The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ความเป็นมาของบัญชี และปัจจุบันการเข้ามาของระบบAI

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by medagon272, 2023-08-19 23:38:37

สัมมนาเรื่องนักบัญชียุคใหม่กับAIที่เข้ามา

ความเป็นมาของบัญชี และปัจจุบันการเข้ามาของระบบAI

ความเป็นมาของบัญชี Accounting ในปี ค.ศ.1494 ลูกา ปาซิโอลิ (Luca Pacioli) ชาวอิตาเลียน ได้เขียนหนังสือเชิง คณิตศาสตร์เล่มหนึ่ง ชื่อ “Summa de arithmetca geometrica proportioni et proportionalita” เป็นต าราว่าด้วยการค านวณเกี่ยวกับเลข คณิต พีชคณิต การแลกเปลี่ยนเงินตรา รวมทั้งการบัญชี ซึ่งเขาได้รวบรวมกฎเกณฑ์ต่างๆของ หลักการบัญชีคู่ไว้อย่างสมบูรณ์ โดยก าหนดศัพท์ที่มาของค าว่า “Dedito” หมายถึง “เป็น หนึ่ง” และ Credito” หมายถึง “เชื่อถือ”อันเป็นพื้นฐานที่มาของค าว่า “Dedit” และ “Credit” ตามหลักการบัญชีคู่ซึ่งเป็นที่ยอมรับถือปฏิบัติมาจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้น ลูกา ปาซิโอลิ ถือว่า เป็น “บิดาแห่งการบัญชี” และส าหรับประเทศไทย การบัญชี เริ่มมีตั้งแต่สมัยอยุธยาในช่วงปี พ.ศ.2193-2231 ตรงกับสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งในตอนนั้นประเทศไทยได้มีการเจริญสัมพันธ์ ไมตรีกับประเทศฝั่ งยุโรป คือ อังกฤษ ฝรั่งเศส และโปรตุเกส เป็นต้น โดยผู้ที่เผยแพร่ความรู้ ทางด้านการบัญชีในระยะแรกคือ พระยาไชยยศสมบัติ (เสริม กฤษณามระ) และหลวงด าริ อิศรานุวรรต (ม.ร.ด าริ อิศรางกูร ณ อยุธยา) (เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475) ได้จัดท า หลักสูตรการสอนวิชาการบัญชีเพื่อเผยแพร่ท าให้คนไทยมีความรู้ทางด้านการบัญชีโดยศัพท์ ทางบัญชีจะเป็ นลักษณะเฉพาะมากขึ้นเช่น สินทรัพย์ หนี้สิน ส่วนของเจ้าของ รายได้ รายจ่าย ค่าใช้จ่ายและก าไรขาดทุน เป็นต้น บัญชีที่ถูกจัดท าขึ้นเป็นบัญชีแรกคือ บัญชีเงินสดและได้ถือปฏิบัติมาจนกระทั่งถึง สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5 ได้เริ่มจัดท าบัญชีพระคลังเป็นหมวดหมู่ และ วิชาการบัญชีก็ได้เริ่มมีการศึกษากันมากขึ้น โดยมีการตั้งโรงเรียนพาณิชยการ ขึ้น 2 แห่งคือ โรงเรียนพาณิชยการวัดสามพระยา และโรงเรียนพาณิชยการวัดแก้วฟ้า โดยมีการสอนบัญชีคู่ เป็นครั้งแรกและมีบัญชีเพียง3เล่ม คือ สมุดบัญชีเงินสด สมุดรายวันและสมุดแยกประเภท และในปี พ.ศ.2481 ได้จัดตั้งคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ขึ้นในจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


การบัญชีในสมัยก่อน การบัญชีในสมัยก่อน นักบัญชียังไม่ค่อยมีความรู้มากเท่าไหร่นัก ถ้าน ามาเทียบกับ สมัยนี้เพราะการเรียนรู้ในสมัยนี้ ได้มีการเรียนแบบเต็มหลักสูตรและเทคโนโลยี ในการท า บัญชีก็ครบถ้วนขึ้น เพราะในสมัยนี้อุปกรณ์หรือสิ่งอ านวยความสะดวกในการท าบัญชี ได้มี อย่างแพร่หลายแล้วซึ่งสามารถน ามาท าบัญชีได้อย่างสะดวกสบายอีกด้วย โดยการท าบัญชี นั้นจะต้องอาศัยการพัฒนาบัญชีของเราอยู่ตลอด เพราะการท าบัญชีเราต้องอาศัยความ ถูกต้องและความรวดเร็วเป็นหลัก ซึ่งการที่จะรับงานบัญชีต่างๆนั้น เราต้องดูตัวเองด้วยว่า ไหวกี่งานอย่ารับงานที่เกินตัว เพราะถ้าเราไม่สารถท างานส่งเขาได้ตามเวลาที่ก าหนด ก็จะ เป็นผลเสียต่อตัวเราเองอีกด้วย และยังท าให้นายจ้างผิดหวังในตัวเรา และผลงานของเราที่ไม่ สามารถส่งตามเวลาที่ก าหนดไว้ได้นั้นเอง ซึ่งผลเสียก็จะตามมาเรื่อย ๆเพราะถ้าเราท างาน ผิดพลาดอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย โดยในสมัยก่อนยังไม่ค่อยอุปกรณ์ในการท าบัญชีอย่าง สะดวกอีกด้วย เพราะสมัยก่อนยังได้แต่นั่งคิดตัวเลขในลูกคิดหรือนั่งทดในกระดาษนั้นเอง การบัญชีปัจจุบัน การบัญชีในปัจจุบัน หากย้อนกลับไปในอดีตตั้งแต่สมัยมีการจัดท าและบันทึกบัญชี ด้วยมือ ที่ต้องอาศัยความละเอียดรอบคอบในการค้นหาตัวเลขที่ไม่ตรงหรือการผ่านรายการ ทางบัญชีด้วยสมุดบัญชีหลาย ๆ เล่ม ท าให้การจัดท างบการเงินเกิดความผิดพลาด ล่าช้า จน มีการพัฒนาการจัดท าบัญชีด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่ช่วยในการบันทึกรายการทางบัญชี ผ่านรายการบัญชีไปยังบัญชีแยกประเภทและออกงบทดลองได้อย่างรวดเร็ว ลดปัญหาใน การจัดท างบการเงินที่ไม่ลงตัว จนมีการพัฒนาโปรแกรมระบบบัญชีให้สามารถออกเอกสาร ทางการค้า เช่น ใบแจ้งหนี้ ใบส่งของ ใบก ากับภาษี ใบเสร็จรับเงิน ใบส าคัญรับและใบส าคัญ จ่าย ให้สามารถเชื่อมโยงรายการค้ามายังรายการทางบัญชีและผูกรายการค้ากับผังบัญชี เพื่อช่วยลดเวลาในการบันทึกบัญชี เพิ่มความถูกต้องครบถ้วน ท าให้การจัดท าบัญชีท าได้ อย่างง่ายและรวดเร็ว ลดขั้นตอนการท างานของนักบัญชี ปรับเปลี่ยนบริบทให้มุ่งเน้นงานการ ตรวจสอบการบันทึกบัญชีกับเอกสารรายการค้า รวมถึงการค านวณรายการปรับปรุงต่าง ๆ


