๑
บทสวดมหาสมัยสูตร
(เริ่มตน้ สวดบชู าพระรัตนตรัยและอาราธนาศีล ๕)
๑. คำอำรำธนำศีล ๕
มะยงั ภันเต วิสุง วสิ ุง รักขะนัตถายะ
ตสิ ะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ
ทุตยิ ัมปิ มะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะนัตถายะ
ตสิ ะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ
ตะตยิ ัมปิ มะยงั ภันเต วิสุง วิสุง รักขะนัตถายะ
ตสิ ะระเณนะ สะหะ ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ
๒.บทไตรสรณะคม
(พระสงฆใ์ หไ้ ตรสรณะคมนแ์ ละศีลหา้ สาธุชนวา่ ตาม)
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพทุ ธัสสะ ( 3 จบ)
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมงั สะระณัง คจั ฉามิ สงั ฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุตยิ มั ปิ พุทธัง สะระณัง คจั ฉามิ
ทตุ ยิ มั ปิ ธัมมัง สะระณัง คจั ฉามิ
ทตุ ยิ มั ปิ สังฆงั สะระณัง คจั ฉามิ
ตะตยิ ัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะตยิ ัมปิ ธัมมัง สะระณัง คจั ฉามิ
ตะตยิ มั ปิ สังฆัง สะระณัง คจั ฉามิ
๑. ปาณาตปิ าตา เวระมณี สิกขาปะทงั สะมาทยิ ามิ
๒. อทินนาทานา เวระมณี สิกขาปะทัง สะมาทยิ ามิ
๓. กาเมสุมิจฉาจารา เวระมณี สกิ ขาปะทงั สะมาทยิ ามิ
๔. มุสาวาทา เวระมณี สกิ ขาปะทัง สะมาทยิ ามิ
๕. สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สกิ ขาปะทัง สะมาทยิ ามิ
๒
๓. บทอาราธนาพระปริตร (ดูคาแปลหนา้ )
วิปัตตปิ ะฏิพาหายะ สัพพะสมั ปัตติ สทิ ธยิ า
สัพพะทกุ ขะวินาสายะ ปะรติ ตัง พรูถะ มงั คะลัง
สพั พะสัมปัตติ สิทธิยา
วปิ ัตตปิ ะฏิพาหายะ ปะริตตัง พรูถะ มังคะลงั
สัพพะภะยะ วินาสายะ สัพพะสัมปัตติ สิทธยิ า
ปะรติ ตัง พรูถะ มังคะลัง
วปิ ัตตปิ ะฏิพาหายะ
สัพพะโรคะวินาสายะ
บทชุมนุมเทวดาแปล
ขออญั เชิญเหล่าเทพเจา้ ท้งั หลาย ซ่ึงสถิตอยูโ่ ดยรอบจกั รวาฬ ในสวรรคช้นั กามภพก็ดี รูปภพก็ดี
และ ภุมมเทวดา ซ่ึงสถิตอยู่ในวิมาน หรือ ยอดภูเขา ในหุบผา ในอากาศ ในเกาะ ในแว่นแควน้ ในบา้ น
ในต้นไม้ ในป่ าชัฎ ในเรือน และในไร่นาก็ดี ตลอดถึงยกั ษ์ คนธรรพ์ นาคราชท้ังหลาย ซ่ึงสถิตอยู่ในน้า
หรือ บนบก และ ท่ีอนั ไม่ราบเรียบก็ดี อยใู่ นที่ใกลเ้ คียงก็ดี โปรดมาประชุมพร้อมกนั ณ ที่น้ี เพ่ือฟังคา
สอนอนั ประเสริฐ ของพระมุนีสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ขอเชิญทา่ นท้งั หลาย โปรดสดบั ฟังคาของขา้ พเจา้
ดูก่อน ท่านผเู้ จริญท้งั หลาย เวลาน้ี เป็นเวลาฟังธรรม
ดูก่อน ท่านผเู้ จริญท้งั หลาย เวลาน้ี เป็นเวลาฟังธรรม
ดูก่อน ทา่ นผเู้ จริญท้งั หลาย เวลาน้ี เป็นเวลาฟังธรรม
๔. บทชุมนุมเทวดา
สะมนั ตา จักกะวาเฬสุ อัตราคจั ฉันตุ เทวะตา
สัทธัมมงั มุนริ าชสั สะ สุณันตุ สัคคะโมกขะทัง
สัคเค กาเม จะ รูเป คริ สิ ขิ ะระตะเฏ จนั ตะลิกเข วมิ าเน
ทเี ป รัฏเฐ จะ คาเม ตะรุวะนะคะหะเน เคหะวัตถุมหิ เขตเต
ภมุ มา จายนั ตุ เทวา ชะละถะละวิสะ เม ยักขะคันธัพพะ นาคา
ตฏิ ฐันตา สนั ตเิ ก ยงั มุนิวะระวะจะนัง สาธะโว เม สุณันตุ
ธัมมัสสะวะนะกาโล อะยมั ภะทนั ตา
ธัมมสั สะวะนะกาโล อะยมั ภะทนั ตา
ธัมมสั สะวะนะกาโล อะยัมภะทนั ตา
๓
๕.ปุพพะภาคะนะมะการะปริตร
(สวดทำนองสงั โยคหรอื สวดติดต่อกนั เพ่อื นอบนอ้ มพระสมั มำสมั พทุ ธเจำ้ )
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มา สมั พทุ ธัสสะ (3 จบ)
๖. ติสะระณะปริตร
(สวดเพ่อื ระลกึ ถึงคณุ พระรตั นตรยั ใหอ้ ำยยุ นื ยำว)
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมงั สะระณัง คจั ฉามิ
สงั ฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุตยิ มั ปิ พทุ ธัง สะระณัง คัจฉามิ
ทตุ ยิ มั ปิ ธัมมงั สะระณัง คัจฉามิ
ทุตยิ มั ปิ สงั ฆงั สะระณัง คัจฉามิ
ตะตยิ มั ปิ พุทธัง สะระณัง คจั ฉามิ
ตะตยิ ัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะตยิ มั ปิ สงั ฆัง สะระณัง คัจฉามิ
พทุ ธัง ชวี ิตัง อายุวฑั ฒะนัง ยาวะ นิพพานัง สะระณัง คจั ฉามิ
ธัมมงั ชีวิตงั อายวุ ฑั ฒะนัง ยาวะ นิพพานัง สะระณัง คจั ฉามิ
สงั ฆงั ชีวิตงั อายุวัฑฒะนัง ยาวะ นิพพานัง สะระณัง คจั ฉามิ
ทุตยิ มั ปิ พุทธัง ชวี ติ งั อายวุ ัฑฒะนัง ยาวะ นิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ
ทตุ ยิ มั ปิ ธัมมงั ชวี ติ ัง อายุวัฑฒะนัง ยาวะ นิพพานัง สะระณัง คจั ฉามิ
ทตุ ยิ มั ปิ สงั ฆงั ชีวิตงั อายุวฑั ฒะนัง ยาวะ นิพพานัง สะระณัง คจั ฉามิ
ตะตยิ ัมปิ พทุ ธัง ชีวิตัง อายุวัฑฒะนัง ยาวะ นิพพานัง สะระณัง คจั ฉามิ
ตะตยิ มั ปิ ธัมมัง ชีวติ ัง อายุวัฑฒะนัง ยาวะ นิพพานัง สะระณัง คจั ฉามิ
ตะตยิ มั ปิ สังฆัง ชีวิตงั อายุวัฑฒะนัง ยาวะ นิพพานัง สะระณัง คจั ฉามิ
๔
๗. บทสวดอฏั ฐทสิ าอรหนั ตา
(สวดเพ่อื นมสั กำรพระอรหนั ตท์ ง้ั แปดใหพ้ น้ ภยั ทงั้ แปดทศิ )
สัมพุทโธ ทปิ ะทงั เสฏโฐ นิสินโน เจวะ มัชฌิเม
โกณฑญั โญ ปพุ พะภาเค จะ อาคะเณยเย จะ กัสสะโป
สารีปุตโต จะ ทักขเิ ณ หะระตเิ ย อุปาลี จะ
ปัจฉิเมปิ จะ อานันโท พายพั เพ จะ ควัมปะติ
อสิ าเณปิ จะ ราหุโล
โมคคัลลาโน จะ อตุ ตะเร สัพเพ อิธะ ปะตฏิ ฐิตา
อิเม โข มงั คลาพุทธา สักกาเรหิ จะ ปชู ติ า
วนั ทติ า เต จะ อมั เหหิ สัพพะโสตถี ภะวันตุ โน
เอเตสัง อานุภาเวนะ ตะนะมัสสะเนยยงั
ระตะนัตตะยงั ยงั
อิจเจวะมจั จัน วปิ ุลงั อะลัตถงั
นะมัสสะมาโน นะหะตันตะราโย ฯ
ปญุ ญาภสิ ันทงั
ตัสสานุภาเว
๘. บทสวดมหาสมัยสูตร
(สวดเพ่อื เป็นท่รี กั ท่ีชอบใจของเทวดำและมนษุ ยท์ ง้ั หลำย)
เอวัมเม สุตัง เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สักเกสุ วิหะระติ กะปิ ละวัตถุ
สมงิ มะหาวะเน มะหะตา ภกิ ขุสงั เฆนะ สทั ธิง ปัญจะมัตเตหิ ภกิ ขุสะเตหิ
สัพเพเหวะ อะระหันเตหิ ทะสะหิ จะ โลกะธาตูหิ เทวะตา เยภุยเยนะ สัน
นิปะติตา โหนติ ภะคะวันตัง ทัสสะนายะ ภิกขุสังฆัญจะ อะถะโข จะตุนนัง
สุทธาวาสะกายกิ านัง เทวานัง เอตะทะโหสิ
อะยังโข ภะคะวา สักเกสุ วิหะระติ กะปิ ละวัตถุสมิง มะหาวะเน มะหะ
ตา ภิกขุสังเฆนะ สัทธิง ปัญจะมัตเตหิ ภิกขุสะเตหิ สัพเพเหวะ อะระหัน
เตหิ ทะสะหิ จะ โลกะธาตหู ิ เทวะตา เยภุยเยนะ
๕
สันนิปะติตา โหนติ ภะคะวันตัง ทัสสะนายะ ภิกขุสังฆัญ จะ ยันนูนะ
มะยัมปิ เยนะ ภะคะวา เตนุปะสังกะเมยยามะ อุปะสังกะมิตวา ภะคะวะโต
สันตเิ ก ปัจเจกะคาถัง ภาเสยยามาติ
อะถะโข ตา เทวะตา เสยยะถาปิ นามะ พะละวา ปุริโส สัมมิญชิตัง วา
พาหัง ปะสาเรยยะ ปะสาริตัง วา พาหัง สัมมิญเชยยะ เอวะเมวะ สุทธาวา
เสสุ เทเวสุ อนั ตะระหติ า ภะคะวะโต ปุระโต ปาตุระหงั สุ
อะถะโข ตา เทวะตา ภะคะวันตัง อะภวิ าเทตวา เอกะมันตัง อัฏฐังสุ เอกะ
มันตัง ฐิตา โข เอกา เทวะตา ภะคะวะโต สันติเก อิมัง คาถัง อะภาสิ
