หน่วยที่ 10 ค่าเสื่อมราคาและมูลค่าเสื่อมสิ้น
หน่วยที่ 10 ค่าเสื่อมราคาและมูลค่าเสื่อมสิ้น ค่าเสื่อมราคา (Depreciation) มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 16 เรื่องที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ พ.ศ. 2562 ได้ให้ความหมายของค่าเสื่อม ราคา หมายถึง การปันส่วนจำนวนที่คิดค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์อย่างมีระบบตลอดอายุการใช้ประโยชน์ของ สินทรัพย์นั้น เมื่อกิจการได้สินทรัพย์มา และได้ใช้งานสินทรัพย์แล้ว ทำให้ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคตที่ จะได้รับลดลง หรืออาจเกิดการล้าสมัยทางเทคนิค หรือทางพาณิชย์ จึงต้องคิดค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์นั้น สินทรัพย์ชนิดใดเมื่อใช้งานแล้วไม่ทำให้ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคตลดลง หรือไม่มีการล้าสมัยก็ไม่ ต้องคิดค่าเสื่อมราคา ได้แก่ ที่ดิน กิจการจะต้องคิดค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์ตลอดอายุการใช้งาน หากสินทรัพย์ใช้งานได้ตามปกติ แต่ กิจการไม่ได้ใช้งานสินทรัพย์นั้น จะหยุดคิดค่าเสื่อมราคาไม่ได้ การหยุดคิดค่าเสื่อมราคา เกิดขึ้นได้ดังนี้ 1. คิดค่าเสื่อมราคาเต็มจำนวนแล้ว 2. จำหน่ายสินทรัพย์ 3. คาดว่าจะไม่ได้รับประโยชน์ชิงเศรษฐกิจในอนาคตจากการใช้สินทรัพย์หรือการจำหน่าย สินทรัพย์ นิยามศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับการคิดค่าเสื่อมราคา 1. ราคาทุน หมายถึง จำนวนเงินสดหรือรายการเทียบเท่าเงินสดที่กิจการจ่ายไป หรือมูลค่ายุติธรรมของสิ่งตอบ แทนอื่นที่กิจการมอบให้เพื่อให้ได้ซึ่งสินทรัพย์ จนสินทรัพย์พร้อมใช้งานตลอดอายุการใช้ประโยชน์ของสินทรัพย์นั้น 2. ค่าเสื่อมราคา หมายถึง การปันส่วนจำนวนที่คิดค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์อย่างมีระบบ 3. มูลค่าคงเหลือ หมายถึง จำนวนเงินโดยประมาณที่กิจการคาดว่าจะได้รับในปัจจุบันการจำหน่ายสินทรัพย์ หลังจากหักตันทุนที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการจำหน่ายสินทรัพย์นั้น หากสินทรัพย์นั้นมีอายุและสภาพที่คาดว่าจะ เป็น ณ วันสิ้นสุดอายุการใช้งาน 4. รับจากสินทรัพย์อายุการใช้ประโยชน์ (Useful life) หมายถึง กรณีใดกรณีหนึ่งดังต่อไปนี้ 1) ระยะเวลาที่กิจการคาดว่าจะมีสินทรัพย์ไว้ใช้ หรือ 2) จำนวนผลผลิต หรือจำนวนหน่วยในลักษณะอื่นที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งกิจการคาดว่าจะได้ วิธีการคิดค่าเสื่อมราคา การคิดค่าเสื่อมราคามีหลายวิธี กิจการจะเลือกใช้วิธีใดให้พิจารณารูปแบบของประโยชน์เชิงเศรษฐกิจที่ คาดว่าจะได้รับในอนาคตจากสินทรัพย์ให้ใกล้เคียงที่สุดและต้องใช้อย่างสม่ำเสมอในทุกรอบระยะเวลาบัญชี
