The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by amphovijit, 2022-03-21 12:28:03

กันฑ์มัทรี

กันฑ์มัทรี

มมหหาาเเววสสสสัันนดดรร

ชชาาดดกก

กั ณ ฑ์ มั ท รี

สารบ
ัญ ห น้า

เ รื่อ ง 1
2
คู่มือการใช้คู่มือการใช้ (E-BOOK) 7
ประวัติความเป็ นมาเเละเรื่องย่อ 11
มหาเวสสันดรชาดก 13 กัณฑ์ 12
มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์ มัทรี 21
ร่ายยาว มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์ มัทรี 29
บ ท วิเ ค ร า ะ ห์ 35
คุ ณ ค่า ท า ง ว ร ร ณ ค ดี
เ เ น ว คิด สำ คัญ
อ้ า ง อิง

1

คู่มื อ ก า ร ใ ช้
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-BOOK)

วรรณคดี เรื่อง มหาเวสสันดรชาดก

กัณฑ์ มัทรี




ดาว์นโหลดเเอพ ARTIVIVE

ใน PLAY STORE สำหรับ แอนด์ดรอย
APP STORE สำหรับ IOS

หรือสเเกน QR CODE

สังเกตสัญลักษณ์ เพื่อสเเกน หรือนำเครื่องมือ
สื่อสารชี้ไปยังรูปภาพเพียงแค่ชี้โทรศัพท์ของคุณไปที่
งานศิลปะและดูมันมีชีวิตขึ้นมา!

2

ประวัติความเป็ นมาเเละเรื่องย่อ



ผู้เ เ ต่ ง

เจ้าพระยาพระคลัง (หน)

เกิดในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย แผ่นดินสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศในสมัยสมเด็พระเจ้าตากสิน
มหาราชรับราชการเป็ นหลวงสรวิชิตแล้วไปเป็ นนายด่าน
เมืองอุทัยธานีในสมัยรัชกาลที่๑แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ได้
เลื่อนเป็ นพระยาพิพัฒน์โกษาและเจ้าพระยาพระคลัง
เสนาบดีจตุสดมภ์กรมท่า ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อ
พ.ศ. ๒๓๔๘ สมัยรัชกาลที่ ๑

3

ง า น ป ร ะ พัน ธ์

อิเหนาคำฉันท์ ลิลิตเพชรมงกุฎ บทมโหรีเรื่องกากี
สามก๊ก ราชาธิราช ลิลิตพยุหยาตราเพชรพวง ลิลิตศรีวิชัย
ชาดก ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์ กุมารและ มัทรี

4

ลัก ษ ณ ะ คำ ป ร ะ พัน ธ์

เป็นร่ายยาว วิธีการแต่งยกคาถาบาลีขึ้นเป็นหลัก
แล้วแปลแต่งเป็ นภาษาไทยด้วยร่ายยาว



ร่ า ย ย า ว










คำประพันธ์ประเภท ร่ายยาว
ไม่จำกัดจำนวนคำต่อวรรค เเต่ไม่ควรน้อยกว่า 5 คำ

คำสัมผัสระหว่างวรรคต่อวรรคให้มีต่อเนื่องไปจนท้ายบท จบ
ลงท้ายด้วยคำลงท้ายที่นิยม
เช่น นี้เเล ฉะนี้ ด้วยประการฉะนี้

ตัวอย่างร่ายยาว
...แต่แม่เที่ยวเซซังเสาะแสวงทุกแห่งห้องหิมเวศ

ทั่วประเทศทุกราวป่ าสุดสายนัยนาที่แม่ตายไปเล็งแลสุดโสต
แล้วที่แม่จพซับทราบ
ฟังสำเนียงสุดสุรเสียงที่แม่จะรํ่าเรียกพิไรร้องสุดผีเท้าที่แม่จะ
เยื้องย่องยกย่างลงเหยียบดินก็สุดสิ้นสุด.

5

ที่ ม า ข อ ง เ รื่อ ง



มาจาก ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก ซึ่งเป็ น
เรื่องหนึ่งในทศชาติชาดก หรือ “ทศชาติชาดก”


จุ ด ป ร ะ ส ง ค์ ใ น ก า ร แ ต่ ง

เพื่อนำหลักธรรมมาสั่งสอนประชาชน โดยเฉพาะ สตรี
ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย พระคาถา ๙๐ พระคาถา
เพลงพิณพาทย์ประจำกัณฑ์ ทยอยโอด

6

....สเเกนภาพวาด ด้วยเเอพ ARTIVIVE....

7

ม ห า เ ว ส สัน ด ร ช า ด ก

มหาเวสสันดรชาดก เป็น ชาดก เรื่องหนึ่งใน ทศชาติ

ชาดก กล่าวถึงพระชาติสุดท้ายของ พระโพธิสัตว์ ในการ
บำเพ็ญทานบารมี ก่อนจะทรงอุบัติเป็น พระโคตมพุทธเจ้า

มหาเวสสันดรชาดกมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า "มหาชาติชาดก"

ในการเทศนา เรียกว่า "เทศน์มหาชาติ" มีมาตั้งแต่สมัย

สุโขทัยเป็นอย่างน้อยเพราะปรากฏหลักฐานอยู่ในจารึกหลักที่ 3

หรือ จารึกนครชุม ซึ่งจารึกขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1900 ในรัชกาลของ

พระมหาธรรมราชาที่ 1 หรือ พญาลิไท

ความว่า "…ธรรมเทศนาอันเป็นต้นว่า พระมหาชาติหาคนสวดแล

มิได้เลย…"

มหาชาติฉบับภาษาไทยที่เก่าแก่ที่สุดที่มีต้นฉบับเหลือ

มายังปัจจุบัน เป็นของแต่งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2025 ในสมัย สมเด็จ

พระบรมไตรโลกนาถ ทรงให้ราชบัณฑิตแต่ง เรียกว่า

มหาชาติคำหลวง แต่ต้นฉบับไม่สมบูรณ์ จากนั้นมีฉบับ

พระเจ้าทรงธรรม เมื่อ พ.ศ. 2170 เรียกว่า กาพย์มหาชาติ

แต่งแปลเป็นภาษาไทยใช้ฉันทลักษณ์ เดียวคือ ร่ายยาว เพื่อใช้

สำหรับเทศน์ให้อุบาสกอุบาสิกได้ฟังกัน

8

ม ห า เ ว ส สัน ด ร ช า ด ก

กัณฑ์

มหาเวสสันดรชาดก นิยมในการนำมาเล่าเรื่องราวในทั้ง 13 กัณฑ์

กัณฑ์ ทศพร กัณฑ์ หิมพานต์
ทานกัณฑ์ กัณฑ์ วนปเวศน์
กัณฑ์ ชูชก กัณฑ์ จุลพน
กัณฑ์ มหาพน กัณฑ์ กุมาร
กัณฑ์ มัทรี กัณฑ์ มหาราช
กัณฑ์ ฉกษัตริย์ นครกัณฑ์

9

ม ห า เ ว ส สัน ด ร ช า ด ก

กัณฑ์

มหาเวสสันดรชาดก นิยมในการนำมาเล่าเรื่องราวในทั้ง 13 กัณฑ์
กัณฑ์ที่ 1 คือกัณฑ์ทศพร

ถือเป็นกัณฑ์แรกเป็นกัณฑ์ที่ว่าด้วยการที่ พระอินทร์ ประทานพร
10 ประการให้กับนางผุสดีก่อนจะลงไปจุติเป็นมารดาของพระเวสสันดร
ชาดก

กัณฑ์ที่ 2 คือกัณฑ์หิมพานต์
เป็นกัณฑ์ที่เป็นมูลเหตุในการออกไปอยู่ป่ าของพระเวสสันดร พระ

เวสสันดรประทานช้างปัจจัยนาเคนทร์ให้แก่พราหมณ์ 8 คนจากเมือง
กลิงคราษฎร์ที่กำลังประสบปัญหาฝนแล้ง ส่งผลให้พระเวสสันดรต้องถูก
เนรเทศออกจากเมือง โดยมีนางมัทรีพระกัณหา และพระชาลี ติดตามไป
ด้วย

กัณฑ์ที่ 3 คือทานกัณฑ์
เป็ นกัณฑ์ ที่พระเวสสันดรได้ถวายทานราชรถจนพระองค์และนา

งมัทรีต้องอุ้มพระชาลีพระกัณหาขึ้นบ่าแทน

กัณฑ์ที่ 4 คือกัณฑ์วนประเวศน์
เสด็จไปยังเมืองเจตราษฎร์ ซึ่งกษัตริย์เมืองเจตราษฎร์จะยกราช

สมบัติให้แต่พระองค์ปฏิเสธ กษัตริย์เมืองเจตราษฎร์จึงให้พรานเจตบุตร
ทำหน้าที่เป็นคนเฝ้าทางเข้าป่ าแทน เมื่อทั้ง 4 พระองค์เดินทางไปถึงป่ า
แล้ว พระอินทร์ได้ให้เทวดามาเนรมิตศาลาไว้รองรับ

10

ม ห า เ ว ส สัน ด ร ช า ด ก

กัณฑ์ที่ 5 คือกัณฑ์ชูชก
เล่าเรื่อง ชูชกเป็นพราหมณ์ ที่มีรูปร่างน่าเกลียด มีอาชีพเป็น