มะหาสะมะโย ปะวะนัสมิง เทวะกายา สะมาคะตา อาคะตัมหะ อิมัง ธัมมะสะ
มะยงั ทักขิตาเยวะ อะปะราชิตะสงั ฆันติ
อะถะโข อะปะรา เทวะตา ภะคะวะโต สันติเก อมิ ัง คาถัง อะภาสติ ัตระ
ภิกขะโว สะมาทะหังสุ จิตตัง อัตตะโน อุชุกะมะกังสุ สาระถีวะ เนตตานิ
คะเหตวา อนิ ทรยิ านิ รักขนั ติ ปัณฑิตาติ
อะถะโข อะปะรา เทวะตา ภะคะวะโต สันติเก อิมัง คาถัง อะภาสิ
เฉตวา ขีลัง เฉตวา ปะลีฆัง อินทะขีลัง โอหัจจะมะเนชา เต จะรันติ สุทธา
วมิ ะลา จกั ขุมะตา สุทันตา สุสู นาคาติ
อะถะโข อะปะรา เทวะตา ภะคะวะโต สันตเิ ก อิมัง คาถัง อะภาสิ เย เก
จิ พุทธัง สะระณังคะตา เส นะ เต คะมิสสันติ อะปายะภูมิง ปะหายะ มานุสัง เท
หัง เทวะกายัง ปะรปิ ูเรสสนั ตตี ิ
๖
อะถะโข ภะคะวา ภิกขู อามันเตสิ เยภุยเยนะ ภิกขะเว ทะสะสุ
โลกะธาตูสุ เทวะตา สันนิปะติตา โหนติ ตะถาคะตัง ทัสสะนายะ ภิกขุสังฆัญ
จะ เยปิ เต ภิกขะเว อะเหสุง อะตีตะมัทธานัง อะระหันโต สัมมาสัมพุทธา
เตสัมปิ ภะคะวันตานัง เอตะปะระมาเยวะ เทวะตา สันนิปะติตา อะเหสุง
เสยยะถาปิ มัยหงั เอตะระหิ เยปิ เต ภกิ ขะเว ภะวสิ สนั ติ
อะนาคะตะมัทธานัง อะระหันโต สัมมาสัมพุทธา เตสัมปิ ภะคะวันตานัง
เอตะปะระมาเยวะ เทวะตา สันนิปะติตา ภะวิสสันติ เสยยะถาปิ มัยหัง เอตะระหิ
อาจิกขิสสามิ ภกิ ขะเว เทวะกายานัง นามานิ กิตตะยิสสามิ ภิกขะเว เทวะ
กายานัง นามานิ เทสิสสามิ ภิกขะเว เทวะกายานัง นามานิ ตัง สุณาถะ สาธุกัง
มะนะสิกะโรถะ ภาสสิ สามตี ิ
เอวัมภันเตติ โข เต ภิกขู ภะคะวะโต ปัจจัสโสสุง ภะคะวา เอตะทะโวจะ
สิโลกะมะนุสกัสสามิ ยัตถะ ภุมมา ตะทัสสิตา เย สิตา คิริคัพภะรัง ปะหิตัตตา
สะมาหิตา ปุถู สีหาวะสัลลีนา โลมะหังสาภิสัมภุโน โอทาตะมะนะสา สุทธา
วิปปะสันนะมะนาวิลา ภิยโย ปัญจะสะเต ญัตวา วะเน กาปิ ละวัตถะเว ตะโต
อามันตะยิ สตั ถา สาวะเก สาสะเน ระเต เทวะกายา อะภกิ กันตา เต วชิ านาถะ
ภกิ ขะโว เต จะ อาตัปปะมะกะรุง สัตวา พุทธัสสะ สาสะนัง เตสัมปาตุระหุ
ญาณัง อะมะนุสสานะ ทัสสะนัง อัปเปเก สะตะมัททักขุง สะหัสสัง อะถะ
สัตตะริง สะตัง เอเก สะหัสสานัง อะมะนุสสา นะมัททะสุง อัปเปเก นันตะมัท
ทักขุง ทิสา สัพพา ผุฏา อะหุง ตัญจะ สัพพัง อะภิญญายะ วะวักขิตวานะ จักขุ
มา ตะโต อามันตะยิ
สัตถา สาวะเก สาสะเน ระเต เทวะกายา อะภิกกันตา เต วิชานาถะ
ภกิ ขะโว เย โวหัง กิตตะยิสสามิ คิราหิ อะนุปุพพะโส สัตตะสะหัสสา วะ ยักขา
๗
ภุมมา กาปิ ละวัตถะวา อิทธิมันโต ชุติมันโต วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา
อะภกิ กามุง ภกิ ขูนัง สะมติ งิ วะนัง
ฉะสะหัสสา เหมะวะตา ยักขา นานัตตะวัณณิโน อิทธิมันโต ชุติมันโต
วัณณะวนั โต ยะสสั สโิ น โมทะมานา อะภกิ กามุง ภกิ ขูนัง สะมติ งิ วะนัง สาตาคิรา
ตสิ ะหัสสา ยักขา นานัตตะวัณณิโน อิทธิมันโต ชุติมันโต วัณณะวันโต ยะสัสสิโน
โมทะมานา อะภกิ กามุง ภกิ ขนู ัง สะมติ งิ วะนัง
อิจเจเต โสฬะสะสะหัสสา ยักขา นานัตตะวัณณิโน อิทธิมันโต ชุติมันโต
วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง
เวสสามิตตา ปัญจะสะตา ยักขา นานัตตะวัณณิโน อิทธมิ ันโต ชุติมันโต วัณณะ
วันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง กุมภีโร ราชะ
คะหิโก เวปุลลัสสะ นิเวสะนัง ภิยโย นัง สะตะสะหัสสัง ยักขานัง ปะยิรุปาสะติ
กุมภโี ร ราชะคะหโิ ก โสปาคะ สะมิตงิ วะนัง
ปุริมัณจะ ทิสัง ราชา ธะตะรัฏโฐ ปะสาสติ คันธัพพานัง อาธิปะติ มะหา
ราชา ยะสัสสิ โส ปุตตาปิ ตัสสะ พะหะโว อินทะนามา มะหัพพะลา อิทธิมันโต
ชุติมันโต วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง
วะนัง
ทกั ขณิ ัญจะ ทสิ งั ราชา วิรุฬโห ตัปปะสาสะติ กุมภัณฑานัง อาธิปะติ
มะหาราชา ยะสัสสิ โส ปุตตาปิ ตัสสะ พะหะโว อินทะนามา มะหัพพะลา
อิทธิมันโต ชุติมันโต วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง
สะมติ งิ วะนัง
๘
ปัจฉิมัญจะ ทิสงั ราชา วริ ูปักโข ปะสาสติ นาคานัง อาธิปะติ มะหาราชา
ยะสัสสิ โส ปุตตาปิ ตัสสะ พะหะโว อินทะนามา มะหัพพะลา อิทธิมันโต ชุติมัน
โต วณั ณะวนั โต ยะสสั สิโน โมทะมานา อะภกิ กามุง ภกิ ขนู ัง สะมิตงิ วะนัง
อตุ ตะรัญจะ ทสิ งั ราชา กุเวโร ตปั ปะสาสะติ ยกั ขานัง อาธิปะติ มะหาราชา
ยะสัสสิ โส ปุตตาปิ ตัสสะ พะหะโว อินทะนามา มะหัพพะลา อิทธิมันโต ชุติมัน
โต วัณณะวนั โต ยะสัสสโิ น โมทะมานา อะภกิ กามุง ภกิ ขนู ัง สะมิตงิ วะนัง
ปุริมะทิสัง ธะตะรัฏโฐ ทักขิเณนะ วิรุฬหะโก ปัจฉิเมนะ วิรูปักโข กุเวโร
อุตตะรัง ทิสัง จัตตาโร เต มะหาราชา สะมันตา จะตุโร ทิสา ทัททัลละมานา
อัฏฐังสุ วะเน กาปิ ละวัตถะเว. เตสัง มายาวิโน ทาสา ยาคู วัญจะนิกา สะฐา
มายา กุเฎณฑุ
เวเฏณฑุ วิฏู จะ วิฏุโต สะหะ จันทะโน กามะเสฏโฐ จะ กินนุฆัณฑุ
นิฆัณฑุ จะ ปะนาโท โอปะมัญโญ จะ เทวะสูโต จะ มาตะลิ จิตตะเสโน จะ
คันธัพโพ นะโฬราชา ชะโนสะโภ อาคู ปัญจะสิโข เจวะ ติมพะรู สุริยะวัจฉะสา
เอเต จัญเญ จะ ราชาโน คันธัพพา สะหะ ราชุภิ โมทะมานา อะภกิ กามุง ภกิ ขูนัง
สะมติ งิ วะนัง
อะถาคู นาภะสา นาคา เวสาลา สะหะตัจฉะกา กัมพะลัสสะตะรา อาคู ปายา
คา สะหะ ญาติภิ ยามุนา ธะตะรัฏฐา จะ อาคู นาคา ยะสัสสิโน เอราวัณโณ มะ
หานาโค โสปาคะ สะมิตงิ วะนัง
เย นาคะราเช สะหะสา หะรันติ ทิพพา ทิชา ปักขิ วิสุทธะจักขู เวหายะสา
เต วะนะมัชฌะปัตตา จิตรา สุปัณณา อิติ เตสะ นามัง อะภะยันตะทา นาคะ
๙
ราชานะมาสิ สุปัณณะโต เขมะมะกาสิ พุทโธ สัณหาหิ วาจาหิ อุปะวะหะยันตา
นาคา สุปัณณา สะระณะมะกงั สุ พุทธัง
ชิตา วะชิระหัตเถนะ สะมุททัง อะสุรา สิตา ภาตะโร วาสะวัสเสเต อิทธิมัน
โต ยะสัสสิโน กาละกัญชา มะหาภิสมา อะสุรา ทานะเวฆะสา เวปะจิตติ สุจิตติ
จะ ปะหาราโท นะมุจี สะหะ สะตัญจะ พะลิปุตตานัง สัพเพ เว โรจะนามะกา
สันนัยหิตวา พะลิง เสนัง ราหุภัททะมุปาคะมุง สะมะโยทานิ ภัททันเต ภิกขุนัง
สะมติ งิ วะนัง
อาโป จะ เทวา ปะฐะวี จะ เตโช วาโย ตะทาคะมุง วะรุณา วารุณา เทวา
โสโม จะ ยะสะสา สะหะ เมตตากะรุณากายิกา อาคู เทวา ยะสัสสิโน ทะเสเต ทะ
สะธา กายา สัพเพ นานัตตะวัณณิโน อิทธิมันโต ชุตมิ นั โต วณั ณะวันโต ยะสสั สโิ น
โมทะมานา อะภกิ กามุง ภกิ ขนู ัง สะมติ งิ วะนัง
เวณฑู จะ เทวา สะหะลี จะ อะสะมา จะ ทุเว ยะมา จันทัสสูปะนิสา เทวา
จันทะมาคู ปุรักขิตา สุริยัสสูปะนิสา เทวา สุริยะมาคู ปุรักขิตา นักขัตตานิ ปุรักขิต
วา อาคู มนั ทะวะลาหะกา วะสูนัง วาสะโว เสฏโฐ สักโก ปาคะ ปุรินทะโท ทะเสเต
ทะสะธา กายา สัพเพ นานัตตะ วัณณิโน อิทธมิ ันโต ชุตมิ ันโต วัณณะวันโต ยะสัส
สโิ น โมทะมานา อะภกิ กามุง ภกิ ขนู ัง สะมติ งิ วะนัง
อะถาคู สะหะภู เทวา ชะละมัคคิสิขาริวะ อะริฏฐะกา จะ โรชา จะ อุมมา
ปุปผะนิภาสิโน วะรุณา สะหะธัมมา จะ อัจจุตา จะ อะเนชะกา สุเลยยะรุจริ า อาคู
