขา้ วขวัญอนั เป็นขวัญ
แห่งแม่โพสพ กอ่ นถอนตน้ กลา้ ไปปกั ดำต้องขอขมา ตอนเรมิ่ ปกั ดำตอ้ งเชญิ ขวัญ
มาอยู่รากอยกู่ อ ขา้ วออกรวงสกุ อรา่ มตอ้ ง "รวบขา้ ว” ผูกขวญั ไว้ เก็บเกี่ยวแลว้
ต้องทำขวญั ข้าวเป็นครั้งสำคญั และเมอื่ จะรอ้ื ข้าวลงจากกองมานวดทกุ คร้ังกต็ อ้ ง
ขมาลาโทษ ในทุกข้นั ตอนท่ีว่านี้ การทำขวญั เปน็ การแสดงออกต่อแมโ่ พสพอย่าง
เปน็ พิธรี ีตองมากทส่ี ดุ
ำ
ำ เป็นประเพณสี ำคัญตงั้ แตส่ มยั โบราณ ซึง่ เกย่ี วกบั วถิ ีชีวติ ของ
ชาวไทยพวน ทอี่ าศัยกระจายไปอยใู่ นหลายภูมภิ าค เช่น ต.ไผ่หลิ่ว อ.ดอนพุด จ.สระบุรี
ลพบุรี สิงหบ์ รุ ี สุพรรณบรุ ี ฉะเชิงเทรา นครนายก ปราจีนบรุ ี อดุ รธานี หนองคาย แพร่ สุ
โขทัย อตุ รดิตถ์ และพิจติ ร เป็นตน้ แมก้ ารรวมตวั ในแตล่ ะถิ่นไมม่ ากนกั แตท่ ุกแห่งตา่ งก็
สามารถรักษาวถิ ชี ีวิต และขนบธรรมเนียมดัง้ เดมิ ไวไ้ ด้อย่างดี
ำ หมายถึง การสักการบชู า (ภาษาพวน) ำ หมายถึง การสักการบูชาฟ้า
วันขน้ึ 3 ค่ำเดอื น 3 เปน็ วนั กำฟ้า ก่อนวนั กำฟา้ 1 วัน คือวนั ข้ึน 2 คำ่ เดือน 3 จะ
ถอื เป็นวนั สกุ ดบิ แต่ละบา้ นจะทำขา้ วปุน้ หรือ ขนมจีน พรอ้ มทง้ั น้ำยา และน้ำพริกไว้
เลีย้ งดกู นั มกี ารทำข้าวหลามเผาไว้ในกระบอกข้าวหลามอ่อน มีการทำข้าวจี่ ขา้ วจ่ีทำ
โดยนำขา้ วเหนยี วทนี่ ่งึ สกุ แล้วนำมาปั้นเป็นกอ้ นขนาดพอเหมาะ อาจจะใสใ่ สห้ วานหรือ
ใส่ใสเ้ คม็ หรอื ไมใ่ ส่ใส้เลย กไ็ ด้ เสยี บเขา้ กบั ไม้ทาโดยรอบด้วยไข่ แล้วนำไปปิ้งไฟจนสุก
หอม ข้าวจจ่ี ะนำไปเซน่ ไหวผ้ ฟี า้ และแบง่ กนั กนิ ในหมญู่ าตพิ ่นี อ้ ง พอถึงวนั กำฟ้าทุกคนใน
บ้านจะไปทำบญุ ทวี่ ดั มกี ารใส่บาตรด้วยข้าวหลาม ขา้ วจี่ ตกตอนบา่ ยจะมกี ารละเลน่ ไป
จน ถึงกลางคืน การละเลน่ ทน่ี ยมได้แก่ ชว่ งชัย มอญซอ่ นผา้ นางด้ง ฯลฯ
()
ประเพณีรบั บัวเปน็ ประเพณีเกา่ แกส่ บิ ทอดกนั มาแต่โบราณ ของชาวอำเภอบาง
พลี จงั หวดั สมทุ รปราการ โดยจดั งานทุกวนั ขนึ้ 14 ค่ำ เดือน 11 ของทกุ ปี โดยใน
สมัยก่อน อำเภอบางพลี มปี ระชาชนอาศยั อยแู่ บง่ เปน็ 3 กลุ่ม คือ คนไทย คนลาว และ
คนรามญั (ชาวมอญพระประแดง) ทกุ กลมุ่ ชนตา่ งทำมาหากนิ และอยู่รว่ มกนั อย่างอบอุ่น
เสมอื นญาติมติ ร
ประเพณรี ับบัว เกิดข้นึ เพราะความมีนำ้ ใจท่ีดตี ่อกันระหว่างคนในท้องถ่ินกับ
คนมอญพระประแดงซึง่ ทำนาอยูท่ ่ีตำบลบางแก้ว ในชว่ งออกพรรษาจะกลบั ไปทำบุญที่
อำเภอพระประแดง ไดเ้ ก็บดอกบัวเพอ่ื บูชาพระหรือถวายแดพ่ ระสงฆแ์ ละฝากเพอ่ื นบา้ น
ในปตี อ่ มา ชาวอำเภอเมอื ง และชาวอำเภอพระประแดง ต่างพร้อมใจกนั พายเรอื มาเกบ็
ดอกบัวท่ีอำเภอบางพลแี ละถอื เปน็ โอกาสอนั ดีในการนมสั การองค์หลวงพ่อโต อกี ทั้ง
ระยะทางระหวา่ งที่อำเภอพระประแดงกบั อำเภอบางพลไี กลกนั มาก เพอื่ ใหเ้ กิดความ
สนกุ สนานเพลดิ เพลินเรอื แตล่ ะลำจะร้องรำทำเพลงมาตลอดเสน้ ทาง
สำหรบั การแห่หลวงพ่อโตทางน้ำในประเพณรี ับบัวท่ีเหน็ กันอยู่ทุกวนั นี้ สบื เนือ่ งจาก
พ.ศ. 2467 นางจั่นกับพวกชาวบางพลี ไดร้ ว่ มสร้างองคป์ ฐมเจดีย์ ณ วดั บางพลีใหญ่ใน
และจัดงานเฉลิมฉลองโดยแหผ่ ้าห่มองคพ์ ระปฐมเจดีย์ และวิวฒั นาการมาเปน็ แห่องค์
