รปู แบบการจดั การเรียนการสอน โรงเรียนชมุ ชนบา้ นพบพระ 1
รูปแบบการจัดการเรียนการสอน โรงเรียนชมุ ชนบ้านพบพระ 2
ส่วนนำ
-----------------------------------------------------------------------------------------
รปู แบบการจัดการเรียนการสอนฉบับนเ้ี ปน็ สว่ นหนึ่งของการนำเสนอรปู แบบการจัดการเรียนการสอน
ของครูผู้สอนทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ของโรงเรียนชุมชนบ้านพบพระ ในการพัฒนาความรู้ ความสามารถ
เสริมสร้างทกั ษะของนักเรียน ในรูแบบที่หลากหลาย เป็นแนวทางการจัดการเรียนรู้ท่ีเป็นต้นแบบ รวมทั้งเป็น
แนวทางในการแกไ้ ขปญั หานกั เรียนในเร่ืองของการเรยี นรใู้ นช้ันเรียนเปน็ อยา่ งดี
ทั้งนี้ การจัดการเรียนการสอนนั้นเป็นไปตามทฤษฎีการจัดการเรียนการสอน ที่มีความเหมาะสมกับ
ช่วงวัยของนักเรียน เหมาะสมกับความต้องการของนักเรียนที่มีความหลากหลาย ครูผู้สอนได้ริเริ่มสร้างสรรค์
การจัดการเรียนการสอนที่แปลกใหม่ ประกอบกับการใช้สื่อ เทคโนโลยีมาจัดการเรียนรู้ เน้ นกระบวนการมี
ส่วนร่วม และเนน้ ผเู้ รยี นเปน็ สำคญั
กลมุ่ บริหารวชิ าการขอขอบพระคุณผู้อำนวยการ รองผู้อำนวยการ คณะครูโรงเรยี นชุมชนบา้ นพบพระ
รวมไปถงึ นกั เรียนโรงเรยี นชุมชนบ้านพบพระทุกคน ทใ่ี หค้ วามรว่ มมือในการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนของ
ครูผสู้ อน เพือ่ เปน็ ประโยชนต์ อ่ ครผู สู้ อนในทุกกล่มุ สาระการเรียนรู้ และเป็นประโยน์ตอ่ ผู้สนใจ
กลุ่มบรหิ ารวชิ าการโรงเรยี นชมุ ชนบ้านพบพระ
รูปแบบการจดั การเรียนการสอน โรงเรยี นชุมชนบา้ นพบพระ ๑
รูปแบบการเรียนการสอน
รูปแบบการเรียนการสอนเป็นเครื่องมือสาหรับครูนำไปใช้เป็นกรอบการดำเนินงานในการจัดการเรียน
การสอนเพื่อให้ผู้เรียนบรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้เฉพาะของรูปแบบการเรียนการสอนที่นำไปใช้ รูปแบบการ
เรยี นการสอนแต่ละรปู แบบได้รับการออกแบบและพัฒนาโดยมีพ้ืนฐานมาจากทฤษฎีการเรียนรู้และทฤษฎีการ
สอนที่ยึดถือและได้รับการทดสอบแล้วว่าสามารถทาให้ผู้เรียนเกิดผลการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์เฉพาะของ
รูปแบบการเรียนการสอนนั้นได้ การนารูปแบบการเรียนการสอนมาใช้จึงช่วยอำนวยความสะดวกในการวาง
แผนการเรียนการสอนของครู ครูไม่ต้องลองถูกลองผิด ทาให้ประหยัดเวลา และคาดหวังผลการเรียนรู้ตามท่ี
ต้องการได้
เนื้อหาเกี่ยวข้องกับรูปแบบการเรียนการสอนสากลที่เป็นที่นิยมในวงการศึกษา และรูปแบบการเรียน
การสอนที่เป็นผลงานการพัฒนาของคณาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐมที่ได้เสนอรูปแบบการเรียนการ
สอนสาหรับใช้จัดการเรียนการสอนในวิชาต่าง ๆที่พบว่านักเรียนมีปัญหาในด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
เพื่อเป็นทางเลือกให้ครูในสถานศึกษาทั้งในท้องถิ่นและใกล้เคียงนาไปใช้พัฒนาผู้เรียนตามจุดประสงค์เฉพาะ
ของรูปแบบการเรียนการสอนนั้น
ความหมายของรปู แบบการเรียนการสอน
คำว่า รปู แบบการสอน รปู แบบการเรียนการสอน และรปู แบบการเรยี นรู้ ยงั คงเป็นคำท่มี ีการนามาใช้ใน
ความหมายท่ีเหมือนกัน นักการศกึ ษาได้ให้ความหมายของรูปแบบการเรียนการสอนดังนี้
จอยสแ์ ละวลี (Joyce & Weil, 1996, p. 11) อ้างแนวคดิ ของดิวอี้ (Dewey) ท่กี ลา่ วว่าแก่น
ของกระบวนการสอนก็คือ การจัดสิ่งแวดล้อมให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ร่วมด้วยเพื่อศึกษาหาวิ ธีว่าจะเรียนรู้ได้
อย่างไร ดังนั้น รูปแบบการสอนจึงเป็นการอธิบายสภาพของสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ต่าง ๆ ตั้งแต่การวางแผน
หลักสูตร รายวิชา หน่วยการเรียนรู้และบทเรียน ไปจนถึงการออกแบบและพัฒนาส่ือการเรียนการสอน ตำรา
และโปรแกรมการเรียนร้ตู า่ ง ๆ เพ่อื เป็นเครื่องมือการเรยี นร้สู าหรับผเู้ รียน
เอกเกนและคอชัค (Eggen & Kauchak, 2006, p. 21) กลา่ ววา่ รปู แบบการสอน หมายถงึ
กลวิธีการสอนเฉพาะที่ได้รบั การออกแบบโดยมีพ้ืนฐานมาจากทฤษฎีการเรียนรู้และการจงู ใจเพ่ือช่วยให้ผู้เรียน
บรรลจุ ุดประสงค์การเรียนรู้เฉพาะ รูปแบบการสอนจะบรรยายสภาพท่วั ไปของการดาเนนิ การที่ครูทำเพื่อช่วย
ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยมิได้เป็นลักษณะของการสั่งการให้ครูต้องทาตามทุกอย่างรูปแบบการสอนเป็น
แนวทางทั่วไปสาหรับชี้แนะการจัดการเรียนการสอนของครู ซึ่งไม่สามารถแทนที่ทักษะหรือความชำนาญการ
ของผทู้ ม่ี คี วามเชยี่ วชาญได้
ทิศนา แขมมณี (2555, หน้า 221) ให้ความหมายของรูปแบบการเรียนการสอน คือสภาพ
ลักษณะของการเรียนการสอนที่ครอบคลุมองค์ประกอบสำคัญซึ่งได้รับการจัดไว้อย่างเป็นระบบ ตามหลัก
ปรชั ญา ทฤษฎี หลักการ แนวคิดหรือความเชื่อต่าง ๆ โดยประกอบด้วยกระบวนการหรือข้ันตอนสำคัญในการ
เรียนการสอน รวมทั้งวิธีสอนและเทคนิคการสอนต่าง ๆ ที่สามารถช่วยให้การเรียนการสอนนั้นเป็นไปตาม
ทฤษฎี หลักการสอนหรือแนวคิดที่ยึดถือ รปู แบบการเรยี นการสอนจะต้องไดร้ ับการพสิ ูจน์ทดสอบหรือยอมรับ
วา่ มปี ระสทิ ธิภาพ สามารถใชเ้ ป็นแบบแผนในการเรียนการสอนใหบ้ รรลวุ ตั ถปุ ระสงค์เฉพาะของรูปแบบนน้ั ๆ
รูปแบบการจดั การเรียนการสอน โรงเรียนชมุ ชนบา้ นพบพระ ๒
จากความหมายทน่ี ามากล่าวข้างต้น รูปแบบการเรยี นการสอนจงึ เป็นแบบแผนของการจดั การ
เรยี นการสอนทไ่ี ด้รับการออกแบบโดยมที ฤษฎกี ารเรียนรแู้ ละการจูงใจเป็นพน้ื ฐาน เพ่ือใชเ้ ป็นแนวทางให้แก่ครู
นาไปจดั การเรียนการสอนให้บรรลุวัตถปุ ระสงคเ์ ฉพาะของรปู แบบการเรยี นการสอนน้ัน
ลกั ษณะสำคญั ของรูปแบบการเรยี นการสอน
เอกเกนและคอชัค (Eggen & Kauchak, 2006, p. 18) กล่าวว่า รปู แบบการสอนเปน็ แบบ
แผนการดาเนินการเรยี นการสอนท่ีมลี ักษณะแตกต่างจากการเรยี นการสอนทว่ั ไป อยู่ 4 ประการ ได้แก่
1) รปู แบบการสอนได้รบั การออกแบบโดยมจี ุดมุ่งหมายเพ่ือให้ผเู้ รียนมีผลการเรยี นรูต้ าม
จดุ มุ่งหมายเฉพาะของรูปแบบการสอนน้ัน
2) รูปแบบการสอนประกอบดว้ ยขนั้ ตอนการเรียนการสอนเฉพาะท่กี ำหนดข้นึ เพื่อชว่ ยให้
ผ้เู รียนบรรลจุ ุดประสงค์การเรียนรู้ของรูปแบบการสอนนั้น
3) รูปแบบการสอนมพี ื้นฐานมาจากทฤษฎีการเรยี นรู้
4) รูปแบบการสอนได้รับการสง่ เสริมด้วยทฤษฎกี ารจูงใจ
ทิศนา แขมมณี (2555, หน้า 222) กล่าวถงึ องคป์ ระกอบสำคญั ท่รี ปู แบบการเรียนการสอน
จาเป็นต้องมี ได้แก่
