ศาสนา และ ความเชอ ื ่
ประวัติความเป็ นมาของศาสนา ศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธเข้าสู่ประเทศญี่ปุ่ นโดยผ่านประเทศเกาหลีในหนังสือประวัติศาสตร์ญี่ปุ่ น ชื่อ นิฮงโชคิ日本書紀ได้บันทึกไว้ว่า วันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 1095ในยุคอาซึกะเป็นปีที่ 13 ของ รัชกาลจักรพรรดิคิมเมจักรพรรดิญี่ปุ่ นองค์ที่ 29 พระพุทธศาสนาได้เข้าสู่ญี่ปุ่ น โดยพระเจ้าซองแห่ง อาณาจักรแพ็กเจส่งราชทูตมายังราชส านักจักรพรรดิคิมเม พร้อมด้วยพระพุทธรูป ธงคัมภีร์พุทธ ธรรมและพระราชสาสน์ แสดงพระราชประสงค์ที่จะให้จักรพรรดิคิมเมรับนับถือพระพุทธศาสนา จักรพรรดิคินเมทรงรับด้วยความพอพระทัย แม้จะมีการนับถือศาสนาพุทธในหมู่ชาวญี่ปุ่ นอยู่ก่อนแล้ว โดยรับจากประเทศอินเดียผ่าน ประเทศจีนเข้ามายังญี่ปุ่ นที่มีผู้น ามาถ่ายทอดจากแผ่นดินใหญ่ในช่วงก่อนต้นพุทธศตวรรษที่ 10 เพียงแต่ครั้งนี้เป็นการเริ่มต้นของพระพุทธศาสนาในญี่ปุ่ นอย่างเป็นหลักเป็นฐานที่ชัดเจนอยู่ใน บันทึกนิฮงโชคิพงศาวดารญี่ปุ่ นซึ่งเขียนโดยอาลักษณ์ พระพุทธศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของรากฐานในวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่ นมาร่วมสหัสวรรษ และใน พันปีกว่านี้ชาวญี่ปุ่ นยังได้เชื่อมโยงความเชื่อของพุทธศาสนาบางส่วนเข้าผสมผสานกับปรัชญาหลัก ค าสอนของศาสนาชินโตพื้นบ้าน เช่น ความเชื่อในเรื่องของพระโพธิสัตว์และทวยเทพในศาสนาพุทธ ซึ่งได้ผนวกเป็นเทพเจ้าที่ได้รับการเคารพนับถือในศาสนาชินโต ความเชื่อมโยงนี้ซึมซับจนกลายเป็น ส่วนหนึ่งของแกนรากทางวัฒนธรรมของประเทศญี่ปุ่ นมาเนิ่นนานหลายศตวรรษ
พท ุ ธศาสนาเร ิ ่ มร ่ ุ งเร ืองใน ญปี ่ ่ ุ น พระพุทธศาสนาได้เจริญขึ้นในประเทศญี่ปุ่ น ในสมัยจักรพรรดิคิมเม เป็นอย่างมากแต่ที่ปรึกษาฝ่ายทหารและฝ่ ายชินโตในยุคนั้นไม่เห็นด้วย กับจักรพรรดิคิมเม ฝ่ายไม่เห็นชอบพยายามขัดขวางการเผยแพศาสตร์ ทางพุทธเป็นสาเหตุส าคัญที่พุทธศาสนาไม่เผยแผ่กว้างขวางไปในทุกหมู่ ชนชั้น และภายหลังที่พระองค์สิ้นพระชนม์แล้วจักรพรรดิองค์ต่อ ๆ มาก็ มิได้ใส่พระทัยในพระพุทธศาสนาปล่อยให้พระพุทธศาสนาเสื่อมโทรมลง กลางพุทธศตวรรษที่ 12 รัชสมัยจักรพรรดิโยเม จักรพรรดิองค์ที่31 ได้ ทรงโปรดให้สร้างพระพุทธรูป ยากุชิเนียวไร หรือพระไภษัชยคุรุ薬師如来 (Yakushi