หลวงพ่อโตจำลองอญั เชญิ ไปตามลำคลองสำโรง เพ่อื ให้ประชาชนไดน้ มสั การ ดอกไมท้ ีใ่ ช้
นมสั การคอื ดอกบวั
ไ
ชาติไทยมีประเพณีอนั ดงี ามตกทอดสืบต่อกันมาแต่คร้ังโบราณกาล ตาม
หลกั ฐานทป่ี รากฏอยรู่ ะบุว่า ในสมัยสโุ ขทยั มปี ระเพณที น่ี า่ สนใจหลายอยา่ ง อาทิ
ประเพณีทางด้านศาสนา ชาวสุโขทยั เปน็ พุทธมามกะท่มี ศี รทั ธาและเลอื่ มใสใน
พระพุทธศาสนาเป็นอยา่ งยง่ิ ชาวสโุ ขทยั นบั แตพ่ ระมหากษตั ริยจ์ นถึงชาวบ้าน
ท่ัวไปจะไปวัดทำบญุ ทำทานรกั ษาศลี อย่างเคร่งครัด ไปฟังพระธรรมเทศนาท่กี ลาง
ดงตาลในเมืองสุโขทยั เมื่อถึงเทศกาลเขา้ พรรษาในเดือน 8 ชาวสุโขทยั มกี ารถือ
ศีล ทำบุญ ทำทาน กลุ บตุ รทีม่ อี ายุพอสมควรกอ็ อกบวชเปน็ ภิกษุสงฆ์ใน
พระพุทธศาสนาชั่วระยะเวลาเขา้ พรรษาตามประเพณนี ิยม และเมอื่ ถงึ เทศกาล
ออกพรรษาในเดือน 11 กม็ กี าร ทอดกฐินถวายปจั จยั เชน่ ถวายพนมเบ้ีย พนม
หมาก พนมดอกไม้ ถวายหมอนนงั่ หมอนนอน เปน็ ตน้ การทอดกฐนิ นก้ี วา่ จะ
เสร็จกใ็ ช้เวลาเดือนหนึ่ง ในเทศกาลออกพรรษาก็มีการละเลน่ ตา่ งๆ เชน่ เล่น
ดอกไมไ้ ฟ หกคะเมน ไต่ลอดบว่ ง รำแพน เล่นดนตรี ขบั ร้อง เตน้ ระบำรำฟอ้ น
เครื่องดนตรีในสมยั นน้ั มี ฆอ้ งวง กลองประเภทตา่ งๆ อาทิ กลองมโหระทึก แตร
สงั ข์ ระฆงั กงั สดาล ฉ่ิงฉาบ บณั เฑาะว์ พณิ และซอ เป็นต้น
ค หื
ห
ห
ิ
ห
หึ
ไ
ห
ไห ื ไ
ห
เป็นเทศกาลทจี่ ัดข้นึ ในอำเภอดา่ นซา้ ย จังหวดั เลย ซึง่ ตง้ั อยทู่ างภาค
อสี าน ของประเทศไทย เปน็ เทศกาลที่เกิดขึน้ ในเดือน 7 ซงึ่ มักจดั มากกวา่ สามวันในบาง
ชว่ งระหวา่ งเดือนมนี าคม และกรกฎาคม โดยจดั ขน้ึ ในวันท่ีไดร้ บั เลือกใหจ้ ัดขึ้นในแตล่ ะปี
โดยคนทรงประจำเมอื ง ซึง่ งานบุญประเพณพี นื้ บา้ นน้ีมชี อ่ื เรียกวา่ บุญหลวง โดยแบง่
ออกเป็นเทศกาล ผีตาโขน, ประเพณบี ุญบ้ังไฟ และงานบญุ หลวง (หรือ บญุ ผะเหวด)
ผตี าโขน นนั้ เดมิ มชี อื่ เรยี กวา่ ผีตามคน เปน็ เทศกาลทไ่ี ดร้ บั อทิ ธพิ ลมาจากมหา
เวสสันดรชาดก ชาดกในทางพระพทุ ธศาสนา ทว่ี า่ ถึงพระเวสสันดร และพระนางมทั รี จะ
เดนิ ทางออกจากปา่ กลบั สู่เมืองหลวง บรรดาสตั วป์ ่ารวมถึงภตู ิผที ี่อาศยั อยใู่ นป่านนั้ ได้
ออกมาส่งเสด็จด้วยอาลยั
ห
สังคมไทยส่วนใหญเ่ ปน็ สงั คมเกษตรกรรม น้ำเปน็ สิ่งสำคญั ในการประกอบ
อาชีพทา้ ไรท่ ้านา หากฝนไมต่ กต้องตาม ฤดูกาลยอ่ มสร้างความเดือนร้อนใหก้ บั
ชาวไร่ชาวนาทั่วไป เพราะฉะน้ันเพอื่ ใหฝ้ นตกลงมาจะไดม้ นี ำ้ เพยี งพอในการทา้
การ เกษตรกรรมจึงต้องท้าพธิ “ี แหน่ างแมว”ขนึ้ เพ่ือออ้ นวอนขอให้ฝนตกลงมา
สร้างความชุม่ ชนื่ แก่แผน่ ดนิ และพ้ืนทที่ ำสวน ทำไร่ ทำนาของทุกคน ความเชอ่ื
เกย่ี วกับประเพณแี ห่นางแมว คนไทยมคี วามเชอื่ ว่าฝนตกลงมาเพราะเทวดา และ
ฝนเปน็ ของเทวดา เนือ่ งจาก เทโว แปลวา่ ฝน เหตุท่ีฝนไมต่ กมหี ลายเหตุผลเชน่
เกดิ จากดนิ ฟา้ อากาศเปลีย่ นแปลง ประชาชนหย่อนสธิ รรม เจ้า เมอื งหรือเจา้
แผน่ ดินไม่ทรงอยูใ่ นทศพิธราชธรรม เป็นตน้ สว่ นความเชอื่ ท่เี ก่ียวกบั แมว คนไทย
เชอื่ วา่ แมวเปน็ สัตวศ์ ักดสิ์ ทิ ธิ์ มี อ้านาจลกึ ลับ และเปน็ สัตวท์ ีม่ ีสเี ดียวกบั เมฆ คือ