1) มปี รชั ญา ทฤษฎี หลกั การ แนวคิด หรือความเช่ือท่เี ป็นพืน้ ฐานหรือเป็นหลักการของรปู แบบ
การสอนนัน้
2) มกี ารบรรยายและอธบิ ายสภาพหรือลกั ษณะของการจัดการเรียนการสอนทสี่ อดคล้องกบั
หลักการทยี่ ึดถือ
3) มกี ารจดั ระบบ คอื มีการจัดองค์ประกอบและความสัมพนั ธ์ขององคป์ ระกอบของระบบให้
สามารถนาผเู้ รียนไปสู่เป้าหมายของระบบหรือกระบวนการนน้ั ๆ
4) มีการอธบิ ายหรอื ให้ข้อมูลเก่ียวกับวธิ ีสอนและเทคนิคการสอนตา่ ง ๆ อันจะช่วยให้
กระบวนการเรียนการสอนน้ัน ๆ เกดิ ประสทิ ธภิ าพสงู สดุ
จากลกั ษณะสำคญั ของรปู แบบการเรยี นการสอนดังกล่าว จะเห็นว่ารปู แบบการเรียนการสอน
จะต้องผา่ นการออกแบบมาเปน็ อย่างดเี พ่อื ใชเ้ ป็นแบบแผนหรือแนวทางในการปฏิบัติการเรยี นการสอน เพื่อให้
บรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้เฉพาะ โดยมีพื้นฐานมาจากทฤษฎีการเรียนรู้ซึ่งใช้ในการกาหนดลักษณะของ
องค์ประกอบการเรียนการสอน และนาวิธีการเชิงระบบมาจัดควาสัมพันธ์ขององค์ประกอบการเรียนการสอน
เหล่าน้นั
รูปแบบการเรียนการสอนเปรียบเสมือนพิมพ์เขียวที่วิศวกรใช้เป็นแบบแผนในการสร้างอาคาร แต่
รปู แบบการเรยี นการสอนเป็นพมิ พเ์ ขยี วสาหรับครซู ่งึ ใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรยี นการสอนและเปิดโอกาส
ให้ครูที่มีความคิดสร้างสรรค์และความชำนาญสามารถปรับใช้ให้เหมาะกับผู้เรียนและบริบทในการเรียนการ
สอนได้ เช่นเดียวกับที่วิศวกรผู้ชานาญงานใชค้ วามสามารถและความคิดริเร่ิมในการดาเนินการก่อสร้างอาคาร
(Eggen & Kauchak, 2006, p. 19)
ประเภทของรูปแบบการเรยี นการสอน
จอยส์และวีล (Joyce & Weil, 1996, pp. 12-22) แบ่งรูปแบบการสอนออกเปน็ 4 กลุม่
ตามจุดมงุ่ หมายและวิธกี ารเรียนรูข้ องมนุษย์ ได้แก่
รปู แบบการจดั การเรียนการสอน โรงเรียนชุมชนบ้านพบพระ ๓
1) รปู แบบการสอนในกล่มุ ทใี่ ช้การปฏสิ มั พนั ธท์ างสงั คม (social family) เป็นรปู แบบ
การสอนที่ใช้ประโยชน์จากการสร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ โดยเห็นว่าการจัดการห้องเรียนจะช่วยส่งเสริม
ความสัมพนั ธแ์ บบรว่ มมือในห้องเรยี น ซ่ึงมีผลต่อกระบวนการเรียนรู้ จุดมุ่งหมายของรูปแบบการสอน
ในกลุ่มน้ี มดี ังนี้
(1) สง่ เสรมิ ให้ผู้เรยี นทางานร่วมกันในการแกป้ ัญหาทางวชิ าการและปัญหาของ
สงั คม
(2) พัฒนาทักษะทางด้านปฏิสมั พันธ์ทางสังคมของผูเ้ รยี น
(3) สร้างความตระหนักในด้านค่านยิ มของตนและสงั คม
ตัวอย่างรปู แบบการสอนในกลุ่มน้ี ได้แก่ เพ่ือนเรียน (partners in learning model)
กล่มุ สืบสอบ (group investigation model) รูปแบบการสอนโดยการซกั คา้ น (jurisprudential inquiry
model) และรูปแบบการสอนบทบาทสมมติ (role playing model) เปน็ ตน้
2) รูปแบบการสอนในกลมุ่ กระบวนการประมวลผลสารสนเทศ (information-processing
family) เป็นรูปแบบการสอนทีส่ ง่ เสริมกระบวนการสรา้ งความเข้าใจและจดจาสารสนเทศของผู้เรยี น และการ
พัฒนาความคิด สติปญั ญาของผู้เรยี น จุดมุง่ หมายของรปู แบบการสอนในกลุ่มน้ี มดี งั น้ี
(1) ส่งเสรมิ การสรา้ งความคิดรวบยอดและหลกั การ
(2) พฒั นาความสามารถทางสติปญั ญา ได้แก่ ทกั ษะการคิดและกระบวนการคิด
ตา่ งๆ เช่น การคิดวิเคราะห์ การคิดเชิงเหตุผล การคิดสรา้ งสรรค์ เป็นตน้
(3) พัฒนาทักษะกระบวนการแก้ปญั หาและกระบวนการสืบสอบ
ตัวอย่างของรูปแบบการสอนในกลมุ่ นี้ ได้แก่ รปู แบบการสอนมโนทศั น์ (concept attainment
model) รูปแบบการสอนโดยการนาเสนอมโนทัศนก์ ว้างล่วงหน้า (advance organizer model) รูปแบบการ
สอนที่เน้นความจา (memory assists model) รูปแบบการสอนแบบสืบสอบทางวิทยาศาสตร์ (scientific
inquiry model) เปน็ ต้น
3) รูปแบบการสอนในกล่มุ ทเี่ ก่ียวกับการพัฒนาตน (personal family) รูปแบบการสอนใน
กลุ่มนม้ี จี ดุ มุ่งหมาย ดงั นี้
(1) สรา้ งความสานึกในคุณคา่ ของตนเองและความเขา้ ใจตนเอง
(2) ส่งเสรมิ ความร่วมมือระหว่างผูส้ อนและผูเ้ รียน ผู้สอนทาหนา้ ทเ่ี ปน็ ผแู้ นะแนว
ช่วยเหลือผู้เรียนให้มีความเข้าใจบทบาทในการจัดการเรียนรู้ของตนเอง สามารถกาหนดจุดมุ่งหมายในการ
เรยี นรู้ และวางแผนเพอื่ พฒั นาสมรรถภาพของตนเองได้
(3) ทาใหผ้ ้เู รยี นเปิดใจกว้างต่อประสบการณ์ใหม่ตัวอยา่ งรูปแบบการสอนในกลุม่ น้ี
ได้แก่ รปู แบบการสอนทางออ้ ม (nondirective teaching)รูปแบบการสอนเพ่ือสง่ เสริมความตระหนกั แห่งตน
(enhancing self-esteem) เป็นต้น
4) รูปแบบการสอนในกลมุ่ ที่เก่ยี วกับการปรบั พฤติกรรม (behavioral systems family)
จดุ ม่งุ หมายหลักของรปู แบบการสอนในกลมุ่ นี้คือ การใหผ้ ู้เรียนได้เรยี นรู้ข้อเทจ็ จริง ความคดิ รวบยอดตลอดจน
การฝกึ ทักษะและพฒั นาพฤติกรรมทางสังคม โดยมอบหมายงานใหผ้ ู้เรียนปฏิบัตแิ ละได้รับข้อมูลย้อนกลบั
รปู แบบการจัดการเรยี นการสอน โรงเรยี นชมุ ชนบา้ นพบพระ ๔
เกี่ยวกับผลการปฏบิ ัติ ซึง่ นักเรียนจะปฏิบัติงานจนไดผ้ ลเป็นที่นา่ พอใจ เม่ือได้รับทราบข้อมูลยอ้ นกลบั และ
ไดร้ ับผลจากการปฏิบัตินนั้
ตัวอยา่ งของรปู แบบการสอนในกลุม่ น้ี ไดแ้ ก่ รูปแบบการเรียนแบบรอบรู้ (masterylearning)
รปู แบบการสอนตรง (direct instruction) รูปแบบการเรียนรู้ทางสังคม (social learning) รปู แบบการสอน
แบบโปรแกรม (programmed schedule) เปน็ ต้น
ทิศนา แขมมณี (2555, หนา้ 224) แบ่งประเภทของรูปแบบการเรยี นการสอนตามลกั ษณะและ
วตั ถปุ ระสงคเ์ ฉพาะหรือเจตนารมณข์ องรปู แบบ ออกเปน็ 5 หมวด ไดแ้ ก่
1) รูปแบบการเรยี นการสอนทเี่ นน้ การพฒั นาด้านพุทธิพสิ ยั (cognitive domain)
2) รูปแบบการเรยี นการสอนทเี่ นน้ การพัฒนาดา้ นจติ พิสัย (affective domain)
3) รูปแบบการเรยี นการสอนท่ีเนน้ การพัฒนาดา้ นทกั ษะพิสยั (psycho-motor domain)
4) รปู แบบการเรยี นการสอนท่ีเนน้ การพฒั นาดา้ นทกั ษะกระบวนการ (process skills)
5) รูปแบบการเรียนการสอนทเ่ี น้นการบูรณาการ (integration)
อาเรนด์ (Arends, 2001, p. 25) ไดแ้ บ่งรูปแบบการเรียนการสอนออกเปน็ 2 กลมุ่ โดยพจิ ารณา
จากบทบาทของผสู้ อนและผ้เู รียน ดงั นี้
1) รูปแบบการเรยี นการสอนทเี่ นน้ ครูเป็นศูนย์กลาง (teacher-centered model) หมายถงึ
รูปแบบการเรียนการสอนที่ครูเป็นผู้มีบทบาทสาคัญในการเตรียมเนื้ อหาและเป็นผู้ควบคุมกากับขั้นตอนของ
การเรยี นการสอน ช่อื ทใ่ี ชเ้ รยี กรูปแบบการเรียนการสอนในกล่มุ นี้ มกั เรียกวา่ รปู แบบการสอน เช่นรูปแบบการ
