ศิลปะ
การแสดง
Performing Arts
สารบญั 01
02
ศิลปะการแสดง (performing arts) 03
โครงสรา้ ง 07
องคป์ ระกอบ 08
ประเภทของศิลปะการแสดง 12
ศิลปะการละคร 13
นาฏศิลป์สากลหรอื นาฏศิลปต์ ะวนั ตก
นาฏศิลป์
ศิลปะการแสดง (performing arts)
คือ การแสดงออกซง่ึ อารมณ์ ความรสู้ ึกและเร่ืองราว
ต่างๆ ประกอบดว้ ยดนตรี นาฏศิลปแ์ ละการแสดง
ประเภทตา่ ง ๆ
สาหรบั ความหมายของ
ศิลปะการแสดง อรสิ โตเติล (Aristotle) นักปราชญ์
ชาวกรีกให้ความหมายไว้วา่ "ศิลปะการแสดง คอื
การเลยี นแบบธรรมชาต"ิ และ ลีโอ ตอลสตอย (Leo
Tolstoy) ให้ความหมายไว้วา่ "ศิลปะการแสดง
เป็นการสื่อสารอย่างหนึง่ ระหวา่ งมนษุ ย์ ด้วยการใช้
คาพูดถา่ ยทอดความคดิ และศิลปะของการแสดงออก
ทางอารมณค์ วามรู้สึก
อริสโตเตลิ ลโี อ ตอลสตอย
(Aristotle) (Leo Tolstoy)
1
โครงสรา้ ง
ศิลปะการแสดงเปน็ การสื่อสาร แสดงออกโดย
อาศัยตวั บคุ คลเป็นเครอ่ื งมอื ทจ่ี ะสื่อไปยงั ผู้ชมให้เกิด
ความพึงพอใจดังนนั้ การท่จี ะทาใหศ้ ิลปะการแสดงเป็น
ทีย่ อมรบั จะตอ้ งมอี งค์ประกอบร่วมพิจารณา 3 ประการ
ใหญ่ ๆ คอื
1. ศิลปิน เปน็ ผถู้ ่ายทอดผลงานสู่สายตาผชู้ ม ถือเป็น
หวั ใจสาคญั ของการแสดง เปน็ ส่ิงที่ใกลชิ้ดกับผู้ชมมาก
ท่ีสุด ใช้การส่ือสารโดยอาศัย รูปร่าง หน้าตา ความร้คู วาม
ชานาญ ทกั ษะ ประสบการณ์ตลอดจนความ รบั ผิดชอบ
และพรสวรรค์ของศิลปินเป็นสาคัญ
2. ศิลปประดิษฐ์ เปน็ จดุ เริม่ ต้นของงานการแสดง สิ่งที่
อยู่ในศิลปประดิษฐม์ ีขอบเขตท่ีกว้างขวางมาก รวมถึง
ความนกึ คิก เร่อื งราวในบทละครหรือเน้อื หาของระบา รา
เต้น อารมณค์ วามรู้สึก ลีลาการสรา้ งสรรค์ เชือ่ มต่อท่า
ราการแปรแถวดนตรกี ารเขียนบทละคร บทรอ้ ง ทานอง
เพลง เครื่องแต่งกายฉากแสงสีเสียง เป็นต้น
3. ผูช้ ม คอื ผอู้ ปุ ถมั ภง์ านศิลปะ เปน็ ผ้ทู ีร่ ับรคู้ ุณคา่ การ
แสดง เพราะไมว่ า่ ศิลปะการแสดงจะสวยงาม เพียงใดแต่
หากขาดผู้อุปถัมภ์แล้วนัน้ ผลงานก็ไร้คุณค่าและไร้
ความหมาย นอกจากเปน็ ผ้รู ับชมแลว้ ยงั เป็นผู้
วพิ ากษ์วจิ ารณ์ผลงาน มผี ลตอ่ การพัฒนางานให้ดีขน้ึ
ทานบุ ารงุ หรอื เปลี่ยนแปลงการแสดงได้
2
องคป์ ระกอบ
องคป์ ระกอบของศิลปการละคร อริสโตเติล ปราชญ์ชาว