แมวสสี วาด เมอ่ื น้ามาประกอบพธิ สี ามารถเรียกฝนใหต้ กลงมาได้ นอกจากนี ยงั
ชาวอิสานเชอื่ ว่าแมวเปน็ สัตวท์ เี่ กลยี ดฝน ถ้าฝนตกครั้งใดแมวจะรอ้ งทนั ที จึงถอื
เคลด็ วา่ ถา้ แมวรอ้ ง จะเปน็ เหตุใหฝ้ นตกจริงๆ ชาวบ้านจงึ รว่ มกนั สาดน้ำ ทำให้
แมวรอ้ งมากทส่ี ุดจึงจะเปน็ ผลดี
ิ
งานบุญเบิกฟ้ากาชาด ได้จัดข้ึนบรเิ วณศาลากลางจงั หวัดมหาสารคาม ช่วงเวลา
วนั ขน้ึ ๓ คำ่ เดอื น ๓ ของทกุ ๆ ปี (อยรู่ ะหวา่ งปลายเดอื นมกราคม-ตน้ เดือนกมุ ภาพนั ธ์)
เปน็ งานเฉลิมฉลองในชว่ งตน้ ฤดกู ารทำนาเพอื่ ฟ้นื ฟูและอนุรักษ์มรดกทางวฒั นธรรม ของ
อสี าน ในงานจดั ให้มขี บวนแห่บญุ เบิกฟ้า ซงึ่ เปน็ เร่อื งราวเกย่ี วกบั พระแมโ่ พสพ เรื่องของ
พานบายศรสี ู่ขวญั ตลอดจนวฒั นธรรม การละเล่น ดนตรีพน้ื บ้าน และพธิ ีกรรมต่าง ๆ
ค ำค
ประเพณี บุญเบกิ ฟ้า เปน็ ประเพณขี องชาวมหาสารคามท่ปี ระกอบขนึ้ ตามความ
เชื่อวา่ เมอ่ื ถงึ วันขนึ้ ๓ คำ่ เดอื น ๓ ของทุกๆ ปี ฟา้ จะเริม่ ไขประตฝู น โดยจะมเี สยี งฟา้
รอ้ ง และทศิ ทฟี่ า้ รอ้ งเปน็ สญั ญาณบง่ บอกตวั กำหนดปริมาณน้ำฝนทีจ่ ะตกลงมาหล่อเลยี้ ง
การเกษตรในปนี ั้น ๆ
ห
" ห " จัดอยู่ในฮีตที่ 4 หรือ บญุ เดอื นส่ี คำวา่ " ห " เปน็ ภาษา
อีสาน มีที่มาจากงานประเพณีพระเวสสันดรชาดกในภาษาภาคกลาง หรืองานบญุ
มหาชาติ ทีเ่ ปน็ พระนามขององค์สมั มาสมั พระพทุ ธเจา้ ในชาติสดุ ทา้ ยกอ่ นทพี่ ระองค์จะ
ประสูตเิ ป็นเจ้าชายสิทธตั ถะและตรสั รดู้ ว้ ยพระองคเ์ อง เป็นศาสดาของศาสนาพุทธ พระ
เวสสันดร ถอื ว่าเป็นชาตทิ ีส่ ำคญั ยิง่ เนอ่ื งจากเปน็ ชาตทิ พี่ ระองคไ์ ด้บำเพญ็ ทานบารมอี ยา่ ง
ใหญห่ ลวง
บุญผะเหวดรอ้ ยเอด็ เปน็ งานบญุ อนั เกา่ แก่ทอี่ ยคู่ ู่กบั ชาวรอ้ ยเอ็ดมานานกวา่ 100
ปีแล้ว แต่เพ่งิ จะได้รบั การฟื้นฟใู หเ้ ปน็ ประเพณปี ระจำจังหวัดขนึ้ มา ในปี พ.ศ. 2534 โดย
สุพร สุภสร ผ้วู า่ ราชการจังหวัดรอ้ ยเอ็ดสมยั นน้ั พร้อมดว้ ยชาวร้อยเอด็ ทุกคน
การจัดงานบุญผะเหวดของชาวรอ้ ยเอ็ดนนั้ มีความเช่ือกนั วา่ หากไดฟ้ ังเทศนบ์ ญุ ผะเหวด
ครบ 13 กัณฑ์ จบภายในวันเดียวและจัดพธิ ีต้งั เครือ่ งคาย (บูชา) ได้ถูกตอ้ ง อานสิ งส์จะ
ดลบนั ดาลให้ไปเกิดในศาสนาของพระศรีอรยิ เมตไตร ซึง่ เป็นดินแดนแหง่ ความสุข สงบ
แตใ่ นทางกลบั กนั หากตั้งเครอ่ื งคายไมถ่ ูกต้อง กจ็ ะดลบนั ดาลใหเ้ กิดอาเพศต่าง ๆ นานา
ท้ังน้กี ารจัดงานบญุ ผะเหวดแต่ละครั้งเป็นงานบญุ สำคญั ทท่ี ุกคนในหมบู่ ้านไดแ้ รงรว่ มใจ
กันจดั ข้นึ นอกจากการฟงั เทศนม์ หาชาตแิ ลว้ ประเพณนี ีย้ ังแฝงไวด้ ว้ ยความเชอื่ หลาย
ประการเข้าไวด้ ้วยกัน ท่ีสำคัญไดแ้ ก่ ความเชือ่ เร่อื งพระอปุ คตุ ซึง่ เปน็ พระผ้รู กั ษาพิธีให้
ดำเนนิ ไปอยา่ งราบรืน่ ตั้งแตต่ น้ จนจบ ไม่มีพญามารมารบกวน
ำ
สายนำ้ โขงสขี นุ่ ทไ่ี หลเรอ่ื ย ช่วงเรม่ิ ต้นแหง่ ฤดฝู น ระดับสงู ข้ึนใกล้เต็มตล่ิง ใกล้
เวลาทช่ี าวบา้ นสองฝ่ังโขงจะมาร่วมใจ ลงแรง ชว่ ยลุ้น ผลดั กนั ส่งเสยี งรอ้ งใหก้ ำลังใจ
เหล่าฝพี ายจากทตี่ ่างๆ ทมี่ าพร้อมกันเพื่อช่วงชงิ ชัยเจา้ แห่งสายน้ำ ณ เมืองมกุ ดาหาร ซงึ่