ขอทาน ที่จะมาขอพระกัณหาและพระชาลีมาเป็นทาสรับใช้

กัณฑ์ที่ 6 คือกัณฑ์จุลพน
ว่าด้วยการเดินทางครึ่งแรกของชูชกเพื่อไปหาพระเวสสันดร ชูชก

โดนหมาของพรานเจตบุตรไล่จนต้องขึ้นไปหลบบนต้นไม้

กัณฑ์ที่ 7 คือกัณฑ์มหาพน
เล่าต่อจากกัณฑ์จุลพน พูดถึงการหลอกคนให้หลงเชื่อของชูชก ชู

ชกหลอกถามทางอัจจุตฤๅษี

กัณฑ์ที่ 8 นามว่ากัณฑ์กุมาร
ชูชกรอจนนางมัทรีออกไปหาผลไม้ในป่ าจึงเดินเข้าไปขอสอง

กุมารกับพระเวสสันดร พระกัณหาและพระชาลีต่างหนีไปหลบอยู่ในสระ
บัวจนพระเวสสันดรต้องตามไปเกลี้ยกล่อม

กัณฑ์ที่ 9 คือกัณฑ์มัทรีเล่าเหตุการณ์ ระหว่างที่นางมัทรีหาผลไม้เสร็จ
กำลังจะกลับไปหาพระเวสสันดร เหล่าเทวดากลัวว่านางมัทรีจะไปขัดขวาง
การประทานสองกุมารให้ชูชก

11

ม ห า เ ว ส สัน ด ร ช า ด ก

กัณฑ์ที่ 11 คือกัณฑ์มหาราช
ชูชกผูกเปลขึ้นไปนอนบนต้นไม้ ทิ้งสองกุมารให้อยู่บนพื้น จน

เทวดาต้องแปลงตัวเป็นพระเวสสันดรและนางมัทรีมาดูแลสองกุมาร จาก
นั้นไปเมืองเชตุดรของพระเจ้าสัญชัย ชูชกพาทั้งสองเข้าไปยัง
เมืองเชตุดรจนทำให้ได้พบกับพระเจ้าสัญชัย ซึ่งพระองค์ตัดสินใจไถ่ตัว 2
กุมารจากชูชก พร้อมดูแลชูชกอย่างดีจนชูชกกินเกินขนาดจนท้องแตกตาย
พระเจ้าสัญชัยจึงตัดสินใจที่จะไปพาพระเวสสันดรกับนางมัทรีกลับเมือง

กัณฑ์ที่ 12 คือกัณฑ์ฉกษัตริย์
เป็นเรื่องราวการรับพระเวสสันดรกลับเมืองครับ โดยเล่าถึง

ขบวนเสด็จของพระเจ้าสัญชัย นางผุสดีพระกัณหา และพระชาลี ที่เดินทาง
ไปถึงอาศรมของพระเวสสันดรและนางมัทรี

กัณฑ์ที่ 13 คือนครกัณฑ์
เป็ นกัณฑ์ ที่พูดถึงการเสด็จกลับเมืองเชตุดรของพระเวสสันดร

และคณะ ซึ่งเมื่อกลับไปถึง พระเวสสันดรก็ได้ขึ้นครองราชสมบัติ ปกครอง
เมือง



12

..."จึ่ งตรัสว่าโอ้โอ๋เวลาปานฉะนี้ เอ่ย
จะมิดึกดื่ น จวนจะสิ้ นคืนค่อนรุ่งไปเสี ย

แล้วหรือกระไรไม่รู้เลย พระพาย
รำเพยพัดมารี่ เรื่ อยอยู่เฉื่ อยฉิว อกแม่
นี้ ให้อ่อนเคหิลืว่ อสุนดคลละ้อห้ยอลยงทลัั้ งบดไมา้วเดือนก็

สุดที่ แม่จะติดตามจ้าไปในยามนี้ "...

13

กั ณ ฑ์ มั ท รี

( สา มทฺที ) ปางนั้นส่วนสมเด็จพระมัทรีศรีสุนทรเทพกัญญา จำเดิมแต่พระนางเธอ
ลีลาล่วงลับพระอาวาส พระทัยนางให้หวั่นหวาดพะวงหลัง ตั้งแต่พระทัยเป็นทุกข์ถึง
พระเจ้าลูกมิลืมเลย เดินพลางทางเสวยพระโศกพลาง พระนัยเนตรทั้งสองข้างไม่ขาดสาย
พระอัสสุชล พลางพิศดูผลาผลในกลางไพรที่นางเคยได้อาศัยทรงสอยอยู่เป็นนิตย์ผิด
สังเกต เหตุไฉนไม้ที่ผลเป็นพุ่มพวง ก็กลายกลับเป็นดอกดวงเดียรดาษอนาถเนตร
แถวโน้นก็แก้วเกดพิกุลแกมกับกาหลง ถัดนั่นก็สายหยุดประยงค์และยมโดย พระพาย
พัดก็ร่วงโรยรายดอกลงมูนมอง แม่ยังได้เก็บดอกมาร้อยกรองไปฝากลูก เมื่อวันวานก็
เพี้ยนผิดพิสดารเป็นพวงผล ผิดวอกลแต่ก่อนมา
( สพฺพา มุยฺหนฺเม ทิสา ) ทั้งแปดทิศก็มืดมิดมัวมนทุกแห่งหน ทั้งขอบฟ้าก็ดาษแดงเป็น
สายเลือด ไม่เว้นวายหายเหือดเป็นลางร้ายไปรอบข้าง ( ทกฺขิณกฺขิ ) พระนัยนเนตรก็
พร่าง ๆ อยู่พรายพร้อย ในจิตใจของแม่ยังน้อยอยู่นิดเดียว ทั้งอินทรีย์ก็เสียว ๆ สั่นระรัว
ริก แสรกคานบันดาลพลิกพลัดลงจากพระอังสา ทั้งขอน้อยในหัตถาที่เคยถือ ก็เลื่อน
หลุดลงจากมือไม่เคนเป็นเห็นอนาถ เอ๊ะประหลาดหลากแล้วไม่เคยเลย โอ้อกเอ๋ย
มหัศจรรย์จริง ยิ่งคิดก็ยิ่งกริ่ง ๆ กรอมพระทัย เป็นทุกข์ถึงพระลูกรักทั้งสองคน เดินพลาง
นางก็รีบเก็บผลาผลแต่ตามได้ ใส่กระเช้าสาวพระบาทบทจรดุ่มเดินมาโดยด่วน

14

กั ณ ฑ์ มั ท รี

พอประจวบจวนพญาพาฬมฤคราช สะดุ้งพระทัยไหวหวาดวะหวีดวิ่งวนแวะเข้าข้างทาง
พระทรวงนางสั่นระรัวริกเต้นดั่งตีปลา ทรงพระกันแสงโศกาไห้พิไรร่ำว่ากรรมเอ๋ยกรรม
กรรมของมัทรีโอเวลาปานฉะนี้ พระลูกน้อยจะคอยหาอนึ่ งมรคาก็ช่องแคบหว่างคีรี
เป็นตรอกน้อยรอยวิถีที่เฉพาะจร ทั้งสามสัตว์ก็มาเนื่องนอนสกัดหน้า ครั้นจะลีลาหลีกลัด
ตัดเอาไปทางใดก็เหลือเดิน ทั้งสองข้างเป็นโขดเขินขอบคันข้นกั้นไว้

( นีเจ โวลมฺพเกสุริเย ) ทั้งเวลาก็เย็นลงเย็นลงไร ๆ จะค่ำแล้ว ยังไม่เห็นหน้าพระลูก
แก้วของแม่เลย อกเอ๋ยจะทำไฉนดีจึ่งจะได้วิถีทางที่จะครรไล พระนางจึ่งปลงหาบคอนลง
วอนไหว้แล้วอภิวาทน์ ข้าแต่พญาพาฬมฤคราชอันเรืองเดช ท่านก็เป็นพญาสัตว์ในหิมเวศ
วนาสณฑ์ จงจงผินพักตร์ปริมณฑลทั้งสามรา มารับวันทนาน้อมไปด้วยทศนัขเบญจางค์
( เม เมาะ มยา ) แห่งน้องนางนามชื่อพระมัทรี
( ราชปุตฺตี ) น้องก็กลายเป็นกัลยาณี หน่อกษัตริย์มัททราชสุริยวงศ์ อนึ่งน้องเป็นเอก
องค์อัครบริจาริกากรแห่งพระเวสสันดรราชฤๅษี อันจำจากพระบุรีมาอยู่ไพร น้องนี้ก็ตั้งใจ
สุจริตติดตามมาด้วยกตเวที อนึ่งพระสุริยศรีก็ย่ำสนทยาสายัณห์แล้ว เป็นเวลาพระลูก
แก้วจะอยากนมกำหนดเสวย พระเจ้าพี่ของน้องเอ๋ยพระสามรา ขอเชิญกลับไปยังรัตนคูหา
ห้องแก้ว แล้วจะได้เชยชมซึ่ งลูกรักและเมียขวัญ อนึ่งน้องนี้จะแบ่งปันผลไม้ให้สักกึ่ง ครึ่ง
หนึ่งน้องจะขอไปฝากพระหลานน้อย ๆ ทั้งสอง