การคิดค่าเสื่อมราคามีหลายวิธีแต่ละวิธีมีความเหมาะสมและข้อจำกัดแตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ ลักษณะการเสื่อมสภาพของสินทรัพย์ ซึ่งอาจสรุปได้ดังนี้ 1. การคิดค่าเสื่อมราคาในอัตราเปลี่ยนแปลงตามชั่วโมงการทำงานหรือตามจำนวนผลผลิต เป็นวิธีการ คิดค่าเสื่อมราคาที่เหมาะสมกับสินทรัพย์ที่มีการเสื่อมสภาพเนื่องจากการใช้งาน วิธีนี้เป็นวิธีการที่สอดคล้องกับ แม่บทการบัญชีในเรื่องการเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายกับรายได้มากที่สุด แต่มีข้อจำกัดที่ไม่ได้คำนึงถึงการเสื่อมค่าอัน เนื่องจากความล้าสมัยและมักจะมีปัญหาในทางปฏิบัติในการประมาณประโยชน์ที่จะได้รับจากการใช้สินทรัพย์ ดังกล่าว 2. การคิดค่าเสื่อมราคาในอัตราคงที่ เป็นวิธีการคิดค่าเสื่อมราคาที่เหมาะสมกับสินทรัพย์ที่มีการ เสื่อมสภาพตามระยะเวลา การคิดค่าเสื่อมราคาตามวิธีนี้จึงง่ายและสะดวก แต่มีข้อเสียที่ไม่ได้คำนึงถึงต้นทุนของ เงินทุนและไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์ที่ได้จากการใช้สินทรัพย์ที่แท้จริง 3. การคิดค่าเสื่อมราคาในอัตราลดลง เป็นวิธีการคิดค่าเสื่อมราคาที่เหมาะสมกับสินทรัพย์ที่มี ประสิทธิภาพสูงในระยะแรก และประโยชน์ที่ให้ในระยะหลังไม่แน่นอน หรือสินทรัพย์ที่ขึ้นอยู่กับสมัยนิยม การคิดค่าเสื่อมราคาตามวิธีนี้จะทำให้ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการใช้สินทรัพย์ค่อนข้างสม่ำเสมอตลอดอายุการ ใช้งาน เนื่องจากค่าซ่อมแชมบำรุงรักษาในระยะหลังมักจะสูงขึ้น ขณะที่ค่าเสื่อมราคาลดลง 4. การคิดค่าเสื่อมราคาในอัตราเพิ่มขึ้น เป็นวิธีการคิดค่าเสื่อมราคาที่เหมาะสมกับสินทรัพย์ที่คาดว่าจะ ให้ประโยชน์เพิ่มขึ้นตามระยะเวลาของการใช้สินทรัพย์นั้น การคิดค่าเสื่อมราคาตามวิธีนี้จึงไม่ค่อยมีโอกาสได้ใช้ เพราะสินทรัพย์ที่มีคุณสมบัติดังกล่าวมีน้อย ดังนั้นถ้าหากสินทรัพย์ใดมีลักษณะที่คาดว่าจะไม่ให้ประโยชน์เพิ่มขึ้น ตามระยะเวลาของการใช้สินทรัพย์นั้นแล้ว ไม่แนะนำให้คิดค่าเสื่อมราคาตามวิธีนี้ วิธีการคำนวณค่าเสื่อมราคามีดังต่อไปนี้ 1. วิธีเส้นตรง (Straight-line method) 2. วิธีชั่วโมงการทำงาน (Working-hours method) 3. วิธีคำนวณตามผลผลิต (Productive-output method) 4. วิธีลดลงทุกปี (Reducing-charge method) ก. Declining balance method ข. Double-declining balance method ค. Sum of the years' digits method 5. Group depreciation 6. Composite depreciation 7. โดยวิธีอื่น ๆ 1. วิธีเส้นตรง
