ศูนย์ฝึก
อบรมตำรวจ
ภูธรภาค 5
จริยธรรม
และ
จรรยาบรรณตำรวจ
วิชาจริยธรรมและจรรยาบรรณตำรวจ
คำนำ
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-Book) นี้ จัดทำเพื่ อเป็นส่วนหนึ่งของวิชาจริยธรรม
และจรรยาบรรณตำรวจ ศท.(GE ) ๒๑๑๐๑ เพื่ อใช้สำหรับศึกษาหาความรู้ในหัวข้อ
จริยธรรมและจรรยาบรรณของตำรวจ
ผู้จัดหวังเป็นอย่างยิ่งว่า E-Book เล่มนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านหรือนักเรียน
นักศึกษา ที่กำลังหาข้อมูลเพิ่ มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ หากมีข้อแนะนำหรือข้อผิดพลาด
ประการใด ผู้จัดทำขอน้อมรับไว้และขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้จัดทำ
นักเรียนนายสิบตำรวจ
กองร้อยที่ ๔ ห้อง ๕๐๒
บทที่ 1
ความหมายและความ
สำคัญของจริยธรรม
บทที่ 1
ความหมายและความสำคัญของจริยธรรม
“จรรยาบรรณ” หมายความว่า ประมวลความประพฤติที่ผู้ประกอบวิชาชีพต่าง ๆ ร่วมกันกำหนดขึ้น
เพื่อรักษาและส่งเสริมเกียรติคุณชื่อเสียงและฐานะของสมาชิก
“จริยธรรม” หมายความว่า ธรรมที่เป็นข้อประพฤติปฏิบัติ ซึ่งธรรมก็คือคุณความดีจึงอาจกล่าว
ได้อีกนัยหนึ่งว่า “จริยธรรม” ก็คือคุณความดีเป็นข้อควรปฏิบัติดังนั้นประมวลจริยธรรม
และมาตรฐานทางจริยธรรมจึงมีความหมายว่าข้อประพฤติปฏิบัติที่มีคุณความดีของคณะบุคคล
ซึ่งเป็นผู้ประกอบวิชาชีพนั้น ๆ
ความหมายของจริยธรรมที่แตกต่างกัน
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๕ หมายถึง ธรรมที่เป็นข้อประพฤติปฏิบัติ
Oxford Advanced Learner’ หมายถึง หลักศีลธรรมที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของบุคคล
วิชาสังคมวิทยา หมายถึง กฎ หรือข้อควรปฏิบัติที่อยูบนพื้นฐานของศีลธรรมและคุณธรรม
Lawrence Kohlberg: หมายถึง ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับความถูกผิดในการประพฤติ
ปฏิบัติตนที่เกิดขึ้นจากขบวนการทางความคิดอยางมีเหตุมีผลและอาศัยวุฒิภาวะทางปัญญาของบุคคล
ด้วยเหตุนี้คําว่า “จรรยาบรรณ” “ประมวลจริยธรรม” และ “มาตรฐานทางจริยธรรม”
จึงมีความหมายที่เหมือนกัน ในภาษาอังกฤษมีหลายคําที่มีความหมายเช่นเดียวกับ “จรรยาบรรณ”
“ประมวลจริยธรรม” และ “มาตรฐานทางจริยธรรม”ได้แก่ Code of Conduct, Code of Ethics,
Professional Standard หรือHonor Code เป็นต้น
ประโยชน์ของจริยธรรม
จริยธรรมจะมีประโยชน์เมื่อนำไปปฏิบัติ เพราะจริยธรรมเป็นหลักสำคัญสำหรับ
การปฏิบัติ จริยธรรมมีประโยชน์ ดังนี้
๑. ประโยชน์ต่อตนเอง
การปฏิบัติตามหลักจริยธรรมทำให้คนเราเป็นคนดี คนดีย่อมมีความสบายใจอิ่มเอิบใจ
เพราะได้ทำความดีจึงเป็นที่รักใคร่ชอบและชอบพอของคนอื่น นอกจากนี้หลักธรรม เช่น ความเพียร
ความอดทน ความมีวินัย ยังช่วยให้ประสบความสำเร็จในการงานด้วย
๒. ประโยชน์ต่อสังคม
คนดีย่อมทำประโยชน์แก่ตนเอง และคนอื่นด้วยการไม่ทำชั่วเป็นการลดภาระของ สังคมที่ไม่ต้อง
แก้ปัญหา การทำดีจึงเป็นประโยชน์แก่สังคม และช่วยให้สังคมพัฒนาไปสู่ความเจริญ และเป็น
ตัวอย่างที่ดีให้แก่คนอื่น ๆ คนดีจึงเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณค่า
๓. ประโยชน์ต่อการรักษาจริยธรรม
จริยธรรมเป็นสิ่งที่ดีมีคุณค่า ทั้งแก่บุคคลและสังคม จะรักษาไว้ด้วยการปฏิบัติ เพราะถ้าไม่ปฏิบัติ
ก็จะเป็นเพียงคำพูดหรือตัวหนังสือที่เขียนไว้ จะช่วยใครไม่ได้ทั้งสิ้น
ดังนั้น การศึกษาจริยธรรมและนำไปปฏิบัติดี จึงเป็นการรักษาจริยธรรมให้คงอยู่เช่นเดียว
กับพระภิกษุสงฆ์สืบต่อพระพุทธศาสนาได้ด้วยการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ตามคำสั่งสอนของ
พระพุทธเจ้า พระพุทธศาสนาจึงดำรงมาได้จนถึงปัจจุบัน คนทั่วไปก็สามารถรักษาจริยธรรมของ
ศาสนาได้ด้วยการปฏิบัติ เช่นเดียวกัน การปฏิบัติจึงให้คุณแก่ตน แก่สังคม และเป็นการรักษา
จริยธรรมไว้ให้เป็นประโยชน์แก่อนุชนสืบประโยชน์ของจริยธรรม
ประโยชน์ของจริยธรรม
๔. ประโยชน์ต่อการพัฒนาบ้านเมือง