กรีกในศตวรรษท่ี 4 ก่อนครสิ ต์ศักราช กล่าววา่ ละคร
ประกอบไปด้วย องคป์ ระกอบ 6 ส่วน โดยเรียงลาดับตาม
ความสาคัญ ดังน้ี
1. โครงเร่ือง (Plot)
โครงเรอ่ื งเปรยี บเสมือนชีวิตและ วญิ ญาณของบท
ละคร โครงเรื่อง (plot) แตกตา่ งจาก เรอื่ ง (story)
“เรอื่ ง” คือเนอื้ หาหรือวตั ถดุ ิบที่นกั เขียนบท ละคร
นามาสรา้ งเปน็ โครงเรือ่ งสาหรบั การเขียนบทละคร
ส่วน “โครงเรื่อง” คือลาดบั ของเหตุการณ์ภายใน
กรอบ ของบทละครเรอื่ งหน่ึงๆ ตัง้ แต่จดุ เริ่ม การ
พัฒนาเร่อื ง ไปจนถึงจดุ ลงเอย
2. ตัวละคร (Character)
อรสิ โตเตลิ กลา่ วว่าตัวละครมีความสาคญั รองจาก
โครงเรอ่ื ง แตม่ ีผไู้ มเ่ ห็นดว้ ยมากมาย นกั การละคร
บาง คนยืนยันว่าตัวละครเป็นองค์ประกอบทสี่ าคญั
ทสี่ ุดในละคร เพราะละครต้องนาเสนอมนษุ ย์ในดา้ น
ใดดา้ นหนึง่ ซึ่ง ทงั้ สองความคิดต่างกม็ เี หตุผล
ของตน ส่ิงทสี่ าคญั คือโครงเร่ืองจะอยู่ตา่ งหาก
จากตัวละครไมไ่ ด้โครงเรอื่ งทดี่ สี ร้าง ขน้ึ มาจาก
การกระทาและลักษณะนิสัยของตวั ละครและ
เหตกุ ารณท์ ีเ่ กย่ี วข้อง ขณะทีต่ ัวละครก็จะไมม่ ี
ความหมาย อะไรหากไม่ไดเ้ ป็นส่วนหนง่ึ ของโครง
เรอ่ื ง บทละครที่ดีจีงจาเปน็ ตอ้ งมที งั้ โครงเรื่องทด่ี ี
และการวางตวั ละครอย่างดี
3
3. ความคดิ (Thought)
ความคดิ ในละครนัน้ กินความหมายถงึ การใช้เหตุผลใน
เรือ่ ง ความหมายของเร่อื ง แก่นเร่ือง และเนื้อหา สาระที่
บทละครมุ่งจะส่ือสารแกค่ นดบู ทละครทุกเรอ่ื งจะตอ้ งมี
ความคดิ แฝงอยดู่ ว้ ย ต่อให้เปน็ เรอ่ื งทด่ี ูเหมือนจะไร้ สาระ
เพียงใด กต็ อ้ งมีความคิดบางอย่างแสดงออกมาอยู่
เสมอ บทละครที่ดีมกั จะทาให้คนดคู ิดตอ่ ไปได้ถึง
ความหมายที่สามารถนาไปใชใ้ นชวี ิต ความคิดจงึ เปน็
องค์ประกอบสาคัญท่อี ยู่ในบทละคร
4. ภาษา (Diction)
ภาษาเป็นส่ือทแ่ี สดงให้เห็นโครงเร่อื ง ตัวละครและ
ความคิด การใชภ้ าษาของบทละคร จงึ เปน็ สิ่งท่คี วร นามา
พิจารณาด้วยในการวิเคราะห์และประเมนิ คุณคา่ ของบท
ละคร เนอื่ งจากความจากัดในดา้ นการนาเสนอ การ ใช้
ภาษาในละครจะต้องส่ือความหมายใหผ้ ชู้ มเขา้ ใจชดั เจนได้
ในทันทีเน่อื งจากคนดูไมม่ ีโอกาสหยุดคดิ ใครค่ รวญ
ระหวา่ งการดเู พราะละครตอ้ งดาเนนิ เรอ่ื งต่อไปเรอ่ื ยๆ
