47
48
49
เกณฑ์การวดั ประเมนิ ผล (ผ่านเกณฑใ์ นระดบั ด)ี
ชว่ งคะแนน ระดบั คณุ ภาพ
7-9 3 = ดี
4-6
1-3 2 = พอใช้
0 1 = ปรบั ปรุง
0 = แกไ้ ข
แนวทางในการประเมนิ คุณลักษณะอนั พึงประสงค์
ประเด็นการประเมิน ระดบั คณุ ภาพ
1. มีวนิ ยั
2. ใฝเ่ รียนรู้ 3 (ดี) 2 (พอใช้) 1 (ปรบั ปรงุ ) 0 (แก้ไข)
3. มุง่ มั่นในการทางาน นกั เรยี นเข้าเรยี นตรง นักเรยี นเขา้ เรยี น นักเรียนเขา้ เรียน นักเรยี นไม่เข้า
ต่อเวลาสม่าเสมอ ตรงตอ่ เวลาบางครง้ั ตรงตอ่ เวลาบางคร้ัง เรียน ไมป่ ฏบิ ตั ิ
ปฏบิ ตั ติ าม ปฏิบตั ติ าม ไมป่ ฏบิ ตั ิตาม ตาม
กฎระเบยี บสมา่ เสมอ กฎระเบยี บบางครงั้ กฎระเบยี บ กฎระเบยี บ
มคี วามสนใจใน มคี วามสนใจใน มีความสนใจใน ไม่มีความสนใจ
กจิ กรรมการเรียน กจิ กรรมการเรียน กิจกรรมการเรยี น ในกจิ กรรมการ
การสอนสม่าเสมอ การสอนสม่าเสมอ การสอนบางครงั้ เรียนการสอน
ทาใบกิจกรรมดว้ ย ทาใบกิจกรรมด้วย ไมท่ าใบกิจกรรม ไมท่ าใบ
ตนเอง ตนเองบางครั้ง ดว้ ยตนเอง กจิ กรรม
นักเรียนต้ังใจทางาน นักเรยี นตงั้ ใจ นักเรียนไมต่ ้ังใจ นักเรียนไม่
อย่างเตม็ ทางานอย่างเต็ม ทางาน และสง่ งาน ทางานส่ง
ความสามารถแต่สง่ ไม่ทันตามเวลาที่
ความสามารถ งานไม่ตรงตามเวลา
ทางานเสรจ็ และส่ง กาหนด
ที่กาหนด
ทันตามเวลาท่ี
กาหนด
50
เกณฑก์ ารวัดประเมินผล (ผา่ นเกณฑ์ในระดบั ด)ี
ช่วงคะแนน ระดบั คณุ ภาพ
7-9 3 = ดี
4-6 2 = พอใช้
1-3 1 = ปรับปรุง
0 0 = แกไ้ ข
แนวทางในการประเมินทักษะการปฏบิ ัติ
ประเดน็ การ ระดับคณุ ภาพ
ประเมนิ 3 (ดี) 2 (พอใช)้ 1 (ปรบั ปรงุ ) 0 (แกไ้ ข)
1. มีทกั ษะการ สมาชิกในกล่มุ มี สมาชิกในกลมุ่ มี สมาชกิ ในกล่มุ ไมม่ ี สมาชิกในกลมุ่ ไมม่ ี
วางแผนทางาน การวางแผนกอ่ น การวางแผนก่อน การวางแผนกอ่ นลง การวางแผนกอ่ น
กลุ่ม ลงมือทาปฏิบตั ิ ลงมือทาปฏิบัติ มอื ทาปฏิบัติ และ ลงมอื ทาปฏิบตั ิ
และชว่ ยเหลอื กัน และชว่ ยเหลอื กัน ช่วยเหลือกนั ทางาน และไม่ชว่ ยเหลือ
อย่างเตม็ ท่ี เป็นบางคน บางคน กันทางาน
2. มีความ สมาชกิ ในกลุ่มทกุ สมาชกิ ในกล่มุ สมาชิกในกลุ่มไม่ เฉยชาขาดสนใจไม่
กระตอื รือร้นใน คนรว่ มกันศึกษา รว่ มกันศึกษาหา ตง้ั ใจศกึ ษาหา แสดงความอยากรู้
การหาความรู้ หาความรู้อยา่ ง ความรู้อย่างต้ังใจ ความรู้ อยากเห็น
ตัง้ ใจ เป็นบางคน
3. มคี วามมน่ั ใจ สมาชิกในกลมุ่ สมาชิกในกล่มุ สมาชกิ ในกลมุ่ ไม่ สมาชกิ ในกลมุ่ ไมม่ ี
และกล้า สามารถนาเสนอ สามารถนาเสนอ สามารถนาเสนอ งาน
แสดงออก งานไดอ้ ย่างมั่นใจ งานได้อยา่ งมัน่ ใจ งานได้อย่างมั่นใจ
ถกู ต้อง ชัดเจน ถกู ต้อง ชัดเจน ถูกตอ้ ง ชัดเจน
เปน็ บางคร้งั
51
ภาคผนวก
52
บตั รภาพ
ป่ าไม้ แมน่ ้า
ท่งุ หญ้า ทะเล
บนต้นไม้ แปลงผกั
53
แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 4
กลุม่ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวชิ าวิทยาศาสตร์ รหสั วิชา ว 11101
ชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 1 ภาคเรยี นท่ี 1/2565
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 2 พชื และสัตว์ในทอ้ งถิ่น หนว่ ยยอ่ ยท่ี 1 พชื และสัตว์ในบรเิ วณตา่ งๆ
เรอื่ ง ความสัมพันธ์ของพืชและสตั ว์ในสภาพแวดลอ้ ม เวลา 3 ชัว่ โมง
ผู้สอน นางสาวกวินทพิ ย์ มะณี
1. มาตรฐาน/ตวั ชว้ี ดั
1.1 ตวั ช้วี ดั
ว 1.1 ป.1/1 ระบชุ ือ่ พชื และสตั วท์ ่ีอาศัยอยบู่ ริเวณต่าง ๆ ท่ไี ดจ้ ากการสารวจ
ป.1/2 บอกสภาพแวดลอ้ มท่ีเหมาะสมในบรเิ วณท่ีพชื และสตั ว์อาศยั อยู่ในบริเวณทส่ี ารวจ
2. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
1. สารวจและบอกความสัมพนั ธข์ องพชื และสตั ว์ในสภาพแวดล้อมได้ (K)
2. สารวจและบอกสาเหตุการเปลยี่ นแปลงของสภาพแวดลอ้ มได้ (K)
3. บอกผลกระทบต่อพืชและสัตวเ์ ม่อื สภาพแวดลอ้ มเกิดการเปล่ียนแปลงได้ (K)
4. ปฏบิ ตั กิ จิ กรรมเพือ่ อธิบายความสัมพันธข์ องพชื และสตั ว์ในสภาพแวดลอ้ มได้ (P)
5. ปฏิบัติกิจกรรมพอ่ื อธิบายสาเหตุและผลกระทบต่อพืชและสัตว์เมือ่ สภาพแวดล้อมเกดิ การเปลี่ยนแปลง ได้ (P)
6. รบั ผิดชอบตอ่ หนา้ ท่ที ี่ได้รับมอบหมาย (A)
3. สาระการเรียนร้แู กนกลาง
1. ช่ือบริเวณทสี่ ามารถพบพชื และสตั ว์
2. ชื่อพืชและสัตว์ทีอ่ าศยั อยใู่ นบริเวณตา่ ง ๆ