สอนตรง (direct instruction model) รูปแบบการสอนความคิดรวบยอด (concept teaching model) เปน็ ตน้
2) รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเปน็ ศนู ย์กลาง (student-centered model)
หมายถึง รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นผู้ที่มีบทบาทสาคัญในการเรียนรู้ หรือเป็นผู้สร้างความรู้
บทบาทของครทู าหน้าที่อานวยความสะดวก และเปน็ ท่ปี รกึ ษาการทางานของผูเ้ รียน ชือ่ ของรปู แบบ การเรียน
การสอนในกลุ่มน้ีนิยมเรียกว่า รปู แบบการเรยี นรู้มากกว่ารูปแบบการสอน เชน่ รปู แบบการเรียนรู้แบบร่วมมือ
(cooperative learning) รูปแบบการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (problem-based learning) รูปแบบการ
เรียนรตู้ ามแนววฏั จกั รการเรียนรู้ (4 MAT: the circle of learning model) เป็นตน้
ส่วนคำว่ารูปแบบการเรียนการสอนมักเป็นคากลาง ๆ ที่นามาใช้แทนคาว่ารูปแบบการสอน และ
รูปแบบการเรียนรู้ เพื่อสะท้อนความสำคัญของบทบาทของครูและนักเรียนร่วมกันเนื่องจากรูปแบบการเรียน
การสอนมีมากมายหลายรูปแบบซึ่งผู้สนใจสามารถศกึ ษาและค้นควา้ ได้จากเอกสารท่กี ลา่ วถึงเรื่องนี้โดยเฉพาะ
ในบทนี้จะขอกล่าวถึงรูปแบบการเรียนการสอนสากลซ่ึงเป็นที่รู้จักและใช้กันอย่างแพร่หลาย และรูปแบบการ
เรียนการสอนที่เป็นผลงานการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการเรียนการสอนโดยคณาจารย์ในมหาวิทยาลัย
ราชภฏั นครปฐม จานวน 4 รปู แบบ ได้แก่
1) รปู แบบการเรียนการสอน CCA สาหรบั การสอนวทิ ยาศาสตรใ์ นระดับประถมศึกษาเพอื่
เสริมสรา้ งผลการเรียนรูท้ างวิทยาศาสตร์ สาหรบั นกั เรยี นระดับประถมศกึ ษา โดย นทิ ัศน์ ฝกั เจริญผล,โยธิน ศรี
โสภา, วชิ ัย ราษฎรศ์ ิริ, และจรี ารัตน์ ชริ เวทย์ (2544)
2) รูปแบบการเรยี นการสอน PIAS สาหรบั การสอนวชิ าวิทยาศาสตรใ์ นระดบั มัธยมศกึ ษาเพ่ือ
เสริมสรา้ งกระบวนการเรยี นรู้ทางวทิ ยาศาสตร์ โดย พรรณทพิ ย์ แสงสุขเอี่ยม, วนิ ยั วงศว์ ิสทิ ธ์ิ,วนั ดี เกษรมาลา
, และอัมรินทร์ อนิ ทร์อยู่ (2544)
รูปแบบการจัดการเรียนการสอน โรงเรียนชุมชนบ้านพบพระ ๕
3) รปู แบบการเรยี นการสอนแบบ New Way เพื่อเสรมิ สรา้ งผลสัมฤทธแิ์ ละเจตคติในการเรยี นวชิ า
ภาษาอังกฤษของนกั เรยี นระดับประถมศกึ ษา โดย ณัฐกาญจน์ อา่ งทอง, อษุ า น้อยทมิ , และกนั ต์ดนัย วรจิตติ
พล (2544)
4) รปู แบบการเรียนการสอนภาษาไทยแบบสร้างเสริมสะสมประสบการณ์ภาษาเพ่ือพฒั นาการคิด
และนิสยั รักการอ่านสาหรบั นักเรยี นระดับช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี 1 โดย สมจติ จนั ทรฉ์ าย, ดรณุ โี กเมนเอก, และ
อาภรณ์ ใจเที่ยง (2544)
ตวั อย่างรูปแบบการเรียนการสอน
รูปแบบการเรยี นการสอนตรง (direct instruction model)
รูปแบบการเรียนการสอนตรง เป็นรูปแบบท่ีอยู่บนพื้นฐานความเชื่อว่าก่อนท่ีผู้เรียนจะ สามารถสร้าง
ความคิดรวบยอด พฒั นาความคิดสรา้ งสรรค์และแก้ปัญหาได้นั้น ผูเ้ รยี นจะตอ้ งมีทกั ษะพน้ื ฐาน และสารสนเทศ
ที่จะนาไปใช้ในการพัฒนาความคิดในระดับที่สูงขึ้น รูปแบบการเรียนการสอนตรงมีชื่อเรยี กต่าง ๆ กันตามผู้ท่ี
พัฒนารูปแบบ แต่มีลักษณะสาคัญหรือพื้นฐานเหมือนกัน เช่น จอยส์และวี (Joyce & Weil, 1996) เรียก
รูปแบบนี้ว่า รูปแบบการฝึกอบรม (a training model) ฮันเตอร์ (Hunter,1994) เรียกรูปแบบนี้ว่า รูปแบบ
การสอนเพื่อความรอบรู้ (the mastering teaching model) และโรเซ็นไชน์และสตีเฟนส์ (Rosenshine &
Stephens, 1986) เรยี กรปู แบบน้วี ่า การสอนอย่างแจ้งชัด(explicit instruction)
1. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ เพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้ด้านความรู้และด้านทักษะ รวมถึงการพัฒนา
วิธีการเรียนรใู้ ห้กับผ้เู รียน
2. ทฤษฎี /หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ ทฤษฎีการเรียนรู้ที่เปน็ พื้นฐานของรูปแบบการเรียนการสอน
ตรง คือทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม (behaviorism) และทฤษฎีการเรียนรู้สังคม(social learning)
(Arends, 2001, pp. 266-267)
2.1 ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤตกิ รรมนยิ ม ทฤษฎีน้ีกล่าววา่ ถา้ ผลที่เกดิ ขน้ึ จากการแสดง
พฤติกรรมทาให้เกิดความพึงพอใจจะส่งเสริมให้มีการแสดงพฤติกรรมนั้นซ้ำอีก และทาให้พฤติกรรมมีความ
คงทน ดังนั้นการส่งเสริมให้ผู้เรียนตอบสนองการเรียนรู้หรือแสดงพฤติกรรมจึงให้แรงเสริมทางบวกหมายถึง
การให้สิ่งที่นักเรียนพอใจเมื่อนักเรียนแสดงพฤติกรรมการเรียนรู้ เช่น การให้คะแนนเพิ่มขึ้นเมื่อนักเรียน
แก้ปัญหาโจทย์คณิตศาสตร์ได้ถูกต้อง และการใช้แรงเสริมทางลบ หมายถึงการถอนหรือหยุดให้สิ่งที่ผู้เรียนไม่
พึงพอใจเมื่อผู้เรียนแสดงพฤติกรรมการเรียนรู้ เช่น การให้ผู้เรียนที่ทำแบบฝึกหัดครบทุกข้อได้หยุดพักเพื่อไป
รับประทานอาหารได้กอ่ น ทาใหน้ ักเรยี นรีบทางานใหเ้ สรจ็
2.2 ทฤษฎีการเรียนรู้สังคม (social learning theory) อธิบายว่าพฤติกรรมของมนุษย์ส่วน
ใหญ่มาจากการสังเกตพฤติกรรมของผู้อ่ืน ทฤษฎนี ี้แยกการเรยี นรูอ้ อกจากการแสดงพฤตกิ รรม การเรียนรู้และ
การแสดงพฤติกรรมไม่ใช่สิ่งเดียวกัน การเรียนรู้ หมายถึง วิธีที่บุคคลรับความรู้เข้ามา ส่วนการปฏิบัติเป็น
พฤติกรรมที่สามารถสังเกตเห็นได้ การเรียนรู้ของมนุษย์เกิดจากการเลือกสังเกตพฤติกรรมของผู้อื่นและรับ
พฤติกรรมนน้ั เขา้ มาเก็บไวใ้ นความทรงจา การเรยี นรเู้ ป็นกระบวนการ 3 ขนั้ ตอน คอื
1) การให้ความสนใจส่งิ ทเ่ี รียนรู้
2) การจดจำพฤติกรรม
3) การผลติ ซ้ำของพฤตกิ รรม
รปู แบบการจัดการเรยี นการสอน โรงเรียนชุมชนบา้ นพบพระ ๖
ดังนนั้ การฝึกปฏิบัติและการทบทวนการปฏิบตั ิของพฤตกิ รรมทีส่ ังเกตจึงเปน็ การส่งเสรมิ ใหผ้ เู้ รยี นจดจำ
พฤติกรรมทส่ี งั เกตไดแ้ ละสามารถผลิตซ้ำพฤติกรรมท่ีสงั เกตน้ันพนื้ ฐานของทฤษฎีการเรียนรู้ทั้งสองได้นำมา
กำหนดเปน็ หลักการเรยี นรู้ของรปู แบบการเรียนการสอนตรงดังนี้
1) กำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้เชิงพฤติกรรม โดยบรรยายพฤติกรรมที่ต้องการให้นักเรียนบรรลุ
อยา่ งชดั เจนและเกณฑ์ความสำเร็จที่ตอ้ งการ
2) ทดสอบก่อนเรียนเพื่อให้ทราบพฤติกรรมที่นักเรียนรู้แล้วและนามาเป็นข้อมูล พื้นฐานในการ
ประเมินผลนักเรียน
