42 แกะสลัก ผัก ผลไม้ หรือการจัดบรรยากาศด้วยการจัดดอกไม้ ล้วนแล้วแต่เกิดจากการเน้นทั้งสิ้น หากต้องการ ให้อาหารที่จัดน่าสนใจ ควรค านึงถึงศิลปะที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์สิ่งนั้นคือ การเน้นนั่นเอง 8. ความสมดุล (Balance) การจัดอาหารในจานควรค านึงถึงความ สมดุลเช่นกันเพราะความสมดุลจะ ท าให้อาหารในจานดูเหมาะสม ควรจัดวางอาหารให้มีความพอเหมาะ ทั้งในเรื่องของปริมาณและสีสัน ต าแหน่ง จะเป็นเต็มจาน หรือ วางเพียงส่วนใดส่วนหนึ่งของจานก็ได้ แต่ต้องดูให้มีความพอดี การเลือกภาชนะใส่อาหาร หรือใช้วางประกอบอาหาร ต้องเสริมส่งตัวอาหารให้ดูน่ากินยิ่งขึ้น ของสิ่งอื่นที่ไม่ใช่จานชามก็สามารถ น ามาใส่ หรือจัดวางอาหารได้เหมือนกัน เช่น แผ่นหินแกรนิตสีเข้มสวยงาม เขียงไม้สะอาดๆ มีลายไม้ ลายวงปี หรือ แม้แต่ใบไม้ ดอกไม้ กลีบดอกไม้ต่างๆ 9. สี (Color) การใช้สีตกแต่งอาหารเป็นเรื่องง่ายกว่าการใช้สีตกแต่งในเรื่องอื่น เพราะอาหารในแต่ละ อย่างจะมีสีสันในตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอาหารไทย ซึ่งมีมากมายหลายสี แกงเขียวหวานสีเขียวอ่อน แกง เผ็ด สีส้ม หรือแกงเลียงสีเขียว การใช้สีตกแต่งอาหารเพียงเพื่อต้องการให้อาหารเกิดความน่ารับประทาน และ สร้าง จุดเด่นของอาหาร ดังนั้นการใช้สีตกแต่งอาหาร จึงควรใช้สีจากธรรมชาติเพื่อความปลอดภัยในการบริโภค เช่น สีเขียวจากใบเตย สีม่วงหรือสีน้ าเงินจากดอกอัญชัน หรือสีเหลืองจากฟักทองหรือขมิ้น เป็นต้น ถึงแม้ว่า อาหารจะมีรสอร่อยเพียงใดแต่หากขาดการปรุงแต่งด้วยสีสันอาหารนั้นอาจขาดความสนใจได้เช่นกัน การแกะสลักผักและผลไม้ การแกะสลักผักและผลไม้ เป็นงานศิลปะอย่างหนึ่งที่ต้องอาศัยทักษะความช านาญ เพื่อให้งาน แกะสลักมีความสวยงามและน่ารับประทาน ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่ส าคัญอย่างหนึ่งของการตกแต่งอาหารไทย ที่ต้องมีความสวยงามที่เกิดจากความตั้งใจในการประดิษฐ์ประดอย เป็นการปรุงแต่งอาหารที่ได้ทั้งอาหารตา และอาหารรับประทาน งานแกะสลักผักนับเป็นศิลปวัฒนธรรมไทย แฝงไว้ด้วยความสวยงาม อ่อนช้อย ประณีต ลวดลายที่สวยงาม ต้องอาศัยความประณีตและมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีสมาธิ และความอดทน ผักเครื่องจิ้ม คือ ผักสดชนิดต่าง ๆ ที่รับประทานคู่กับเครื่องจิ้ม เช่น น้ าพริก หรือหลน เมื่อรับประทาน คู่กันถึงจะอร่อยและส่งเสริมรสชาติของกันและกัน หรือลดทอนความจัดจ้านในหัวเครื่องจิ้มให้ได้รสชาติกลมกล่อม ผักและผลไม้ที่นิยมน ามาแกะสลัก เช่น แตงร้าน แครอท มะเขือเทศ มะเขือ ฟักทอง เผือก มันฝรั่ง สัปปะรด ขิง เป็นต้น ภาพที่ 37 : การจัดตกแต่งอาหาร เมนู ปลากะพงม้วน โดย ศูนย์วงเดือน อาคมสุรทัณฑ์
43 วัตถุประสงค์ของการแกะสลัก มีดังนี้ 1. เพื่อความสะดวกในการรับประทาน การแกะสลักช่วยให้การรับประทานได้สะดวก เพราะผักแต่ละชนิด จะมีขนาดและวิธีการรับประทานที่แตกต่างกัน ผักบางชนิดรับประทานได้ทั้งผลแต่มีขนาดใหญ่ เช่น แตงร้าน แครอท หรือบางชนิดรับประทานได้เพียงแต่เปลือกและเนื้อ ไม่สามารถรับประทานเมล็ดหรือเม็ดได้ เช่น ฟักทอง มะเขือบางชนิด 2. เพื่อความสวยงามในการรับประทาน การแกะสลักสามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่าง ลักษณะของผัก ให้เป็นรูปแบบต่าง ๆ ที่สวยงามน่ารับประทานได้ มีดแกะสลัก มี 2 ลักษณะ ดังนี้ 1. มีดแกะสลักที่มีด้ามแบน ใบมีดมีลักษณะเรียวแหลม ยาวประมาณ 1 – 2 นิ้ว ใบมีดมักท าจากเนื้อ สเตนเลสอย่างดี เพื่อมิให้เกิดปฏิกิริยาเคมีกับผักและผลไม้ เหมาะส าหรับผู้ที่เริ่มฝึกฝนการแกะสลักสามารถ ควบคุมมีดได้ง่าย 2. มีดแกะสลักที่มีด้ามกลม ใบมีดมีลักษณะเรียวแหลม ยาวประมาณ 1.5 – 2.5 นิ้ว ใบมีดมีทั้งชนิด ที่ท าจากสเตนเลส และเหล็ก จึงควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับการใช้งาน มีดด้ามกลมเหมาะส าหรับผู้ที่มีความช านาญ ในการแกะสลัก วิธีจับมีดแกะสลัก ผู้แกะสลักจ าเป็นต้องจับมีดแกะสลักให้ถูกต้อง เพื่อช่วยให้การท างานแกะสลักมี ความปลอดภัยจากการเกิดอุบัติเหตุ เช่น มีดบาด ท าให้การแกะสลักมีความรวดเร็วและผลงานแกะสลักมีความสวยงาม มี 2 วิธีดังนี้ 1. การจับมีดแกะสลักแบบหั่นผัก ส าหรับการแกะสลักวัสดุและลวดลายที่มีขนาดใหญ่ เช่น แคนตาลูป แตงโม โดยจับมีดแกะสลักแบบหั่นผักด้วยมือขวา มือซ้ายจับวัสดุที่น ามาแกะให้แน่น แล้ววางมือที่จับมีด โดยให้นิ้วนางสัมผัสวัสดุที่แกะสลักเพื่อช่วยควบคุมน้ าหนักมือและช่วยลดอุบัติเหตุได้ 2. การจัดมีดแกะสลักแบบจับปากกา ช่วยให้แกะสลักลวดลายได้อย่างอิสระ นิยมใช้กับการแกะสลัก โดยทั่วไป โดยนิ้วหัวแม่มืออยู่ด้านข้างมีด ระหว่างด้ามมีดกับใบมีด นิ้วชี้อยู่ตรงสันมีด (กึ่งกลางของใบมีด) นิ้วกลางอยู่ด้านข้างมีด ระหว่างด้ามมีดกับใบมีด และตรงข้ามกับนิ้วหัวแม่มือ และนิ้วนางกับนิ้วก้อยไม่สัมผัสมีด วิธีการล้างผักสด เพื่อล้างยาฆ่าแมลงสารเคมีที่ติดอยู่กับผัก โดยแช่ผักในน้ าที่ผสมน้ าเบ้กกิ้งโซดา ละลายในน้ าอุ่นหรือน้ าร้อนรอให้เย็น โดยใช้อัตราส่วนเบ้กกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ า 1 ลิตร หรือ 4 ถ้วยตวง แช่ไว้สักครู่ แล้วล้างด้วยน้ าสะอาดอีกครั้ง หลักการจัดผักเครื่องจิ้ม โดยมีหลักการจัดตกแต่งผักเครื่องจิ้ม ดังนี้ 1. รูปร่างและรูปทรง ใช้ในการพิจารณาการเลือกภาชนะส าหรับจัด และการจัดให้เป็นรูปร่างต่าง ๆ รวมถึงการจัดมีระดับความสูงต่ าต่างระดับกัน ภาพที่ 38 : เครื่องมือในการแกะสลักผักและผลไม้ โดย ศูนย์วงเดือน อาคมสุรทัณฑ์
44 2. ขนาดและสัดส่วน จะมีความส าคัญตั้งแต่การเลือกภาชนะ รูปแบบการจัดเพราะจะเป็นสิ่งที่ก าหนด ขนาดปริมาณของผักที่แกะสลักที่ใช้ในการจัด 3. สีสัน มักจะเป็นสีจากผักที่มีตามธรรมชาติ หรือการเลือกสีของภาชนะเพื่อช่วยให้มีสีสันที่ชวน รับประทานมากยิ่งขึ้น การจัดวางเป็นกลุ่มจะท าให้ดูสวยงามมากกว่าการจัดแบบกระจาย 4. เส้นและทิศทาง การจัดให้มีทิศทางเดียวกัน เช่น การจัดช่อโค้ง จะต้องมีทิศทางที่โค้งไปทางเดียวกัน จึงจะช่วยให้รูปแบบของการจัดอ่อนช้อยสวยงามขึ้น 5. จุดเด่น จะเป็นสิ่งที่ช่วยดึงดูดความสนใจ อาจจะใช้สิ่งที่เป็นจุดเด่น เช่น ภาชนะจากผอบน้ าพริกที่ แกะสลักอย่างสวยงามอยู่ตรงกลาง 6. ความกลมกลืน คือ ความรู้สึกที่แสดงความเป็นหนึ่งเดียวกันในการจัด เช่น ความกลมกลืนของภาชนะ รูปแบบการแกะสลัก การแกะสลักผักตกแต่งหัวจาน การจัดจานอาหารให้สวยงามน่ารับประทานนั้น เป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่ชักชวนให้ผู้พบเห็นเกิดความชื่นชม และอยากที่จะรับประทานอาหารในจานนั้น ซึ่งการแกะสลักตกแต่งหัวจานจึงมีความส าคัญอย่างยิ่งในอาหารไทย เพราะงานแกะสลักของคนไทยได้รับการยอมรับว่าเป็นชาติที่แกะสลักออกมาได้ความละเอียด อ่อนช้อย วิจิตร งดงาม จึงท าให้อาหารไทยออกมาได้งดงามสวยสะดุดตาเพื่อเป็นการให้เห็นถึงความพิถีพิถันในการประกอบอาหาร การดูแลและเก็บรักษาชิ้นงานแกะสลัก การแกะสลักผักและผลไม้จ าเป็นต้องรู้วิธีการดูแลรักษาไม่ให้ผักและผลไม้ชนิดนั้น ๆ เปลี่ยนสภาพ นอกจากนี้ยังต้องรู้วิธีการสงวนคุณค่าทางโภชนาการ ซึ่งเริ่มตั้งแต่ก่อนแกะสลัก ระหว่างแกะสลัก และหลัง แกะสลัก ดังนี้ 1. เลือกผักและผลไม้ที่แก่จัด ใหม่ สด และไม่มีต าหนิ เมื่อแกะสลักแล้วผลงานจะสวย คงสภาพเดิม และเก็บไว้ได้นานหลายวัน 2. ก่อนแกะสลัก ต้องล้างผักและผลไม้ให้สะอาด แต่ไม่ควรแช่น้ านานเพราะจะสูญเสียวิตามินและ เกลือแร่ และตัดส่วนที่รับปรานได้ออกให้น้อยที่สุด 3. ผักและผลไม้บางชนิด เมื่อปอกเปลือกหรือแกะสลักแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีน้ าตาลอ่อนหรือสีคล้ าขึ้น โดยมีเอนไซม์และอากาศเป็นตัวกระตุ้น การป้องกันท าได้โดยการแช่ในน้ าสะอาด น้ าเกลือเจือจาง น้ ามะนาว หรือสารละลายน้ าตาล เพื่อไม่ให้ผักและผลไม้สัมผัสกับอากาศโดยตรง ภาพที่ 39 : การแกะสลักผักเครื่องจิ้ม โดย ศูนย์วงเดือน อาคมสุรทัณฑ์
45 4. การเก็บรักษาโดยใช้ความเย็น คือ การจัดผักและผลไม้ใส่ภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิด เช่น กล่องพลาสติก ถุงพลาสติก แล้วน าไปแช่ในตู้เย็นชั้นผัก ที่มีความเย็นระหว่าง 4 – 5 องศาเซลเซียส ยืดอายุความสดหลังการ แกะสลักได้นาน 3 – 5 วัน 5. การเก็บรักษาโดยการถนอมอาหาร โดยใช้เกลือ น้ าตาล และน้ าส้มสายชู ในปริมาณที่เหมาะสม จะช่วยชะลอการเน่าเสียของผักและผลไม้ หากใช้น้ าตาลหรือเกลือที่มีความเข้มข้นสูงจะสามารถยับยั้งการ เจริญเติบโตของจุลินทรีย์ บรรณานุกรม Narusorn Mangkornsila. (2564). การแกะสลักผักเครื่องจิ้ม. https://issuu.com/narusornmangkornsila/docs/ กติกา ทะนานทอง. ศิลปะการแกะสลักผักและผลไม้. กรุงเทพฯ : เพชรกะรัต ดวงฤทธิ์ แคล้วปลอดทุกข์. (ม.ป.ป.) ศิลปะการจัดวางอาหาร. Makro. https://www.makro.co.th/horeca_article_detail/53/ ปฏิภาณ สอนค าเฟือย. (ม.ป.ป.). ศิลปะการตกแต่งอาหาร. วิทยาลัยเทคโนโลยีพงษ์สวัสดิ์. https://anyflip.com/lkkwy/abdq/ มูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมในพระบรมราชูปถัมภ์. (ม.ป.ป.) ใบงานและใบความรู้ประกอบการสอน เรื่องการจัดตกแต่งอาหาร. https://www.dltv.ac.th/ รศ.จริยา เดชกุญชร. ศิลปะการแกะสลักผัก ผลไม้. พิมพ์ครั้งที่ 1 2557. กรุงเทพฯ : สถาพรบุ๊คส์ ภาพที่ 40 : การประดับตกแต่งหัวจาน โดย ศูนย์วงเดือน อาคมสุรทัณฑ์