Nyorai) ต่อมารัชสมัยจักรพรรดิองค์ที่33จักรพรรดินีซุอิโกะพระนาง ทรงได้ตราพระราชเสาวนีย์เกี่ยวกับการเผยแผ่พระพุทธศาสนาโดยให้ยึดถือ เป็นนโยบายของราชอาณาจักร ประกอบกับขณะนั้นเจ้าชายโชโตกุผู้เป็น ผู้ส าเร็จราชการแผ่นดิน ได้พิจารณาเห็นว่าพุทธศาสนาเป็นแหล่งความคิดที่ ก่อให้เกิดปัญญา พระองค์ได้ส่งเสริมฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในทุกวิถีทาง เมื่อ พ.ศ. 1135เจ้าชายพระองค์นี้เองที่ได้วางรากฐานการปกครองประเทศ ญี่ปุ่ นและสร้างสรรค์วัฒนธรรมพร้อมทรงเชิดชูพระพุทธศาสนา
ย่างก้าวของพท ุ ธศาสตร ์ในญปี ่ ่ ุ น ในสมัยที่ได้มีการติดต่อทางวัฒนธรรมน าเอาพระคัมภีร์ทางพุทธศาสนาและอรรถกถาต่าง ๆ เข้าสู่ประเทศญี่ปุ่ น เจ้าชายโชโตกุ สิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ.1165 บรรดาประชาชนทั้งปวงมีความ เศร้าโศกเป็นอันมากจึงได้ร่วมกันสร้างพระพุทธรูปขนาดเท่าพระองค์ขึ้น1องค์เป็นอนุสรณ์ที่วัดโฮ ริว และถัดมา พ.ศ. 1171 จักรพรรดินีซุอิโกะเสด็จสวรรคต หลังจากนั้นพระพุทธศาสนาก็ถูกแบ่ง ออกเป็นหลายนิกายเป็นการคล้ายกับว่าพระพุทธศาสนาได้ถูกชะงักเพราะนโยบายการปกครอง ประเทศที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคของการเปลี่ยนผู้น า ด้วยพระนักบวชเป็นที่เคารพอย่างสูงจาก ทั้งชาวบ้านขุนนางโดยไม่เว้นแม้แต่ระดับผู้น าอย่างราชวงศ์จักรพรรดิและโชกุน แต่ภาระหน้าที่ ของพระสงฆ์นักบวชแต่โบราณกาลนอกจากเทศน์แก่สาธุชนช่วยเหลือผู้พอเหมาะสมพอควรอัน อยู่ในทางที่พอช่วยได้แล้ว เดิมยังได้มีบทบาทในทางสังคมเป็นผู้น าทางจิตวิญญาณ ที่ปรึกษา ปัญหาทางโลก ปัญหาทางธรรม ไปจนถึงการมีส่วนร่วมชี้น าการปกครองบ้างบางครั้งในคราว จ าเป็น นักบวชพระสงฆ์เองผู้ซึ่งปฏิบัติธรรมย่อมตระหนักดีในเท็จจริงของโลกนี้ว่าการมุ่งไปสู่ จุดหมายสูงสุดของสายทางบ าเพ็ญเพียรจ าเป็นต้องพิจารณาสรรพสิ่งความเป็นไปอย่างยิ่งจิตใจ และธาตุสี่แห่งกายสังขารตน
นิกายของพท ุ ธศาสนา เทนโด พระไซโจ(เด็งกะโยไดชิ)เป็นผู้ก่อตั้ง มีหลังค าสอนเป็นหลักธรรมชั้นสูง ส่งเสริมให้บูชา พระโคตมพุทธเจ้าและพระพธิสัตว์ ชิงงน พระกุไก หรือโกโบไดชิ เป็นผู้ก่อตั้งในเวลาใกล้เคียงกับเคนโด มีหลักค าสอนตาม นิกายตันตระ หรือ วัชรยาน สอนให้คนบรรลุโพธิญาณด้วยการสวดมนต์อ้อนวอน ถือ มหาไวโรจนสูตรเป็นส าคัญ โจโด นิกายนี้ถือว่าการพ้นทุกข์ของสรรพสัตว์ต้องอาศัยปัจจัยภายนอกเข้ามาช่วย