( มคฺคํ เม เทถ ยาจิตา ) พระเจ้าพี่ทั้งสามของน้องเอ่ย จงมีจิตคิดกรุณาสังเวชบ้าง ขอ
เชิญล่วงครรไลให้หนทาง พนาวันอันสัญจร แก่น้องที่วิงวอนอยู่นี้เถิด

15

กั ณ ฑ์ มั ท รี

( ตโย เทวปุตฺตา ) ส่วนเทพเจ้าทั้งสามองค์ได้ทรงฟังพระเสาวนีย์ พระมัทรีเธอ
ไหว้วอนขอหนทาง พระพักตร์นางนองด้วยน้ำพระเนตร เทพพระเจ้าก็สังเวชใน
วิญญาณ ก็พากันอุฏฐาการคลาไคลให้มรคาแก่นางพระยามัทรี พอแจ่มแจ้งแสงศศิธร
นางก็ยกหาบคอนขึ้นใส่บ่า เปลื้องเอาพระภูษามาคาดพระถันให้มั่นคง วิ่งพลางนางทรง
กันแสงพลาง ยะเหยาะเหย่าทุกฝีย่างไม่หย่อนหยุด พักหนึ่งก็ถึงที่สุดบริเวณพระอาวาสที่
พระลูกเจ้าเคยประพาสแล่นเล่น ประหลาดแล้วแลไม่เห็นก็ใจหาย ดั่งว่าชีวิตนางจะวางวาย
ลงทันที จึ่งตรัสเรียนว่าแก้วกัณหาพ่อชาลีของแม่เอ่ย แม่มาถึงแล้วเหตุไฉนพระลูกแก้ว
จึ่งมิมาเล่าหลากแก่ใจ แต่ก่อนแต่ไรซิพร้อมเพรียง เจ้าเคยวิ่งระรี่เรียงเคียงแข่งกันมา
คอยรับพระมารดา ทรงพระสรวลสำรวลร่าระรื่นเริงรีบเอาขอคานแล้วก็พากันกราบ
กรานพระชนนี พ่อชาลีเจ้าเลือกเอาผลไม้ แม่กัณหาฉะอ้อนวอนไห้ว่าจะเสวยนม ผทม
เหนือพระเพลาพลางฉอเลาะแม่นี้ต่างๆ ตามประสาทารกเจริญใจ

( วจฺฉา พาลาวมาตรํ ) มีอุปไมยเสมือนหนึ่งลูกทรายทรามคะนอง ปองที่ว่าจะ
ชมแม่เมื่อสายัณห์ โอพระจอมขวัญของแม่เอ่ย เจ้ามิเคยได้ยากย่างเท้าลงเหยียบดิน
รินก็มิได้ไต่ไรก็มิได้ตอม เจ้าเคยฟังแต่เสียงพี่เลี้ยงเขาขับกล่อมบำเรอด้วยดุริยางค์ ยาม
บรรทมธุลีลมก็มิได้พัดมาแผ้วพาน แม่สู้พยาบาลบำรุงเจ้าแต่เยาว์มา เจ้ามิได้ห่าง
พระมารดาสักหายใจ โอความเข็ญใจครั้งนี้นี่เหลือขาด สิ้นสมบัติพลัดญาติยังแต่ตัวต้อง
ไปหามาเลี้ยงลูกเลี้ยงผัวทุกเวลา แม่มาสละเจ้าไว้เป็นกำพร้าทั้งสององค์

16

กั ณ ฑ์ มั ท รี

( หํสาว ) เสมือนหนึ่งลูกหงส์เหมราชปักษิน ปราศจากมุจลินท์ไปตกคลุกใน
โคลนหนอง สิ้นสีทองอันผ่องแผ้ว แม่กลับมาถึงแล้วได้เชยชมชื่นสบาย ที่เหนื่อยยากก็
เสื่อมหายคลายทุกข์ทุเลาลง ลืมสมบัติทั้งวงศาในวังเวียง โอแต่ก่อนเอยแม่เคยได้ยินแต่
เสียงเจ้าเจรจาแจ้ว ๆ อยู่ตรงนี้

( อิทํ ปทวลญฺชํ ) นั่นก็รอยเท้าพ่อชาลี นี่ก็บทศรีแม่กัณหาพระมารดายังแล
เห็น โน่นก็กรวดทรายเจ้ายังรายเล่นเป็นกอง ๆ สิ่งของทั้งหลายเป็นเครื่องเล่นยังเห็น
อยู่ ( น ทิสฺสเร ) แต่ลูกรักทั้งคู่ไปอยู่ไหนไม่เห็นเลย ( อยํ โส อสฺสโม ) โอ พระ
อาศรมเจ้าเอ๋ยน่าอัศจรรย์ใจ แต่ก่อนนี่ดูสดใสด้วยสีทอง เสียงเนื้อนกนี่ร่ำร้องสำราญรัง
เรียกคู่คูขยับขัน ทั้งจักจั่นพรรณลองไน เรไรร้องอยู่หริ่ง ๆ ระเรื่อยโรยโหยสำเนียงดั่ง
เสียงสังคีตขับกระโคมไพร โอ เหตุไฉนเหงาเงียบเมื่อยามนี้ ทั้งอาศรมก็หมองศรีเสมือน
หนึ่งว่าจะโศกเศร้า เออชะรอยว่าพระเจ้าลูกจะวอโยกพลัดพรากไปจากอกพระมารดาเสีย
จริงแล้วกระมังในครั้งนี้ นางก็กลับเข้าไปทูลพระราชสามีด้วยสงสัยว่า พระพุทธเจ้าข้า
ประหลาดใจกระหม่อนฉัน อันสองกุมารไปอยู่ไหนไม่แจ้งเหตุ หรือพากันไปเที่ยวลับ
พระเนตรนอกตำแหน่ง สิงห์สัตว์ที่ร้ายแรงคะนองฤทธิ์ มาพานพบขบกัดตัดชีวิตพระลูก
ข้าพาไปกินเป็นอาหาร ถึงกระนั้นก็จะพบพานซึ่ งกเลวระร่าง มิเลือดก็เนื้อจะเหลืออยู่บ้าง
สักสิ่งอัน แต่พอแม่ได้รู้สำคัญว่าเป็นหรือตาย สุดที่แม่จะมุ่งหมายสุดประมาณแล้ว จึ่ง
ตรัสว่าโอ้เจ้าแว่นแก้วสุดสว่างอกของแม่เอ่ย แม่เคยได้รับขวัญเจ้าทุกเวลา เป็นไรเล่าเจ้า
จึ่งไม่มาเหมือนทุกวัน ( มตา ) หรือว่าพระลูกเจ้าอาสัญสูญสิ้นพระชนมาน อยู่ในป่า
พระหิมพานต์นี้ แล้วแล

17

กั ณ ฑ์ มั ท รี

เมื่อสมเด็จพระมัทรีเธอกราบทูลพระราชสามีสักเท่าใด ๆ ท้าวเธอมิได้ตรัส
ปราศรัยจำนรรจา นางยิ่งกลุ้มกลัดขัดพระอุราผะผ่าวร้อน ข้อนพระทรวงทรงพระกันแสง
ว่าเจ้าแม่เอ่ย แม่มิเคยได้เคืองแค้นเหมือนหนึ่งครั้งนี้ เมื่อจากบุรีทุเรศมา ก็พร้อมหน้าทั้ง
ลูกผัวเป็นเพื่อนทุกข์ สำคัญว่าจะเป็นสุขประสายากเมื่อยามจน ครั้นลูกหายทั้งสองคนก็
สิ้นคิด บังคมทูลพระสามีก็มิได้ตรัสแต่สักนิดสักหน่อยหนึ่ง ท้าวเธอก็ขึงขังตึงพระองค์ ดู
เหมือนพระขัดเคืองเต็มเดือดด้วยอันใด นางก็เศร้าสร้อยสลดพระทัย ดั่งเอาเหล็กแดงมา
แทงใจให้เจ็บจิตนี่เหลือทน อุปมาเหมือนคนไข้หนักแล้วมิหนำยังแพทย์เอายาพิษมาวางซ้ำ
ให้เวทนา เห็นชีวานี้คงจะไม่รอดไปสักกี่วัน พระคุณเอ่ยวาสนามัทรีไม่สมคะเนแล้ว พระ
ทูลกระหม่อมแก้วจึ่งชิงชังไม่พูดจา ทั้งลูกรักดังแก้วตาก็หายไป อกเอ๋ยจะอยู่ไปไยให้ทน
เวทนาอุปมาเสมือนหนึ่งพฤกษาลดาวัลย์ย่อมจะอาสัญลงเพราะลูกเป็นเที่ยงแท้ ถ้าแม้น
พระองค์ไม่ทรงเลี้ยงมัทรีไว้ จะนิ่งมัธยัสถ์ตัดเยื่อใยไม่โปรดบ้าง ก็จะเห็นแต่กเลวระร่าง
ซากศพของมัทรี อัมโทรมตายกายกลิ้งอยู่กลางดง เสียเป็นมั่นคงนี้แล้วแล
( อถ มหาสตฺโต ) สมเด็จพระราชสมภาร เมื่อได้สดับสารพระมัทรีเธอแสนวิโยค
โศกศัลย์สุดกำลัง ถึงแม้นจะมิตรัสกับนางมั้งจะมิเป็นการ จำจะเอาโวหารการหึงเข้ามาหัก
โศกให้เสื่อมลง จึ่งเอื้อนโองการตรัสประภาษว่า