ฉะนนั้ บทสนทนาในละครจึงมักมีลักษณะกระชับ กระจา่ ง
ชดั และน่าสนใจ
4
5. เสียง (Sound)
เสียงในละครหมายถึงส่ิงที่คนดูไดย้ นิ ทัง้ หมดใน
ระหวา่ งการดลู ะคร ซงึ่ องค์ประกอบทเ่ี ป็นเสียง
สามารถ พิจารณาไดต้ ามลักษณะตา่ งๆ ดงั ตอ่ ไปนี้
- ระดบั (สูง - ตาํ )
- อตั รา (ชา้ – เรว็ )
- การเน้น (หนกั – เบา)
- ขนาดหรือความดงั (ค่อย – ดัง)
- คณุ ภาพ (ห้าว – ทมุ้ – แหบ – ใส – พรา่ – กอ้ ง –
กงั วาน)
- จงั หวะ (คึกคัก – อ่อนหวาน – เนบิ นาบ – เร้าใจ)
เสียงในละครอาจแบ่งได้เปน็ 3 ประเภท
1. เสียงทีน่ ักแสดงพูด ทัง้ น้ีโดยแยกออกจาก
ความหมายของสิ่งที่พู ด
2. เพลงและดนตรีทัง้ ทีม่ ีเนอื้ ร้องและมีแต่ทานอง
3. เสียงประกอบเรื่อง เชน่ เสียงฝนตกฟา้ ร้อง
เสียงเครือ่ งยนตเ์ สียงนกรอ้ ง เสียงนาฬิกาตี ฯลฯ
5
6. ภาพ (Spectacle)
ภาพในละครหมายถงึ ส่ิงที่คนดมู องเหน็
ทงั้ หมดในระหว่างการดูละคร รวมทงั้ ฉาก แสง
เครอ่ื งแตง่ กาย การแตง่ หน้า เครือ่ งประกอบ
ฉาก ตลอดไปจนถึงท่าทางและส่ิงทีน่ ักแสดงทา
บนเวทีเช่นดื่มนํา สวมเส้ือ สูบบหุ รี่ กระแอม
เช็ดเหง่ือ ฯลฯ เชน่ เดียวกบั เสียง ภาพเป็น
องค์ประกอบทม่ี ักไม่ปรากฏอยใู่ นบทเขียน ภาพ
จึงเป็นหน้าที่ ของศิลปินการละครดา้ นต่างๆ ท่ี
จะเปน็ ผสู้ รา้ งสรรคข์ ึ้นโดยอาศัยการวิเคราะห์
โครงเรอ่ื ง ตวั ละคร ความคิดและ ภาษาของ
เรือ่ ง
บทสรุป องคป์ ระกอบของละคร
ประกอบด้วย 6 ส่วน โดยเรียงลาดับตาม
ความสาคัญดงั น้ีคอื โครงเร่อื ง (Plot) ตัวละคร
(Character) ความคิด (Thought) ภาษา (Diction)
เสียง (Sound) และภาพ (Spectacle) องค์ประกอบ
ทงั้ หกน้คี รอบคลมุ ทุกอยา่ งทมี่ อี ยใู่ นละคร ไม่มี
อะไรมากไปกวา่ นอ้ี ีกแลว้ ไมว่ ่าเราจะพูดถงึ ละคร
ในดา้ นใด เราก็ สามารถจัดไวใ้ นองค์ประกอบขอ้
ใดขอ้ หน่ึงได้เสมอ ซึ่งองค์ประกอบเหลา่ นี้เปน็
เครอ่ื งมือท่ีจะช่วยในการนาบท ละครมาแยกแยะ
เพื่อประโยชน์ในการวิเคราะห์โครงสร้างของ
ละคร เพ่ือ ความเขา้ ใจที่ลกึ ซึง้ ยิ่งขึ้น และเพ่ือ
ประเมิน คุณคา่ ของบทละครในแตล่ ะเร่อื ง
6
ประเภทของศิลปะการแสดง
1. ประเภทของศิลปะการแสดงทไี่ ม่ผกู เป็นเรอ่ื งราว
ศิลปะการแสดงทีไ่ ม่ผกู เป็นเรือ่ งราวเป็นการแสดงท่ไี มม่ ีการผูก