มเี อกลักษณ์ของพิธีการ ไมเ่ หมอื นใครจนกลายเปน็ ประเพณที ป่ี ฏบิ ตั สิ ืบตอ่ กันมาทกุ ครัง้
กอ่ นทจ่ี ะเรม่ิ การแข่งขนั คือ ประเพณกี ารตีช้างน้ำนอง ในงานแขง่ เรอื ประเพณีออก
พรรษาไทย-ลาว (มุกดาหาร-สะวนั นะเขต)
เร่ิมตน้ เอาฤกษเ์ อาชัย ขบวนเรือทเ่ี ขา้ แข่งขันตา่ งมารวมตัวพรอ้ มกนั ณ ทา่ น้ำ
ขบวนเรอื พายเรือล่องตามนำ้ โขง ทุกฝีพายต่างโห่ร้อง ตกี ลอง เคาะ เกราะ เกิดเป็น
จังหวะทข่ี ึงขัง เพอ่ื ประกอบพิธสี กั การะพระแมค่ งคา เทวดา พญานาค บวงสรวงส่ิง
ศกั ด์ิสทิ ธ์ิคู่บา้ นคู่เมอื งทงั้ ทางบกทางนำ้
จากช่วงจังหวะท่ไี ม้พายจ้วงลงพ้นื นำ้ เมอ่ื ยกข้นึ สายนำ้ กส็ าดกระเซ็นเปน็ ละออง
รวมกับโขลงใหญก่ ำลังเล่นนำ้ อย่างสนกุ สนาน และเกิดระลอกคลื่นซัดเข้ากระทบฝง่ั อยา่ ง
ต่อเนอ่ื ง จนมีเสยี งดงั คล้ายเสยี งชา้ งรอ้ ง ดว้ ยเหตุน้ีคนโบราณจึงเรียกพิธีน้ีว่า "พิธตี ี
ชา้ งน้ำนอง" เรื่อยมา
ห ื ็ ฑธ ( ห)
ประเพณแี ซนโฎนตา เปน็ ประเพณหี นง่ึ ที่มคี วามสำคญั และปฏิบตั ิสบื ทอดติดต่อกันมา
ยาวนาน นับเปน็ พัน ๆ ปีของชาวเขมร ทแ่ี สดงออกถึงความกตญั ญูต่อผูม้ พี ระคณุ
สะทอ้ นใหเ้ ห็นความรกั ความผกู พนั ความกตัญญรู คู้ ณุ ของสมาชิกในครอบครัวเครอื ญาติ
และชุมชน โดยจะประกอบพธิ กี รรมตรงกบั วันแรม ๑๔ คำ่ เดือน ๑๐ ของทกุ ปี ซ่ึงเม่ือ
ถึงวนั น้นั ลกู หลาน ญาติ พีน่ ้องทไี่ ปประกอบอาชีพ หรือตั้งถ่นิ ฐานอยทู่ ่อี ืน่ ไมว่ ่าจะใกล้
หรือไกลจะตอ้ งเดนิ ทางกลบั มารวมญาติ เพอื่ ทำพธิ ีแซนโฎนตา เปน็ ประจำทกุ ปี
แซนโฎนตาเปน็ ภาษาเขมร แซน หมายถึง การเซน่ การเซน่ ไหว้ การบวงสรวง โฎน
ตา หมายถงึ การทำบญุ ให้ปยู่ ่า ตายาย หรอื บรรพบรุ ุษทล่ี ่วงลับไปแลว้ ประเพณีแซน
โฎนตา จงึ หมายถงึ ประเพณกี ารเซ่นไหวผ้ บี รรพบุรษุ ที่นับได้วา่ เป็นประเพณีสำคญั ทคี่ น
ไทยเชื้อสายเขมร มีการสืบทอดกนั มาเปน็ ระยะเวลานาน นอกจากประเพณแี ซนโฏนตา
จะเปน็ การอุทศิ ส่วนกศุ ลใหแ้ ก่ผีบรรพบุรุษ ปู่ยา่ ตายาย พอ่ แม่ จุดมุง่ หมายรองของการ
ออกกศุ โลบายของบรรพบุรษุ คอื การแสดงถงึ ความกตัญญูกตเวทขี องลูกหลานท่แี สดง
ตอ่ ผมู้ พี ระคุณทล่ี ว่ งลบั ไปแลว้ และเพอื่ ให้ลูกหลาน ญาตมิ ิตรจะไดม้ าร้จู กั กันสรา้ งความ
สามคั คี สร้างสมั พนั ธท์ ดี่ ตี อ่ กนั เปน็ ท่ีพงึ่ พาอาศยั ซึง่ กนั และกัน
หึ
ประเพณแี หป่ ราสาทผึง้ จดั ขึ้นอย่างยิ่งใหญเ่ ปน็ ประจำทุกปีในช่วงเทศกาลวันออก
พรรษาและถอื ปฏบิ ัตสิ บื ทอดกันมานาน จนกลายเปน็ ประเพณปี ระจำจงั หวัดสกลนคร
จากความเชือ่ ความศรทั ธาผสานกับภมู ปิ ัญญาของชาวสกลนคร สรา้ งสรรคค์ วามวิจติ ร
งดงามของปราสาทผ้ึงไดอ้ ยา่ งตระการตาการประดิษฐป์ ราสาทผง้ึ ของชาวสกลนครน้ัน
สร้างสรรคอ์ ิงตามพทุ ธประวตั คิ รัง้ พระพุทธเจ้าทรงเสด็จลงจากสวรรคช์ ัน้ ดาวดงึ ส์ในวนั
ปวารณาออกพรรษา พระพทุ ธเจ้าตรสั อำลาพระอินทร์ เพอ่ื เสด็จลงสู่เมอื งมนษุ ย์ พระ
อินทร์จึงเนรมิตบันไดเงนิ บันไดทอง และบันไดแกว้ มณีใหพ้ ระองค์ไดเ้ สดจ็ ลงมา เทวดา
มนษุ ย์ ครุฑ นาค สตั ว์นคร ต่างชนื่ ชมในพระบารมีของพระพทุ ธองคแ์ ละเกดิ ความ
เล่อื มใสในบุญกศุ ลน้นั และเกิดจินตนาการมองเหน็ ปราสาทวมิ านสวยงามบนสรวง