18

กั ณ ฑ์ มั ท รี

( นนุ มทฺทิ ) ดูกรนางนาฏพระน้องรัก ( ภทฺเท ) เจ้าผู้มีพักตร์อัน
ผุดผ่องเสมือนหนึ่งเอาน้ำทองมาทาบทับประเทืองผิว ราวกะว่าจะลอยลิ่วเลื่อนลงจากฟ้า
ใครได้เห็นเป็นขวัญตาเต็มจะหลงละลายทุกข์ปลุกเปลื้องอารมณ์ชายให้เชยชื่น จะนั่งนอน
เดินยืนก็ต้องอย่าง ( วราโรหา ) พร้อมด้วยเบญจางคจริตรูปจำเริญ โฉมประโลมโลกล่อ
แหลมวิไลลักษณ์

( ราชปุตฺตี ) ประกอบด้วยเชื้อศักดิ์สมมุติวงศ์พงศ์กษัตรา เออก็เมื่อเช้า
เจ้าจะเข้าป่าน่าสงสารปานประหนึ่งว่าจะไปมิได้ ทำร้องไห้ฝากลูกมิรู้แล้ว ครั้นคลาดแคล้ว
เคลื่อนคล้อยเข้าสู่ดง ปานประหนึ่งว่าจะหลงลืมลูกสละผัวต่อมืดมัวจึ่งกลับมา ทำเป็นบีบ
น้ำตาตีอกว่าลูกหาย ใครจะไม่รู้แยบคายความคิดหญิง ถ้าแม้นเจ้าอาลัยอยู่ด้วยลูกจริง ๆ
เหมือนวาจา ก็จะรีบกลับเข้ามาแต่วี่วันไม่ทันรอน เออนี่เจ้าเที่ยวพเนจรนอนตามสนุกใจ
ชมนกชมไม้ในไพรวันสารพันที่จะมี ทั้งฤๅษีสิทธ์วิทยาธรคนธรรพ์ เทพารักษ์ผู้มีพักตร์
อันเจริญ เห็นแล้วก็น่าเพลิดเพลินไม่เมินได้ หรือเจ้าปะผลไมประหลาด รสสดสุกทราม
เสวยไม่เคยกิน เจ้าฉวยชิมชอบลิ้นก็หลงฉันอยู่จึ่งช้า อุปมาเสมือนหนึ่งภุมรินบินวะว่อน
เที่ยวซับซาบเอาเกสรสุคนธมาเลศ พบดอกไม้อันวิเศษต้องประสงค์ หลงเคล้าคลึงรสจน
ลืมรัง เข้าเถื่อนเจ้าลืมพร้าได้หน้าแล้วลืมหลังไม่แลเหลียว เที่ยวทอดประทับมากลางทาง
อันว่าพระนางสิเป็นหน่อกษัตริย์จะไปไหนก็มีแต่กลดกั้น พานจะเกรงแสงสุริยันไม่คลา
เคลื่อน เจ้ารักเดินด้วยแสงเดือนชมดาวพลาง ได้น้ำค้างกลางคืนชื่นอารมณ์สมคะเน พอ
มาถึงก็ทำเสขึ้นเสียงเลี่ยงเลี้ยวพาโลว่าลูกหาย เออนี่เจ้ามิหมายว่าใคร ๆ ไม่รู้ทันกระนั้น
กระมัง หรือเจ้าเห็นว่าพี่นี้เป็นชีอดจิตคิดอนิจจังทิ้งพยศอดอารมณ์เสีย เจ้าเป็นเพียงแต่
เมียควรหรือมาหมิ่นได้ ถ้าแม้นพี่อยู่ในกรุงไกรเหมือนแต่ก่อนเก่า หากว่าเจ้าทำเช่นนี้
กายของมัทรีก็จะขาดสะบั้นลงทันตา ด้วยพระกรเบื้องขวาของอาตมานี้แล้วแล

19

กั ณ ฑ์ มั ท รี

( ภิกฺขเว ) ดูกรภิกษุสงฆ์ผู้ทรงศีลวิสุทธิสิกขา เมื่อสมเด็จพระมัทรี
เธอได้สมปฤาดีคืนมา นางพระยาเจ้าละอายแก่เทพยาดานัก ด้วยตัวตัวมานอนอยู่
บนตักพระราชสามีมิบังควร ( อุฏฐาย ) จึงอุฏฐาการโดยด่วนเลื่อนพระองค์ลงจากพระ
ราชสามี พระมัทรีจึ่งทูลถามว่าพระพุทธเจ้าข้า พระลูกรักทั้งสองเราไปอยู่ไหนนะฝ่า
พระบาท ท้าวเธอจึ่งตรัสประภาษว่า ดูกรเจ้ามัทรีอันสองกุมารนี้พี่ให้เป็นทานแก่
พราหมณ์แต่วันวานนี้แล้ว พระน้องแก้วเจ้าอย่าโศกศัลย์ จงตั้งจิตของเจ้านั้นให้
โสมนัสศรัทธา ในทางอันก่อกฤดาภินิหารทานบารมี ( ลจฺฉาม ปุตตฺชีวนฺตา )
ถ้าเราทั้งสองนี้ยังมีชีวิตสืบไป อันสองกุมารนี้ไซร้ ก็คงจะได้พบกันเป็นมั่นแม่น
ถึงแสนสัตพิธรัตน์เครื่องอลงการซึ่ งพระราชทานไปนั้นเราก็จะได้ด้วยพระทัยหวัง
( ทชฺชา สปฺปุริโสทานํ ) มัทรีเอ่ยอันอริยสัตบุรุษเห็นปานดั่งตัวพี่ฉะนั้น ถึงจะมีข้าว
ของสักเท่าใด ๆ ( ทิสฺวายาจกมาคเต ) ถ้าเห็นยาจกเข้ามาใกล้ไหว้วอนขอไม่ย่อถ้อ
ในทางทาน จนแต่ชั้นลูกรักยอดสงสารพี่ยังยกให้เป็นทานได้ อันสองกุมารนี้ไซร้เป็น
แต่ทานพาหิรกะภายนอกไม่อิ่มหนำ พี่จะใคร่ให้อัชฌัติกทานอีกนะเจ้ามัทรี ถ้าแม้นมี
บุคคลผู้ใดปรารถนาเนื้อหนังมังสังโลหิตดวงหทัยนัยนเนตรทั้งซ้ายขวา พี่ก็จะแหวะ
ผ่าให้เป็นทานไม่ย่อท้อเพียงนี้ มัทรีเอ่ยจงศรัทธาด้วยอนุโมทนาทานในกาลบัดนี้เถิด

20

กั ณ ฑ์ มั ท รี

สมเด็จพระมัทรีทูลสนองพระโองการว่า พระพุทธเจ้าข้าแต่วันวานนี้เหตุ

ไฉนจึ่งทราบเกล้า ท้าวเธอจึ่งตรัสว่าพระน้องเอ่ย พี่จะเล่าให้เจ้าฟังก็สุดใจ ด้วยเจ้า

มาแต่ป่ายังเหนื่อยนัก พี่เห็นว่าความร้อนความรักจะรุกอก ด้วยสองดรุณทารกเป็น

เพื่อนไร้ เจ้ามัทรีเอ่ยจงผ่องใสอย่าสอดแคล้น อันสองพระลูกแก้วไปไกลเนตร

พระนางจึ่งตรัสว่า พระพุทธเจ้าข้าอันสองกุมารนี้ เกล้ากระหม่อมฉานได้อุตสาหะ

ถนอม ย่อมพยาบาลบำรุงมา ขออนุโมทนาด้วยปิยบุตรทานบารมี ขอให้น้ำ

พระหฤทัยพระองค์จงผ่องแผ้วอย่ามีมัจฉริยธรรมอกุศล อย่ามาปะปนในน้ำพระทัย

ของพระองค์เลย ท้าวเธอจึ่งตรัสว่าพระน้องเอ่ย ถ้าพี่มิได้ให้ด้วยเสื่อมใสศรัทธาแท้

แล้ว ที่ไหนเลยแผ่นดินดานจะกัมปนาทหวาดหวั่นไหวจลาจล ท้าวเธอเล่านุสนธิ์

มหัศจรรย์ อันมีอยู่ในกัณฑ์กุมารบรรพ กลับมาเล่าให้พระมัทรีฟังแต่ในกาลหน

หลังนี้ แล้วแล

( สา มฺที ) ส่วนสมเด็จพระมัทรีศรีสุนทรบวรราชธิดามหาสมมุติวงศ์วิ

สุทธิสืบสันดานมา ( วราโรหา ) ทรงพระพักตร์ผิวผ่องดุจเนื้อทองไม่เทียมสี

( ยสสฺสินี ) มีพระเกียรติยศอันโอฬารล้ำเลิศวิไลลักษณ์ยอดกษัตริย์ อันทรงพระ

ศรัทธาโสมนัสนบนิ้วประนมน้อมพระเศียรเคารพทาน ท้าวเธอก็ก็ชื่นบานบริสุทธิ์ด้วย

ปิยบุตรมิ่งมกุฎทานอันพิเศษ ฝ่ายฝูงอมรเทเวศทุกวิมานมาศมนเทียรทุกหมู่ไม้ ก็

ยิ้มแย้มพระโอษฐ์ ตบพระหัตถ์อยู่ฉาดฉาน ร้องสาธุการสรรเสริญทานบารมี ทั้ง

สมเด็จอมรินทร์เจ้าฟ้าสุราลัยอันเป็นใหญ่ในดาวดึงส์สวรรค์ ก็มาโปรยปรายทิพย

บุปผากรอง ทั้งพวงแก้วและพวงทองก็โรยร่วงจากกลีบเมฆกระทำสักการบูชาแก่

สมเด็จนางพระยามัทรี ท้าวเธอทรงกระทำอนุโมทนาทาน ( เวสสฺสนฺตรสฺส )

