The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

อารยธรรมอินเดีย ลุ่มแม่น้ำสินธุ ม.6_2 เลขที่ 14

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Napatchon04408, 2021-09-03 08:46:51

อารยธรรมอินเดีย ลุ่มแม่น้ำสินธุ ม.6_2 เลขที่ 14

อารยธรรมอินเดีย ลุ่มแม่น้ำสินธุ ม.6_2 เลขที่ 14

อารยธรรมอินเดีย ล่มุ แมน่ าํ สนิ ธุ

आपका वागत है

नम ते

ณภทั รชนม์ ศรีมงคล
ม.6/2 เลขที 14

คํานาํ

หนังสือ E-book อารยธรรมอนิ เดยี ลุมแมน้ําสนิ ธเุ ลม นี้
จดั ทาํ ข้นึ เพ่อื ใชป ระกอบการเรยี น รายวิชาอารยธรรมโลก
(ส33101) ในระดับชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยภายประกอบไป
ขอ มลู ทัว่ ไปและเหตกุ ารณตา งๆในอารยธรรมอินเดยี ลุมแมน ้ํา
สินธุ

ผูจดั ทาํ หวังวา หนังสือ E-book เลมนี้จะเป็นประโยชนตอ
ผูอา น นักเรยี นหรอื นักศกึ ษาและผูที่สนใจเก่ียวกับอารยธรรม
อินเดยี ลุม แมน ้ําสินธุ หากมีขอ ผิดพลาดประการใด ผจู ดั ทาํ ขอ
น อมรบั และขออภัยมา ณ ที่นี้

ณภทั รชนม ศรมี งคล
ผจู ัดทํา

สารบญั หนา้

เรอื ง 1

• ประวตั คิ วามเปนมาของอารยธรรมอนิ เดีย 3
ลุ่มแมน่ าํ สินธุ
• แหล่งอารยธรรมสมยั ก่อนประวัติศาสตร์ 5
อนิ เดยี 7
• ศิลปะสมยั กอ่ นอนิ เดีย 8
• เผ่าพันธุ์ของชนพืนเมอื ง 9
• ความเชอื และระบบวรรณะ 10
• การปกครองและกฏหมาย
• ความเจรญิ ของอารยธรรมอนิ เดยี ลมุ่ แม่นาํ 11
สินธุ 12
• การดํารงชีวติ และการค้า 13
• สมัยมุสลมิ รกุ ราน 15
• สมัยชาวตะวนั ตกเข้ามารกุ ราน 17
• ระบบการปกครองอนิ เดียทรี ับมาจากองั กฤษ 18
• ผลกระทบจากการเรยี กรอ้ งเอกราช 19
• เส้นเวลา
• บทสรุปของอารยธรรมอนิ เดีย ลุ่มแมน่ าํ สินธุ



1

ประวัติความเปนมา
อารยธรรมอินเดยี ลมุ่ แม่นาํ สินธุ

สมัยก่อนประวัติศาสตร์

ยคุ โลหะของอนิ เดยี เริมเมอื ผคู้ นรู้จกั ใชท้ องแดงและสํารดิ เมือประมาณ2,500
ป ก่อนคริสต์ศักราช และร้จู ักใชเ้ หลก็ ในเวลาต่อมา พบหลกั ฐานเปนซากเมือง
โบราณ 2 แห่ง ในบริเวณทีราบลุ่มแมน่ ําสินธุ คือ

(1) เมืองโมเฮนโจ ดาโร ( Mohenjo Daro ) ทางตอนใตข้ องประเทศปากีสถาน
(2) เมอื งฮารบั ปา ( Harappa ) ในแคว้นปนจาป ประเทศปากสี ถานในปจจบุ ัน

2

สมยั ประวตั ิศาสตร์

อนิ เดยี เข้าสู่ “สมยั ประวัตศิ าสตร์” เมอื มีการประดษิ ฐ์ตวั อกั ษรขนึ ใช้
ประมาณ 700ป ก่อนคริสต์ศักราช โดยชนเผา่ อินโด – อารยัน
( Indo – Aryan ) ซึงตังถินฐานในบริเวณลุม่ แม่นําคงคา สมยั