3. บอกความสัมพนั ธ์ของพชื และสัตวใ์ นสิ่งแวดลอ้ ม
4. การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดลอ้ มท่สี ง่ ผลต่อการดารงชวี ิตของพืชและสัตว์
4. สาระสาคัญ/ความคิดรวบยอด
พืชและสัตวแ์ ต่ละชนิดจะมคี วามสัมพันธก์ ับสภาพแวดล้อม เช่น พืชและสตั ว์มีความสมั พันธ์กบั สภาพแวดล้อม
ในด้านแหล่งทีอ่ ยอู่ าศยั แหล่งอาหาร เปน็ ตน้ ถ้าสภาพแวดลอ้ มเกดิ การเปลยี่ นแปลงไปจะส่งผลกระทบต่อการ
ดารงชีวิตของพชื และสตั ว์
54
5. สมรรถนะสาคญั ของผ้เู รยี นและคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รียน คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์
1. ความสามารถในการสอ่ื สาร 1. มีวินยั
2. ความสามารถในการคดิ 2. ใฝเ่ รียนรู้
1) ทักษะการสังเกต 3. ม่งุ ม่นั ในการทางาน
2) ทกั ษะการสารวจคน้ หา
3) ทกั ษะการคิดวิเคราะห์
4) ทกั ษะการเช่ือมโยง
3. ความสามารถในการใชท้ กั ษะชวี ติ
4. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
6. กิจกรรมการเรยี นรู้
แนวคิด/รปู แบบการสอน/วธิ กี ารสอน/เทคนคิ : สบื เสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model)
ชว่ั โมงที่ 1
6.1 ขั้นกระต้นุ ความสนใจ (Engage)
นักเรียนเล่นเกมหอยแบง่ ฝา เพ่ือต้องการแบ่งกลุ่มนักเรียนออกเป็นกลุ่มละ 4 คน โดยครอู ธิบายวิธกี าร
เลน่ ให้นกั เรียนฟังจากน้นั ใหน้ กั เรียนเล่นเกม 2-3 ครั้ง จนไดก้ ลมุ่ ครบทกุ คนโดยมวี ิธีการเล่น ดงั น้ี
1) ครใู ห้นักเรยี นแตล่ ะคนคิดวา่ ตนเองอยากเป็นตัวหอยหรือเป็นฝาหอย โดย
2) ครูจะออกคาส่ังแล้วให้นักเรียนวิ่งไปรวมกลุ่มกัน ซึ่งกาหนดให้นักเรียนล้อมวงคือ ฝาหอยและ
นักเรยี นท่อี ยใู่ นวง คอื ตวั หอย
3) นักเรียนคนใดท่ีไม่มีกลุม่ หรือนกั เรียนกลมุ่ ใดมีจานวนฝาหอย หรือจานวนตัวหอยไม่ครบตามจานวนท่ีครู
ออกคาสั่ง จะถูกลงโทษด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การเต้นการร้องเพลง หรืออ่ืน ๆ ตามความเหมาะสม
ตวั อย่าง การออกคาสงั่ ของครู เชน่
1) มีหอย 2 ตวั อย่ใู นฝา 4 ฝา
2) มีฝา 6 ฝา ล้อมหอย 3 ตัว
3) มหี อยและฝาหอยล้อมวง 8 ตวั
6.2 ข้นั สารวจค้นหา (Explore)
1. เม่ือได้กลุ่มแล้ว ครูให้นักเรียนทากจิ กรรมที่ 2 สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อพืชและสัตว์ จากหนังสือเรียน
วิทยาศาสตร์ หนา้ 50-51 ตอนท่ี 1 โดยปฏิบตั ิ ดงั นี้
55
1) นักเรียนแต่ละกลมุ่ สารวจสภาพแวดล้อมทเ่ี หมาะสมต่อการดารงชวี ติ ของพืชและสัตว์ในบรเิ วณต่าง ๆ
ของโรงเรียน แล้วบนั ทึกผลลงในสมดุ ประจาตัวนักเรียนหรือในแบบฝกึ หดั วิทยาศาสตร์ หนา้ 57
2) นักเรยี นแตล่ ะกลุ่มร่วมกันอภิปรายและสรปุ ผลทไี่ ดจ้ ากการสารวจภายในกลมุ่ ของตนเอง
(หมายเหต:ุ ครเู รม่ิ ประเมินนักเรียน โดยใช้แบบสังเกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม)
(หมายเหตุ: ครูเริม่ ประเมนิ นักเรียน โดยใช้แบบประเมนิ การนาเสนอหนา้ ช้ันเรียน)
2. ครูให้นักเรยี นแต่ละกลมุ่ สง่ ตัวแทนมานาเสนอผลจากการสารวจ เพื่อตรวจสอบความรู้ของนักเรียนหลงั การทา
กิจกรรมท่ี 2 ตอนที่ 1 โดยครตู งั้ คาถาม ดังนี้
1) บรเิ วณทน่ี กั เรียนสารวจ ได้แก่
(แนวตอบ : เช่น สระน้า สนามหญา้ สวนหยอ่ ม)
2) พืชและสตั ว์มคี วามสมั พนั ธก์ บั สภาพแวดล้อมนนั้ อยา่ งไร
(แนวตอบ : เช่น สระน้า มีปลาอย่ใู นน้า ใช้สระน้าเป็นแหล่งทีอ่ ยู่อาศยั และแหล่งอาหาร
มีสารา่ ยอยู่ในนา้ ใช้สระนา้ เปน็ แหลง่ ท่ีอยู่อาศยั และแหลง่ หลบภยั ของปลา มีหอยอยูข่ อบสระนา้ ใช้
สระน้าเป็นแหลง่ อาหาร เป็นต้น)
5. นักเรียนรว่ มกนั อภิปรายความรู้เก่ียวกับสภาพแวดลอ้ มที่เหมาะสมต่อการดารงชีวติ ของพืชและสัตว์
ชัว่ โมงท่ี 2
6.3 ข้นั อธบิ ายความรู้ (Explain)
1. นกั เรยี นและครชู ่วยกันสรปุ ผลการสารวจของกจิ กรรมท่ี 2 ตอนที่ 1 จากช่ัวโมงทแ่ี ล้ว
2. นกั เรียนจับกล่มุ เดมิ จากช่วั โมงทีแ่ ล้ว แล้วใหแ้ ตล่ ะกลมุ่ ทากิจกรรมที่ 2 เรือ่ งสภาพแวดล้อมทเ่ี หมาะสมต่อ
พืชและสตั ว์ ตอนท่ี 2 จากหนังสอื เรียนวิทยาศาสตร์ หน้า 51 โดยสง่ ตวั แทนไปรับบัตรภาพสภาพแวดล้อม
ท่มี ีการเปลีย่ นแปลงจากครู กลมุ่ ละ 1 ใบ
(หมายเหต:ุ ครูเร่มิ ประเมนิ นักเรียน โดยใชแ้ บบสังเกตพฤติกรรมการทางานกลมุ่ )
