อารยธรรมอินเดีย
ล่มุ แมน่ าํ สนิ ธุ
By ณภัทรชนม์ ศรมี งคล ม.6/2 เลขที14
คํานํา
หนังสอื E-book เลม นี้จดั ทาํ ข้ึนเพ่อื ใชป ระกอบการเรยี น
รายวิชาอารยธรรมโลก (ส33101) ในระดบั ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 6
โดยเน้ือหาประกอบไปดวยประวัตคิ วามเป็นมา เหตุการณตา งๆ
ในอารยธรรมอนิ เดยี ลุมแมน้ําสินธุ
ผูจดั ทาํ หวงั วาหนังสอื E-book เลม นี้จะเป็นประโยชนตอ ผู
อาน นักเรียนหรอื นักศกึ ษาและผทู ี่สนใจเกี่ยวกบั อารยธรรม
อนิ เดียลุมแมน ้ําสนิ ธุ
ณภทั รชนม ศรีมงคล
(ผจู ดั ทาํ )
1
ประวัติความเปนมา
อารยธรรมอินเดยี ลมุ่ แม่นาํ สินธุ
สมัยก่อนประวัติศาสตร์
ยคุ โลหะของอนิ เดยี เริมเมอื ผคู้ นรู้จกั ใชท้ องแดงและสํารดิ เมือประมาณ2,500
ป ก่อนคริสต์ศักราช และร้จู ักใชเ้ หลก็ ในเวลาต่อมา พบหลกั ฐานเปนซากเมือง
โบราณ 2 แห่ง ในบริเวณทีราบลุ่มแมน่ ําสินธุ คือ
(1) เมืองโมเฮนโจ ดาโร ( Mohenjo Daro ) ทางตอนใตข้ องประเทศปากีสถาน
(2) เมอื งฮารบั ปา ( Harappa ) ในแคว้นปนจาป ประเทศปากสี ถานในปจจบุ ัน
2
สมยั ประวตั ศิ าสตร์
อินเดียเข้าสู่ “สมยั ประวตั ศิ าสตร”์ เมอื มีการประดษิ ฐ์ตัว
อกั ษรขนึ ใชป้ ระมาณ 700ป ก่อนครสิ ตศ์ ักราช โดยชนเผ่าอนิ โด –
อารยัน
( Indo – Aryan ) ซึงตงั ถินฐานในบรเิ วณลุม่ แมน่ าํ คงคา สมัย
ประวัตศิ าสตรข์ องอนิ เดยี แบ่งเปน 3 ยคุ ดงั นี
(1) ประวตั ศิ าสตร์สมัยโบราณ เรมิ ตงั แต่การถือกาํ เนิดตวั อกั ษร
อนิ เดยี โบราณ ทเี รยี กว่า “บรามิ ลิป” ( Brahmi lipi ) เมอื ประมาณ
700 ปกอ่ นคริสตศ์ ักราช และสินสุดในราวคริสต์ศตวรรษที 6 ซึง
ตรงกบั สมยั ราชวงศ์คุปตะ ( Gupta ) เปนยคุ สมัยทศี าสนาพราหมณ์
ฮินดู และพระพุทธศาสนาไดถ้ อื กําเนดิ ขึนแลว้
(2) ประวตั ิศาสตร์สมัยกลาง เรมิ ตังแต่เมอื ราชวงศ์คุปะสินสุดลง
ประมาณครสิ ตศ์ ตวรรษที 6 จนถึงตน้ คริสตศ์ ตวรรษที 16 เมือ
กษัตริยม์ ุสลมิ สถาปนาราชวงศ์โมกุล ( Mughul ) และเขา้ ปกครอง
อินเดยี
(3) ประวตั ิศาสตรส์ มัยใหม่ เริมตงั แต่ต้นราชวงศ์โมกุล ในราว
ครสิ ต์ศตวรรษที 16 จนถึงการไดร้ บั เอกราชจากองั กฤษ ในป ค.ศ.