สวรรค์ จึงร้ชู ัดว่าการทจี่ ะไดไ้ ปอย่ใู นปราสาทสวยงามได้นนั้ จะต้องสรา้ งบญุ สรา้ งกศุ ล
ประพฤตปิ ฏิบัตอิ ยใู่ นหลกั ธรรม
ไ
ไ เปน็ ประเพณหี นงึ่ ของภาคอีสานของประเทศไทย ตลอดจน
ประเทศลาว โดยมที ีม่ าจากนทิ านพ้นื บ้านเรอ่ื งพญาคันคาก เรอื่ งผาแดงนางไอ่ ซง่ึ
ในนทิ านพืน้ บา้ นดงั กลา่ วไดก้ ลา่ วถงึ การที่ชาวบา้ นไดจ้ ัดงานบญุ บัง้ ไฟข้ึนเพ่อื เปน็
การบูชา พญาแถน หรอื เทพวสั สกาลเทพบตุ ร ซงึ่ ชาวบ้านมีความเช่ือวา่ พระยา
แถนมหี น้าท่คี อยดูแลใหฝ้ นตกถกู ตอ้ งตามฤดกู าล และมคี วามช่นื ชอบไฟเปน็ อยา่ ง
มาก หากหมบู่ า้ นใดไมจ่ ดั ทำการจัดงานบุญบ้ังไฟบูชา ฝนกจ็ ะไมต่ กถูกต้องตาม
ฤดกู าล อาจกอ่ ให้เกิดภัยพบิ ตั ิกบั หม่บู า้ นได้ โดยท้ังน้กี ารจัดงานประเพณบี ุญบง้ั
ไฟ ของ จงั หวัดยโสธร ได้รับการสนบั สนนุ จากการท่องเทีย่ วแหง่ ประเทศไทย ใน
การประชาสมั พนั ธ์งานประเพณี เป็นทีร่ ู้จักแกช่ าวไทย และตา่ งประเทศ นับแต่ ปี
2523 ซง่ึ งานประเพณบี ุญบัง้ ไฟจังหวัดยโสธร จะจัดขน้ึ ในวันเสาร์ อาทิตย์
สปั ดาหท์ ่สี อง ของเดอื นพฤษภาคม ในทกุ ปี โดยทง้ั นี้ ในงานที่จดั ของจงั หวัด
ยโสธร ยงั มีความโดดเด่น ในวันก่อนแห่ มกี ารประกวดกองเชียร์ จำนวนมาก
รวมท้ัง วนั แหบ่ งั้ ไฟ จะมีขบวนบ้ังไฟแบบโบราณ และการรำเซงิ้ แบบโบราณ จาก
ท้งั 9 อำเภอของจงั หวัดยโสธร เข้าร่วมด้วย
ห
ห จ ห ธ เป็นงานบุญประเพณที ยี่ ิ่งใหญ่
ของจังหวดั มาอย่างยาวนาน ทีจ่ ดั สืบทอดตดิ ต่อกนั มากว่า 118 ปี คะ่ โดยทุกภาคส่วน
ของจังหวดั จะสนบั สนนุ ใหม้ กี ารทำเทยี นพรรษาตลอดท้งั เดอื นกอ่ นจะถงึ วันเข้าพรรษา
โดยจะใช้ ึ ในการทำเทียน ซ่ึงในสมัยโบราณน้นั จะนำเทียนเล่มเลก็ ๆ โดยมีการมัด
รวมกนั ใหเ้ ป็นเทียนเลม่ ใหญ่ และจัดขบวนนำไปถวายวดั การรวมเทยี นพรรษาเปน็ กล่มุ น้ี
แสดงถงึ ความสามคั คีในหม่คู ณะนน่ั เอง
ตอ่ มาในการทำเทยี นนนั้ เรมิ่ มีการพฒั นา โดยมกี ารแกะสลักเข้ามาร่วม ซ่งึ จะนำ
ขผ้ี ง้ึ มาหลอ่ เปน็ เทยี นเลม่ ใหญ่ จากนัน้ ช่างฝมี อื จะมาแกะสลกั เป็นลวดลายสวยงามต่างๆ
โดยเฉพาะลวดลายของอีสานดง้ั เดิม
ไห ื ไ
ประเพณไี หลเรอื ไฟเปน็ ประเพณีทีช่ าวนครพนม ภาคภมู ิใจ เพราะบรรพบุรุษ ได้
ยดึ ถือปฏบิ ัติกนั มานานตง้ั แตโ่ บราณ โดยมคี วามเชอื่ ในประเพณีว่าเนอ่ื งมาจากการบูชา
รอย พระพทุ ธบาทการสักการะทา้ วพกาพรหม การบวงสรวจพระธาตจุ ุฬามณี และการ
ระลกึ ถึงพระคณุ ของพระแม่คงคาการขอฝน การเอาไฟเผาความทุกข์ และการบูชา
พระพทุ ธเจา้ ประเพณกี ารไหลเรือไฟบางทเี่ รียกว่า " ลอ่ งเรอื ไฟ " " ลอยเรอื ไฟ " หรอื "
ปล่อย เรอื ไฟ" ซ่งึ เปน็ ลกั ษณะทเ่ี รอื ไฟเคล่ือนทไ่ี ปเรือ่ ยๆ เรอื ไฟหรอื เฮอื ไฟ หมายถึง เรอื
ท่ีทำดว้ ยท่อนกลว้ ย ไม้ไผ่หรอื วสั ดุทีล่ อยนำ้ มโี ครงสร้างเป็นรูปต่างๆ ตามต้องการ เมอ่ื
จดุ ไฟใสโ่ ครงสรา้ ง เปลวไฟจะลกุ เปน็ รูปรา่ งตามโครงสร้างนั้น งานประเพณีไหลเรือไฟ
นยิ มปฏิบตั กิ ันในเทศกาล ออกพรรษาในวันขนึ้ ๑๕ ค่ำ เดอื น ๑๑ หรอื วันแรม ๑ คำ่
เดอื น ๑๑
ค
หไ
ืิ
ห ึธ
ห
ค
ห
ธ
หไ
กลา่ วถงึ ในขุนทกนิกายชาดก เรือ่ ง ความตระหนถ่ี ีเ่ หนียวของโกลยิ ะเศรษฐี ท่ีอยาก