3) แตกเนื้อหา/ ทักษะออกเป็นส่วนย่อย ๆ ตามลาดับขั้นการเรียนรู้ ให้แต่ละส่วนสัมพันธ์กัน เพ่ือ
นำไปใช้สอนนกั เรียนตามลาดบั ขั้นจนกวา่ จะบรรลจุ ุดประสงคก์ ารเรยี นรูท้ ต่ี ้องการ
4) ใชร้ างวลั หรือแรงเสริมทางบวกเพื่อปรบั เปล่ยี นพฤติกรรม โดยใหแ้ รงเสรมิ กาลังใจทันทีที่นักเรียนทำ
ได้ในชว่ งแรก ๆ และค่อย ๆ ปรบั ระยะการใหแ้ รงเสรมิ กาลังใจเปน็ ช่วงเวลา
5) การสอนความรู้/ทักษะใหม่ ทาโดยให้ผู้เรียนสังเกตและเลียนแบบ โดยเรียนรู้ไปทีละส่วน ทีละขั้น
ในขั้นนี้หากนักเรียนทาไม่ถูกต้องครูต้องปรับแก้พฤติกรรมให้ถูกต้องโดยใช้หลักการเสริมแรง จนกระท่ัง
นักเรียนสามารถทาได้ถูกต้อง 85-90% จึงให้นักเรียนฝึกอย่างอิสระจนกว่านักเรียนจะทาได้อย่างถูกต้อง
สมบูรณ์ ครูสามารถสอนความร้/ู ทักษะใหมไ่ ดใ้ นระหว่างท่นี ักเรยี นฝกึ ทักษะการเรยี นร้เู ก่าให้มีความชานาญ
6) ครตู อ้ งให้ข้อมลู ย้อนกลับแก่นักเรียนเพ่ือให้นักเรียนมีขอ้ มูลสาหรบั นาไปใช้ในการปรบั ปรุงแก้ไข
ตนเองให้มีทักษะ/ความรตู้ ามจดุ ประสงคท์ ี่กำหนด
3. ขนั้ ตอนการเรยี นการสอน ในท่นี ี้ขอนาเสนอข้นั ตอนการเรยี นการสอนของรปู แบบการเรยี นการสอน
ตรงของโรเซนไชนแ์ ละสตีเฟนส์ มี 6 ขั้นตอน ได้แก่
ขนั้ ท่ี 1 ทบทวนสิง่ ท่เี รียนมากอ่ น
ขั้นที่ 2 นำเสนอความรู้ใหมท่ ีละขั้นโดยใช้ตัวอยา่ ง
ข้นั ท่ี 3 ใหแ้ นวทางในการฝึกปฏิบัติ
ขน้ั ท่ี 4 ฝึกตามแบบและให้ข้อมลู ย้อนกลับในการปรบั ปรงุ แกไ้ ข
ขน้ั ที่ 5 ให้ผู้เรยี นฝึกโดยอิสระและนำความรู้ไปประยุกตใ์ ช้
ข้ันที่ 6 ทบทวนเป็นระยะ ๆ พร้อมกับให้ข้อมูลยอ้ นกลบั เพ่ือปรับปรุง แก้ไขตามความจำเปน็
รูปแบบการเรียนการสอนตรงเป็นรูปแบบพื้นฐานที่สุด จัดอยู่ในกลุ่มรูปแบบการเรียนการสอนที่ครู
เป็นศูนย์กลาง เป็นรูปแบบที่สามารถประยุกต์ไปใช้กับการสอนที่มีจุดประสงค์การเรียนรู้ทั้งด้านความรู้และ
ทักษะ และนาไปใช้กับการสอนเนื้อหาได้หลากหลายสาระ จึงเป็นรูปแบบที่มีการนาไปใช้อย่างแพรห่ ลายมาก
ที่สดุ มาอยา่ งต่อเนอ่ื งยาวนาน
รปู แบบการเรยี นรู้แบบรว่ มมือ (cooperative learning)
รูปแบบการเรยี นรูแ้ บบรว่ มมือเป็นรปู แบบที่เน้นการเรยี นรู้ของผู้เรียนในด้านเน้ือหาสาระตา่ ง ๆ
ด้วยตนเองโดยอาศัยความรว่ มมือช่วยเหลือจากเพื่อน ๆ ในกลุ่ม นอกจากนผี้ ูเ้ รยี นยังได้พัฒนาทักษะทางสังคม
ที่เน้นทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่น ทักษะการสื่อสาร ทักษะการสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และการ
ยอมรับความแตกต่างของบุคคล นอกจากน้ันผู้เรียนยังได้พัฒนาทักษะการคิดและการแก้ปัญหาลักษณะสำคัญ
ของรูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือ เน้นการทำงานแบบร่วมมือกัน โดยออกแบบงาน(cooperative task)
ซึ่งต้องอาศัยการทางานแบบรว่ มมือของสมาชิกทุกคนในกลุ่ม งานนั้นจงึ จะสำเร็จได้ และการจัดโครงสร้างของ
รปู แบบการจัดการเรียนการสอน โรงเรียนชุมชนบา้ นพบพระ ๗
การให้รางวัล (reward structure) กับกลุม่ จากการทส่ี มาชิกทุกคนในกลุ่มมีสว่ นช่วยกันให้ประสบความสำเร็จ
หรอื รางวัลท่ใี ห้สาหรับผลการพฒั นาของสมาชิกทกุ คนในกลมุ่ รวมกนั
1. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ เพอ่ื พฒั นาผู้เรียนให้มีความรใู้ นเนือ้ หาสาระต่าง ๆ โดยการชว่ ยเหลอื
ร่วมมอื กันของสมาชิกในกลุ่ม นอกจากนนั้ ผเู้ รียนยังได้พัฒนาทักษะทางสังคมต่าง ๆ เช่นทกั ษะการทางานเปน็
กลุม่ ทกั ษะการส่อื สาร ทักษะการคดิ ทักษะการแกป้ ญั หา เปน็ ตน้
2. ทฤษฎ/ี หลกั การ/แนวคดิ ของรูปแบบ มาจากแนวคิดของจอหน์ สนั , จอห์นสนั , และโฮลเู บค
(Johnson, Johnson, & Holubec, 1994, pp. 25-34) ในดา้ นตา่ ง ๆ ดังนี้
2.1 ปฏิสัมพนั ธข์ องบุคคลในการทำงาน แบง่ ได้ 3 ลักษณะ ไดแ้ ก่ ความสมั พันธ์แบบร่วมมือ
ความสัมพันธ์แบบแข่งขัน และการทำงานแบบอิสระด้วยตนเอง การแข่งขันก่อให้เกิดสภาพแพ้-ชนะ ส่วนการ
ร่วมมือนั้น ก่อให้เกิดสภาพชนะ-ชนะ ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ทางบวกที่ส่งผลดีทั้งทางด้านจิตใจและสติปัญญา
การจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือได้นาความสัมพันธ์ทั้งสามแบบมาจัดโครงสร้างความสัมพันธ์ของสมาชกิ
ในกลุ่ม โดยจัดให้สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มได้มีความรับผิดชอบในงานส่วนบุคคลและมีส่วนรับผิดชอบต่องาน
ของกลุ่มโดยทางานร่วมกับสมาชิกในกลุ่ม ทำให้ได้ผลงานของกลุ่มท่ีทุกคนได้มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง และ
นำความสัมพันธ์แบบแข่งขันมาใช้ โดยจัดให้มีการแข่งขันกับกลุ่มอื่นเพื่อให้เกิดความกระตือรือร้นไปสู่
เป้าหมายและพัฒนางานใหด้ ขี ้ึน
2.2 หลกั การในการทางานแบบรว่ มมือมดี ังน้ี
1) ปฏิสมั พนั ธท์ างบวก (positive interdependence) หมายถึง การทผี่ เู้ รยี นได้
เป็นส่วนหนงึ่ ของกลุ่มและตระหนักวา่ ความสำเร็จของการทางานกลุ่มคือความสำเร็จของสมาชิกทุกคนสมาชิก
ในกลุ่มต้องร่วมแรงร่วมใจกันทางานกลุ่มให้สำเร็จ ปฏิสัมพันธ์ทางบวกถือเป็นองค์ประกอบที่ช่วยส่งเสริม
ผู้เรียนให้รับรู้ถึงคุณค่าของงานตนเองที่มีต่อความสำเร็จ ของงานกลุ่มโดยรวม อีกทั้งยังช่วยฝึกให้ผู้เรียนรู้จัก
ทำงานเป็นกลุ่ม โดยแบง่ ปันทรัพยากรในการเรียน การช่วยเหลอื ซง่ึ กนั และกันภายในกลุ่มการให้กำลังใจแก่กัน
และรู้จักฉลองความสำเร็จไปด้วยกัน การมีปฏิสัมพันธ์ทางบวกมีองค์ประกอบท่ีสำคัญ คือ การมีเป้าหมาย
ร่วมกัน การให้สมาชิกแต่ละคนได้รับรางวัลจากผลงานของกลุ่ม การจัดให้สมาชิกแต่ละคนมีงานที่ตนเองต้อง
รับผิดชอบ และการจัดสิ่งแวดล้อมที่ทุกคนต้องแบ่งปัน ช่วยเหลือกันเช่นการจัดให้ใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่าง
จำกัด เป็นตน้
2) การปรึกษาหารือกนั อยา่ งใกลช้ ิด (face-to-face promotive interaction)
หมายถึง การท่ีผู้เรยี นช่วยเหลือกันให้ประสบความสำเร็จในการเรียน การปรกึ ษาหารือกันอย่างใกล้ชิดส่งผลดี
ต่อผู้เรียนแต่ละคนในด้านความพยายามในการเรียน การใส่ใจซ่ึงกันและกัน การมคี วามสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และ
การพฒั นาทักษะทางสังคม การปรกึ ษาหารอื กันอย่างใกลช้ ิดยงั กระตนุ้ ให้ผู้เรยี นช่วยเหลือซ่ึงกนั และกันในเวลา
ที่มีปัญหาหรือต้องการความช่วยเหลือ โดยการแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็นการให้คำแนะนำ และ