อาคู วาสะวะเนสิโน ทะเสเต ทะสะธา กายา สัพเพ นานัตตะวัณณิโน อิทธิมันโต
ชุตมิ ันโต วณั ณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภกิ กามุง ภกิ ขนู ัง สะมิตงิ วะนัง
๑๐
สะมานา มะหาสะมานา มานุสา มานุสุตตะมา ขิฑฑาปะทูสิกา อาคู อาคู
มะโนปะทูสิกา อะถาคู หะระโย เทวา เย จะ โลหิตะวาสิโน ปาระคา มะหาปาระ
คา อาคู เทวา ยะสัสสิโน ทะเสเต ทะสะธา กายา สัพเพ นานัตตะวัณณิโน อิทธิ
มันโต ชุตมิ ันโต วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง
วะนัง
สุกกา กะรุมหา อะรุณา อาคู เวฆะนะสา สะหะ โอทาตะคัยหา ปาโมกขา
อาคู เทวา วิจักขะณา สะทามัตตา หาระคะชา มิสสะกา จะ ยะสัสสิโน ถะนะยัง
อาคา ปะชุนโน โย ทิสา อะภวิ ัสสะติ ทะเสเต ทะสะธา กายา สัพเพ นานัตตะ
วัณณิโน อิทธิมันโต ชุติมันโต วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง
ภกิ ขูนัง สะมติ งิ วะนัง
เขมิยา ตุสิตา ยามา กัฏฐะกา จะ ยะสัสสิโน ลัมพิตะกา ลามะเสฏฐา โชติมา
นา จะ อาสะวา นิมมานะระติโน อาคู อะถาคู ปะระนิมมิตา ทะเสเต ทะสะธา
กายา สัพเพ นานัตตะวัณณิโน อิทธมิ นั โต ชุตมิ ันโต วณั ณะวนั โต ยะสัสสิโน โมทะ
มานา อะภกิ กามุง ภกิ ขนู ัง สะมติ งิ วะนัง
สัฏเฐเต เทวะนิกายา สัพเพ นานัตตะวัณณิโน นามันวะเยนะ อาคัญฉุง เย
จัญเญ สะทิสา สะหะ ปะวุตถะชาติมักขีลัง โอฆะติณณะมะนาสะวัง ทักเข โมฆะ
ตะรัง นาคัง จันทังวะ อะสิตาสิตัง สุพรัหมา ปะระมัตโต จะ ปุตตา อิทธิมะโต
สะหะ สันนังกุมาโร ตสิ โส จะ โสปาคะ สะมิตงิ วะนัง
สะหัสสะพรัหมะโลกานัง มะหาพรัหมาภิติฏฐะติ อุปะปันโน ชุติมันโต ภิส
มากาโย ยะสัสสิ โส ทะเสตถะ อิสสะรา อาคู ปัจเจกะวะสะวัตติโน เตสัญจะ
มัชฌะโต อาคา หาริโต ปะริวาริโต เต จะ สัพเพ อะภิกกันเต สินเท เทเว
๑๑
สะพรัหมะเก มาระเสนา อะภิกกามิ ปัสสะ กัณหัสสะ มันทิยัง เอถะ คัณหะถะ
พนั ธะถะ ราเคนะ พนั ธมตั ถุ โว สะมันตา ปะรวิ าเรถะ มา โว
มุญจติ ถะ โกจิ นัง
อิติ ตัตถะ มะหาเสโน กัณหะเสนัง อะเปสะยิ ปาณินา ตะละมาหัจจะ
สะรัง กัตวานะ เภระวัง. ยะถา ปาวุสสะโก เมโฆ ถะนะยันโต สะวิชชุโก ตะทา
โส ปัจจุมาวัตติ สังกุทโธ อะสะยังวะเส ตัญจะ สัพพัง อะภิญญายะ วิวักขิตวานะ
จักขุมา ตะโต อามันตะยิ สัตถา สาวะเก สาสะเน ระเต มาระเสนา อะภิกกันตา
เต วชิ านาถะ ภกิ ขะโว
เต จะ อาตัปปะมะกะรุง สุตวา พุทธัสสะ สาสะนัง วีตะราเคหิ ปักกามุง
เนสัง โลมัมปิ อิญชะยุง. สัพเพ วิชิตะสังคามา ภะยาตีตา ยะสัสสิโน โมทันติ
สะหะ ภูเตหิ สาวะกา เต ชะเนสุตาติ
๙. เทวะตาอุยโยชะนะคาถา
(สวดเพ่อื ใหเ้ ทวดำอนโุ มทนำบญุ ใหส้ ำเรจ็ และสง่ กลบั เทวสถำน ดคู ำแปลหนำ้ )
ทุกขัปปัตตา จะ นิททุกขา ภะยัปปัตตา จะ นิพภะยา
โสกปั ปัตตา จะ นิสโสกา โหนตุ สัพเพปิ ปาณิโน
เอตตาวะตา จะ อัมเหหิ สมั ภะตงั ปญุ ญะสัมปะทงั
สพั เพ เทวานุโมทันตุ สพั พะสมั ปัตติสิทธิยา
ทานัง ทะทันตุ สัทธายะ สลี งั รักขันตุ สัพพะทา
ภาวะนาภริ ะตา โหนตุ คจั ฉันตุ เทวะตาคะตา ฯ
สพั เพ พทุ ธา พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญจะ ยัง พะลงั
อะระหันตานัญจะ เตเชนะ รักขัง พันธามิ สัพพะโส ฯ
๑๒
๑๐.สพั พะมังคละปริตร
(สวดเพ่อื อวยพรใหเ้ จรญิ รุง่ เรือง ปรำศจำกภยั อนั ตรำยทง้ั หลำย )
สัพพะพุทธานุภาเวนะ สัพพะธัมมานุภาเวนะ
สัพพะสงั ฆานุภาเวนะ พทุ ธะระตะนัง ธัมมะระตะนัง
สังฆะระตะนัง ตณิ ณัง ระตะนานัง อานุภาเวนะ
จะตรุ าสตี สิ ะหสั สะธัมมักขันธานุภาเวนะ ปิ ฏะกตั ตะยานุภาเวนะ
ชินะสาวะกานุภาเวนะ สัพเพ เต โรคา สัพเพ เต ภะยา
สพั เพ เต อนั ตะรายา สพั เพ เต อปุ ัททะวา
สพั เพ เต ทนุ นิมิตตา สพั เพ เต อะวะมังคะลา วินัสสันตุ
อายุวฑั ฒะโก ธะนะวัฑฒะโก สิรวิ ฑั ฒะโก ยะสะวัฑฒะโก
พะละวฑั ฒะโก วัณณะวฑั ฒะโก สุขะวฑั ฒะโก โหตุ สพั พะทา ฯ
ทุกขะโรคะภะยา เวรา โสกา สัตตุ จุปัททะวา
อะเนกา อันตะรายาปิ วินัสสันตุ จะ เตชะสา
โสตถิ ภาคยงั สุขงั พะลงั
ชะยะสิทธิ ธะนัง ลาภัง โภคัง วุฑฒี จะ ยะสะวา
สริ ิ อายุ จะ วัณโณ จะ จะ ชีวะสทิ ธี ภะวนั ตุ เต ฯ
สะตะวสั สา จะ อายู รักขันตุ สพั พะเทวะตา
สะทา โสตถี ภะวันตุ เต
ภะวะตุ สพั พะมังคะลัง รักขนั ตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะพุทธานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต
รักขนั ตุ สพั พะเทวะตา
ภะวะตุ สพั พะมังคะลัง สะทา โสตถี ภะวันตุ เต ฯ
สัพพะธัมมานุภาเวนะ
ภะวะตุ สพั พะมังคะลงั
สพั พะสงั ฆานุภาเวนะ
๑๓
อัตตะผะระณาคาถา
(คำแผเ่ มตตำใหแ้ กต่ นเอง)
อะหงั สุขิโต โหมิ
ขอใหข้ า้ พเจา้ / จงมีความสุขกายสุขใจเถิด
อะหัง นิททุกโข โหมิ
ขอใหข้ า้ พเจา้ / อยา่ ไดม้ ีทุกขโ์ ศกโรคภยั ท้งั สิ้นเถิด
อะหัง อะเวโร โหมิ
ขอใหข้ า้ พเจา้ / อยา่ ไดม้ ีเวรภยั ท้งั สิ้นเถิด
อะหัง อัพะยาปัชโฌ โหมิ
ขอใหข้ า้ พเจา้ / อยา่ ไดม้ ีความพยาบาทเบียดเบียนเถิด
อะหัง อะนีโฆ โหมิ
ขอใหข้ า้ พเจา้ / อยา่ ไดม้ ีความทุกขก์ ายทุกขใ์ จเถิด
อะหัง สุขี อัตตานัง ปะรหิ ะรามิ
ขอใหข้ า้ พเจา้ / จงมีความสุขกายสุขใจ / ใหร้ ักษาตนอยเู่ ยน็ เป็นสุขเถิด
อุทสิ ะผะระณาคาถา
(คำแผเ่ มตตำเจำะจง)
อทิ งั เม มาตาปิ ตูนัง โหตุ
ขอใหส้ ่วนบุญน้ี / จงสาเร็จแก่มารดาบิดาของขา้ พเจา้ เถิด
สุขติ า โหนตุ มาตาปิ ตะโร
ขอใหม้ ารดาบิดาของขา้ พเจา้ / จงมีความสุขกายสุขใจเถิด
อทิ งั เม ญาตนี ัง โหตุ
ขอใหส้ ่วนบุญน้ี / จงสาเร็จแก่ญาติท้งั หลายของขา้ พเจา้ เถิด
๑๔
สุขิตา โหนตุ ญาตะโย
ขอใหญ้ าติท้งั หลายของขา้ พเจา้ / จงมคี วามสุขกายสุขใจเถิด
อทิ ัง เม คุรูปัชฌายาจรยิ านัง โหตุ
ขอใหส้ ่วนบุญน้ี / จงสาเร็จแก่ครูอปุ ัชฌายอ์ าจารยข์ องขา้ พเจา้ เถิด
สุขติ า โหนตุ คุรูปัชฌายาจริยา
ขอใหค้ รูอปุ ัชฌายอ์ าจารยข์ องขา้ พเจา้ / จงมคี วามสุขกายสุขใจเถิด
อทิ งั สพั พะเทวะตานัง โหตุ
ขอใหส้ ่วนบุญน้ี / จงสาเร็จแก่เทวดาท้งั หลายเถิด
สุขิตา โหนตุ สัพเพ เทวา
ขอใหเ้ ทวดาท้งั หลาย / จงมีความสุขกายสุขใจเถิด
อิทงั สัพพะเปตานัง โหตุ
ขอใหส้ ่วนบุญน้ี / จงสาเร็จแก่เปรตท้งั หลายเถิด
สุขติ า โหนตุ สัพเพ เปตา
ขอใหเ้ ปรตท้งั หลาย / จงมีความสุขกายสุขใจเถิด
อิทงั สพั พะเวรนี ัง โหตุ
ขอใหส้ ่วนบุญน้ี / จงสาเร็จแก่เจา้ กรรมนายเวรท้งั หลายเถิด
สุขิตา โหนตุ สพั เพ เวรี
ขอใหเ้ จา้ กรรมนายเวรท้งั หลาย / จงมีความสุขกายสุขใจเถิด
อทิ งั สพั พะสัตตานัง โหตุ
ขอใหส้ ่วนบุญน้ี / จงสาเร็จแก่สัตวท์ ้งั หลายเถิด
สุขิตา โหนตุ สัพเพ สตั ตา
ขอใหส้ ัตวท์ ้งั หลายท้งั ปวง / จงมีความสุขกายสุขใจเถิด
๑๕
พรหมวหิ าระคาถา
(คำแผ่เมตตำพรหมวิหำร ๔)
สพั เพ สัตตา ( ๑.บทเมตตา )
สัตวท์ ้งั หลายท่ีเป็นเพือ่ นทุกข์ / เกิด แก่ เจบ็ ตาย ดว้ ยกนั ท้งั หมดท้งั สิ้น
สุขิตา โหนตุ
จงมีความสุขกายสุขใจเถิด