แห่งพระเวสสันดรราชฤๅษีผู้เป็นพระภัสดา ( อิติ เมาะ อิมินาปกาเรน ) ด้วย

ประการดังนี้ แล้วแล

10

21

...”จึ่ งตรัสว่าโอ้โอ๋เวลาปานฉะนี้ เอ่ยจะมิดึกดื่ น
จวนจะสิ้ นคืนค่อนรุ่งไปเสี ยแล้วหรือกระไรไม่รู้
เลย พระพายรำเพยพัดมารี่ เรื่ อยอยู่เฉื่ อยฉิว อก
แม่นี้ ให้อ่อนหิวสุดละห้อย ทั้ งดาวเดือนก็เคลื่ อน
คล้อยลงลับไม้ สุดที่ แม่จะติดตามจ้าไปในยามนี้


ฝูงลิงค่างบ่างชนะที่ นอนหลับ ก็กลิ้ งกลับเกือกตัว
อยู่ยั้ วเยี้ ย ทั้ งนกหกก็งัวเงียเหงาเงียบทุกรวงรัง
แต่แม่เที่ ยวเซซั งเสาะแสวงทุกแห่งห้องหิมเวศทั่ ว
ประเทศทุกราวป่า สุดสายนัยนาที่ แม่จะตามไป
เล็งแล สุดโสตแล้วที่ แม่จะซั บทราบฟังสำเนียง
สุดสุรเสี ยงที่ แม่จะร่ำเรียกพิไรร้อง สุดฝีเท้าที่ แม่
จะเยื้ องย่องยกย่างลงเหยียบดิน ก็สุดสิ้ นสุด
ปัญญาสุดหาสุดค้นเห็นสุดคิด จะได้พานพบ
ประสบรอยพระลูกน้อยแต่สั กนิดไม่มีเลย จึ่ งตรัส
ว่ า เ จ้ า ด วง มทณิ้ งฑขาว้ทางอวงาทัง้ งจิคตู่ขไ อ ง แ ม่ เ อ๋ ย ห รื อ ว่ า เ จ้ า
ปเกิดอื่ น
เหมือนแม่ฝันเมื่ อคืนนี้ แล้วแล...”

22

....สเเกนภาพวาด ด้วยเเอพ ARTIVIVE....



23

บทวิเคราะห์

ความรักเเละความห่วงใยที่ พระนาง
มัทรีมีต่อพระชาลีเเละพระกัณหา

ความรักของพระนางมัทรีที่มีต่อพระชาลีและพระกัณหาเป็นความรักของแม่ทั่วไป
คือห่วงใยลูกที่ยังเล็กอยู่ พระนางเป็นพระมารดาที่เลี้ยงดูพระโอรสพระธิดาอย่างใกล้ชิด ทรง
จําทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับพระกุมารทั้งสองได้ ไม่ว่าจะเป็นรอยพระบาทหรือของเล่น ต่างๆ
เมื่อเสด็จกลับถึงอาศรมแล้วไม่เห็นพระกุมารทั้งสอง พระนางก็ระทมตรมตรอม และ ทรง
หวั่นวิตกว่าพระโอรสพระธิดาหายไปอยู่ ณ ที่ใด ตอนนี้มีบทพรรณนาที่แสดงให้เห็นว่า พระนา
งมัทรีเอาพระทัยใส่ดูแลพระกุมารทั้งสองเป็นอย่างดี ดังนี้

...แม่สู้พยาบาลบํารุงเจ้าแต่เยาว์มา เจ้ามิได้ห่างพระมารดาสักหายใจ โอความ
เข็ญใจในครั้งนี้นี่เหลือขนาด สิ้นสมบัติพลัดญาติยังแต่ตัว ต้องไปหามาเลี้ยงลูกและเลี้ยงตัว
ทุกเวลา แม่มาสละเจ้าไว้เป็นกําพร้าทั้งสององค์ หํสาว เสมือนหนึ่งลูกหงส์เหมราชปักษิน
ปราศจากมุจลินท์ไปตกคลุก ในโคลนหนอง สิ้นสีทองอันผ่องแผ้ว แม่กลับเข้ามาถึงแล้วได้
เชยชมชื่นสบาย ที่เหนื่อยยากก็เสื่อมหายคลายทุกข์ทุเลาลง ลืมสมบัติทั้งวงศาใน วังเวียง
โอแต่ก่อนเอย แม่เคยได้ยินแต่เสียงเจ้าเจรจาแจ้วๆ อยู่ตรงนี้ อิทํ ปทวลณฺชํ นั่นก็รอยเท้า
พ่อชาลี นี่ก็บทศรีแม่กัณหาพระมารดา ยังแลเห็น โน่นก็กรวดทรายเจ้ายังรายเล่นเป็นกองๆ
สิ่งของทั้งหลายเป็น เครื่องเล่นยังเห็นอยู่ น ทิสฺสเร แต่ลูกรักทั้งคู่ไปอยู่ไหนไม่เห็นเลย...

24

บทวิเคราะห์

ความรักเเละความห่วงใยที่ พระนาง
มัทรีมีต่อพระชาลีเเละพระกัณหา
พระนางมัทรีรู้สึกผิดที่ต้องทรงทิ้งพระโอรสพระธิดาไว้ราวกับเป็นเด็กกําพร้า ไม่อยู่

คอยดูแล และที่เคยทรงเห็นหน้าพระกุมารทั้งสองเมื่อกลับจากป่าก็เป็นโอสถอันวิเศษที่ทําให้
พระนางทรงหายเหนื่อย แต่เมื่อไม่พบ พระนางก็ทรงวิตกว่าพระกุมารทั้งสองอาจจะชน พากัน
ไปเที่ยวเล่นจนหลงทางหรือถูกสัตว์ร้ายขบกัดเอาจนเสียชีวิต การเดาโดยไม่รู้ความจริง ก่อ
ให้เกิดความทุกข์โศกเป็นที่ยิ่ง ทั้งพระเวสสันดรก็ไม่ยอมตรัสตอบและทําท่าทางเหมือน ไม่
พอพระทัยด้วย ก็ยิ่งทําให้ทุกข์มากขึ้นไปอีก จึงรำพันดังนี้

...แม่มิเคยได้เคืองแค้นเหมือนหนึ่งครั้งนี้ เมื่อจากบุรีทุเรศมา ก็พร้อมหน้าทั้งลูก
ตัวเป็นเพื่อนทุกข์ สําคัญว่าจะเป็นสุขประสายากเมื่อยามจน ครั้นลูกหายทั้งสองคนก็สิ้นคิด
บังคมทูลพระสามีก็มิได้ตรัส ปรานีแต่สักนิดสักหน่อยหนึ่ง ท้าวเธอก็ยังจึงดึงพระองค์ ดู
เหมือนทรง พระขัดเคืองเต็มเดือดด้วยอันใด

25

บทวิเคราะห์

ความรักเเละความห่วงใยที่ พระนางมัทรีมีต่อพระชาลีเเละพระกัณหา

พระเวสสันดรทรงแสร้งทําหึงหวงและบริภาษพระนางมัทรีว่ามีชายอื่น จนพระนาง
เสียพระทัยและเสด็จออกค้นหาพระกมารทั้งสองในป่า พระนางทอดพระเนตรเห็นต้นหว้า
ใหญ่ ใกล้อาศรม ก็นึกถึงพระกุมารทั้งสองที่เคยเล่นอยู่ใต้ร่มไม้นั้น ครั้นเห็นต้นไทรที่มีราก
ย้อย ห้อยยาวก็นึกถึงว่า ทั้งสองเคยมาห้อยโหนไกวชิงช้าเล่นกันในที่นั้น และเล่นปิดตาใน
บริเวณหลังอาศรม เมื่อทอดพระเนตรเห็นสระน้ำ ก็ทรงนึกถึงพระโอรสพระธิดาที่เคยลงอาบ
และเล่นน้ําในสระนั้น พระนางทรงออกเที่ยวค้นหาตามสุมทุมพุ่มไม้ต่างๆ ครั้นทรงได้ยิน เสียง
นกดุเหว่าร้องก็เข้าพระทัยว่าเป็นเสียงเรียกของพระกุมารทั้งสอง แสดงว่าพระนางมี พระทัย
จดจ่ออยู่ที่พระกุมารทั้งสองเท่านั้น แม้แต่เสียงเกรียบกรอบที่เกิดจากการดําเนินของ
พระองค์เองก็ยังทรงคิดว่าเป็นเสียงของพระโอรสพระธิดา เมื่อทอดพระเนตรเห็นพุ่มไม้เป็น
เงาตะคุ้มๆ ก็หลงเข้าพระทัยว่าเป็นเงาคน พระนางทรงเที่ยวค้นหาจนทั่วทั้งป่า แต่ไม่ทรง
พบพระกุมารทั้งสองเลย คําคร่ำครวญอย่างหมดหวังของพระนางแสดงให้เห็นว่า ได้เสด็จไป
ค้นหาสองกุมารทุกซอกทุกมุมแล้วดังนี้

...แต่แม่เที่ยวเซซังเสาะแสวงทุกแห่งห้องหิมเวศ ทั่วประเทศทุก ราวป่า สุดสายนัยนาที่แม่จะ
ตามไปเล็งแล สุดโสตแล้วที่แม่จะซับทราบ ฟังสําเนียง สุดสุรเสียงที่แม่จะร่ำเรียกพิไรร้อง
สุดฝีเท้าที่แม่จะเยื้องย่อง ยกย่างลงเหยียบดิน ก็สุดสิ้นสุดปัญญาสุดหาสุดค้นเห็นสุดคิด จะ
ได้ พานพบประสบรอยพระลูกน้อยแต่สักนิดไม่มีเลย..