บัญชีในยุคดิจิตอล ในสมัยถัดมา การด าเนินธุรกิจมีธุรกรรมที่ซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น การตัดสินใจทางธุรกิจ ต้องการความแม่นย า รวดเร็วและทันต่อเวลา จึงมีการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ ให้สามารถ วางแผนทรัพยากรในองค์กร (Enterprise Resource Planning : ERP) มีการ เชื่อมโยงทรัพยากรในองค์กรเข้าด้วยกันแบบรวมศูนย์ ท าให้งานของนักบัญชีถูกทดแทนใน ส่วนของการค านวณที่ซับซ้อนและจัดเตรียมรายการปรับปรุงบางส่วน โดยเน้นการควบคุม ข้อมูลน าเข้าระบบ (Input) การวิเคราะห์รายการค้า การตรวจสอบความถูกต้องและใน ปัจจุบันยุค Digital Disruption การเข้ามาของเทคโนโลยีส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ และสาขาอาชีพ โดยเฉพาะนักบัญชีที่เทคโนโลยีเข้ามาทดแทนกระบวนการท างานของนัก บัญชี ให้ใช้ง่ายและรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาโปรแกรมบัญชีส าเร็จรูปให้มีการใช้งานบน ระบบ Cloud ท าให้นักบัญชีสามารถท างานจากที่ไหนก็ได้ ขอแค่มีระบบอินเตอร์เน็ต หรือ บางองค์กรมีการประยุกต์เอาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) มาช่วยให้สามารถแปลงข้อมูลที่ถูกจัดเตรียมในรูปแบบของรายการบันทึกบัญชี โดย อาศัยการเรียนรู้จดจ ารูปแบบของรายการค้า ให้สามารถรับส่งข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ช่วยใน ส่ ว นง า น เอ ก ส า ร บ า ง อ ย่ า ง แล ะ ยิ่ ง ใ นปั จจุบันมี ก า ร น า เทค โ นโล ยี บ ล็ อ ก เช น (Blockchain) เข้ามาใช้กับงานบัญชี การบันทึกบัญชีสามารถท าได้อย่างอัตโนมัติ ดังนั้น นักบัญชีในยุคดิจิทัลจึงจ าเป็นอย่างยิ่งที่ต้องหาทักษะที่แตกต่างจากคนอื่น เป็นนักปฏิบัติมือ อาชีพและมีการยกระดับความรู้ความเชี่ยวชาญ เป็นนักวิเคราะห์ เสริมการท างานให้มี ประสิทธิภาพมากขึ้น