การคำนวณค่าเสื่อมราคาตามวิธีนี้ เป็นการเฉลี่ยต้นทุนของสินทรัพย์ตามอายุการใช้งานที่กิจการ จะได้รับประโยชน์จากการใช้สินทรัพย์ให้มีจำนวนเท่ากันทุกปี ดังนี้ ค่าเสื่อมราคาต่อปี = ราคาทุน – มูลค่าคงเหลือ อายุการใช้งาน หรือ อัตราค่าเสื่อมราคาต่อปี = 100 อายุการใช้งาน ตัวอย่างที่ 1 วันที่ 1 มกราคม 2561 ซื้อเครื่องจักรราคาทุน 120,000 บาท ประมาณอายุ การใช้งาน 5 ปี มูลค่าคงเหลือ 20,000 บาท ค่าเสื่อมราคาต่อปี = 120,000-20,000 5 ปี = 20,000.- การบันทึกบัญชีตั้งแต่ ปี 2561-2565 ดังนี้ ธ.ค. 31 Dr. ค่าเสื่อมราคา - เครื่องจักร 20,000.- Cr. ค่าเสื่อมราคา – สะสมเครื่องจักร 20,000.- ปรับปรุงค่าเสื่อมราคาเครื่องจักร 2. วิธีชั่วโมงการทำงาน การคำนวณค่าเสื่อมราคาตามวิธีนี้จะเฉลี่ยต้นทุนของสินทรัพย์ ตามชั่วโมงการทำงาน ที่กิจการจะได้รับ ประโยชน์จากสินทรัพย์นั้น ดังนั้นค่าเสื่อมราคาแต่ละปีจะมีจำนวนไม่เท่ากัน เพราะขึ้นอยู่กับชั่วโมงการทำงานของ สินทรัพย์ในแต่ละปี ว่าใช้ชั่วโมงการทำงานมากหรือน้อย ดังนี้ 1. อัตราค่าเสื่อมราคาต่อชั่วโมง = ราคาทุน - มูลค่าคงเหลือ ประมาณชั่วโมงการทำงาน 2. ค่าเสื่อมราคาต่อปี = อัตราค่าเสื่อมราคาต่อชั่วโมง x จำนวนชั่วโมงการทำงานในแต่ละปี ตัวอย่างที่ 2 จากโจทย์ตัวอย่างที่ 1 สมมติว่าเครื่องจักรประมาณว่าจะใช้งานได้ 50,000ชั่วโมง และกิจการเดิน เครื่องจักรในแต่ละปี ดังนี้ (สมมติ 2 ปี) ปี 2561 10,809 ชั่วโมง ปี 2562 25,000 ชั่วโมง
การคำนวณ 1. อัตราค่าเสื่อมราคาต่อชั่วโมง = 120,000-20.800 50,000 = 2 บาท 2. ค่าเสื่อมราคาแต่ละปี ปี 2561 = 2 x 10,000 = 20,000 บาท ปี 2562 = 2 x 25,000 = 50,000 บาท การบันทึกบัญชี ปี 2561 ธ.ค. 31 Dr. ค่าเสื่อมราคา – เครื่องจักร 20,000.- Cr. ค่าเสื่อมราคา – สะสมเครื่องจักร 20,000.- ปรับปรุงค่าเสื่อมราคา ปี 2561 ธ.ค. 31 Dr. ค่าเสื่อมราคา – เครื่องจักร 50,000.- Cr. ค่าเสื่อมราคา – สะสมเครื่องจักร 50,000.- ปรับปรุงค่าเสื่อมราคา 3. วิธีคำนวณตามผลผลิต การคิดค่าเสื่อมราคาตามผลผลิต จะประมาณค่าเสื่อมราคาตามจำนวนผลผลิตที่สามารถผลิตได้ ดังนั้น ค่า เสื่อมราคาแต่ละปีมีจำนวนไม่เท่ากัน เพราะจะขึ้นอยู่กับผลผลิตที่ผลิตได้จริงในปีนั้น ดังนี้ 1. อัตราค่าเสื่อมราคาต่อหน่วย = ราคาทุน - มูลค่าคงเหลือ ประมาณจำนวนหน่วยผลผลิต 2. ค่าเสื่อมราคาต่อปี = อัตราค่าเสื่อมราคาต่อหน่วย x จำนวนหน่วยผลผลิต ตัวอย่างที่ 3 จากโจทย์ตัวอย่างที่ 1 สมมติว่าเครื่องจักรประมาณว่าจะผลิตสินค้า 200,000 หน่วย และถ้า เครื่องจักรผลิตสินค้าใน ปี 2561 20,000 หน่วย และปี 2562 35,000 หน่วย อัตราค่าเสื่อมราคาต่อหน่วย = 120,000 - 20,000 200.000 = 0.5 บาท
2. ค่าเสื่อมราคาแต่ละปี ปี 2561 = 0.5 x 20,000 = 10,000.- ปี 2562 = 0.5 x35,000 = 175000.- การบันทึกบัญชี ปี 2561 ธ.ค. 31 Dr. ค่าเสื่อมราคา – เครื่องจักร 10,000.- Cr. ค่าเสื่อมราคา – สะสมเครื่องจักร 10,000.- ปรับปรุงค่าเสื่อมราคา ปี 2562 ธ.ค. 31 Dr. ค่าเสื่อมราคา – เครื่องจักร 17,500.- Cr. ค่าเสื่อมราคา – สะสมเครื่องจักร 17,500.- ปรับปรุงค่าเสื่อมราคา ลักษณะเส้นค่าเสื่อมราคาตามวิธีคำนวณตามผลผลิต 30,000.- 20,000.- 10,000.- 0 2561 2562 2563 2564 2565 4. วิธีลดลงทุกปี การคิดค่าเสื่อมราคาตามวิธีนั้นในปีแรก ๆ มีจำนวนมาก แต่ปีต่อมามีจำนวนลดลงเพราะว่าสินทรัพย์ที่ซื้อ มาปีแรกจะใช้งานน้อยมาก และปีหลัง ๆ ประสิทธิภาพของสินทรัพย์ลดลง เช่น รถยนต์หรือสินทรัพย์มีความ ล้าสมัยเร็ว เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์