26

บทวิเคราะห์

ความภักดีที่พระนางมัทรีมีต่อพระเวสสั นดร

พระนางมัทรีทรงมีความจงรักภักดีต่อพระเวสสันดรเป็นอย่างยิ่ง ขณะที่พระนาง กําลังทุกข์
โศกเพราะตามหาพระโอรสและพระธิดาไม่พบ พระเวสสันดรทรงหวังจะให้ พระนางดับ
ความทุกข์โศก จึงทรงแกล้งบริภาษว่าพระนางมัทรีลอบคบชายอื่นจึงกลับมาถึง อาศรมใน
เวลาค่ำกว่าทุกวัน ทําให้พระนางเจ็บปวดพระทัยและทรงพยายามอธิบายให้ พระเวสสันดร
เข้าพระทัยว่าเหตุใดจึงเสด็จกลับมาถึงช้ากว่าที่เคย โดยทรงยืนยันความ จงรักภักดีของ
พระนางว่า

...พระคุณเอ่ยจะคิดดูมั่งเป็นไรเล่า ว่ามัทรีนี้เป็นข้าเก่าแต่ก่อนมา ดั่งเงาตามพระบาทาก็
เหมือนกัน นอกกว่านั้นที่แน่นอนคือนางไหนอันสนิท ชิดใช้แต่ก่อนกาล ยังจะติดตามพระ
ราชสมภารมาบ้างละหรือ ได้แต่มัทรี ที่แสนดื้อผู้เดียวดอก ไม่รู้จักปลิ้นปลอกพลิกไพล่เอา
ตัวหนี มัทรีสัตยา สวามิภักดิ์รักตัวเพียงบิดาก็ว่าได้ ถึงจะยากเย็นเข็ญใจก็ตามกรรม วน
มูล ผลหาริยา อุตสาหะตระตรากตระครเตร็ดเตร่หาผลาผลไม้ ถึงที่ไหนจะ รกเดี๋ยวก็
ซอกซอนอุตส่าห์เที่ยวไม่ถอยหลัง จนเนื้อหนังข่วนขาดเป็นริ้วรอย โลหิตไหลย้อยทุกหย่อม
หนาม อารามจะใคร่ได้ผลาผลไม้มาปฏิบัติลูก บำรุงผิว ถึงกระไรจะคุ้มตัวก็ทั้งยากน่า
หลากใจ อกของใครจะอาภัพยับพิกล เหมือนอกของมัทรีไม่มีเนตร น่าที่จะสงสารสังเวช
โปรดปรานี ว่ามัทรีนี้ เป็นเพื่อนยากอยู่จริงๆ ช่างค่อนถึงปริภาษณาได้ลงคอไม่คิดเลย...

27

บทวิเคราะห์

ความภักดีที่พระนางมัทรีมีต่อพระเวสสั นดร

แม้พระนางจะทรงตัดพ้อพระเวสสันดรอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ทรงถือโกรธ ทั้งยังทูลขอโทษ
พระเวสสันดรที่กลับมาถึงช้า เมื่อพระเวสสันดรทรงแกล้งทํานิ่งไม่ตรัสตอบ พระนางก็ทรง
หมดอาลัยในชีวิต คร่ำครวญว่าไม่เคยปันใจให้ชายใดเลยและตั้งพระทัยจะซื่อสัตย์ต่อ
พระเวสสันดรตราบวันสิ้นพระชนม์ เมื่อเห็นว่าพระเวสสันดรทรงหมางเมินและพระกุมาร ทั้ง
สองก็หายไป พระนางจึงไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป

...ครั้นลูกหายทั้งสองคนก็สิ้นคิด บังคมทูลพระสามีก็มิได้ตรัสปรานี แต่สักนิดสัก
หน่อยหนึ่ง ท้าวเธอก็ยังขึงตึงพระองค์ ดูเหมือนทรงพระ ขัดเคืองเต็มเดือดด้วยอันใด นางก็
เศร้าสร้อยสลดพระทัยดั่งเอาเหล็กแดง มาแทงใจให้เจ็บจิตที่เหลือทน อุปมาเหมือนคนไข้
หนักแล้วมิหนํายังแพทย์ เอายาพิษมาวางให้เวทนา เห็นชีวานี้คงจะไม่รอดไปสักกี่วัน พระคุณ
เอ่ย เมื่อแรกจากไอศวรรย์มาอยู่ดงก็ปลงจิตมิได้คิดเป็นจิตสอง หวังว่าจะเป็น เกือกทอง
ฉลองบาทยุคลทั้งคู่แห่งพระคุณตัว กว่าจะสิ้นบุญตัวตายตามไป เมืองผี อนิจจาเอ่ยวา
สนามัทรีไม่สมคะเนแล้ว พระทูลกระหม่อมแก้ว จึงชิงชังไม่พูดจา ทั้งลูกรักดังแก้วตาก็หายไป
อกเอ่ยจะอยู่ไปไยให้ทน เวทนา อุปมาเสมือนหนึ่งพฤกษาลดาวัลย์ย่อมจะอาสัญลงเพราะ
ลูกเป็น แท้เที่ยง ถ้าแม้นพระองค์ไม่ทรงเลี้ยงมัทรีไว้ จะนิ่งมัธยัสถ์ตัดเยื่อใย ไม่โปรดบ้าง ก็
จะเห็นแต่กเลวระร่างซากศพของมัทรี อันโทรมตายกายกลิ้ง อยู่กลางดงเสียเป็นมั่นคงนี้แล้ว
แล

28

บทวิเคราะห์

อุบายที่ทำให้ ความโศกเสื่ อมสร่างสงบจิต

พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร ท ร ง มี ป ฏิ ภ า ณ ไ ห ว พ ริ บ ใ น ก า ร แ ก้ ปั ญ ห า เ ฉ พ า ะ ห น้ า
ได้เป็นอย่างดียิ่ง เมื่อทอดพระเนตรเห็นว่าพระนางมัทรีทรงคร่ำครวญอย่าง
หนักแสดงความรักและอาลัยต่อ พระกุมารทั้งสองที่หายไป ก็ทรงคิดอุบาย
ที่จะทรงตัดความทุกข์โศกเหล่านั้นด้วยการเป็น ความคิดและอารมณ์ของ
พระนางไปอีกเรื่องหนึ่ง พระองค์ทรงแสร้งทําเป็นหวงหึงและทรง ตัดพ้อ
พระนางที่เสด็จกลับมาถึงอาศรมในเวลาค่ำมืดกว่าปกติ ถ้อยคําที่ตัดพ้อ
และเสียดสีนั้น เป็นการตําหนิพระนางอย่างรุนแรงว่ามีมารยา แกล้งทําเป็น
ไม่อยากจากพระกุมาร ครั้นไป แล้วก็เที่ยวอ้อยอิ่งแสวงหาความสุขอยู่ใน
ป่า เมื่อทรงได้ฟังคําบริภาษของพระเวสสันดร ความทุกข์โศกของพระนางก็
ลดหายไปทันทีเพราะบังเกิดความเจ็บปวดพระทัยเข้ามาแทนที่ ดังที่กวี
บ ร ร ย า ย ว่ า

“ที่ความโศกก็เสื่อมสร่างสงบจิตเพราะเจ็บใจ” นับว่าพระ
เวสสันดร ทรงมีสติปัญญาไหวพริบดี รู้วิธีที่จะดับทุกข์ของพระนางมัทรีและ
ทรงสามารถทําได้สําเร็จ งดงาม เมื่อพระนางทรงสร่างโศกแล้ว
พ ร ะ เ ว ส สั น ด ร ก็ ท ร ง ป ล อ บ ว่ า

อันสองกุมารนี้พี่ให้เป็นทานแก่พราหมณ์แต่วันวานนี้แล้ว พระน้อง
แก้ว เจ้าอย่าโศกศัลย์ จงตั้งจิตของเจ้านั้นให้โสมนัสศรัทธา ในทางอันก่อ
กฤดาภินิหารทานบารมี ลจฺฉาม ปุตฺเต ชีวนฺตา ถ้าเราทั้งสองนี้ ยังมีชีวิตอยู่
สืบไป อันสองกุมารนี้ไซร้ก็คงจะได้พบกันเป็นแม่นมั่น