ประวตั ศิ าสตร์ของอินเดียแบง่ เปน 3 ยคุ ดงั นี

(1) ประวตั ิศาสตร์สมยั โบราณ เริมตังแต่การถือกาํ เนดิ ตัวอกั ษรอินเดยี
โบราณ ทเี รยี กวา่ “บรามิ ลปิ ” ( Brahmi lipi ) เมือประมาณ 700 ปก่อน
ครสิ ตศ์ ักราช และสินสุดในราวคริสตศ์ ตวรรษที 6 ซึงตรงกบั สมัยราชวงศ์
คุปตะ ( Gupta ) เปนยุคสมัยทีศาสนาพราหมณ์ ฮินดู และพระพุทธศาสนา

ได้ถอื กาํ เนดิ ขึนแล้ว
(2) ประวตั ศิ าสตรส์ มัยกลาง เริมตังแตเ่ มือราชวงศ์คุปะสินสุดลง ประมาณ
ครสิ ต์ศตวรรษที 6 จนถึงต้นครสิ ตศ์ ตวรรษที 16 เมอื กษัตริย์มสุ ลมิ สถาปนา

ราชวงศ์โมกุล ( Mughul ) และเข้าปกครองอนิ เดยี
(3) ประวัติศาสตรส์ มัยใหม่ เริมตังแต่ต้นราชวงศ์โมกลุ ในราวครสิ ต์
ศตวรรษที 16 จนถึงการไดร้ บั เอกราชจากองั กฤษ ในป ค.ศ. 1947

โมแฮนโจ - ดาโร 3

แหล่งอารยธรรมสมยั ก่อน
ประวตั ิศาสตรอ์ ินเดยี

แหล่งอารยธรรมสมยั กอ่ นประวตั ศิ าสตร์อินเดีย
อย่บู รเวณลมุ่ แมน่ าํ สินธุในปากีสถาน และมกี าร

พบซากเมอื งโบราณ ได้แก่ โมแฮนโจ-ดาโร
และ ฮารัปปา

ฮารปั ปา

เน่ืองจากภมู ิประเทศของอนิ เดีย
มีลักษณะเป็นรปู สามเหลย่ี มขนาดใหญ
มเี ทือกเขาหมิ าลัยกนั้ อยูทางตอนเหนือ
มีเทือกเขาฮินดุกุชอทู างตะวันตกเฉียง

เหนือทางดา นตะวนั ตกตดิ กับทะเล
อาหรับสวนทางดา นตะวันอออกติดกบั
มหาสมทุ รอินเดียไปจนถึงอาวเบงกอล
ดังนัน้ ผูท ี่เดินทางโดยทางบกเขา มายงั

บริเวณนี้ในสมัยโบราณตองผา น
ชองเขา

เเททื ืออกกเเขขาาหหิ ิมมลลั ัยย ทเี่ รียกวา ชอ งเขาไคเบอรซ ่งึ เป็นหนทาง
เดียวทจี่ ะเขา สูอ ินเดียในสมยั โบราณ

เก่ยี วของกับประวตั ศิ าสตรอินเดียตลอด
มาเพราะเสนทางนี้เป็นทางผา นของกอง

ทัพของผรู ุกรานและพอ คา จากเอเชีย
กลาง อฟั กานิสถานเขา สูอินเดีย เพราะ

เดินทางทส่ี ะดวก

4

ศิลปะอินเดยี ล่มุ แมน่ าํ สนิ ธุ โมเฮนโจดาโร-ฮารปั ปา

ศิลปะในประเทศอนิ เดยี มมี าอยางยาวนานมากกวา 4,500 ปี นับวา เป็น
ศลิ ปะทมี่ ีความโดดเดน ไมแ พศ ลิ ปะใด ๆ ในโลกนี้ อกี ทัง้ ยังมีอทิ ธิพลมากมายใหก ับ
ประเทศหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศในเอเชยี ตะวันออกเฉียงใต การศกึ ษา
ศลิ ปะอินเดียจงึ เป็นรากฐานที่สาํ คัญในการศึกษาศิลปะในภูมิภาคนี้และประเทศไทย
สาํ หรับประเทศไทยรบั รบั อิทธิพของศิลปะอินเดยี ทัง้ ใน สถาปัตยกรรม
ประติมากรรม รวมถึงคตคิ วามเช่ือของการสรางงานศลิ ปะดวย