นิกายนี้ จึงเน้นการไปเกิด ณ แดนสุขาวดีของพระอมิตาภะ ซึ่งเชื่อว่าเมื่อไปเกิดแล้วจะไม่ตกต ่า มาสู่อบายภูมิอีก โดยผู้จะไปเกิดต้องมีคุณธรรมสามประการคือ กตัญญูกตเวที ยึดพระ รัตนตรัยเป็นที่พึ่ง จิตมั่นคงต่อโพธิญาณ นอกเหนือจากนี้ต้องสวดมนต์ระลึกถึงพระอมิ ตาภะตั้งปณิธานไปเกิดในสุขาวดีจึงจะได้ไปเกิดสมปรารถนา เซน เซนยึดถือหลักปฏิบัติธรรมตามหลักของพระพุทธเจ้า ตามหลักของการฝึกสติอริยสัจ 4และมรรค 8เซน ได้รับการยอมรับจากบุคคลที่ไม่ใช่พุทธศาสนิกชนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง บุคคลนอกทวีปเอเชีย ที่สนใจในเซนสามารถศึกษาและปฏิบัติธรรมได้ และได้เกิดนิกาย สายย่อยออกมาที่เรียกว่าคริสเตียนเซน นิจิเร็ง ป็นหนึ่งในนิกายทางมหายานของพุทธศาสนา ที่ยึดตามค าสอนของ พระสงฆ์ชาว ญี่ปุ่ นชื่อ พระนิชิเร็ง รูปแบบของศาสนาพุทธนิกายนี้มีอิทธิพลอย่างมากต่อสังคมญี่ปุ่ น หลายช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ นิชิเร็นโชชูจะเชื่อใน คัมภีร์สัทธรรมปุณฑริกสูตรและ เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีธรรมชาติพุทธะอยู่ในชีวิตของแต่ละคนอยู่แล้วจึงท าให้มนุษย์ทุก คนสามารถบรรลุพุทธภาวะได้ในช่วงชีวิตนี้
ความเช ื ่ อของคนญปี ่ ่ ุ น ความเชื่อของคนญี่ปุ่ น ที่ยังคงมีอยู่ และสืบทอดมาแต่กาลก่อน เป็นรากเหง้าที่หยั่งลึก และแผ่ไพศาลจนอาจเป็นบรรทัดฐาน และเป็นที่มาของขนบธรรมเนียมอันสุขุมนุ่มนวล แม้ว่าจะมีความเชื่อบางอย่างที่แตกต่างจากคนเอเชียอื่น ๆ แต่พื้นฐานโดยรวมแล้วคง คล้ายคลึงกันคือเพื่อ ความปลอดภัย ความมั่งคั่ง การบ่มเพาะนิสัยให้เป็นคนมีเมตตา กล้าหาญ อดทน ขยัน และไม่ประมาท ที่ยกมากล่าวไว้ในบทความนี้ เป็นเพียงบางส่วน ของความเชื่อ ที่มีอย่างหลากหลายในสังคมคนญี่ปุ่ น ความเชื่อเกยี่วกับการเกดิ การให้ก าเนิดบุตรคนแรกของหญิงญี่ปุ่ น เมื่อใกล้คลอดพวกเธอจะเดินทางกลับไปยังบ้าน เกิดของตัวเองเพื่อให้ก าเนิดบุตร ซึ่งในปัจจุบันความเชื่อนี้ยังคงมีอยู่ เพียงอาจท าการคลอดที่ โรงพยาบาลที่ตั้งอยู่ใกล้กับบ้านพ่อ และแม่ของพวกเธอแทน ซึ่งความเชื่อนี้ มีความใกล้เคียง กับความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ ดังที่เราเคยรู้จากพุทธประวัติ คนญี่ปุ่ นก็มีธรรมเนียมการรับขวัญหลาน ที่เพิ่งเกิดขึ้นมาใหม่คล้ายกับคนไทย