ขอ้ เสนอแนะซึ่งกนั และกันซึ่งนาไปสู่การปรับปรุงผลงาน และการพฒั นาตนเอง
3) การรับผิดชอบตนเอง (individual accountability/personal
responsibility) การรบั ผดิ ชอบตนเองเปน็ ส่ิงสำคญั ในการเรียนรู้แบบร่วมมือ ในการจดั ให้นกั เรยี นทำงานเปน็
กล่มุ นั้นสมาชิกทุกคนในกลมุ่ ตา่ งไดร้ ับมอบหมายให้มีหนา้ ทีท่ ี่ต้องรบั ผิดชอบในงานของตนเองท่เี ป็นสว่ นหนึ่งใน
งานของกลมุ่ เช่น เมื่อครใู หค้ าวจิ ารณ์และข้อเสนอแนะเก่ียวกับผลงานกลมุ่ สมาชกิ ลมุ่ แตล่ ะคนต้องนาคำ
วจิ ารณ์ไปปรับปรงุ แกไ้ ขงานในสว่ นทีต่ นรบั ผิดชอบ
รปู แบบการจดั การเรียนการสอน โรงเรยี นชุมชนบา้ นพบพระ ๘
4) ทกั ษะการปฏิสมั พันธ์ระหว่างบุคคลและกับกลุม่ ย่อย (interpersonal and
small-group skills) ในการเรียนรู้แบบร่วมมือ ทักษะการทางานกบั ผูอ้ ืน่ เป็นสิง่ สำคัญทีน่ าไปสู่ความสำเร็จใน
การทำงานเป็นกลุ่ม ดังนั้น สมาชิกในกลุ่มจาเป็นต้องมีความไวว้ างใจซึ่งกนั และกัน สามารถสื่อสารกันได้อย่าง
ถูกต้องชัดเจน ไม่คลุมเครือ ยอมรับและสนับสนุนซึ่งกันและกัน สามารถขจัดความขัดแย้งภายในกลุ่มอย่าง
สร้างสรรค์ ทกั ษะดงั กล่าวเป็นสิ่งสำคัญทีช่ ว่ ยให้การทางานมีประสิทธิภาพ การทผ่ี ู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ท่ีดีต่อกัน
และครูมีความใส่ใจนักเรียน รู้จักการให้คาชมหรือรางวัลในการส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ที่ดีในกลุ่ม จะส่งผลต่อ
ความสำเร็จในการเรียนแบบรว่ มมือ
5) กระบวนการกลุ่ม (group processing) หมายถงึ การสะท้อนการทำงานของ
กล่มุ เพ่ือประเมินการทางานของสมาชิกในกลุม่ ว่าเปน็ อยา่ งไร เพื่อนาข้อมูลมาใช้พิจารณาว่าการทางานสว่ นใด
ควรดำเนนิ ต่อไปและสว่ นใดควรปรบั เปลี่ยน จดุ ประสงคข์ องกระบวนการกลุ่มคือ เพ่อื สง่ เสริมและหาแนวทาง
ในการปรบั ปรงุ ประสิทธิภาพการทางานของสมาชิกเพื่อใหบ้ รรลุเป้าหมายการทางานท่ีกลุ่มวางไว้ ครสู ามารถ
ส่งเสริมทกั ษะการทางานรว่ มกัน โดยใหส้ มาชิกในกลุ่มไดร้ ับขอ้ มูลป้อนกลับในการทางานกล่มุ ให้แนวทางใน
การตรวจสอบและติดตามการทางานกลมุ่ ให้กาลังใจและชื่นชมในความสาเรจ็ ของกลุ่ม
3. ข้ันตอนการเรยี นการสอน หลกั การของการเรยี นรู้แบบรว่ มมือไดน้ าไปใช้ในการออกแบบรูปแบบการ
เรียนการสอนแบบร่วมมือหลายรปู แบบ ซง่ึ จะกล่าวถึงในท่ีน้ี 3 รูปแบบ แต่ละรปู แบบมีขน้ั ตอนการเรียนการ
สอน ดงั นี้
3.1 รูปแบบจิกซอ 2 (jigsaw II) เปน็ รูปแบบการเรยี นการสอนท่ใี หผ้ เู้ รยี นได้เรียนรู้โดยศึกษา
จากเอกสารความรทู้ นี่ ามาให้อา่ น รูปแบบการเรยี นการสอนจกิ ซอ 2 น้เี ป็นรูปแบบทีพ่ ฒั นาต่อจากรปู แบบการ
เรยี นการสอนจกิ ซอแบบแรก โดยในรูปแบบจกิ ซอแบบแรก นัน้ ครแู บ่งเอกสารความรเู้ ปน็ ชนิ้ ส่วนย่อย และให้
ผ้เู รียนแตล่ ะคนในกลมุ่ ไดร้ ับช้นิ ส่วนย่อยไปศึกษาคนละ 1 ชน้ิ การเรยี นรจู้ ะครบถว้ นสมบูรณ์เม่ือผู้เรียนแต่ละ
คนในกลุม่ นาความรู้จากชิ้นส่วนยอ่ ยทตี่ นไดร้ บั มาเชอ่ื มโยงกัน
ซึ่งเหมือนกับการเล่นจกิ ซอ สาหรับรูปแบบการเรียนการสอนจกิ ซอ 2 ผู้เรียนในห้องจะได้รับการจดั
เข้ากลุ่มย่อย กลุ่มละ 4 คน เรียกกลุ่มนี้ว่ากลุ่มศึกษา (study group) สมาชิกในกลุ่มได้มาจากการสุ่มจาก
ผู้เรียนที่มีความสามารถแตกต่างกัน ได้แก่ กลุ่มที่มีความสามารถสูง กลุ่มที่มีความสามารถสูงกว่าระดับปาน
กลาง กลุ่มที่มีความสามารถปานกลาง และกลุ่มที่มีความสามารถต่ำ รูปแบบจิกซอ 2 มีขั้นตอนในการจัดการ
เรียนการสอน ดงั นี้
ขั้นที่ 1 แนะนำรูปแบบการเรียนการสอนจิกซอ 2 ครูอธิบายวิธีการเรียนรู้และการทำงาน
ตามรูปจิกซอ 2 ให้ผู้เรียนในห้องทราบ โดยให้สมาชิกในกลุ่มศึกษา อ่านเอกสารความรู้ในหน่วยการเรยี นทีค่ รู
มอบหมาย สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มศึกษาจะต้องรับผิดชอบการศึกษาคนละ 1 หัวข้อในหน่วยการเรียนรู้ให้ดี
ที่สุด เพื่อนาความรู้ที่ได้ไปศึกษามาถา่ ยทอดให้กับสมาชิกในกลุ่มได้อย่างชัดเจน ซึ่งจะมีผลต่อคะแนนทดสอบ
ของสมาชิกแต่ละคน และคะแนนของกลุ่มด้วย กลุ่มที่ได้รับคะแนนสูงสุดจะได้รับการประกาศให้เป็นยอดทีม
ซึ่งจะเปน็ ที่ทราบทง้ั โรงเรียน
ขน้ั ที่ 2 จดั กลุม่ ศึกษาแบบคละความสามารถ ครูจัดผู้เรียนเข้ากลมุ่ แบบคละความสามารถ
กลุ่มละ 4 คน และมอบหมายงาน พร้อมทั้งอธิบายกติกาในการทางานที่มีหลักการสำคัญคือ สมาชิกจะไม่
สามารถเปล่ียนกลมุ่ ได้จนกวา่ งานของกลุ่มจะสำเร็จ สมาชกิ ในกลุ่มจะต้องรับผิดชอบต่องานท่ีได้รับมอบหมาย
ให้สำเรจ็ หากสมาชิกคนใดไม่เข้าใจงานท่ีทา สมาชกิ คนอืน่ ๆ จะต้องช่วยเหลือซง่ึ กนั และกนั ก่อนที่จะขอความ
ช่วยเหลือจากครู
รูปแบบการจดั การเรียนการสอน โรงเรียนชุมชนบ้านพบพระ ๙
ขนั้ ท่ี 3 จดั กลุม่ เชย่ี วชาญ หลงั จากทีส่ มาชิกในกลุ่มศึกษาได้อ่านทาความเขา้ ใจสาระความรู้จากเอกสาร
ที่ครูจัดเตรยี มไว้ให้แล้ว ครูจัดใหส้ มาชิกในกลุ่มศึกษาที่ศึกษาในหัวข้อเดียวกนั จากกลุ่มอื่น ๆ มาศึกษาร่วมกนั
ในประเดน็ ปัญหาท่ีครูมอบหมายใหเ้ พ่มิ เตมิ ในหัวข้อนั้น เรยี กกลุม่ น้ีวา่ กลุ่มเชยี่ วชาญ (expert group) สมาชิก
ในกลมุ่ เชย่ี วชาญน้ีจะต้องศึกษาร่วมกันเพ่ือหาคาตอบในประเดน็ ท่ีไดร้ บั มอบหมายจนมีความเข้าใจเป็นอย่างดี
และวางแผนในการทจ่ี ะนาความรู้ทไี่ ดไ้ ปเผยแพร่ให้สมาชิกในกลุ่มศึกษาของตนได้เข้าใจ
ขั้นที่ 4 ผู้เช่ียวชาญสอนความรู้ให้แก่สมาชิกในกลุ่ม สมาชิกในกลุ่มศึกษาที่ไปศึกษาเพิ่มเติมจนมีความ
เชี่ยวชาญในหัวข้อของตนเองอย่างดีแล้ว จึงนาความรู้ไปสอนให้กับสมาชิกในกลุ่มศึกษาของตนได้เข้าใจและ
สมาชกิ แตล่ ะคนจะผลดั กันสอนใหแ้ กส่ มาชกิ ในกลุม่ จนครบทกุ หัวข้อ
ขั้นที่ 5 ขั้นประเมินผลและประกาศผลความสาเร็จของกลุ่ม หลังจากกระบวนการเรียนรู้ในขั้นที่ 4
เสร็จสิ้นแล้ว สมาชิกทุกคนจะได้รับการทดสอบความรู้ ซึ่งผลการทดสอบของสมาชิกแต่ละคนจะนำไป
เปรียบเทียบกับผลการทดสอบก่อนเรียน เพื่อดูคะแนนที่เพิ่มขึ้นของสมาชิกแต่ละคนในกลุ่ม นาคะแนนที่
เพ่ิมขึ้นนี้ไปเปรียบเทียบเป็นค่าร้อยละของคะแนนพัฒนาการ คะแนนพัฒนาการของสมาชิกในกลุม่ ศึกษาใดท่ี
เพ่ิมขน้ึ มากทสี่ ดุ กล่มุ นัน้ จะได้รับการประกาศและยกย่องเปน็ ยอดทีมให้ทราบทั้งโรงเรยี น
รูปแบบการสอนจกิ ซอ 2 ซง่ึ พัฒนาจากจกิ ซอแบบเดิมนัน้ มีความแตกต่างตรงที่การให้
กลุ่มเชี่ยวชาญต้องศึกษาเพิ่มเติมจนมีความเข้าใจในประเด็นของตนอย่างลึกซึ้งมากขึ้น จากปัญหาที่ครูให้