46 ใบความรู้ที่ 6 เรื่อง บรรจุภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ (Packaging) คือ จรูญ โกสีย์ไกรนิรมล กล่าวว่า บรรจุภัณฑ์ คือการน าเอาวัสดุ เช่น กระดาษ พลาสติกแก้ว โลหะ ไม้ ประกอบเป็นภาชนะห่อหุ้ม สินค้า เพื่อประโยชน์ในการใช้สอยที่มีความแข็งแรง สวยงามได้สัดส่วนที่ถูกต้อง สร้างภาพพจน์ที่ดีมีภาษาในการติดต่อสื่อสาร และท าให้เกิดความพึงพอใจจากผู้ซื้อสินค้า นิไกโด เคล็คเตอร์ (Nikaido Clecture) กล่าวว่า บรรจุภัณฑ์ เป็นเทคนิคที่ส่งเสริมการขายกับการ ประสานประโยชน์ ระหว่างวัตถุกับภาชนะบรรจุ โดยมีความมุ่งหมายเพื่อการคุ้มครองในระหว่างการขนส่งและ การเก็บรักษาในคลัง ส่วนหนึ่งของกระบวนการทางการตลาด โดยเฉพาะปัจจุบันที่การผลิตสินค้า หรือบริการได้เน้นหรือให้ ความส าคัญกับผู้บริโภค (Consumer Oriented) งานเทคนิคที่ต้องอาศัยความช านาญ ประสบการณ์ และ ความคิดสร้างสรรค์ ในอันที่จะออกแบบและผลิตหีบห่อให้มีความเหมาะสมกับสินค้าที่ผลิตขึ้นมาให้ ความคุ้มครองสินค้าห่อหุ้มสินค้า ตลอดจนประโยชน์ ใช้สอย เช่น ความสะดวกสบายในการหอบหิ้ว พกพา หรือการใช้งาน เป็นต้น กลุ่มของกิจกรรมในการวางแผนเกี่ยวกับการออกแบบการผลิตภาชนะบรรจุ หรือสิ่งหุ้ม ห่อสินค้าบรรจุภัณฑ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีความเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับฉลาก (Label) และตรายี่ห้อ (Brandname) ผลรวมของศาสตร์ (Science) ศิลป์ (Art) และเทคโนโลยีของการออกแบบ การผลิตบรรจุภัณฑ์ส าหรับสินค้าเพื่อ การขนส่ง และการขาย โดยเสียค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม การใช้เทคโนโลยีและเศรษฐศาสตร์เพื่อหาวิธีการรักษา สภาพเดิมของสินค้าจนกว่าจะถึงมือผู้บริโภคคนสุดท้าย เพื่อให้ยอดขายมากที่สุดและต้นทุนต ่าสุด กิจกรรม ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการออกแบบ และผลิตรูปร่างหน้าตาของภาชนะบรรจุ สิ่งห่อหุ้มตัวผลิตภัณฑ์หรือบรรจุ ภัณฑ์ การน าเอาวัสดุ เช่น กระดาษ พลาสติก แก้ว โลหะ ไม้ ประกอบเป็นภาชนะหุ้มห่อสินค้า เพื่อประโยชน์ ในการใช้สอย มีความแข็งแรง สวยงาม ได้สัดส่วนที่ถูกต้อง สร้างภาพพจน์ที่ดี มีภาษาในการติดต่อสื่อสาร และ ท าให้เกิดผลความพึงพอใจจากผู้ซื้อสินค้า สิ่งห่อหุ้มหรือบรรจุภัณฑ์ รวมทั้งภาชนะที่ใช้เพื่อการขนส่งผลิตภัณฑ์ จากแหล่งผู้ผลิตไปยังแหล่งผู้บริโภค หรือแหล่งใช้ประโยชน์ หรือวัตถุประสงค์เบื้องต้นในการป้องกัน หรือรักษา ผลิตภัณฑ์ให้คงสภาพตลอดจนคุณภาพใกล้เคียงกันกับเมื่อแรกผลิตให้มากที่สุด จากความหมายสรุปได้ว่าบรรจุภัณฑ์ หมายถึง การน าวัสดุ เช่น กระดาษ พลาสติก แก้ว โลหะ ไม้ น ามาประกอบเป็นภาชนะห่อหุ้มผลิตภัณฑ์ เพื่อความสวยงาม มีคุณค่า และมีประโยชน์ในการใช้สอย ส่งผลให้ ผลิตภัณฑ์ดึงดูดความสนใจ และท าให้เกิดความพึงพอใจจากผู้บริโภค วัตถุประสงค์หลักของบรรจุภัณฑ์ (Objectives of Package) 1. เพื่อป้องกันผลิตภัณฑ์ (To Protect Products) สามารถป้องกันรักษาผลิตภัณฑ์ไม่ให้เสียหาย 2. เพื่อจ าหน่ายผลิตภัณฑ์ (To Distribute Products) สะดวกกับการใช้งาน และเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ 3. เพื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ (To Promote Products) ดึงดูดความสนใจผู้บริโภค การออกแบบบรรจุภัณฑ์ กูด (Good) กล่าวว่า การออกแบบ เป็นการวางแผนหรือก าหนดรูปแบบรวมทั้งการตกแต่งใน โครงสร้างรูปทรงของงานศิลปะ ทัศนศิลป์ ดนตรี ตลอดจนวรรณกรรม วิรุณ ตั้งเจริญ กล่าวว่า การออกแบบ หมายถึงการวางแผนสร้างสรรค์รูปแบบ โดยการวางแผนจัด ส่วนประกอบของ การออกแบบให้สัมพันธ์กับประโยชน์ใช้สอยวัสดุและการผลิต
47 จากความหมายสรุปได้ว่าการออกแบบบรรจุภัณฑ์ หมายถึง การก าหนดรูปแบบและโครงสร้างของ บรรจุภัณฑ์ให้สัมพันธ์กับหน้าที่ใช้สอยของผลิตภัณฑ์ เพื่อการคุ้มครอง ป้องกันไม่ให้สินค้าเสียหาย และเพิ่มคุณค่า ด้านจิตวิทยาต่อผู้บริโภค โดยอาศัยทั้งศาสตร์และศิลป์ในการสร้างสรรค์บรรจุภัณฑ์ให้เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์กับอาหารและขนม 1. บรรจุภัณฑ์มีบทบาทส าคัญ และมีอัตราการเจริญเติบโตมากขึ้น ควบคู่ไปกับการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหาร 2. บรรจุภัณฑ์มีหน้าที่ส าคัญ ในการยืดอายุเพื่อการเก็บรักษา และรักษาคุณภาพอาหารและขนม (รสชาติ กลิ่น สีรูปลักษณ์) 3. บรรจุภัณฑ์มีส่วนในการสร้างรูปลักษณ์ทางการตลาดที่แตกต่าง สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์ และใช้เป็นสื่อโฆษณา นอกจากนี้ยังมีบทบาทส าคัญในด้านการอ านวยความสะดวกส าหรับการขนส่งผลิตภัณฑ์ ส าหรับการเลือกบรรจุภัณฑ์ สิ่งที่ต้องค านึงถึง คือ การเลือกซื้อวัสดุที่จะใช้ในการบรรจุหีบห่อที่ เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ ให้เกิดความสวยงาม และเป็นที่สนใจของผู้บริโภค ดังนี้ 1. บรรจุภัณฑ์กระดาษ ปัจจุบันนิยมใช้กันเป็นจ านวนมาก และยังมีให้เลือกหลากหลายชนิด วัสดุที่ น ามาผลิตได้แก่เยื่อกระดาษ ซึ่งมีทั้งเยื่อกระดาษคุณภาพส าหรับบรรจุภัณพ์อาหาร และเครื่องดื่ม เช่น แก้วกระดาษ ถ้วยกระดาษ กล่องข้าวที่สามารถย่อยสลายได้ ส่วนเยื่อกระดาษรีไซเคิล ได้แก่ บรรจุภัณฑ์ประเภท กล่องลูกฟูก ถาดไข่ หรือถาดรองแก้วกาแฟ 2. บรรจุภัณฑ์พลาสติก แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ พลาสติกคงรูป และพลาสติกอ่อนตัว มีการ น ามาใช้ประโยชน์ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ขวดพลาสติก ถ้วย และถาดพลาสติก และสามารถบรรจุอาหารร้อน อาหารสดและ อาหารแช่แข็ง 3. บรรจุภัณฑ์โลหะ เป็นบรรจุภัณฑ์ที่ใช้มาเป็นระยะเวลานาน ปัจจุบันยังได้น ามาใช้งานอยู่ ลักษณะ ของบรรจุภัณฑ์ที่ท ามาจากโลหะนั้นมีหลากหลายรูปแบบ เช่น ปิ่นโต กระป๋องเครื่องดื่ม หรืออาหารส าเร็จรูป ถังหูหิ้ว หลอดเครื่องส าอาง อลูมิเนียมฟอยล์ หรืออลูมิเนียมแผ่นเปลว และกระป๋องฉีดพ่นต่าง ๆ ภาพที่ 41 : บรรจุภัณฑ์กระดาษ ที่มา http://www.warehouse69.net/product ภาพที่ 42 : บรรจุภัณฑ์พลาสติก ที่มา http://www.bsrungsiam.co.th/web/product.html
48 4. บรรจุภัณฑ์แก้ว มีลักษณะใส มีความสวยงาม สามารถเห็นผลิตภัณฑ์ได้ชัดเจน แต่มีข้อเสีย คือ แตกหักง่าย บรรจุภัณฑ์แก้วจึงต้องใช้คู่กับเยื่อกระดาษขึ้นรูป หรือ กระดาษรังไข่ (Pulp mold) เพื่อป้องกัน การแตกร้าว บรรจุภัณฑ์แก้วที่นิยมผลิตและใช้กันมีอยู่ 3 สี คือ สีใส เช่น ขวดแก้ว ขวดน้ าหอม ขวดน้ าพริก ขวดแยม เป็นต้น สีอ าพัน นิยมใช้ท าขวดยา และขวดเบียร์ ซึ่งเป็นสีที่สามารถป้องกันการเกิดปฏิกิริยาเวลาถูก แสงแดดหรือความร้อนได้ และสีเขียว ลักษณะจะคล้ายกับสีอ าพัน ใช้กับประเภทเครื่องดื่ม 5. บรรจุภัณฑ์จากวัสดุธรรมชาติเป็นบรรจุภัณฑ์ที่ออกแบบและประดิษฐ์ขึ้นมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์ใน การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยช่วยลดปริมาณขยะและย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ จึงไม่เป็นอันตรายต่อ สิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังประหยัดค่าใช้จ่าย เมื่อเลือกใช้วัสดุธรรมชาติที่มีมากในท้องถิ่น หรือวัสดุที่สามารถน า กลับมาใช้ใหม่ได้ บรรจุภัณฑ์จากวัสดุธรรมชาติ สามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ วัสดุประเภทเส้นใย ซึ่ง ก่อนน ามาสานเป็นบรรจุภัณฑ์ต้องผ่านการแปรสภาพด้วยการตากแห้ง ฟอกขาว เช่น กล้วย หวาย เตยปาหนัน กก กระจูด ผักตบชวา เป็นต้น วัสดุที่แปรรูปเป็นแผ่น และรูปทรงต่าง ๆ เช่น กระดาษ เป็นต้น และวัสดุ ประเภทไม้ เช่น ไม้สัก ไม้ไผ่ ไม้มะขาม เป็นต้น ภาพที่ 43 : บรรจุภัณฑ์ปิ่นโต โดย ศูนย์วงเดือน อาคมสุรทัณฑ์ ภาพที่ 44 : บรรจุภัณฑ์แก้ว ที่มา http://thislovegift.lnwshop.com/product ภาพที่ 45 : บรรจุภัณฑ์จากวัสดุธรรมชาติ โดย ศูนย์วงเดือน อาคมสุรทัณฑ์
49 ใบความรู้ที่ 7 เรื่อง การค านวณต้นทุน ก าไร และบัญชีครัวเรือน การค านวณต้นทุน ก าไร การค านวณต้นทุนเป็นส่วนหนึ่งของระบบบัญชีและการเงินของการด าเนินธุรกิจ เป็นการบันทึกการวัดผล และรายงานข้อมูลเกี่ยวกับต้นทุนสินค้าของกิจการโดยทั่วไป ซึ่งต้นทุนขายคือ จ านวนเงินที่จ่ายไปในการซื้อสินค้า วัตถุดิบ เป็นต้นทุนที่เกิดขึ้นในการผลิตสินค้าและบริการที่ขายพร้อมกับกิจกรรมกระบวนการที่ท าให้สินค้าและบริการ พร้อมขายหรือใช้ในภายหลัง เริ่มตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์ การผลิต การทดสอบ การจัดเก็บ การขนส่ง เป็นต้น วิธีค านวณต้นทุนขายแบ่งเป็นประเภทธุรกิจ ดังนี้ 1. ธุรกิจซื้อมาขายไป ธุรกิจขายของทางออนไลน์ ต้นทุนขายค านวณคือ คิดจากราคาสินค้าที่ซื้อมา โดยตรง รวมทั้งค่าขนส่งสินค้าเข้าร้าน 2. ธุรกิจผลิตสินค้า เช่น ธุรกิจโรงงาน หรือผู้ประกอบการที่ท าขนมขาย ซึ่งใช้วัตถุดิบหลายอย่างในการผลิต โดยทั่วไปต้นทุนการผลิตเป็นต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตสินค้า ได้แก่ ต้นทุนวัตถุดิบ ค่าแรง ค่าใช้จ่ายในการผลิต เช่น ค่าไฟฟ้า ค่าน้ ามันรถ รวมทั้งของเสียที่อาจจะเกิดขึ้นจากกระบวนการผลิต ในทาง บัญชีหากจัดจ าแนกตามลักษณะพฤติกรรมของต้นทุนแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ ก. ต้นทุนคงที่ เป็นต้นทุนที่มีมูลค่าเท่าเดิมไม่ว่าจะมีการผลิตสินค้าในปริมาณมากหรือน้อย ได้แก่ เงินเดือน ค่าเช่า