ประเทศอนิ เดยี เป็นดนิ แดนอารยธรรมแหง
หน่ึงของโลกที่มีการรบั อารยธรรมจากภายนอกและเผย
แพรอารยธรรมไปสูด นิ แดนตา ง ๆ โดยเฉพาะอยางยิง่ ใน
เอเชียตะวันออกและเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต ประเทศ
อินเดียไดร ับอิทธิพลทางศิลปะจากตางประเทศ 4 ครงั้
คอื ครัง้ ท่หี น่ึง ประมาณ 2,000 ปีกอ นพุทธศกั ราช
อทิ ธพิ ลจากประเทศเมโสโปเตเมียไดแพรเขา มาในลมุ
แมน้ําสินธจุ นถงึ ประมาณ 1,000 ปีกอ นพุทธศกั ราช เม่ือ
ชาวอารยันไดบุกรกุ อนิ เดยี และทาํ ลายอารยธรรมดัง้ เดิม
ครงั้ ท่ีสอง ราวพทุ ธศตวรรษท่ี 3 ไดร บั อิทธพิ ลศิลปะจาก
อิหรานและกรีก ครงั้ ท่สี ามพุทธศตวรรษท่ี 6 ไดร บั
อทิ ธพิ ลของกรกี และโรมันเขามามบี ทบาทตอ ศลิ ป
อนิ เดยี และครัง้ ทสี่ ่ีพทุ ธศตวรรษที่ 16 กลุมมุสลมิ ซ่งึ
นับถอื ศาสนาอิสลามไดรกุ รานอินเดยี และพุทธศตวรรษที่
21 ราชวงศโ มกลุ เขา ครอบครองอินเดยี ศลิ ปะอินเดีย
ระยะตอ มากไ็ ดร ับอทิ ธพิ ลของอิหรา น

5

ศิลปะสมัยก่อนอินเดยี

รากฐานศิลปะกอนอนิ เดยี คือวัฒนธรรมทีใ่ ชภาษาสันสกฤต มี
ศิลปะท่ีเมอื งหะรัปปา (Harappa) และโมเหนโช-ดาโร (Mohenjo-
daro) ทางแถบลมุ แมน ้ําสินธุ เม่อื 1,500 ปีกอนพุทธศักราช
อารยธรรมบนลุมแมน ้ําสนิ ธุ

แมวาอารยธรรมอนิ เดยี จะเจรญิ
รงุ เรอื งมาแลว แตค รัง้ โบราณ แตตราบ
จนปลายศตวรรษท่สี บิ แปดกย็ งั ไมมี
การรเิ รมิ่ ศึกษาและคนควา กนั อยาง
จรงิ จงั จนมาถึงในศตวรรษที่สบิ เกา
การคน ควาเกี่ยวกบั อารยธรรมของ
อนิ เดียโบราณ ก็ยงั คงเป็นไปทาง
วรรฑคดีและภาษาเป็นสว นใหญจาก
หลกั ฐานทมี่ ีอยจู นกระทงั่ ค.ศ. 1862
รฐั บาลอินเดียจงึ ไดเ รมิ่ ตงั้ สมาคมทาง
โบราณคดีข้ึน การคนพบโบราณวัตถทุ ่ี
สําคัญในอินเดียภายใตการนํ าของ
เซอร จอหน มารแ ชล (Sir John
Marshall) คอื การคน พบอารยธรรม
แถบลุมแมน้ําสินธุ (Indus
Civilization) ใกลก บั เมืองฮารปั ปา
(Harappa) แถบแควนปัญจาบ ใน
ค.ศ. 1912