แนวทางไว้ และการให้รางวัลแกก่ ลุ่ม เพ่อื เป็นแรงเสริมให้สมาชิกในกลุ่มรับผิดชอบและช่วยเหลือซ่ึงกันและกัน
มากข้นึ
3.2 รปู แบบทมี แข่งขนั (teams-games tournaments -TGT) รูปแบบนี้ได้รับการพัฒนาโดย
เดฟรสี ์และเอดวาร์ด (Devries & Edwards, cited in Gunter, Estes, & Schwab, 1995,p. 231) รปู แบบ
TGT มีความเหมาะสมกับจดุ ประสงค์การเรยี นรแู้ ละเน้ือหาทมี่ คี าตอบท่ีถกู ต้องเพยี งคาตอบเดยี ว เช่น การ
คำนวณและการแกป้ ัญหาในวิชาคณิตศาสตร์ หลักการใชภ้ าษา ความคิดรวบยอดทางวิทยาศาสตร์ และ
ขอ้ เท็จจรงิ ในวชิ าภมู ศิ าสตร์ ประวตั ิศาสตร์ เป็นต้น
โดยภายหลังจากท่ีผ้เู รียนมโี อกาสไดเ้ รยี นรแู้ บบรว่ มมือกนั ครจู ะจัดให้มีการแข่งขนั ทางวิชาการเปน็
ทีม และประกาศผลเป็นชยั ชนะของทมี แข่งขนั ไม่ใช่ชัยชนะของบคุ คลใดบคุ คลหนงึ่ รปู แบบ TGT มีข้นั ตอน
การเรียนการสอนดังน้ี
ขนั้ ที่ 1 การนาเสนอความคดิ รวบยอดใหม่ ในข้นั นผ้ี เู้ รียนจะไดเ้ รียนรู้เน้อื หาที่เป็นความคิดรวบยอดใหม่
จากครูโดยตรง ไม่ใช่การเรียนแบบกลุ่ม เช่น การเรียนเรื่องสมการในวิชาคณิตศาสตร์ ครูผู้สอนอาจเลือกใช้
รูปแบบการเรียนการสอนตรงในการสอนความคิดรวบยอดเรื่องสมการ โดยดาเนินการสอนตามขั้นตอนของ
รูปแบบการเรียนการสอนตรง ได้แก่ การทบทวนความรู้เรื่องสมการ การสอนหลักการและวิธีการในการแก้
สมการ การให้แนวทางและแสดงวิธีแก้สมการพร้อมตัวอย่าง จากนั้นให้ผู้เรียนฝึกการแก้สมการตามวิธีการที่
สอนโดยครใู ห้คาแนะนาและตรวจสอบ ในขัน้ นเี้ ปน็ การฝึกแบบตา่ งคนต่างฝึก
ขั้นที่ 2 การจัดผู้เรียนเข้ากลุ่มแบบคละความสามารถเพื่อฝึกปฏิบัติ ในขั้นนี้เป็นขั้นท่ี ผู้เรียนฝึกทักษะ
การแก้สมการเพิ่มเติมและการประยุกต์ใช้ความรู้ ครูแบ่งผู้เรียนเป็นกลุ่มย่อยแบบคละความสามารถ
เชน่ เดียวกับรปู แบบจิกซอ 2 และใหโ้ จทย์สมการแก่กลุ่มเพ่ือฝึกหัดเพ่มิ เติม สมาชิกในกลุ่มวางแผนการทางาน
โดยอาจใช้วิธีจับคู่ฝึกการแก้สมการ โดยสมาชิกต่างช่วยเหลือซึ่งกันและกันเพื่อทางานที่ได้รับมอบหมายให้
สำเร็จ โดยบางคอู่ าจตอ้ งเริม่ จากการทบทวน หรือเรยี นรู้ใหม่
รปู แบบการจัดการเรียนการสอน โรงเรยี นชุมชนบา้ นพบพระ ๑๐
ขั้นที่ 3 การแข่งขันเป็นทีม ภายหลังการฝึกหัดเพิ่มเติมเสร็จแล้ว ครูจัดให้มีการแข่งขันความสามารถ
ทางวิชาการในเรอื่ งทเี่ รียน โดยจัดผเู้ รียนทม่ี คี วามสามารถในระดบั เดียวกนั จากกล่มุ ต่าง ๆ เขา้ อยูใ่ นทีมแข่งขัน
เดียวกันทมี ละ 3 คน ท้งั นีเ้ พื่อให้เกิดความยตุ ธิ รรมในการแข่งขัน คอื คนเก่งแข่งกับคนเก่ง คนทม่ี คี วามสามารถ
ปานกลางแข่งกับผู้มีความสามารถปานกลาง เป็นต้น วิธีการแข่งขัน ใช้เกมท้าชิงที่เล่นกัน 3 คน คนแรกเป็น
ผอู้ ่าน คนที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้ทา้ ชิงคนที่ 1 และผทู้ ้าชงิ คนท่ี 2 ตามลาดบั อุปกรณ์ที่ใชใ้ นการแขง่ ขันคือ สารับ
ของบัตรคาถามที่นามาใช้ในการแข่งขัน กติกาการเล่น ผู้อ่านจะเป็นผู้เลือกบัตรคาถามในสารับแบบสุ่ม โดย
อ่านคาถามให้ผู้ท้าชิงได้ยินด้วย ผู้อ่านจะได้สิทธิ์ในการเป็นผู้ตอบคาถามก่อน หากผู้ท้าชิงเห็นว่าคาตอบของ
ผอู้ ่านถูกต้องแล้วก็จะขอผ่านคาถามนน้ั ไป ทาใหผ้ อู้ า่ นได้คะแนนจากบัตรคาถาม หากเหน็ ว่าไม่ถูกต้องก็จะขอ
ท้าชิงคือให้คาตอบของตนเอง ซึ่งหากคาตอบนั้นถูกต้อง ผู้ท้าชิงจะเป็นฝ่ายได้คะแนนและผู้อ่านเป็นฝ่ายเสีย
คะแนนจากคาถามนั้น ผู้ท้าชิงที่ตอบคำถามถูกจะกลายเป็นผู้อ่านและผู้อ่านเลื่อนไปเป็นผู้ท้าชิงอันดับต่อไป
การให้สิทธิ์การท้าชิงจะเรียงไปตามอันดับที่ก่อนหลังของผู้ท้าชิง เล่นเวียนกันไปเช่นนี้จนกว่าบัตรคาถามจะ
หมดสารบั หรือหมดเวลาทก่ี าหนดไว้
ขนั้ ท่ี 4 การประกาศผลทีมทชี่ นะการแข่งขัน คะแนนของแต่ละคนท่ีไดร้ ับจากการแขง่ ขนั เปน็ ทีมนี้จะไป
รวมกับคะแนนของสมาชิกคนอื่นในกลุ่มตัวเอง กลุ่มใดที่ได้คะแนนสูงสุดจะได้รับรางวัลและประกาศให้ทราบ
ทั่วกนั เชน่ รายงานผู้ปกครอง ตดิ ประกาศในกระดานขา่ วของโรงเรียน เปน็ ต้นสาหรับรางวัลท่ีใหก้ ็ควรเลือกสิ่ง
ที่สามารถดึงดูดความสนใจของผู้เรียนรูปแบบการแข่งขันเป็นทีมมีลักษณะพิเศษในการจัดทีมแข่งขันที่ให้
ผ้เู รยี นทม่ี ีความสามารถในระดบั เดียวกนั แขง่ ขนั กนั ซึง่ จะเพิ่มการจูงใจให้แกส่ มาชกิ ในกลมุ่ ที่มลี กั ษณะคละ
ความสามารถมากขึ้น ทาให้สมาชิกมีความรู้สึกท้าทาย และร่วมมือกันมากขึ้น ช่วยให้สมาชิกมีเจตคติที่ดีต่อ
การทางานเปน็ กลมุ่
3.3 รูปแบบการจดั ทมี สู่ความสำเรจ็ (student teams-achievement division -STAD) เปน็ รูปแบบ
การเรียนรู้ที่ปรบั ปรงุ มาจากรูปแบบทมี แข่งขนั ทพ่ี บว่าคะแนนของกลมุ่ ในทีมแข่งขนั ยังไมน่ ่าพอใจ ดังนั้นในขนั้
ของการแข่งขันเปน็ ทมี จงึ เปล่ียนมาใช้การแข่งขันตอบคาถาม หรือการทดสอบแทนภายหลังการศึกษาและฝกึ
ปฏิบัติเปน็ กลุ่มรปู แบบ STAD มขี ้ันตอนการเรยี นการสอน ดงั นี้
ข้ันที่ 1 การนาเสนอความคิดรวบยอดใหม่ มีวิธีการสอนแบบเดียวกบั รูปแบบ TGT
ขั้นที่ 2 การจัดทีมเพื่อศึกษาและฝึกปฏิบัติ เป็นการจัดผู้เรียนที่มีความสามารถต่างกันเข้ากลุ่ม
แต่ละกลุ่มประกอบด้วยผู้เรียนที่มีความสามารถ สูง ปานกลางและต่ำ ซึ่งคล้ายรูปแบบ TGT เมื่อผู้เรียนเข้า
กลุ่มเรยี บรอ้ ยแล้ว ครจู ดั ใบงานและใบคาตอบใหก้ ับกลุ่ม
ข้ันที่ 3 ทดสอบผูเ้ รียน ในขัน้ ที่ 3 ของรูปแบบ STAD น้ีจะตา่ งจากรูปแบบ TGT ตรงทภ่ี ายหลังจาก
ที่สมาชิกในกลุ่มได้ศึกษาและฝึกปฏิบัติเพิ่มเติมเป็นกลุ่มเสร็จแล้วแทนที่จะเล่นเกมแข่งขันรูปแบบ STAD จะ
มอบหมายให้ผู้เรียนแต่ละคนในกลุ่มได้ทาแบบทดสอบย่อยด้วยตนเองและส่งให้ครูตรวจเพื่อให้คะแนน
รายบุคคลและคะแนนกลมุ่ การให้รางวัลแก่กล่มุ ใชว้ ิธกี ารใหค้ ะแนนแบบเดียวกันกบั รูปแบบ TGT
ขั้นที่ 4 การประกาศผลทีมที่ชนะการแข่งขัน ในรูปแบบ STAD กลุ่มที่ได้รับคะแนนสูงสุดจะได้รับ
รางวลั ทีไ่ ม่ใชว่ ตั ถุสิง่ ของ แตเ่ ป็นคาชมเชย การแสดงความยนิ ดีในจดหมายข่าวของโรงเรยี นเป็นต้น ซึ่งเป็นการ
จูงใจที่เป็นปจั จัยภายในรปู แบบการเรียนการสอนแบบรว่ มมือ ทัง้ จกิ ซอ 2 TGT และ STAD เป็นรูปแบบที่มีผู้
นิยมนาไปประยุกต์ใช้มากที่สุดและนาไปใช้ร่วมกันกับการสอนเนื้อหาสาระต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลายในทุก
ระดับชนั้ อยา่ งไรก็ตามการนารปู แบบ
รปู แบบการจดั การเรยี นการสอน โรงเรยี นชมุ ชนบ้านพบพระ ๑๑