3. ให้แต่ละกลุ่มสังเกตในบตั รภาพว่า สภาพแวดล้อมที่เหน็ ในภาพมีการเปลย่ี นแปลงเกิดจากสาเหตใุ ดและ
ศึกษาใบความรู้เกี่ยวกับผลกระทบท่ีมีต่อการดารงชวี ิตของพืชและสตั ว์ เม่อื สภาพแวดล้อมเปล่ียนแปลงไป
แลว้ บนั ทึกผลลงในสมุดประจาตัวนกั เรยี นหรอื ในแบบฝึกหัดวทิ ยาศาสตร์ หน้า 58
4. เมอ่ื แต่ละกล่มุ ทากจิ กรรมที่ 2 เสรจ็ แล้ว ให้แตล่ ะกลมุ่ เตรียมตวั เพอื่ นาเสนอหน้าชั้นเรยี น
(หมายเหต:ุ ครูเร่ิมประเมนิ นักเรียน โดยใชแ้ บบประเมินการนาเสนอหน้าช้ันเรียน)
5. นักเรียนแตล่ ะกลุ่มส่งตัวแทนมานาเสนอผลจากการทากิจกรรม เพื่อตรวจสอบความรขู้ องนกั เรียนหลัง
การทากจิ กรรมที่ 2 ตอนที่ 2 โดยครูต้ังคาถาม ดงั น้ี
1) บัตรภาพทแ่ี ต่ละกลมุ่ ไดค้ ือสภาพแวดล้อมใด
56
(แนวตอบ : ปา่ ไม้)
2) สภาพแวดล้อมเกิดการเปลยี่ นแปลงไปอย่างไร
(แนวตอบ : ต้นไมใ้ นป่าถกู ตดั ไป ทาใหม้ พี ืน้ ทข่ี องปา่ ไมล้ ดลง)
3) สาเหตุใดทีท่ าให้สภาพแวดลอ้ มเกดิ การเปลี่ยนแปลง
(แนวตอบ : เช่น ฝนไม่ตกตามฤดูกาล สภาพอากาศรอ้ นแห้งแล้ง เปน็ ตน้ )
4) สภาพแวดลอ้ มที่เปลย่ี นแปลงไปส่งผลกระทบต่อพืชและสตั วอ์ ยา่ งไร
(แนวตอบ : ทาให้พชื และสัตวท์ อ่ี ยู่ในปา่ ไม้ มพี ื้นที่ในการดารงชีวติ นอ้ ยลงและอาจใหพ้ ืชและสัตวส์ ูญ
พันธุ์ได้)
6. นักเรยี นร่วมกนั อภิปรายความรู้เก่ียวกับสภาพแวดลอ้ มที่เปลีย่ นแปลงไป
7. ครูให้นักเรียนทากิจกรรมหนูตอบได้จากหนังสือเรียน หน้า 51 ลงในสมุดประจาตัวนักเรียนหรือ
แบบฝกึ หดั วิทยาศาสตร์ หน้า 59-60 แลว้ นามาส่งในช่วั โมงถดั ไป
ชว่ั โมงท่ี 3
6.4 ข้ันขยายความเข้าใจ (Elaborate)
1. นกั เรยี นและครชู ว่ ยกันอภปิ รายและสรปุ ผลการทากจิ กรรมในช่ัวโมงทีแ่ ลว้ อีกครั้ง
2. ครูอธิบายเนือ้ หาเก่ยี วกับสภาพแวดล้อมท่ีเหมาะสมต่อการดารงชวี ิตของพืชและสัตว์ในหนังสือเรียน
วิทยาศาสตร์ หนา้ 52-56 หรือเปดิ จาก PoweProint เร่ือง สภาพแวดล้อมที่เปน็ แหล่งอาหารของพืชและ
สัตว์ PowerPoint เร่ือง สภาพแวดล้อมท่ีเป็นแหล่งสืบพนั ธุ์และเลย้ี งดูลูกอ่อนของสตั ว์ และ PowerPoint
เรือ่ ง สภาพแวดลอ้ มทเี่ ปน็ แหล่งหลบภยั ของสัตว์ หรือให้นักเรยี นสแกน QR Code เรอ่ื ง แหล่งที่อยูอ่ าศัย
ของพชื และสัตว์ ในหนังสอื เรยี น หนา้ 52
3. ครใู หน้ ักเรยี นทาสรุปความรปู้ ระจาบทท่ี 1 ลงในสมุดประจาตัวนักเรียนหรอื แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ หน้า
61
(หมายเหต:ุ ครเู ริ่มประเมนิ นักเรยี น โดยใช้แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรายบคุ คล)
4. เมอ่ื แต่ละคนทากิจกรรมสรปุ ความรู้ประจาบทที่ 1 เสรจ็ แลว้ ครูสุ่มนักเรียน 2-3 คนออกมานาเสนอผล
การทาสรปุ ความร้ปู ระจาบทท่ี 1
(หมายเหต:ุ ครูเริม่ ประเมินนักเรยี น โดยใช้แบบประเมินการนาเสนอหน้าชั้นเรยี น)
6.5 ข้นั ตรวจสอบผล (Evaluate)
1. ครูให้นักเรยี นรว่ มกันสรปุ เก่ียวกับสาเหตกุ ารเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมและผลกระทบตอ่ การ
ดารงชวี ิตของพืชและสตั ว์ เมอื่ สภาพแวดลอ้ มมกี ารเปลย่ี นแปลง
57
2. ครปู ระเมินผลนกั เรยี น โดยการสังเกตพฤติกรรมการทางานรายบุคคล พฤตกิ รรมการทางานกลุ่ม และจาก
การนาเสนอผลการทากจิ กรรมหน้าชั้นเรียน
3. ครูตรวจสอบผลการทากจิ กรรมที่ 2 เร่ืองสภาพแวดล้อมท่ีเหมาะสมต่อพชื และสัตว์ ในสมุดประจาตัว
นักเรียนหรอื แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ หนา้ 57-58
4. ครูตรวจสอบผลการทากจิ กรรมหนูตอบได้ในสมดุ ประจาตัวนักเรยี นหรือแบบฝกึ หัดวิทยาศาสตร์ หนา้
59-60
5. ครูตรวจสอบผลการทาสรุปความร้ปู ระจาบทท่ี 1 ในสมุดประจาตัวนกั เรียนหรอื แบบฝกึ หัดวิทยาศาสตร์ หน้า
61
7. การวัดและประเมินผล
รายการวดั วิธวี ัด เครอื่ งมอื เกณฑก์ ารประเมนิ
7.1 การประเมินระหว่างการจดั กิจกรรม - สมุดหรือแบบฝึกหัด
วิทยาศาสตร์ ป.1
1) ผลบันทกึ การทา เลม่ 1 หน้า 57-58
กจิ กรรมที่ 2 - ตรวจสมุดหรอื แบบฝึกหดั - สมดุ หรอื แบบฝกึ หดั - รอ้ ยละ 60
วทิ ยาศาสตร์ ป.1 ผา่ นเกณฑ์
วิทยาศาสตร์ ป.1 เลม่ 1 เลม่ 1 หนา้ 59-60
- สมุดหรือแบบฝกึ หัด
หน้า 57-58 วทิ ยาศาสตร์ ป.1
เลม่ 1 หน้า 61
2) กจิ กรรมหนูตอบได้ - ตรวจสมดุ หรอื แบบฝึกหดั - รอ้ ยละ 60 ผ่าน
- แบบประเมินการ เกณฑ์