ต้องพัฒนาจิตใจก่อนหรืออย่างน้อยก็ต้องควบคู่ไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจสังคม และอื่น ๆ ด้วย
เพราะการพัฒนาที่ไม่มีจริยธรรมเป็นแกนนำก็จะสูญเปล่า เพราะทำให้บุคคลลุ่มหลงในวัตถุและ
อบายมุขมากขึ้น การที่เศรษฐกิจต้องเสื่อมโทรมประชาชนยากจน สาเหตุหนึ่งก็คือคนในสังคมละเลย
จริยธรรม มุ่งแต่จะกอบโกยผลประโยชน์ส่วนตน ขาดความเมตตาปราณี แล้งน้ำใจ เห็นแก่ตัว
โดยไม่คำนึงถึงคนอื่นและสังคมโดยส่วนรวม การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมรวมทั้งการเมือง
จึงไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
๕. ประโยชน์ต่อการช่วยควบคุมมาตรฐาน
การรับประกันคุณภาพและปริมาณที่ถูกต้องในการประกอบอาชีพ ในการผลิตและในการบริหาร
ถ้าผู้ผลิตมีจริยธรรมก็จะผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ ไม่ปลอมปน อะไรไม่ดีก็บอกว่าไม่ดี อะไรว่าดีก็บอกว่าดี
จริยธรรมจึงเป็นเรื่องของความซื่อสัตว์สุจริตยุติธรรม ช่วยให้มาตรฐานสินค้าดีมีคุณภาพ ลดปัญหาการคด
ฉ้อฉลเอารัดเอาเปรียบ เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ ตลอดจนความใจแคบไม่ยอมเสียสละ
บทที่ 2
ความหมายความสำคัญ
ของจรรยาบรรณวิชาชีพ
บทที่ 2
ความหมายและความสำคัญของจรรยาบรรณวิชาชีพ
ความหมายจรรยาบรรณวิชาชีพ
จรรยาบรรณในวงการวิชาชีพเป็นข้อกำหนดกฎเกณฑ์ให้ผู้ประกอบวิชาชีพคอยยึดถือปฏิบัติ มีปกาศิตบังคับ
ในระดับ “พึง” คือพึงทำอย่างนั้นพึงทำอย่างนี้ไม่เป็นการบังคับโดยเด็ดขาด แต่ผลสัมฤทธิ์หรือเป้าหมายของ
จรรยาบรรณและศักดิ์ศรีของผู้ที่ประกอบวิชาชีพ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อคนและเพื่องาน ดังนั้นในแต่ละวิชาชีพ
จึงได้กำหนดจรรยาบรรณมากำหนดบทบาทหน้าที่หรือประมวลความประพฤติข้อบังคับมารยาท เพื่อรักษาและส่งเสริม
เกียรติคุณ ชื่อเสียง ความดีงาม รวมทั้งก่อให้เกิดความสงบสุขและความเจริญในตัวคน ในแต่ละวิชาชีพ ในแต่ละสังคม
ของสมาชิกในวงการวิชาชีพนั้น ๆ และเมื่อกล่าวถึงจรรยาบรรณ มีคำศัพท์อยู่ ๓ คำที่ได้มีการนำไปใช้และมีความหมาย
คล้ายคลึงกันได้แก่คำว่า จริยธรรม จริยศาสตร์และจรรยาบรรณ จริยธรรมเมื่อนำไปประยุกต์ใช้กับกลุ่มวิชาชีพจึงเรียก
ว่า “จรรยาบรรณ”
ความสำคัญของจรรยาบรรณวิชาชีพ
ผู้ที่ประกอบวิชาชีพเป็นผู้ที่ได้รับการฝึกฝนมีความรู้ความชำนาญสูงเกินกว่าคนธรรมดาสามัญ เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงมี
โอกาสที่จะใช้วิชาความรู้ของตนเพื่อหาประโยชน์โดยที่ประชาชนทั่วไปไม่รู้เท่าทัน เช่น แพทย์อาจรักษาผู้ป่วยแบบเลี้ยงไข้
ตำรวจอาจใช้ตำแหน่งหน้าที่กลั่นแกล้งประชาชนเพื่ อแลกกับผลประโยชน์หรือสินบนหรือครูก็อาจเบียดเบียนหาผล
ประโยชน์จากศิษย์ ซึ่งตัวอย่างมีให้เห็นในปัจจุบัน ในที่สุดสังคมก็เรียกร้องจริยธรรมจากผู้ประกอบวิชาชีพ ซึ่งได้มีการ
กำหนดขึ้นจากองค์กรหรือสมาคมวิชาชีพนั้นๆ โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญอยู่ ๓ ประการ
เป็นแนวทางให้ผู้ประกอบวิชาชีพยึดถือปฏิบัติอย่างถูกต้อง
เพื่อให้วิชาชีพคงฐานะ ได้รับการยอมรับและยกย่องจากสังคม
เพื่อผดุงเกียรติยศและศักดิ์ศรีแห่งวิชาชีพ
จำเป็นอย่างยิ่งที่วิชาชีพต่าง ๆ จะต้องมีจรรยาบรรณของตนเอง จรรยาบรรณเป็นเครื่องมืออันสำคัญที่จะช่วยให้ผู้
ประกอบวิชาชีพมีหลักการและแนวทางปฏิบัติตามที่ถูกต้องเหมาะสม อันจะนำมาซึ่งประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการ
ปฏิบัติงาน รวมทั้งความเลื่อมใสศรัทธาและความเชื่อมั่นจากผู้ที่เกี่ยวข้อง ดังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ได้
พระราชทานพระบรมราโชวาทแก่บัณฑิตของมหาวิทยาลัยมหิดล ณ อาคารใหม่ สวนอัมพร เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม
พ.ศ. 2540 ที่ได้เน้นความสำคัญของจรรยาบรรณ ความว่า “ การงานทุกอย่างทุกอาชีพ ย่อมจะมีจรรยาบรรณ
ของตน จรรยาบรรณนั้นจะมีบัญญัติเป็น ลายลักษณ์อักษรหรือไม่ก็ตาม แต่ก็เป็นสิ่งที่ยึดถือกันว่าเป็นความดีงาม