ทารกน้อย จะได้รับของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆจากญาติ และเพื่อนบ้าน ความเชื่อเกยี่วกับคู่ครอง และการแต่งงาน มีความเชื่อในสังคมญี่ปุ่ นเอาไว้ว่า หญิงสาวที่เกิดในปีม้าไฟ คือปีมะเมีย ธาตุไฟ ตาม ปฏิทินดั้งเดิมของญี่ปุ่ น จะเป็นสตรีต้องห้ามในเรื่องการมีคู่ครอง เพราะเชื่อกันว่าจะท าให้ ชายผู้เป็นที่รักต้องมีอันเป็นไป ส่งผลให้ผู้หญิงที่เกิดในปีดังกล่าวจึงมักอาภัพคู่ครอง ไม่มี โอกาสได้แต่งงาน ครอบครัวต่าง ๆ จึงพยายามหลีกเลี่ยงให้มีการตั้งครรภ์ที่จะมีก าหนด คลอดในปีเหล่านี้
ความเชื่อเรื่องด้ายแดงแห่งโชคชะตา ด้ายแดงแห่งโชคชะตา(運命の赤い糸) พันธนาการแห่งคู่แท้ที่ไม่อาจขาด จากกันด้ายแดงแห่งโชคชะตาเป็นความเชื่อของประเทศในแถบเอเชียตะวันออก มีต้นก าเนิด ของความเชื่อมาจากประเทศจีน ภาษาจีนเรียกว่า 紅线 หรือ หงเชี่ยน โดยความเชื่อของจีน คือ หนุ่มสาวที่โชคชะตาก าหนดให้มาคู่กัน จะมีเชือกสีแดงที่มองไม่เห็นผูกอยู่ที่ข้อเท้าของแต่ ละฝ่ าย (ในความเชื่อของญี่ปุ่ นเปลี่ยนจากเชือกสีแดงเป็นด้ายสีแดงผูกอยู่ที่นิ้วก้อยของทั้ง สองฝ่ ายแทน) ต านานเล่าว่าเทพเจ้าที่ชื่อว่า 月下老 (เยว่เซี่ยเหล่าเหริน)เป็นผู้ควบคุม ก าหนดด้ายแดงแห่งโชคชะตา คืนหนึ่ง ขณะที่เด็กชายคนหนึ่งก าลังเดินกลับบ้านอยู่นั้น ระหว่างเขาได้พบกับชายแก่คนหนึ่งยืนอยู่ใต้แสงจันทร์ (ซึ่งก็คือ 月下老 นั่นเอง) ชายแก่ บอกกับเด็กชายว่าเด็กชายได้ถูกก าหนดให้เป็นคู่แท้กับภรรยาของเขา โดยมีด้ายแดงแห่ง โชคชะตาผูกพันระหว่างทั้งสองคน ชายแก่ยังได้พาเด็กชายไปดูเด็กผู้หญิงซึ่งเป็นเจ้าสาวใน อนาคตของเขาอีกด้วย แต่ด้วยความที่ยังเด็กและไม่สนใจความรัก เด็กชายจึงขว้างก้อนหินใส่ เด็กผู้หญิงแล้ววิ่งหนีไป หลายปีต่อมา เด็กชายได้เติบโตขึ้นเป็นหนุ่ม และก าลังจะเข้าพิธีแต่งงานซึ่งพ่อแม่เป็นคน จัดการให้ ในคืนวันแต่งงาน เขาได้เข้าไปหาเจ้าสาวของเขาในห้องนอน เมื่อเขาเปิดผ้าคลุม ออกก็พบว่าเจ้าสาวของเขาเป็นผู้หญิงที่สวยงามมาก แต่เธอมีเครื่องประดับชิ้นหนึ่งติดอยู่ที่ บริเวณคิ้ว ชายหนุ่มถามเธอถึงสาเหตุที่เธอต้องติดเครื่องประดับชิ้นนี้ เธอเล่าว่า เมื่อตอนเธอ ยังเด็ก มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งขว้างก้อนหินใส่เธอ ท าให้เธอมีแผลเป็นบริเวณคิ้วติดตัวตั้งแต่นั้น เป็นต้นมา ชายหนุ่มจึงได้รู้ว่า ที่แท้แล้วเจ้าสาวของเขาก็คือเด็กผู้หญิงที่ 月下老 ได้บอกว่า เป็นคู่แท้ของชายหนุ่มที่ผูกพันกันด้วยด้ายแห่งโชคชะตาเมื่อตอนเขายังเป็นเด็กนั่นเอง ต านานด้ายแดงถูกน าไปท าเป็นภาพยนต์และอนิเมชั่นมากมายมีความนิยมเป็นอย่างมาก อนิเมชั่นที่น าต านานด้ายแดงไปใช้เช่น kimi no na wa(Your Name)