1947
โมแฮนโจ - ดาโร 3
แหล่งอารยธรรมสมยั ก่อน
ประวตั ิศาสตรอ์ ินเดยี
แหล่งอารยธรรมสมยั กอ่ นประวตั ศิ าสตร์อินเดีย
อย่บู รเวณลมุ่ แมน่ าํ สินธุในปากีสถาน และมกี าร
พบซากเมอื งโบราณ ได้แก่ โมแฮนโจ-ดาโร
และ ฮารัปปา
ฮารปั ปา
เน่ืองจากภมู ิประเทศของอนิ เดีย
มีลักษณะเป็นรปู สามเหลย่ี มขนาดใหญ
มเี ทือกเขาหมิ าลัยกนั้ อยูทางตอนเหนือ
มีเทือกเขาฮินดุกุชอทู างตะวันตกเฉียง
เหนือทางดา นตะวนั ตกตดิ กับทะเล
อาหรับสวนทางดา นตะวันอออกติดกบั
มหาสมทุ รอินเดียไปจนถึงอาวเบงกอล
ดังนัน้ ผูท ี่เดินทางโดยทางบกเขา มายงั
บริเวณนี้ในสมัยโบราณตองผา น
ชองเขา
เเททื ืออกกเเขขาาหหิ ิมมลลั ัยย ทเี่ รียกวา ชอ งเขาไคเบอรซ ่งึ เป็นหนทาง
เดียวทจี่ ะเขา สูอ ินเดียในสมยั โบราณ
เก่ยี วของกับประวตั ศิ าสตรอินเดียตลอด
มาเพราะเสนทางนี้เป็นทางผา นของกอง
ทัพของผรู ุกรานและพอ คา จากเอเชีย
กลาง อฟั กานิสถานเขา สูอินเดีย เพราะ
เดินทางทส่ี ะดวก
4
ศิลปะอินเดยี ล่มุ แมน่ าํ สนิ ธุ โมเฮนโจดาโร-ฮารปั ปา
ศลิ ปะในประเทศอินเดยี มมี าอยา งยาวนานมากกวา 4,500 ปี นับวาเป็น
ศลิ ปะท่ีมคี วามโดดเดน ไมแ พศ ลิ ปะใด ๆ ในโลกนี้ อกี ทงั้ ยังมีอิทธพิ ลมากมายใหก บั
ประเทศหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศในเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต การศกึ ษา
ศิลปะอนิ เดยี จึงเป็นรากฐานท่ีสําคญั ในการศกึ ษาศิลปะในภูมภิ าคนี้และประเทศไทย
สําหรบั ประเทศไทยรบั รับอิทธิพของศลิ ปะอินเดีย ทงั้ ใน สถาปัตยกรรม
ประติมากรรม รวมถงึ คติความเช่ือของการสรางงานศลิ ปะดว ย
ประเทศอนิ เดียเป็นดินแดนอารยธรรมแหง
หน่ึงของโลกทม่ี กี ารรับอารยธรรมจากภายนอกและเผย
แพรอารยธรรมไปสดู นิ แดนตา ง ๆ โดยเฉพาะอยางย่ิงใน
เอเชยี ตะวนั ออกและเอเชยี ตะวันออกเฉียงใต ประเทศ
อินเดียไดร บั อิทธพิ ลทางศิลปะจากตา งประเทศ 4 ครัง้
คอื ครงั้ ที่หน่ึง ประมาณ 2,000 ปีกอ นพุทธศักราช
อทิ ธพิ ลจากประเทศเมโสโปเตเมยี ไดแ พรเ ขามาในลุม
แมน ้ําสินธจุ นถงึ ประมาณ 1,000 ปีกอ นพทุ ธศกั ราช เม่อื
ชาวอารยันไดบ ุกรุกอนิ เดยี และทาํ ลายอารยธรรมดงั้ เดมิ
ครงั้ ท่สี อง ราวพุทธศตวรรษที่ 3 ไดรับอิทธิพลศลิ ปะจาก
อหิ รานและกรกี ครงั้ ทส่ี ามพุทธศตวรรษที่ 6 ไดร บั
อิทธิพลของกรีกและโรมนั เขามามบี ทบาทตอ ศิลป
อนิ เดยี และครงั้ ทสี่ พ่ี ุทธศตวรรษท่ี 16 กลมุ มสุ ลิมซ่ึง
