พัฒนาการทางด้านสังคม
และวัฒนธรรมในสมัยสุโขทัย
โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา
ด้านลัทธิความเชื่อและศาสนา
ความเชื่อและศาสนาเป็นรากฐานของการกำหนดพฤติกรรมและ
การจัดระเบียบสังคม ชาวสุโขทัยได้ผสมผสานความเชื่อดั้งเดิม
คือนับถือธรรมชาติ ผี เทวดา และไสยศาสตร์เข้ากับศาสนา ซึ่ง
มีหลักปฏิบัติที่เป็นระเบียบแบบแผน
พระมหากษัตริย์ในสมัยสุโขทัยทรงมีศรัทธาต่อพระพุทธ
ศาสนาทรงนำราษฎรปฏิบัติธรรมและทำกิจกรรมทางศาสนา
โดยเฉพาะพระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไทย) พระองค์ทรงออก
ผนวชและทรงนิพนธ์งานทางศาสนา เช่น หนังสือไตรภูมิ
พระร่วง เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีประเพณีการสร้างวัดขึ้นใน
เขตพระราชวัง เพื่อใช้สำหรับประกอบพระราชพิธีทางศาสนา
และพระราชพิธีอื่นๆ ที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
1.1 ความเชื่อเรื่องผีและไสยศาสตร์
ผีทำหน้าที่รักษากฎเกณฑ์จัดระเบียบให้สังคม
ชาวสุโขทัยจำแนกผีออกหลายระดับ คือกลุ่มผีให้
คุณ เช่น ผีบ้านผีเรือน ผีบรรพบุรุษ และผีเมือง
โดยเฉพาะผีขะพุง ดังปรากฎในหลักศิลาจารึก
พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ความว่า "..เบื้อง
หัวนอนเมืองสุโขทัยนี้..มีพระขะพุง ผีเทพดาใน
เขาอันนั้นเป็นใหญ่กว่าทุกผีในเมืองนี้..." และ
กลุ่มผีให้โทษ คือ ผีป่า ผีจร เป็นต้น
1.2 ศาสนาพราหมณ์ - ฮินดู
เนื่องจากสุโขทัยเคยตกอยู่ภายใต้อำนาจขอม จึง
ได้รับอิทธิพลของศาสนาฮินดูและพุทธมหายาน แต่
เมื่อสถาปนาเป็นรัฐอิสระแล้วจึงเปลี่ยนมานับถือนิกาย
เถรวาทแทน เทวสถานก็ปรับเปลี่ยนเป็นวัดในพุทธ
ศาสนานิกายเถรวาท
1.3 ศาสนาพุทธ
สุโขทัยระยะแรกมีความสัมพันธ์อันดีกับนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็น
ศูนย์กลางพุทธศาสนานิกายเถรวาทลัทธิลังกาวงศ์ จึงได้รับอิทธิพล
ของศาสนามาด้วย พุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ในสุโขทัย แบ่งออกเป็น
2 กลุ่ม คือ ฝ่ายคามวาสี เป็นพระสงฆ์ที่จำพรรษาที่วัดในเมือง มีหน้าที่
ทำนุบำรุงพระศาสนาและประกอบศาสนพิธีต่างๆ ส่วนฝ่ายอรัญวาสี
เป็นพระสงฆ์ที่จำพรรษาที่วัดป่า มุ่งปฏิบัติธรรมด้านวิปัสสนา
ชนชั้นและภาษาสมัยสุโขทัย
1. กลุ่มคนที่เป็นชนชั้นปกครอง ได้แก่ 2. กลุ่มคนที่อยู่ใต้ชนชั้นปกครอง ได้แก่
กษัตริย์ (พ่อขุน) กลุ่มเชื้อพระวงศ์
ประชาชนเรียกว่าไพร่ และข้าหรือทาสซึ่ง
ขุนนาง และพระสงฆ์
เป็นกลุ่มคนที่ไม่มีอิสระในตัวเอง
ในการควบคุมกำลังคนในสมัยสุโขทัยไม่พบหลัก