วิธีการคำนวณ ก. Declining Balance Method วิธีนี้ต้องคำนวณหาอัตราร้อยละคงที่ ที่จะนำไปคูณกับยอดคงเหลือ ตามบัญชีของสินทรัพย์ ซึ่งมีสูตรคำนวณดังนี้ R = 100-√ 1 ค่าเสื่อมราคาต่อปี = อัตราค่าเสื่อมราคา x ราคาตามบัญชี R = อัตราร้อยละ c = ราคาทุนของสินทรัพย์ s = ราคาซาก n = จำนวนปีที่ใช้งาน ข. Double-declining Balance Method วิธีนี้ต้องคำนวณหาอัตราค่าเสื่อมราคาตามวิธีเส้นตรง แล้ว คูณด้วยสอง ซึ่งวิธีนี้เรียกว่า "วิธีสองเท่าของเส้นตรง หรือยอดลดลงทวีคูณ" และวิธีในการคำนวณจะไม่นำมูลค่า คงเหลือมาเกี่ยวข้อง สูตรในการคำนวณ มีดังนี้ 1. อัตราค่าเสื่อมราคา 2 เท่า ของเส้นตรง = 100 x 2 5 2. ค่าเสื่อมราคาต่อปี = อัตราค่าเสื่อมราคา x ราคาตามบัญชี จากโจทย์ตัวอย่างที่ 5 สามารถคำนวณค่าเสื่อมราคาได้ดังนี้ อัตราค่าเสื่อมราคา 2 เท่า 100 = 100x2 5 = 40% การคำนวณค่าเสื่อมราคา สิ้นปี การคำนวณ ค่าเสื่อมราคา ค่าเสื่อมราคาสะสม ราคาตามบัญชี ราคาตามบัญชี 120,000.00 0 40% x 120,000 40,000.00 48,000.00 72,000 1 40% x 72,000 28,800.00 76,800.00 43,200 2 40% x 43,200 17280.00 94,080.00 25,920.00 3 40% x 25,920 10368.00 104,448.00 15,552.00 4 40% x 15,552 6,220.80 110,668.00 9,331.20
ค. Sum of the years' digits method เป็นวิธีที่คิดค่าเสื่อมราคาตามผลรวมจำนวนปีของอายุการใช้ งาน ซึ่งปีแรก ๆ มีค่าเสื่อมราคาสูงและจะค่อย ๆ ลดลงตามลำดับปี ในการคำนวณค่าเสื่อมราคาวิธีนี้ต้องนำมูลค่า คงเหลือมาเกี่ยวข้องด้วย สูตรคำนวณ 5. Group depreciation การคิดค่าเสื่อมราคาตามวิธีนี้เป็นการนำสินทรัพย์ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน หรือประเภทเดียวกัน ที่ซื้อมาพร้อมกันเป็นจำนวนมาก มาคำนวณค่าเสื่อมราคาในอัตราเดียวกัน สินทรัพย์ที่ซื้อมา พร้อมกันอาจมีอายุการใช้งานไม่เท่ากัน ดังนั้นการคำนวณค่าเสื่อมราคานี้ ให้คิด อายุใช้งานถัวเฉลี่ยของสินทรัพย์ เหล่านี้ หลัก : เมื่อจำหน่ายบัญชีสินทรัพย์ กรณีที่มีผลต่างระหว่างราคาทุนและค่าเสื่อมราคาสะสมให้โอนผลต่าง ทั้งหมดเข้าบัญชีค่าเสื่อมราคาสะสม เพราะวิธีนี้จะไม่รับรู้ผลกำไรและขาดทุนจากการจำหน่ายสินทรัพย์ เนื่องจาก สินทรัพย์แต่ละชนิดไม่สามารถหามูลค่าที่แท้จริงได้ การบันทึกบัญชีเมื่อจำหน่ายสินทรัพย์ Dr.ค่าเสื่อมราคาสะสม – ชื่อสินทรัพย์ XX Cr. สินทรัพย์ XX กรณีที่มีการขายราคาซากของสินทรัพย์ และผลต่างที่เกิดขึ้นทั้งหมดโอนเข้าบัญชีค่าเสื่อมราคาสะสม Dr. เงินสด XX ค่าเสื่อมราคาสะสม – ชื่อสินทรัพย์ XX Cr. สินทรัพย์ XX ตัวอย่างที่ 7 กิจการซื้อรถยนต์มา 10 คัน ในราคาทุน 1,000,000 บาท ประมาณอายุการใช้งานถัวเฉลี่ย 5 ปี รถยนต์ได้จำหน่ายบัญชีเมื่อสิ้นปีที่ 4 จำนวน 3 คัน กิจการคิดค่าเสื่อมราคาตามวิธีเส้นตรง ค่าเสื่อมราคารถยนต์ต่อปี = 1,000,000 5 = 200,000 บาท