นักบัญชีในโลกอนาคตจากนักบัญชี สู่ นักบัญชีนวัตกร ในยุคที่กระแสการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีก าลังมาแรง การน าเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาใช้งานในหลาย ๆ อุตสาหกรรมไม่ว่าภาคการผลิตหรือภาคบริการเกิดขึ้นในทุกธุรกิจ มี ค ากล่าวซึ่งถูกพูดถึงบ่อย ๆ คือ “AI จะมาทดแทนนักบัญชี” ส าหรับผู้เขียนเมื่อได้ฟัง ก็เกิด การตั้งค าถามกับตัวเองว่าจริง ๆ แล้วบทบาทของนักบัญชีในโลกอนาคต ในภาวะที่ เทคโนโลยีมีความก้าวหน้าอย่างมากจะเป็นอย่างไร ย้อนกลับไปในอดีตตั้งแต่สมัยการท า บัญชีเริ่มต้นด้วยระบบบันทึกบัญชีด้วยมือ ซึ่งจะต้องใช้ความละเอียดรอบคอบในการค้นหา ตัวเลขที่ไม่ดุล หรือการผ่านบัญชีด้วยสมุดบัญชีหลาย ๆ เล่ม กว่าที่จะสามารถจัดท างบ การเงินได้ เมื่อเริ่มมีเครื่องคอมพิวเตอร์ ก็เริ่มมีการพัฒนาให้มีโปรแกรมบัญชีเพื่อให้การ จัดท าบัญชีด้วยมือง่ายขึ้น มาช่วยในการจัดท าบัญชี ซึ่งโปรแกรมคอมพิวเตอร์สามารถช่วย ผ่านรายการบัญชีไปยังบัญชีแยกประเภทและออกงบทดลองได้รวดเร็วขึ้นปัญหาในการจัดท า งบการเงินที่ไม่ลงตัวก็ลดน้อยลง ยิ่งต่อมาเมื่อมีการพัฒนาโปรแกรมระบบบัญชีให้สามารถ ออกเอกสารทางการค้า เช่น ใบแจ้งหนี้ ใบเสร็จรับเงิน ใบส าคัญจ่ายได้แล้ว ก็ส ามารถ เชื่อมโยงรายการค้ามายังรายการบัญชีด้วยการผูกผังบัญชีกับรายการค้า ช่วยลดเวลาในการ บันทึกบัญชีได้มากขึ้นงานของนักบัญชีในช่วงเวลานั้นจะถูกทดแทนในการผ่านบัญชีและการ จัดท าข้อมูลทางการเงินบางส่วนด้วยโปรแกรมบัญชี นักบัญชีก็จะมุ่งเน้นงานการตรวจสอบ การบันทึกบัญชีกับเอกสารการค้า รวมถึงการค านวณรายการปรับปรุงต่าง ๆ ที่ไม่ได้เชื่อมโยง โดยระบบเพื่อน ามาบันทึกบัญชี และจัดท างบการเงินให้เสร็จสิ้น ในสมัยถัดมาเมื่อธุรกรรม ทางการค้ามีความซับซ้อนขึ้น กระบวนการผลิตและการตัดสินใจทางธุรกิจต้องการการ ตัดสินใจที่แม่นย า รวดเร็ว และทันต่อเวลา โปรแกรมส าหรับวางแผนบริหารธุรกิจขององค์กร (Enterprise Resource Planning : ERP) ก็ได้เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ในการ จัดท าข้อมูลในการวางแผน การขายสินค้า ระบบต้นทุนการผลิต และระบบควบคุมสินค้า คงเหลือ ถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกันแบบรวมศูนย์ ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจทางบัญชีที่สลับซับซ้อน ถูกค านวณโดยโปรแกรมซึ่งสามารถจัดเตรียมรายการปรับปรุงอัตโนมัติ เช่น การปรับปรุงต้นทุน งานของนักบัญชีจะถูกทดแทนในส่วนของการค านวณที่ซับซ้อน และการ จัดตรียมรายการปรับปรุงบางส่วน หันไปมุ่งเน้นการควบคุมข้อมูลน าเข้าระบบ (Input) การตรวจสอบความถูกต้อง การตีความรายการค้า การวิเคราะห์ความสมเหตุผลของข้อมูล สารสนเทศและระบบการควบคุมภายในที่เกี่ยวข้องกับระบบงาน


นักบัญชีในโลกอนาคตจากนักบัญชี สู่ นักบัญชีนวัตกร จะเห็นได้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา มีการน าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมาพัฒนา กระบวนการท างานและทดแทนงานของนักบัญชีอยู่ตลอดเวลา ยิ่งในปัจจุบัน มีหลาย ๆ ผู้พัฒนาทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ เริ่มเอาเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้ให้การจัดท าบัญชี ง่ายและรวดเร็วขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาโปรแกรมให้ใช้บนระบบ Cloud ที่สามารถท าให้นัก บัญชีจัดท างานจากที่ไหนก็ได้ การใช้ความสามารถของเทคโนโลยีการรู้จดจ าตัวอักษร (Optical Character Recognition : OCR)ซึ่งสามารถอ่านข้อมูลจากเอกสาร การค้ามาจัดเตรียมข้อมูลเพื่อน าเข้าสู่ระบบบัญชี บางผู้พัฒนาสามารถประยุกต์เอาเทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) มาช่วยให้สามารถแปลงข้อมูลที่ถูก จัดเตรียมในรูปแบบของรายการบันทึกบัญชีโดยอาศัยการเรียนรู้จดจ ารูปแบบของรายการค้าได้ มาบันทึกบัญชีอัตโนมัติได้ ในปัจจุบัน โปรแกรมต่าง ๆ ซึ่งมีการใช้งานแยกส่วนกัน สามารถส่ง ข้อมูลกันผ่านระบบอินเตอร์เน็ตด้วยเทคโนโลยี การรับส่งข้อมูล (Application Programming Interface : API) ซึ่งท าให้การรับส่ง ข้อมูลระหว่างระบบงาน เสร็จ ในชั่วพริบตา ยิ่งในอนาคตก าลังจะมีการน าเทคโนโลยี บล็อคเชน (Blockchain) เข้ามาปรับ ใช้กับงานบัญชี การบันทึกบัญชีจะถูกท ารายการและบันทึกโดยอัตโนมัติ งานของนักบัญชีใน อนาคตจะถูกทดแทนในส่วนของการการตีความรายการค้าและบันทึกบัญชีอย่างแน่นอน


นักบัญชีในโลกอนาคตจากนักบัญชี สู่ นักบัญชีนวัตกร สิ่งที่นักบัญชีในโลกอนาคตต้องมีการปรับตัว คือ การทบทวนทักษะเพื่ออ นาคต (Reskill) เพื่อให้ตอบความต้องการของโลกอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการท าความเข้าใจลักษณะ ธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น ความเข้าใจด้านการท าธุรกิจและการตลาด ธุรกิจเทคโนโลยีที่ เกิดขึ้นใหม่จะมีโมเดลธุรกิจที่แปลกใหม่และซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งต้องอาศัยการตีความด้วยความ เข้าใจและสามารถปรับเนื้อหาเชิงเศรษฐกิจเข้ากับแม่บทหรือมาตรฐานการบัญชีที่เกี่ยวข้องกับ การรับรู้รายการได้ นักบัญชีจะต้องมีความเข้าใจระบบสารสนเทศทางการบัญชีและเทคโนโลยี ในระดับที่สามารถมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบ เพื่อให้ทันกับระบบงานของลูกค้าและรูปแบบ การปฏิบัติงานของนักบัญชีเองที่จะต้องมีการพัฒนาและเทคโนโลยีเป็ นส่วนร่วมมากขึ้น นอกจากทักษะด้านความรู้ (Hard Skills) แล้ว ทักษะด้านอารมณ์ (Soft Skills) ก็จะเริ่ม มีส่วนส าคัญในการประกอบอาชีพบัญชีไม่ว่าอยู่ในบทบาทใด เพราะงานบันทึกบัญชีในโลก อนาคตก าลังจะหายไปเหลือแต่การใช้ดุลยพินิจและวิเคราะห์ แต่การสื่อสารกับฝ่ายบริหารเพื่อ น าข้อมูลสารสนเทศที่ได้จากระบบงานจะต้องสามารถถูกน าไปสู่การปรับรูปแบบที่ตัดสินใจได้ อย่างทันต่อเวลาและเข้าใจได้ การสื่อสารและท างานกับเพื่อนร่วมงานข้ามวิชาชีพเพื่อการ หาทางออกของปัญหา (Solution) ให้กับองค์กรจะมีส่วนส าคัญมากขึ้นในบางบทบาทนัก บัญชีอาจต้องมีส่วนร่วมกับฝ่ ายบริหารในการท างานเชิงกลยุทธ์ และมีส่วนร่วมในการพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์และระบบงานขององค์กรในหน้าที่การสนับสนุนข้อมูลเชิงตัวเลขให้กับ ยุทธศาสตร์องค์กร จึงเห็นได้ว่านักบัญชีในโลกอนาคตนั้นนอกจากจะ Hi-Tech แล้ว จะต้อง Hi-Touch ด้วย