วทิ ยาศาสตร์ ป.1 เล่ม 1 นาเสนอผลการทา
กจิ กรรม
หนา้ 59-60
- แบบสงั เกตพฤติกรรม
3) สรปุ ความร้ปู ระจาบท - ตรวจสมุดหรอื แบบฝกึ หัด การทางานรายบคุ คล - ร้อยละ 60 ผ่าน
- แบบสังเกตพฤติกรรม เกณฑ์
ที่ 1 วิทยาศาสตร์ ป.1 เล่ม 1 การทางานกลุ่ม
- แบบประเมนิ
หน้า 61 คณุ ลักษณะ
อันพึงประสงค์
4) การนาเสนอผล การ - ประเมนิ การนาเสนอ - ระดบั คุณภาพ 2
ผา่ นเกณฑ์
ทากจิ กรรม ผลการทากิจกรรม
5) พฤตกิ รรม การ - สงั เกตพฤตกิ รรม - ระดบั คุณภาพ 2
ทางานรายบุคคล การทางานรายบุคคล ผา่ นเกณฑ์
- ระดบั คุณภาพ 2
6) พฤตกิ รรม การ - สังเกตพฤติกรรม ผา่ นเกณฑ์
ทางานกล่มุ การทางานกลุ่ม - ระดับคณุ ภาพ 2
- สังเกตความมีวินัย ผ่านเกณฑ์
7) คณุ ลกั ษณะ ใฝ่เรยี นรู้ และมงุ่ มัน่
อนั พงึ ประสงค์ ในการทางาน
58
8. สื่อ/แหลง่ การเรยี นรู้
8.1 ส่อื การเรียนรู้
1) หนงั สอื เรยี นวทิ ยาศาสตร์ ป.1 เล่ม 1 หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ 2 พืชและสตั ว์ในทอ้ งถ่ิน
2) แบบฝกึ หดั วทิ ยาศาสตร์ ป.1 เลม่ 1 หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 2 พชื และสตั วใ์ นทอ้ งถ่นิ
3) วัสดุ-อุปกรณก์ ารทดลองในกิจกรรมท่ี 2 ได้แก่ แวน่ ขยาย บัตรภาพสภาพแวดล้อม และใบความรู้
เรอ่ื งผลกระทบท่มี ีต่อการดารงชวี ิตของพชื และสตั ว์ เม่อื สภาพแวดล้อมเปล่ียนแปลงไป
4) PowerPoint เรอื่ งสภาพแวดล้อมที่เปน็ แหลง่ อาหารของพืชและสตั ว์
5) PowerPoint เรื่องสภาพแวดล้อมที่เปน็ แหล่งสบื พนั ธุ์และเลย้ี งลกู อ่อนของสัตว์
6) PowerPoint เรื่องสภาพแวดลอ้ มที่เป็นแหล่งหลบภยั ของสตั ว์
7) QR Code เรอ่ื งแหลง่ ท่ีอยอู่ าศยั ของพืชและสตั ว์
8.2 แหล่งการเรียนรู้
1) ห้องสมุด
2) ห้องเรียน
3) อินเทอร์เน็ต
59
60
61
62
63
64
65
66
67
เกณฑ์การวดั ประเมนิ ผล (ผ่านเกณฑใ์ นระดบั ด)ี
ชว่ งคะแนน ระดบั คณุ ภาพ
7-9 3 = ดี
4-6
1-3 2 = พอใช้
0 1 = ปรบั ปรงุ
0 = แกไ้ ข
แนวทางในการประเมนิ คุณลักษณะอนั พึงประสงค์
ประเด็นการประเมิน ระดบั คณุ ภาพ
1. มีวนิ ยั
2. ใฝเ่ รียนรู้ 3 (ดี) 2 (พอใช้) 1 (ปรบั ปรุง) 0 (แก้ไข)
3. มุง่ มั่นในการทางาน นกั เรยี นเข้าเรยี นตรง นักเรยี นเขา้ เรยี น นักเรียนเข้าเรยี น นักเรยี นไม่เข้า
ต่อเวลาสม่าเสมอ ตรงตอ่ เวลาบางครง้ั ตรงตอ่ เวลาบางครัง้ เรียน ไมป่ ฏบิ ตั ิ
ปฏบิ ตั ติ าม ปฏิบตั ติ าม ไมป่ ฏบิ ตั ิตาม ตาม
กฎระเบยี บสมา่ เสมอ กฎระเบยี บบางครงั้ กฎระเบยี บ กฎระเบยี บ
มคี วามสนใจใน มคี วามสนใจใน มีความสนใจใน ไม่มคี วามสนใจ
กจิ กรรมการเรียน กจิ กรรมการเรียน กิจกรรมการเรยี น ในกิจกรรมการ
การสอนสม่าเสมอ การสอนสม่าเสมอ การสอนบางครงั้ เรยี นการสอน
ทาใบกิจกรรมดว้ ย ทาใบกิจกรรมด้วย ไมท่ าใบกิจกรรม ไม่ทาใบ
ตนเอง ตนเองบางครั้ง ดว้ ยตนเอง กิจกรรม
นักเรียนต้ังใจทางาน นักเรยี นตงั้ ใจ นักเรียนไมต่ ัง้ ใจ นักเรียนไม่
อย่างเตม็ ทางานอย่างเต็ม ทางาน และสง่ งาน ทางานส่ง
ความสามารถแต่สง่ ไม่ทันตามเวลาที่
ความสามารถ งานไม่ตรงตามเวลา
ทางานเสรจ็ และส่ง กาหนด
ที่กาหนด
ทันตามเวลาท่ี
กาหนด
68
เกณฑก์ ารวัดประเมินผล (ผา่ นเกณฑ์ในระดบั ดี)
ช่วงคะแนน ระดบั คณุ ภาพ
7-9 3 = ดี
4-6 2 = พอใช้
1-3 1 = ปรับปรุง
0 0 = แกไ้ ข
แนวทางในการประเมินทักษะการปฏบิ ัติ
ประเดน็ การ ระดับคณุ ภาพ
ประเมนิ 3 (ดี) 2 (พอใช)้ 1 (ปรบั ปรุง) 0 (แกไ้ ข)
1. มีทกั ษะการ สมาชิกในกล่มุ มี สมาชิกในกลมุ่ มี สมาชกิ ในกล่มุ ไมม่ ี สมาชิกในกลมุ่ ไมม่ ี
วางแผนทางาน การวางแผนกอ่ น การวางแผนก่อน การวางแผนกอ่ นลง การวางแผนกอ่ น
กลุ่ม ลงมือทาปฏิบตั ิ ลงมือทาปฏิบัติ มอื ทาปฏิบัติ และ ลงมอื ทาปฏิบตั ิ
และชว่ ยเหลอื กัน และชว่ ยเหลอื กัน ช่วยเหลือกนั ทางาน และไม่ชว่ ยเหลือ
อย่างเตม็ ท่ี เป็นบางคน บางคน กันทางาน
2. มีความ สมาชกิ ในกลุ่มทกุ สมาชกิ ในกล่มุ สมาชิกในกลุ่มไม่ เฉยชาขาดสนใจไม่
กระตอื รือร้นใน คนรว่ มกันศึกษา รว่ มกันศึกษาหา ตง้ั ใจศกึ ษาหา แสดงความอยากรู้
การหาความรู้ หาความรู้อยา่ ง ความรู้อย่างต้ังใจ ความรู้ อยากเห็น
ตัง้ ใจ เป็นบางคน
3. มคี วามมน่ั ใจ สมาชิกในกลมุ่ สมาชิกในกล่มุ สมาชกิ ในกลมุ่ ไม่ สมาชกิ ในกลมุ่ ไมม่ ี