6

ทงั้ เมืองโมเฮน็ โจดาโร และฮารัปปานี้มีผงั เมอื งอยางเดยี วกัน จาก
การขุดคนพบซากเมอื งเกาพบวามบี า นเล็ก และบา นใหญเ ป็นจํานวนมาก
มปี ระตู หน าตา ง พ้นื บอ ทอระบายน้ําและยงั มีสถานท่สี าธารณะ เชน ที่
อาบน้ําใหญ ซ่งึ มบี อน้ําลอ มรอบดวยหองอาบน้ําเลก็ ๆ และระเบียง มี
ถนนกวา ง มีทางระบายน้ําอยา งดี ซ่งึ แสดงใหเห็นวา ผูส รา งตอ งเป็นผู
ชาํ นาญการในการออกแบบกอสรา งดีมากดวยส่งิ ทน่ี าท่งึ ในการขุดพบครัง้
นี้ คือการขดุ พบตกึ หลายชนั้ ที่เมอื งโมเฮ็นโจดาโร สนั นิษฐานวา เม่อื เมอื ง
ชัน้ หน่ึงถกู ทบั ถมข้นึ มาดว ยการพอกพนู ของแผน ดินหรอื น้ําทวม ก็มีการ
สรา งเมืองใหมลงบนทเ่ี กา ตามแผนผงั เมืองเกา การคนพบเมอื งเกานี้
ทาํ ใหแลเหน็ ชวี ติ ความเป็นอยแู ละการทาํ มาหากินของคนดวย เม่อื พวก
อนิ โดอารยนั เขา มาหลังสมยั โมเฮ็นโจดาโรแลว ก็พบวา พวกดราวิเดยี น
เช่ือภตู ผปี ีศาจ และเทพทส่ี ถติ ตามตน ไม ลําธาร ภูเขา ซ่ึงมีโชคลาง
แอบแฝงอยทู ัว่ ไป พวกดราวเิ ดยี นบูชางตู า ง ๆ โดยเฉพาะงูเหาดวยถือ
เป็นสญั ลักษณของพระศวิ ะ ซ่งึ เป็นเทพเจา แหง ความอุดมสมบูรณ

7

เผ่าพันธขุ์ องชนพืนเมือง

ชนพืนเมือง ดราวิเดียน

ชนพนื เมือง ดราวเดียน หรอทเี รยกวา่
ฑราวท มิลกั ขะ พวกเขามีลกั ษณะรูปร่าง

เลก็ ผิวคลํา จมูกแบนกวา้ ง

ชาวอารยัน

เปนพวกทีอพยพเคลอื นยา้ ยจากดนิ แดนเอเชยี กลาง
ลงมายังตอนใต้กระจายไปตังถนิ ฐานในพืนทตี า่ งๆ
พวกดราวเดยี นให้ถอยร่นลงไปหรอจบั ตัวเปนทาส พวก
อารยันมรี ูปร่างสงู ใหญ่ผิวขาว จมูกโดง่ คล้ายกับชาว

อินเดียทอี ยู่ทางตอนเหนอื อารยนั

8

ความเชอื ระบบวรรณะ

ในสงั คมชาวอนิ เดียท่สี วนใหญนับถอื ศาสนาฮินดหู รือศาสนา
พราหมณ ซ่งึ มคี วามเช่อื ในเทพเจาผเู ป็นใหญคอื "พระพรหม"
วา เป็นผูส รางโลก มนษุ ยเ ราเกิดจากการสรางดวยอวยั วะตางๆ