กนิ ขนมเบ้ือง แตเ่ สยี ดายเงนิ ไมย่ อมซอ้ื และไม่อยากใหล้ กู เมยี ได้กนิ ดว้ ย ภรรยาจึงทำขนม
เบอื้ งท่ีบ้านชั้นเจ็ดให้เศรษฐไี ด้รับประทานโดยไม่ใหผ้ ้ใู ด เหน็ ขณะทสี่ องสามภี รรยากำลงั
ปรงุ ขนมเบื้อง พระพทุ ธเจ้าประทบั อยู่ท่ีเชตวนั มหาวหิ าร ทรงทราบด้วยญาณ จงึ โปรดให้
พระโมคคลั ลานะไปแกน้ ิสัยของโกลยิ ะเศรษฐี พระโมคคคั ลานะตรงไปบนตกึ ช้นั เจ็ดของ
คฤหาสนเ์ ศรษฐี เศรษฐีเข้าใจวา่ จะมาขอขนม จงึ แสดงอาการรังเกยี จและออกวาจาขับไล่
แต่พระโมคคคั ลานะพยายามทรมานเศรษฐีอยนู่ านจนยอมละนสิ ยั ตระหน่ี พระโมคคลั ลา
นะได้แสดงธรรมเร่อื งประโยชนข์ องการให้ จนโกลิยะเศรษฐีและภรรยาเกิดความเลอ่ื มใส
ไดน้ มิ นต์มารับถวายอาหารทีบ่ ้านตน พระโมคคลั ลานะแจง้ ให้นำไปถวายพระพุทธเจา้
และพระสาวก ๕๐๐ รปู ณ เชตวันมหาวหิ าร โกลิยะเศรษฐีและภรรบาได้นำเข้าของ
เคร่ืองปรุงไปทำขนมเบือ้ งถวายพระพทุ ธเจ้า และพระสาวก แตป่ รงุ เทา่ ไหรแ่ ป้งท่ีเตรยี ม
มาเพยี งเล็กนอ้ ยก็ไมห่ มด พระพทุ ธเจา้ จึงโปรดเทศนาสั่งสอน ทงั้ สองคนเกดิ ความปตี ิอิม่
เอิบในการบรจิ าคทาน เหน็ แจ้งบรรลธุ รรมชั้นโสดาบัน
ช่วงเวลา การให้ทานไฟ ส่วนใหญจ่ ะปฏิบตั ิในช่วงเดอื นยี่ เป็นชว่ งเวลาที่อากาศหนาว
เย็นท่สี ุด โดยชาวบ้านจะนดั หมายไปพรอ้ มกนั ในเวลายำ่ ร่งุ หรอื ตอนเชา้ มดื ของวนั ไหน
ก็ได้
ืิ
ช่วงเวลา ระยะเวลาของการประกอบพธิ สี ารทเดือนสบิ มขี ึ้นในวันแรม ๑ คำ่ ถึง
แรม ๑๕ ค่ำ เดือนสิบ แตว่ ันทช่ี าวนครศรธี รรมราชนิยมทำบญุ คอื วนั แรม ๑๓-๑๕ ค่ำ
เป็นความเชื่อของพทุ ธศาสนิกชนชาวนครศรธี รรมราช ท่เี ช่ือวา่ บรรพบุรษุ อนั ไดแ้ ก่ ปู่ยา่
ตายาย และญาติพ่นี อ้ งท่ีล่วงลบั ไปแลว้ หากทำความชั่วจะตกนรกกลายเปน็ เปรต ตอ้ งทน
ทุกข์ทรมานในอเวจี ตอ้ งอาศัยผลบุญท่ลี ูกหลานอุทศิ ส่วนกุศลใหแ้ ตล่ ะปีมายงั ชีพ ดงั น้ัน
ในวนั แรม ๑ ค่ำเดอื นสิบ คนบาปทั้งหลายทเ่ี รียกว่าเปรตจงึ ถูกปลอ่ ยตวั กลับมายงั โลก
มนุษย์เพอื่ มาขอสว่ นบญุ จากลูกหลานญาตพิ ่ีนอ้ ง และจะกลับไปนรกในวนั แรม ๑๕ คำ่
เดอื นสบิ
ในโอกาสนเี้ องลูกหลานและผู้ยังมีชวี ติ อยูจ่ งึ นำอาหารไปทำบญุ ที่วดั เพือ่ อทุ ิศสว่ น
กศุ ลให้แก่ผู้ท่ีล่วงลบั ไปแลว้ เป็นการแสดงความกตญั ญกู ตเวที
ห ึธ
ห ึ ธ หมายถึง การนำผ้าผืนยาวข้ึนไปหม่ องค์พระบรม
ธาตุเจดยี ใ์ นวันสำคญั ทางศาสนา ชาวนครได้รว่ มมอื รว่ มใจกนั บริจาคเงนิ ตาม
กำลังศรทั ธานำเงินทไ่ี ดไ้ ปซือ้ ผ้ามาเย็บต่อกนั เปน็ แถวยาวนบั พนั หลา แลว้ จัดเป็น
ขบวนแห่ผ้าข้ึนห่มพระบรมธาตุเจดีย์ ผา้ ทข่ี ึน้ ไปหม่ องค์พระบรมธาตุเจดยี เ์ รยี กวา่
“ผ้าพระบฎ” (หรอื พระบต) นยิ มใชส้ ีขาว สีเหลอื ง สแี ดง สำหรบั ผา้ สขี าวนยิ ม
เขยี นภาพเน้ือหาเกี่ยวกบั พุทธประวัติตัง้ แตป่ ระสูติ เสด็จออกบรรพชา ตรสั รู้ ปฐม
เทศนา และปรินพิ พาน ประเพณีแห่ผ้าข้ึนธาตเุ ป็นเอกลกั ษณ์ประจำเมอื ง
นครศรธี รรมราช แก่นแทอ้ ยทู่ ก่ี ารบชู าพระพทุ ธเจา้ อยา่ งใกลช้ ดิ โดยใช้องคพ์ ระ
บรมธาตเุ จดยี ์เป็นตวั แทน
หรือ ห เปน็ ประเพณี
ทางพระพทุ ธศาสนาซ่ึงพบมากในภาคใต้ของประเทศไทย เป็นประเพณีทีม่ ีการ