และกล้า สามารถนาเสนอ สามารถนาเสนอ สามารถนาเสนอ งาน
แสดงออก งานไดอ้ ย่างมั่นใจ งานได้อยา่ งมัน่ ใจ งานได้อย่างม่ันใจ
ถกู ต้อง ชัดเจน ถกู ต้อง ชัดเจน ถูกตอ้ ง ชัดเจน
เปน็ บางคร้งั
69
ภาคผนวก
70
ใบความรู้
เร่ือง ผลกระทบที่มตี อ่ พืชและสัตว์ เมอื่ สภาพแวดล้อมเปลย่ี นแปลงไป
สาเหตุของปัญหาสภาพแวดลอ้ ม
การเปลี่ยนแปลงตา่ ง ๆ ของสภาพแวดล้อม อาจสง่ ผลตอ่ การดารงชวี ติ ของพชื และสตั วไ์ ด้ ซึง่ สาเหตุท่ีทา
ให้สภาพแวดล้อมเกดิ การเปล่ยี นแปลง ดังน้ี
1. สาเหตุจากธรรมชาติ ได้แก่
1. ไฟป่า (wildfire) เปน็ การทาลายทรัพยากรธรรมชาติอย่างมหาศาล โดยเฉพาะทรัพยากรป่าไม้ ท้ัง
ตน้ ไมเ้ ล็กและใหญ่ พืช สตั ว์ และจลุ ินทรยี ์ชนิดต่าง ๆ ท่ีดารงชีวิตอยู่ในป่า รวมถึงทรพั ยากรที่ไม่มีชวี ิต ได้แก่
อินทรยี วตั ถุ และปยุ๋ เป็นต้น เม่ือทรัพยากรเหลา่ น้ถี ูกทาลายจะเป็นสาเหตุทาให้ปา่ ไม้หยดุ การเจริญเตบิ โต พื้นดิน
สญู เสียคณุ สมบัตใิ นการอมุ้ น้า และปา่ ท่ีถูกทาลายจะไม่สามารถรักษาดุลยภาพของสิ่งแวดลอ้ มตอ่ ไปได้ ทาให้เกิด
ภยั ตอ่ ตน้ พืชและสตั ว์ปา่ ได้
2. น้าทว่ ม (flood) เป็นภัยธรรมชาติ ซง่ึ เกดิ ข้ึนไดจ้ ากหลายสาเหตุ เช่น ฝนตกหนัก และถ้าหากการ
เคลอื่ นท่ขี องกระแสนา้ มีความเช่ียวกรากก็อาจจะทาใหเ้ กดิ แผ่นดินถล่มได้ นอกจากน้ีการไหลของนา้ บริเวณผวิ ดิน
ยังทาให้เกิดการพัดพาเอาผิวหน้าดินทม่ี ีความอดุ มสมบูรณ์ไหลลงสทู่ ่ตี ่า ทาใหผ้ วิ หน้าดินขาดปุ๋ยธรรมชาติ และทา
ให้แหล่งน้าในท่ีต่ากว่าเกิดการตื้นเขิน พ้ืนที่ถูกน้าท่วมเป็นระยะเวลานานจะมีสภาพที่ไม่เหมาะส มสาหรบั การ
เจรญิ เตบิ โตของพืช
3. ภูเขาไฟระเบิด (volcano) เป็นภัยธรรมชาติทีเ่ ปน็ ปัญหาต่อสภาพแวดล้อมและทรพั ยากรธรรมชาติ
อยา่ งมาก เนอ่ื งจากเมือ่ เกดิ การระเบิดของภเู ขาไฟ จะทาให้หนิ เหลวท่ีมีความร้อนสูงไหลเขา้ ทาลายสภาพแวดล้อม
ต่าง ๆ ทาให้สภาพแวดลอ้ มเกิดการเปลีย่ นแปลงไป และต้องใช้ระยะเวลานานกว่าจะเกิดการแทนท่ีกลับมาเป็น
ระบบนิเวศทสี่ มดุลเชน่ เดมิ ได้อีกคร้ัง
2. สาเหตจุ ากมนุษย์ ไดแ้ ก่
1. การเพิ่มของประชากร การเพิ่มมากขึ้นของประชากรโลกก็จะนามาซ่ึงความต้องการในการใช้
ทรพั ยากรธรรมชาตเิ พ่ือการดารงชีวติ จึงทาใหเ้ กดิ ผลต่าง ๆ ตามมาอย่างมากมาย เช่น การเพิม่ พ้นื ที่ทากินทางการ
เกษตร การบกุ รกุ ทาลายป่า การตั้งโรงงานอตุ สาหกรรมเพ่ือเพ่ิมกาลังการผลติ สินค้าตา่ ง ๆ เป็นต้น ความตอ้ งการ
ใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มากขึ้นเช่นน้ี จะส่งผลใหเ้ กิดการบุกรุกทาลายส่ิงแวดล้อมจนนาไปสู่การ เสียสมดุลทาง
ธรรมชาติ
71
2. การขยายตวั ของชุมชนเมือง เป็นผลให้เกิดการเปล่ยี นแปลงสภาพแวดลอ้ มทางธรรมชาตติ ่าง ๆ เนอื่ งจากการ
ขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็ว จะทาให้เกิดปญั หาขึ้นมากมาย นอกจากนหี้ ากการขยายตัวของชุมชนส่งผลใหเ้ กิด
การสร้างแหล่งอุตสาหกรรมเพ่ิมมากข้ึน ก็จะยิ่งส่งผลให้เกิดการใช้ทรัพยากรเพิ่มมากขึ้นด้วย ซึ่งหากมีการ
ควบคมุ ดแู ลท่ีไมเ่ หมาะสมก็ยอ่ มจะก่อให้เกดิ ปญั หามลพษิ ต่อสงิ่ แวดลอ้ มตามมาอยา่ งมาก
3. การสรา้ งสิ่งกอ่ สร้าง การสร้างถนน อ่างเกบ็ น้า เขอ่ื น นับวา่ เป็นสาเหตสุ าคญั ที่ทาใหท้ รัพยากรธรรมชาติ
ตา่ ง ๆ เช่น ปา่ ไม้ ดิน และน้าถกู ใชไ้ ป นอกจากน้ียงั อาจส่งผลกระทบตอ่ สตั ว์ปา่ ในพื้นท่ีนั้น เนือ่ งจากการทาลายถิ่น
ท่ีอย่ขู องสัตว์ปา่ ได้ เม่ือมนษุ ย์สร้างสง่ิ กอ่ สรา้ งในพ้นื ทีป่ ่าเพิ่มมากขน้ึ ก็จะทาให้มีการทาลายป่าอย่างต่อเนอื่ ง ปา่ จะ
เส่ือมโทรมลงและอาจหมดไปได้ สัตว์ปา่ ต่าง ๆ จะไร้ทอี่ ยู่อาศัย และอาจสญู พนั ธุ์ไปในท่ีสุด
สัตว์ป่าและพืชพรรณธรรมชาติ เมื่อป่าถูกทาลายสตั วป์ ่าไมม่ ีทีอ่ ยู่อาศัย ทาลายแหล่งอาหาร และทาลายแหล่ง
เพาะพันธุ์สัตวป์ ่า นอกจากนี้ยังทาใหก้ ารหมนุ เวียนแร่ธาตุในระบบนิเวศเกิดการเปลี่ยนแปลงไปจากเดมิ ส่งผลให้
ความหลากหลายทางชวี ภาพในระบบนเิ วศเปลี่ยนไป และอาจทาให้พชื และสตั ว์บางชนิดลดจานวนลงหรอื อาจทา
ใหเ้ กดิ การสูญพันธ์ไุ ปจากโลกได้
72
แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 5
กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวิชาวิทยาศาสตร์ รหสั วิชา ว 11101
ชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 1 ภาคเรยี นที่ 1/2565
หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 2 พชื และสัตว์ในทอ้ งถ่ิน หนว่ ยย่อยที่ 1 พชื และสตั ว์ในบริเวณตา่ งๆ
เร่อื ง ทบทวนความสัมพนั ธข์ องพืชและสตั วใ์ นแหลง่ ตา่ ง ๆ เวลา 3 ชัว่ โมง
ผูส้ อน นางสาวกวนิ ทพิ ย์ มะณี
1. มาตรฐาน/ตวั ช้วี ัด
1.1 ตวั ชว้ี ัด
ว 1.1 ป.1/1 ระบชุ อื่ พชื และสัตวท์ ีอ่ าศัยอยบู่ รเิ วณต่าง ๆ ท่ีได้จากการสารวจ
ป.1/2 บอกสภาพแวดลอ้ มทเี่ หมาะสมในบรเิ วณทพ่ี ืชและสัตว์อาศัยอยูใ่ นบริเวณทีส่ ารวจ
2. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
1. ระบชุ อ่ื พชื และสัตวท์ อ่ี าศยั อยบู่ รเิ วณต่าง ๆ ได้ (K)
2. บอกความสัมพนั ธ์ของพชื และสตั วใ์ นสภาพแวดลอ้ มได้ (K)
3. บอกสาเหตกุ ารเปลยี่ นแปลงของสภาพแวดล้อมได้ (K)
4. บอกผลกระทบตอ่ พืชและสัตวเ์ มื่อสภาพแวดลอ้ มเกิดการเปล่ียนแปลงได้ (K)
5. ออกแบบและสร้างแบบจาลองสภาพแวดล้อมทพี่ บพืชและสตั ว์ (P)
6. รับผิดชอบต่อหนา้ ที่ทไ่ี ด้รบั มอบหมาย (A)
3. สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง
1. ช่ือบรเิ วณท่ีสามารถพบพืชและสตั ว์
2. ชื่อพชื และสัตว์ทอ่ี าศัยอยู่ในบริเวณตา่ ง ๆ
3. ความสัมพนั ธข์ องพืชและสัตวใ์ นสภาพแวดลอ้ ม
4. การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดลอ้ มท่สี ง่ ผลต่อการดารงชีวิตของพชื และสัตว์
4. สาระสาคัญ/ความคิดรวบยอด
บรเิ วณตา่ ง ๆ ในทอ้ งถ่นิ เช่น สนามหญ้า ใตต้ น้ ไม้ สวนหย่อม แหลง่ น้า อาจพบพชื และสัตวห์ ลายชนิดอาศยั อยู่
พืชและสัตว์แตล่ ะชนดิ มีความสมั พนั ธ์กบั ส่ิงแวดลอ้ ม เช่น พืชและสัตวม์ คี วามสมั พนั ธ์กบั สิง่ แวดลอ้ มในด้านแหล่งท่ี
อย่อู าศยั แหลง่ อาหาร เป็นต้น ถา้ สงิ่ แวดล้อมเกิดการเปลีย่ นแปลงไปจะส่งผลกระทบตอ่ การดารงชวี ติ ของพืชและ
สัตว์
73
5. สมรรถนะสาคัญของผูเ้ รียนและคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
สมรรถนะสาคัญของผเู้ รยี น คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์
1. ความสามารถในการส่ือสาร 1. มีวินยั
2. ความสามารถในการคดิ 2. ใฝ่เรียนรู้
1) ทกั ษะการสงั เกต 3. มงุ่ มน่ั ในการทางาน
2) ทักษะการสารวจค้นหา
3) ทักษะการคิดวิเคราะห์
4) ทักษะการคดิ สรา้ งสรรค์
3. ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวิต
4. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
6. กจิ กรรมการเรียนรู้
แนวคดิ /รปู แบบการสอน/วิธกี ารสอน/เทคนิค : สบื เสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model)
ชวั่ โมงที่ 1
6.1 ขน้ั กระตุน้ ความสนใจ (Engage)
1. นกั เรยี นแบง่ กลมุ่ โดยให้นกั เรียนเล่นเกมสง่ ตอ่ สิ่งของ โดยครนู าลกู บอล 5 ลูก มาให้นกั เรียนถือไว้
2. พอครเู รม่ิ เปิดเพลงใหส้ ่งตอ่ ลูกบอลกระดาษไปเรอื่ ย ๆ เมื่อเพลงหยดุ ลูกบอลกระดาษอยู่กบั ใคร ให้
ถือลูกบอลไวแ้ ลว้ ออกมาอยู่กลุม่ เดียวกัน เล่นไปจนกวา่ นักเรยี นทกุ คนมกี ลมุ่
(หมายเหต:ุ ครูเรม่ิ ประเมินนักเรียน โดยใช้แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทางานกลุ่ม)
3. นักเรยี นแต่ละกล่มุ ชว่ ยกันทากจิ กรรมฝึกทกั ษะ บทท่ี 1 จากหนังสอื เรยี นวิทยาศาสตร์ หน้า 57-58 ลงใน
สมุดประจาตวั นักเรียนหรอื แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ หน้า 62-64
4. ครูให้นักเรียนนาสมดุ ประจาตัวนักเรยี นหรอื แบบฝกึ หัดวทิ ยาศาสตร์ มาสง่ ครหู นา้ ช้นั เรียน
5. นกั เรียนที่เป็นตวั แทนกลุ่มแต่ละกลุ่มออกมาเฉลยกิจกรรมฝึกทกั ษะบทที่ 1 กลมุ่ ละ 1 ข้อ โดยครอู ธบิ าย
เพม่ิ เติม
6.2 ข้นั สารวจค้นหา (Explore)
1. ครูสรปุ สาระสาคญั ประจาหนว่ ยการเรียนรู้ที่ 2 โดยให้นกั เรียนเปิดหนังสือเรียนวทิ ยาศาสตร์ หนา้ 59 ตามเพื่อ
ความเข้าใจ
74
2. นักเรยี นแต่ละคนทาตรวจสอบตนเองในหนงั สือเรียนวิทยาศาสตร์ หน้า 56
3. นักเรียนและครูรว่ มกันสรุปเก่ียวกบั เนือ้ หาท้งั หมดท่ไี ด้เรยี นในหนว่ ยที่ 2
ชวั่ โมงที่ 2
6.3 ข้ันอธบิ ายความรู้ (Explain)
1. ครใู ห้นักเรียนเข้ากลุม่ โดยใช้กล่มุ เดิมจากชว่ั โมงทแ่ี ล้ว