การเรียนการสอนแบบร่วมมือไปใช้นั้นผู้สอนควรคานึงถึงการจัดโครงสร้างของเนื้อหาในบทเรียนให้
เหมาะสมด้วย นอกจากนั้นรูปแบบการเรียนการสอนนี้จะมีประสิทธิภาพดีต่อเมื่อผู้เรียนได้รับการสอนสาระ
จากครูเท่าที่จาเป็นมาแล้ว และมีทักษะในการสื่อสารและทักษะทางสังคม (Kagan, cited in Gunter, Estes,
& Schwab, 1995, p. 237)
บทสรปุ
รปู แบบการเรียนการสอน คือสภาพขององค์ประกอบการเรยี นการสอนที่ได้รับการจดั ไว้อย่างเป็นระบบ
ตามแนวคิด หลักการเรียนรู้ หรือทฤษฎีการเรียนรู้ที่ยึดถือโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาผลการเรียนรู้เฉพาะท่ี
ต้องการ องค์ประกอบท่ีสำคัญของรูปแบบการเรยี นการสอน ประกอบด้วย
1) แนวคิดหลกั การเรยี นรู้หรอื ทฤษฎกี ารเรยี นรู้ที่นามาใช้เป็นหลกั การในการออกแบบขน้ั ตอนการ
เรียนการสอน กิจกรรมการเรียนรู้ สือ่ การเรยี นรู้ การวดั ประเมินผลผเู้ รยี น และการจดั เง่ือนไขหรือสง่ิ แวดล้อม
ในการเรยี นรู้
2) จดุ ประสงคเ์ ฉพาะของรูปแบบการเรยี นการสอน
3) ขนั้ ตอนการเรียนการสอน
4) องคป์ ระกอบการเรียนการสอนท่ีได้รับการจดั ใหม้ ีความสัมพนั ธ์ในเชงิ ระบบ
รูปแบบการเรียนการสอนแบ่งได้หลายประเภทโดยใช้เกณฑ์ในการจดั กลุม่ เชน่ จอยสแ์ ละวลี
แบ่งรปู แบบการเรยี นการสอนตามจดุ มุ่งหมายและวธิ ีการเรียนรขู้ องมนุษย์เป็น4 กลมุ่ ได้แก่
1) รปู แบบการสอนในกลุ่มท่ใี ชก้ ารปฏสิ มั พนั ธท์ างสงั คม (the social family)
2) รปู แบบการสอนในกลุม่ กระบวนการประมวลสารสนเทศ (the information processing
family)
3) รปู แบบการสอนในกลุม่ ทเ่ี กีย่ วกบั การพัฒนาตน (the personal family) 4) รปู แบบการ
สอนในกล่มุ ที่เก่ยี วกับการปรับพฤติกรรม (the behavioral systems family)
ทิศนา แขมมณี แบ่งรูปแบบการเรียนการสอนตามลกั ษณะและวตั ถปุ ระสงค์เฉพาะของรูปแบบ
ออกเป็น 5 หมวด ได้แก่
1) รูปแบบการเรยี นการสอนทเ่ี นน้ การพัฒนาดา้ นพุทธิพสิ ยั (cognitive domain)
2) รปู แบบการเรียนการสอนท่เี น้นการพฒั นาดา้ นจติ พสิ ยั (affective domain)
3) รูปแบบการเรียนการสอนทีเ่ น้นการพฒั นาด้านทักษะพสิ ยั (psycho-motor domain)
4) รปู แบบการเรยี นการสอนที่เนน้ การพัฒนาดา้ นทักษะกระบวนการ (process skills)
5) รปู แบบการเรียนการสอนทเี่ น้นการบูรณาการ
(integration)
อาเรนด์ แบ่งรูปแบบการเรียนการสอนตามบทบาทของผู้เรียนและผู้สอนที่เป็นจุดเน้นออกเป็น 2
กลุ่ม ได้แก่ รปู แบบการเรยี นการสอนท่ีเนน้ นักเรียนเป็นศนู ย์กลาง (student-centered model) และรูปแบบ
การเรียนการสอนที่เนน้ ครูเป็นศูนย์กลาง (teacher-centered model)ในปัจจุบนั มรี ูปแบบการเรียนการสอน
หลากหลายรูปแบบ บางรูปแบบเป็นผลงานการพัฒนาของครูผู้สอนในโรงเรียนจากประสบการณ์ในการสอน
และบางรูปแบบพัฒนาจากนักวิชาการ โดยใช้กระบวนการออกแบบการเรียนการสอนและใช้การวิจัยและ
พัฒนาเป็นเครื่องมือในการดาเนนิ งานรูปแบบการเรียนการสอนที่เกดิ ขึ้นเหล่าน้ีช่วยอานวยความสะดวกแกค่ รู
ที่สนใจสามารถเลือกนาไปใชใ้ หส้ อดคลอ้ งกับผลการเรยี นร้ทู ี่ต้องการพฒั นาให้กับผูเ้ รยี น
รปู แบบการจดั การเรยี นการสอน โรงเรียนชุมชนบา้ นพบพระ ๑๒
การจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning
โรงเรยี นชุมชนบ้านพบพระ สงั กัดสำนกั งานเขตพน้ื ทกี่ ารศึกษาประถมศึกษาตากเขต 2
การจดั การเรียนร้แู บบ Active Learning สามารถสร้างให้เกิดขึ้นไดท้ ัง้ ในหอ้ งเรยี นและนอกห้องเรียน
รวมทัง้ สามารถใช้ไดก้ บั นักเรียนทุกระดับ ทง้ั การเรยี นรูเ้ ปน็ รายบคุ คล การเรียนรแู้ บบกลุ่มเล็ก และการเรียนรู้
แบบกลุ่มใหญ่ McKinney (2008) ไดเ้ สนอตวั อยา่ งรูปแบบหรือเทคนิค การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทจี่ ะช่วย
ใหผ้ เู้ รียนเกิดการเรยี นรู้แบบ Active Learning ไดด้ ี ไดแ้ ก่
1. การเรียนรู้แบบแลกเปลี่ยนความคิด (Think-Pair-Share) คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้
ผู้เรียนคิดเกี่ยวกับประเด็นท่ีกำหนดแต่ละคน ประมาณ 2-3 นาที (Think) จากนั้นให้แลกเปลี่ยนความคิดกบั
เพอื่ นอีกคน 3-5 นาที (Pair) และนำเสนอความคดิ เหน็ ตอ่ ผเู้ รยี นท้ังหมด (Share)
ภาพ : กิจกรรมแลกเปล่ยี นความคิดเรือ่ งการอ่าน
รายวิชาภาษาไทยพน้ื ฐาน (นักเรยี นช้นั ประถมศึกษาปีที่ 6)
ภาพ : กจิ กรรมแลกเปลี่ยนความคดิ เรื่องการอ่าน
รายวชิ าภาษาไทยพนื้ ฐาน (นักเรียนช้ันประถมศึกษาปที ่ี 6)
รูปแบบการจัดการเรยี นการสอน โรงเรียนชุมชนบ้านพบพระ ๑๓
ภาพ : กิจกรรมนำเสนอเมนูอาหารก่อนลงมอื ปฏบิ ตั ภิ าคสนาม
กิจกรรมพัฒนาผู้เรยี น ลกู เสอื ระดับชั้นประถมศึกษาปที ่ี 4 – 6
ภาพ : กจิ กรรมนำเสนอเมนูอาหารก่อนลงมอื ปฏิบัตภิ าคสนาม
กจิ กรรมพัฒนาผเู้ รยี น ลูกเสือ ระดบั ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 4 – 6
รูปแบบการจดั การเรยี นการสอน โรงเรยี นชุมชนบ้านพบพระ ๑๔
2. การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Collaborative learning group) คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้
ทำงานร่วมกับผ้อู ื่น โดยจดั เป็นกลมุ่ ๆ ละ 3-6 คน
ภาพ : กจิ กรรมกลุ่มเรยี นรู้ผา่ นสื่อรอบตวั
“เรียนรูจ้ ากหนงั สอื พิมพ์”
ภาพ : กิจกรรมกลุ่มเรียนรผู้ า่ นสื่อรอบตวั
“เรยี นรู้จากหนงั สือพิมพ”์
รปู แบบการจัดการเรียนการสอน โรงเรยี นชุมชนบา้ นพบพระ ๑๕
ภาพ : กจิ กรรมพชิ ติ คำศัพท์
เนอ้ื หาในเร่ือง การหาคำจากพจนานุกรมไทย
ภาพ : กิจกรรมพชิ ิตคำศัพท์
เน้ือหาในเร่ือง การหาคำจากพจนานุกรมไทย
รปู แบบการจัดการเรียนการสอน โรงเรียนชุมชนบา้ นพบพระ ๑๖
3. การเรียนรู้แบบทบทวนโดยผู้เรียน (Student-led review sessions) คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ี
เปิดโอกาสใหผ้ ู้เรยี นไดท้ บทวนความรู้และพิจารณาข้อสงสัยต่าง ๆ ในการปฏิบัติกจิ กรรมการเรียนรู้ โดยครูจะ
คอยช่วยเหลือกรณที ม่ี ปี ัญหา
ภาพ : กิจกรรมเรียนรโู้ ครงงานคุณธรรม
1 หอ้ งเรยี น 1 โครงงานคุณธรรม ครมู บี ทบาททำหนา้ ทีใ่ ห้คำปรึกษา
ภาพ : กิจกรรมเรยี นรูโ้ ครงงานคณุ ธรรม
1 ห้องเรยี น 1 โครงงานคณุ ธรรม ครมู ีบทบาททำหน้าที่ให้คำปรกึ ษา
รปู แบบการจดั การเรยี นการสอน โรงเรยี นชมุ ชนบ้านพบพระ ๑๗
ภาพ : นักเรียนขอคำปรึกษา และสอบถามครูผู้สอน
ภาพ : นักเรยี นขอคำปรกึ ษา และสอบถามครผู สู้ อน