เร่อื งราว มกั เปน็ การแสดงชดุ สัน้ ๆ ลกั ษณะ ของการแสดง
สามารถใช้ผแู้ สดงจานวนเทา่ ไหรก่ ็ไดก้ ารแสดงประเภทนจี้ ะไมม่ ี
ความซบั ซอ้ น อาจมีความหมาย หรอื ไม่มคี วามหมายกไ็ ดแ้ ต่ม่งุ เนน้
ความสวยงามของทา่ ทาง ความพรอ้ มเพรยี งของการแสดง เช่น
รา ระบา ฟอ้ น เต้น ระบาพ้ืนเมืองของชาติต่างๆ เป็นตน้
2. ประเภทของศิลปะการแสดงทผ่ี กู เปน็ เรอ่ื งราว
ศิลปะการแสดงที่ผกู เป็นเรือ่ งราว เป็นการแสดงทม่ี กี ารผูกเรือ่ งราว
อาจเปน็ การแสดงชดุ สัน้ ๆ หรอื ยาวๆ กไ็ ด้การแสดงประเภทนจี้ ะมี
ความซบั ซอ้ นขององค์ประกอบศิลป์หลายอยา่ ง ตัวอย่าง
ศิลปะการแสดงประเภทน้ี ไดแ้ ก่ โขน ละคร หุ่น หนงั ใหญ่ ภาพยนตร์
และบัลเล่ต์ เปน็ ตน้
7
ศิลปะการละคร
ศิลปการละคร ในดา้ นการเรียนการสอนศิลปการละคร
ผูเ้ ช่ยี วชาญไดใ้ หค้ วามหมายของคาวา่ การแสดงคอื การไม่
พยายามแสดงอะไร แตเ่ นน้ ที่การกระทา (Acting is Doing)
เพราะเมอื่ ไหรก่ ต็ ามที่นักแสดงพยายามจะแสดงอะไร ออกมานนั้
ส่ิงทป่ี รากฏมกั กลายเปน็ ความพยายามของนักแสดงมากกวา่
ความจรงิ หรอื อาจทาใหส้ ิ่งท่นี ่าเชอ่ื กลับ กลายเปน็ การแสดง
มากเกินไป (แปลว่าไมอ่ ยู่บนพ้ืนฐานของความเป็นจริง) หรอื การ
เสแสรง้ แกลง้ ทา
ประเภทละคร
1. ละครประเภทโศกนาฏกรรมหรอื ทเี่ รยี กวา่ แทรจดิ ี
(Tragedy) ละครประเภทโศกนาฏกรรมหรือท่ีเรยี กว่า
แทรจดิ ีถอื กันว่าเป็นวรรณกรรมการละครทเ่ี กา่ แก่ทสี่ ุด
และมีคณุ คา่ สูงสุด ในเชิงศิลปะและถือกาเนิดข้ึนใน
ประเทศกรีซ
ละครประเภท แทรจดิ ีเปน็ ละครท่ีพยายามตอบปญั หา
หรืออยา่ งน้อยกต็ งั้ คาถามท่สี าคัญๆ เก่ยี วกบั ชีวิตที่ ทา
ให้ผู้ชมต้องนามาขบคิด เชน่ ชีวิตคอื อะไร มนุษย์คอื อะไร
อะไรผดิ อะไรถกู อะไรจรงิ อะไรไมจ่ รงิ ดงั นนั้ ละคร แทรจิ
ดจี งึ ได้รบั การยกยอ่ งว่าเป็นวรรณกรรมขนั้ สูงสุดใน
บรรดาวรรณกรรม ประเภทบทละคร เพราะนอกจาก
จะต้องมคี วามเป็นเลิศในแง่ศิลปะและวรรณคดแี ล้วยงั
ตอ้ งมคี ุณคา่ ทางด้านปรัชญาความคิด และจรยิ ธรรม
ของ มนษุ ย์ด้วย
8
2. ละครประเภทตลกขบขนั
ละครประเภทตลกขบขนั มีมากมายหลายชนิด
และแบ่งออกเป็นหลายระดบั ทาให้ยากแกก่ าร แบง่ แยก
ประเภทให้เด็ดขาด ฉะนัน้ ในการแบง่ ละครประเภทตลก