นับถือศาสนาอสิ ลามไดรกุ รานอินเดียและพทุ ธศตวรรษท่ี
21 ราชวงศโมกุลเขา ครอบครองอินเดยี ศลิ ปะอินเดีย
ระยะตอมาก็ไดร บั อทิ ธพิ ลของอหิ รา น
5
ศิลปะสมัยก่อนอินเดยี
รากฐานศิลปะกอนอนิ เดยี คือวัฒนธรรมทีใ่ ชภาษาสันสกฤต มี
ศิลปะท่ีเมอื งหะรัปปา (Harappa) และโมเหนโช-ดาโร (Mohenjo-
daro) ทางแถบลมุ แมน ้ําสินธุ เม่อื 1,500 ปีกอนพุทธศักราช
อารยธรรมบนลุมแมน ้ําสนิ ธุ
แมวาอารยธรรมอนิ เดยี จะเจรญิ
รงุ เรอื งมาแลว แตค รัง้ โบราณ แตตราบ
จนปลายศตวรรษท่สี บิ แปดกย็ งั ไมมี
การรเิ รมิ่ ศึกษาและคนควา กนั อยาง
จรงิ จงั จนมาถึงในศตวรรษที่สบิ เกา
การคน ควาเกี่ยวกบั อารยธรรมของ
อนิ เดียโบราณ ก็ยงั คงเป็นไปทาง
วรรฑคดีและภาษาเป็นสว นใหญจาก
หลกั ฐานทมี่ ีอยจู นกระทงั่ ค.ศ. 1862
รฐั บาลอินเดียจงึ ไดเ รมิ่ ตงั้ สมาคมทาง
โบราณคดีข้ึน การคนพบโบราณวัตถทุ ่ี
สําคัญในอินเดียภายใตการนํ าของ
เซอร จอหน มารแ ชล (Sir John
Marshall) คอื การคน พบอารยธรรม
แถบลุมแมน้ําสินธุ (Indus
Civilization) ใกลก บั เมืองฮารปั ปา
(Harappa) แถบแควนปัญจาบ ใน
ค.ศ. 1912
6
ทัง้ เมอื งโมเฮ็นโจดาโร และฮารปั ปานี้มผี งั เมอื งอยางเดียวกนั จาก
การขุดคนพบซากเมอื งเกา พบวามบี านเลก็ และบา นใหญเ ป็นจํานวนมาก
มปี ระตู หน าตา ง พ้นื บอ ทอระบายน้ําและยังมีสถานทสี่ าธารณะ เชน ที่
อาบน้ําใหญ ซ่งึ มบี อ น้ําลอ มรอบดว ยหอ งอาบน้ําเล็ก ๆ และระเบยี ง มี
ถนนกวาง มีทางระบายน้ําอยางดี ซ่ึงแสดงใหเห็นวาผูส รางตองเป็นผู
ชาํ นาญการในการออกแบบกอ สรางดีมากดว ยส่งิ ที่นาท่งึ ในการขดุ พบครัง้
นี้ คือการขดุ พบตึกหลายชนั้ ทีเ่ มอื งโมเฮ็นโจดาโร สันนิษฐานวา เม่ือเมือง
ชนั้ หน่ึงถกู ทับถมข้นึ มาดว ยการพอกพูนของแผน ดนิ หรอื น้ําทวม กม็ ีการ
สรา งเมืองใหมล งบนทเ่ี กาตามแผนผงั เมอื งเกา การคนพบเมืองเกานี้
ทาํ ใหแลเหน็ ชีวิตความเป็นอยูและการทํามาหากนิ ของคนดว ย เม่อื พวก
อนิ โดอารยันเขามาหลงั สมัยโมเฮ็นโจดาโรแลว ก็พบวาพวกดราวเิ ดียน
เช่อื ภตู ผีปีศาจ และเทพท่สี ถิตตามตน ไม ลาํ ธาร ภเู ขา ซ่งึ มีโชคลาง
แอบแฝงอยูทวั่ ไป พวกดราวเิ ดยี นบชู างตู าง ๆ โดยเฉพาะงเู หา ดวยถอื
เป็นสญั ลักษณของพระศิวะ ซ่งึ เป็นเทพเจาแหง ความอดุ มสมบูรณ
7
เผา่ พันธุ์
ชนพืนเมือง ดราวิเดียน
ชนพนื เมอื ง ดราวเดยี น หรอทเี รยกวา่
ฑราวท มิลกั ขะ พวกเขามีลกั ษณะรูปร่าง
เล็ก ผวิ คลํา จมูกแบนกวา้ ง