ของพระพรหม กอใหเกดิ เร่ืองชนชัน้ วรรณะ 4 นี้ข้นึ มา

(สง่ิ ที่ปกปิด, รูปลักษณภายนอก, ส,ี สีผิว) เป็นสง่ิ ที่
กาํ หนดไวใ นคมั ภีรทางศาสนาฮนิ ดู ซ่งึ มปี รากฏครงั้
แรกในปรุ ษุ สกุ ตะ ซ่ึงเป็นโศลกหน่ึงในคัมภรี ฤคเวท
ยุคหลงั วา วรรณะตางๆ นัน้ เกดิ ข้ึนจากอวัยวะสวน
ตางๆ ของพระผเู ป็นตนกําเนิดของสรรพสงิ่ ในจกั รวาล

ทเี่ รียกกนั วา บุรุษ โดยพราหมณนัน้ เกดิ จากปาก
กษตั รยิ เ กิดจากมอื แพศยเกิดจากลาํ ตวั และศทู รนัน้
เกดิ จากเทา การแบงกลุม เหลานี้แสดงถึงการแบงกลุม

ตามลักษณะหน าท่ีของคนในสงั คม

ตงั้ แตสมัยโบราณวรรณะทีส่ าํ คัญมี 4 วรรณะ ไดแ ก

1) วรรณะพราหมณ ไดแ ก นักบวช นักวชิ าการ นักการเมอื ง
2) วรรณะกษตั ริย ไดแก นักรบ ขาราชการ
3) วรรณะแพศย ไดแ ก พอ คา นักธุรกิจ
4) วรรณะศทู ร ไดแ ก ผใู ชแ รงงาน ชาวนา กรรมกร

9

การปกครองและกฎหมาย

บา้ นเมอื งในลุ่มแม่นําสินธุ มรี ่องรอยของการปกครองแบบรวม
อาํ นาจเข้าศูนยก์ ลาง ทังนเี หน็ ได้จากรูปแบบการสร้างเมอื

งอารัปปาและ เมืองเฮนโจ-ดาโร ทีมีการวางผงั เมืองในลกั ษณะ
เดียวกนั มกี ารตัดถนนเปนระเบยี การสร้างบา้ นใช้อฐิ ขนาด

เดียวกนั ตัวเมืองมกั อยู่ใกล้ปอม ซงึ ตอ้ งมีผนู้ ําทมี อี าํ นาจแบบรวม
ศูนย์ ผ้นู าํ มสี ถานภาพเปนทังกษตั รยแ์ ละเปนนักบวชมีทงั อาํ นาจ
ทางโลกและทางธรรมตอ่ มาเมือพวกอารยนั เขา้ มาปกครองดิน

แดนลมุ่ นาํ สนิ ธุแทนพวกดราวเดยี นจงึ ได้เปลียนแปลง การ
ปกครองเปนแบบ กระจายอํานาจโดยแต่ละเผ่ามีหวั หน้าทีเรยก

วา่ ราชา ปกครองกนั เอง

10

ความเจรญิ ของอารยธรรม
อินเดยี ล่มุ แมน่ าํ สนิ ธุ'

(ชวง 2,500 - 1500 ป กอนคริสตศักราช)

เปนเมอื งขนาดใหญ่ มกี ารวางผงั เมอื งทดี ี

มรี ะบบชลประทานทีดี

อารยธรรมคล้ายคลึงกบั เมโสโปเตเมยี

11

การดํารงชีวิตและการค้า

คนในดินแดนลมุ น้ําสนิ ธมุ กี ารทําอาชีพ
การเกษตรเป็นพ้ืนฐานทางเศรษฐกจิ และ
มีการทาํ การคา ภายในการเพิม่ ประชากร
ในแตล ะอาณาจักร ทําใหก ารคา ในเมอื ง
ตา งๆขยายตัวข้นึ ซ่ึงมสี นิ คาสําคัญ เชน

ดบี ุก ทองแดง หนิ มีคา ชนิดตางๆ
นอกจากนี้ยังมสี นิ คา อตุ สาหกรรม เชน
การทอผา ฝ าย ผาไหม เป็นสนิ คา ในการ
ขายในดนิ แดนตา งๆ อาทิ อาระเบยี เปอร