อัญเชิญพระพทุ ธรปู ออกแห่รอบเมอื งในวันหลงั วันออกพรรษา ถอื เปน็ การจำลอง
เหตุการณ์ครง้ั ทพี่ ระพุทธเจา้ เสด็จกลับจากสวรรค์ชัน้ ดาวดงึ ส์ โดยการอญั เชิญ
พระพทุ ธรูป ขน้ึ ประดษิ ฐานบนเรอื พระแล้วชกั ลากไปในพื้นท่ตี า่ ง ๆ ให้ชาวบ้าน
ไดร้ ว่ มทำบุญ มีการแห่เรอื พระ ซึง่ มอี ยู่ 2 ประเภท คือ เรือพระบก สำหรบั แห่
ทางบก และเรอื พระนำ้ สำหรับแหท่ างนำ้ โดยเรือจะมกี ารประดับตกแต่งอย่าง
สวยงาม
สะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ ความเจรญิ ทางพทุ ธศาสนาและวัฒนธรรม
และความเจรญิ ทางด้านภาษาของชาวนคร
ค เนอ่ื งในวนั พระ 8 คำ่ 15 ค่ำ ชาวเมืองนครไปน่งั รอฟังเทศน์ที่ระเบียงทวี่ ดั
พระหมาธาตุ ฯ ขณะทน่ี ่ังรอไดค้ ิดวา่ ควรที่จะทำอะไรกอ่ นทพ่ี ระจะมา จึงเกิดเป็น
ประเพณี ทไ่ี ด้เรียกว่าสวดด้านเพราะ รอบ ๆ พระระเบียง ท้งั 4 ดา้ นขององค์
พระบรมธาตนุ ้ันเปน็ ท่ีประดิษฐข์ องพระพทุ ธรปู ปน้ั จำนวน 173 องค์ พระพทุ ธรปู เหลา่ น้ี
เรยี กวา่ " " เลยเรยี กการสวดหนงั สอื ว่า " ห ื " แต่ชาว
นครนยิ มเรยี กว่า " "
ธิ หนงั สอื ทน่ี ยิ มสวดคือหนังสอื รอ้ ยกรอง ( ชาวนครเรยี กว่า " สวดหนงั สอื " )
ประเภทนทิ าน ส่วนใหญ่เป็นนิทานพื้นเมอื ง กวชี าวนครใช้ภาษาพนื้ เมอื งของชาวนครใน
การสวด เช่น เรอ่ื งสบุ ิน, วนั คาร, ทนวงศ์, สเี่ สาร์, กระตา่ ยทอง เป็นตน้ จะมกี ารสวด
เฉพาะในวหิ ารคดหรอื ระเบยี งรอบพระธาตุเจดยี ์ท้งั 4 ด้าน ณ วัดพระธาตุวรหมาวิหาร
เท่าน้ัน ผทู้ สี่ วดจะตอ้ งรจู้ ักเน้นเสยี ง เออื้ น เล่นลูกคอ นอกจากนยี้ ังมีทา่ ทางประกอบเชน่
โยกตวั เนอ่ื งจากการสวดดา้ นจะสวดทกุ ดา้ นของพระระเบียง ดงั นั้นผสู้ วดแต่ละคน
จะต้องแสดงความสามารถในการสวด เพราะหากสวดไมเ่ ก่งผฟู้ งั จะไปฟงั อีกด้าน
ห
“พธิ แี ห่นางดาน” เปน็ ประเพณีทเี่ ก่าแก่ของจังหวัดนครศรธี รรมราช ตามความ
เช่ือของศาสนาพราหมณ์ ทีถ่ ือปฏบิ ตั ิสืบทอดกันมาตงั้ แต่ครั้งมีชุมชนพราหมณ์เกดิ ขน้ึ ใน
นครศรีธรรมราช หรอื เมอ่ื ราว พ.ศ.1200 โดยเปน็ งานประเพณีท่ีมเี พียงแห่งเดียวใน
ประเทศไทย เพอื่ บูชาเทพบรวิ ารในคติพราหมณ์ โดยนางดานหรอื นางกระดาน เปน็ แผน่
ไม้กระดานที่มขี นาดความกว้างหนง่ึ ศอกและสงู สศ่ี อก แกะสลกั เปน็ รปู เทพบรวิ ารในคติ
ความเชอ่ื ของพราหมณ์ ไดแ้ ก่ แผ่นแรก คอื รปู พระอาทิตยแ์ ละพระจนั ทร์, แผ่นท่สี อง
คือรปู พระแม่ธรณี และแผ่นทส่ี ามคอื รปู พระนางคงคา โดยทง้ั 3 แผ่น จะนำมารว่ มใน
ขบวนแห่เพ่อื รอรบั เสดจ็ พระอิศวรท่เี สด็จมาเยย่ี มมนษุ ย์โลก ณ เสาชงิ ชา้
เชือ่ กนั วา่ การเสดจ็ มาเยยี่ มมนษุ ยโ์ ลกเพื่อประสาทพรให้เกดิ ความสงบสขุ ใหเ้ กิด
นำ้ ทา่ อดุ มสมบรู ณ์ และชว่ ยคุ้มครองมนษุ ยโ์ ลกใหป้ ลอดภัย ซึ่งตามความเช่อื การเสดจ็ ลง
มาของพระอศิ วรจะตอ้ งเสดจ็ ลงมาในเดอื นอา้ ย ซึง่ เปน็ ปใี หมข่ องชาวพราหมณฮ์ ินดู
ปัจจบุ นั ประเพณแี หน่ างดาน กำหนดจดั ขนึ้ ในวันที่ 14 เมษายนของทุกปี
ค
‘ภาคใต้’ ถือเปน็ อกี หนึ่งภาคในประเทศไทยทมี่ ปี ระวัตศิ าสตร์อนั ยาวนานไมแ่ พ้
ภาคอนื่ ๆ ทสี่ ำคัญยังเปน็ ภาคทีเ่ ป็นถ่ินทอี่ ยอู่ าศยั ของคนหลากหลายศาสนา และใน