ชาวอารยัน
เปนพวกทอี พยพเคลือนยา้ ยจากดนิ แดนเอเชียกลาง
ลงมายงั ตอนใต้กระจายไปตังถิน ฐานในพนื ทตี า่ งๆ
พวกดราวเดยี นให้ถอยร่นลงไปหรอจบั ตัวเปนทาส พวก
อารยนั มีรูปร่างสงู ใหญ่ผวิ ขาว จมกู โดง่ คล้ายกบั ชาว
อินเดียทีอยทู่ างตอนเหนืออารยนั
8
ความเชอื ระบบวรรณ
ในสงั คมชาวอนิ เดยี ทส่ี วนใหญน ับถอื ศาสนาฮินดหู รือศาสนา
พราหมณ ซ่งึ มคี วามเช่ือในเทพเจา ผเู ป็นใหญคือ "พระพรหม"
วา เป็นผสู รางโลก มนษุ ยเราเกิดจากการสรา งดวยอวัยวะตา งๆ
ของพระพรหม กอใหเกิดเร่ืองชนชนั้ วรรณะ 4 นี้ข้ึนมา
(สิง่ ท่ปี กปิด, รปู ลักษณภายนอก, สี, สผี วิ ) เป็นสง่ิ ที่
กําหนดไวในคัมภีรทางศาสนาฮนิ ดู ซ่งึ มีปรากฏครัง้
แรกในปรุ ุษสุกตะ ซ่ึงเป็นโศลกหน่ึงในคัมภีรฤคเวท
ยคุ หลัง วา วรรณะตางๆ นัน้ เกิดข้ึนจากอวัยวะสว น
ตา งๆ ของพระผเู ป็นตน กําเนิดของสรรพสง่ิ ในจักรวาล
ท่เี รยี กกันวา บุรุษ โดยพราหมณนัน้ เกิดจากปาก
กษตั รยิ เ กิดจากมือ แพศยเ กิดจากลําตวั และศทู รนัน้
เกดิ จากเทา การแบง กลมุ เหลานี้แสดงถงึ การแบงกลุม
ตามลกั ษณะหน าท่ีของคนในสงั คม
ตงั้ แตสมัยโบราณวรรณะที่สําคญั มี 4 วรรณะ ไดแก
1) วรรณะพราหมณ ไดแก นักบวช นักวิชาการ นักการเมือง
2) วรรณะกษตั รยิ ไดแ ก นักรบ ขาราชการ
3) วรรณะแพศย ไดแก พอ คา นักธรุ กจิ
4) วรรณะศูทร ไดแก ผใู ชแรงงาน ชาวนา กรรมกร
9
การปกครองและกฎหมาย
บา้ นเมอื งในลุ่มแม่นําสินธุ มรี ่องรอยของการปกครองแบบรวม
อาํ นาจเข้าศูนยก์ ลาง ทังนเี หน็ ได้จากรูปแบบการสร้างเมอื
งอารัปปาและ เมืองเฮนโจ-ดาโร ทีมีการวางผงั เมืองในลกั ษณะ
เดียวกนั มกี ารตัดถนนเปนระเบยี การสร้างบา้ นใช้อฐิ ขนาด
เดียวกนั ตัวเมืองมกั อยู่ใกล้ปอม ซงึ ตอ้ งมีผนู้ ําทมี อี าํ นาจแบบรวม
ศูนย์ ผ้นู าํ มสี ถานภาพเปนทังกษตั รยแ์ ละเปนนักบวชมีทงั อาํ นาจ
ทางโลกและทางธรรมตอ่ มาเมือพวกอารยนั เขา้ มาปกครองดิน
แดนลมุ่ นาํ สนิ ธุแทนพวกดราวเดยี นจงึ ได้เปลียนแปลง การ
ปกครองเปนแบบ กระจายอํานาจโดยแต่ละเผ่ามีหวั หน้าทีเรยก
วา่ ราชา ปกครองกนั เอง
10
ความเจรญิ ของอารยธรรม
อินเดยี ล่มุ แมน่ าํ สนิ ธุ'
(ชวง 2,500 - 1500 ป กอนคริสตศักราช)
เปนเมอื งขนาดใหญ่ มีการวางผงั เมอื งทีดี
มีระบบชลประทานทดี ี
อารยธรรมคลา้ ยคลงึ กับเมโสโปเตเมีย
11
การดํารงชีวิตและการค้า
คนในดินแดนลมุ น้ําสนิ ธมุ กี ารทําอาชีพ
การเกษตรเป็นพ้ืนฐานทางเศรษฐกจิ และ