29

คุณค่าทางวรรณคดี

ร่ายยาวพระเวสสันดร
กัณฑ์ มัทรี

30

คุ ณ ค่า
ท า ง ว ร ร ณ ค ดี

คุ ณ ค่า ด้ า ว ร ร ณ ศิ ล ป์

1. การสรรคำ กวีได้เลือกสรรคำที่สื่อความคิดได้ดีดังนี้
1.1 การใช้ถ้อยคำให้เกิดอารมณ์ สะเทือนใจ กวีเลือกใช้คำได้เหมาะสมกับ

อารมณ์ ที่ต้องการจะถ่ายทอด ดังตัวอย่างต่อไปนี้
1) การใช้ถ้อยคำรำพึงรำพัน เป็นการรำพึงรำพันบรรยากาศผ่านตัวละครที่

ได้อารมณ์ ความสะเทือนใจ และตรงใจผู้เป็นแม่ในชีวิตจริงในทุกยุคทุกสมัย
เป็ นการเพิ่มความรักความผู้พันให้ผู้อ่านและผู้ฟังที่เป็ นแม่และลูกได้เป็ นอย่างดียิ่ง
ดังนี้

“…เมื่อเช้าแม่จะเข้าสู่ป่ า พ่อชาลีแม่กัณหายังทูลสั่ง แม่ยังกลับหลังมาโลมลูบ
จูบกระหม่อมจองเกล้าทั้งสองรา กลิ่นยังจับนาสาอยู่รวยรื่น….ใครจะดอกพระศอเสวย
นมผทมด้วยแม่เล่า ยามเมื่อแม่จะเข้าที่บรรจถรณ์ เจ้าเคยเรียงหมอนนอนแนบข้าง
ทุกราตรี แต่นี้แม่จะกล่อมใครให้นิทรา…”

2) การใช้ถ้อยคำสำนวนเชิงตัดพ้อ ให้ให้เกิดอารมณ์ สงสารเวทยาและบีบคั้น
จิตใจผู้อ่านผู้ฟังเป็นอย่างยิ่ง ดังนี้

“….อกของใครจะอาภัพยับพิกลเหมือนอกของมัทรีไม่มีเนตร น่าที่จะสงสาร
สังเวชโปรดปราณีว่ามัทรีนี้เป็นเพื่อนยากอยู่จริงๆ ช่างค้อนติงปริภาษณาได้ลงคอ
ไม่คิดเลย พระคุณเอ่ยถึงพระองค์จะสงสัยก็น้ำใจของมัทรีนี้กตเวที เป็นไม้เท้าก้าว
เข้าสู่ที่ทางทดแทน ……อุปมาเหมือน สีดาอันภักดีต่อสามีรามบัณฑิต ปาน
ประหนึ่งว่าศิษย์กับอาจารย์ พระคุณเอ่ยเกล้ากระหม่อมฉานทำผิดแต่เพียงนี้
เพราะว่าล่วงราตรีจึ่งมีโทษ ขอพระองค์ทรงพระกรุณาโปรด ซึ่งโทษโทษานุโทษ
กระหม่อมฉันมัทรี แต่ครั้งเดียวนี้เถิด”

31

คุ ณ ค่า
ท า ง ว ร ร ณ ค ดี

คุ ณ ค่า ด้ า ว ร ร ณ ศิ ล ป์

3) การใช้แสดงอารมณ์ หึงหวงให้เจ็บแค้นเพื่อดับความโศกเศร้า ให้เกิด
อารมณ์ สงสารเวทยาและบีบคั้นจิตใจผู้อ่านผู้ฟังเป็นอย่างยิ่ง ดังนี้

“….จำจะเอาโวหารการหึงเข้ามาหักโศกให้เสื่อมลง จึ่งเอื้อนโองการตรัส
ประภาษว่า (ดูกรนางนาฏ พระน้องรัก เจ้าผู้มีพักตร์อันผุดผ่องเสมือนหนึ่งเอาน้ำทอง
มาทาบทับประเทืองผิว ราวกะว่าจะลอยลิ่วเลื่อนลงจากฟ้ า ใครได้เห็นเป็นขวัญตา
เต็มจะหลงละลายทุกข์ปลุกเปลื้องอารมณ์ ชายให้เชยชื่น จะนั่งนอนเดินยืนก็ต้อง
อย่าง) พร้อมด้วยเบญจางคจริตรูปจำเริญ โฉมประโลมโลกล่อแหลมวิไลลักษณ์
ประกอบด้วยเชื้อศักดิ์สมมุติวงศ์ พงศ์ กษัตรา เออก็เมื่อเช้าเจ้าจะเข้าป่ าน่าสงสารปาน
ประหนึ่งว่าจะไปมิได้ ทำร้องไห้ฝากลูกมิรู้แล้ว ครั้นคลาดแคล้วเคลื่อนคล้อยเข้าสู่ดง
ปานประหนึ่งว่าจะหลงลืมลูกสละผัวต่อมืดมัวจึ่งกลับมา ทำเป็นบีบน้ำตาตีอกว่าลูก
หาย ใครจะไม่รู้แยบคายความคิดหญิง ถ้าแม้นเจ้าอาลัยอยู่ด้วยลูกจริง ๆ เหมือน
วาจา ก็จะรีบกลับเข้ามาแต่วี่วันไม่ทันรอน เออนี่เจ้าเที่ยวพเนจรนอนตามสนุกใจ
ชมนกชมไม้ในไพรวันสารพันที่จะมี ทั้งฤๅษีสิทธ์วิทยาธรคนธรรพ์ เทพารักษ์ผู้มี
พักตร์อันเจริญ เห็นแล้วก็น่าเพลิดเพลินไม่เมินได้”

๔) การใช้คำซ้ำและกลุ่มคำที่มีพื้นเสียงเดียวกันดังนี้

“….อกแม่นี้ให้อ่อนหิวสุดละห้อย ทั้งดาวเดือนก็เคลื่อนคล้อยลงลับไม้ สุดที่แม่
จะติดตามเจ้าไปในยามนี้ ฝูงลิงค่างบ่างชะนีที่นอนหลับ ก็กลิ้งกลับเกลือกตัวอยู่
ยั้วเยี้ย ทั้งนกหกก็งัวเงียเหงาเงียบทุกรวงรัง แต่แม่เที่ยวเซซังเสาะแสวงทุกแห่ง
ห้องหิมเวศ ทั่วประเทศทุกราวป่ า สุดสายนัยนาที่แม่จะตามไปเล็งแล สุดโสตแล้ว
ที่แม่จะซับทราบฟังสำเนียง สุดสุรเสียงที่แม่จะร่ำเรียกพิไรร้องสุดฝีเท้าที่แม่จะเยื่อง
ย่องยกย่างลงเหยียบดิน ก็สุดสิ้นสุดปัญญาสุดหาสุดค้นเห็นสุดคิด จะได้พานพบ
ประสบรอยพระลูกน้อยแต่สักนิดไม่มีเลย ”

32

คุ ณ ค่า
ท า ง ว ร ร ณ ค ดี

คุ ณ ค่า ด้ า น ว ร ร ณ ศิ ล ป์

2. การใช้โวหาร กวีได้เลือกใช้สำนวนภาษาก่อให้เกิดจินตภาพ ดังนี้
2.1การใช้อุปมาโวหารที่แสดงความเศร้าโศกของนางมัทรีจนสลบไปเป็ นจุดเด่น

ของกัณฑ์มัทรีที่ทำให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์ สะเทือนใจด้วยความสงสารการใช้ถ้อยคำ
แสดงความสามารถของกวีในการประพันธ์ได้อย่างชัดเจน ดังตัวอย่าง

“…ควรจะสงสารเอ่ยด้วยนางแก้วกัลยาณี น้อมพระเกศีลงทูลถามหวังจะติดตาม
พระลูกรักทั้งสองรา กราบถวายบังคมลาลุกเลื่อนเขยื้อนยกพระบาทเยื้องย่าง พระ
กายนางให้เสียวสั่นหวั่นไหวไปทั้งองค์ดุจชายธงอันต้องกำลังลมอยู่ลิ่วๆ สิ้นพระแรง
โรยเธอโหยหิวระหวยทรวงพระศอเธอหงุบง่วงดวงพระพักตร์เธอผิดเผือดให้แปรผัน
จะทูลสั่งก็ยังมิทันที่ว่าจะทูลเลยแต่พอตรัสว่าพระคุณเจ้าเอ๋ยคำเดียวเท่านั้นก็หาย
เสียงเอียงพระกายบ่ายศิโรเพฐน์ พระเนตรหลับหับพระโอษฐ์ลงทันที (วิสญฺญี หุตฺ
วา) นางก็ถึงวิสัญญีสลบลงตรงหน้าฉานปานประหนึ่งว่าพุ่มฉัตรทองอันต้องสายอัสนี
ฟาดขาดระเนนเอนแล้วก็ล้มลงตรงหน้าพระที่นั่งเจ้า นั้นแล

2.2การใช้คำอ้างอิงสำนวนสุภาษิตเป็ นการใช้ถ้อยคำให้เกิดแง่คิดกับผู้อ่านและผู้
ฟังได้เป็ นอย่างดี ดังนี้

“…โอ้พระจอมขวัญของแม่เอ่ย เจ้ามิเคยได้ความยากย่างเท้าลงเหยียบดิน ริ้นก็
มิได้ไต่ ไรมิได้ตอม…

….อกเอ๋ยจะอยู่ไปไยให้ทนเวทนาอุปมาเสมือนหนึ่งพฤกษาลดาวัลย์ย่อมจะ
อาสัญลงเพราะลูกเป็นแท้เที่ยง ….