AI คืออะไร ได้มีคนให้ค านิยาม AI หรือ Artificial Intelligence ไว้กันอย่างหลากหลาย Deloitte ได้รวบรวมความหมายของ AI ไว้ว่า “AI หรือปั ญญาประดิษฐ์ คือ ระบบ คอมพิวเตอร์ซึ่งสามารถแสดงพฤติกรรมที่โดยปกติแล้วต้องการความสามารถในการคิด และ รับรู้ของมนุษย์” หรือ “AI คือศาสตร์ของการท าให้คอมพิวเตอร์สามารถท างานได้เหมือนกับ มนุษย์” และเจ้าพ่อผู้ค้นพบวงการ AI-Alan Turing ได้ให้ค านิยามของปัญญาประดิษฐ์ไว้ ว่า “ปัญญาประดิษฐ์ คือศาสตร์แห่งวิศวกรรมในการสร้างคอมพิวเตอร์อัจฉริยะ โดยเฉพาะ การสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สามารถวางแผน หาเหตุผล เรียนรู้ รับรู้ และสร้างมุมมอง ความรู้ และสื่อสารได้อย่างเป็นธรรมชาติ” ส านักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ได้ให้ความหมาย ของเทคโนโลยี AI ไว้ว่า เทคโนโลยี AI หรือ Artificial Intelligence คือ “เทคโนโลยี การสร้างความสามารถให้แก่เครื่องจักรและคอมพิวเตอร์ ด้วยอัลกอริทึมและกลุ่มเครื่องมือทาง สถิติ เพื่อสร้างซอฟต์แวร์ทรงปัญญา ที่สามารถเลียนแบบความสามารถของมนุษย์ที่ซับซ้อนได้ เช่น จดจ า แยกแยะ ให้เหตุผล ตัดสินใจ คาดการณ์ สื่อสารกับมนุษย์ ในบางกรณีอาจไปถึงขั้น เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง” กล่าวโดยสรุปให้เข้าใจง่ายๆอีกที เทคโนโลยี AI หรือปัญญาประดิษฐ์คือการพัฒนา ระบบคอมพิวเตอร์ให้สามารถท างานได้เหมือนมนุษย์นั่นเอง


ประเภทของเทคโนโลยี AI และตัวอย่าง การใช้งานทางธุรกิจ จากข้อมูลการศึกษาของ Harvard Business Review หากมองเทคโนโลยี AI ในมุมของการน า AI มาเพิ่มช่วยขีดความสามารถของธุรกิจ AI หรือปัญญาประดิษฐ์สามารถ ช่วยตอบโจทย์ธุรกิจได้ใน 3 ประเด็นหลักๆ ดังต่อไปนี้ ท าให้กระบวนการในท างานบางอย่างเป็น รูปแบบอัตโนมัติ ได้ข้อมูลเชิงลึกจากการวิเคราะห์ข้อมูล และช่วยสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า และพนักงานภายในองค์กร และหากจะแบ่งประเภทของ AI ที่ประยุกต์ใช้กับธุรกิจ แบ่งได้เป็น 3 ประเภท ดังต่อไปนี้ 1. Process automation เป็นประเภทของ AI ที่สามารถพบเจอได้มากที่สุดในการน า AI ไปใช้ในภาคธุรกิจ โดยการน า ระบบ automation มาใช้ในการท างานทั้งในรูปแบบที่เป็นแบบดิจิทัล และเอกสารจับต้อง ได้ กับงานที่เป็น Back-office และกิจกรรมทางการเงิน ผ่านทางระบบ Intelligent Document Processing หรือการประมวลผลเอกสารอัจฉริยะ ที่น าเทคโนโลยี AI มา ใช้งานร่วมกับเทคโนโลยี OCR (Optical Character Recognition) และ Robotic Process Automation หรือ RPA เป็นการใช้โปรแกรม AI ที่ท างาน เหมือนมนุษย์ในการป้อนข้อมูล และสามารถอ่านข้อมูลจากหลายๆระบบ และสามารถส่งข้อมูล กลับไปยังระบบขององค์กรได้ผ่านการเชื่อมต่อ API ช่วยประหยัดเวลาในการท างาน และลด ข้อผิดพลาดจากการกรอกข้อมูลได้เป็นอย่างมาก 2.Cognitive Insight การใช้ Algorithms ในการหารูปแบบจากข้อมูลจ านวนมาก และสามารถแปลความหมาย จากข้อมูลเหล่านั้นได้ ท าหน้าที่เปรียบเสมือน “นักวิเคราะห์ผู้เชี่ยวชาญ” 3.Cognitive Engagement ประยุกต์ใช้กับโปรเจคที่ต้องการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า หรือพนักงานในองค์กร โดยใช้แช ทบอท หรือผู้ช่วยอัจฉริยะ