ฐานชัดเจนเหมือนสมัยอยุธยา แต่เชื่อว่าคงมีระบบ
การควบคุมไพร่อย่างมีประสิทธิภาพแน่นอน จึง
สามารถทำสงครามขยายอาณาจักรและป้องกันบ้าน
เมืองได้อย่างเข้มแข็ง การควบคุมไพร่ของสังคมสมัย
สุโขทัยน่าจะเป็นแบบแผนเดียวกับอาณาจักรล้านนา
คือ กำหนดให้ไพร่ 10 คนมีนายสิบควบคุม 1 คน ไพร่
20 คนมีนายซาว (ยี่สิบ) 1 คน ไพร่ 100 คน มีนาย
ร้อยหรือหัวปากควบคุม 1 คน ถึงระดับพัน จะมีเจ้าพัน
คุม และเหนือกว่าระดับพันขึ้นไปจะมีเจ้าหมื่นคุม
ผู้บังคับหน่วยงานระดับสูงเหล่านั้นจะติดต่อกันโดยผ่าน
ล่าม ดังปรากฏข้อความในศิลาจารึกสุโขทัยระบุถึงตำแหน่ง
ล่ามพัน ล่ามหมื่น และตำแหน่งหัวปาก แสดงว่าในสมัยสุโขทัย
น่าจะมีวัฒนธรรมในการควบคุมกำลังคนเช่นเดียวกับ
อาณาจักรไทยที่อยู่ข้างเคียง
สภาพบ้านเมืองสมัยสุโขทัย
เมืองสุโขทัยเดิมครั้งอยู่ในอำนาจเขมรคงจะตั้งอยู่บริเวณ
ใกล้กับวัดพระพายหลวง ต่อมาในพุทธศตวรรษที่ 18 สุโขทัย
จึงย้ายมาตั้งเมืองใหม่ทางทิศใต้ของเมืองเดิม มีกำแพงชั้นใน
ก่อด้วยศิลาแลง ชั้นนอกก่อเป็นคันดินมีคูกว้างใหญ่ ต่อมาทำ
เป็นกำแพงล้อมรอบเรียกว่า “ตรีบูร” มีคูเมืองเป็นที่กักเก็บน้ำ
ที่ระบายมาทางคูคลอง มีอ่างเก็บน้ำเป็นเขื่อนดินที่ในศิลาจารึก
สุโขทัยเรียกว่า “สรีดภงส์” หรือ “ทำนบพระร่วง” สิ่งก่อสร้าง
ในสมัยสุโขทัยส่วนใหญ่เป็นศาสนสถานและศาสนวัตถุ ส่วนสิ่ง
ก่อสร้างที่เป็นปราสาทราชวัง อาคารบ้านเรือนซึ่งเป็นที่ประทับ
และอยู่อาศัยของเจ้านาย ขุนนาง ราษฎรไม่ปรากฏหลักฐานอยู่
ถึงปัจจุบัน เนื่องจากในการปลูกสร้างปราสาทราชวังและบ้าน
เรือนนิยมใช้ไม้ก่อสร้าง แต่การก่อสร้างศาสนสถานจะใช้วัตถุที่
มั่นคงแข็งแรง
การศึกษาสมัยสุโขทัย
ในสมัยสุโขทัยมีการกำหนดแบบแผนการศึกษาโดยเฉพาะของผู้ปกครอง
ดังปรากฏในศิลาจารึกนครชุม จังหวัดกำแพงเพชร กล่าวถึงการศึกษาของ
พระมหาธรรมราชาที่ 1 ว่าพระองค์ทรงได้ศึกษาศิลปศาสตร์ 18 ประการ ซึ่ง
เป็นแบบแผนการศึกษาของพราหมณ์ประกอบด้วยวิชาการแขนงต่างๆคือ
1. รู้การปกครอง 7. รู้ดนตรี ฟ้อนรำ 13. รู้การรักษาโรค
2. รู้กฎธรรมเนียม 8. รู้การยิงปืน ธนู 14. รู้ดาราศาสตร์
3. รู้คิด คำนวณ 9. รู้พิชัยสงคราม 15. รู้อักษรศาสตร์
4. รู้กลไกอาวุธต่างๆ 10. รู้ประวัติศาสตร์ 16. รู้ประพันธ์ฉันทลักษณ์
5. รู้กฎหมาย 11. รู้บริหารกาย 17. รู้การพูดต่อชุมชน
6. รู้โหราศาสตร์ 12. รู้วีรกรรมบรรพชน 18. รู้คาถาอาคมต่างๆ
ในส่วนของไพร่หรือประชาชนไม่พบหลักฐานในการจัดการศึกษา แต่เชื่อว่าโดยทั่วไป
นอกจากจะเรียนวิชาอาชีพตามบรรพบุรุษแล้ว พ่อแม่ยังนำบุตรชายไปฝากพระให้บรรพชา