ค่าเบี้ยประกันภัย เป็นต้น ข. ต้นทุนผันแปร เป็นต้นทุนที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามปริมาณการผลิตสินค้า ได้แก่ ค่าวัตถุดิบ ค่าแรงงาน ค่าบรรจุภัณฑ์ค่าน้ า ค่าไฟ เป็นต้น ส าหรับธุรกิจที่มีการผลิตและไม่ซับซ้อนมาก ผู้ประกอบการสามารถค านวณต้นทุนได้ดังนี้ 1. ต้นทุนวัตถุดิบ เป็นต้นทุนหลักในการผลิตสินค้า ยกตัวอย่างการค านวณ เช่น ผู้ประกอบการที่ท า ขนมขาย มีวัตถุดิบได้แก่ แป้ง น้ าตาล ไข่ เป็นต้น รวมราคาวัตถุดิบที่ซื้อมาเท่ากับ 500 บาท และผลิตขนม ออกมาได้ 1,000 ชิ้น ดังนั้นต้นทุนวัตถุดิบต่อขนม 1 ชิ้น เท่ากับ 2 บาท หรืออีกวิธีหนึ่งคือ ค านวณต้นทุน วัตถุดิบจากปริมาณที่ใช้จริงจากสมการนี้ ต้นทุนวัตถุดิบ = ปริมาณวัตถุดิบที่ใช้จริง x (ราคาที่ซื้อหารด้วยปริมาณที่ซื้อ) เช่น ธุรกิจที่ท าขนมขายซื้อแป้งสาลีมาในราคา 50 บาท ต่อ 1,000 กรัม (1ถุง) ใช้แป้งท าขนมไป 80 กรัม ดังนั้น ต้นทุนวัตถุดิบคือ 80x(50/1,000) = 4 บาท 2. ค่าแรงการผลิต กรณีที่มีการจ้างพนักงานที่รับผิดชอบดูแลกระบวนการผลิต ค่าใช้จ่ายประเภท เงินเดือนถือเป็นต้นทุนการผลิตโดยตรง การค านวณค่าแรงมีดังนี้ เช่น โรงงานผลิตสินค้าได้ 50,000 ชิ้นต่อวัน เงินเดือนของพนักงานที่ดูแลกระบวนการผลิต จ านวน 2 คน เงินเดือนรวมกัน เดือนละ 40,000 บาท ดังนั้น ต้นทุนค่าแรงต่อสินค้า 1 ชิ้น เท่ากับ 40,000/50,000 = 0.8 บาท ต่อสินค้า 1 ชิ้น หรือกรณีของโรงงานท าขนมที่จ้างลูกจ้างรายวัน เช่น ค่าแรงวันละ 400 บาท โดยเฉลี่ยผลิตขนมได้ วันละ 1,000 ชิ้น ค่าแรงต่อขนม 1 ชิ้น เท่ากับ 0.4 บาท เป็นต้น 3. ค่าใช้จ่ายในการผลิต เป็นของเสียที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิต ได้แก่ ค่าไฟฟ้า ค่าน้ ามันรถ ฯลฯ 3.1 ค่าไฟฟ้า โดยค่าไฟต่อสินค้า 1 ชิ้น ค านวณจากค่าไฟที่จ่ายจริงแต่ละเดือนหารด้วยปริมาณการผลิต เช่น โรงงานผลิตสินค้า จ่ายค่าไฟในเดือนตุลาคม 100,000 บาท ผลิตสินค้าได้ 20,000 ชิ้น ดังนั้น ค่าไฟต่อ สินค้า 1 ชิ้น เท่ากับ 5 บาท
50 3.2 ค่าน้ ามันรถ โดยคิดจากค่าน้ ามันที่ใช้จริงส าหรับรถแต่ละคัน หรือเทียบจากการใช้รถแท็กชี่โดยเข้า ไปดูราคาใน Application Grab 3.3 ของเสียที่เกิดจากกระบวนการผลิต ในช่วงแรกอาจใช้วิธีการประเมิน เช่น ผลิตขนม 10 ชิ้น เสีย 1 ชิ้น เท่ากับของเสียคิดเป็น 10% ของสินค้าที่ผลิตได้ ต่อไปอาจจะใช้วิธีเก็บข้อมูลและประเมินจากของเสียที่เกิดขึ้นจริงได้ ข้อดีของการทราบต้นทุนขาย น าไปใช้ในการตั้งราคาสินค้าได้อย่างถูกต้อง เมื่อค านวณต้นทุนขาย ในการตั้งราคาสินค้าให้บวกก าไรที่ต้องการเข้าไปโดยก าหนดเป็นก าไรเพิ่มเข้าไป อาจจะเป็นร้อยละของต้นทุน ขาย หรือก าหนดเป็นจ านวนเงินต่อชิ้น ซึ่งเป็นวิธีที่ง่าย ตรงไปตรงมาท าให้ผู้ประกอบการสามารถประเมินผล ก าไรการด าเนินงานเพื่อใช้ในการวางแผนงานได้ สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้ในเรื่องราคา ผู้ประกอบการ สามารถก าหนดกลยุทธเรื่องราคา ในการปรับเพิ่ม ลดราคา หรือจัดการส่งเสริมการขายเพื่อให้แข่งขันทางด้าน ราคากับคู่แข่งได้ สามารถวางแผนการผลิตได้ เนื่องจากรู้ข้อมูลต้นทุนที่แท้จริง ท าให้วางแผนในการจัดหาสินค้า หรือวัตถุดิบ หรือการจ้างแรงงานอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ประหยัดต้นทุนได้อย่างมาก ช่วยลดการสูญเสียที่ เกิดจากกระบวนการผลิตได้ เมื่อทราบต้นทุนของเสีย ผู้ประกอบการสามารถวางแผนในการบริหารจัดการเพื่อ ลดของเสียในกระบวนการผลิต ท าให้ต้นทุนสินค้าลดลง ตัวเลขต้นทุนขายและก าไรทางบัญชีและภาษีถูกต้อง การที่ธุรกิจสามารถค านวณตัวเลขต้นทุนขาย ซึ่งเป็นรายการที่มีสาระส าคัญในงบการเงิน ย่อมท าให้การค านวณ ก าไรสุทธิถูกต้องและตัวเลขภาษีถูกต้องตามไปด้วย นอกจากจะลดความเสี่ยงในการเสียค่าปรับทางภาษีแล้ว ในกรณี ธุรกิจต้องการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน งบการเงินก็มีความถูกต้องน่าเชื่อถือท าให้มีโอกาสจัดหาแหล่งเงินกู้ได้ ก าไร ขาดทุน “ก าไร” คือ รายได้ที่รับมากกว่าค่าใช้จ่ายหรือต้นทุน หรือ “ขาดทุน” คือ รายได้ที่รับน้อยกว่า ค่าใช้จ่ายหรือต้นทุน หากเขียนเป็นรูปแบบสมการ สามารถเขียนได้ดังนี้ ทั้งนี้ การค านวณ ต้นทุน ก าไร เป็นการค านวณต้นทุนของสินค้าและบริการเปรียบเทียบกับรายได้ที่ ได้รับ หากรายได้ที่ได้รับน้อยกว่าค่าใช้จ่ายหรือต้นทุน คือ “การขาดทุน” แต่หากค านวณต้นทุนของสินค้าและ บริการ เปรียบเทียบกับรายได้ที่ได้รับมากกว่าค่าใช้จ่ายหรือต้นทุน คือ “การได้ก าไร” ซึ่งในปัจจุบันการ ประกอบอาชีพต่าง ๆ ย่อมต้องมีการลงทุนเพื่อให้ได้ผลก าไรเป็นสิ่งตอบแทน ดังจะพบว่า การผลิตสินค้าหรือ การให้บริการ จึงมีความจ าเป็นต้องมองหาช่องทางจัดจ าหน่าย การกระจายสินตค้า หรือบริการออกไปในวง กว้าง จึงจะเกิดผลก าไรที่คุ้มค่ากับการลงทุน การจัดจ าหน่ายผลผลิต สินค้าหรือบริการ จึงต้องอาศัยช่องทางจัด จ าหน่ายที่เหมาะสมตามสถานการณ์ เทคนิคการตั้งราคาสินค้า แบบที่ 1 เป็นการตั้งราคาจากต้นทุนสินค้า ข้อดีของการตั้งราคาจากต้นทุนสินค้า ค านวณง่ายเหมาะกับ สินค้าที่ไม่มีแผนจัดโปรโมชั่น ราคาขายต่อชิ้น = ต้นทุนรวมต่อชิ้น + (%ก าไรที่ต้องการจากต้นทุน/100) x ต้นทุนรวมต่อชิ้น - ตัวอย่าง เสื้อยืดต้นทุนตัวละ 50 บาท ต้องการก าไร 20% ของต้นทุน ราคาขายต่อชิ้น = 50 + (20/100) x 50 = 60 บาท สรุปขายเสื้อยืด ราคา 60 บาท แบบที่ 2 เป็นการตั้งราคาจากราคาขาย ข้อดีของการตั้งราคาจากราคาขาย มีช่องว่างให้ลดราคาได้ มากกว่าการตั้งราคาจากต้นทุนสินค้า เหมาะกับสินค้าที่อาจจัดโปรโมชั่นในภายหลัง ราคาขายต่อชิ้น = (100 x ต้นทุนรวมต่อชิ้น) / (100 - %ก าไรที่ต้องการจากต้นทุน) - ตัวอย่าง เสื้อยืดต้นทุนตัวละ 50 บาท ต้องการก าไร 20% ของต้นทุน รายได้ – ค่าใช้จ่าย (ต้นทุน) = ก าไร (ขาดทุน)
51 ราคาขายต่อชิ้น = (100 x 50) / (100 - 20) = 62.5 บาท สรุปขายเสื้อยืด ราคา 63 บาท เทคนิคตั้งราคาชวนให้น่าซื้อ แบบที่ 1 เป็นการตั้งราคาลงท้ายด้วยเลข 9 เหมาะกับสินค้าและบริการทุกประเภทที่เน้นขายผู้บริโภค เช่น 39 บาท 99 บาท 299 บาท เป็นต้น แบบที่ 2 เป็นการตั้งราคาเดียวทั้งร้าน เหมาะกับสินค้าราคาไม่สูง ต้นทุนแต่ละชิ้นใกล้เคียงกัน เช่น ชิ้นละ 20 บาททั้งร้าน เป็นต้น แบบที่ 3 เป็นการตั้งราคาเป็นชุด ซื้อเยอะถูกกว่า เหมาะกับสินค้าที่ซื้อตุนได้ หรือซื้อเป็นหมู่คณะ เช่น ชิ้นละ 35 บาท ซื้อ 3 ชิ้น 100 บาท เป็นต้น แบบที่ 4 เป็นการตั้งราคาแบบบุฟเฟ่ต์ เหมาะกับอาหาร หรือสิ่งของที่ต้นทุนต่อชิ้นไม่สูงมาก เช่น ตะกร้าละ 50 บาท ตักใส่ตะกร้าเองได้ไม่อั้น การก าหนดราคาสินค้าให้ได้ก าไรที่ต้องการขึ้นอยู่กับราคาตลาด ลักษณะของสินค้าและบริการ สินค้า หายาก สินค้าเฉพาะกลุ่ม สินค้าตามฤดูกาลเข้ามาเกี่ยวข้อง สามารถก าหนดก าไรที่ต้องการให้สูงขึ้นได้ การตั้ง ราคาให้สามารถแข่งขันได้นั้นต้องอยู่บนพื้นฐานความสมดุลระหว่างความพึงพอใจของผู้ซื้อและผู้ขาย หากสินค้าโดยทั่วไปมีขายกันแพร่หลาย และมีคู่แข่งมากต้องก าหนดก าไรให้น้อยลง
52 ตัวอย่าง การคิดต้นทุน ก าไร การผลิต และค่าใช้จ่ายในการท าเมนูปลากะพงม้วน วัน เดือน ปี รายการ จ านวนสิ่งของ จ านวนเงิน (บาท) หมายเหตุ ค่าใช้จ่าย (ต้นทุน) การก าหนดราคา ขาย คิดจาก ต้นทุน + ก าไรที่ ต้องการ ปลากะพง 300 กรัม (กิโลกรัม ละ 125 บาท) 37.5 หมูแผ่น 10 กรัม (กิโลกรัม ละ 560 บาท) 5.6 ไข่ไก่ 2 ฟอง (ฟอง ละ 5 บาท) 10 ต้นหอม 25 กรัม (กิโลกรัม ละ 120 บาท) 3 ถั่วลันเตา 80 กรัม (กิโลกรัม ละ 90 บาท) 7.20 หน่อไม้ 60 กรัม (กิโลกรัม ละ 90 บาท) 5.40 รวม 68.70 ค่าเบ็ดเตล็ด 20% (ค่า ไฟฟ้า ค่าน้ า ค่าแก๊ส) 68.70 × 20 % 13.74 ค่าแรง 2 ชั่วโมง × 45.- 90 รวมค่าใช้จ่าย 172.44 ราคาต้นทุนต่อเสิร์ฟ 2 เสิร์ฟ 86.22 1. ก าไรที่ต้องการ = ต้นทุน x ( ร้อยละของก าไรที่ต้องการหารด้วย 100 ) ขายสินค้าจากต้นทุน 172.44 บาท ต้องการก าไรร้อยละ 50 ดังนั้น ก าไรที่ต้องการ = 172.44 X 50 หาร 100 = 86.22 2. ก าหนดราคาขายต่อหน่วย = ต้นทุน + ก าไร = 172.44 + 86.22 = 258.66 บาท จ านวนหน่วย ดังนั้น เราจะขายสินค้า เสิร์ฟละ 129.33 บาท หรือ ขายสินค้าราคา 130 บาท 2 2
53 ใบงาน การคิดต้นทุน ก าไร “เมนูปลากะพงม้วน” ชื่อผู้เรียน................................................................................................................. ................ เรื่อง การคิดต้นทุน ก าไร “เมนูปลากะพงม้วน” วิธีเทียบบัญญัติไตรยางศ์ ซื้อแป้งสาลีจ านวน 1,000 กรัม ราคา 45 บาท ใช้แป้งสาลีจ านวน 300 กรัม เป็นเงิน 45 x 300 = 13.50 บาท วัน เดือน ปี รายการ จ านวนสิ่งของ จ านวนเงิน (บาท) หมายเหตุ ค่าใช้จ่าย (ต้นทุน) การก าหนดราคา ขาย คิดจาก ต้นทุน + ก าไรที่ ต้องการ ค่าเบ็ดเตล็ด 20% (ค่าไฟฟ้า ค่าน้ า ค่าแก๊ส) ค่าแรง รวมค่าใช้จ่าย ราคาต้นทุนต่อชิ้น 1. ก าไรที่ต้องการ = ต้นทุน x ( ร้อยละของก าไรที่ต้องการหารด้วย 100 ) ขายสินค้าจากต้นทุน ..................... บาท ต้องการก าไรร้อยละ ............ ดังนั้น ก าไรที่ต้องการ = …………..…. X …………..… หาร 100 = ……………..…… 2. ก าหนดราคาขายต่อหน่วย = ต้นทุน + ก าไร = …………………………. = ………………..… บาท จ านวนหน่วย ดังนั้น เราจะขายสินค้า ชิ้นละ ...................... บาท หรือ ขายสินค้าราคา ................... บาท 1,000 ÷ X ……….… ………… …..