ตารางการคิดค่าเสื่อมราคาเป็นกลุ่ม สิ้น ปี รถยนต์ ค่าเสื่อมราคา 20% ของราคาทุน ค่าเสื่อมราคาสะสม ราคาตาม Dr. Cr. คงเหลือ Dr. Cr. คงเหลือ บัญชี 0 1,000,000 1,000,000 1,000,000 1 1,000,000 200,000 200,000 200,000 800,000 2 1,000,000 200,000 200,000 400,000 600,000 3 1,000,000 200,000 200,000 600,000 400,000 4 300,000 700,000 200,000 300,000 200,000 500,000 200,000 5 700,000 140,000 140,000 640,000 60,000 ตามตัวอย่าง ค่าเสื่อมราคาเฉลี่ยต่อปีเท่ากับ 200,000 บาท ในระยะ 4 ปีแรก และเมื่อสิ้นปีที่ 4 กิจการจำหน่าย รถยนต์ 3 คัน ดังนั้นค่าเสื่อมราคาสิ้นปีที่ 5 เท่ากับ 140,000 บาทเพราะรถยนต์มีราคาทุนคงเหลือ 700,000 บาท เมื่อสิ้นปีที่ 6 กิจการยังใช้รถยนต์อยู่ ก็ยังคงคิดค่าเสื่อมราคาต่อไปอีกตามปกติ ถึงแม้ว่าจะเกินกำหนดอายุการใช้ งานถัวเฉลี่ย การบันทึกบัญชี เมื่อซื้อรถยนต์ Dr. รถยนต์ 1,000,000.- Cr. เงินสด 1,000,000.- เมื่อคิดค่าเสื่อมราคา ปีที่ 1 - ปีที่ 4 Dr. ค่าเสื่อมราคา – รถยนต์ 200,000.- Cr. ค่าเสื่อมราคาสะสม – รถยนต์ 200,000.- เมื่อจำหน่ายรถยนต์สิ้นปีที่ 4 Dr. ค่าเสื่อมราคาสะสม - รถยนต์ 300.000.- Cr. รถยนต์ 300,000.- ถ้าสมมติรถยนต์ที่จำหน่าย 3 คัน สามารถขายราคาซากได้เงินสดเท่ากับ 20,000 บาท การบันทึกบัญชีเป็นดังนี้ Dr. เงินสด 20,000.- ค่าเสื่อมราคาสะสม - รถยนต์ (ผลต่าง) 280,000 .- Cr. รถยนต์ 300,000.-
6. Compostite depreciation การคิดค่าเสื่อมราคาในอัตราเฉลี่ยใช้กับสินทรัพย์ที่มีลักษณะและอายุการใช้งาน แตกต่างกัน นำมารวมกลุ่มกัน เพื่อคิดค่าเสื่อมราคาถัวเฉลี่ย เมื่อจำหน่ายสินทรัพย์จะไม่บันทึกการรับรู้กำไรหรือ ขาดทุนที่เกิดขึ้น ตัวอย่างที่ 8 ต่อไปนี้เป็นสินทรัพย์ของกิจการแห่งหนึ่ง ซึ่งคำนวณค่าเสื่อมราคาแต่ละชิ้น ด้วยวิธีเส้นตรง สินทรัพย์ ราคาทุน มูลค่าคงเหลือ ราคาทุนสุทธิ อายุการใช้งาน ค่าเสื่อมราคาต่อปี ก 40,000 5,000 35,000 5 ปี 7,000 ข 20,000 3,000 17,000 4 ปี 4,250 ค 30,000 4,000 26,000 5 ปี 5,200 90,000 12,000 78,000 16,450 1. คำนวณอัตราค่าเสื่อมราคา ค่าเสื่อมราคา = ค่าเสื่อมราคา x 100 (Composite depreciation rate) ราคาทุน = 16,450x100 90,000 = 18.28% 2. อายุการใช้งานโดยเฉลี่ย = ราคาทุน(สุทธิ) ค่าเสื่อมราคารวม = 78,000 = 16,450 = 4.74 ปี 3. ค่าเสื่อมราคาต่อปี = ราคาทุนรวมxอัตราค่าเสื่อมราคา = 90,000x18.28% = 16,452 บาท การบันทึกบัญชี Dr. ค่าเสื่อมราคา – ชื่อสินทรัพย์ 16,452.- Cr. ค่าเสื่อมราคาสะสม – ชื่อสินทรัพย์ 16,452.-