เป็นสามเณร เพื่อจะได้เรียนวิชาความรู้ต่างๆจากพระสงฆ์ เพราะวัดในสังคมไทยตั้งแต่
โบราณเป็นสถานที่สั่งสมวิทยาการต่างๆ และเป็นสถานที่รักษาแบบแผนประเพณีไทย
การประดิษฐ์อักษรไทยหรือลายสือไท
พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นเมื่อพ.ศ. 1826
ตัวอักษรที่พระองค์ทรงประดิษฐ์ขึ้นเรียกว่า “ลายสือไท” ลักษณะคล้ายตัว
อักษรของขอมซึ่งวิวัฒนาการจากอักษรของอินเดีย มีลักษณะสำคัญคือ
01 02 03
การจัดเรียงตัวพยัญชนะไว้ มีพยัญชนะและสระที่ประดิษฐ์ การกำหนดรูปวรรณยุกต์
ในบรรทัดเดียวกันทั้งหมด กำกับรูปคำทำให้อ่านแล้ว
เพิ่มขึ้น เช่น ฃ ฅ ซ ฎ ด บ ฝ เข้าใจความหมายได้ทันที
ฟ อ สระอือ แอ เอือ เป็นต้น
และได้เพิ่มวรรณยุกต์เอก และ
โท ทำให้เขียนอักษรแทนเสียง
พูดในภาษาไทยได้ครบถ้วน
อักษรไทยหรือลายสือไทของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช
ได้มีการดัดแปลงรูปแบบของลายสือไทในหลายช่วงเวลา จน
มาถึงสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ตัวอักษรไทยที่นำไป
ใช้เขียนในหนังสือจินดามณี ซึ่งเป็นตำราเรียนภาษาไทยเล่ม
แรกของไทยนั้น มีลักษณะใกล้เคียงกับตัวอักษรไทยในสมัย
ปัจจุบัน ลายสือไทยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชเมื่อนับ
อายุถึงปัจจุบันมีอายุถึง 738 ปี
ด้านศิลปกรรม
งานศิลปกรรมสุโขทัยส่วนใหญ่เกี่ยวข้อง
กับพุทธศาสนา ผลงานแต่ละชิ้นแสดงถึง
ความสามารถของช่างศิลป์และความเข้าใจ
ถึงแก่นแท้ของหลักธรรมในพุทธศาสนา
ประติมากรรม
นิยมสร้างพระพุทธรูปและเทวรูป หล่อสัมฤทธิ์งดงามด้วยฝีมือและ
เทคโนโลยีระดับสูง พระพุทธรูปสมัยสุโขทัยแบ่งเป็น 4 หมวดตามลักษณะ คือ
1.หมวดใหญ่ พระพักตร์ค่อนข้างกลมแบบลังกา พระรัศมีเป็นเปลว พระขนง
โก่ง พระนาสิกงุ้ม ตามแบบลักษณะมหาบุรุษจากอินเดีย
2.หมวดกำแพงเพชร พระพักตร์รูปไข่ พระนลาฎกว้าง (ค้นพบน้อย)
3.หมวดพระพุทธชินราช พระพักตร์รูปไข่หรือทรงมะตูม นิ้วพระหัตถ์ยาวเสมอ
กันทั้ง 4 นิ้ว พระองค์ค่อนข้างอวบอ้วน มีลักษณะของมหาบุรุษ 32 ประการ
4.หมวดวัดตะกวน ได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะสมัยเชียงแสน บางองค์มี
ลักษณะชายสังฆาฏิหรือจีวรสั้น พระนลาฏแคบ แต่พระองค์และฐานมักเป็นแบบ
สุโขทัย ที่เรียกว่าแบบวัดตะกวนนั้น เพราะได้พบพระพุทธรูปแบบสุโขทัยและแบบ
แปลกๆ เหล่านี้ที่วัดตะกวนในเมืองสุโขทัยเป็นครั้งแรก
สถาปัตยกรรม
สถูปหรือเจดีย์ มี 3 แบบ ได้แก่
1) แบบสุโขทัยแท้ เป็นเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์