สพั เพ สัตตา
สตั วท์ ้งั หลายท่ีเป็นเพือ่ นทุกข์ / เกิด แก่ เจบ็ ตาย ดว้ ยกนั ท้งั หมดท้งั สิ้น
อะเวรา โหนตุ
จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด / อยา่ ไดม้ ีเวรแก่กนั และกนั เลย
สพั เพ สัตตา
สตั วท์ ้งั หลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ / เกิด แก่ เจบ็ ตาย ดว้ ยกนั ท้งั หมดท้งั สิ้น
อัพะยาปัชฌา โหนตุ
จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด / อยา่ ไดพ้ ยาบาทเบียดเบียนซ่ึงกนั และกนั เลย
สัพเพ สตั ตา
สตั วท์ ้งั หลายที่เป็นเพือ่ นทุกข์ / เกิด แก่ เจบ็ ตาย ดว้ ยกนั ท้งั หมดท้งั สิ้น
อะนีฆา โหนตุ
จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด / อยา่ ไดม้ ีความทุกขก์ ายทุกขใ์ จเลย
สัพเพ สตั ตา
สตั วท์ ้งั หลายท่ีเป็นเพือ่ นทุกข์ / เกิด แก่ เจบ็ ตาย ดว้ ยกนั ท้งั หมดท้งั สิ้น
สุขี อตั ตานัง ปะริหะรันตุ
จงมคี วามสุขกายสุขใจเถิด / ใหร้ ักษาตนอยเู่ ยน็ เป็นสุขเถิด
สัพเพ สตั ตา (๒.บทกรุณา)
สตั วท์ ้งั หลายท่ีเป็นเพ่อื นทุกข์ / เกิด แก่ เจบ็ ตาย ดว้ ยกนั ท้งั หมดท้งั สิ้น
๑๖
สัพพะทกุ ขา ปะมุจจันตุ
จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด / ใหร้ ักษาตนพน้ จากทุกขภ์ ยั ท้งั สิ้นเถิด
สพั เพ สัตตา (๓.บทมุทติ า)
สัตวท์ ้งั หลายท่ีเป็นเพ่ือนทุกข์ / เกิด แก่ เจบ็ ตาย ดว้ ยกนั ท้งั หมดท้งั สิ้น
ลัทธะสัมปัตตโิ ต มา วคิ จั ฉันตุ
จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด / อยา่ ไดพ้ ลดั พรากจากสมบตั ิอนั ตนไดแ้ ลว้ เถิด
สัพเพ สัตตา (๔.บทอุเบกขา)
สตั วท์ ้งั หลายท่ีเป็นเพอ่ื นทุกข์ / เกิด แก่ เจบ็ ตาย ดว้ ยกนั ท้งั หมดท้งั สิ้น
กมั มัสสะกา กัมมะทายาทา กัมมะโยนิ กมั มะพนั ธุ กัมมะปะฏิสะระณา
มีกรรมเป็นของๆ ตน / มีกรรมเป็นผใู้ ห้ผล / มีกรรมเป็นแดนเกิด /
มีกรรมเป็นผตู้ ิดตาม / มีกรรมเป็นที่พ่งึ อาศยั
ยัง กมั มงั กะรสิ สันติ กลั ยาณัง วา ปาปะกัง วา ตัสสะ ทายาทา ภะวสิ สนั ติ
สตั วท์ ้งั หลายท้งั ปวง / จกั ทากรรมอนั ใดไว้ / เป็นบุญหรือเป็นบาป /
จกั เป็นทายาท / คือวา่ จะตอ้ งไดร้ ับผลของกรรมน้นั สืบไป
สัพพะปัตตทิ านะคาถา
(คำแผเ่ มตตำท่วั ไป)
ปุญญัสสิทานิ กะตัสสะ / ยานัญญานิ กะตานิ เม /
เตสัญจะ ภาคิโน โหนตุ / สัตตานันตาปปะมาณะกา
ขอใหส้ ัตวท์ ้งั หลาย / ไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ / จงเป็นผมู้ ีส่วนแห่งบุญ ท่ีขา้ พเจา้ ได้
กระทาแลว้ ในบดั น้ี / และบุญท้งั หลายเหล่าใด ที่ขา้ พเจา้ ไดก้ ระทาแลว้
เย ปิ ยา คณุ ะวนั ตา จะ / มยั หงั มาตาปิ ตาทะโย
ชนเหล่าใดผเู้ ป็นท่ีรักท้งั ผมู้ ีบุญคุณ / มีมารดาและบิดาของขา้ พเจา้ เป็นตน้
ทฎิ ฐา เม จาปะยะทฎิ ฐา วา
ท่ีขา้ พเจา้ ไดเ้ ห็นหรือแมไ้ ม่ไดเ้ ห็น
๑๗
อญั เญ มัชฌัตตะเวริโน / สตั ตา ติฎฐันติ โลกัสมิง
สตั วท์ ้งั หลายเหล่าใด / ซ่ึงเป็นกลางและเป็นเวรกนั / ที่ดารงชีพอยใู่ นโลกน้ี
เตภมุ มา จะตุโยนิกา
ท่ีเกิดในภูมิ ๓, และเกิดในกาเนิด ๔,
ปัญเจกะจะตุโวการา
มีขนั ธ์ ๕ ขนั ธ์ ๑ และขนั ธ์ ๔,
สังสะรันตา ภะวาภะเว
ที่ทอ่ งเที่ยวไปอยใู่ นภพนอ้ ยและภพใหญ่
ญาตัง เย ปัตตทิ านัมเม
สัตวท์ ้งั หลายเหล่าใด / ทราบการใหส้ ่วนบุญของขา้ พเจา้ แลว้
อะนุโมทันตุ เต สะยัง
ขอใหส้ ัตวท์ ้งั หลายเหล่าน้นั / จงอนุโมทนาเองเถิด
เย จมิ งั นัปปะชานันติ
ก็สัตวท์ ้งั หลายเหล่าใด / ยอ่ มไม่ทราบการใหส้ ่วนบุญของขา้ พเจา้ ในคร้ังน้ี
เทวา เตสัง นิเวทะยุง
ขอใหเ้ ทวดาท้งั หลาย / พึงแจง้ แก่สตั วท์ ้งั หลายเหลา่ น้นั
มะยา ทินนานะ ปุญญานัง / อะนุโมทะนะเหตุนา
จงอนุโมทนาบุญท้งั หลาย / ท่ีขา้ พเจา้ ไดใ้ ห้แลว้ เถิด
สัพเพ สตั ตา สะทา โหนตุ / อะเวรา สุขะชีวิโน
ขอใหส้ ัตวท์ ้งั หลาย / จงเป็นผไู้ มม่ ีเวรต่อกนั และกนั /
จงเป็นผดู้ ารงชีพอยเู่ ป็นสุขทุกเมื่อเถิด
เขมัปปะทญั จะ ปัปโปนตุ
และจงถึงซ่ึงทางอนั เกษมสุขเถิด
เตสาสา สิชฌะตัง สุภา.
ขอใหค้ วามหวงั ท่ีดีของสัตวท์ ้งั หลายเหล่าน้นั / จงสาเร็จผลเทอญฯ
๑๘
สพั พะมังคะละคาถา (ยอ่ )
(สวดเพ่อื อวยพรใหก้ นั และกนั )
ภะวะตุ สัพพะมงั คะลงั รักขนั ตุ สพั พะเทวะตา
สพั พะพุทธานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต
รักขนั ตุ สพั พะเทวะตา
ภะวะตุ สพั พะมังคะลงั สะทา โสตถี ภะวันตุ เต
สัพพะธัมมานุภาเวนะ รักขันตุ สพั พะเทวะตา
สะทา โสตถี ภะวันตุ เต
ภะวะตุ สพั พะมังคะลงั
สัพพะสังฆานุภาเวนะ
ชะยะปริตร
(สวดเพ่อื เร่มิ พิธีมงคลตำ่ งๆ และประพรมนำ้ พทุ ธมนต)์
ชะยนั โต โพธิยา มเู ล สักกะยานัง นันทวิ ัฑฒะโน
เอวงั ตะวัง วชิ ะโย โหหิ ชะยัสสุ ชะยะมงั คะเล
อะปะราชติ ะปัลลังเก สเี ส ปะฐะวิโปกขะเร
อะภเิ สเก สัพพะพุทธานัง อัคคัปปัตโต ปะโมทะติ ฯ
สุนักขัตตงั สุมังคะลงั สุปะภาตงั สุหุฏฐิตงั
สุยิฏฐัง พรัหมะจาริสุ
สุขะโณ สุมุหุตโต จะ วาจากมั มัง ปะทักขณิ ัง
ปะทักขิณัง กายะกัมมงั ปะณิธี เต ปะทักขณิ า
ปะทกั ขิณัง มะโนกมั มัง ละภันตัตเถ ปะทักขิเณ ฯ
ปะทักขิณานิ กตั ตะวานะ
๑๙
คาแปลบทสวดนมสั การพระอรหนั ต์ ๘ ทิศ
สมเดจ็ พระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ ผปู้ ระเสริฐกวา่ สัตวส์ องเทา้ ทรงประทบั นง่ั อยทู่ ่ามกลาง
มีทา่ นอญั ญาโกญฑญั ญะ อยทู่ างทิศบูรพา (ตะวนั ออก)
ทา่ นพระมหากสั สปะ อยทู่ างทิศอาคเนย์ (ตะวนั ออกเฉียงใต)้
ทา่ นพระสารีบตุ ร อยทู่ างทิศทกั ษิณ (ใต)้
ท่านพระอุบาลี อยทู่ างทิศหรดี (ตะวนั ตกเฉียงใต)้
ท่านพระอานนท์ อยทู่ างทิศปัจฉิม (ตะวนั ตก)
ท่านพระภควมั ปติ อยทู่ างทิศพายพั (ตะวนั ตกเฉียงเหนือ)
ทา่ นพระโมคคลั ลานะ อยทู่ างทิศอดุ ร (เหนือ)
ทา่ นพระราหุล อยทู่ างทิศอิสาน (ตะวนั ออกเฉียงเหนือ)
ดว้ ยสรรพมงคลอนั พระอริยะเจา้ ท้งั หลายผปู้ ระดิษฐานอยู่ ณ ทิศท้งั หลายเหล่าน้ี ที่ขา้ พเจา้ ท้งั หลายไดท้ า
การกราบไหวส้ กั การะบูชาซ่ึงทา่ นผปู้ ระเสริฐท้งั หลาย เหล่าน้นั ขอความสวสั ดีจงมีแก่ขา้ พเจา้ ท้งั หลาย
ขา้ พเจา้ ขอนอบนอ้ มนมสั การซ่ึงพระรัตนตรัย และดว้ ยการนมสั การพระอริยสาวกเจา้ ท้งั หลายน้ี
ขา้ พเจา้ ไดร้ ับแลว้ ซ่ึงความหลง่ั ไหลของบุญอย่างไพบูลย์ (บุญอนั เกิดจากการระลึกถึงพระอรหันต์ท้งั
แปดทิศ) ดว้ ยอานุภาพแห่งพระรัตนตรัยน้นั ขออนั ตรายท้งั หลายจงถึงความพนิ าศสิ้นไปเทอญ
ตานานมหาสมัยสูตร
มหาสมยั สูตร ปรากฎความในพระสุตตนั ตปิ ฎก ทีฆนิกายหาวรรคว่า ภายหลงั การบรรลุอนุตตระ
สัมมาสัมโพธิญาณ พระองค์ไดเ้ สด็จจาริกไปในสถานท่ีต่าง ๆ เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก และเมื่อทราบข่าวว่า
พระพุทธบิดาประชวรหนกั จึงเสด็จกลบั สู่กรุงกบิลพสั ดุ์อีกคร้ัง เพ่ือเยีย่ มอาการพระพุทธบิดา พร้อมดว้ ย