ที่คนในอาชีพนั้นประพฤติปฏิบัติ หากผู้ใดล่วงละเมิดก็อาจก่อให้เกิดความเสียหาย ทั้งบุคคล หมู่คณะและส่วนรวมได้ เหตุ
นี้ผู้ปฏิบัติงานในทุกสาขาอาชีพ นอกจากจะมีความรู้ในสาขาของตน ทั้งข้อที่ควรปฏิบัติและไม่พึงปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
ด้วย จึงจะสามารถประพฤติปฏิบัติงานให้ประสบความสำเร็จได้รับความเชื่อถือยกย่องในเกียรติ ในศักดิ์ศรี และความ
สามารถด้วยประการทั้งปวง”
การปฏิบัติตนให้อยู่ในจรรยาบรรณวิชาชีพ
การที่บุคคลประกอบอาชีพที่จำเป็นต้องมีพร้อมทั้งประสบการณ์ความสามารถในเรื่องวิชาการแล้วก็ยังต้องมีจรรยา-
บรรณวิชาชีพ ซึ่งจรรยาบรรณเป็นเครื่องมืออันสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ประกอบวิชาชีพมีหลักการ แนวทางปฏิบัติตามที่ถูกต้อง
และเหมาะสมที่สุด อันจะนำมาซึ่งประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการปฏิบัติงาน รวมทั้งความเลื่อมใสศรัทธาและ
ความเชื่อมั่นจากผู้ที่เกี่ยวข้องดังนั้นการปฏิบัติตนให้อยู่ในจรรยาบรรณวิชาชีพจึงเปรียบเสมือนตัวชี้วัดมาตรฐาน
ของการปฏิบัติงานของผู้ประกอบวิชาชีพโดยมีหลักปฏิบัติดังนี้
ความซื่อสัตย์
ปฏิบัติงานอย่างมีเกียรติและซื่อสัตย์ตลอดเวลาที่ได้ร่วมงาน ทั้งกับผู้รับบริการและเพื่อนร่วมวิชาชีพด้วย
กัน ซึ่งเป็นตัวสำคัญที่บ่งบอกถึงความจริงใจทั้งต่อหน้าและลับหลัง
ความเป็นกลาง
ดำเนินกิจกรรมอย่างยุติธรรมและไม่ลำเอียง ซึ่งจะต้องปราศจากอคติหรือพิจารณาเป็นการล่วงหน้าที่ไม่
ก่อให้เกิดความขัดแย้งในรูปแบบการแสดงออกต่อผู้รับบริการวิชาชีพและเพื่ อนร่วมวิชาชีพ
ความเป็นอิสระ
การปฏิบัติงานจะต้องมีความเป็นอิสระในการที่ให้บริการทางด้านต่าง ๆ หรือบริการสาธารณะซึ่งการ
ดำเนินการนั้นเป็นไปอย่างอิสระ แต่ผู้ประกอบวิชาชีพต้องพึงระลึกอยู่เสมอว่าผลประโยชน์ที่ได้รับเป็นไปอย่างถูก
กฎหมายเป็นไปตามระเบียบแบบแผนและข้อตกลงที่ตั้งไว้
การรักษาความลับ
ผู้ประกอบวิชาชีพจะต้องให้ความนับถือธรรมชาติของความลับ ของข้อมูลของผู้รับบริการในการให้บริการ
ทางวิชาชีพและข้อมูลควรได้รับการปกปิดแก่บุคคลที่ ๓ โดยปราศจากการขออนุญาตเฉพาะเรื่อง หรือเป็นหลักเกณฑ์
ทางกฎหมาย
มาตรฐานวิชาการและวิชาชีพ
ผู้ประกอบวิชาชีพถูกคาดหวังอย่างยิ่งว่า จะต้องมีมาตรฐานทั้งทางด้านวิชาการและวิชาชีพตามคุณสมบัติ
วิชาชีพของผู้ประกอบวิชาชีพนั้น ซึ่งเป็นพื้นฐานในการปฏิบัติหน้าที่ที่เป็นบรรทัดฐานเดียวกับประสบการณ์ทาง
วิชาการและวิชาชีพจะถูกนำมาใช้ในการปฏิบัติหน้าที่โดยผู้รับบริการวิชาชีพพึ งจะได้รับอย่างเท่าเทียมกัน
ความสามารถและความระมัดระวัง
ผู้ประกอบวิชาชีพจะต้องแสดงออกในการให้บริการทางวิชาชีพด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งด้วยความ
สามารถและด้วยความขยันหมั่นเพียร เนื่องจากผู้ให้บริการมีหน้าที่จะต้องรักษาความรู้และความชำนาญอย่างต่อ
เนื่อง
พฤติกรรมทางจริยธรรม
ผู้ประกอบวิชาชีพจะต้องประพฤติตนอย่างมีจริยธรรมตลอดเวลาและต้องรักษาชื่อเสียงที่ดีในวิชาชีพ
ให้คำปรึกษาแก่ผู้รับบริการวิชาชีพอย่างเต็มความสามารถ
บทที่ 3
ประมวลจริยธรรมและ
จรรยาบรรณของตำรวจ
สาระสำคัญของ กฎ ก.ตร. ว่าด้วยประมวลจริยธรรมและจรรยาบรรณของตำรวจ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๕๓
บทที่ 3
สาระสำคัญของ กฎ ก.ตร. ว่าด้วยประมวลจริยธรรม
และจรรยาบรรณของตำรวจ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๕๓
ตำรวจแห่งชาติทุกนายมีอำนาจและหน้าที่ที่สำคัญ ได้แก่การรักษาความปลอดภัยสำหรับองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระ
รัชทายาท ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์พระบรมวงศานุวงศ์ ผู้แทนพระองค์และพระราชอาคันตุกะและการรักษากฎหมายคุ้มครอง
ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม บริการชุมชนให้เกิดความร่มเย็น ป้องกันและปราบปรามผู้ กระทำ
ผิดกฎหมาย และดำเนินการเพื่อนํา ผู้กระทำผิด
กฎหมายเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