ประโยชน์ที่ธุรกิจจะได้รับจากการน า เทคโนโลยี AI มาใช้กับธุรกิจ เทคโนโลยี AI มีประโยชน์กับธุรกิจในหลากหลายด้าน ขึ้นอยู่กับโจทย์ของแต่ละธุรกิจว่า ต้องการน าระบบ AI ไปช่วยพัฒนาธุรกิจในด้านใด อ้างอิงข้อมูลจาก Accenture ได้สรุปเกี่ยว ประโยชน์ของเทคโนโลยี AI ไว้ดังต่อไปนี้ • เพิ่มประสิทธิภาพการท างานได้ตั้งแต่ต้นจนจบ (End-to-End) : ระบบ AI ช่วยลด ความขัดแย้ง และพัฒนาเรื่องการวิเคราะห์ข้อมูล รวมถึงการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ สูงสุด ส่งผลท าให้สามารถลดค่าใช้จ่ายภายในองค์กรได้อย่างมหาศาล นอกจากนั้นเทคโนโลยี AI ยังช่วยให้กระบวนการท างานเดิมที่มีความซับซ้อนสามารถท างานได้แบบอัตโนมัติ และช่วยลด เวลาที่เครื่องจักรไม่ท างานด้วยการคาดการณ์ความต้องการในซ่อมแซมเครื่องจักรได้แบบล่วงหน้า • เพิ่มระดับความแม่นย า และยกระดับการตัดสินใจ : เทคโนโลยี AI ช่วยท าให้มนุษย์ฉลาด มากยิ่งขึ้นด้วยข้อมูลการวิเคราะห์ที่สมบูรณ์ และความสามารถในการคาดการณ์รูปแบบแพทเทิร์น ต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ที่ท าให้การตัดสินใจของพนักงานมีคุณภาพ ประสิทธิภาพ และ ความคิดสร้างสรรค์ได้ดียิ่งขึ้น • โดดเด่นในเรื่องความอัจฉริยะ : เพราะคอมพิวเตอร์คิดแตกต่างจากมนุษย์ คอมพิวเตอร์ สามารถเติมเต็มช่องว่าง และโอกาสที่มีอยู่ในตลาดได้อย่างรวดเร็ว ท าให้ธุรกิจสามารถน าเสนอ สินค้า และบริการ รวมถึงช่องทางการขายใหม่ๆ ด้วยรูปแบบธุรกิจที่มีการปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ที่แต่เดิมไม่สามารถท าได้ • เพิ่มประสิทธิภาพในการท างานให้กับพนักงาน : AI ช่วยเข้ามาจัดการงานที่ต้องท าในรูป แบบเดิมๆ และต้องท าแบบซ ้าๆได้ ท าให้พนักงานมีเวลาโฟกัสกับงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ มากยิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนรูปแบบวิธีการท างานของพนักงาน และสนับสนุนให้พนักงานมี บทบาทในการท าให้ธุรกิจเติบโตมากยิ่งขึ้น AI ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการ ท างาน การน าเทคโนโลยี AI มาใช้ช่วยค้นพบศักยภาพอันน่าทึ่งที่มีอยู่ในตัวของพนักงานที่ไม่ได้มี ร่างกายสมบูรณ์ 100% ในขณะเดียวกัน AI ช่วยท าให้พนักงานทุกคนท างานได้อย่างสมบูรณ์มาก ยิ่งขึ้น


ประโยชน์ที่ธุรกิจจะได้รับจากการน า เทคโนโลยี AI มาใช้กับธุรกิจ • ส่งมอบประสบการณ์ที่แตกต่างให้กับลูกค้า : ด้วยเทคโนโลยี Machine learning ที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องท าให้ได้ข้อมูล Insight ของลูกค้าแบบครบลูป 360 องศา ส่งผลท าให้ธุรกิจสามารถน าเสนอสินค้า และบริการแบบ Hyper personalization ได้ เริ่มตั้งแต่แชทบอทที่ให้บริการได้อย่างรวดเร็วแบบ 24 ชั่วโมง ธุรกิจสามารถใช้เทคโนโลยี AI ใน การให้ข้อมูลลูกค้าได้แบบเรียลไทม์ และส่งมอบประสบการณ์ที่ประทับใจให้กับลูกค้า ท าให้ธุรกิจ เติบโต และรักษาฐานลูกค้าให้มาใช้บริการได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงยกระดับความพึงพอใจของ ลูกค้าในภาพรวมได้อีกด้วย AI ถูกจ าแนกเป็น 3 ระดับตาม ความสามารถ ดังนี้ 1. ปัญญาประดิษฐ์เชิงแคบ (Narrow AI ) หรือ ปัญญาประดิษฐ์แบบอ่อน (Weak AI) : คือ AI ที่มีความสามารถเฉพาะทางได้ดีกว่ามนุษย์ (เป็นที่มาของค าว่า Narrow (แคบ) ก็คือ AI ที่เก่งในเรื่องเเคบ ๆ หรือเรื่องเฉพาะทางนั่นเอง) อาทิเช่น AI ที่ ช่วยในการผ่าตัด (AI-assisted robotic surgery) ที่อาจจะเชี่ยวชาญเรื่องการ ผ่าตัดกว่าคุณหมอยุคปัจจุบัน แต่แน่นอนว่า AI ตัวนี้ไม่สามารถที่จะท าอาหาร ร้องเพลง หรือท าสิ่งอื่นที่นอกเหนือจากการผ่าตัดได้นั่นเอง ซึ่งผลงานวิจัยด้าน AI ณ ปัจจุบัน ยังอยู่ที่ ระดับนี้ 2. ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (General AI ) : คือ AI ที่มีความสามารถระดับเดียวกับ มนุษย์ สามารถท าทุกๆ อย่างที่มนุษย์ท าได้และได้ประสิทธิภาพที่ใกล้เคียงกับมนุษย์ 3. ปัญญาประดิษฐ์แบบเข้ม (Strong AI ) : คือ AI ที่มีความสามารถเหนือมนุษย์ ในหลายๆ ด้าน จะเห็นได้ว่าวิทยาการของมนุษย์ปัจจุบันอยู่ที่จุดเริ่มต้นของ AI เพียงเท่านั้น