พระสงฆส์ าวกเป็นจานวนมาก ทรงถวายพยาบาลตามพุทธวิสัย และโปรดให้ไดบ้ รรลุพระอรหนั ต์ พร้อม
ปฏิสัมภิทาท้งั หลาย
ในกาลต่อมา พระพุทธบิดาก็ปรินิพพาน บนพระแท่นบรรทม ภายใตเ้ ศวตฉัตรน้ันเอง หลงั จาก
ถวายพระเพลิงพระศพ พระพุทธบิดา พระพุทธองคต์ รัสวา่ "บุคคลใด มีจิตปรารถนาพระโพธิญาณ จงเอาใจ
ใส่บารุงรักษา เล้ียงดูบิดามารดา ประพฤติกศุ ลสุจริตธรรม จกั สมปรารถนาทกุ ประการ"
๒๐
รุ่งข้ึนอีกวนั ขณะท่ีพระองค์ประทบั อยู่ท่ี วดั นิโครธาราม กรุงกบิลพัสดุ์ เหล่าพระญาติขา้ งฝ่ าย
ศากยะและโกลิยะ ท่ีต้งั หลกั แหลง่ อยสู่ องฝ่ัง แม่น้าโรหิณี ไดว้ ิวาทกนั เร่ืองแยง่ น้าทานา กษตั ริยท์ ้งั สอง จึงยก
กองทัพออกไป จะทาสงครามกัน เพราะไม่สามารถตกลงกันได้ พระพุทธองค์ ทรงทราบเหตุการณ์น้ัน
ดว้ ยพระญาณ ทรงถือบาตรและจีวรดว้ ยพระองคเ์ อง ไม่ทรงแจง้ ให้ใคร ๆ ทราบ เสด็จพุทธดาเนิน แต่เพียง
พระองคเ์ ดียว ไปประทบั นง่ั ขดั บลั ลงั กร์ ะหวา่ งกองทพั กษตั ริยท์ ้งั สองนคร
คร้ันกองทพั ชาวเมืองกบิลพสั ดุ์ และ ชาวเมืองโกลิยะ เห็นพระองค์ต่างก็คิดว่า พระศาสดาผูเ้ ป็ น
พระญาติ ผปู้ ระเสริฐของพวกเราเสด็จมา จึงทิ้งอาวธุ เขา้ ไปเฝ้า แมพ้ ระพุทธองค์ จะทรงทราบสถานการณ์
ขณะน้ันดี แต่ก็ตรัสถามเร่ืองราวที่เกิดข้ึน แล้วตรัสสอนว่า มหาบพิตร พวกพระองค์อาศยั น้าที่มีค่าน้อย
แลว้ ทาใหก้ ษตั ริยซ์ ่ึงหาค่ามิได้ ใหฉ้ ิบหาย เป็นการสมควรแลว้ หรือ
คร้ันแลว้ พระพุทธองคไ์ ดต้ รัส ผนั ทนะชาดก ทุททุภายะชาดก และ ลฏุกิกะชาดก เพื่อระงบั การ
วิวาท ของพระญาติท้ังสองฝ่ าย และตรัส รุกขะธรรมชาดก และ วฏั ฏชาดก เพื่อให้เกิดความสามัคคี
พร้อมเพรียงกนั ว่า " หมู่ญาติย่ิงมากย่ิงดี ตน้ ไมท้ ี่เกิดในป่ า แมจ้ ะโตเป็ นเจา้ ป่ า ถ้าต้งั อยู่โดดเด่ียว ย่อมถูก
แรงลมพดั โค่นลงได้ และวา่ นกท้งั หลาย มีความสามคั คีพร้อมเพรียงกนั ยอ่ มพาตาขา่ ยไปได ้้
และในท่ีสุด ก็ตรัส อตั ตทณั ฑสูตร กษตั ริยเ์ หล่าน้ัน ไดส้ ดบั พระธรรมเทศนาแลว้ เกิดความสังเวช
พากนั ทิ้งอาวุธกล่าวว่า หากพระบรมศาสดา ไม่เสด็จมา พวกเราก็จะฆ่าฟันซ่ึงกนั และกนั เลือดไหลนองเป็ น
สายน้า ไม่มีโอกาสไดก้ ลบั บา้ น เห็นหนา้ ลูกเมียญาติพ่นี อ้ ง กษตั ริยท์ ้งั สองพระนคร จึงถวายพระราชกุมาร 500
องค์ คือ ฝ่ ายละ 250 องค์ ใหบ้ รรพชา อปุ สมบท กบั พระผมู้ ีพระภาคเจา้ ดว้ ยเอหิภิกขอุ ุปสัมปทา
อรรถกถามหาสมยั สูตร เล่าถึงเหตุการณ์ ที่ภิกษรุ าชกุมารเหล่าน้นั บรรลธุ รรมไวว้ ่า เม่ือพระพุทธองค์
นาภิกษุราชกุมาร มาสู่ป่ ามหาวนั ประทับน่ังบนพุทธอาสน์ ที่ภิกษุปูถวาย ในโอกาสที่สงัด ตรัสบอก
กมั มฏั ฐาน แก่ภิกษุท้งั หลาย ภิกษุเหล่าน้นั รับกมั มฏั ฐานแลว้ ต่างแยกยา้ ยกนั ไปเจริญ สมถะ และ วิปัสสนา
ตามเง้ือมผา และ โคนไม้ ในที่เงียบสงดั และก็ทยอยบรรลุ พระอรหันต์ แลว้ ก็ลุกข้ึนจากที่น่ัง เขา้ ไปเฝ้า
พระพุทธเจา้ จนครบท้งั 500 รูป
อรรถกถา ไดอ้ ธิบายความคิดของพระ ท่ีไดบ้ รรลุพระอรหนั ตไ์ วว้ า่ พระผบู้ รรลุพระอรหนั ต์ สิ้นกิเลส
อาสวะท้งั หลายแลว้ ยอ่ มมีความคิดอยู่ 2 อยา่ งคือ
1. มีความคิดว่า คนทุกคน ตลอดถึงเทวดาท้งั หลาย ก็สามารถท่ีจะบรรลุธรรม ตามท่ีเราได้บรรลุ
เช่นเดียวกนั
๒๑
2. พระที่บรรลุธรรม ไม่ประสงคจ์ ะบอกคุณธรรม ที่ตนไดบ้ รรลุแก่ผูอ้ ่ืน เหมือนคนท่ีฝังขุมทรัพยไ์ ว้
ไม่ตอ้ งการใหใ้ ครรู้ ที่ฝังขมุ ทรัพยข์ องตน
เม่ือเทวดาท้งั หลายทราบว่า พระบรมศาสดา ประทบั อยทู่ ่ีป่ ามหาวนั ใกลก้ รุงกบิลพสั ดุ์ พร้อมดว้ ย
ภิกษุ 500 รูป ลว้ นเป็ นพระอรหันต์ บวชจากราชตระกูล ต่างก็กล่าวว่า น้ีเป็ นสมยั แห่งการประชุมใหญ่
ในป่ ามหาวนั พวกเราจกั ไปชมความงดงาม ของพระพุทธเจา้ และพระสงฆส์ าวกผหู้ มดจด ตา่ งกแ็ ตง่ คาถากล่าว
สรรเสริญพระพทุ ธเจา้ และ สาวกท้งั หลาย
เทวดาท่ีมาประชุมกนั น้ัน มีจานวนมากมาย ภิกษุบางรูป ก็เห็นเทวดาร้อยหน่ึง บางรูปก็เห็นพนั หน่ึง
บางรูป ก็เห็นหมื่นหน่ึง บางรูป ก็เห็นแสนหน่ึง บางรูป ก็เห็นไม่มีท่ีส้ินสุดแตกตา่ งกนั ไป ตามกาลงั ญาณ
ของแตล่ ะองค์
ในยคุ ของพระพทุ ธเจา้ แตล่ ะพระองค์ จะมีการประชุมเทวดา จานวนมากเช่นน้ีกเ็ พยี งคร้ังเดียว
พระพุทธองค์ ไดต้ รัสกบั ภิกษุท้งั หลายว่า เทวดาในแสนจกั รวาล มาประชุมกนั เพื่อชมพระตถาคต และ หมู่
ภิกษสุ งฆ์ เทวดาประมาณเทา่ น้ีแหละ ไดเ้ คยประชุมกนั แลว้ เพือ่ ชมพระ สัมมาสัมพทุ ธเจา้ ในอดีตกาล และ
พวกเทวดาประมาณเท่าน้นั แหละ จกั ประชุมกนั เพื่อชมพระสัมมาสัมพุทธเจา้ ในอนาคตกาล คร้ันแลว้ พระองค์
ก็ทรงแนะนา เทวดาแตล่ ะจาพวก ใหภ้ ิกษุท้งั หลายฟังตามลาดบั ต้งั แต่ภมุ เทวดา ไปจนถึงพรหมโลก
ขณะท่ีเทวดา จากหม่ืนจกั รวาล มาประชุมกนั จนครบน้ัน ทอ้ งฟ้าโปร่งใส่ไม่มีเมฆหมอก ก็กลบั เกิด
เมฆฝน คารณ คาราม กึกก้อง ฟ้าแลบแปล๊บ ๆ พระพุทธองค์ทรงพิจารณาก็ทราบว่า หมู่มารก็มาด้วย
จึงทรงแนะนา ให้ภิกษุรู้จกั พญามารเอาไวว้ ่า พญามาร กาลงั สั่งบงั คบั เสนามาร ใหผ้ ูกเหล่าเทวดาไว้ ใน
อานาจแห่ง กามราคะ แต่พระพุทธองค์ทรงอธิษฐาน ไม่ให้เหล่าเทวดาเห็น เมื่อพญามารไม่ได้ด่ังใจ
จึงทาใหเ้ กิดฟ้าร้องกึกกอ้ งกมั ปนาทไปทว่ั
โดยปกติ ในที่จะไม่มีการบรรลุมรรคผล พระพุทธองคจ์ ะไม่ทรงหา้ มมาร แสดงสิ่งอนั น่ากลวั ของมาร
แต่ในท่ีจะมีการบรรลุมรรคผล พระองค์จะทรงอธิษฐาน ไม่ให้ใครรู้เห็น ส่ิงท่ีพญามารกาลงั ทา เน่ืองจาก
การประชุมใหญ่ ของเทวดาในคร้ังน้นั จะมีเทพบรรลุมรรคผล เป็นจานวนมาก พระพทุ ธองค์ จึงทรงอธิษฐาน
ไมใ่ หพ้ วกเทวดารับรู้ ส่ิงอนั น่ากลวั ของหมมู่ าร พญามารน้นั จึงกลบั ไปดว้ ยความเดือดดาลฯ
มหาสมัยสูตร เป็ นสูตรว่าด้วย สมยั การประชุมใหญ่ ของเหล่าเทพ ในยคุ ของพระพุทธเจา้ แต่ละ
พระองค์ ซ่ึงจะมีการประชุมใหญ่ ของเหล่าเทวดาท้งั หลายเช่นน้ีเพียงคร้ังเดียว เทวดาท้งั หลาย จึงพากนั คิด
ว่า พวกเราจะฟังพระสูตรน้ี เม่ือพระผูม้ ีพระภาคเจา้ แสดงมหาสมยั สูตรจบ เทวดาจานวนหน่ึงแสนโกฎิ
ไดบ้ รรลพุ ระอรหนั ต์
๒๒
พระสูตรน้ีจึงเป็ นท่ีรักที่ชอบใจ ของพวกเทวดา และ เทวดาท้งั หลายต่างก็คิดว่าเป็ นพระสูตรของตน
เม่ือมีการสวดพระสูตรน้ี จะทาให้เหล่าเทวดาท้งั หลายประชุมกนั เม่ือเทวดาประชุมกนั ก็จะทาให้สิ่งท่ีไม่ดี
ท้งั หลายถอยห่างออกไป เป็นการป้องกนั สิ่งที่ไมด่ ี ไมใ่ หเ้ ขา้ มาใกลต้ วั เราน้นั เอง
มหาสมัยสูตร (แปล)
ขา้ พเจา้ ไดส้ ดบั มาอยา่ งน้ี สมยั หน่ึง พระผมู้ ีพระภาคประทบั อยู่ ณ ป่ ามหาวนั เขตพระนครกบิลพสั ดุ์
ในสกั กะชนบท พร้อมดว้ ยภิกษสุ งฆห์ มู่ใหญ่ ประมาณ ๕๐๐ รูป ลว้ น เป็นพระอรหนั ต์ กพ็ วกเทวดาจาก
โลกธาตทุ ้งั ๑๐ ประชุมกนั มาก เพ่ือทศั นา พระผมู้ ีพระภาคและภิกษุสงฆ์ ฯ