ดังนั้น เพื่อให้การปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้นมีประสิทธิภาพประสิทธิผลและประชาชนมีความศรัทธา
เชื่อมั่น จึงจำเป็นต้องกำหนดประมวลจริยธรรมและจรรยา-บรรณของตำรวจ เป็นกรอบควบคุมความประพฤติ การปฏิบัติของ
ข้าราชการตำรวจให้มีคุณธรรมจริยธรรม และจรรยาบรรณที่ดีและเป็นมาตรฐาน
ข้อ ๑ ประมวลจริยธรรมและจรรยาบรรณของตำรวจ ประกอบด้วย
ส่วนที่ ๑ มาตรฐานคุณธรรมและอุดมคติของตำรวจ เป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งให้ข้าราชการตำรวจอยู่ใน กรอบของศีลธรรมและคุณธรรม
ขณะเดียวกันก็เป็นแนวทางชี้นําให้ข้าราชการตำรวจบรรลุถึงปณิธานของการเป็น ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์
ส่วนที่ ๒ มาตรฐานทางจริยธรรมและจรรยาบรรณของตำรวจ
๑. มาตรฐานทางจริยธรรมตำรวจ คือคุณความดีที่เป็นข้อประพฤติตนและปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจเพื่อให้ประชาชนศรัทธา
เชื่อมั่นและยอมรับ
๒. จรรยาบรรณของำรวจคือ ประมวลความประพฤติในการปฏิบัติหน้าที่ ของวิชาชีพตำรวจที่ข้าราชการตำรวจต้องยึดถือปฏิบัติเพื่อ
ธํารงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิ ของข้าราชการตำรวจและวิชาชีพตำรวจ
ข้อ ๒ ประมวลจริยธรรมและจรรยาบรรณของตำรวจ
“การไม่เลือกปฏิบัติ” หมายความว่า การไม่ใช้ความรู้สึกพึงพอใจหรือไม่พึงพอใจส่วนตัวต่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคล อันเนื่องมาจากชาติ
กำเนิด เพศ ศาสนา หรือความเชื่อ เชื้อชาติ สัญชาติ อายุ การศึกษา ความเห็นทางการเมืองหรือความเห็นอื่น ความนิยมทางเพศส่วน
บุคคล ความพิการ สภาพร่างกาย จิตใจหรือสุขภาพ หรือสถานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม
“ประโยชน์” หมายความว่า เงิน ทรัพย์สิน บริการ ตำแหน่งหน้าที่การงาน สิทธิประโยชน์หรือประโยชน์อื่นใดหรือคํามั่นสัญญาที่จะให้
หรือจะได้รับสิ่งดังกล่าว ในอนาคตด้วย
“การทารุณหรือทารุณกรรม” หมายความว่า การปฏิบัติหรือกระทำใด ๆ ต่อร่างกาย หรือจิตใจของบุคคล ในลักษณะที่โหดร้าย ไร้
มนุษยธรรม หรือก่อให้เกิดความ เจ็บปวดอย่าง แสนสาหัส หรือดูถูกศักดิ์ศรีความ เป็นมนุษย์
ข้อ ๓ ข้าราชการตำรวจต้องเคารพและปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมและจรรยาบรรณของตำรวจ อย่างเคร่งครัด เมื่อตนได้ละเมิด
ฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมและจรรยาบรรณของตำรวจ จะต้องรายงานผู้บังคับบัญชาเป็นหนังสือทันที
ส่วนที่ ๑
มาตรฐานคุณธรรม และอุดมคติของตำรวจ
ข้อ ๔ ข้าราชการตำรวจพึงยึดถือคุณธรรมสี่ประการตามพระบรมราโชวาท เป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งในการ
ประพฤติตนและปฏิบัติหน้าที่ดังนี้
(๑) การรักษาความสัจความจริงใจต่อตัวเองที่จะประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์และเป็นธรรม
(๒) การรู้จักข่มใจตนเองฝึกตนเองให้ประพฤติปฏิบัติอยู่ในความสัจ ความดี เท่านั้น
(๓) การอดทน อดกลั้นและอดออม ที่จะไม่ประพฤติล่วงความสัจสุจริต ไม่ว่าด้วยเหตุประการใด
(๔) การรู้จักละวางความชั่วความทุจริต และรู้จักสละประโยชน์ส่วนน้อยของตนเพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ของบ้านเมือง
ข้อ ๕ ข้าราชการตำรวจพึงยึดถืออุดมคติของตำรวจ ๙ ประการ เป็นแนวทางชี้นำการ
ประพฤติตนและปฏิบัติหน้าที่เพื่อบรรลุถึงปณิธานของการเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ดังนี้
(๑) เคารพเอื้อเฟื้อต่อหน้าที่
(๒) กรุณาปราณีต่อประชาชน
(๓) อดทนต่อความเจ็บใจ
(๔) ไม่หวั่นไหวต่อความยากลำบาก
(๕) ไม่มักมากในลาภผล
(๖) มุ่งบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์แก่ประชาชน
(๗) ดำรงตนในยุติธรรม
(๘) กระทำการด้วยปัญญา
(๙) รักษาความไม่ประมาทเสมอชีวิต
ข้อ ๖ ข้าราชการตำรวจพึงหมั่นศึกษาหาความรู้อยู่ตลอดเวลา เพื่อพัฒนาตนเองให้ทันโลกทันเหตุการณ์และมีความ
ชำนาญการในงานที่อยู่ในความรับผิดชอบ รวมทั้งต้องศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับกฎหมายระเบียบ ธรรมเนียมการปฏิบัติ