มีการทาํ การคา ภายในการเพิม่ ประชากร
ในแตล ะอาณาจักร ทําใหก ารคา ในเมอื ง
ตา งๆขยายตัวข้นึ ซ่ึงมสี นิ คาสําคัญ เชน
ดบี ุก ทองแดง หนิ มีคา ชนิดตางๆ
นอกจากนี้ยังมสี นิ คา อตุ สาหกรรม เชน
การทอผา ฝ าย ผาไหม เป็นสนิ คา ในการ
ขายในดนิ แดนตา งๆ อาทิ อาระเบยี เปอร
เชยี อียปิ ต เป็นตน
12
สมยั มุสลิมรกุ ราน
มุสลมิ ทีเ่ ขารกุ รานอินเดยี คือมสุ ลมิ เช้ือสาย
เติรกจากเอเชียกลาง เขาปกครองอินเดียภาค
เหนือ ตงั้ เมืองเดลี เป็นเมอื งหลวง เม่ือเขา มาปก
ครองมกี ารบีบบงั คับใหชาวอินเดียมานับถือศาสนา
อิสลาม ราษฎรท่ีไมน ับถอื ศาสนาอสิ ลามจะถูกเกบ็
ภาษี “จิซยา” ในอตั ราสูง หากหนั มานับถือจะได
รบั การยกเวน การกระทาํ ของเตริ ก สง ผลใหส งั คม
อินเดียเกดิ ความแตกแยกระหวา งพวกฮินดแู ละ
มสุ ลมิ จนถงึ ปัจจบุ นั
13
สมยั ชาวตะวนั ตกเขา้ มารกุ ราน
14
ตอนนัน้ เป็นผูผูกขาดการคา เครอื งเทศแตผูเดยี ว ฮอลแลนดก ส็ ัง่ เคร่ืองเทศจาก
ลสิ บอนไปขายยงั ยุโรปทําใหราคาเคร่อื งเทศสงู ข้ึนมากในยุโรป อนั เน่ืองจาก
ความตองการสงู และมกี ารคาเพ่ือเอากําไรหลงั จากนัน้ ฮอลแลนดเ ดนิ เรอื มายงั
เอเชยี และหาแหลงเคร่ืองเทศ ฮอลแลนดประสบผลสําเร็จเป็นอยา งมาก การประ
สบควาสําเร็จของฮอลแลนดท ําใหองั กฤษพยายามเขามามบี ทบาททางองั กฤษ
และไดร ับการสนับสนุนจากกษตั รยิ อังกฤษ องั กฤษขยายสถานีการคาขยาย
บทบาททางการทหารการเดนิ เรอื มากข้นึ และประสบความสําเร็จอยางมากจึง
พยายามกีดกันบทบาทของฮอลแลนดใหล ดลง
แตต ะวนั ตกออกจากการคา อนิ เดยี ความแตกตางทางศาสนาการปฏิวัติ
ระหวา งผปู กครองทเี่ ป็นมสลุ ิมกบั ประชากรสว นใหญ เศรษฐกิจของ
องั กฤษในอินเดียการผกู ขาดทางการคาของผูปกครองอนิ เดยี สมยั นัน้ และ
การเมอื งของอินเดยี สมัยราชวงศโมกลใุ นทสี่ ดุ อังกฤษก็ประสบผลสําเร็จ
ในการเขา ยดึ ครองอนิ เดยี ในสมยั ราชวงศโ มกลใุ นศตวรรษ ที่19จน
อินเดยี ตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษในท่สี ดุ
15
ระบบการปกครองอินเดยี
ทีรบั มาจากอังกฤษ
สมยั อาณานิคมอังกฤษ
ในปลายสมยั อาณาจักรโมกลุ กษตั ริยทรงใชจา ยฟมุ เฟือย
ตอ งเพ่ิมภาษแี ละเพมิ่ การเกณฑแรงงานทําใหป ระชาชน
อยรู อด นอกจากนี้ยงั กดข่ที ําลายลางศาสนาฮนิ ดูอยาง
รนุ แรงทาํ ใหเกดิ ความแตกแยกภายในชาติเป็นเหตุให
องั กฤษคอยๆเขา แทรกแซง และครอบครองอนิ เดียทลี ะ