คร้ังน้นั เทวดาช้นั สุทธาวาส ๔ องค์ ไดม้ คี วามดาริวา่ พระผมู้ ีพระภาค พระองคน์ ้ีแล ประทบั อยู่ ณ
ป่ ามหาวนั เขตพระนครกบิลพสั ดุ์ ในสักกชนบท พร้อมดว้ ยภิกษุสงฆห์ มู่ใหญป่ ระมาณ ๕๐๐ รูป ลว้ นเป็นพระ
อรหนั ต์ ก็พวก เทวดาจากโลกธาตุท้งั ๑๐ ประชุมกนั มาก เพื่อทศั นาพระผมู้ ีพระภาคและภิกษุ สงฆ์ ไฉนหนอ
แมพ้ วกเราก็ควรเขา้ ไปเฝ้าพระผมู้ ีพระภาคถึงที่ประทบั คร้ันแลว้ พงึ กลา่ วคาถาเฉพาะองคล์ ะคาถา ในสานกั พระ
ผมู้ ีพระภาค
ลาดบั น้นั เทวดา พวกน้นั หายไป ณ เทวโลกช้นั สุทธาวาสแลว้ มาปรากฏเบ้ืองพระพกั ตร์ พระผมู้ ี
พระภาค เหมือนบุรุษมีกาลงั เหยียดแขนท่ีคูอ้ อก หรือคูแ้ ขนที่เหยยี ดออกเขา้ ฉะน้นั เทวดาพวกน้นั ถวายอภิวาท
พระผมู้ ีพระภาคแลว้ ไดย้ นื อยู่ ณ ท่ีควรส่วน ขา้ งหน่ึง เทวดาองคห์ น่ึงไดก้ ล่าวคาถาน้ีในสานกั พระผมู้ ีพระภาค
วา่ การประชุมใหญใ่ นป่ าใหญ่ หม่เู ทวดามาประชุมกนั แลว้ พวกเรา พากนั มาสู่ธรรมสมยั น้ี เพอ่ื ไดเ้ ห็นหมทู่ า่ นผู้
ชนะมาร ฯ
ลาดบั น้นั เทวดาอีกองคห์ น่ึง ไดก้ ล่าวคาถาน้ี ในสานกั พระผมู้ ีพระภาควา่ ภิกษุท้งั หลายในท่ีประชุมน้นั
มน่ั คง กระทาจิตของตนๆ ให้ ตรง บณั ฑิตท้งั หลาย ยอ่ มรักษาอินทรีย์ เหมือนสารถีถือบงั เหียนขบั มา้ ฉะน้นั ฯ
ลาดบั น้นั เทวดาอีกองคห์ น่ึง ไดก้ ล่าวคาถาน้ี ในสานกั พระผมู้ ีพระภาควา่ ภิกษุเหล่าน้นั ตดั กิเลสดุจ
ตะปู ตดั กิเลสดุจล่ิมสลกั ถอนกิเลสดุจเสาเข่ือนไดแ้ ลว้ เป็นผไู้ มห่ วน่ั ไหว หมดจด ปราศจากมลทิน เที่ยวไป
ท่านเป็นหมูน่ าคหนุ่ม อนั พระผมู้ ีพระภาค ผมู้ ีจกั ษทุ รงฝึกดีแลว้ ฯ
ลาดบั น้นั เทวดาอีกองคห์ น่ึง ไดก้ ล่าวคาถาน้ี ในสานกั พระผมู้ ีพระภาควา่ ชนเหล่าใดเหล่าหน่ึง
ถึงพระพทุ ธเจา้ วา่ เป็นสรณะ เขาจกั ไมไ่ ปอบายภมู ิ ละกายมนุษยแ์ ลว้ จกั ยงั เทวกายใหบ้ ริบูรณ์ ฯ
๒๓
ชื่อของหมู่เทวดา
ลาดบั น้นั พระผมู้ ีพระภาคตรัสเรียกภิกษุท้งั หลายแลว้ ตรัสวา่ ดูกรภิกษุท้งั หลาย พวกเทวดาในโลกธาตุ
ท้งั ๑๐ ประชุมกนั มาก เพอื่ ทศั นา ตถาคตและภิกษุสงฆ์ พวกเทวดาประมาณเท่าน้ีแหละไดป้ ระชุมกนั เพื่อทศั นา
พระผมู้ ีพระภาคอรหนั ตสัมมาสัมพุทธเจา้ ซ่ึงไดม้ ีแลว้ ในอดีตกาล เหมือนท่ี ประชุมกนั เพ่ือทศั นาเราในบดั น้ี
พวกเทวดาประมาณเท่าน้ีแหละจกั ประชุมกนั เพื่อ ทศั นาพระอรหนั ตสมั มาสัมพุทธเจา้ ซ่ึงจกั มีใน
อนาคตกาล เหมือนท่ีประชุมกนั เพ่อื ทศั นาเราในบดั น้ี เราจกั บอกนามพวกเทวดา เราจกั ระบนุ ามพวกเทวดา
เราจกั แสดงนาม พวกเทวดา พวกเธอจงฟังเร่ืองน้นั จงใส่ใจใหด้ ี เรา จกั กล่าว ภิกษเุ หลา่ น้นั ทลู รับพระผมู้ ีพระ
ภาคแลว้
พระผมู้ ีพระภาคไดต้ รัส พระคาถาน้ีวา่ เราจกั ร้อยกรองโศลก ภมุ มเทวดาอาศยั อยู่ ณ ท่ีใด พวกภิกษุก็
อาศยั ท่ีน้นั ภิกษพุ วกใดอาศยั ซอกเขา ส่งตนไปแลว้ มีจิตต้งั มนั่ ภิกษพุ วกน้นั เป็นอนั มาก เร้นอยู่ เหมือนราชสีห์
ครอบงาความขนพองสยองเกลา้ เสียได้ มีใจผดุ ผอ่ ง เป็นผหู้ มดจด ใสสะอาดไมข่ ่นุ มวั พระศาสดาทรงทราบ
ภิกษปุ ระมาณ ๕๐๐ท่ีอยณู่ ป่ ามหาวนั เขตพระนครกบิลพสั ดุ์
แต่น้นั จึงตรัสเรียกสาวกผยู้ นิ ดีในพระศาสนา ตรัสวา่ ดูกรภิกษุท้งั หลาย หมู่เทวดาม่งุ มากนั แลว้ พวกเธอ
จงรู้จกั หมเู่ ทวดาน้นั ภิกษเุ หล่าน้นั สดบั รับส่งั ของพระพุทธเจา้ แลว้ ไดก้ ระทาความเพียร ญาณเป็นเคร่ืองเห็น
พวกอมนุษย์ ไดป้ รากฏแก่ ภิกษุเหลา่ น้นั ภิกษุบางพวก ไดเ้ ห็นอมนุษยร์ ้อยหน่ึง บางพวก ไดเ้ ห็นอมนุษยพ์ นั
หน่ึง บางพวกไดเ้ ห็นอมนุษยเ์ จด็ หมื่น บางพวกไดเ้ ห็นอมนุษยห์ น่ึงแสน บางพวกไดเ้ ห็นไม่มีที่สุด อมนุษยไ์ ด้
แผไ่ ปทวั่ ทิศ
พระศาสดาผมู้ ีพระจกั ษุ ทรงใคร่ครวญทราบเหตุน้นั สิ้นแลว้ แตน่ ้นั จึงตรัสเรียกสาวกผยู้ นิ ดีใน
พระศาสนาตรัสวา่ ดูกรภิกษุท้งั หลาย หม่เู ทวดามุ่งมากนั แลว้ พวกเธอจงรู้จกั หมเู่ ทวดาน้นั เราจกั บอกพวกเธอ
ดว้ ยวาจา
ตามลาดบั ยกั ษเ์ จ็ดพนั เป็นภุมมเทวดาอาศยั อยใู่ นพระนคร กบิลพสั ดุ์ มีฤทธ์ิ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศยนิ ดี
มงุ่ มายงั ป่ าอนั เป็นท่ีประชุมของภิกษุ
ยกั ษห์ กพนั อยทู่ ี่เขาเหมวตามีรัศมีตา่ งๆ กนั มีฤทธ์ิ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยนิ ดี มงุ่ มายงั ป่ าอนั เป็นที่
ประชุมของภิกษุ
ยกั ษส์ ามพนั อยทู่ ี่เขา สาตาคีรี มีรัศมีต่างๆ กนั มีฤทธ์ิมีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยนิ ดี มุ่งมายงั ป่ าอนั เป็นที่
ประชุมของภิกษุ ยกั ษเ์ หล่าน้นั รวม เป็นหน่ึงหมื่นหกพนั มีรัศมีต่างๆ กนั มีฤทธ์ิ มีอานุภาพมีรัศมี มียศ ยนิ ดี
มุ่งมายงั ป่ าอนั เป็นที่ประชุมของภิกษุ
๒๔
ยกั ษ์ หา้ ร้อยอยทู่ ี่เขาเวสสามิตตะ มีรัศมีต่างๆ กนั มีฤทธ์ิ มี อานุภาพ มีรัศมี มียศ ยนิ ดี มงุ่ มายงั ป่ าอนั เป็น
ท่ีประชุม ของภิกษุ ยกั ษช์ ื่อกุมภีระอยใู่ นพระนครราชคฤห์ เขาเวปุลละ เป็นท่ีอยขู่ องยกั ษน์ ้นั ยกั ษแ์ สนเศษ
แวดลอ้ มยกั ษช์ ื่อกมุ ภีระ น้นั ยกั ษช์ ่ือกมุ ภีระอยใู่ นพระนครราชคฤหแ์ มน้ ้นั ก็ไดม้ ายงั ป่ าอนั เป็นที่ประชุมของ
ภิกษุ ฯ
ทา้ วธตรัฏฐอยดู่ า้ นทิศบรู พา ปกครองทิศน้นั เป็นอธิบดีของพวกคนธรรพ์ เธอเป็นมหาราช มียศ แมบ้ ุตร
ของเธอก็มาก มีนามวา่ อินท มีกาลงั มากมีฤทธ์ิ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยนิ ดี มุ่งมายงั ป่ าอนั เป็นท่ีประชุมของ
ภิกษุ
ทา้ ววิรุฬหก อยดู่ า้ นทิศทกั ษณิ ปกครองทิศน้นั เป็นอธิบดีของพวกกมุ ภณั ฑ์ เธอเป็นมหาราช มียศ
แมบ้ ตุ รของเธอกม็ าก มีนามวา่ อินทมีกาลงั มาก มีฤทธ์ิ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยนิ ดี ม่งุ มายงั ป่ าอนั เป็นท่ีประชุม
ของภิกษุ
ทา้ ววิรูปักษอ์ ยดู่ า้ นทิศปัจจิม ปกครองทิศน้นั เป็นอธิบดีของพวกนาค เธอเป็ นมหาราช มียศ แมบ้ ตุ รของ
เธอก็มาก มีนามวา่ อินท มีกาลงั มาก มีฤทธ์ิ มี อานุภาพ มีรัศมี มียศ ยนิ ดี ม่งุ มายงั ป่ าอนั เป็นที่ประชุมของภิกษุ
ทา้ วกุเวร อยดู่ า้ นทิศอดุ ร ปกครองทิศน้นั เป็นอธิบดีของพวก ยกั ษ์ เธอเป็นมหาราช มียศ แมบ้ ุตรของเธอ
ก็มากมีนามวา่ อินท มีกาลงั มาก มีฤทธ์ิ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยนิ ดีมุ่งมายงั ป่ าอนั เป็นที่ประชุมของภิกษุ
ทา้ วธตรัฏฐเป็นใหญ่ทิศ บูรพา ทา้ ววิรุฬหก เป็นใหญ่ทิศทกั ษณิ ทา้ ววิรูปักษเ์ ป็นใหญ่ ทิศปัจจิม ทา้ ว
กเุ วรเป็นใหญ่ทิศอดุ ร ทา้ วมหาราชท้งั ๔ น้นั ยงั ทิศท้งั ๔ โดยรอบใหร้ ุ่งเรืองไดย้ นื อยแู่ ลว้ ในป่ าเขตพระนคร
กบิลพสั ดุ์ ฯ
ท้าวโลกบาลท้งั ๔
พวกบ่าวของทา้ วมหาราชท้งั ๔ น้นั มีมายา ลอ่ ลวง โออ้ วด เจา้ เลห่ ์ มา ดว้ ยกนั มีชื่อคือกเุ ฏณฑุ ๑ เวเฏณ
ฑุ ๑ วฏิ ๑ วฏิ ฏะ ๑ จนั ทนะ ๑ กามเสฏฐะ ๑ กินนุฆณั ฑุ ๑ นิฆณั ฑุ ๑ และทา้ วเทวราชท้งั หลายผมู้ ีนาม วา่ ปนา