ความเชื่อเรื่องโชคลาภ ดูเหมือนว่าทุกวัฒนธรรมมีเลขน าโชคและเลขน าโชค ในญี่ปุ่ น สี่และเก้าถือเป็นตัว เลขที่โชคร้ายเนื่องจากการออกเสียง โฟร์ออกเสียงว่า "ชิ" ซึ่งเป็นการออกเสียงเดียวกับ ความตาย เก้า ออกเสียงว่า "คุ" ซึ่งมีการออกเสียงเหมือนกับความทุกข์ทรมานหรือการ ทรมาน อันที่จริง โรงพยาบาลและอพาร์ตเมนต์บางแห่งไม่มีห้องหมายเลข "4" หรือ "9" หมายเลขประจ าตัวรถบางหมายเลขถูกจ ากัดบนแผ่นป้ายทะเบียนของญี่ปุ่น เว้น แต่จะมีใครร้องขอ ตัวอย่างเช่น 42 และ 49 ที่ส่วนท้ายของแผ่นเปลือกโลก ซึ่งเชื่อมโยง กับค าว่า "ความตาย (ชินิ 死に)" และ "วิ่งทับ (ชิคุ 轢く)" ล าดับเต็ม 42-19, (ด าเนินการถึงความตาย 死に行く) และ 42-56 (เวลาตาย 死に頃) ก็ถูก จ ากัดเช่นกัน เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับหมายเลขญี่ปุ่ นที่โชคร้ายใน "ตัวเลขญี่ปุ่ น Shichi-fuku-jin (七福神) เป็นเทพเจ้าแห่งโชคทั้งเจ็ดในนิทานพื้นบ้าน ของญี่ปุ่ น พวกเขาเป็นเทพตลก มักแสดงให้เห็นการขี่เรือสมบัติ (ทะคะระบุเนะ) ด้วยกัน พวกเขามีสิ่งของวิเศษต่างๆ เช่น หมวกล่องหน ม้วนผ้า กระเป๋ าเงินที่ไม่มีวัน หมด หมวกกนั ฝนนา โชค เส ื อ้คลมุขนนก กญุแจสบู่า้นสมบตัิอนัศกัดิส์ทิธิ์และหนงัส ื อ และม้วนกระดาษที่ส าคัญ นี่คือชื่อและคุณสมบัติของชิจิฟุกุจิน
ความเช ื ่ อเร ื ่ องผข ี องชาวญปี ่ ่ ุ น • ตวัที่1 ผี คุโระ-คุบิในความเชื่อโบราณผีชนิดนีม้ักเป็ นผู้หญิงสวมชุดยูกาตะ เหมือนคนในสมัยก่อน ตอนกลางวันมีชีวิตเหมือนคนปกตทิ่วัไปตกกลางคืนจะ ยึดคอยาวคล้ายงูมีลักษณะคล้ายผีกระสือบ้านเราแล้วถอดหัวออกจากตัวหาของกิน สิ่งที่ผีชอบที่ สึดคือ เนื้อสดโดยเฉพาะเหยื่อที่เป็นชายหนุ่มเพื่อดูดพลังชีวิตจากพวกเขา บางคนเชื่อว่าผีชนิดนี้ ชออบกินน ามันตะเกียงมากกว่า บ้านไหนที่นอนดึกมากแล้วเปิด ไฟตะเกียงทั้งไว้ผีคอยาวจะเข้าไปขโมยกิน • ตวัที่2 ผี โคนาคิ-จิจิเป็ นผีหน้าแก่คนญี่ปุ่นยอมรับว่าเป็ นผีทนี่่ากลัวติดอันดบั ตน้ๆ มาโดยตลอด ผีตวันีจ้ะซ้อนตวัอยู่ในป่าลึก เวลากลางดกึคนญี่ปุ่ นต้องเข้า ป่ า