54 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการท าบัญชีครัวเรือน การท าบัญชีครัวเรือน เป็นการจดบันทึกรายรับ รายจ่ายประจ าวันของครัวเรือน และสามารถน าข้อมูล มาวางแผนการใช้จ่ายเงินในอนาคตได้อย่างเหมาะสม ท าให้เกิดการออม การใช้จ่ายเงินอย่างประหยัดคุ้มค่า ไม่ฟุ่มเฟือย การท าบัญชีครัวเรือน จะท าให้ทราบว่าในแต่ละเดือน ครอบครัวมีรายรับ รายจ่าย อะไรบ้าง เนื่องจากคน ส่วนมากมักจะหลงลืมเวลาใช้จ่ายเงินออกไปหรือรับเงินเข้ามา ดังนั้น บัญชีครัวเรือนจะช่วยเตือนความจ า ให้รู้ ถึงการใช้จ่ายเงิน เพื่อน ามาเป็นข้อมูลในการวางแผนการใช้จ่ายเงินของครอบครัว เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สิน ท าให้ ครอบครัวมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้ ความส าคัญของการท าบัญชีครัวเรือน 1. ท าให้ตนเองและครอบครัวได้ทราบรายรับ รายจ่าย หนี้สิน และเงินคงเหลือประจ าวัน 2. น าข้อมูลการใช้จ่ายเงินภายในครอบครัวมาจัดเรียงล าดับความส าคัญของรายจ่าย และวางแผนการ ใช้จ่ายเงิน โดยพิจารณาแต่ละรายการในแต่ละวันมีรายจ่ายใดที่มีความส าคัญมาก และหากรายจ่ายใดไม่จ าเป็น ให้ตัดออก เพื่อให้การใช้จ่ายเงินภายในครอบครัวมีพอใช้และเหลือเก็บ เพื่อการออมทรัพย์ส าหรับใช้จ่ายสิ่งที่ จ าเป็นในอนาคต บัญชีครัวเรือน เป็นการน าปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในการวางแผนชีวิตประจ าวันเพื่อให้ เกิดเป็นรูปธรรมในการปฏิบัติ เป็นเครื่องมือช่วยในการประกอบอาชีพและด าเนินชีวิต ควบคู่กับการน้อมน า หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในการด าเนินชีวิตโดยต่อยอดให้ทุกคน “ท าบัญชีได้ ใช้ข้อมูลทางบัญชีเป็น สานต่อองค์ความรู้ด้านบัญชี 3 มิติ คือ ขั้นที่ 1 อยู่รอด (Survival) ผลิตเพื่อตนเองและครอบครัวเป็นอันดับแรก พึ่งพาเงินให้น้อยที่สุด โดยการรู้ตนเอง ลงมือท าบัญชีประจ าวัน รู้รายได้ รู้รายจ่าย รู้หนี้สิน ได้ปลดหนี้ เปรียบเทียบรายได้ รายจ่าย ฝึกนิสัยการใช้เงิน ขั้นที่ 2 พอเพียง (Susfficiency) เมื่อพอต้องรู้จักหยุด โดยการรู้สภาพแวดล้อม คิดและวิเคราะห์ ข้อมูลบัญชีอย่างเป็นระบบ รู้การตลาด รู้สังคม รู้สิ่งแวดล้อม รู้ภูมิอากาศ รู้ภูมิปัญญาพื้นถิ่น รู้เครือข่าย สร้างนิสัย รักการออม จัดสรรด้านรายจ่าย ลงทุน และเงินออมอย่างเหมาะสม ขั้นที่ 3 ยั่งยืน (Sustainability) ด าเนินธุรกิจชุมชน ขับเคลื่อนโดยพลังสร้างสรรค์ เครือข่ายกลุ่มอาชีพ สร้างอ านาจการต่อรอง และชุมชนเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต โดยการรู้อนาคต น าข้อมูลทางบัญชีและหลัก วิชาการมาใช้วางแผนประกอบอาชีพ รู้ทิศทางการตลาด รู้วางแผนจัดการในอาชีพล่วงหน้า สร้างการ เปลี่ยนแปลงสู่เทคโนโลยีสมัยใหม่ คิด วางแผน ลงมือท า ทบทวน การจัดท าบัญชีครัวเรือน มีการจดบันทึกรายการที่เกิดขึ้นในแต่ละวันว่ารายรับ-รายจ่ายเป็นเงินเท่าไหร่ มีการจัดหมวดหมู่ การน าเสนอข้อมูลมาจัดรวมกันเป็นหมวด เช่น หมวดรายได้ หมวดค่าใช้จ่าย เพื่อความ สะดวกในการค้นหา มีการสรุปผลน าเสนอข้อมูลที่บันทึกไว้มาสรุปยอดรวมว่าในเดือนหนึ่ง ๆ มีรายได้และ ค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นเท่าไร และมีการวิเคราะห์ตีความน าผลสรุปมาวิเคราะห์ รู้รายรับ รู้รายจ่าย รู้ต้นทุน ก าไร (ขาดทุน) รู้หนี้สิน และรู้จักออม รูปแบบและวิธีการท าบัญชีครัวเรือน บัญชีครัวเรือน สามารถจัดท าได้หลายรูปแบบ แต่อย่างน้อยต้องมีการบันทึกข้อมูลรายรับ และรายจ่ายปกติ เป็นตาราง 5 ช่อง ประกอบด้วย ช่องแรก วัน เดือน ปี บันทึกวัน เดือน ปี ที่มีรายการรับเงิน และรายการจ่ายเงิน ช่องที่สอง รายการ บันทึกรายละเอียดของการรับเงิน และจ่ายเงินที่เกิดขึ้น ช่องที่สาม รายรับ บันทึกจ านวนเงินที่ได้รับ แบ่งเป็น รายรับประกอบอาชีพและรายรับอื่น ๆ ช่องที่สี่ รายจ่าย บันทึกจ านวนเงินที่จ่าย แบ่งเป็น รายจ่ายประกอบอาชีพและรายจ่ายในครัวเรือน
55 ช่องสุดท้าย ยอดคงเหลือ เป็นช่องสรุปยอดเงินคงเหลือในแต่ละวัน ขั้นตอนการจัดท าบัญชีครัวเรือน ขั้นตอนของการจัดท าบัญชีครัวเรือน มีดังนี้ 1. แยกประเภทของรายได้ และค่าใช้จ่าย แต่ละประเภท อาจใช้สมุดบัญชีทั่วไป หรือหาสมุดตีเส้น แบ่งเป็นแถวในแนวตั้งและแนวนอน เพื่อบันทึกรายการ 2. ก าหนดรหัสประเภทของรายได้และค่าใช้จ่าย เพื่อสรุปประเภทของรายได้และค่าใช้จ่าย 3. เริ่มต้นบันทึกยอดเงินสดยกมา หรือ เงินทุน แล้ว บวกด้วยรายได้ หักด้วยค่าใช้จ่าย และแสดงยอด คงเหลือไว้ 4. น ารายการที่เป็นบัญชีประเภทเดียวกันรวมยอดเข้าด้วยกัน แล้วแยกสรุปยอดของประเภทบัญชี แต่ละประเภท ทั้งนี้ สามารถสรุปยอดรวมตามต้องการได้ เช่น รายวัน รายสัปดาห์ รายปักษ์ รายเดือน เป็นต้น วิธีการบันทึกบัญชีครัวเรือน 1. ช่อง “วันที่” ใช้บันทึก วันที่ เดือน และปี พ.ศ. ที่เกิดรายการรับเงินหรือจ่ายเงินจริง หากจ าวันที่ เกิดรายการไม่ได้ ให้ใช้วันที่ท าการบันทึกบัญชีแทน 2. ช่อง “รายการ” ใช้บันทึกค าอธิบายหรือรายละเอียดของการรับเงินหรือจ่ายเงิน การรับเงิน เช่น รับเงินเดือน รับรายได้พิเศษ การจ่ายเงิน เช่น ค่าอาหาร ค่าพาหนะเดินทาง จ่ายค่าเล่าเรียน เป็นต้น 3. ช่อง “รายรับ” ใช้บันทึกจ านวนเงินได้รับเข้ามาทุกรายการ ไม่ว่าจะเป็นรายรับจากอาชีพหลัก หรือ รายรับอื่น ๆ 4. ช่อง “รายจ่าย” ใช้บันทึกจ านวนเงินที่จ่ายออกไป ทุกรายการ ไม่ว่าจะจ่ายออกไปในเรื่องใด 5. ช่อง “รวมรายจ่าย” ใช้บันทึกจ านวนเงินที่จ่ายทั้งสิ้น โดยรวมยอดเงินของช่องรายจ่ายทั้งหมด 6. ช่อง “คงเหลือ” ใช้บันทึกจ านวนเงินคงเหลือ หลังจากได้รับเข้ามาหรือจ่ายออกไป ควรค านวณทุก ครั้งที่มีการบันทึกบัญชีการรับเข้าหรือจ่ายออก เพื่อจะได้ทราบว่าปัจจุบันมีจ านวนเงินคงเหลืออยู่เท่าใด โดยตั้งต้น ด้วยจ านวนเงินคงเหลือล่าสุด น ารายการรับมาบวกเข้า และน ารายการจ่ายมาหักออก จะได้ยอดคงเหลือ ปัจจุบัน เพื่อสามารถวางแผนการใช้จ่ายในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ 7. บรรทัด “เงินสดคงเหลือยกมา” ใช้บันทึกจ านวนเงิน ในช่องคงเหลือ โดยน าตัวเลขมาจากจ านวน เงินในช่อง “คงเหลือ” จากบรรทัด “รวม” (บรรทัดสุดท้าย) ของหน้าบัญชีก่อนหน้านี้ แต่หากเป็นการเริ่มต้น บันทึกบัญชีเป็นครั้งแรกในหน้านี้ ให้ใส่จ านวนเงินคงเหลือตามตัวเลขที่มีเงินคงเหลืออยู่เป็นตัวเลขตั้งต้น 8. บรรทัด รวม รับ จ่าย และยอดคงเหลือยกไป ใช้บันทึก “จ านวนเงินรวม” ตามแนวตั้งในช่องรับ และจ่าย ส่วนช่อง คงเหลือ เป็นจ านวนเงินคงเหลือที่เป็นปัจจุบัน โดยน าตัวเลขนี้มาจากช่องคงเหลือล่าสุดของ หน้าบัญชีนี้ ซึ่งจ านวนเงินนี้จะน าไปใส่ในบรรทัดยอดคงเหลือยกมาในช่องคงเหลือของหน้าบัญชีถัดไป หากต้องการทราบยอดรวมของรายรับและรายจ่ายในหน้าบัญชีถัดไป สามารถยกยอดรวมในช่องรับและจ่ายไป ใส่ในหน้าบัญชีถัดไปพร้อมกัน ซึ่งจ านวนเงินยอดคงเหลือยกไปในหน้าบัญชีนี้ จะต้องเท่ากับจ านวนเงินยอด คงเหลือยกมาในหน้าบัญชีถัดไป
ตัวอย่างการบันทึกรายกาวัน เดือน ปี รายการ รายรับ รวม รายรับ (1)+(2) (3) ประกอบ อาชีพ (1) รายรับ อื่น ๆ (2) ประกอบอาชีพ ค่าใช้จ่าย ประกอบ อาชีพ (4) ซื้อ สินทรัพย์ ถาวร (5) ค่า อาหาร (6) ข1 พ.ค. เงินสดคงเหลือยกมา 13 พ.ค. ถอนเงินฝากธนาคาร 5,000 5,000 ขายอาหารไทย 8,000 8,000 กู้เงินจากธนาคาร 10,000 10,000 จ่ายค่ากับข้าว 4,000 จ่ายซื้อเตาปิ้งย่างไฟฟ้า 1,500 ซื้อวัตถุดิบท าอาหารไทย 5,000 ซื้อของใช้ในบ้าน 1จ่ายค่าน้ ามันรถ 31 พ.ค. รับเงินค่าเช่า 3,000 3,000 จ่ายค่าแก๊ส/ค่าน้ า/ค่าไฟฟ้า ให้เงินลูกใช้รายเดือน ช าระเงินกู้ ดอกเบี้ยเงินกู้ 350 ฝากเงิน รวมเดือนพฤษภาคม 8,000 18,000 26,000 5,350 1,500 4,000 1เงินคงเหลือยกมาจากเดือนก่อน 1,000 บาท บวกรวมรายรับ 26,000 บาท หักรวมจ่าย 20,800 บาท เงินคงเหลือยกไปเดือนหน้ารายรับ สูง(ต่ า)กว่า รายจ่าย เท่ากับ 5,200 บาท (รวมรายรับ – รวมรายจ่าย) วิธีรวมเงินในแต่ละเดือน ทุกวันสิ้นเดือนให้รวมจ านวนเงินที่ได้รับ และจ านวนเงินที่จ่ายไปในแต่ละเด้วย เทียบยอดรายรับกับรายจ่ายในแต่ละเดือน ก็จะท าให้ทราบว่ามีรายรับมากกว่า