เชยี อียปิ ต เป็นตน

12

สมยั มุสลิมรกุ ราน

มสุ ลิมท่เี ขารุกรานอนิ เดีย คือมุสลมิ เช้อื สาย
เติรกจากเอเชียกลาง เขา ปกครองอนิ เดยี ภาค
เหนือ ตัง้ เมืองเดลี เป็นเมอื งหลวง เม่ือเขามาปก
ครองมีการบบี บงั คบั ใหชาวอนิ เดยี มานับถือศาสนา
อิสลาม ราษฎรท่ีไมนับถอื ศาสนาอิสลามจะถกู เก็บ
ภาษี “จิซยา” ในอัตราสูง หากหันมานับถือจะได
รับการยกเวน การกระทาํ ของเตริ ก สงผลใหส ังคม
อนิ เดยี เกดิ ความแตกแยกระหวางพวกฮนิ ดูและ

มุสลิมจนถงึ ปัจจุบนั

13

สมยั ชาวตะวนั ตกเขา้ มารกุ ราน

14

ตอนนัน้ เป็นผผู ูกขาดการคาเครอื งเทศแตผ เู ดียว ฮอลแลนดกส็ ัง่ เคร่ืองเทศจาก
ลสิ บอนไปขายยงั ยโุ รปทาํ ใหราคาเคร่อื งเทศสงู ข้ึนมากในยโุ รป อันเน่ืองจาก
ความตอ งการสงู และมกี ารคาเพ่อื เอากาํ ไรหลงั จากนัน้ ฮอลแลนดเดนิ เรือมายัง

เอเชียและหาแหลง เคร่อื งเทศ ฮอลแลนดประสบผลสําเร็จเป็นอยางมาก การประ
สบควาสาํ เร็จของฮอลแลนดท าํ ใหองั กฤษพยายามเขา มามบี ทบาททางองั กฤษ
และไดร ับการสนับสนุนจากกษตั ริยอ ังกฤษ อังกฤษขยายสถานีการคาขยาย
บทบาททางการทหารการเดนิ เรือมากข้นึ และประสบความสําเร็จอยา งมากจึง
พยายามกดี กันบทบาทของฮอลแลนดใ หลดลง

แตต ะวนั ตกออกจากการคาอินเดยี ความแตกตา งทางศาสนาการปฏิวัติ
ระหวา งผปู กครองทีเ่ ป็นมสลุ ิมกบั ประชากรสวนใหญ เศรษฐกิจของ

องั กฤษในอินเดียการผูกขาดทางการคาของผปู กครองอินเดยี สมัยนัน้ และ
การเมอื งของอนิ เดียสมัยราชวงศโ มกลใุ นทส่ี ดุ อังกฤษกป็ ระสบผลสาํ เร็จ

ในการเขา ยดึ ครองอินเดียในสมัยราชวงศโมกลุในศตวรรษ ท1ี่ 9จน
อนิ เดียตกเป็นอาณานิคมขององั กฤษในทส่ี ุด

15

ระบบการปกครองอินเดยี
ทีรบั มาจากอังกฤษ

สมยั อาณานิคมอังกฤษ
ในปลายสมยั อาณาจักรโมกลุ กษตั ริยทรงใชจา ยฟมุ เฟือย
ตอ งเพ่ิมภาษแี ละเพมิ่ การเกณฑแรงงานทําใหป ระชาชน

อยรู อด นอกจากนี้ยงั กดข่ที ําลายลางศาสนาฮนิ ดูอยาง
รนุ แรงทาํ ใหเกดิ ความแตกแยกภายในชาติเป็นเหตุให
องั กฤษคอยๆเขา แทรกแซง และครอบครองอนิ เดียทลี ะ
น อยจนในทีส่ ดอุ ังกฤษลม ราชวงศโมกุลและครอบครอง
อนิ เดยี ในฐานะอาณานิคมอังกฤษและส่ิงทอ่ี ังกฤษวางไว