เพื่อหาอาหารหรือฆ่าสัตว์จะได้ยินเสียง "อุแว้ อุแว้" เหมือนเสียงเด็กร้อง อุแว้ อุแว้ นั้นก็มีหน้าตาแก่ขึ้นๆหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว และก็ตัวหนักมากจนอยากจะขว้างทิ้ง แต่ก็ทิ้งไม่ได้จนเป็น ลมหรือตายไปเลย • ตวัที่3 ผี มาคุระ-กาเอชิเป็ นผีเด็กท าตัวชอบแกล้งและสร้างความร าคาญ แต่ก็ อันตรายจะมีวิธีการหลอกโดยพลิกหมอนของคนทหี่นุนซึ่งกา ลังหลับสบายๆ ถ้า ใครรู้สึกตัว แล้วตื่นทันผีเด็กก็จะเสียใจรีบวิ่งหนีไป แอบรอจนคนนั้นหลับอีกครั้งจึง ปรากฏตัวออกมาใหม่ แต่ถ้าใครนอนหลับแบบไม่รู้สึกตัวก็จะโดนพลิกหมอนจนคอหัก หรือต้องเข้าเฝือก ไปเลยก็ได้ • ตวัที่4 ผี ขับปะ มีลักษณะคล้ายผู้เฒา่เตา่อยู่คู่ประเทศญี่ปุ่นมานานมาก ปัจจุบันยังพดูถงึกันอยุ่ผีขับปะจะอาศัยอยู่ในแม่นา เมื่อเห็นเด็กก าลังเล่นน าอยู่ก็ จะเข้าไปคุยด้วย พอเด็กเผลอผีก็จะเอามือล้วงเข้าไปในช่องทวารหนักของเด็กเพื่อขโมย ดวงจิต เพราะคนญี่ปุ่ นสมัยก่อนเชื่อว่าเด็กเล็กๆ จะมีดวงจิตอยู่ที่ช่องทวาร ถ้าผีขับปะ ได้ดวงจิตไปจะ อยู่ต่อได้อีกนับร้อยปี คนญี่ปุ่ นบ้างก็เชื่อว่าขับปะเป็นสัตว์มากกว่าผี เพราะขับปะสามารถตายได้ ถ้าจานบนหัวแห้งร่างจะสลายไป • ตวัที่5 ผี คาระ คาสะ เป็ นผีร่มทมี่ีตา นานเล่าขานกันว่ามีอายุหลายร้อยปี เพราะ เป็ นของใช้ทเี่จา้ของไม่เปลี่ยนเป็ นระยะเวลานานจนทา ใหม้ีหวัใจ มีความรู้สึก คล้ายกับว่า มีดวงวิญญาณสิงสถิตอยู่ เวลากลางวันก็จะเป็นร่มปกติ แต่พอตอน กลางคืนผีร่มก็จะมีตา มีขา มีปาก กระโดดโหยงเหยงไปตามที่ต่างๆ ในคืนฝนพร าแต่ไม่ เคยท าร้ายใคร
ความเชื่อเกี่ยวกับความตาย หากมีคนที่เพิ่งตาย หรือใกล้ตายนอนอยู่ในบ้าน คนญี่ปุ่ นจะท าพิธีการให้น ้าครั้ง สุดท้าย โดยน าผ้าสะอาดมาชุบน ้า และน าไปพันอยู่บนปลายด้านหนึ่งของ ตะเกียบ จากนั้นก็น าไปแตะที่ริมฝีปากของร่างที่ใกล้ตาย หรือคนที่เพิ่งตาย คลึง ไปมาอย่างนั้น หากพบว่ามีการตายเกิดขึ้นแล้ว ที่บ้านหลังนั้นจะท าการกลับด้าน ของม่านไม้ไผ่ที่แขวนอยู่หน้าบ้าน และเขียนข้อความว่า ‘อยู่ในขณะไว้ทุกข์’ เมื่อ เสร็จพิธีนี้แล้ว ก็จะน ากระจกบานเล็กมาส่องที่หน้าของร่างที่จวนแตกดับ หรือดับ สลายลงไปแล้ว เพราะเชื่อว่าวิญญาณของผู้ตายจะเข้าไปอยู่ในกระจก แล้วจึงหุ้ม กระจกนั้นด้วยผ้าไหม จากนั้นจึงน าไปเก็บไว้ในหีบที่เขียนชื่อผู้ตายไว้ ส่วนร่างก็ จะถูกน าไปท