ขบขนั ออกเป็นหมวดหมจู่ ึงไม่อาจใช้กฎเกณฑ์ท่ี ตายตวั
ตามหลักของทฤษฎีการละคร ทเ่ี ปน็ ทีย่ อมรับโดยทวั่ ไป
นนั้ มักจะถอื วา่ ละครประเภทตลกขบขนั แยก ออกเป็น 2
ประเภทใหญ่ๆคอื
2.1 ฟารส์ (farce) ฟารส์ เป็นละครตลกชนดิ
โปกฮา ใหค้ วามตลกขบขันจากเร่อื งราวเหตกุ ารณท์ ี่
เหลอื เชอื่ ตลอดจนการแสดงท่ีรวมเร็วและเอะอะตึงตงั
ละครประเภทฟาร์ส ท่ีดเี ปน็ ศิลปะท่มี ีคณุ คา่ ไมแ่ พ้ละคร
ประเภทอืน่ ๆ เลย เชน่ ภาพยนตร์ใบข้ อง ชาลแี ชปลิน
เปน็ ภาพยนต์ประเภทฟาร์ส ซง่ึ มีความดเี ด่นอยา่ งหาตัว
จับยาก ในแงของศิลปะการแสดง และเนอื้ หาสาระของ
เรือ่ งราวที่ชนทุกชนั้ ทกุ เพศ ทุกวยั สามารถเข้าถงึ ได้
ยงั แฝงไปดว้ ยหลัก ปรัชญาทลี่ ึกซง้ึ ไมแ่ พ้ละครประเภท
อ่ืนเลย
9
2.2 คอเมด(ี Comedy) ถือกันวา่ คอเมดีเป็น
ละครตลกทม่ี ลี กั ษณะเป็นวรรณกรรม บางเร่ืองเปน็
วรรณกรรมชนั้ สูง ทเี่ ป็นวรรณคดีอมตะของโลก เช่น
สุขนาฏกรรม (Romantic comedy) ของเชกส
เปยี ร์,ละคร ตลกประเภทเสียดสี (Satiric comedy)
ของโมลิแยรแ์ ละตลกประเภทความคิด (comedy of
ideas) ของจอร์จเบอร์ นารด์ ชอว์เปน็ ตน้
3. ละครองิ นิยายหรอื โรมานซ์เป็นละครทมี่ ี
เรอื่ งราวทม่ี นษุ ยใ์ ฝ่ฝันจะได้พบ มากกว่าจะไดพ้ บจรงิ ๆ
ในชวี ติ ประจาวัน ละครประเภทนีม้ ลี กั ษณะท่ี หลีกหนี
จากชีวิตจรงิ ไปสู่ชวี ติ ในอุดมคต ร่อื งราวมกั เต็ม ไปด้วย
การผจญภยั ของตวั เอกความรักและความเสียสละท่ี
ยงิ่ ใหญ่ตอนจบของเร่ืองมกั ช้ใี ห้เห็นวา่ คณุ ธรรมความ
ดี จะต้องชนะความชวั่ ตลอดไป ผู้ท่ไี ด้ชมละครประเภทนี้
จะรสู้ ึกเสมอื นอยู่ในโลกความฝันทาใหล้ ืมความหมอง
หม่น ของชวี ิตไปชวั่ ขณะ นบั วา่ เปน็ การชว่ ยผ่อนคลาย
ความตึงเครียดและใหค้ วามสุขแกผ่ ชู้ มได้เป็นอย่างดี
10
4. ละครประเภทเริงรมยหรอื ทีเ่ รียกว่า
เมโลดรามา (melodrama)
ละครประเภทเมโลดรามาจดั อยใู่ นประเภทละคร
เริงรมย์ ละครประเภทนีจ้ ึงไดร้ บั การเผยแพร่มากทส่ี ุด
และมีอทิ ธิพลสูงสุดตอ่ บรรดาผูช้ มทวั่ โลกในปจั จบุ ัน
ทงั้ นี้เพราะเป็นละครทด่ี ูงา่ ยมีระดบั อารมณแ์ ละความคดิ
ท่ีค่อนข้างผิวเผิน ทาให้ไม่ ยากต่อความเขา้ ใจ
นอกจากนัน้ ยงั เปน็ ละครท่ดี สู นกุ สาหรับบคุ คลทวั่ ไป