ใหกับอนิ เดีย คอื
- รากฐานการปกครองระบอบประชาธปิ ไตยแบบรฐั สภา

- การศาล การศึกษา
- ยกเลิกประเพณีบางอยา ง เชน พธิ สี ตี (การเผาตัวตาย

ของหญงิ หมา ยฮินดู

16

มหาตมะ คานธี

ยาวาหะราล เนหร์ ู

สมัยเอกราช
หลงั สงครามโลกครัง้ ที่2 ขบวนการชาตนิยมาอินเดียนําโดย มหาตมะ คาน

ธี และ ยาวาหะราล เนหรู เป็ นผูนําเรยี กรอ ง เอกราชมหาตมะคานธี ใช
หลกั อหิงสาและสตยั เคราะหใ นการ เรยี กรองเอกราชจนประสบความสําเรจ็

หลังจากไดรบั เอกราช
อินเดยี ปกครองดวยระบอบประชาธปิ ไตย แตปีค.ศ.1947มปี ัญหาความคัด
แยง ทางศาสนาอยางรนุ แรงระหวา งกลมุ คนนับถอื ศาสนาฮนิ ดกู บั กลมุ คนท่ี

นับถอื ศาสนาอิสลามจนนมาสูก ารแยกประเทศของกลุม ทีน่ ับถือศาสนา
อิสลามโดยแยกออกมาเป็น ประเทศปากีสถาน ตอมาปี ค.ศ. 1971 ปากสี
ถานตะวันออกไมพ อใจตอการถูกเอาเปรียบจากปากสี ถานตะวันตก จนเกิด

การแยกประเทศมาเป็ นประเทศบังคลาเทศในปั จจุบัน

17

ผลกระทบจากการเรยี กรอ้ งเอกราชของอินเดยี
ทมี ีตอ่ การเปลยี นแปลงของโลก

การตอ สโู ดยสันตวิ ธิ ีของมหาตมะ คานธี (สตั ยเคราะห)
เป็นแบบอยา งทีด่ ใี นการเรยี กรองสิทธแิ ละเสรีภาพ หรอื การ
ตอสทู างการเมอื งในสงั คมประชาธิปไตย โดยหลกี เลย่ี งการ
นองเลือดหรอื จับอาวธุ ข้ึนตอสู

เกดิ การแบงแยกประเทศปากีสถานออกจากอนิ เดีย ในปี
ค.ศ. 1948 มีสาหตกุ ิดจากความขัดแยง ในการนับถอื ศาสนา
โดยปากีสถานเป็นประเทศของชาวมุสลมิ แตผคู นสวนใหญ

ในอนิ เดียนับถือศาสนาฮนิ ดู

18

เส้ นเวลา

แสดงอารยธรรมอินเดียสมัยก่อนประวัติศาสตร์

แสดงลาํ ดับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์อินเดียและโลก

19

บทสรปุ ของอารยธรรมอินเดยี
ล่มุ แมน่ าํ สนิ ธุ

ความคดิ จากอารยธรรมอนิ เดยี ไดแพรกระจายไดตาม
อาณาจกั รตา งๆ มากมาย โดยเฉพาะความคิดจากศาสนา
ฮนิ ดูไดแพรเขาสูอ าณาจกั รทางเอเชียตะวนั ออกเฉียงใตจน
กอใหเกดิ วหิ ารเกี่ยวกบั ความเช่ือทางศาสนา กอ ใหเ กดิ
สถาปัตยกรรม จิตรกรรม และวรรณคดีทางศาสนามากมาย
ตอมาเม่อื พุทธศาสนาไดร ับการยอมรับมากข้ึนและไดแ พร
ขยายเขา มาสูท ัง้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต และเอเชียตะวนั
ออก โดยเฉพาะการแพรขยายไปตามเสนทางสายไหมจาก
อินเดียสจู ีนและเปอรเ ซยี แนวความคิดทางพทุ ธศาสนาก็

เขา มาเจริญแทนทก่ี ระแสความคิดเดิม

फर मलगे ध यवाद


Click to View FlipBook Version