56 รลงสมุดบัญชีรับ-จ่ายในครัวเรือน รายจ่าย รวม รายจ่าย (4)+(14) (15) คงเหลือ (16) ในครัวเรือน ค่า ของใช้ (7) ค่าน้ า/ ค่าไฟฟ้า/ ค่าโทรศัพท์ (8) ค่า น้ ามันรถ (9) ให้เงิน ลูก (10) ฝากเงิน (11) ช าระคืน เงินกู้ (12) ............. (13) อื่น ๆ (14) 1,000 6,000 14,000 24,000 4,000 20,000 1,500 18,500 5,000 13,500 1,000 1,000 12,500 500 500 12,000 15,000 450 1,000 1,450 13,550 3,000 3,000 10,550 2,000 2,000 8,550 350 8,200 2,000 2,000 6,200 1,450 1,000 500 3,000 2,000 2,000 20,800 6,200 า 6,200 บาท ดือน เขียนยอดรวมจ านวนเงินแต่ละช่องไว้ในบรรทัด “รวมเดือน....” และระบุชื่อเดือนไว้ าหรือน้อยกว่ารายจ่าย
57 บรรณานุกรม ไทยวินเนอร์. (2563). บล็อคส าหรับผู้ประกอบการคนไทย: การคิดต้นทุนก าไรและราคาขาย-สูตรคิดต้นทุน สินค้า. https://peakaccount.com/blog/business/gen-biz/biz-how-to-set-up-pricce กรมตรวจบัญชีสหกรณ์. รู้รายรับ รู้รายจ่าย หนี้สินลด เงินออมเพิ่ม. กรุงเทพฯ : กรม. ส านักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดเชียงใหม่. (2567). บัญชีชาวบ้าน. http://www.lertchaimaster.com/textbook/ws02001.pdf GSB ออมตังค์ ธนาคารออมสิน. (2563). เทคนิคการตั้งราคาสินค้า ส าหรับพ่อค้าแม่ค้ามือใหม่. https://oomtang.gsb.or.th/kms/kms_view/83
58 ใบความรู้ที่ 8 เรื่อง ช่องทางการตลาด ช่องทางการตลาด เป็นส่วนส าคัญในการด าเนินธุรกิจ ช่องทางการตลาด หรือช่องทางการจัดจ าหน่าย มีความหมายเดียวกันซึ่งเป็นหนึ่งใน 4P ของส่วนประสมการตลาด (Marketing mix) ที่นักการตลาดนิยมน า ส่วนประสมทั้งสี่มาวางเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดและการขายในยุคปัจจุบัน ดังนั้น ช่องทางการจัดจ าหน่าย (Marketing channel) จึงถูกเข้ารวมอยู่ใน P = Place คือ สถานที่ขาย แหล่งขาย ช่องทางการขายสินค้า ซึ่งสินค้าแต่ละชนิดอาจมีช่องทางขายที่แตกต่างกันไป สินค้าอุปโภคมีช่องทางการขายผ่านร้านสะดวกซื้อ อาหารสด มีช่องทางการขายหน้าร้านหรือหน้าบ้านของผู้ผลิต อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เสื้อผ้าส าเร็จรูปอาจใช้ช่องทางการขาย ได้หลายช่องทาง เช่น ขายทางออนไลน์ ขายหน้าร้านตนเอง ขายในตลาดนัด ขายในห้างสรรพสินค้า เป็นต้น 1. การเลือกสถานที่ขายหรือท าเลที่ตั้ง 1.1 ความส าคัญของการเลือกท าเลที่ตั้ง การตัดสินใจเลือกสถานที่ขายหรือท าเลที่ตั้งเป็นการ ตัดสินใจเชิงกลยุทธ์เนื่องจากมีผลกระทบต่อธุรกิจในระยะยาว โดยเฉพาะต่อความได้เปรียบในเชิงแข่งขันทาง ธุรกิจและจะมีผลต่อความส าเร็จของธุรกิจ ซึ่งผู้ประกอบการต้องพิจารณาถึงกลยุทธ์ที่ตั้งของธุรกิจที่มีความส าคัญ ต่อการด าเนินงาน 2 กลยุทธ์ส าคัญ ได้แก่ 1.1.1 กลยุทธ์ที่ตั้งตามพื้นที่ เป็นแนวทางในการก าหนดให้ที่ตั้งแต่ละแห่งรับผิดชอบพื้นที่แต่ละส่วน โดยต้องผลิตสินค้าและบริการทุกอย่างส าหรับพื้นที่นั้น ๆ ซึ่งธุรกิจที่เลือกใช้กลยุทธ์ที่ตั้งตามพื้นที่มักเป็นธุรกิจ ค้าปลีกหรือบริการ 1.1.2 กลยุทธ์ที่ตั้งตามผลิตภัณฑ์เป็นแนวทางในการก าหนดให้ที่ตั้งหนึ่งแห่งท าการผลิตสินค้า เพียงหนึ่งอย่าง โดยยึดหลักของความส าคัญของวัตถุดิบที่มีในพื้นที่ 1.2 หลักเกณฑ์ในการเลือกสถานที่ท าเลที่ตั้ง การตัดสินใจเลือกสถานที่ท าเลที่ตั้ง เป็นกระบวนการ ที่มีความสลับซับซ้อนมากขึ้น เมื่อโลกก้าวเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ อีกทั้งธุรกิจขนาดย่อมจ านวนมากได้มีการเติบโตขึ้น และได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นผู้ประกอบการควรพิจารณาถึงความจ าเป็นที่มีลักษณะเฉพาะเจาะจง ส าหรับกิจการควบคู่กันไปในแต่ละสถานการณ์ ดังนี้ 1.2.1 ความพึงพอใจส่วนบุคคล โดยที่ผู้ประกอบการส่วนหนึ่งมักจะพิจารณาตั้งกิจการของ ตนเองในชุมชนที่ตนอาศัยอยู่เป็นท าเลในการประกอบการ อย่างไรก็ตามในแง่ของการด าเนินธุรกิจไม่ได้ หมายความว่าจะมีเพียงพื้นที่ ซึ่งตนเองมีความเคยชินเท่านั้นที่เหมาะสมต่อการตั้งกิจการเพราะผู้ประกอบการ ธุรกิจสามารถใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ จากสิ่งเหล่านี้ได้ไม่ว่าจะเป็นในด้านภาพลักษณ์ส่วนตัว การได้รับ ความเชื่อถือหรือการยอมรับจากสังคมและอาศัยประโยชน์จากความคุ้นเคย ความสามารถในการอ้างอิงกับ บุคคลต่าง ๆ ภายในชุมชนที่เกี่ยวข้องกับกิจการของผู้ประกอบการมากขึ้น 1.2.2 ความได้เปรียบด้านต้นทุน โดยเฉพาะค่าแรงหรือค่าวัตถุดิบในพื้นที่ที่มีต้นทุนในการ ด าเนินธุรกิจต่ าซึ่งสิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงค่าใช้จ่ายในการลงทุนในช่วงเริ่มต้นของกิจการที่จะช่วยลดต้นทุนการผลิตให้ต่ าลง 1.2.3 ความสามารถในการจัดการทรัพยากร เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงค่าใช้จ่ายในการ ด าเนินงานทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เนื่องจากทักษะประสบการณ์ของแรงงานจะมีความสัมพันธ์โดยตรงกับ ผลิตผลและคุณภาพในกระบวนการผลิตของผลิตภัณฑ์ความยั่งยืนของแรงงานในท้องถิ่นมีผลกระทบต่ออัตรา ค่าจ้าง ซึ่งถือเป็นต้นทุนที่ส าคัญผู้ประกอบการจะต้องค านึงถึงอยู่เสมออีกทั้งแหล่งที่ตั้งต้องมีความใกล้กันกับ วัตถุดิบและความสามารถในการขนส่งที่ธุรกิจต้องมีการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ
59 1.2.4 การเข้าถึงลูกค้า ธุรกิจขนาดย่อมยุคปัจจุบันต้องให้ความส าคัญผันแปรแหล่งที่ตั้งของ ธุรกิจไปตามประเภทของกิจการ เช่น ธุรกิจค้าปลีกและบริการต้องมีรายละเอียดของสถานที่แสดงสินค้าบริการ และรูปแบบ ดังนั้น การเลือกสถานที่หรือท าเลที่ตั้งต้องใกล้ชิดกับลูกค้าและอ านวยความสะดวกต่อการเข้ามา ติดต่อและถือเป็นปัจจัยที่มีผลต่อความส าเร็จของกิจการ ดังนั้น เกณฑ์การเลือกสถานที่หรือท าเลที่ตั้ง ผู้ประกอบการต้องตัดสินใจก่อนว่าจะเลือกด าเนินธุรกิจ ในชุมชน หมายถึงจังหวัดหรืออ าเภอก่อน จึงท าการตัดสินใจขั้นสุดท้ายคือ การเลือกบริเวณที่ตั้งจากหลาย ๆ พื้นที่ภายในชุมชน ซึ่งเป็นการระบุถึงต าแหน่งของที่ตั้งอย่างละเอียด 2. การจัดและตกแต่งหน้าร้าน ส่วนใหญ่ร้านขายสินค้ามักจะมีผู้ขายซึ่งเป็นเจ้าของกิจการเอง หรือ บางร้านอาจมีการจ้างพนักงาน ขายของ โดยเฉพาะเพื่อท าหน้าที่เอาใจใส่ดูแลและแนะน าให้ค าอธิบายต่าง ๆ แก่ลูกค้า หากเป็นร้านขนาดใหญ่มีสินค้าหลายชนิดย่อมท าให้ต้องมีพนักงานขายจ านวนมาก การจัดตกแต่ง ร้านค้ามีความส าคัญต้องค านึงถึงสิ่งต่อไปนี้ 2.1 แสงสว่างภายในร้าน ควรจัดร้านให้มีความสว่างทั่วทั้งร้านจากแสงไฟฟ้าที่ร้านได้ติดเอาไว้แสง สว่างธรรมชาติมักไม่เพียงพอ และแสงแดดมักท าความเสียหายให้แก่สินค้า การใช้แสงไฟฟ้าแม้จะมีค่าใช้จ่ายสูง สามารถจูงใจลูกค้าให้เข้ามาซื้อสินค้าได้มากกว่าร้านที่ดูมืดสลัว มุมห้องมืด ๆ ก่อนตัดสินใจเรื่องแสงสว่าง ควรค านวณค่าไฟฟ้า และใช้ไฟฟ้ากี่ดวงถึงจะคุ้มค่ากับการขายสินค้า 2.2 การตกแต่งสีภายนอกและภายในร้าน นอกจากการทาสีร้านค้าให้สดใสสว่าง สวยงามแล้ว สีของหีบห่อ และตัวสินค้าก็สามารถน ามาตกแต่งให้ร้านค้าดูดีขึ้น และให้ผู้คนเห็นสินค้าชัดเจนและสวยงาม 2.3 การจัดหมวดหมู่ของอาหารขนม เช่น ขนมที่มีลักษณะใกล้เคียงกันหรือขนมที่ใช้รับประทาน ร่วมกันน ามาจัดวางไว้ด้วยกัน เช่น ขนมหม้อแกงวางใกล้กับขนมตะโก้ ข้าวเหนียววางใกล้กับสังขยา เป็นต้น 2.4 การติดป้ายราคาสินค้า การติดป้ายบอกราคาสินค้าให้ชัดเจนที่ลูกค้าสามารถมองเห็นได้ หรือ อ่านได้เป็นการให้ความสะดวกกับลูกค้าในการตัดสินใจซื้อสินค้า 2.5 การจัดวางสินค้า มีความส าคัญต่อการจูงใจลูกค้าให้เลือกซื้อสินค้า เพื่อให้สะดวกและเกิด ความพึงพอใจ ควรค านึงถึงสิ่งต่อไปนี้ 2.5.1 ความพึงพอใจของลูกค้า 2.5.2 จัดสินค้าไว้ในบริเวณที่จะขาย 2.5.3 จัดสินค้าไว้ในระดับสายตาให้มากที่สุด 2.5.4 จัดสินค้าด้านหน้าบนชั้นให้เต็มอยู่เสมอ 2.5.5 ชั้นวางสินค้าจะต้องปรับระดับได้ตามขนาดของสินค้า 2.5.6 การใช้กล่องหนุนสินค้าให้ดูมีมิติ สวยงามแม้จะมีสินค้าไม่มากนัก 2.5.7 ความเป็นระเบียบเรียบร้อย 2.5.8 สินค้ามาก่อนต้องจ าหน่ายก่อน ต้องจ าหน่ายสินค้าเก่าก่อนสินค้าใหม่เสมอ พยายาม วางสินค้ามาก่อนไว้แถวหน้าเสมอ ควรจัดสินค้าที่มาก่อนให้ดูสดใสสะอาดเหมือนสินค้าใหม่ 3. การขาย คือ กระบวนการทั้งทางตรงและทางอ้อมของการจูงใจให้ผู้ซื้อสินค้าหรือบริการยินยอม กระท าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งจะท าให้เกิดประโยชน์ทางด้านการค้าแก่ผู้ขาย เมื่อผู้ผลิตสินค้าไปสู่ผู้บริโภคมีสิ่งที่ควร พิจารณา ดังนี้ 3.1 การหาตลาด ควรค านึงถึงความต้องการของตลาดว่ามีมากน้อยเพียงใด โดยใช้วิธีสังเกต สอบถามกับคนรู้จัก เพื่อนบ้าน และผู้ซื้อ กระแสการบริโภคของลูกค้ามีความต้องการซื้อเป็นของขวัญของฝากหรือ รับประทานในครอบครัว ตลาดควรเป็นตลาดที่มีการซื้อขายอย่างต่อเนื่อง เช่น ขายทางออนไลน์ ขายหน้าร้าน ตนเอง ขายในตลาดนัด ขายในห้างสรรพสินค้า เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อจะได้ตรงตามความต้องการของตลาด
60 3.2 วิธีการจ าหน่าย เมื่อผู้ผลิตลงทุนผลิตสินค้าขึ้นมาเพื่อน าสินค้าออกสู่ตลาด ถ้าผู้ผลิตสามารถ เลือกช่องทางการตลาด การจ าหน่ายสินค้าได้อย่างถูกต้องสินค้าก็จะเข้าถึงลูกค้าได้ง่าย ซึ่งอาจเป็นการจ าหน่าย จากผู้ผลิตถึงลูกค้าโดยตรงด้วยการจัดหาสถานที่ส าหรับจ าหน่ายสินค้าที่เป็นหลักแหล่ง มีการจัดวางสินค้าที่ สามารถน าเสนอสินค้าให้ดูสวยงาม หรือเป็นผู้ผลิตให้พ่อค้าคนกลางมารับซื้อไปขายให้กับผู้บริโภคอีกต่อหนึ่ง เพื่อกระจายสินค้าได้อย่างทั่วถึง 3.3 การโฆษณาประชาสัมพันธ์ถือเป็นสิ่งส าคัญที่จะท าให้ผู้ซื้อหรือลูกค้ารู้จักเกิดความต้องการที่ จะซื้อเป็นวิธีการโน้มน้าวผู้ซื้อ ที่ส าคัญการโฆษณาประชาสัมพันธ์มีหลายวิธี เช่น ใช้วิธีบอกปากต่อปาก การจัด กิจกรรมประชาสัมพันธ์สินค้าการออกร้านตามงานเทศกาลต่าง ๆ การประชาสัมพันธ์ผ่านอินเตอร์เน็ต โดยสิ่งที่ เป็นการช่วยประชาสัมพันธ์อย่างหนึ่งก็คือคุณภาพสินค้า เมื่อผู้ซื้อหรือลูกค้าได้ซื้อสินค้าไป เช่น มีรสชาติดี มีคุณภาพ ราคาย่อมเยา จะเป็นการช่วยประชาสัมพันธ์อีกช่องทางหนึ่ง 4. การส่งเสริมการขาย หมายถึง การจูงใจที่เสนอคุณค่าพิเศษ หรือการจูงใจผลิตภัณฑ์แก่ผู้บริโภค คนกลาง (ผู้จัดจ าหน่าย) หรือหน่วยงานขาย โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการดึงลูกค้าใหม่ รักษาลูกค้าเก่าไว้ ส่งเสริม ให้ลูกค้าปัจจุบันซื้อสินค้าในปริมาณมากขึ้น เพิ่มอัตราการใช้ผลิตภัณฑ์ ส่งเสริมการขายท าให้ลูกค้าเกิดการยกระดับ และเสริมแรงการโฆษณาในตราสินค้า โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการสร้างยอดขายในทันที สามารถสรุปได้ว่า 4.1 การส่งเสริมการขายเป็นการให้สิ่งจูงใจพิเศษ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อ เช่น คูปอง ของแถม การชิงโชค การแลกซื้อ เป็นต้น 4.2 การส่งเสริมการขายเป็นเครื่องมือกระตุ้น กิจกรรมการส่งเสริมการขาย มีวัตถุประสงค์เพื่อ กระตุ้นให้เกิดการซื้อจ านวนมากขึ้น และสามารถตัดสินใจซื้อได้ในเวลาทันทีทันใด 4.3 การส่งเสริมการขายใช้ในการจูงใจให้กลุ่มต่าง ๆ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 4.3.1 การส่งเสริมการขายที่มุ่งสู่ผู้บริโภค เป็นการส่งเสริมการขายที่มุ่งสู่ผู้บริโภคคนสุดท้าย เพื่อจูงใจให้เกิดการซื้อจ านวนมากขึ้น ตัดสินใจซื้อได้รวดเร็วขึ้น เกิดการทดลองใช้ ถือว่าเป็นการใช้กลยุทธ์ดึง 4.3.2 การส่งเสริมการขายที่มุ่งสู่คนกลาง เป็นการส่งเสริมการขายที่ มุ่งสู่พ่อค้าคนกลาง ผู้จัด จ าหน่าย หรือผู้ขาย ถือว่าเป็นการใช้กลยุทธ์ผลัก 4.3.3 การส่งเสริมการขายที่มุ่งสู่พนักงานขาย เป็นการส่งเสริมการขายที่มุ่งสู่พนักงานขาย หรือหน่วยงานขาย เพื่อให้ใช้ความพยายามในการขายมากขึ้น ถือว่าเป็นการใช้กลยุทธ์ผลัก 5. การเลือกช่องทางการจัดจ าหน่าย จากความเปลี่ยนของสถานการณ์ปัจจุบัน ส่งผลให้การขายหรือ การจ าหน่ายสินค้ามีหลากหลายรูปแบบตามความนิยมของธุรกิจการค้าสมัยใหม่ เช่น แบบออฟไลน์ (Offline) และแบบออนไลน์ (Online) มีรายละเอียดังนี้ 5.1 แบบออฟไลน์ (Offline) หรือการขายแบบมีหน้าร้าน การขายแบบออฟไลน์ (Offline) หรือ การขายแบบมีหน้าร้าน คือ การที่ลูกค้าสามารถมาที่หน้าร้าน เพื่อเลือกซื้อสินค้าได้ด้วยตัวเอง เป็นแบบที่ สามารถเห็นได้ทั่ว ๆ ไป เป็นรูปแบบที่หลากหลาย การขายแบบมีหน้าร้าน ประกอบด้วย 1) ร้านค้าปลีกที่ขายสินค้าเฉพาะด้าน เจาะจงประเภทสินค้าชัดเจน เช่น ร้านหนังสือ ร้านขาย เฟอร์นิเจอร์ ร้านขายเครื่องส าอาง เป็นต้น 2) ร้านค้าปลีก (ห้างสรรพสินค้า) ที่ขายสินค้าหลากหลายประเภท เช่น เสื้อผ้า ของใช้ในบ้าน เฟอร์นิเจอร์ ซึ่งมีการแบ่งแยกออกเป็นโซนต่าง ๆ เช่น ห้างเดอะมอลล์ เซนทรัล เป็นต้น 3) ซุปเปอร์มาร์เก็ต เป็นร้านค้าปลีกที่เหมาะกับคนที่ต้องการซื้อของสด หรือของใช้ภายในบ้าน เช่น ฟู้ดแลนด์ ท๊อป ซุปเปอร์มาร์เก็ต วิลล่า มาร์เก็ต เป็นต้น
61 4) ร้านสะดวกซื้อ เป็นร้านค้าปลีกขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ในชุมชน มักจะเปิดตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน สินค้าในร้านเป็นสินค้าอุปโภค บริโภคทั่วไป อาจมีให้เลือกไม่มากนัก แต่ก็มีสินค้าที่หลากหลาย ราคาค่อนข้าง สูงกว่าร้านค้าแบบอื่น ๆ เนื่องจากขายความสะดวกสบาย เช่น 7-11 แฟมิลี่มาร์ท 108 Shop เป็นต้น 5) ร้านค้าปลีกทั่วไป แต่เน้นขายในปริมาณมาก ท าให้มีราคาที่ถูกลง เช่น บิ๊กซี เทสโกโลตัส และแม็คโคร เป็นต้น 6) ร้านค้าปลีกที่ขายสินค้าในราคาที่ค่อนข้างถูก ส่วนใหญ่จะเป็นร้านที่ขายสินค้าที่ตรงมาจาก โรงงานผู้ผลิต ร้านแบบนี้จะใช้ชื่อที่ลงท้ายด้วย Outlet เช่น Flynow Outlet เป็นต้น 7) ร้านค้าปลีกแต่มีขนาดใหญ่กว่า Supermarket มาก และขายสินค้าที่มีความหลากหลายกว่า ทั้งอาหารสด ของใช้ต่าง ๆ รวมถึงมีบริการอื่น ๆ ซึ่งจะขายสินค้าเฉพาะเจาะจง เช่น อิเกีย จะขายสินค้าตกแต่ง บ้านที่มีขนาดใหญ่ พาวเวอร์บาย ขายเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีขนาดใหญ่ เป็นต้น 5.2 แบบออนไลน์ (Online) ในปัจจุบันการซื้อขายผ่านช่องทางออนไลน์เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น ร้านค้าที่เป็นช่องทางออนไลน์จะเป็นที่นิยม เช่น การซื้อสินค้าผ่านอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นทางเว็บไซต์หรือ แอปพลิเคชัน ซึ่งผู้ซื้อและผู้ขายต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตก่อน ถึงจะเข้าถึงการซื้อขายได้ การซื้อขายผ่านเว็บไซต์ สามารถด าเนินการขายผ่านหน้าเว็บไซต์ของธุรกิจ หรือจะขายผ่าน บริการร้านค้าออนไลน์ ซึ่งเป็นเหมือนตลาดโดยรวมร้านค้างต่าง ๆ ไว้ในที่เดียวกัน เช่น www.tarad.com www.weloveshopping.com เป็นต้น โดยเจ้าของร้านที่ต้องการขายสินค้าต้องสมัครเป็นสมาชิก่อน และท า ตามขั้นตอนของเว็บไซต์นั้น ๆ ก็สามารถมีหน้าร้านออนไลน์เป็นของตัวเองได้ การซื้อขายผ่านแอปพลิเคชันขายสินค้า ซึ่งผู้ซื้อและผู้ขายต้องมีโทรศัพท์มือถือที่เป็นสมาร์ตโฟน และเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต จึงจะใช้งานได้ ตัวอย่างแอปพลิเคชันขายสินค้า เช่น Kaidee Shopee LINEShop ซึ่งผู้ขายต้องลงทะเบียนก่อนที่จะเริ่มขายของในแอปพลิเคชันได้ นอกเหนือจากช่องทางที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีการขายที่อยู่ในการใช้งานของสื่อสังคม ออนไลน์ เช่น Facebook และ Line เป็นต้น ดังนั้น การเลือกช่องทางที่เหมาะสมกับสินค้าและกลุ่มเป้าหมาย นอกจากจะส่งผลต่อต้นทุนขายแล้ว ยังจะช่วยในการอ านวยความสะดวกในการซื้อสินค้าของผู้บริโภคได้อีกด้วย บรรณานุกรม วิทยาลัยนานาชาติ และสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์. (2567). คู่มือ SMEs ฉบับมินิ. https://www.slideshare.net/UtaiSukviwatsirikul/sme-handbook
62 แบบใบลงเวลาเรียน หลักสูตรวิชาชีพตามพระราชด าริ อาหารอร่อยอร่อย จากหนังสือชุด “บันทึก นึกอร่อย” เมนูปลากะพงม้วน บัญชีลงเวลาเรียนการจัดการศึกษาและฝึกอบรมหลักสูตรระยะสั้น หลักสูตร……ชั่วโมง ผู้สอน...........................................วิชา.................................จ านวนผู้เรียน.........คน ในวันที่...................................................เวลา.................................ถึงเวลา...................... ........... สถานที่ ณ ................................................................................................................... ...................................... ที่ ชื่อ-สกุล วันที่...................................................... ลายมือชื่อ เวลามา เวลากลับ ลงชื่อ......................................................วิทยากรผู้สอน (....................................................) ลงชื่อ......................................................ครูผู้รับผิดชอบ (....................................................)