2. ใหแ้ ต่ละกลุม่ ทากจิ กรรมสรา้ งสรรคผ์ ลงาน จากหนังสือเรยี นวทิ ยาศาสตร์ หน้า 58 หรือในแบบฝกึ หัด
วิทยาศาสตร์ หนา้ 66
(หมายเหต:ุ ครเู ร่ิมประเมินนักเรียน โดยใช้แบบสังเกตพฤตกิ รรมการทางานกลุ่ม)
3. โดยใหแ้ ตล่ ะกลุ่มสารวจสภาพแวดล้อมทพ่ี บพืชและสตั วใ์ นบริเวณบ้านหรือชุมชน จากน้ันชว่ ยกัน
ออกแบบและสรา้ งแบบจาลองสภาพแวดลอ้ มที่พบพืชและสตั ว์มา 1 แหง่ โดยใช้วสั ดตุ ่าง ๆ แลว้ นาเสนอ
ผลงานหน้าชนั้ เรยี น โดยให้แตล่ ะกล่มุ ทาชิ้นงาน 40 นาที
4. ใหน้ ักเรียนแตล่ ะกลมุ่ เตรียมตวั นาเสนอผลงานหน้าช้นั เรียน
6. ครสู มุ่ แต่ละกล่มุ ออกมานาเสนอชิ้นงาน โดยครูกาหนดใหแ้ ต่ละกลุม่ ใชเ้ วลาในการนาเสนอ 5 นาที
(หมายเหต:ุ ครเู รมิ่ ประเมินนักเรยี น โดยใชแ้ บบประเมนิ การนาเสนอหนา้ ช้ันเรียน)
(หมายเหตุ: ครูเรม่ิ ประเมินนักเรยี น โดยใชแ้ บบประเมินผลงาน/ช้นิ งาน)
7. ครสู รปุ ผลการนาเสนอของนักเรยี นแตล่ ะกลุ่ม ให้ฟงั อกี คร้งั
8. ครูใหน้ ักเรยี นทาทบทวนทา้ ยหน่วยในแบบฝกึ หัดวิทยาศาสตร์ หน้า 67-69
ชวั่ โมงท่ี 3
6.4 ขน้ั ขยายความเข้าใจ (Elaborate)
1. ครใู ห้นกั เรียนชว่ ยกันทบทวนความรู้เก่ียวกับเร่อื งพชื และสตั ว์ในท้องถิ่น โดยครคู อยเสริมในสว่ นทขี่ าด
2. ครใู หน้ กั เรียนทาแบบทดสอบหลงั เรยี น เพ่อื วดั ความร้ขู องนักเรียนหลงั เรียนหนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ 2 จบแลว้
3. นักเรียนแบง่ กลุ่ม กลุม่ ละ 4 คน ท่มี ีความสามารถคละกนั คือ เก่ง ปานกลาง ค่อนข้างอ่อน และอ่อน อยู่
ดว้ ยกัน
(หมายเหต:ุ ครูเริ่มประเมินนักเรียน โดยใช้แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทางานกลุ่ม)
4. ครใู ช้รปู แบบการเรียนการสอนแบบรว่ มมือเทคนคิ เพื่อนคคู่ ดิ ส่สี หาย โดยใหส้ มาชิกภายในกลุม่ จับคกู่ นั
แลว้ ช่วยกนั ศึกษาและทาความเขา้ ใจ Project STEM เรอื่ ง แบบจาลองฟนั จากแบบฝึกหัดวทิ ยาศาสตร์
หน้า 70-75 โดยครูคอยสงั เกตการทากจิ กรรมของนกั เรยี นอย่างใกลช้ ิด
75
5. โดยระหว่างการทา Project STEM ให้นกั เรยี นบันทกึ ขัน้ ตอนการทากิจกรรมลงในแบบฝกึ หัดวิทยาศาสตร์ หนา้ 70-
75
6. เม่ือนักเรียนแตล่ ะค่ศู กึ ษาและทาความเขา้ ใจแล้ว ให้กลบั มารวมกล่มุ กนั 4 คน แลว้ ผลดั กนั แลกเปลย่ี นความรู้
จากนน้ั ชว่ ยกันสร้างช้ินงานแบบจาลองฟัน
7. ครกู าหนดเวลาในการทากิจกรรม 50 นาที แลว้ เตรยี มตัวนาเสนองานหน้าช้นั เรยี น
8. ครใู หต้ ัวแทนแตล่ ะกลมุ่ ออกมานาเสนอช้ินงาน โดยครคู อยแนะนาในส่วนทบ่ี กพร่อง
(หมายเหตุ: ครูเรมิ่ ประเมนิ นักเรียน โดยใชแ้ บบประเมนิ การนาเสนอหนา้ ช้ันเรียน)
6.5 ข้ันตรวจสอบผล (Evaluate)
1. ครูใหน้ กั เรยี นทาแบบทดสอบหลังเรยี น เพือ่ วัดความเข้าใจหลังจากเรยี นจบหน่วยการเรยี นรู้ที่ 2
2. ครูประเมนิ ผลนักเรยี น โดยการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรายบคุ คล พฤตกิ รรมการทางานกลุ่ม และจาก
การนาเสนอผลการทากจิ กรรมหน้าชั้นเรียน
3. ครูตรวจสอบผลการทากจิ กรรมฝึกทักษะ บทที่ 1 ในสมุดประจาตัวนักเรียนหรือแบบฝึกหัดวทิ ยาศาสตร์ หน้า
62-64
4. ครูตรวจสอบผลการทาทบทวนทา้ ยหนว่ ยในแบบฝกึ หดั วิทยาศาสตร์ หนา้ 67-69
5. ครูวัดและประเมินผลจากช้ินงานท่นี กั เรียนได้สรา้ งข้ึนจากขัน้ อธบิ ายความรขู้ องนกั เรียนเปน็ กล่มุ
6. ครูวัดและประเมินผลจากชิ้นงาน Project STEM เรอื่ ง แบบจาลองฟัน
76
7. การวัดและประเมินผล
รายการวดั วธิ ีวดั เครอ่ื งมอื เกณฑก์ ารประเมนิ
7.1 การประเมินระหวา่ งการจดั กิจกรรม
1) กิจกรรมฝกึ ทักษะ
- ตรวจสมุดประจาตวั - สมดุ ประจาตวั - ร้อยละ 60
นักเรยี นหรือ นกั เรยี นหรอื ผา่ นเกณฑ์
แบบฝึกหดั แบบฝึกหัด
วิทยาศาสตร์ ป.1 วทิ ยาศาสตร์ ป.1
เล่ม 1 หน้า 62-64 เลม่ 1 หนา้ 62-64
2) ชิน้ งาน Project - ประเมินผลจากช้นิ งาน - แบบประเมนิ ผลงาน/ - ระดับคุณภาพ 2
STEM Project STEM ชิ้นงาน ผา่ นเกณฑ์
3) กจิ กรรมสร้างสรรค์ - ประเมินผลงาน/ช้นิ งาน - แบบประเมินผลงาน/ - ระดับคณุ ภาพ 2
ผลงาน ช้ินงาน ผ่านเกณฑ์
4) การนาเสนอผลงาน/ - ประเมินการนาเสนอ - แบบประเมิน การ - ระดับคณุ ภาพ 2
ช้ินงาน ผลงาน/ชิน้ งาน นาเสนอผลงาน ผ่านเกณฑ์
5) พฤตกิ รรม - สังเกตพฤตกิ รรม - แบบสังเกตพฤติกรรม - ระดบั คณุ ภาพ 2