เทคโนโลยี AI ตัวช่วยส าคัญของนัก บัญชียุคใหม่ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทกับการท าธุรกิจในปัจจุบันเป็นอย่างมาก เห็นได้จากที่องค์กร หรือธุรกิจทั้งขนาดเล็ก และขนาดใหญ่หลายๆที่มาให้ส าคัญกับเรื่อง Digital transformation เพื่อน าเทคโนโลยีมาใช้ภายในองค์กร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ในการท างาน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจ หนึ่งในเทคโนโลยีที่ก าลังเป็น ที่นิยมเป็นอย่างมากจากธุรกิจหลากหลายประเภท คือเทคโนโลยี AI โดย AI มีความโดดเด่น ในเรื่องของการท างานแบบซ ้าๆ ได้อย่างรวดเร็ว และท าได้แบบอัตโนมัติ ช่วยประหยัดเวลาใน การท างาน และลดความผิดพลาดในการท างาน ท าให้พนักงานมีเวลาท างานที่ต้องการ ความคิดสร้างสรรค์ได้มากขึ้น ซึ่งส่งผลท าให้ประสิทธิภาพในการท างานโดยภาพรวมขององค์กร ดีขึ้นอีกด้วย นอกจากนั้น AI เองได้เข้ามามีบทบาทกับฟังก์ชั่นการท างานในธุรกิจเช่นกัน ตั้งแต่ หน่วยงานผลิต การขาย การตลาด การบุคคล การบริการลูกค้า จนถึงบัญชี และการเงิน แต่ ไม่ได้มาเพื่อใช้ในการทดแทนคน แต่เป็นการมาช่วยท าให้พนักงานสามารถท างานได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในหน่วยงานบัญชีเองนั้นที่หลายคนกลัวงานที่ต้องท าแบบซ ้าๆ และหน้าที่งานบัญชี ทั่วไป เช่น การบันทึกบัญชี และการแยกประเภทบัญชีจะกลายเป็นงานที่ท าได้แบบอัตโนมัตินั้น จริงๆแล้วผลกระทบของการน า AI มาใช้กับงานบัญชีทั้งในปัจจุบันและอนาคตนั้นจะเป็นใน รูปแบบของการยกระดับประสิทธิภาพในการท างานให้กับนักบัญชีมากกว่าที่จะน า AI มาใช้ ทดแทนพนักงานที่มีอยู่ แล้ว AI มีบทบาทอย่างไรกับนักบัญชี และการท าบัญชีในปัจจุบัน AI GEN มีค าตอบให้ในบทความนี้


บทบาทของ AI ส าหรับงานทางด้าน บัญชีและการเงิน เทคโนโลยีได้เข้ามาก าหนดรูปแบบของอุตสาหกรรมในยุค 4.0 ในทุกๆด้านด้วยการ ตอบสนองที่ชาญฉลาดต่อความคาดหวังที่เปลี่ยนแปลงไปทั้งของลูกค้า ผู้ผลิต ผู้ขาย และพาร์ท เนอร์ ระบบอัตโนมัติ หรือ Automation ท าให้สามารถลดเวลาในการท างานของพนักงาน ลดได้ถึง 80-90% จากเดิมที่ต้องใช้พนักงานในการท าหน้าที่งานที่ต้องท าแบบเดิม ๆซ ้า ๆ อีกทั้ง ยังช่วยยกระดับคุณภาพของงาน และลดความผิดพลาดในการท างานที่เกิดจากคนได้อีกด้วย เกือบทุกหน้าที่ของงานบัญชีและการเงิน ไม่ว่าจะเป็นบัญชีเงินเดือน ภาษี ธนาคาร และ การตรวจสอบบัญชีนั้นสามารถท าได้แบบอัตโนมัติด้วยระบบ AI ถือเป็นการสร้างการ เปลี่ยนแปลงในสายงานทางด้านบัญชี และขั้นตอนในการด าเนินธุรกิจ • AI เพิ่มประสิทธิภาพในการท างาน และยกระดับคุณภาพของงาน อีกทั้งยังมีความ โปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ • AI จัดเตรียมโอกาสที่หลากหลายให้กับธุรกิจ และลดความรับผิดชอบในงานรูป แบบเดิมที่ต้องใช้เวลาในการท าค่อนข้างมากของทีมบัญชีและการเงิน เพื่อให้ทีมบัฯชีและ การเงินมีเวลามากขึ้นในการค้นหาช่องทางการท าให้ธุรกิจเติบโต • AI ช่วยคาดการณ์ข้อมูลทางการเงินได้อย่างแม่นย า ด้วยความสามารถของ Machine learning ท าให้ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการเงินสามารถคาดการณ์เทรนด์ใน อนาคตได้จากข้อมูลในอดีตที่มีอยู่ AI เหมาะเป็นอย่างมากกับงานที่ต้องแบบเดิมซ ้าๆไปมา เช่น การอัพโหลดไฟล์ การจ่ายเงินเดือน การตรวจสอบ และอื่นๆ อีกทั้งระบบ AI ยังสามารถท างานได้อย่างดีเยี่ยม ส าหรับการรวบรวม และจัดประเภทของข้อมูลที่มีอยู่เป็นจ านวนมาก ด้วยความสามารถที่โดด เด่นของ AI ในหน้าที่เหล่านี้ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการท างานได้เป็นอย่างมากให้กับนัก บัญชี และการเงิน ท าให้นักบัญชี และการเงินมีเวลาที่จะโฟกัสกับงานทางด้านการวิเคราะห์ และความสร้างสรรค์มากขึ้น เมื่อคุณมีสิ่งเพิ่มเติมที่ต้องท ามากมายจนคุณอยากจะมีมือวิเศษ มาช่วย AI จะเป็นมือวิเศษให้คุณที่จะช่วยมาจัดการงานเหล่านี้ให้แล้วเสร็จได้อย่างรวดเร็ว และแม่นย า