รปู แบบการจดั การเรยี นการสอน โรงเรียนชุมชนบ้านพบพระ ๑๘
4. การเรียนรู้แบบใช้เกม (Games) คือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ผู้สอนนำเกมเข้าบูรณาการในการเรียน
การสอน ซึ่งใชไ้ ด้ทั้งในขน้ั การนำเขา้ สู่บทเรยี น การสอน การมอบหมายงาน และหรือขั้นการประเมินผล
ภาพ : กิจกรรม เกมนกั ประดิษฐ์ พชิ ติ ความยาว
ภาพ : กิจกรรม เกมนกั ประดิษฐ์ พิชิตความยาว
รูปแบบการจัดการเรยี นการสอน โรงเรยี นชุมชนบา้ นพบพระ ๑๙
5. การเรยี นรู้แบบวิเคราะห์วีดีโอ (Analysis or reactions to videos) คือการจัดกจิ กรรมการเรยี นร้ทู ่ใี ห้
ผู้เรียนได้ดูวีดีโอ 5-20 นาที แล้วให้ผู้เรียนแสดงความคดิ เห็น หรือสะท้อนความคิดเกี่ยวกับสิ่งทีไ่ ด้ดู อาจโดย
วิธกี ารพูดโตต้ อบกัน การเขยี น หรอื การรว่ มกนั สรปุ เป็นรายกลุ่ม
ภาพ : นำเสนอ สรปุ เนื้อหาคำไทยทั้ง 7 ชนิด
นำเสนอตามกลุ่มเรยี นผา่ นการสุ่ม หลงั จากเรยี นรูผ้ ่านสื่อ VDO
ภาพ : นำเสนอ สรุปเนอื้ หาคำไทยทั้ง 7 ชนิด
นำเสนอตามกล่มุ เรยี นผา่ นการสมุ่
รปู แบบการจดั การเรียนการสอน โรงเรยี นชมุ ชนบา้ นพบพระ ๒๐
ภาพ : กิจกรรม ละครย้อนหลงั
ตามกจิ กรรมพฒั นาการอ่าน การเขยี น โดยใช้รูปแบบ CHP MODEL
ภาพ : กจิ กรรม ละครยอ้ นหลงั
ตามกจิ กรรมพัฒนาการอา่ น การเขยี น โดยใช้รูปแบบ CHP MODEL
รูปแบบการจดั การเรยี นการสอน โรงเรยี นชุมชนบา้ นพบพระ ๒๑
6. การเรยี นรูแ้ บบโต้วาที (Student debates) คือการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ท่จี ัดให้ผู้เรยี นได้
นำเสนอข้อมูลที่ได้จากประสบการณแ์ ละการเรยี นรู้ เพ่อื ยืนยันแนวคดิ ของตนเองหรอื กลุ่ม
ภาพ : กิจกรรมการเรยี นร้ผู ่านญัตตทิ ีป่ ระชุม
ภาพ : กจิ กรรมการเรยี นรผู้ ่านญตั ติท่ปี ระชุม
รูปแบบการจัดการเรียนการสอน โรงเรยี นชุมชนบา้ นพบพระ ๒๒
ภาพ : กิจกรรมการโตว้ าที รายวชิ าภาษาไทย
ในญัตติ “เกิดเป็นหญงิ ดีกวา่ ชาย”ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6
ภาพ : กิจกรรมการโต้วาที รายวชิ าภาษาไทย
ในญตั ติ “เกิดเปน็ หญิงดีกว่าชาย”ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 6
รูปแบบการจดั การเรียนการสอน โรงเรียนชุมชนบ้านพบพระ ๒๓
7. การเรียนร้แู บบผู้เรยี นสรา้ งแบบทดสอบ (Student generated exam questions) คอื การ
จดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ท่ใี หผ้ เู้ รียนสร้างแบบทดสอบจากสิ่งที่ไดเ้ รยี นร้มู าแลว้
ภาพ : การทดสอบท้ายหนว่ ยการเรยี นรู้
ภาพ : การทดสอบท้ายหนว่ ยการเรียนรู้
รปู แบบการจดั การเรียนการสอน โรงเรียนชุมชนบา้ นพบพระ ๒๔
ภาพ : การทดสอบทา้ ยหน่วยการเรยี นรู้
ภาพ : การทดสอบทา้ ยหนว่ ยการเรยี นรู้
รูปแบบการจัดการเรยี นการสอน โรงเรียนชมุ ชนบา้ นพบพระ ๒๕
8. การเรียนรแู้ บบกระบวนการวิจยั (Mini-research proposals or project) คอื การจัดกิจกรรม
การเรียนรู้ทอ่ี งิ กระบวนการวจิ ยั โดยให้ผู้เรียนกำหนดหวั ขอ้ ท่ตี ้องการเรียนรู้ วางแผนการเรียน เรยี นรูต้ ามแผน
สรุปความรู้หรือสร้างผลงาน และสะท้อนความคิดในสิ่งที่ได้เรียนรู้ หรืออาจเรียกว่าการสอนแบบโครงงาน
(project-based learning) หรือ การสอนแบบใช้ปญั หาเป็นฐาน(problem-based learning)
ภาพ : เรยี นรู้ผา่ นโครงการเศรษฐกิจพอเพียง
ในการเรียนร้กู ารแก้ไขปัญหา และบรู ณาการกบั ชีวิต เรื่อง การปลกู พืชผักสวนครัว
ภาพ : เรียนรผู้ า่ นโครงการเศรษฐกจิ พอเพยี ง
ในการเรียนรู้การแก้ไขปัญหา และบรู ณาการกบั ชีวิต เรื่อง การปลูกพืชผักสวนครัว
รูปแบบการจัดการเรยี นการสอน โรงเรียนชุมชนบ้านพบพระ ๒๖
9. การเรียนรแู้ บบกรณศี กึ ษา (Analyze case studies) คือการจัดกิจกรรมการเรยี นรทู้ ่ีให้ผูเ้ รยี น
ไดอ้ ่านกรณีตัวอย่างทีต่ ้องการศกึ ษา จากนน้ั ให้ผู้เรยี นวิเคราะห์และแลกเปลีย่ นความคดิ เห็นหรอื แนวทาง
แกป้ ัญหาภายในกลมุ่ แลว้ นำเสนอความคดิ เห็นต่อผ้เู รยี นท้ังหมด
ภาพ : เรยี นนรผู้ า่ นกรณีตัวอยา่ ง ในสอ่ื ประกอบการเรยี นรู้
เรอ่ื ง พฤตกิ รรมที่นา่ ยกย่อง และควรปรบั ปรงุ ในกิจกรรมพัฒนาผ้เู รยี น แนะแนว
ภาพ : เรียนนรผู้ ่านกรณีตัวอย่าง ในสื่อประกอบการเรียนรู้
เร่ือง พฤตกิ รรมทีน่ า่ ยกย่อง และควรปรบั ปรงุ ในกิจกรรมพัฒนาผเู้ รียน แนะแนว
รูปแบบการจดั การเรยี นการสอน โรงเรยี นชมุ ชนบ้านพบพระ ๒๗
10. การเรียนร้แู บบการเขยี นบนั ทึก (Keeping journals or logs) คือการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้
ท่ผี เู้ รียนจดบันทึกเรื่องราวตา่ งๆ ที่ได้พบเห็น หรอื เหตุการณท์ ่ีเกิดขน้ึ ในแต่ละวนั รวมทัง้ เสนอความคิดเพ่ิมเติม
เกี่ยวกับบันทึกท่เี ขียน
ภาพ : สมุดบันทึกความดี
ในกจิ กรรมแนะแนวของนักเรียนโรงเรียนชุมชนบา้ นพบพระ
ภาพ : สมุดบนั ทึกความดี
ในกิจกรรมแนะแนวของนักเรียนโรงเรยี นชุมชนบ้านพบพระ
รูปแบบการจัดการเรยี นการสอน โรงเรียนชุมชนบา้ นพบพระ ๒๘
11. การเรยี นรแู้ บบการเขยี นจดหมายขา่ ว (Write and produce a newsletter) คอื การจัด
กิจกรรมการเรียนรทู้ ี่ให้ผูเ้ รียนร่วมกนั ผลติ จดหมายข่าว อนั ประกอบด้วย บทความ ขอ้ มูลสารสนเทศ ขา่ วสาร
และเหตกุ ารณ์ท่เี กดิ ขึ้น แลว้ แจกจา่ ยไปยงั บุคคลอน่ื ๆ
ภาพ : ผลงานการเขยี นเรียงความ
ของนักเรียนในรายวชิ าภาษาไทยพื้นฐาน
ภาพ : ผลงานการเขียนเรียงความ
ของนักเรียนในรายวชิ าภาษาไทยพน้ื ฐาน
รปู แบบการจดั การเรยี นการสอน โรงเรียนชมุ ชนบ้านพบพระ ๒๙
12. การเรยี นรู้แบบแผนผงั ความคิด (Concept mapping) คือการจดั กจิ กรรมการเรียนรทู้ ใ่ี ห้
ผเู้ รียนออกแบบแผนผงั ความคดิ เพ่ือนำเสนอความคดิ รวบยอด และความเชื่อมโยงกนั ของกรอบความคิด โดย
การใชเ้ ส้นเป็นตวั เช่ือมโยง อาจจัดทำเป็นรายบุคคลหรืองานกลุ่ม แลว้ นำเสนอผลงานต่อผเู้ รยี นอ่ืนๆ จากนัน้
เปิดโอกาสให้ผู้เรียนคนอื่นได้ซักถามและแสดงความคิดเห็นเพิม่ เติม
ภาพ : นำเสนอแผนภาพความคิด
โดยการทำผลงานเป็นรายกลุ่ม และนำเสนอขอ้ มลู ต่อเพ่ือนหน้าชัน้ เรยี น
ภาพ : นำเสนอแผนภาพความคิด
โดยการทำผลงานเป็นรายกลุ่ม และนำเสนอขอ้ มูลตอ่ เพื่อนหนา้ ช้นั เรียน
ที่มา : เอกสารประกอบการฝึกอบรม “คุณภาพผเู้ รียน.......เกดิ จากกระบวนการเรียนรู้”
โดย ดร.สถาพร พฤฑฒิกลุ (3 ธนั วาคม 2558) คณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลยั บูรพา
วทิ ยาเขตสระแกว้