ของส่วนราชการในกระบวนการยุติธรรมอื่นที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่และความรับผิดชอบของตน เพื่อสามารถประสานงาน
ได้อย่างกลมกลืนแนบเนียนและเป็นประโยชน์ต่อร่าชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ส่วนที่ ๒
มาตรฐานทางจริยธรรมและจรรยาบรรณของ
ตำรวจ
(๑) มาตรฐานทางจริยธรรมของตำรวจ
ข้อ ๗ ข้าราชการตำรวจต้องเคารพ ศรัทธา และยึดมั่นการปกครองระบอประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น
ประมุข ซึ่งตองประพฤติ้ปฏิบัติ ดังนี้
(๑) จงรักภักดีและเทิดทูนพระมหากษัตริย์พระราชินีและพระรัชทายาท และไม่ยอมให้ผู้ใดล่วงละเมิด
(๒) สนับสนนการเมืองประชาธิปไตยด้วยศรัทธา มีความเป็นกลางทางการเมืองไม่เป็นผู้บริหารหรือกี่รรมการ
พรรคการเมืองและไม่กระทำการใด ๆ อันเป็นคุณ
หรือเป็นโทษแก่พรรคการเมืองหรือผู้สมัครรับเลือกตั้งทั้งในระดับชาติและท้องถิ่น
ข้อ ๘ ข้าราชการตำรวจต้องเคารพสิทธิและเสรีภาพของประชาชนตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและตามกฎหมายอื่น
โดยเคร่งครัด โดยไม่เลือกปฎิบัติ
ข้อ ๙ ข้าราชการตำรวจต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลและเกิดประโยชน์สูงสุดโดยคำนึงถึงประโยชน์
ของทางราชการประชาชน ชุมชนและประเทศชาติเป็นสำคัญ ซึ่งต้องประพฤติปฏิบัติดังนี้
(๑) ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรวดเร็ว กระตือรือร้น รอบคอบ โปร่งใส ตรวจสอบได้และเป็นธรรม
(๒) ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความวิริยะอุตสาหะ ขยันหมั่นเพียร เสียสละ ใช้ปฏิภาณไหวพริบกล้าหาญและอดทน
(๓) ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ความเต็มใจ ไม่ละทิ้งหน้าที่ ไม่หลีกเลี่ยงหรือปัดความรับผิดชอบ
(๔) ดูแลรักษาและใช้ทรัพย์สินของทางราชการอย่างประหยัดคุ้มค่าโดยระมัดระวังมิให้เสียหายหรือสิ้นเปลืองเยี่ยงวิญญู
ชนจะพึ งปฏิบัติต่อทรัพย์สินของตนเอง
(๕) รักษาความลับของทางราชการ และความลับที่ได้มาจากการปฏิบัติหน้าที่หรือจากประชาชนผู้มาติดต่อราชการ เว้น
แต่เป็นการเปิดเผยเพื่อประโยชน์ในกระบวนการยุติธรรมหรือการตรวจสอบตามที่กฎหมาย กฎ ข้อบังคับ กำหนด
ข้อ ๑๐ ข้าราชการตำรวจต้องมีจิตสํานึกของความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เพื่อให้ประชาชนศรัทธาและเชื่อมั่น ซึ่งต้อง
ประพฤติปฏิบัติ ดังนี้
(๑) มีท่าทีเป็นมิตร มีมนุษย์สัมพันธ์อันดี และมีความสุภาพอ่อนโยนต่อประชาชน ผู้รับบริการรวมทั้งให้บริการประชาชน
ด้วยความเต็มใจ รวดเร็ว และไม่เลือกปฏิบัติ
(๒) ปฏิบัติตนให้เป็นที่เชื่อถือไว้วางใจของประชาชน ไม่เบียดเบียน ไม่แสดงกริยาหรือท่าทางไม่สุภาพหรือไม่ให้เกียรติ
รวมทั้งไม่ใช้ถ้อยคำ กริยา หรือท่าทาง ที่มีลักษณะหยาบคายดูหมิ่น หรือเหยียดหยามประชาชน
ส่วนที่ ๒
มาตรฐานทางจริยธรรมและจรรยาบรรณของ
ตำรวจ
(๑) มาตรฐานทางจริยธรรมของตำรวจ
(๓) เอื้อเฟื้อ สงเคราะห์ และช่วยเหลือประชาชนเมื่ออยู่ในฐานะที่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือ หรือประสบเคราะห์
จากอุบัติเหตุ การละเมิดกฎหมาย หรือภัยอื่น ๆ ไม่ระบุว่าบุคคลนั้นจะเป็นผู้ต้องสงสัยหรือผู้กระทำผิดกฎหมายหรือไม่
(๔) ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการอย่างเคร่งครัดการให้ข้อมูลข่าวสารแก่
ประชาชนที่ร้องขอ ต้องดำเนินการด้วยความรวดเร็ว ไม่ถ่วงเวลาให้เนิ่นช้า และไม่ให้ข้อมูลข่าวสารอันเป็นเท็จแก่
ประชาชน
ข้อ ๑๑ ข้าราชการตำรวจต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตและยึดมั่นในศีลธรรม โดยยึดประโยชน์ส่วนรวมเหนือประโยชน์
ส่วนตน ซึ่งต้องประพฤติปฏิบัติ ดังนี้
(๑) ไม่ใช้ตำแหน่ง อำนาจหรือหน้าที่ หรือไม่ยอมให้ผู้อื่นใช้ตำแหน่ง อำนาจหรือหน้าที่ของตนแสวงหาประโยชน์
สำหรับตนเองหรือผู้อื่น
(๒) ไม่ใช้ตำแหน่ง อำนาจหรือหน้าที่ หรือไม่ยอมให้ผู้อื่นใช้ตำแหน่ง อำนาจหรือหน้าที่ของตนไปในทางจูงใจหรือมี