เตรียมพร้อมกับความส าเร็จในอนาคต ด้วยการน า AI มาใช้ในการท าบัญชี และ การเงิน ด้วยความก้าวหน้าของซอฟต์แวร์ AI ท าให้ส่งผลกระทบกับพนักงานออฟฟิ ซใน หลากหลายฟังก์ชั่นงานรวมถึงงานทางด้านบัญชีด้วยเช่นกัน โดยคุณ Till Leopold ได้ กล่าวไว้ในงาน World Economic Forum’s Global Challenge Initiative on Employment, Skills and Human Capital ว่า “คาดการณ์ว่า 35% ของทักษะในการท างานจะแตกต่างไปในอนาคตเป็ นผลมาจาก เทคโนโลยี AI” การพัฒนาของเทคโนโลยี AI และการน าไปใช้งานได้เปลี่ยนแปลงบทบาท ของงานทางด้านบัญชีอย่างรวดเร็ว และจะส่งผลกระทบกับอาชีพทางด้านบัญชีทั้งในปัจจุบัน และในอนาคตอันใกล้นี้ ผลก็คือนักบัญชีเองนั้นจะต้องเพิ่มทักษะ หรือ skills และ ความสามารถใหม่ๆให้กับตัวเองเพื่อที่จะตามเทคโนโลยีให้ทัน และสามารถเป็นที่ปรึกษา ให้กับลูกค้าในเรื่องการน าเครื่องมือ หรือโปรแกรม AI มาใช้ในการบัญชีได้ การที่นักบัญชีจะกลายมาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการให้ค าปรึกษากับทั้งการท า บัญชีในบริษัทเอง หรือให้ค าปรึกษากับลูกค้าที่มาว่าจ้างให้ท าบัญชีให้นั้น นักบัญชีเองจ าเป็น จะต้องมีความรู้ในทั้งสองด้านนี้ อันแรกนักบัญชีจ าเป็นต้องเรียนรู้ว่า AI เข้ามาเปลี่ยนวิธีใน การจัดการข้อมูลทางการเงินอย่างไร ตั้งแต่การดึงข้อมูล การจัดการข้อมูล จนถึงการท า รายงาน อันดับที่สองที่นักบัญชีต้องรู้คือนักบัญชีจ าเป็นต้องพัฒนา Soft skill บางอย่างที่ เกี่ยวข้องกับ AI เพื่อที่นักบัญชีจะสามารถสร้างความสัมพันธ์ในระยะยาวกับลูกค้า และ สามารถแนะน าการตัดสินใจทางการเงินที่ซับซ้อนได้


ค าถามยอดฮิต! นักบัญชีจะตกงาน หรือไม่? ถ้าถามผมว่านักบัญชีจะตกงานหรือไม่? ผมขอตอบว่าถ้าคุณเป็นนักบัญชีที่ท างานแค่ ป้อนข้อมูลเพียงอย่างเดียว โอกาสตกงานย่อมมีสูง เพราะจุดนี้มีเครื่องมือเข้ามาแทนที่อยู่ นานแล้ว แต่ถ้าคุณเป็นนักบัญชีที่เรียนรู้เทคโนโลยีได้เท่าทัน และมีความรู้ความเข้าใจมาก พอจะรับมือได้คุณก็ได้ไปต่อ เพราะคุณสามารถวิเคราะห์ข้อมูลให้กับผู้ใช้ได้ จัดการระบบ ควบคุม ตรวจสอบ ท าให้กิจการของลูกค้าสามารถด าเนินธุรกิจไปได้อย่างราบรื่น หากคุณมี ทักษะด้านนี้ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะตกงานหรือตามเขาไม่ทัน ต้องเล่าก่อนว่าเทคโนโลยีส่วนใหญ่เน้นการจัดการเฉพาะจุด เช่น ช่วยในการ ช าระเงิน ช่วยรักษาความปลอดภัย แต่หากเป็นเทคโนโลยีแบบครอบคลุมทั้งกิจการนั้นยัง ไม่ใช่ระยะเวลาใกล้ๆ นี้แน่ หากคุณเข้าใจจุดนี้คุณก็สามารถวางตัวเองหรือปรับตัวให้อยู่ได้ ถูกที่ถูกจุด สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือ เราท าบัญชีแบบดิจิตอลมาตั้งแต่มีคอมพิวเตอร์และมี โปรแกรมบัญชีแล้ว แต่ยังคงใช้นักบัญชีท างานอยู่ เจ้าหน้าที่บางคนถูกเทคโนโลยีแย่งงานมา นานแล้ว ยกตัวอย่างเช่น เจ้าหน้าที่รับจ่ายเงินของธนาคารที่ถูกเครื่อง ATM เข้ามาแย่งงาน เจ้าหน้าที่เก็บค่าทางด่วนที่มีการใช้ระบบ RFID จัดเก็บค่าทางด่วนพวก ชื่อ Pass ต่างๆ เข้ามาบันทึกรายรับแทน ต่อไปเราก็คงต้องเจอกับเครื่องมือที่จะคิดเงินค่าสินค้าแทนแคชเชียร์ จะเห็นได้ว่า งานที่ถูกเครื่องมือเข้ามาแทนที่มักเป็นงานที่ท าหน้าที่ซ ้าๆ มี ความซับซ้อนต ่าเป็นส่วนใหญ่ นักบัญชีซึ่งเป็นมนุษย์จึงยังพอมีเวลาปรับตัวเพื่อเพิ่มพูน ความรู้ให้มีศักยภาพสูงกว่าเครื่องมือเพื่อจะได้ไม่ตกงานกัน


ปรับตัวกันยังไงให้ต าแหน่งงานไม่ สั่นคลอน ขอแนะน าว่าในการเตรียมตัวนั้น อย่าไปคิดว่าเครื่องมือต่างๆ เป็นของไกลตัวเลยครับ บาง คนอาจจินตนาการไปว่า หากให้ปรับตัวค้นหาค าตอบจากข้อมูล ก็ต้องพึ่งเครื่องไม้เครื่องมือหรือ เทคโนโลยีสิ! ซึ่งสิ่งเหล่านั้นก็คงจะซับซ้อนจนยากที่จะเข้าใจ อันนี้ไม่จริงแน่ ๆ ดูง่ายๆ อย่างโปรแกรม Excel ที่นักบัญชีทุกคนในยุคนี้ต้องเคยสัมผัส ก็เป็น โปรแกรมหนึ่งซึ่งมีเครื่องมือให้ใช้งานมากมาย ล้วนแต่เป็ นประโยชน์ในการตรวจสอ บและ วิเคราะห์ข้อมูลทั้งสิ้น อยู่ที่ว่าจะพยายาม จะยอมลงทุนบ้างที่จะพัฒนาตนเองหรือเปล่า หรือ เครื่องมืออย่างโปรแกรม Access ก็มีประโยชน์มากเช่นกัน ถ้าลองศึกษา ลองหาคอร์สเรียนดู และได้ลองใช้แล้วจะพบว่าเป็นประโยชน์ ช่วยงานได้มากขึ้น นี่ ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของการเตรียมตัวโดยใช้เครื่องมือที่จริงๆ แล้วอยู่ใกล้ตัว แต่หลายคนอาจเคย มองข้ามไป ทั้งที่สิ่งเหล่านี้ได้ทักษะไม่น้อย ทั้งการฝึกคิด ฝึกวิเคราะห์ ฝึกใช้เครื่องมือนี้ อย่าไปคิด ว่าถ้าเครื่องมือเปลี่ยนไปมันจะใช้ไม่ได้ ความคิด ประสบการณ์ เป็นสิ่งที่จะอยู่ติดตัวนักบัญชีไป เมื่อเครื่องมือเปลี่ยน คุณจะสามารถปรับตัวได้โดยง่าย บางทีต้องปรับน้อยกว่าที่คิด ยิ่งงานบัญชีในกิจการขนาดใหญ่นั้นมักมีความซับซ้อนมากกว่า ไม่ใช่แค่ท างบ การเงิน ยื่นภาษีแล้วจบ การวิเคราะห์ข้อมูล ตอบค าถาม และให้ข้อมูลแก่ผู้ใช้ ทั้งฝ่ ายปฏิบัติและ ผู้บริหาร เป็นสิ่งที่ต้องอาศัยทักษะ ประสบการณ์ตรง ดังนั้นนักบัญชียุคนี้จึงมีสามข้อให้เรียนรู้ และจดจ า หนึ่งคือต้องเรียนรู้เทคโนโลยีต่างๆ ให้มาก สองต้องอย่าลืมเพิ่มทักษะการใช้เครื่องมือ ต่างๆ ให้เป็น สามฝึกฝนทักษะการตรวจสอบข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล หาค าตอบ ค าแนะน า ที่นักบัญชีควรท าให้กับกิจการได้ หากท าได้สามข้อนี้เราก็จะใช้เทคโนโลยี เป็นเครื่องมือของเรา แบบนี้ก็ยังไม่ต้องกลัวตกงานครับ ถ้าวันหน้ามีความเปลี่ยนแปลงอื่นที่ ชัดเจน เราค่อยมาพิจารณากันตามเหตุตามผลและตามระดับของการเปลี่ยนแปลง เอาเป็นว่าไม่ต้องตกใจแต่ก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อม นอกจากจะไม่ต้องกลัวตกงาน แล้ว ทักษะสามข้อนี้ยังจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มแก่องค์กรในบทบาทหน้าที่ของตน และเป็น หนทางสร้างความก้าวหน้าหรือมั่นคงในอาชีพให้กับนักบัญชีได้อย่างดีด้วยครับ ตั้งสติแล้วก้าว ต่อไป


5 ข้อ ที่นักบัญชียุคใหม่ต้องปรับตัวกับ AI ในยุคที่โลกมีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบโดยตรงกับวิถีชีวิต การ ปรับตัวทางเศรษฐกิจ ท าให้บทบาทของนักบัญชี และผู้ประกอบการเปลี่ยนแปลงไป การปรับตัวของนักบัญชี ยุคใหม่ ประกอบด้วย 5ข้อ ดังนี้ 1. พัฒนาตัวเอง มีความรู้ ความสามารถรอบด้าน ฉลาดคิดวิเคราะห์ รู้ทันสถานการณ์ 2. น าเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการจัดท าบัญชี วิเคราะห์ ตรวจจับความผิดปกติของข้อมูล 3. ปรับบทบาทสู่การเป็นคู่คิดให้ซีอีโอ สามารถคิดวิเคราะห์ แยกแยะ สามารถน าข้อมูลที่มีอยู่ สรุปรายงานให้ผู้บริหารเห็นภาพ เพื่อประกอบการตัดสินใจได้ทันต่อเหตุการณ์ 4. ติดตามข่าวสารใหม่ๆ ในโลกการเงิน เพราะประเทศมหาอ านาจให้ความสนใจและพัฒนา สกุลเงินดิจิทัล นักบัญชีจึงต้องวิเคราะห์และรู้ถึงการบริหารจัดการที่ดี 5. ความคิดสร้างสรรค์ การริเริ่มความคิดนอกกรอบ โดยฝึกคิดหาค าตอบแบบนักออกแบบ “ผู้บริหารยุคปัจจุบัน” คาดหวังให้นักบัญชีเพิ่มบทบาทจากความรับผิดชอบการจัดท าบัญชีไปสู่ การเพิ่มคุณค่าให้องค์กรมากยิ่งขึ้นในการขยายธุรกิจหรือการสร้างประสิทธิภาพ ช่วยวางแผน ภาษีอากรซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและช่วยลดต้นทุนทางธุรกิจ ภายใต้เงื่อนไขที่ถูกต้องตาม กฎหมาย


Click to View FlipBook Version