ปัจจบุ นั ก็ยงั คงมพี ธิ กี รรมสำคัญของแต่ละศาสนาให้ไดเ้ หน็ อยู่ อยา่ งเชน่ ‘ประเพณกี วน
ข้าวยาคู’ กถ็ อื ว่าเป็นอกี หนึ่งพิธกี รรมทางศาสนาพทุ ธท่ีสามารถหาดูไดแ้ คท่ ี่จงั หวัด
นครศรีธรรมราชเท่าน้ัน
โดยประเพณีกวนขา้ วยาคู หรือท่ที างพทุ ธศาสนาเรียกกันวา่ ‘ขา้ วมธปุ ายาสยาคู’
ท่ีเปน็ ความเชอ่ื เก่ียวเนอื่ งกับพุทธประวัติ เปน็ เหตุการณ์ตอนทีน่ างสุชาดาได้มกี ารถวาย
ขา้ วมธุปายาสยาคูให้พระพุทธเจา้ เสวย เมือ่ พระพทุ ธเจ้าเสวยจงึ บรรลอุ ภิสัมโพธญิ าณ
พุทธศาสนิกชนชาวนครศรีธรรมราช จงึ มคี วามเชอ่ื ท่สี บื ต่อกนั มาวา่ ข้าวยาคู
เปรยี บเสมอื นกบั อาหารทพิ ย์ หากผใู้ ดไดร้ ับประทานกจ็ ะมีสมองท่ีเกิดปญั ญา มอี ายุยนื
ยาว ผวิ พรรณผ่องใส และเปน็ ยาทชี่ ่วยขจดั โรครา้ ยต่าง ๆ ได้ ท้ังยงั ชว่ ยใหส้ ำเรจ็ ทกุ
ความปรารถนา
สำหรบั ช่วงเวลาที่ชาวบา้ นจะนิยมกวนขา้ วยาคนู ้นั จะอยู่ในชว่ งข้นึ 13 และ 14
ค่ำเดอื น 3 ซงึ่ ถือเป็นระยะเวลาที่ขา้ วในนากำลงั ออกรวงสวย เมลด็ ขา้ วยังไมแ่ ก่ เหมาะ
แกก่ ารนำมาเป็นน้ำนมข้าวสำหรับการกวน โดยพธิ กี รรมน้ีจะใชว้ ัดซ่ึงเปน็ ศนู ยร์ วมใจของ
ประชาชนเป็นสถานทีใ่ นการประกอบพธิ ี
ห
ห เป็นการทำบุญทวั่ เมืองนคร แตส่ ว่ นมากจะมี
ในชนบท การเขยี นเรอ่ื งนีอ้ าศยั เคา้ โครงเรือ่ งจาก ำ หิ ำ
ื จห คศธ
การยกขันหมากพระปฐม จัดข้ึนในวดั ต่าง ๆ ื ค จำ
ิ เพ่ือจดั สรา้ ง โบสถ์ วหิ าร และกำแพงวดั เปน็ ต้น
การยกขันหมากพระปฐมเป็นประเพณโี ดยอาศยั เค้าและแบบอยา่ งมาจากพระ
พทุ ธประวัติ กล่าวคือ ยดึ เอาตอนอาวาทมงคลของพระเจา้ สทุ โธทนะและพระนาง
สริ มิ หามายาเป็นแบบ จะสมมติคบู่ า่ วสาว 1 คู่ เจา้ บ่าวแทนพระเจ้าสุทโธทนะ
และเจา้ สาวแทนพระนางสิรมิ หามายา และสมมตุ ใิ หผ้ สู้ ูงอายเุ ปน็ ญาติของแตล่ ะ
ฝ่ายดว้ ย
การจัดประเพณีนี้จดั ไดท้ กุ ฤดูกาล แตส่ ว่ นใหญ่จะยกเวน้ ในชว่ ง
เขา้ พรรษา 3 เดอื น เพราะเป็นช่วงเขา้ พรรษา พระสงฆท์ ่อี ยหู่ ่างไกลจะลำบากใน
การเดินทางและเปน็ การขดั ตอ่ สมณบญั ญัติ การจดั งานกไ็ มส่ ะดวกเพราะเปน็ ชว่ ง
หนา้ ฝน ระยะนีช้ าวนาตอ้ งทำนาดว้ ย
ธ
ค ประเพณตี กั บาตรธปู เทยี นเกี่ยวขอ้ งกบั พทุ ธศาสนาเพราะเป็น
ประเพณถี วายสังฆทานเน่อื งในโอกาสเข้าพรรษาคือ 1 คำ ื 8 และสมยั
สโุ ขทยั ไดร้ ับการสบื ทอดประเพณนี ีดว้ ย ดงั หลกั ฐานท่ีปรากฏในศลิ าจารึกหลกั ท่ี 1 ว่า
" ำ ศ จฬ ถึ จ
ธ ธถ ฆ จำ ี ฆ ถ ห
ำฝ ค ื ิ ื ๆ ื ค
ไธ "
แต่เดมิ จดั ทีว่ ัดพระธาตุ ฯ เพยี งแห่งเดยี ว ชว่ งพระสงฆจ์ ะประจำท่วี ัดพระธาตุ
พอถงึ วันเขา้ พรรษา ชาวเมืองจะนำเคร่ืองสงั ฆทานไปถวายพระสงฆ์ เมื่อถงึ วันแรม 1 คำ่
เดอื น 8 ซง่ึ เปน็ วันเขา้ พรรษา ช่วงบา่ ย เวลาประมาณ 14.00 เป็นตน้ ไป พระสงฆ์จากวดั
ตา่ ง ๆ ซ่ึงอยู่ไมห่ า่ งจากวัดพระมหาธาตทุ ง้ั ในเมอื งและนอกเมอื ง ต่างมาพรอ้ มกนั เปน็
แถวยาวที่หนา้ วหิ ารทับเกษตร วดั พระมหาธาตุ ฯ เพ่อื รอรบั บิณฑบาตรดอกไมธ้ ูปเทยี น
ด้วยยา่ มในแขวขวา ชาวเมืองก็นำธูปเทยี นซง่ึ เตรียมไวเ้ ป็นช่อ ๆ ใสถ่ าดถวายพระสงฆ์ ไป
ตามลำดบั รูปละมดั เรยี กวา่ " ธ"