63 แบบทดสอบภาคทฤษฎี การประกอบอาหาร “เมนูปลากะพงม้วน” แบบทดสอบก่อนเรียน หลักสูตรวิชาชีพตามพระราชด าริ อาหารอร่อยอร่อย จากหนังสือชุด “บันทึก นึกอร่อย” เมนูปลากะพงม้วน วันที่............ เดือน............................... พ.ศ................... ศูนย์วงเดือน อาคมสุรทัณฑ์ ศูนย์ฝึกอาชีพราษฎรตามพระราชด าริจังหวัดอุทัยธานี ชื่อ-สกุล................................................................................................ แบบทดสอบก่อนเรียน ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อทดสอบความรู้ก่อนเรียนของผู้เรียนวิชาชีพระยะสั้น ของศูนย์วงเดือน อาคมสุรทัณฑ์ (คะแนนเต็ม ๑๐ คะแนน) ค าสั่ง จากโจทย์ที่ก าหนดให้จงท าเครื่องหมาย (√) หน้าข้อที่ถูกและท าเครื่องหมายผิด (×) หน้าข้อที่ผิด ............. 1. วัสดุและอุปกรณ์หลักในการประกอบเมนูปลากะพงม้วน คือ เครื่องอบ และเครื่องตีไข่ ............. 2. กระทะที่ใช้ท าอาหารและไม่ติดกระทะ เรียกว่า กระทะเทฟลอน ............. 3. การเลือกปลากะพงควรเลือกที่มีสีสด ผิวมีความใส ไม่คล้ าไม่ขุ่น ทังเกล็ดและหนังตาปลาต้องใส เหงือกปลาต้องมีสีแดงไม่ซีด ใช้มือกดที่ตัวปลาต้องไม่บุ๋ม หรือยุบ ไม่มีกลิ่นเหม็นดิน ............. 4. คุณค่าทางโภชนาการ คาร์โบไฮเดรต : โปรตีน : ไขมัน = 33.14 : 15.94 : 50.92 % ............. 5. เครื่องปรุงส าหรับเมนูปลากะพงม้วน ได้แก่ ซีอิ้วขาว 30 กรัม น้ าตาลมะพร้าว 20 กรัม ............. 6. ควรแช่หมูแผ่นในน้ าสะอาด เพื่อให้หมูแผ่นมีความอ่อนตัว ประมาณ 5 นาที ............. 7. ส่วนผสมที่วางบนเนื้อปลากะพงและม้วนโรล ได้แก่ หน่อไม้ หมูแผ่น และผักชี ............. 8. น้ าราดเนื้อปลา จะใช้น้ ามันผัด กับขิงฝอย และถั่วลันเตา ปรุงรสด้วยซีอิ้วขาวเท่านั้น ............. 9. ระยะเวลาในการเตรียมและประกอบอาหารเมนูปลากะพงม้วนประมาณ 2 ชั่วโมง …………. 10. สูตรการค านวณราคาขายต่อชิ้น = ต้นทุนรวมต่อชิ้น + % ก าไรที่ต้องการ เฉลย 1. 2. 3. 4. 5. 6. ก 7. 8. 9. 10. คะแนนที่ได้ คะแนนที่เต็ม
64 แบบทดสอบหลังเรียน หลักสูตรวิชาชีพตามพระราชด าริ อาหารอร่อยอร่อย จากหนังสือชุด “บันทึก นึกอร่อย” เมนูปลากะพงม้วน วันที่............ เดือน............................... พ.ศ................... ศูนย์วงเดือน อาคมสุรทัณฑ์ ศูนย์ฝึกอาชีพราษฎรตามพระราชด าริจังหวัดอุทัยธานี ชื่อ-สกุล................................................................................................ แบบทดสอบหลังเรียน ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อทดสอบความรู้หลังเรียนของผู้เรียนวิชาชีพระยะสั้น ของศูนย์วงเดือน อาคมสุรทัณฑ์ (คะแนนเต็ม ๑๐ คะแนน) ค าสั่ง จากโจทย์ที่ก าหนดให้จงท าเครื่องหมาย (√) หน้าข้อที่ถูกและท าเครื่องหมายผิด (×) หน้าข้อที่ผิด ............. 1. วัสดุและอุปกรณ์หลักในการประกอบเมนูปลากะพงม้วน คือ เครื่องอบ และเครื่องตีไข่ ............. 2. กระทะที่ใช้ท าอาหารและไม่ติดกระทะ เรียกว่า กระทะเทฟลอน ............. 3. การเลือกปลากะพงควรเลือกที่มีสีสด ผิวมีความใส ไม่คล้ าไม่ขุ่น ทังเกล็ดและหนังตาปลาต้องใส เหงือกปลาต้องมีสีแดงไม่ซีด ใช้มือกดที่ตัวปลาต้องไม่บุ๋ม หรือยุบ ไม่มีกลิ่นเหม็นดิน ............. 4. คุณค่าทางโภชนาการ คาร์โบไฮเดรต : โปรตีน : ไขมัน = 33.14 : 15.94 : 50.92 % ............. 5. เครื่องปรุงส าหรับเมนูปลากะพงม้วน ได้แก่ ซีอิ้วขาว 30 กรัม น้ าตาลมะพร้าว 20 กรัม ............. 6. ควรแช่หมูแผ่นในน้ าสะอาด เพื่อให้หมูแผ่นมีความอ่อนตัว ประมาณ 5 นาที ............. 7. ส่วนผสมที่วางบนเนื้อปลากะพงและม้วนโรล ได้แก่ หน่อไม้ หมูแผ่น และผักชี ............. 8. น้ าราดเนื้อปลา จะใช้น้ ามันผัด กับขิงฝอย และถั่วลันเตา ปรุงรสด้วยซีอิ้วขาวเท่านั้น ............. 9. ระยะเวลาในการเตรียมและประกอบอาหารเมนูปลากะพงม้วนประมาณ 2 ชั่วโมง …………. 10. สูตรการค านวณราคาขายต่อชิ้น = ต้นทุนรวมต่อชิ้น + % ก าไรที่ต้องการ เฉลย 1. 2. 3. 4. 5. 6. ก 7. 8. 9. 10. คะแนนที่ได้ คะแนนที่เต็ม
65 แบบประเมินผลงานของผู้เรียนจากการปฏิบัติ การประกอบอาหาร “เมนูปลากะพงม้วน” แบบประเมินผลการจัดการศึกษาและฝึกอบรมหลักสูตรระยะสั้น หลักสูตรวิชา............................................จ านวน.................ชั่วโมง วันที่...................................................สถานที่จัด.......................................................................................... เกณฑ์การให้คะแนนประเมินผลการจัดการศึกษาและฝึกอบรมหลักสูตรระยะสั้น ศูนย์วงเดือน อาคมสุรทัณฑ์ 1. ความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาสาระ 20 คะแนน 1.1 แบบทดสอบ (20 คะแนน) 2. ทักษะการปฏิบัติ 40 คะแนน 2.1 การเตรียมวัสดุอุปกรณ์ (10 คะแนน) 2.1.1 การจัดเตรียมวัสดุ (5 คะแนน) 2.1.2 การจัดเตรียมอุปกรณ์ (5 คะแนน) 2.2 ปฏิบัติตามขั้นตอน (20 คะแนน) 2.2.1 ปฏิบัติตามขั้นตอน (5 คะแนน) 2.2.2 ปฏิบัติงานเสร็จตามเวลา (5 คะแนน) 2.2.3 ปฏิบัติงานด้วยความสะอาดเรียบร้อย (5 คะแนน) 2.2.4 ปฏิบัติงานด้วยความคล่องแคล่ว (5 คะแนน) 2.3 มีทักษะในการท างานเป็นทีม (10 คะแนน) 2.3.1 การเคารพกฎ กติกา และการยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น (5 คะแนน) 2.3.2 การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น (5 คะแนน) 3. คุณภาพของผลงาน/ผลการปฏิบัติงาน (40 คะแนน) 3.1 ผลงาน/ชิ้นงาน เป็นไปตามที่หลักสูตรก าหนด (30 คะแนน) 3.1.1 คุณภาพของชิ้นงาน (10 คะแนน) 3.1.2 องค์ประกอบของชิ้นงาน (10 คะแนน) 3.1.3 การตกแต่ง/บรรจุภัณฑ์ของชิ้นงาน (10 คะแนน) 3.2 การน าเสนอผลงาน/ชิ้นงาน (10 คะแนน) ระดับผลการเรียน การตัดสินผลการเรียนให้น าคะแนนระหว่างการจัดการเรียนการสอนรวมกับคะแนนจากแบบทดสอบ หลังเรียนแล้วน าไปเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่ก าหนด เพื่อให้ค่าระดับผลการเรียนทั้ง 5 ระดับ ดังนี้ 1. ได้คะแนน 80 – 100 ได้เกรด 4 หมายถึง ดีมาก 2. ได้คะแนน 70 – 79 ได้เกรด 3 หมายถึง ดี 3. ได้คะแนน 60 – 69 ได้เกรด 2 หมายถึง ปานกลาง 4. ได้คะแนน 50 – 59 ได้เกรด 1 หมายถึง ผ่านเกณฑ์ขั้นต่ าที่ก าหนด 5. ได้คะแนน 0 – 49 ได้เกรด 0 หมายถึง ต่ ากว่าเกณฑ์ที่ก าหนด
ล าดับ ที่ เลขประจ าตัว ประชาชน ชื่อ – สกุล 1. ความรู้ความเข้าใจ ในเนื้อหาสาระ 20 คะแนน 1.1 แบบทดสอบ (20) 2.1 การ เตรียมวัสดุ อุปกรณ์ (10) 2.1.1 (5) 2.1.2 (5) ลงชื่อ..................................................วิทยากร (……………………………………………..) ลงชื่อ............................................... (…………………………………………
66 2. ทักษะการปฏิบัติ 40 คะแนน 3. คุณภาพของผลงาน ผลการปฏิบัติงาน 40 คะแนน รวม 100 คะแนน ผลการ เรียน 2.2 ปฏิบัติตามขั้นตอน (20) 2.3 มีทักษะ ในการท างาน เป็นทีม (10) 3.1 ผลงาน/ ชิ้นงาน เป็นไป ตามที่หลักสูตร ก าหนด (30) 3.2 การ น าเสนอ ผลงาน/ ชิ้นงาน (10) 2.2.1 (5) 2.2.2 (5) 2.2.3 (5) 2.2.4 (5) 2.3.1 (5) 2.3.2 (5) 3.1.1 (10) 3.1.2 (10) 3.1.3 (10) ....หัวหน้ากลุ่มส่งเสริมปฏิบัติการ ……) ลงชื่อ..................................................ผู้อนุมัติ (……………………………………….) ผู้อ านวยการศูนย์วงเดือน อาคมสุรทัณฑ์
67 แบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ การประกอบอาหาร “เมนูปลากะพงม้วน” แบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ผู้เรียนหลักสูตรวิชาชีพระยะสั้น ศูนย์วงเดือน อาคมสุรทัณฑ์ ศูนย์ฝึกอาชีพราษฎรตามพระราชด าริ จังหวัดอุทัยธานี หลักสูตร……………………………………….จ านวน.....................ชั่วโมง ชื่อ-สกุล................................................................................... ค าชี้แจง : ให้วิทยากร/ครูผู้สอน/คณะกรรมการนิเทศติดตามสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนในระหว่างเรียนและ นอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องว่างที่ตรงกับระดับคะแนน ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............../.................../................ คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ด้าน รายการประเมิน ระดับคะแนน 5 4 3 2 1 1. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 1.1 เป็นพลเมืองดีของชาติ 1.2 ธ ารงไว้ซึ่งความเป็นไทย 1.3 ศรัทธา ยึดมั่น และปฏิบัติตนตามหลักของศาสนา 1.4 เคารพเทิดทูน สถาบันพระมหากษัตริย์ 2. ซื่อสัตย์ สุจริต 2.1 ประพฤติตรงตามความเป็นจริงต่อตนเองทั้งทางกาย วาจา ใจ 2.2 ประพฤติตรงตามความเป็นจริงต่อผู้อื่นทั้งทางกาย วาจา ใจ 3. มีวินัย 3.1 ปฏิบัติตามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบังคับของสถานศึกษา ครอบครัว ชุมชนและสังคม 4. ใฝ่เรียนรู้ 4.1 ตั้งใจ เพียรพยายามในการเรียน และเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ 4.2 แสวงหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ต่างๆทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษา ด้วยการเลือกใช้สื่ออย่างเหมาะสม สรุปเป็นองค์ความรู้ และสามารถน าไปใช้ ในชีวิตประจ าวันได้ 5. อยู่อย่างพอเพียง 5.1 ด าเนินชีวิตอย่างพอประมาณ มีเหตุผล รอบคอบ มีคุณธรรม 5.2 มีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี ปรับตัวเพื่ออยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข 6. มุ่งมั่นในการท างาน 6.1 ตั้งใจและรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่การงาน 6.2 ท างานด้วยความเพียรพยายามและอดทนเพื่อให้งานส าเร็จตามเป้าหมาย 7. รักความเป็นไทย 7.1 ภาคภูมิใจในขนบธรรมเนียม ประเพณี ศิลปะ วัฒนธรรมไทย และมี ความกตัญูกตเวที 7.2 เห็นคุณค่าและใช้ภาษาไทยในการสื่อสารได้อย่างถูกต้องเหมาะสม 7.3 อนุรักษ์และสืบทอดภูมิปัญญาไทย 8. มีจิตสาธารณะ 8.1 ช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความเต็มใจโดยไม่หวังผลตอบแทน 8.2 เข้าร่วมกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสถานศึกษา ชุมชนและสังคม รวมคะแนน คะแนนร้อยละ = (....................คะแนน x 100) 90 คะแนน เกณฑ์การให้คะแนน พฤติกรรมที่ปฏิบัติชัดเจนและสม่ าเสมอดีเยี่ยม ให้ 5 คะแนน พฤติกรรมที่ปฏิบัติชัดเจนและสม่ าเสมอดีมาก ให้ 4 คะแนน พฤติกรรมที่ปฏิบัติชัดเจนและสม่ าเสมอ ให้ 3 คะแนน พฤติกรรมที่ปฏิบัติบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน พฤติกรรมที่ปฏิบัติบางครั้ง ให้ 1 คะแนน
68 แบบประเมินความพึงพอใจ การประกอบอาหาร “เมนูปลากะพงม้วน” แบบประเมินความพึงพอใจของผู้เข้ารับการศึกษาและฝึกอบรมหลักสูตรระยะสั้น หลักสูตรวิชา.......................................................................จ านวน...................ชั่วโมง ค าอธิบาย แบบประเมินฉบับนี้มีทั้งหมด 3 ตอน ขอให้ผู้ตอบแบบประเมินตอบให้ครบทั้ง 3 ตอน เพื่อให้การด าเนิน โครงการเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเพื่อเป็นประโยชน์ในการน าไปใช้ต่อไป โปรดท าเครื่องหมาย ลงในช่องให้ตรง กับสภาพจริง และตรงกับความพึงพอใจของท่านเพียงระดับเดียว ตอนที่ 1 สถานภาพทั่วไป 1. เพศ (1) ชาย (2) หญิง 2. อายุ (1) ต่ ากว่า 15 ปี (2) 15 - 29 ปี (3) 30 - 39 ปี (4) 40 - 49 ปี (5) 50 - 59 ปี (6) 60 ปีขึ้นไป 3. การศึกษา (1) ต่ ากว่าประถมศึกษา (2) ประถมศึกษา (3) มัธยมศึกษาตอนต้น (4) มัธยมศึกษาตอนปลาย/ปวช. (5) อนุปริญญา/ปวส. (6) ปริญญาตรี (7) สูงกว่าปริญญาตรี 4. ประกอบอาชีพ (1) นักเรียน/นักศึกษา (2) ข้าราชการ/พนักงานของรัฐ (3) ค้าขาย (4) รับจ้าง (5) เกษตรกรรม (6) อื่นๆ ระบุ................................... ตอนที่ 2 ความพึงพอใจต่อการเข้าร่วมการฝึกอบรมโครงการ ข้อที่ ประเด็นความคิดเห็น ระดับความพึงพอใจ มาก ที่สุด (5) มาก (4) ปานกลาง (3) น้อย (2) น้อยที่สุด (1) 1 ความพึงพอใจด้านเนื้อหา 1.1 เนื้อหาตรงตามความต้องการ 1.2 เนื้อหาเพียงพอต่อความต้องการ 1.3 เนื้อหาปัจจุบันทันสมัย 1.4 เนื้อหามีประโยชน์ต่อการน าไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิต 2 ความพึงพอใจด้านกระบวนการจัดกิจกรรมการอบรม 2.1 การออกแบบกิจกรรมเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ 2.2 การจัดกิจกรรมเหมาะสมกับเวลา 2.3 การจัดกิจกรรมเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย 2.4 วิธีการวัดผล/ประเมินผลเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ 3 ความพึงพอใจต่อวิทยากร 3.1 วิทยากรมีความรู้ความสามารถในเรื่องที่ถ่ายทอด 3.2 วิทยากรมีเทคนิคการถ่ายทอดใช้สื่อเหมาะสม 3.3 วิทยากรเปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมและซักถาม
69 ข้อที่ ประเด็นความคิดเห็น ระดับความพึงพอใจ มาก ที่สุด (5) มาก (4) ปานกลาง (3) น้อย (2) น้อยที่สุด (1) 4 ความพึงพอใจต่อสื่อและเทคโนโลยี 4.1 สื่อและเทคโนโลยีมีความถูกต้อง และละเอียดครบถ้วนของเนื้อหา 4.2 สื่อและเทคโนโลยีมีการใช้รูปภาพ และภาษาที่เข้าใจง่ายเหมาะกับผู้เรียน 4.3 สื่อและเทคโนโลยีมีการออกแบบที่ชัดเจน และน่าสนใจ 5 ความพึงพอใจด้านการอ านวยความสะดวก 5.1 สถานที่ วัสดุ อุปกรณ์และสิ่งอ านวยความสะดวก 5.2 การสื่อสาร การสร้างบรรยากาศเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ 5.3 การบริการ การช่วยเหลือและการแก้ปัญหา ตอนที่ 3 ความประทับใจที่ได้รับจากการร่วมโครงการ ............................................................................................................................. .......................................................... ....................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. .......................................................... ข้อเสนอแนะอื่น ๆ............................................................................................................. ............................. ............................................................................................................................. .......................................................... ....................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ..........................................................