าพิธีเผาต่อไป เลขทดี่แีละไม่ดขีองชาวญี่ปุ่น เลข 1 ส าหรับคนญี่ปุ่ นถือเป็นเลขดี ซึ่งมีความหมายโดยทั่วไปว่าการเริ่มต้น หรือการเป็นที่หนึ่ง โดยสังเกตได้จากร้านอาหารและธุรกิจต่างๆ ที่มักจะชอบใช้ค า ว่า "อิจิ" ซึ่งหมายถึงเลขหนึ่ง มาประกอบกับชื่อร้านหรือธุรกิจของตัวเองเพื่อให้มี ความเป็นที่หนึ่งเสมอ เลข 4 ถือเป็นเลขที่อัปมงคลที่สุดส าหรับชาวญี่ปุ่ น เนื่องจากค าว่า “ชิ” ที่หมายถึง เลขสี่ในภาษาญี่ปุ่ นนั้นพ้องกับค าที่แปลว่าความตาย โดยไม่ว่าจะท าอะไรก็ จะต้องพยายามเลี่ยงเลขสี่ หรือจ านวนสี่ชิ้นอยู่เสมอ เช่นการซื้อดอกไม้ หรือซื้อ ขนมเป็นของฝากคนอื่น เลข 5 ถือเป็นเลขดีอีกหนึ่งเลขส าหรับชาวญี่ปุ่ น เนื่องจากค าว่า “โกะ” ที่หมายถึง เลขห้าในภาษาญี่ปุ่ นถูกน าไปเชื่อมโยงกับค าว่า “โกะเอ็ง” ซึ่งมีความหมายในทาง ที่ดีที่แปลว่า “ความสัมพันธ์ หรือการพบรัก” รวมถึงเวลาที่ชาวญี่ปุ่ นไปขอพรที่ ศาลเจ้า ก็ยังนิยมโยนเหรียญ 5 เยนเพื่อให้สมปรารถนาอีกด้วย เลข 9 เป็นเลขอัปมงคลอีกหนึ่งเลขในความเชื่อของชาวญี่ปุ่ น เนื่องจากค าว่า “คุ” ที่หมายถึงเลขเก้าในภาษาญี่ปุ่ นนั้นพ้องเสียงกับค าที่แปลว่าความเจ็บปวด หรือ ความทรมาน จึงเป็นอีกหนึ่งตัวเลขที่ชาวญี่ปุ่ นพยายามเลี่ยงเหมือนกับเลขสี่ ไม่ ว่าจะท าอะไรก็ตาม
บทสร ุ ปเกย ี ่ วกบ ั ความเช ื ่ อ หลาย ๆความเชื่อที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน ได้ถูกหล่อหลอมจนมาเป็นวัฒนธรรมอันอ่อนช้อย และงดงาม สร้างความหลงใหลให้กับผู้มาเยือน ญี่ปุ่ นมีเทศกาล bamboo light เป็น เทศกาลประจ าปี ที่สวยงามอันเกิดจากความเชื่อ ความศรัทธา และจากเรื่องราวในอดีตที่พึงยกมา เป็นตัวอย่าง แม้ว่าผู้อ่านได้อ่านมาถึงตรงนี้แล้วก็ตาม ผมก็ยังไม่อาจแน่ใจได้ว่าคุณมีความศรัทธาต่อ ความเชื่อ ของคนญี่ปุ่ น หรือความเชื่อที่มีอยู่ในทุกซอกทุกมุมบนพื้นโลกนี้ได้อย่างมากน้อยแค่ไหน บางความ เชื่อที่เราไม่คุ้นเคยก็อาจท าให้มองได้ว่าเป็นเรื่องเหลวไหล เผ่าพันธุ์ใดก็ตามที่ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่ หรือ ทันสมัยสักปานใด หากเจาะลึกเข้าไปสังเกตใกล้ ๆ เราจะยังพบการมีอยู่ของความเชื่อในรูปแบบ ต่าง ๆที่ไม่อาจอธิบายได้ หรือถ้าอธิบายได้บางครั้งก็ดูจะไม่สมเหตุสมผล แต่คุณควรเชื่อไว้อย่าง หนึ่งว่า ความเชื่อที่ดูจะพิลึกนั้นมันมีอยู่ในทุกวงการ แม้แต่วงการวิทยาศาสตร์เอง นี่แหละตัวดีเลย เคยได้ยินไม๊ล่ะว่า เวลาเขาจะส่งดาวเทียมขึ้นไปโคจรบนอวกาศนั้นน่ะ เขาห้ามเจ้าหน้าที่ และ บุคคลที่อยู่ในหอปฏิบัติการนั้นผูกไทด์ ใส่สูท ผมเป็นคนหนึ่งที่จะไม่พยายามเข้าไปวิจารณ์ความ เชื่อของคนอื่น เพราะนั่นอาจเป็นความหวังเพียงสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ของเขา ซึ่งเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ท าให้เขามีก าลังใจที่จะด ารงชีวิตอยู่ได้อย่างผาสุกในแบบฉบับของเขาเอง
ค าถาม 1.) ศาสนาพุทธเข้าสู่ประเทศญี่ปุ่ นโดยผ่านประเทศเกาหลีในหนังสือ ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่ นชื่ออะไร 1. นิฮงโชคิ 2. นิฮงโชโด 3. นิฮงโชได 4. นิฮงโชอิจิโร่ 2.) กลางพุทธศตวรรษที่ 12 รัชสมัยจักรพรรดิโยเม จักรพรรดิองค์ ที่ 31 ได้ทรงโปรดให้สร้างพระพุทธรูปมีนามว่าอะไร 1. ยากุชิเนียวเรน 2. ยากุชิเนียวไร 3. ยากุชิเนียวโซ 4. ยากุชิเนียวไซ 3.) สมัยจักรพรรดิองค์ที่33จักรพรรดินีซุอิโกะพระองค์ได้ส่งเสริม ฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในพ.ศ.ใด 1. พ.ศ.1145 2. พ.ศ.1112 3. พ.ศ.1150 4. พ.ศ.1135
4.)นิกายของศาสนาพุทธมีกี่นิกาย 1. 1 นิกาย 2. 4 นิกาย 3. 5 นิกาย 4. 3 นิกาย 5.)ต านานเรื่องด้ายแดงที่ถูกน าไปท าเป็นอนิเมชั่นที่ได้รับความ นิยมชื่อเรื่องว่าอะไร 1. Kimi no ka wa 2. Kimi no aiya 3. Kimi no na wa 4. Kimi no na ma 6.) เทพเจ้าแห่งโชคทั้งเจ็ดของชาวญี่ปุ่ นมีชื่อว่าอะไร 1. Nana fuku jin 2. Seven fuku jin 3. Zero fuku jin 4. Shichi-fuku-jin 7.)ชาวญี่ปุ่ นเชื่อว่าเลข4เป็นเลขที่ไม่ดีเนื่องจากอะไร 1. เนื่องจาก4เป็นเลขที่ท าให้โชคดี 2. เลข4เป็นเลขที่มีความหมายในเชิงมึนงง 3. เนื่องจากค าว่า “ชิ” ที่หมายถึงเลขสี่ในภาษาญี่ปุ่ นนั้นพ้อง กับค าที่แปลว่าความตาย 4. เนื่องจากเป็นเลขที่ดูน่ากลัว
8.) คาระ คาสะ เป็นผีที่มีลักษณะคล้ายอะไร 1. ร่ม 2. มีด 3. กระบอกน ้า 4. ตุ๊กตา 9.)เลขน าโชคเลข5ในภาษาญี่ปุ่ นมีความหมายว่าอะไร 1. ความสุข 2. ความเจริญ 3. ความสัมพันธ์ 4. ความปราถนา 10.) เทพเจ้าผู้ควบคุมก าหนดด้ายแดงแห่ง โชคชะตาในภาษาจีนมีชื่อว่าอะไร 1. เยว่หหลาน ฮูเต่า 2. เยว่เซี่ย หรินเหริน 3. เยว่เซี่ยเหล่าเหริน 4. เยว่ฟื อหลานเว่ย
เฉลย 1.1 2.2 3.4 4.3 5.3 6.4 7.3 8.1 9.3 10.3
THANK YOU