ไม่ต้องอาศัยพื้นฐานทางศิลปะ และ วรรณกรรมหรอื
การศึกษาในระดับสูงเพื่อท่ีจะเข้าถงึ ละครประเภทน้ี
ลักษณะของละครประเภทเมโลดรามาคอื ละครเร้า
อารมณ์ท่เี ขียนข้นึ เพื่อให้ถูกใจตลาดมงุ่ ใหค้ วามบันเทงิ
ดว้ ยการผกู เรื่อง ที่ดาเนินไปอย่างต่นื เต้นโลดโผน ไม่
คานงึ ถงึ เหตุผลมากนกั ตวั ละครมีลักษณะนิสัยตายตัว
11
นาฏศิลป์สากลหรอื นาฏศิลปต์ ะวันตก
เป็นศิลปะท่ีเกา่ แก่ท่ีสุดแขนงหน่ึงของโลก
พัฒนามาจากการเลียนแบบท่าทางของสัตวแ์ ละ
ปรากฏการณต์ ่างๆ ทางธรรมชาติมกี ารกระโดดเปน็
จงั หวะเพื่อเป็นการเอาใจหรอื บวงสรวงบูชาต่อพลัง
ของ ธรรมชาติ สมยั กรกี โบราณไดใ้ ช้การเตน้ ราเปน็ ส่ือ
ในการแสดงออกของจิตใจและรา่ งกายอยา่ งสมดุล
Dance ไดก้ ลายมาเปน็ ส่วนสาคัญในการฉลองการ
แตง่ งาน พิธีทางศาสนา กองทพั หรือแมก้ ระทัง่ งานศพ
เปน็ ส่ิงที่ก่อใหเ้ กดิ ศูนย์รวมของมนษุ ยข์ ึ้น ในเวลา
ต่อมา Dance ไดถ้ ูกนามาใช้ในกิจกรรมเพื่อตวั มนษุ ย์
เอง คือนามาเป็นประโยชน์ทางกายภาพ การ เตน้ เพ่ือ
ออกกาลังกาย ใหร้ า่ งกายแขง็ แรง ปราศจากโรคภัยไข้
เจ็บ
ปจั จุบัน วตั ถุประสงค์ของ Dance แบง่ ออกเป็น
2 ประเภท คอื
1. เพื่อประโยชนแ์ ก่ตวั นกั เตน้ รา (Dancer) เอง
เช่น เพื่อกจิ กรรมทางสังคม การเต้นบอลรมู ในงาน
สังคม ชนั้ สูง การเตน้ ราในงานแตง่ งานของชาวยิว
เปน็ ต้น
2. เพ่ือผูอ้ น่ื เชน่ ระบาพ้ืนเมือง การแสดงและ
การบนั เทงิ Theatrical การเตน้ ราซึ่งปรากฏในซีกโลก
ตะวนั ตกทุกวันน้ีมีกาเนดิ มาจากระบาพ้ืนเมอื งท่มี ี
ชวี ิตชีวา และระบาในราชสานกั ในยุคฟ้ นื ฟูศิลปวิทยา
การ (Renaissanwcw) และไดแ้ พรห่ ลาย เปน็ ท่ีนยิ ม
ยอมรับจากคนทวั่ โลก ไดแ้ ก่ บัลเล่ต์ (Ballet) และ
โมเดิรน์ ดานซ์ (Modern Dance)
12
นาฏศิลป์ไทย
นาฏศิลปไ์ ทยเป็นศิลปะการเคลอ่ื นไหวทม่ี ีความ
กลมกลืนในทกุ ส่วนของรา่ งกายเหมือนกบั
ศิลปะจติ รกรรมไทย ทีม่ ีความโค้งอ่อน เรยี วใน
ส่วนปลาย ท่ารานาฏศิลป์ไทย จะมคี วามเป็น
ระเบียบ สื่อความหมายจากผ้รู าไปถงึ ผู้ดโู ดยใช้
ภาษาทางนาฏศิลป์เปน็ สื่อ แทนภาษาพูด กิริยา
อาการ อารมณแ์ ละความรู้สึกภายใน โดยมี
ทว่ งทานองเพลงประกอบตามลกั ษณะของ
บทบาทที่ ตอ้ งการสื่อออกมา
13