น อยจนในทีส่ ดอุ ังกฤษลม ราชวงศโมกุลและครอบครอง
อนิ เดยี ในฐานะอาณานิคมอังกฤษและส่ิงทอ่ี ังกฤษวางไว
ใหกับอนิ เดีย คอื
- รากฐานการปกครองระบอบประชาธปิ ไตยแบบรฐั สภา
- การศาล การศึกษา
- ยกเลิกประเพณีบางอยา ง เชน พธิ สี ตี (การเผาตัวตาย
ของหญงิ หมา ยฮินดู
16
มหาตมะ คานธี
ยาวาหะราล เนหร์ ู
สมัยเอกราช
หลังสงครามโลกครงั้ ท่ี2 ขบวนการชาตนิยมาอินเดียนําโดย มหาตมะ คาน
ธี และ ยาวาหะราล เนหร ู เป็ นผูนําเรยี กรอ ง เอกราชมหาตมะคานธี ใช
หลกั อหิงสาและสตัยเคราะหในการ เรยี กรองเอกราชจนประสบความสาํ เร็จ
หลังจากไดรับเอกราช
อินเดียปกครองดว ยระบอบประชาธปิ ไตย แตป ีค.ศ.1947มีปัญหาความคดั
แยง ทางศาสนาอยา งรนุ แรงระหวางกลมุ คนนับถือศาสนาฮินดูกบั กลมุ คนท่ี
นับถอื ศาสนาอิสลามจนนมาสูการแยกประเทศของกลมุ ท่นี ับถอื ศาสนา
อิสลามโดยแยกออกมาเป็น ประเทศปากสี ถาน ตอมาปี ค.ศ. 1971 ปากสี
ถานตะวันออกไมพ อใจตอการถูกเอาเปรยี บจากปากสี ถานตะวันตก จนเกดิ
การแยกประเทศมาเป็นประเทศบังคลาเทศในปัจจบุ ัน
17
ผลกระทบจากการเรยี กรอ้ งเอกราชของอนิ เดียทีมตี ่อ
การเปลียนแปลงของโลก
การตอ สูโดยสนั ตวิ ิธีของมหาตมะ คานธี (สตั ยเคราะห)
เป็นแบบอยา งทีด่ ใี นการเรียกรอ งสทิ ธิและเสรีภาพ หรือการ
ตอสูทางการเมอื งในสงั คมประชาธิปไตย โดยหลีกเล่ยี งการ
นองเลือดหรอื จบั อาวุธข้ึนตอสู
เกดิ การแบง แยกประเทศปากีสถานออกจากอินเดยี ในปี
ค.ศ. 1948 มสี าหตกุ ิดจากความขัดแยงในการนับถือศาสนา
โดยปากีสถานเป็นประเทศของชาวมสุ ลิม แตผ คู นสว นใหญ
ในอนิ เดยี นับถอื ศาสนาฮนิ ดู
18
เส้ นเวลา
แสดงอารยธรรมอินเดียสมัยก่อนประวัติศาสตร์
แสดงลําดับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์อินเดียและโลก
19
บทสรปุ ของอารยธรรมอินเดยี
ล่มุ แมน่ าํ สนิ ธุ
ความคดิ จากอารยธรรมอนิ เดยี ไดแพรกระจายไดตาม
อาณาจกั รตา งๆ มากมาย โดยเฉพาะความคิดจากศาสนา
ฮนิ ดูไดแพรเขาสูอ าณาจกั รทางเอเชียตะวนั ออกเฉียงใตจน
กอใหเกดิ วหิ ารเกี่ยวกบั ความเช่ือทางศาสนา กอ ใหเ กดิ
สถาปัตยกรรม จิตรกรรม และวรรณคดีทางศาสนามากมาย
ตอมาเม่อื พุทธศาสนาไดร ับการยอมรับมากข้ึนและไดแ พร
ขยายเขา มาสูท ัง้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต และเอเชียตะวนั
ออก โดยเฉพาะการแพรขยายไปตามเสนทางสายไหมจาก
อินเดียสจู ีนและเปอรเ ซยี แนวความคิดทางพทุ ธศาสนาก็
เขา มาเจริญแทนทก่ี ระแสความคิดเดิม