…. อุปมาเสมือนหนึ่งภุมรินบินวะว่อน เที่ยวซับซาบเอาเกสรสุคนธมาเลศ พบ
ดอกไม้อันวิเศษต้องประสงค์ หลงเคล้าคลึงรสจนลืมรัง เข้าเถื่อนเจ้าลืมพร้าได้หน้า
เจ้าลืมหลัง..”

33

คุ ณ ค่า
ท า ง ว ร ร ณ ค ดี

คุ ณ ค่า ด้ า น สัง ค ม

1. สะท้อนค่านิยมเกี่ยวกับสังคมไทยในสมัยโบราณ


ที่ถือว่าภรรยาเป็นทรัพย์สมบัติของสามี สามีมีสิทธิ์เหนือภรรยาทุกประการ ถ้า

สามีเป็นกษัตริย์ อำนาจนั้นก็มากขึ้น ดังคำที่พระเวสสันดรตรัสแก่นางมัทรีว่า

“…เจ้าเป็นแต่เพียงเมียควรหรือมาหมิ่นได้ ถ้าแม้นพี่อยู่ในกรุงไกรเหมือนแต่
ก่อนเก่า หากว่าเจ้าทำเช่นนี้ กายของมัทรีก็จะขาดสะบั้นลงทันตาด้วยพระกรเบื้อง
ขวาของอาตมานี้แล้วแล..”นอกจากนี้ผู้หญิงจะต้องปรนนิบัติสามีซื่อสัตย์ต่อสามี ส่วน
ลูกนั้นถือเป็นสมบัติของพ่อแม่ ต้องเครารพเชื่อฟัง และพ่อแม่สามารถยกลูกให้ผู้อื่น
ได้

2. สะท้อนให้เห็นธรรมชาติของมนุษย์
ความรักนำมาซึ่งความทุกข์ความโศกเศร้าเสียใจเช่น เมื่อลูกพลัดพรากจาก

ไปพ่อแม่ย่อมมีความทุกข์เพราความรัก ความเป็นห่วงกังวล โศกเศร้า เมื่อคิดว่าลูก
ของตนล้มหายตายจากไป แต่ความโศกเศร้าเสียใจจะบรรเทาลงได้เมื่อมีความโกรธ
เจ็บใจหรือเมื่อเกิดความเข้าใจในสิ่งที่ผู้อื่นทำ

ตัวอย่างเช่น ตอนที่พระเวสสันดรกล่าวบริภาษนางมัทรีเพื่อให้นางมัทรีจึง
โกรธจนลืมความโศกเศร้า

“…สมเด็จพระราชสมภาร เมื่อได้สดับสารพระมัทรีเธอแสนวิโยคโศกศัลย์สุดกํา
ลัง ถึงแม้นจะมิตรัสแก่นางมั่งจะมิเป็นการ จําจะเอาโวหารการหึงเข้ามาหักโศกให้
เสื่อมลงจึ่งเอื้อนโองการตรัสประภาษว่า….”

3.สะท้อนความเชื่อของสังคมไทย
จากข้อความตอนที่พระนางมัทรีออกสู่ป่ าเพื่อหาเก็บผลไม้ ผลไม้ก็เพี้ยนผิด

ปกติ ซึ่งถือว่าเป็นลางร้าย จากความในบทประพันธ์ว่า
“…เหตุไฉนไม้ที่มีผลเป็นพุ่มพวง ก็กลายกลับเป็นดอกดวงเดียรดาษอนาถ

เนตร แถวโน้นนั่นแก้วเกดพิกุลแกมกับกาหลง ถัดไปก็สายหยุดประยงค์แลยมโดย
ยามพระพายพัดเคยร่วงโรยรายดอกลงมูนมอง แม่ยังได้เก็บมาร้อยกรองไปฝาก
ลูกเมื่อวันวานก็เพี้ยนผิดพิสดารเป็นพวงผล สพฺพา มุยฺหนฺติ เม ทิสา ทั้งแปดทิศก็
มืดมัวทั่วทุกแห่ง ทั้งขอบฟ้ าก็ดาดแดงเป็นสายเลือด ไม่เว้นวายหายเหือดเป็นลาง
ร้ายไปรอบข้าง ทกฺขิณกฺขินัยน์ตาขวาก็พร่างๆอยู่พรายพร้อย ดูจิตใจของแม่นี้ยัง
น้อยอยู่นิดเดียว ทั้งอินทรีย์ก็เสียวๆ สั่นระรัวริกสาแหรกคานบันดาลพลิกพลัดลงจาก
บ่า ทั้งขอน้อยในหัตถาที่เคยถือ ก็หลุดหล่นลงจากมือไม่เคยเป็นเห็นอนาถ….”

34

คุ ณ ค่า
ท า ง ว ร ร ณ ค ดี

คุ ณ ค่า ด้ า น สัง ค ม

ลางร้าย 9 ประการ ได้แก่


1. ไม้ผลกลับกลายเป็นไม้ดอก

2. ไม้ดอกกลับกลายเป็นไม้ผล

3. มืดมัวไปทั่วทั้ง ๘ ทิศ คือ อุดร อีสาน บูรพา อาคเนย์ ทักษิณ หรดีปัจจิม

พายัพ

4. เขม่นตาขวา

5. ใจเหมือนจะขาด

6. ขอบฟ้ ากลายเป็นสีแดงสายเลือด
7 . กายรู้สึกเสียวๆ สั่นๆ
8. ขอที่ใช้สอยผลไม้หลุดลงจากมือ

9. ไม้คานพลิกลงจากบ่า

๔.สะท้อนเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณีอันเป็ นประเพณีที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธ
ศาสนา

โดยเรื่องมหาเวสสันดรชาดก เป็นชาดกที่พุทธศาสนิกชนนิยมนำมาเล่า
ขานจัดเป็ นงานเทศน์มหาชาติกันทุกปี มาตั้งแต่ครั้งอดีตโดยจัดสถานที่ให้สอดคล้อง
กับเรื่องราวให้เป็นป่ าที่อุดมไปด้วยไม้ผล บางแห่งก็จัดตกแต่งภาชนะใส่เครื่องกัณฑ์
เทศน์เป็นรูปต่างๆ ที่สอดคล้องกับเนื้อเรื่องกัณฑ์นั้นๆ เช่นทำรูปเรือสำเภาบูชากัณฑ์
กุมารจัดเป็นรูปกระจาดใหญ่ใส่เสบียงอาหารและผลไม้ต่างๆ บูชากัณฑ์มหาราชบาง
แห่งก็จัดกัณฑ์เทศน์กันอย่างใหญ่โตในเชิงประกวดประชันกัน มีการบรรเลงดนตรี
ไทยประกอบเพื่อช่วยสร้างอารมณ์ ร่วมให้กับผู้ฟังเทศน์ทั้งนี้พระสงฆ์ที่มาเป็นผู้
เทศน์จะเป็นพระสงฆ์ที่เทศได้อย่างไพเราะ ใช้ภาษาง่ายๆเพื่อให้เข้าถึงผู้ฟังทุกเพศ
ทุกวัยบางครั้งก็มีการเทศน์แหล่ด้วยปัจจุบันเทศน์มหาชาติจัดเป็ นงานประจำปี ของ
ทุกท้องถิ่นทั่วทุกภาในประเทศไทย

35

เเนวคิดสำคัญของเรื่อง

พระเวสสันดร กัณฑ์มัทรี




1. ความรักของแม่ที่มีต่อลูกนั้นยิ่งใหญ่นัก
2. ผู้ที่จะปรารถนาสิ่งต่างๆ อันยิ่งใหญ่จะต้องทำด้วยความอดทน
แ ล ะ เ สีย ส ล ะ อัน ยิ่ ง ใ ห ญ่
3. ความซื่อสัตย์ระหว่างสามีภรรยาทำให้ชีวิตครอบครัวมีความสุข
4. ผู้มีปัญญาย่อมแก้ไขเหตุการณ์ เฉพาะหน้าได้ดี
5. การบริจาคบุตรทารทานหรือทานบุตรบารมีเป็ นสิ่งที่กระทำได้
ยากยิ่ง ไม่มีใครจะทำได้ง่ายๆ

อ้างอิง

28 ตุลาคม 2011 . ประวัติผู้แต่ง มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์
มัทรี . สืบค้นเมื่ อ 18 มีนาคม 2565.จาก
HTTPS://JIRAWANJANE.WORDPRESS.COM/

มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์ มัทรี . สืบค้นเมื่ อ 18 มีนาคม
2565.จาก
HTTP://ONLINE.ANYFLIP.COM/FJDSV/IYOU/MOBILE
/INDEX.HTML

บทอาขยาน ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์ มัทรี . สืบค้น
เมื่ อ 18 มีนาคม 2565.จาก
HTTPS://YOUTU.BE/NHVQG5GRRTO

เรื่องย่อมหาเวสสันดรชาดก 13 กัณฑ์ . สืบค้นเมื่ อ 18 มีนาคม
2565.จาก HTTPS://YOUTU.BE/JOWPTD_DHFQ

วิกิพีเดีย .ประวัติ มหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์ มัทรี . สืบค้นเมื่ อ
18 มีนาคม 2565.จาก
HTTPS://TH.M.WIKIPEDIA.ORG/WIKI/


Click to View FlipBook Version