ทะ ๑ โอป มญั ญะ ๑ เทพสารถีมีนามวา่ มาตลิ ๑ จิตตเสนะ ผคู้ นธรรพ์ ๑ นโฬราชะ ๑ ชโนสภะ ๑ ปัญจสิขะ ๑
ติมพรู ๑ สุริยวจั ฉสา เทพธิดา ๑ มาท้งั น้นั ราชาและคนธรรพพ์ วกน้นั และพวกอื่น กบั เทวราชท้งั หลายยนิ ดี
มุง่ มายงั ป่ าอนั เป็นที่ประชุมของภิกษุ
อน่ึงเหลา่ นาคที่อยใู่ น สระช่ือนภสะบา้ ง อยใู่ นเมืองเวสาลีบา้ ง พร้อมดว้ ยนาคบริษทั เหลา่ ตจั ฉกะ กมั พล
นาค และอสั สตรนาคก็มา นาคผอู้ ยใู่ นทา่ ชื่อปายาคะ กบั ญาติ ก็มา นาคผอู้ ยใู่ น แมน่ ้ายมุนา เกิดในสกลุ ธตรัฏฐ
ผมู้ ียศ ก็มาเอราวณั เทพบุตรผเู้ ป็นชา้ งใหญ่ แมน้ ้นั ก็มายงั ป่ าอนั เป็นที่ประชุมของภิกษุ ฯ
๒๕
ปักษีทวิชาติผเู้ ป็นทิพย์ มีนยั น์ตาบริสุทธ์ิ นานาคราชไปได้ โดยพลนั น้นั มาโดยทางอากาศถึงท่ามกลาง
ป่ า ช่ือของปักษีน้นั วา่ จิตรสุบรรณ ในเวลาน้นั นาคราชท้งั หลาย ไม่ไดม้ ีความ กลวั พระพุทธเจา้ ไดท้ รงกระทา
ใหป้ ลอดภยั จากครุฑ นาคกบั ครุฑเจรจากนั ดว้ ยวาจาอนั ไพเราะ กระทาพระพุทธเจา้ ใหเ้ ป็นสรณะ พวกอสูร
อาศยั สมทุ รอยู่ อนั ทา้ ววชิรหนั ถร์ บชนะแลว้ เป็นพีน่ อ้ งของทา้ ววาสพ มีฤทธ์ิ มียศ เหลา่ น้ีคือพวก กาลกญั ชอสูร
มีกายใหญน่ ่ากลวั กม็ า พวกทานเวฆะสาอสูรกม็ า เวปจิตติอสูร สุจิตติอสูร ปหาราทอสูร และนมจุ ีพระยามารก็
มาดว้ ยกนั บุตรของพลิอสูรหน่ึงร้อย มีช่ือวา่ ไพโรจนท์ ้งั หมดผกู สอดเคร่ืองเสนาอนั มีกาลงั เขา้ ไปใกลอ้ สุรินท
ราหู แลว้ กลา่ ววา่ ดูกรทา่ นผเู้ จริญ บดั น้ี เป็นสมยั ท่ีจะประชุมกนั ดงั น้ีแลว้ เขา้ ไปยงั ป่ าอนั เป็นที่ประชุมของภิกษุ
ฯ
เทวนิกาย
ในเวลาน้นั เทวดาท้งั หลาย ชื่ออาโป ช่ือปฐวี ชื่อเตโช ช่ือวาโย ไดพ้ ากนั มาแลว้ เทวดา ช่ือวรุณะ ช่ือวา
รุณะ ชื่อโสมะ ช่ือยสสะ ก็มาดว้ ยกนั เทวดาผบู้ งั เกิดในหมูเ่ ทวดาดว้ ยเมตตาและกรุณาฌาน เป็นผมู้ ียศ ก็มา
หม่เู ทวดา ๑๐ เหล่าน้ีเป็น ๑๐ พวก ท้งั หมดลว้ นมีรัศมีต่าง ๆ กนั มีฤทธ์ิ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยนิ ดี มุ่งมายงั ป่ า
อนั เป็นที่ประชุม ของภิกษุ เทวดา ชื่อเวณฑู ชื่อสหลี ชื่ออสมา ชื่อยมะ ท้งั สองพวก ก็มา เทวดาผอู้ าศยั พระจนั ทร์
กระทาพระจนั ทร์ไวใ้ นเบ้ืองหนา้ กม็ า
เทวดาผอู้ าศยั พระอาทิตย์ กระทาพระอาทิตยไ์ วใ้ นเบ้ืองหนา้ กม็ า เทวดากระทานกั ษตั รไวใ้ น เบ้ืองหนา้ ก็
มา มนั ทพลาหกเทวดากม็ า แมท้ า้ วสกั กปรุ ินททวาสวะ ซ่ึงประเสริฐกวา่ สุเทวดาท้งั หลายก็เสดจ็ มา
หมเู่ ทวดา ๑๐ เหลา่ น้ี เป็ น ๑๐ พวก ท้งั หมดลว้ นมีรัศมีตา่ งๆ กนั มีฤทธ์ิ มีอานุภาพมีรัศมี ยนิ ดี มงุ่ มายงั
ป่ าอนั เป็นที่ประชุมของภิกษุ อน่ึงเทวดาช่ือสหภูผรู้ ุ่งเรืองดุจเปลวไฟกม็ า เทวดาชื่ออริฏฐกะ ช่ือโรชะ มีรัศมีดงั
สีดอกผกั ตบกม็ า เทวดาชื่อวรุณะ ชื่อสหธรรมชื่ออจั จุตะ ช่ืออเนชกะ ช่ือสุเลยยะ ช่ือรุจิระก็มา เทวดา ชื่อวาสวเน
สีก็มา
หมู่เทวดา ๑๐ เหลา่ น้ีเป็น ๑๐ พวก ท้งั หมด ลว้ นมีรัศมีต่างๆ กนั มีฤทธ์ิ มีอานุภาพ มีรัศมีมียศ ยนิ ดี
มงุ่ มายงั ป่ าอนั เป็นท่ีประชุมของภิกษุ เทวดาช่ือสมานะ ช่ือมหาสมานะ ชื่อมานุสะ ชื่อมานุสุตตมะ ชื่อขิฑฑาปทู
สิกะ ก็มา เทวดาช่ือมโนปทสู ิกะก็มา อน่ึง เทวดาชื่อหริ เทวดาชื่อโลหิต วาสี ช่ือปารคะ ช่ือมหาปารคะ ผมู้ ียศ
กม็ า
หม่เู ทวดา ๑๐ เหล่าน้ี เป็ น ๑๐ พวกท้งั หมดลว้ นมีรัศมีต่างๆ กนั มีฤทธ์ิ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยนิ ดี
มงุ่ มายงั ป่ าอนั เป็นที่ประชุมของภิกษุ เทวดา ชื่อสุกกะ ชื่อกรุมหะ ช่ืออรุณะ ช่ือเวฆนสะก็มาดว้ ยกนั เทวดาชื่อ
๒๖
โอทาตคยั หะ ผเู้ ป็นหวั หนา้ เทวดาชื่อวจิ กั ขณะ ก็มา เทวดาช่ือสทามตั ตะ ชื่อหารคชะ และชื่อมิสสกะ ผมู้ ียศ
กม็ า ปชุนนเทวบุตร ซ่ึงคารามใหฝ้ นตกทว่ั ทิศกม็ า
หมู่เทวดา ๑๐ เหลา่ น้ี เป็ น ๑๐ พวก ท้งั หมดลว้ นมีรัศมีตา่ งๆ กนั มีฤทธ์ิ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยนิ ดี มุ่ง
มายงั ป่ าอนั เป็นท่ีประชุมของภิกษุเทวดาช่ือเขมิยะ เทวดาช้นั ดุสิต เทวดาช้นั ยามะ และเทวดาช่ือกฏั ฐกะ มียศ
เทวดาชื่อลมั พิตกะ ชื่อลามเสฏฐะ ช่ือโชตินามะ ชื่ออาสา และเทวดาช้นั นิมมานรดีก็มา อน่ึง เทวดาช้นั ปรนิ
มมิตะกม็ า
หมู่เทวดา ๑๐ เหล่าน้ี เป็น ๑๐ พวก ท้งั หมดลว้ นมีรัศมีตา่ งๆ กนั มีฤทธ์ิ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยนิ ดี มุ่ง
มายงั ป่ าอนั เป็นที่ประชุมของภิกษุ หมู่เทวดา ๖๐ เหล่าน้ี ท้งั หมดลว้ นมีรัศมีตา่ งๆ กนั มาแลว้ โดยกาหนดช่ือ
และ เทวดาเหลา่ อื่นผเู้ ช่นกนั มาพร้อมกนั ดว้ ยคิดวา่ เราท้งั หลายจกั เห็นพระนาคผปู้ ราศจากชาติ ไมม่ ีกิเลสดุจ
ตะปู มีโอฆะอนั ขา้ มแลว้ ไมม่ ีอาสวะขา้ มพน้ โอฆะ ผลู้ ว่ งความยดึ ถือไดแ้ ลว้ ดุจพระจนั ทร์พน้ จากเมฆฉะน้นั . ฯ
พรหมนกิ าย
สุพรหมและปรมตั ตพรหม ซ่ึงเป็นบตุ รของพระพทุ ธเจา้ ผมู้ ี ฤทธ์ิ ก็มาดว้ ย สนงั กุมารพรหม และติสส
พรหมแมน้ ้นั ก็มายงั ป่ าอนั เป็นท่ีประชุมของภิกษุ ทา้ วมหาพรหมยอ่ มปกครอง พรหมโลกพนั หน่ึง
ทา้ วมหาพรหมน้นั บงั เกิดแลว้ ในพรหมโลก มีอานุภาพ มีกายใหญ่โตมียศ ก็มา
พรหม ๑๐ พวก ผเู้ ป็น อิสระในพวกพรหมพนั หน่ึง มีอานาจเป็นไปเฉพาะองคล์ ะอยา่ งก็มา มหาพรหม
ชื่อหาริตะ อนั บริวารแวดลอ้ มแลว้ มาในท่ามกลางพรหมเหล่าน้นั มารเสนา ไดเ้ ห็นพวกเทวดา พร้อมท้งั
พระอินทร์ พระพรหมท้งั หมดน้นั ผมู้ งุ่ มา กม็ าดว้ ย แลว้ กล่าววา่ ทา่ นจงดูความเขลาของมาร
พระยามารกล่าววา่ พวกทา่ นจงมาจบั เทวดาเหล่าน้ีผกู ไวด้ ว้ ยราคะ จงมีแก่ท่านท้งั หลาย พวกทา่ นจง
ลอ้ มไวโ้ ดยรอบ อยา่ ปลอ่ ยใคร ๆ ไป พระยามารบงั คบั เสนามาร ในท่ีประชุมน้นั ดงั น้ีแลว้ เอาฝ่ามือตบ
แผน่ ดิน กระทาเสียงน่ากลวั เหมือนเมฆยงั ฝนใหต้ ก คารามอยู่ พร้อมท้งั ฟ้าแลบ ฉะน้นั เวลาน้นั พระยามารน้นั
ไมอ่ าจยงั ใครใหเ้ ป็นไป ในอานาจได้ โกรธจดั กลบั ไปแลว้
พระศาสดาผมู้ ีพระจกั ษุทรงพจิ ารณาทราบเหตุน้นั ท้งั หมด แตน่ ้นั จึงตรัสเรียกสาวกผู้ ยนิ ดีในพระ
ศาสนาตรัสวา่ ดูกรภิกษุท้งั หลาย มารเสนามาแลว้ พวกเธอจงรู้จกั เขาภิกษุเหล่าน้นั สดบั พระดารัสสอนของ
พระพุทธเจา้ แลว้ ไดก้ ระทาความเพยี ร
๒๗
มารและเสนามารหลีกไป จากภิกษุผปู้ ราศจากราคะ ไม่ยงั แมข้ นของทา่ นใหไ้ หว (พระยามารกลา่ ว
สรรเสริญวา่ ) พวกสาวกของพระองคท์ ้งั หมดชนะสงครามแลว้ ลว่ งความกลวั ไดแ้ ลว้ มียศปรากฏในหม่ชู น
บนั เทิง อยกู่ บั ดว้ ยพระอริยเจา้ ผเู้ กิดแลว้ ในพระศาสนา ดงั น้ีแล. ฯ
ตานาน : เทวะตาอยุ โยชะนะคาถา
เทวะตาอุยโยชะนะคาถา เป็ นคาถาสวดส่งเทวดา ใชส้ วดเพื่ออญั เชิญเทวดากลบั วิมาน เมื่อแรกท่ีจะ