การทางานรายบุคคล การทางานรายบุคคล การทางานรายบุคคล ผ่านเกณฑ์
6) พฤตกิ รรม - สังเกตพฤติกรรม - แบบสังเกตพฤติกรรม - ระดับคุณภาพ 2
การทางานกลุ่ม การทางานกลุ่ม การทางานกลมุ่ ผา่ นเกณฑ์
7) คุณลักษณะ - สงั เกตความมีวินยั - แบบประเมนิ - ระดับคุณภาพ 2
อนั พงึ ประสงค์ ใฝ่เรียนรู้ และมุง่ มั่น คุณลักษณะ ผ่านเกณฑ์
ในการทางาน อนั พึงประสงค์
7.2 การประเมนิ หลังเรียน
- แบบทดสอบหลังเรียน - แบบทดสอบ - รอ้ ยละ 60
หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 2 - ตรวจแบบทดสอบ หลังเรยี น หนว่ ยการ ผ่านเกณฑ์
เรื่อง พชื และสตั วใ์ น หลังเรยี น หนว่ ยการ เรียนรู้ท่ี 2
ทอ้ งถ่ิน เรียนรู้ที่ 2
- ทบทวนท้ายหน่วย - ตรวจแบบฝกึ หดั - แบบฝึกหัด - ร้อยละ 60
หนว่ ยการเรียนรูท้ ่ี 2 วทิ ยาศาสตร์ ป.1 วทิ ยาศาสตร์ ป.1 ผ่านเกณฑ์
เลม่ 1 หน้า 67-69 เลม่ 1 หนา้ 67-69
77
8. ส่อื /แหลง่ การเรยี นรู้
8.1 สือ่ การเรยี นรู้
1) หนังสือเรยี นวทิ ยาศาสตร์ ป.1 เล่ม 1 หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 2 พชื และสตั ว์ในท้องถ่ิน
2) แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ป.1 เลม่ 1 หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ 2 พชื และสตั ว์ในทอ้ งถ่นิ
3) ลูกบอล 5 ลูก
4) วสั ดุ-อุปกรณท์ ่ีใชใ้ นกิจกรรมสร้างสรรค์ผลงาน เช่น กระดาษแข็ง สไี ม้ เป็นต้น
5) วัสดุ-อุปกรณท์ ีใ่ ช้ในกจิ กรรม Project STEM เชน่ ดนิ น้ามัน กระดาษลงั ดนิ สอ เปน็ ตน้
8.2 แหล่งการเรียนรู้
1) ห้องเรียน
78
79
80
81
82
83
84
85
86
เกณฑ์การวดั ประเมนิ ผล (ผา่ นเกณฑใ์ นระดบั ด)ี
ชว่ งคะแนน ระดบั คณุ ภาพ
7-9 3 = ดี
4-6
1-3 2 = พอใช้
0 1 = ปรบั ปรุง
0 = แกไ้ ข
แนวทางในการประเมนิ คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์
ประเด็นการประเมิน ระดบั คณุ ภาพ
1. มีวนิ ยั
2. ใฝเ่ รียนรู้ 3 (ดี) 2 (พอใช้) 1 (ปรบั ปรงุ ) 0 (แก้ไข)
3. มุง่ มั่นในการทางาน นกั เรยี นเข้าเรยี นตรง นักเรยี นเขา้ เรยี น นักเรียนเขา้ เรียน นักเรยี นไม่เข้า
ต่อเวลาสม่าเสมอ ตรงตอ่ เวลาบางครง้ั ตรงตอ่ เวลาบางคร้ัง เรียน ไมป่ ฏบิ ตั ิ
ปฏบิ ตั ติ าม ปฏิบัตติ าม ไมป่ ฏบิ ตั ิตาม ตาม
กฎระเบยี บสมา่ เสมอ กฎระเบียบบางครงั้ กฎระเบยี บ กฎระเบยี บ
มคี วามสนใจใน มคี วามสนใจใน มีความสนใจใน ไม่มีความสนใจ
กจิ กรรมการเรียน กจิ กรรมการเรียน กิจกรรมการเรยี น ในกจิ กรรมการ
การสอนสม่าเสมอ การสอนสม่าเสมอ การสอนบางครงั้ เรียนการสอน
ทาใบกิจกรรมดว้ ย ทาใบกิจกรรมด้วย ไมท่ าใบกิจกรรม ไมท่ าใบ
ตนเอง ตนเองบางครั้ง ดว้ ยตนเอง กจิ กรรม
นักเรียนต้ังใจทางาน นักเรียนตงั้ ใจ นักเรียนไมต่ ้ังใจ นักเรียนไม่
อย่างเตม็ ทางานอย่างเต็ม ทางาน และสง่ งาน ทางานส่ง
ความสามารถแต่สง่ ไม่ทันตามเวลาที่
ความสามารถ งานไม่ตรงตามเวลา
ทางานเสรจ็ และส่ง กาหนด
ที่กาหนด
ทันตามเวลาท่ี
กาหนด
87
เกณฑก์ ารวัดประเมินผล (ผา่ นเกณฑ์ในระดบั ด)ี
ช่วงคะแนน ระดบั คณุ ภาพ
7-9 3 = ดี
4-6 2 = พอใช้
1-3 1 = ปรับปรุง
0 0 = แกไ้ ข
แนวทางในการประเมินทักษะการปฏบิ ัติ
ประเดน็ การ ระดับคณุ ภาพ
ประเมนิ 3 (ดี) 2 (พอใช)้ 1 (ปรบั ปรงุ ) 0 (แกไ้ ข)
1. มีทกั ษะการ สมาชิกในกล่มุ มี สมาชิกในกลมุ่ มี สมาชกิ ในกล่มุ ไมม่ ี สมาชิกในกลมุ่ ไมม่ ี
วางแผนทางาน การวางแผนกอ่ น การวางแผนก่อน การวางแผนกอ่ นลง การวางแผนกอ่ น
กลุ่ม ลงมือทาปฏิบตั ิ ลงมือทาปฏิบัติ มอื ทาปฏิบัติ และ ลงมอื ทาปฏิบตั ิ
และชว่ ยเหลอื กัน และชว่ ยเหลอื กัน ช่วยเหลือกนั ทางาน และไม่ชว่ ยเหลือ
อย่างเตม็ ท่ี เป็นบางคน บางคน กันทางาน
2. มีความ สมาชกิ ในกลุ่มทกุ สมาชกิ ในกล่มุ สมาชิกในกลุ่มไม่ เฉยชาขาดสนใจไม่
กระตอื รือร้นใน คนรว่ มกันศึกษา รว่ มกันศึกษาหา ตง้ั ใจศกึ ษาหา แสดงความอยากรู้
การหาความรู้ หาความรู้อยา่ ง ความรู้อย่างต้ังใจ ความรู้ อยากเห็น
ตัง้ ใจ เป็นบางคน
3. มคี วามมน่ั ใจ สมาชิกในกลมุ่ สมาชิกในกล่มุ สมาชกิ ในกลมุ่ ไม่ สมาชกิ ในกลมุ่ ไมม่ ี
และกล้า สามารถนาเสนอ สามารถนาเสนอ สามารถนาเสนอ งาน
แสดงออก งานไดอ้ ย่างมั่นใจ งานได้อยา่ งมัน่ ใจ งานได้อย่างมั่นใจ
ถกู ต้อง ชัดเจน ถกู ต้อง ชัดเจน ถูกตอ้ ง ชัดเจน
เปน็ บางคร้งั