7. การคิดค่าเสื่อมราคาตามวิธีอื่น ๆ ดังนี้ วิธีการตีราคาสินทรัพย์คงเหลือ การคำนวณวิธีนี้จะสำรวจสินทรัพย์คงเหลือเมื่อสิ้นงวดโดยใช้สินทรัพย์คงเหลือที่สำรวจได้คูณด้วยราคาที่ ซื้อสินทรัพย์ หรือใช้ราคาตลาดปัจจุบันหรือราคายุติธรรม การคิดค่าเสื่อมราคาตามวิธีนี้เหมาะสำหรับสินทรัพย์ที่มี ราคาต่ำ และเป็นสินทรัพย์หน่วยเล็ก ๆ เช่น เครื่องมือ แบบพิมพ์ ถาดใส่อาหาร มีด กรรไกร จอบ เสียม ค้อน ค่าเสื่อมราคา = สินทรัพย์ต้นงวด + ซื้อระหว่างงวด - สินทรัพย์คงเหลือ ตัวอย่างที่ 9 เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2562 กิจการซื้ออุปกรณ์ทำสวน เช่น จอบ เสียม ส้อม พรวนดิน กรรไกรตัด หญ้า เป็นเงินทั้งสิ้น 25,000 บาท และในระหว่างปีได้มีการซื้อเพิ่มเติม อีก 10,000 บาท ในวันที่ 31 ธันวาคม 2562 กิจการสำรวจอุปกรณ์แล้วตีราคา 30,000 บาท ค่าเสื่อมราคา = 25,000 + 10,000 - 30,000 = 5,000 บาท การบันทึกบัญชี ปี 2562 ธ.ค. 31 Dr. ค่าเสื่อมราคา – อุปกรณ์ทำสวน 5,000.- Cr. อุปกรณ์ทำสวน 5,000.- หมายเหตุบางกิจการอาจเครดิตอุปกรณ์ทำสวนใช้ไปแทนค่าเสื่อมราคา การบันทึกรายการปรับปรุงบัญชีค่าเสื่อมราคา การบันทึกบัญชี Dr. ค่าเสื่อมราคา – ชื่อสินทรัพย์ XX Cr. ค่าเสื่อมราคาสะสม – ชื่อสินทรัพย์ XX บัญชีค่าเสื่อมราคา จัดเป็นบัญชีค่าใช้จ่าย เมื่อสิ้นงวดจะต้องโอนปิดเข้าบัญชี กำไรขาดทุนเพื่อวัดผลการ ดำเนินงานในงวดบัญชีปีปัจจุบัน และนำยอดค่าเสื่อมราคาไปแสดงในงบกำไรขาดทุน บัญชีค่าเสื่อมราคาสะสม จัดเป็นบัญชีปรับมูลคำาของสินทรัพย์ถาวรนั้น ๆ ให้แสดงมูลค่าสุทธิที่มียอด คงเหลือตามประโยชน์ที่จะได้รับในอนาคตในงบแสดงฐานะการเงิน การแสดงรายการและการเปิดเผยข้อมูลที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ ในงบการเงิน การแสดงรายการที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ ตามประกาศกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พ.ศ. 2554 เรื่อง กำหนดรายการย่อที่ต้องมีในงบการเงิน เป็นดังนี้
บริษัท ก จำกัด งบแสดงฐานะการเงิน (บางส่วน) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 และ 2561 หน่วย : บาท หมายเหตุ 2562 2561 สินทรัพย์ สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ 2 XX X บริษัท ก จำกัด งบแสดงฐานะการเงิน (บางส่วน) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 และ 2561 หน่วย : บาท หมายเหตุ 2562 2561 สินทรัพย์ ค่าใช้จ่าย ค่าใช้จ่ายในการบริหาร 3 XX X บริษัท ก จำกัด หมายเหตุประกอบงบการเงิน (บางส่วน) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 และ 2561 1. สรุปนโยบายการบัญชีที่สำคัญ 1.1 บริษัทฯ คิดค่าเสื่อมราคาที่ดิน อาคาร และอุปกรณ์ วิธีเส้นตรง (Straight-line method) ซึ่งตัดตาม ราคาตามระยะเวลาดังนี้ อาคาร 5 ปี เครื่องจักร 10 ปี เครื่องตกแต่งและอุปกรณ์สำนักงาน 10 ปี ยานพาหนะ 7 ปี
2. ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ จำนวน .......บาท ประกอบด้วย ราคาทุน ค่าเสื่อมราคาสะสม ราคาทุน (สุทธิ) ที่ดิน XX XX XX อาคาร XX XX XX เครื่องจักรและอุปกรณ์ XX XX XX เครื่องตกแต่งและติดตั้ง XX XX XX ยานพาหนะ XX XX XX รวม XX XX XX ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ ส่วนใหญ่ใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเจ้าหนี้เงินกู้ยืมระยะยาว และในรอบบัญชี มีค่าเสื่อมราคาที่ปรากฎในงบกำไรขาดทุนจำนวนเงิน....................บาท 3. ค่าใช้จ่ายในการบริหาร จำนวน............ บาท ประกอบด้วย ค่าเสื่อมราคา – ชื่อสินทรัพย์ มูลค่าเสื่อมสิ้น มูลค่าเสื่อมสิ้นเป็นวิธีที่กระจายต้นทุนของสินทรัพย์ที่หมดประโยชน์แล้วเป็นค่าใช้จ่ายประจำงวดแต่ สินทรัพย์ที่นำมาคำนวณค่าเสื่อมสิ้นจะเป็นสินทรัพย์ที่เป็นทรัพยากรธรรมชาติ (Natural resources) เช่น น้ำมัน ป่าไม้ เหมืองแร่ ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งสินทรัพย์เหล่านี้เมื่อนำมาใช้ประโยชน์แล้ว สภาพหรือ รูปร่างของสินทรัพย์ เปลี่ยนไป และเมื่อใช้ก็อาจจะหมดไป ตามศัพท์บัญชีของสมาคมนักบัญชี และผู้สอบบัญชีรับอนุญาตแห่งประเทศไทย มูลค่าเสื่อมสิ้น (Depletion) หมายถึง วิธีการบัญชีที่ใช้ในการปันส่วนต้นทุนทรัพยากรธรรมชาติไปเป็น ค่าใช้จ่ายตามอัตราส่วนหรือมูลค่าของทรัพยากรธรรมชาติส่วนที่ถือเป็นรายได้ในแต่ละงวด การกำหนดมูลค่าของทรัพยากรธรรมชาติ เมื่อกิจการได้ทรัพยากรธรรมชาติมาเพื่อนำไปใช้ในการดำเนินงาน จะต้องมีการคำนวณหาต้นทุนของ ทรัพยากรให้ถูกต้อง เพื่อประโยชน์ในการแสดงข้อมูลในงบการเงิน ต้นทุนทรัพยากรธรรมชาติประกอบด้วย 1. ราคาซื้อทรัพยากร 2. ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการได้มาซึ่งทรัพยากร 2.1 ค่าขอสัมปทาน 2.2 ค่าอาชญาบัตรผูกขาดสำรวจแร่ 2.3 ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เช่น ค่าใบอนุญาต 3. ค่าใช้จ่ายในการสำรวจ และพัฒนาเพื่อให้ได้ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ค่าใช้จ่ายในการขุดเจาะ
ค่าขุดบ่อทำอุโมงค์ เงินเดือนพนักงานระหว่างการสำรวจ 3.1 กรณีที่โครงการประสบผลสำเร็จให้นำค่าใช้จ่ายในการสำรวจ และพัฒนาเป็นต้นทุนของ ทรัพยากรธรรมชาติ 3.2 กรณีที่โครงการไม่ประสบผลสำเร็จ ▪ ถ้ากิจการใช้วิธีต้นทุนรวมในการคำนวณต้นทุน ให้นำค่าใช้จ่ายในการสำรวจ และพัฒนา รวมเป็น ต้นทุนทรัพยากรธรรมชาติที่มีโครงการประสบผลสำเร็จ ▪ ถ้ากิจการใช้วิธีต้นทุนที่ประสบผลสำเร็จ กรณีที่โครงการนั้นไม่ประสบผลสำเร็จให้นำ ค่าใช้จ่ายในการสำรวจ และพัฒนาเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน สำหรับค่าเครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น เครื่องขุดเจาะ เครื่องจักร รถบรรทุกต่าง ๆ ที่ใช้ในการขุด เจาะ ให้บันทึกเป็นบัญชีนั้น 1 และค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์เหล่านั้น ให้บันทึกเป็นค่าใช้จ่ายโดยไม่ให้นำมารวม เป็นตันทุนของทรัพยากรธรรมชาติ เพราะสินทรัพย์เหล่านี้สามารถนำไปใช้ในโครงการอื่นได้อีก การคำนวณมูลค่าเสื่อมสิ้น วิธีการคำนวณมูลค่าเสื่อมสิ้น 1. อัตรามูลค่าเสื่อมสิ้น = ต้นทุนทรัพยากรธรรมชาติ ปริมาณทรัพยากรทั้งหมด 2. มูลค่าเสื่อมสิ้น = อัตราค่าสูญสิ้น x ปริมาณทรัพยากรธรรมชาติในแต่ละปี ตัวอย่างที่ 10 กิจการลงทุนทำเหมืองแร่ ได้เสียค่าสัมปทานทำเหมือง และค่าใช้จ่ายในการสำรวจและพัฒนา รวม ต้นทุนทั้งสิ้นเท่ากับ 10,000,000 บาท กิจการประมาณว่าจะขุดแร่ได้500,000 ตัน เมื่อขุดแร่หมดแล้ว คาดว่าจะ ขายที่ดินได้ 40,000 บาท ปี 2562 บริษัทขุดแร่ได้ทั้งสิ้น 120,000 ตัน ขายแร่ได้ 100,000 ตัน ราคาตันละ 40 บาท 1. อัตรามูลค่าเสื่อมสิ้น = 10,000,000-40,000 500,000 = 19.92 บาท/ตัน 2. มูลค่าเสื่อมสิ้น ปี 2562 = 19.92 x 120,000 = 2,390,400 บาท
การบันทึกบัญชี ปี 2562 ธ.ค. 31 Dr. ค่าเสื่อมสิ้น 2,390,400.- Cr. ค่าเสื่อมสิ้นสะสม 2,390,400.- บันทึกค่าเสื่อมสิ้นเหมืองแร่ 120,000 ตัน บริษัท กิจการเหมืองแร่จำกัด งบแสดงฐานะการเงิน (บางส่วน) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 และ 2561 หน่วย : บาท หมายเหตุ 2562 2561 สินทรัพย์ สินทรัพย์ไม่หมุนเวียน ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ 2 7,609,600 XX บริษัท กิจการเหมืองแร่ จำกัด งบแสดงฐานะการเงิน (บางส่วน) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 และ 2561 หน่วย : บาท หมายเหตุ 2562 2561 สินทรัพย์ ค่าใช้จ่าย ต้นทุนขาย 3 1,992,000 XX
บริษัท กิจการแหมืองแร่ จำกัด หมายเหตุประกอบงบการเงิน (บางส่วน) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 และ 2561 1. สรุปนโยบายการบัญชีที่สำคัญ 1.1 กิจการวัดมูลค่าเริ่มแรกด้วยราคาทุนโดยรวมค่าใช้จ่ายในการสำรวจและประเมินค่าเริ่มแรก 1.2 ภายหลังการรับรู้รายการกิจการเลือกใช้วิธีตีราคาใหม่ในการวัดมูลค่าสินทรัพย์ที่เกิดจาก การสำรวจและการประเมินค่าอย่างสม่ำเสมอ 2. ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ จำนวน 7,609,600 บาท ประกอบด้วย เหมืองแร่ 10,000,000.- หัก ค่าเสื่อมสิ้นสะสม 2,390,400.- 7,609,600.- 3. ต้นทุนขาย จำนวน 1,992,000 บาท ประกอบด้วย ค่าเสื่อมสิ้น 2,390,400.- สินค้าที่มีไว้เพื่อขาย 2,390,400.- หัก สินค้าคงเหลือปลายงวด 398,400.- ต้นทุนขาย 1,992,000.-