เจริญพระปริตร ไดม้ ีการสวดชุมนุมเทวดา หรือ สวดอญั เชิญเทวดามาฟังการเจริญพระปริตร ซ่ึงถือว่าเป็นการ
แบ่งส่วนบุญ ไปให้สรรพสัตวท์ ุกจาพวก ทุกหมู่เหล่า แมก้ ระทงั่ เทวดาซ่ึงมองไม่เห็นตวั ก็แผเ่ มตตาจิตไปถึง
ได้
เน้ือความในท่อนแรกของคาถาน้ี เริ่มตน้ ดว้ ยการ แผ่เมตตาจิตไปในหมู่สัตวท์ ้งั หลายให้พน้ จากทุกข์
โศกโรคภยั จากน้ันไดก้ ล่าวเชิญเทวดาให้อนุโมทนาบุญกุศลท่ีบาเพญ็ มา ซ่ึงก็รวมถึงบุญอนั เกิดจากการเจริญ
พระปริตร เพ่ือเทวดาจะไดอ้ านิสงส์แห่งบุญน้นั ดว้ ย
ต่อจากน้นั ก็เป็ นการแนะนาเทวดา ให้เกิดศรัทธา ในการให้ทาน รักษาศีล บาเพญ็ ภาวนา แลว้ เชิญให้
เทวดากลบั วิมาน ต่อจากน้ันก็ขออานุภาพ แห่งพระพุทธเจา้ พระปัจเจกพุทธเจา้ และพระอรหันต์ท้งั หลายให้
คุม้ ครองรักษา เทวตาอยุ โยชะนะคาถาน้ี จะตอ้ งสวดทุกคร้ังท่ีมีการ ชุมนุมเทวดา
คาแปล : เทวะตาอุยโยชะนะคาถา
ขอสัตวท์ ้งั หลายที่ประสบทุกข์ จงเป็ นผูป้ ราศจากทุกข์ ท่ีประสบภยั จงปราศจากภยั ที่ประสบความ
เศร้าโศกจงสร่างโศก ขอเหล่าเทวดาท้ังปวง จงอนุโมทนาบุญสมบตั ิ ที่ขา้ พเจา้ ท้งั หลายสร้างสมมาแล้วน้ี
เพือ่ ความสาเร็จแห่งสมบตั ิท้งั ปวง ขอเทวดาท้งั หลายจงใหท้ าน รักษาศีล บาเพญ็ ภาวนา ดว้ ยศรัทธาทกุ เม่ือ
ขอเชิญเทวดาท่ีมาชุมนุมกนั แลว้ กลบั เทวสถานเถิด พระพุทธเจา้ ท้งั หลายลว้ นทรงพลงั ยิง่ ใหญ่ ดว้ ยเดช
แห่งพลงั ของพระปัจเจกพุทธเจา้ ท้งั หลาย และดว้ ยเดชแห่งพลงั ของพระอรหันตท์ ้งั หลาย ขา้ พเจา้ ขอน้อมนา
เดชท้งั ปวงน้นั มาเป็นเครื่องคุม้ ครองรักษาตลอดไป ฯ
๒๘
คาแปล : สัพพะมงั คะละคาถา
ด้วยอานุภาพ แห่งพระพุทธเจ้าท้ังปวง, ด้วยอานุภาพ แห่งพระธรรมท้ังปวง, ด้วยอานุภาพ แห่ง
พระสงฆ์ท้งั ปวง ดว้ ยอานุภาพแห่ง รัตนะท้งั สาม, คือ พุทธรัตนะ, ธรรมรัตนะ, สังฆรัตนะ, ดว้ ยอานุภาพ
แห่งพระธรรมขนั ธแ์ ปดหมื่นสี่พนั , ดว้ ยอานุภาพ แห่งพระไตรปิ ฏก,
ดว้ ยอานุภาพ แห่งพระสาวกของพระชินเจา้ , สรรพโรคท้งั หลายของท่าน, สรรพภยั ท้งั หลายของท่าน,
สรรพอนั ตรายท้งั หลายของท่าน, สรรพอุปัทวะท้งั หลายของท่าน, สรรพนิมิตร้ายท้งั หลายของท่าน, สรรพ
อวมงคลท้งั หลายของทา่ น, จงพนิ าศไป,
ให้มีอายุยืนยาว, ให้มีทรัพยส์ ินเพ่ิมพูน, ให้มีสิริงดงาม, ให้มียศสูงส่งข้ึนไป, ให้มีกาลงั แข็งแรง, ให้มี
ผิวพรรณผ่องใส, ให้มีความสุขย่ิง ๆ ข้ึนไป, จงมีแก่ท่านในกาลทุกเม่ือ, ทุกข์, โรค, ภยั , และ เวรท้งั หลาย,
ความโศกเศร้า, ศตั รู และ อปุ ัทวะท้งั หลาย, ท้งั อนั ตรายเป็นเอนก,
จงพินาศไป ดว้ ยเดชานุภาพท้งั ปวง,
ให้มีความชนะ, มีความสาเร็จ, มีทรัพย,์ มีลาภ, มีความสวสั ดี, มีโชค, มีความสุข, มีกาลงั มีสิริ
มีอาย,ุ มีวรรณะ, มีโภคะ, มีความเจริญ, มียศ, มีอายยุ นื ยาว 100 ปี , และ มีความสาเร็จในชีวิต, จงมีแก่ท่านใน
กาลทกุ เม่ือ
ขอสรรพมงคล จงมีแก่ท่าน, ขอเหล่าเทวดาท้งั ปวง จงรักษาท่าน, ดว้ ยอานุภาพ แห่งพระพุทธเจา้ ท้งั
ปวง, ขอความสวสั ดีท้งั หลาย จงมีแก่ท่านทกุ เม่ือ,
ขอสรรพมงคล จงมีแก่ท่าน, ขอเหล่าเทวดาท้งั ปวง จงรักษาท่าน, ดว้ ยอานุภาพ แห่งพระธรรมท้งั ปวง,
ขอความสวสั ดีท้งั หลาย จงมีแก่ท่านทุกเม่ือ,
ขอสรรพมงคล จงมีแก่ท่าน, ขอเหล่าเทวดาท้งั ปวง จงรักษาท่าน, ดว้ ยอานุภาพ แห่งพระสงฆ์ท้งั ปวง,
ขอความสวสั ดีท้งั หลาย จงมีแก่ทา่ นทุกเม่ือเทอญ.
๒๙
ตานาน : ชะยะปริตร
ชะยะปริตร น้ัน สาหรับพระสวดให้ฤกษ์งาม ยามดี เป็ นมงคล ในงานทุกอย่างที่ปรารถนาจะให้เป็ น
มงคล ต้งั แต่ งานตดั จุก งานสมรส ยกหอเสาเรือน ยกช่อฟ้า เปิ ดป้าย วางศิลาฤกษ์ สวดให้เป็ นมงคล เป็ นเกียรติ
แก่ผมู้ ีเกียรติ หรือผใู้ หญท่ ี่มาถึงถ่ิน
ดงั น้นั พระสงฆก์ ็ตอ้ งสวดชยนั โต เป็ นมงคลแก่งาน แก่เจา้ ภาพ อนุโลมตามวตั ถุประสงค์ สรุปความได้
วา่ ไม่วา่ งานใด ถา้ เจา้ ภาพจดั ทาเพื่อเป็นมงคลแลว้ พระกส็ วดชยนั โตไดท้ กุ งาน
สาระสาคญั ของ ชะยะปริตร น้ัน มีอยู่ว่า บรรดามงคลท้งั หลายแล้ว ไม่มีมงคลใดเสมอดว้ ยชัยมงคล
เพราะปรารภถึงเหตุที่พระพุทธเจา้ ทรงชนะพญามาร วสั วดี ให้พ่ายแพโ้ ดยธรรมบารมี ซ่ึงก่อให้เกิดอานุภาพ
ยง่ิ ใหญ่
ดงั ท่ีผรู้ ู้ท้งั หลาย แซ่ซ้องสาธุการ ตลอดถึงเทพเจา้ ๑๖ ช้นั ฟ้า ไดป้ ระกาศว่า พระองคท์ รงชนะมาร ไม่มี
ผูใ้ ดเสมอเหมือน ให้เห็นความดีความงามอย่างแท้จริง ถือว่าเป็ นอานุภาพกาหราบภยั พิบตั ิอุปัทวนั ตรายได้
ดงั ขอ้ ความท่ีปรากฏในพระบาลี
คาแปล : ชะยะปริตร
พระพุทธเจา้ ทรงเป็ นที่พ่ึงของสัตวโ์ ลก ประกอบดว้ ยพระคุณอนั ยิ่งใหญ่ ทรงบาเพ็ญพระบารมีทุก
ประการ เพ่ือเก้ือกูลแก่มวลสรรพสัตว์ ทรงบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณอนั สูงสุดแลว้ ดว้ ยการกล่าวคาสัตยน์ ้ี
ขอชยั มงคลจงมีแก่ท่าน ขอท่านจงประสบความสาเร็จในการประกอบพิธีชัยมงคล เหมือนองค์พระทศพล
ทรงมีชยั ชนะต่อพญามาร ท่ีโคนแห่งตน้ โพธ์ิ
ทรงถึงความเป็ นผูเ้ ลิศ บนั เทิงอยบู่ นอะปะราชิตบลั ลงั ก์ (คือ บงั ลงั ก์ของผูไ้ ม่พ่ายแพ)้ ณ จอมมหา
ปฐพี ซ่ึงเป็นท่ีตรัสรู้แห่งพระพทุ ธเจา้ ทุกๆ พระองค์ ทรงเพ่ิมพูนความยนิ ดีแก่เหล่าประยรู ญาติศากยวงศฉ์ ะน้นั
เวลาท่ีท่านประพฤติชอบ ช่ือว่าเป็ นฤกษด์ ี มงคลดี สว่างดี รุ่งดี ขณะดี ครู่ดี ยามดี บูชาดี และเป็ นการ
บูชาอย่างดีสาหรับผูป้ ระพฤติดีท้งั หลาย กายกรรม เป็ นประทกั ษิณ ส่วนเบ้ืองขวา วจีกรรม เป็ นประทกั ษิณ
ส่วนเบ้ืองขวา มโนกรรม เป็นประทกั ษิณ ส่วนเบ้ืองขวา
ความปรารถนาของท่าน เป็ นประทกั ษิณ ส่วนเบ้ืองขวา ท่านท้งั หลายทากรรมอนั เป็ นประทกั ษิณส่วน
เบ้ืองขวาแลว้ ยอ่ มไดร้ ับประโยชน์สุขท้งั หลาย อนั เป็นประทกั ษณิ ส่วนเบ้ืองขวา
๓๐
ท่านผูเ้ ป็ นสุภาพบุรุษ จงเป็ นผูไ้ ด้รับประโยชน์ถึงซ่ึงความสุขกาย เจริญงอกงามในพระพุทธศาสนา
เป็นผูห้ าโรคมิได้ มีแต่ความสุขใจ พร้อมดว้ ยหมู่ญาติท้งั ปวงเถิด ท่านผเู้ ป็ นสุภาพสตรี จงเป็นผูไ้ ดร้ ับประโยชน์
ถึงซ่ึงความสุขกาย เจริญงอกงามในพระพุทธศาสนา
เป็นผหู้ าโรคมิได้ มีแตค่ วามสุขใจ พร้อมดว้ ยหมู่ญาติท้งั ปวงเถิด ท่านท้งั หลาย จงเป็นผไู้ ดร้ ับประโยชน์
ถึงซ่ึงความสุขกาย เจริญงอกงามในพระพุทธศาสนา เป็ นผหู้ าโรคมิได้ มีแต่ความสุขใจ พร้อมดว้ ยหมู่ญาติท้งั
ปวงเถิด
สัพพะมงั คะละคาถา (ย่อ)
ขอสรรพมงคล จงมีแก่ท่าน, ขอเหล่าเทวดาท้งั ปวง จงรักษาท่าน, ดว้ ยอานุภาพ แห่งพระพุทธเจา้ ท้งั
ปวง, ขอความสวสั ดีท้งั หลาย จงมีแก่ทา่ นทุกเม่ือ,
ขอสรรพมงคล จงมีแก่ท่าน, ขอเหล่าเทวดาท้งั ปวง จงรักษาท่าน, ดว้ ยอานุภาพ แห่งพระธรรมท้งั ปวง,
ขอความสวสั ดีท้งั หลาย จงมีแก่ท่านทุกเม่ือ,
ขอสรรพมงคล จงมีแก่ท่าน, ขอเหล่าเทวดาท้งั ปวง จงรักษาท่าน, ดว้ ยอานุภาพ แห่งพระสงฆ์ท้งั ปวง,
ขอความสวสั ดีท้งั หลาย จงมีแก่ท่านทุกเม่ือเทอญ.