อิทธิพลต่อการตัดสินใจ การใช้ดุลพินิจ หรือการกระทำของข้าราชการตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอื่น อันเป็นผล
ให้การตัดสินใจ การใช้ดุลพินิจ หรือการกระทำของผู้นั้นสูญเสียความเที่ยงธรรมและยุติธรรม
(๓) ไม่รับของขวัญนอกเหนือจากโอกาสและกาลตามประเพณีนิยม และของขวัญนั้นต้องมีมูลค่าตามที่คณะ
กรรมการการป้องกันและปราบกรามการทุจริตแห่งชาติประกาศกำหนดเว้นแต่ญาติซึ่งให้โดยเสน่หาตามจำนวนที่
เหมาะสมตามฐานานุรูปหรือการให้โดยธรรมจรรยา
(๔) ไม่ใช้เวลาราชการหรือทรัพย์ของราชการเพื่อธุรกิจหรือประโยชน์ส่วนตน
(๕) ไม่ประกอบอาชีพเสริมซึ่งมีลักษณะเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน หรือเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับ
ประโยชน์ส่วนรวม
(๖) ดำรงชีวิตส่วนตัวไม่ให้เกิดมลทินมัวหมองต่อตำแหน่งหน้าที่ ไม่ทำผิดกฎหมายแม้เห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่
หมกมุ่นในอบายมุขทั้งหลาย ไม่ฟุ้งเฟ้อหรูหรา และใช้จ่ายประหยัดตามฐานะแห่งตน
ข้อ ๑๒ ข้าราชการตำรวจต้องภาคภูมิใจในวิชาชีพ กล้ายืนหยัดกระทำในสิ่งที่ถูกต้องดีงามเพื่อเกียรติศักดิ์และ
ศักดิ์ศรีของความเป็นตำรวจ ซึ่งต้องประพฤติปฏิบัติ ดังนี้
(๑) ปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาตามครรลองของการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรง
เป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายอย่างเคร่งครัด
(๒) ไม่สั่งให้ผู้ใต้บังกับบัญชาปฏิบัติการในสิ่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือขัดต่อคุณธรรมและศีลธรรม
(๓) ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งที่ตนรู้หรือควรจะรู้ว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย ในการนี้ให้ทักท้วงเป็นลายลักษณ์อักษรต่อผู้
บังคับบัญชาผู้สั่ง
(๔) ไม่เลี่ยงกฎหมาย ใช้หรือแนะนำให้ใช้ช่องโหว่ของกฎหมายเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่น หรือทำให้สูญ
เสียความเป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรม
ส่วนที่ ๒
มาตรฐานทางจริยธรรมและจรรยาบรรณของ
ตำรวจ
(๒) จรรยาบรรณของตำรวจ
ข้อ ๑๓ ในฐานะเป็นผู้บังกับบัญชา ข้าราชการตำรวจต้องประพฤติปฏิบัติ ดังนี้
(๑) ประพฤติปฏิบัติตนเป็นผู้นำและเป็นแบบอย่างที่ดี รวมทั้งเป็นที่ปรึกษาและที่พึ่งของผู้ใต้บังคับบัญชา
(๒) หมั่นอบรมให้ผู้ใต้บังกับบัญชายึดถือปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมและจรรยาบรรณว่ากล่าวตักเตือนด้วยจิตเมตตา
และให้ความรู้เกี่ยวกับงานในหน้าที่
(๓) ปกครองบังคับบัญชาด้วยหลักการและเหตุผลที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมยอมรับฟังความคิดเห็น และไม่ผลัก
ความรับผิดชอบให้ผู้ใต้บังคับบัญชา
(๔) ใช้หลักคุณธรรมในการบริหารงานบุคคลที่อยู่ในความรับผิดชอบของตนอย่างเคร่งครัดและปราศจากความ
ลำเอียง
ข้อ ๑๔ ในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงาน ข้าราชการตำรวจต้องประพฤติปฏิบัติดังนี้
(๑) เคารพเชื่อฟัง และปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาที่ชอบด้วยกฎหมาย
(๒) รักษาวินัยและความสามัคคีในหมู่คณะ
(๓) ปฏิบัติต่อผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงานด้วยความสุภาพมีน้ำใจ รักใคร่สมานฉันท์และมีมนุษย์สัมพันธ์ รวมทั้งรับ
ฟังความคิดเห็นของเพื่อนร่วมงาน
(๔) อุทิศตนเอง ไม่หลีกเสี่ยงหรือเกี่ยงงาน ร่วมมือร่วมใจปฏิบัติหน้าที่ โดยยึดความสำเร็จของงานและชื่อเสียงของ
หน่วยเป็นที่ตั้ง
ข้อ ๑๕ ข้าราชการตำรวจต้องปฏิบัติตามค่านิยมหลักของมาตรฐานจริยธรรมสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามที่ผู้ตรวจการ
แผ่นดินกำหนด ดังนี้
(๑) การยึดมั่นในคุณธรรมและจริยธรรม
(๒) การมีจิตสำนึกที่ดี ซื่อสัตย์ สุจริต และรับผิดชอบ
(๓) การยึดถือประโยชน์ของประเทศชาติเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตนและไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน
(๔) การยืนหขัดทำในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นธรรม และถูกกฎหมาย
(๕) การให้บริการแก่ประชาชนด้วยความรวดเร็ว มีอัธยาศัย และไม่เลือกปฏิบัติ
(๖) การให้ข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชนอย่างครบถ้วน ถูกต้อง และไม่บิดเบือนข้อเท็จจริง
(๗) การมุ่งผลสัมฤทธิ์ของงาน รักษามาตรฐาน มีคุณภาพโปร่งใสและตรวจสอบได้
(๘) การยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
(๙) การยึดมั่นในหลักจรรยาวิชาชีพขององค์การ
ส่วนที่ ๒
มาตรฐานทางจริยธรรมและจรรยาบรรณของ
ตำรวจ
(๒) จรรยาบรรณของตำรวจ
จรรยาบรรณของตำรวจ คือ ประมวลความประพฤติในการปฏิบัติหน้าที่ของวิชาชีพตำรวจ อยู่ในกรอบของศีลธรรม
และคุณธรรม ขณะเดียวกันก็เป็นแนวทางชี้นำให้ข้าราชการตำรวจบรรลุถึงปณิธานของการเป็นผู้พิ ทักษ์สันติราษฎร์
ข้อ ๑๖ ข้าราชการตำรวจจะต้องสำนึกในการให้บริการประชาชนด้านอำนวยความยุติธรรมและความปลอดภัยในชีวิต
และทรัพย์สิน ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญและสิทธิมนุษยชนเพื่อให้ประชาชนมีความเลื่อมใส เชื่อมั่นและศรัทธา ซึ่งต้อง
ประพฤติปฏิบัติ ดังนี้
(๑) อำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการร้องทุกข์ กล่าวโทษ ขออนุญาต ขอข้อมูลข่าวสาร หรือติดต่อราชการอื่น
ด้วยความเต็มใจ เป็นมิตร ไม่เลือกปฏิบัติ และรวดเร็ว
เพื่อไม่ให้ประชาชนเสียสิทธิหรือเสรีภาพตามกฎหมาย
(๒) สุภาพ อ่อนน้อม และให้เกียรติประชาชนเพื่อให้เกิดความน่าเคารพยำเกรง ไม่ใช้ถ้อยคำกริยา หรือท่าทาง ที่มี
ลักษณะหยาบคาย ดูหมิ่น หรือเหยียดหยามประชาชน
(๓) ในขณะปฏิบัติหน้าที่ ต้องดำรงตนให้อยู่ในสภาพที่พร้อมและเหมาะสมแก่การปฏิบัติหน้าที่ด้วยความน่าเชื่อถือและน่า
ไว้วางใจ
(๔) พกพาอาวุธตามระเบียบแบบแผน ไม่จับหรือถืออาวุธ หรือเล็งอาวุธ ไปยังบุคคลโดยปราศจากเหตุอันสมควร
(๕) พกพาเอกสารหรือตราประจำตัว และแสดงเอกสารหรือตราประจำตัวเมื่อมีบุคคลร้องขอ
ข้อ ๑๗ เมื่อเข้าจับกุมหรือระงับการกระทำผิด ข้าราชการตำรวจต้องยึดถือและปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย
อย่างเคร่งครัด ซึ่งต้องประพฤติปฏิบัติ ดังนี้
(๑) แสดงถึงการอุทิศตนและจิตใจให้แก่การปฏิบัติหน้าที่อย่างกล้าหาญและมีสติปัญญา
(๒) ยืนหยัดเจตนารมณ์ในการรักษากฎหมายให้ถึงที่สุด และดำเนินการตามกฎหมายต่อผู้กระทำความผิด ทั้งนี้ให้ระลึก
เสมอว่าการใช้กฎหมายจะต้องคำนึงถึงหลักมนุษยธรรมด้วย
(๓) ไม่ใช้มาตรการรุนแรง เว้นแต่การใช้มาตรการปกติแล้ว ไม่เพียงพอที่จะหยุดยั้งผู้กระทำความผิดหรือผู้ต้องสงสัย
ได้
ข้อ ๑๘ ข้าราชการตำรวจต้องตระหนักว่า การใช้อาวุธ กำลังหรือความรุนแรง เป็นมาตรการที่รุนแรงที่สุดข้าราชการ
ตำรวจอาจใช้อาวุธ กำลัง หรือความรุนแรงได้ต่อเมื่อมีความจำเป็นภายใด้กรอบของกฎหมายและระเบียบแบบแผน หรือ
เมื่อผู้กระทำความผิดหรือผู้ต้องสงสัยใช้อาวุธต่อสู้ขัดขวางการจับกุมหรือเพื่ อช่วยบุคคลอื่นที่อยู่ในอันตรายต่อชีวิตเมื่อ
มีการใช้อาวุธ กำลัง หรือความรุนแรงไม่ว่าจะมีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิตหรือไม่ข้าราชการตำรวจต้องรายงานเป็นหนังสือ
ต่อผู้บังคับบัญชาตามระเบียบแบบแผนทันที
ส่วนที่ ๒
มาตรฐานทางจริยธรรมและจรรยาบรรณของ
ตำรวจ
(๒) จรรยาบรรณของตำรวจ
ข้อ ๑๙ ในการรวบรวมพยานหลักฐาน การสืบสวนสอบสวน การสอบปากคำหรือการซักถามผู้กระทำความผิด ผู้
ต้องหา ผู้ที่อยู่ในความควบคุมตามกฎหมาย ผู้เสียหายผู้รู้เห็นเหตุการณ์ หรือบุคคลอื่น ข้าราชการตำรวจต้องแสดง
ความเป็นมืออาชีพโดยใช้ความรู้ ความสามารถทางวิชาการตำรวจ รวมทั้งใช้ปฏิภาณไหวพริบและสติปัญญา
เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงและธำรงไว้ซึ่งความยุดิธรรม ซึ่งต้องประพฤติปฏิบัติ ดังนี้
(๑) ไม่ทำการทารุณหรือทารุณกรรมต่อบุคคล หรือต่อบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับบุคคลนั้น