หรือดอกบัวตูม อยู่บนฐานสูงซ้อน 3 ชั้น
2) แบบลังกา เป็นเจดีย์ทรงกลม แต่ดัดแปลง
ฐานและองค์ระฆังให้สูงขึ้น
3) แบบลังกาผสมศรีวิชัย หรือทรงปราสาท
เป็นเจดีย์ทรงกลมขนาดเล็กอยู่บนฐานสูง เจาะซุ้ม
คูหาสำหรับประดิษฐานพระพุทธรูป มีเจดีย์บริวาร
ประดับมุขทั้งสี่
โบสถ์และวิหาร ชาวสุโขทัยนิยมสร้างวิหารใหญ่ไว้
ด้านหน้าองค์สถูป ส่วนโบสถ์มีขนาดเล็กอยู่ทางขึ้น
จิตรกรรม
งานจิตรกรรมสมัยสุโขทัยนั้นปรากฏว่ามีการทำภาพแกะลายเบา โดยแกะสลักบนหินเป็นลาย
เส้น ตัวอย่างเช่น ภาพแกะสลักลายเส้นบนเพดานผนังอุโมงค์วัดศรีชุม สลักเรื่องโคชานิยชาดก
สำริดจากวัดเสด็จ ตลอดจนจิตรกรรมฝาผนังพบที่วัดเจดีย์เจ็ดแถว ภายในคูหาชั้นในของ
มณฑปที่มีเรือนยอดเป็นปรางค์ผสมเจดีย์ทรงระฆังมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง แต่ปัจจุบันลบเลือน
เกือบหมดแล้ว โดยได้รับอิทธิพลของศิลปะลังกา ภาพเขียนสีที่เก่าแก่ที่สุดอยู่ที่วัดเจดีย์เจ็ดแถว
อำเภอศรีสัชนาลัย เป็นภาพพระพุทธเจ้าแบบไทยใช้สีเอกรงค์
หัตถกรรม
เครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน ประกอบ
ด้วยเครื่องจักสาน เครื่องปั้ นดินเผา
และเครื่องไม้ ส่วนเครื่องนุ่งห่ม มีการ
ทอผ้าฝ้ายและผ้าไหม ผลงานสำคัญคือ
เครื่องสังคโลก
วรรณกรรม
1.วรรณกรรมประวัติศาสตร์ เช่น ศิลาจารึกพ่อขุน
รามคำแหงมหาราช ศิลาจารึกวัดศรีชุม ศิลาจารึก ปู่
ขุนจิดขุนจอด ศิลาจารึกวัดป่ามะม่วง เป็นต้น
2.วรรณกรรมศาสนาและปรัชญา เช่น ไตรภูมิ
พระร่วงหรือเตภูมิกถา สุภาษิตพระร่วง ตำรับท้าวศรี
จุฬาลักษณ์ เป็นต้น
วรรณกรรม
โดยมีวรรณกรรม ที่สำคัญ ดังนี้
- หลักศิลาจารึกหลักที่ ๑ หรือศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช เมื่อพ่อขุน
รามคำแหงมหาราชประดิษฐ์ตัวอักษรไทยขึ้นแล้ว ทรงโปรดเกล้าฯให้จารึก ตัวอักษร ลง
บนหลักศิลาจารึกหลักที่ ๑ นับว่าเป็นหลักแรกที่แสดง ถึงอักขรวิธีของภาษาไทย และ
เป็นวรรณกรรมที่แสดงถึงสภาพสังคม วัฒนธรรม ประเพณีของอาณาจักรสุโขทัย
- ไตรภูมิพระร่วง (เตภูมิกถา) พระมหาธรรมราชาที่ 1 (พญาลิไท) เป็นผู้พระราชนิพนธ์
เมื่อ พ.ศ. ๑๘๘๘ โดยพระองค์มีพระราชประสงค์ ใช้เทศนาโปรดพระราชมารดาและสั่ง
สอนประชาชนของสุโขทัย ให้บรรลุถึง นิพพาน วรรณกรรมไตรภูมิพระร่วงจะบรรยาย
ถึงภาพของนรก สวรรค์ ไว้อย่าง ชัดเจน โดยสอนให้รู้จักบาปบุญ คุณโทษ รู้ชั่ว เกรง
กลัวต่อโทษที่จะได้รับ จากการทำความชั่ว
- สุภาษิตพระร่วง นับว่าเป็นวรรณกรรมที่มีค่ายิ่ง มีวัตถุประสงค์ที่จะสอนคน ให้มีความ
รู้ และการปฏิบัติตนต่อบุคคลอื่น
- ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ วัตถุประสงค์ในการแต่งวรรณกรรมเรื่องนี้ เพื่อให้ คำแนะนำ
ตักเตือนข้าราชการ สำนักฝ่ายในให้มีกิริยามารยาทที่เหมาะสมกับ ศักดิ์ศรีของตนเอง
เป็นการเชิดชูเกียรติยศของพระมหากษัตริย์
ดนตรีและนาฏยกรรม
จากหลักฐานต่างๆยืนยันได้ว่าคนไทยมี
วัฒนธรรมทางด้านดนตรีและนาฎยกรรม
แสดงถึงความรุ่งเรืองมีสุนทรีของผู้คนในยุคนี้
1.ดนตรี ใช้แสดงประกอบขบวนพิธีในงานเฉลิมฉลอง
ด้านศาสนา มีเครื่องดนตรีทั้งเครื่องดีด สี ตี เป่า ใช้
บทเพลงแบบเพลงพื้นบ้าน จนพัฒนาขึ้นในภายหลังเป็น
เพลงละคร เรียกว่า เพลงสุโขทัย
2.นาฎศิลป์มหรสพ เริ่มแรกคือการละเล่นพื้นบ้าน
สะท้อนภาพวิถีชีวิตและอาชีพ ที่ปรากฎในจารึกคือ การ
เผาเทียนเล่นไฟ สันนิษฐานว่า การเผาเทียน คือการจุด
ประทีปโคมไฟเพื่อบูชาพระพุทธเจ้าและเทวดา ส่วนการ
เล่นไฟอาจะเป็นการเฉลิมฉลองในโอกาสสำคัญ
ขนบธรรมเนียมประเพณี
1.ประเพณีเกี่ยวกับชีวิต เพื่อความเป็นศิริมงคลแก่ตนและผู้
ใกล้ชิด รวมทั้งป้องกันสิ่งชั่วร้ายต่างๆ เช่น การขึ้นบ้านใหม่ การ
ทำบายศรีสู่ขวัญ เป็นต้น
2.ประเพณีเกี่ยวกับอาชีพ เพื่อความเป็นศิริมงคลแก่อาชีพ
บูชาเทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์และแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ
เช่น ประเพณีขอฝน การบูชาพระแม่โพสพ เป็นต้น
3.ประเพณีตามเทศกาล เป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบต่อกันมา
เช่น เทศกาลตรุษสงกรานต์ เทศกาลสารทเดือนสิบ เป็นต้น
4.ประเพณีเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา เช่น การทำบุญฟังเทศน์
ในวันสำคัญ ประเพณีทอดกฐิน เป็นต้น
source
http://www.trueplookpanya.com/blog/content/63799/
https://ihc2015.info/skin/yamang-kapital.akp
https://fxhanuman.com/web/index.php/
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/700463
https://hhistory25.wordpress.com/2015/02/22/พระพุทธ
รูปสมัยสุโขทัย
http://thai-history-art-
tourism.blogspot.com/2014/03/blog-post_849.html
https://www.gotoknow.org/posts/486339
http://www.pralanna.com/boardpage.php?topicid=3695
http://119.46.166.126/self_all/selfaccess10/m4/art4_1/le
sson2/image/
https://www.asiantrails.travel/travelnews/2014/02/19/s
ukhothai-historic-festivals-february-september-2014/
THANK YOU
เสนอ
ผศ.ดร.อำพร ขุนเนียม
จัดทำโดย
นางสาวกฤตชญา วิรุณารักษ์
ม.4/6 เลขที่ 3 เลขประจำตัว 07440