70 แบบสรุปผลการประเมินผลการจัดการเรียนรู้ของผู้เรียน หลักสูตรวิชาชีพตามพระราชด าริ อาหารอร่อยอร่อย จากหนังสือชุด “บันทึก นึกอร่อย” เมนูปลากะพงม้วน แบบรายงานผลการจบหลักสูตรการจัดการศึกษาและฝึกอบรมหลักสูตรระยะสั้น ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ........... สถานศึกษา ศูนย์วงเดือน อาคมสุรทัณฑ์ 1. ชื่อหลักสูตร......................................................................................................จ านวน...........................ชั่วโมง 2. ชื่อวิทยากร/ผู้สอน...........................................................วุฒิการศึกษา.......................................อายุ............ปี อาชีพ................................................................................................... 3. ประเภทของผู้สอน ( ) ข้าราชการ ( ) ลูกจ้าง ( ) วิทยากรภายนอก ( ) อื่น ๆ โปรดระบุ............................ 4. พื้นที่ด าเนินการ......................................................................................................................................... ........ 5. ระยะเวลาด าเนินการ ในวันที่............................................................................................. ............................... 6. อนุมัติเบิกจ่ายจากงบประมาณ ประเภทงบ.....................รหัสงบ................โครงการ........................................ จ านวน........................บาท ค่าวัสดุจ านวน.......................บาท ค่าตอบแทนวิทยากรจ านวน.....................บาท 7. วิธีการส ารวจความต้องการเรียน ด าเนินการอย่างไร ( ) ประชาคม ( ) แนะแนว ( ) ส ารวจความต้องการ ( ) อื่น ๆ (โปรดระบุ)....................................................................................................... ................................ 8. จ านวนผู้เรียนและผู้ส าเร็จการศึกษา จ าแนกตามอายุและเพศ อายุ ต่ ากว่า 15 ปี 15-29 ปี 30-39 ปี 40-49 ปี 50-59 ปี 60 ปีขึ้นไป รวม รวมทั้งสิ้น เพศ ช ญ ช ญ ช ญ ช ญ ช ญ ช ญ ช ญ จ านวนผู้เรียน จ านวนผู้ส าเร็จ 9. จ านวนผู้เรียนและผู้ส าเร็จการศึกษา จ าแนกตามกลุ่มอาชีพและเพศ อาชีพ ข้าราชการ พนักงาน รัฐวิสาหกิจ ค้าขาย เกษตรกร รับจ้าง ไม่มีอาชีพ อื่นๆระบุ รวม รวม ทั้งสิ้น เพศ ช ญ ช ญ ช ญ ช ญ ช ญ ช ญ ช ญ ช ญ จ านวน ผู้เรียน จ านวน ผู้ส าเร็จ 10. จ านวนผู้เรียนและผู้ส าเร็จการศึกษา จ าแนกตามระดับการศึกษาและเพศ ระดับการศึกษา ต่ ากว่า ป.4 ประถม ศึกษา ม.ต้น ม.ปลาย/ ปวช. อนุปริญญา/ ปวส. ปริญญาตรี ปริญญาโท ขึ้นไป รวม รวมทั้งสิ้น เพศ ช ญ ช ญ ช ญ ช ญ ช ญ ช ญ ช ญ ช ญ จ านวนผู้เรียน จ านวนผู้ส าเร็จ
11. จ านวนผู้เรียนและผู้ส าเร็จการศึกษา จ าแนกตามกลุ่มเป้าหมายและเพศ กลุ่มเป้าหมาย ผู้น าชุมชน ผู้น าท้องถิ่น ก านัน สารวัตร ผู้ใหญ่ ผช.ผญ. แพทย์ ประจ า ต าบล ปราชญ์ ชาวบ้าน อบต. สท. เพศ ช ญ ช ญ ช ญ ช ญ ช ญ ช ญ ช ญ ช ญจ านวนผู้เรียน จ านวนผู้ส าเร็จ 12. จ านวนผู้เรียนและผู้ส าเร็จการศึกษา แยกตามกลุ่มเป้าหมายและเพศ กลุ่มเป้าหมาย ผู้ตกงาน ผู้ว่างงาน ผู้มีรายไลดลงเพศ ช ญ ช ญ ช จ านวนผู้เรียน จ านวนผู้ส าเร็จ
71 อสม. เกษตรกร ประชากร วัยแรงงาน กลุ่มสตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ เด็ก/ เยาวชน รวม รวม ทั้งสิ้น ญ ช ญ ช ญ ช ญ ช ญ ช ญ ช ญ ช ญ ช ญ ได้ ง ผู้ที่หายจาก อาการป่วย และต้องการ ฝึกอาชีพ ประชาชน ทั่วไปที่ ต้องการสร้าง เสริมรายได้ อื่น ๆ ระบุ รวม รวมทั้งสิ้น ญ ช ญ ช ญ ช ญ ช ญ
72 13. จ านวนผู้เรียนและผู้ส าเร็จการศึกษา แยกตามผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและเพศ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มี ไม่มี รวม รวมทั้งสิ้น เพศ ช ญ ช ญ ช ญ จ านวนผู้เรียน จ านวนผู้ส าเร็จ 14. การติดตามผู้จบหลักสูตร 14.1 มีการติดตามผู้จบหลักสูตรหรือไม่ ( ) ไม่มี เพราะ............................................................................................................ .......................... ( ) มี ด าเนินการอย่างไร....................................................................................................................... 14.2 ผลการประเมินความพึงพอใจในการจัดหลักสูตร อยู่ในระดับใด..................................................... 14.3 ผู้จบหลักสูตรได้น าความรู้ไปประกอบอาชีพได้จริง ได้รับความรู้ไปสร้างอาชีพ.................คน เพิ่มรายได้...............คน มีคุณภาพชีวิตที่ดี...............คน สร้างมูลค่าเพิ่ม.............คน ต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่น...............คน พัฒนาสู่วิสาหกิจชุมชน...............คน 15. ปัญหา อุปสรรคและข้อเสนอแนะ 15.1 ปัญหา อุปสรรค ( ) ไม่มี ( ) มี (โปรดระบุ).......................................................................................................... ....................... 15.2 ข้อเสนอแนะ................................................................................................................... ................ .................................................................................................................. ............................................... ............................................................................................................................. .................................... ลงชื่อ.............................................................วิทยากร (.............................................................) ลงชื่อ..............................................................งานจัดการศึกษาและฝึกอบรมหลักสูตรระยะสั้น (...............................................................) ลงชื่อ..............................................................ผู้บริหารสถานศึกษา (...............................................................) ผู้อ านวยการศูนย์วงเดือน อาคมสุรทัณฑ์
73 ภาคผนวก
74
75
76
77
78
79
80
81 คณะผู้จัดท า คณะที่ปรึกษา นายธีรพัฒน์ คัชมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี นายเสวก พุทธรักษา ประธานกรรมการสถานศึกษา นายเชาวฤทธิ์ จงเกษกรณ์ กรรมการสถานศึกษา นายจิณณาวัฒน์ โคมบัว กรรมการสถานศึกษา นางศิรประภา รัตนธัญญลักษณ์ กรรมการสถานศึกษา พญ.ชลิดา สุระดม กรรมการสถานศึกษา นายชัยวัฒน์ ข าศรี กรรมการสถานศึกษา นางสาวอรวรรณ ทองหล่อเลิศ กรรมการสถานศึกษา นายธานี เครืออยู่ ผู้อ านวยการกลุ่มพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา กรมส่งเสริมการเรียนรู้ นายมงคลชัย ศรีสะอาด ผู้อ านวยการส านักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจ าจังหวัดอุทัยธานี นางอุทัยวรรณ โพธิ์กระจ่าง ผู้อ านวยการศูนย์วงเดือน อาคมสุรทัณฑ์ ผู้ทรงคุณวุฒิ นายยุทธชัย ทองอินทร์ ผู้อ านวยการกลุ่มงานพัฒนาฝีมือแรงงาน สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 8 นครสวรรค์ นางสาวเบ็ญจวรรณ อ าไพศรี นักวิชาการศึกษาช านาญการพิเศษ กลุ่มพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา กรมส่งเสริมการเรียนรู้ นางสาวทิพวรรณ วงค์เรือน นักวิชาการศึกษาช านาญการ กลุ่มพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา กรมส่งเสริมการเรียนรู้ นายจตุรงค์ ทองดารา นักวิชาการศึกษาช านาญการ กลุ่มพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา กรมส่งเสริมการเรียนรู้ นางสาวนารีรัตน์ บุญลักษณ์ หัวหน้าสาขาวิชาคหกรรมศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ นางสาวรังสิตา จันทร์หอม อาจารย์ประจ าสาขาวิชาคหกรรมศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ นางสาวทศพร โพธิ์เนียม อาจารย์ประจ าสาขาวิชาคหกรรมศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ นายสุพจน์ สามสังข์ ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารไทย และขนมไทย
82 คณะผู้จัดท า นายบดินทร์ภัทร์ พุ่มพันธ์วงศ์ ครู นายวิทวัส เทียนข า ครู นางวัชรินทร์ พลอยส่งศรี ครู นางรุ่งนภา ศรีชัย ครู นางสาวพัฒนีนาถ ภักดีอักษร ครู นางสาวดาววดี เครืออ่อน นักจัดการงานทั่วไป นางนุชจรี เขียนสาร์ นักวิชาการเงินและบัญชี นายสิทธิชัย ศาสตร์ประสิทธิ์ นักจัดการงานทั่วไป นายสมเกียรติ หน่วงกลาง นักวิชาการศึกษา นางสุรีย์รัตน์ แพ่งประสิทธิ์ เจ้าพนักงานธุรการ นายดนัย สดุดี เจ้าพนักงานการเงินและบัญชี นางสาวสุวิมล อินเฉียน นักวิชาการพัสดุ นางสาวอุนนดา ชูรัศมี นักวิชาการศึกษา นางสาวจิราพร ชินภักดี นักจัดการงานทั่วไป นางสาววรารัตน์ อ่อนฤทธิ์ นักเทคโนโลยีสารสนเทศ นายชวิน โพธิ์กระจ่าง นักจัดการงานทั่วไป ส านักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจ าจังหวัดอุทัยธานี นางสาวพัชรวรรณ ไวทยกุล ครู โรงเรียนสตรีนครสวรรค์ นายสุทธิพงษ์ นคร เจ้าหน้าที่งานประชาสัมพันธ์ โรงเรียนสตรีนครสวรรค์ นางสาวศิริทรัพย์ นิลก าแหง นักเรียน โรงเรียนสตรีนครสวรรค์
83