(๒) ไม่ใช้ จ้าง วาน หรือยุยงส่งเสริม หรือปล่อยปละละเลยให้มีการทารณหรือทารุณกรรมต่อบุคคล หรือต่อบุคคลอื่นที่
เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับบุคคลนั้น
(๓) ไม่กระทำการข่มขู่หรือรังควาน หรือไม่ใช้อำนาจที่มิชอบ หรือแนะนำเสี้ยมสอนบุคคลให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จหรือ
ปรักปรำผู้อื่น
(๔) ไม่กักขังหรือหน่วงเหนี่ยวบุคคลที่ขังไม่ได้ถูกจับกุมตามกฎหมาย เพื่อการสอบปากคำ
(๕) ไม่ใช้อำนาจที่มิชอบเพื่อให้ได้มาซึ่งพยานหลักฐาน
ข้อ ๒๐ ข้าราชการตำรวจต้องควบคุมดูแลบุคคลที่อยู่ในการควบคุมของตนอย่างเคร่งครัดตามกฎหมายและมี
มนุษยธรรม ซึ่งต้องประพฤติปฏิบัติ ดังนี้
(๑) ไม่ผ่อนปรนให้บุคคลนั้นมีสิทธิหรือได้ประโยชน์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและระเบียบแบบแผน
(๒) ไม่รบกวนการติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคลกับทนายความตามสิทธิแห่งกฎหมาย
(๓) จัดให้บุคคลได้รับการรักษาพยาบาลหรือการดูแลทางการแพทย์ตามสมควรแก่กรณีเมื่อบุคคลนั้นมีอาการเจ็บป่วย
หรือร้องขอ
(๔) ไม่ควบคุมเด็กและเยาวชนร่วมกับผู้กระทำความผิดที่เป็นผู้ใหญ่ หรือไม่คุมขังผู้หญิงร่วมกับผู้ชาย เว้นแต่เป็นกรณีที่
มีกฎหมายและระเบียบแบบแผนอนุญาต
ข้อ ๒๑ ข้อมูลข่าวสารที่ข้าราชการตำรวจได้มาจากการปฏิบัติหน้าที่ตามข้อ ๑๙ หรือจากการปฏิบัติหน้าที่อื่น ข้าราชการ
ตำรวจจะต้องรักษาข้อมูลข่าวสารนั้นเป็นความลับอย่างเคร่งครัดเพราะอาจเป็นอันตรายต่อผลประโยชน์หรือชื่อเสียง
ของบุคคล หรืออาจเป็นคุณหรือเป็นโทษทั้งต่อผู้เสียหายหรือผู้กระทำความผิดข้าราชการตำรวจจะเปิดเผยข้อมูลนั้นได้
ต่อเมื่อมีความจำเป็นต่อการปฏิบัติหน้าที่หรือเพื่อประโยชน์ในราชการตำรวจที่ชอบด้วยกฎหมาย หรือเพื่อการดำเนิน
การตามกระบวนการยุติธรรมเท่านั้น
ขอขอบพระคุณ
พลตำรวจตรี ธนะรัชต์ ชุ่มสวัสดิ์ ผู้บังคับการศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค ๕
พันตำรวจเอกฐนกร คุ้มวงศ์ รองผู้บังคับการศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค ๕
พันตำรวจเอก สุริยงค์ วุฒิ รองผู้บังคับการศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค ๕
คณะอาจารย์ประจำวิชา
จริยธรรม
และจรรยาบรรณตำรวจ
พระครูโสภิต โสวฺณณสิริ รองเจ้าอาวาสวัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม
ผศ.ดร.ธนกร สิริสุคันธา อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยราชภัฎลำปาง
พันตำรวจเอกหญิงศุภลักษณ์ พันธ์โกศล อาจารย์ (สบ๔) กลุ่มงานอาจารย์ศฝร.ภ.๕
พันตำรวจเอกหญิง ภาวนา มาลากุล อาจารย์พิเศษ
ร้อยตำรวจโท ถนอม โกยรัตโกศล รองสารวัตรฝ่ายอำนวยการ ศฝร.ภ.๕
ดาบตำรวจบุญธรรม ศรีธิจู ผู้บังคับหมู่ (ป) ฝ่ายอำนวยการ ศฝร.ภ.๕
ดาบตำรวจ ปัญญา วงศ์วังสกุล ผู้บังคับหมู่(ป)ฝ่ายอำนวยการ ทำ ศฝร.ภ.๕
จัดทำโดย
เลขที่ 127 นสต. ไชยวัฒน์ ปัญญาหล้า 4032
เลขที่ 133 นสต. ณพวิก เมืองงาว 4100
เลขที่ 134 นสต. ณรงค์ชัย ทองเงิน 4085
เลขที่ 138 นสต. ณรงค์ศักดิ์ บุญเรือง 4097
เลขที่ 140 นสต. ณัฎฐพงศ์ สุพรรณทวา 4090
เลขที่ 145 นสต. ณัฐดนัย จันทร์ศักดิ์ 4120
เลขที่ 161 นสต. ณัฐพล วงค์ชัย 4015
เลขที่ 166 นสต. ณัฐภัทร จงวัฒนไพรศาล 4010
เลขที่ 168 นสต. ณัฐภัทร ทะริยะ 4023
เลขที่ 175 นสต. ณัฐวุฒิ เขียวกันยะ 4061
เลขที่ 185 นสต. ดิศฐนันท์ พรมแจ้ 4137
เลขที่ 188 นสต. เดชาวัต ใจตา 4103
เลขที่ 189 นสต. เดชาวัต สายตา 4116
เลขที่ 195 นสต. ทพีพันธ์ ฟังอารมณ์ 4098
เลขที่ 200 นสต. ทัตพงษ์ กาศวิเศษ 4050
เลขที่ 206 นสต. ธงชัย ใสยัง 4077
เลขที่ 210 นสต. ธนกร ตาธิกา 4107
เลขที่ 212 นสต. ธนกร มนต์นิรภัย 4058
เลขที่ 215 นสต. ธนกร เอมมณีรัตน์ 4011
เลขที่ 216 นสต. ธนกฤต เขื่อนเก้า 4072
เลขที่ 220 นสต. ธนกฤต อุตตมา 4081
เลขที่ 222 นสต. ธนกุล เล่าพานิช 4069
เลขที่ 234 นสต. ธนภัทร ศรีวิชัย 4028
เลขที่ 235 นสต. ธนภัทร อัครพะกา 4018
เลขที่ 240 นสต. ธนวัฒน์ นันต๊ะ 4007