มาตรฐานการเรียนรแู้ ละตวั ช้วี ัด
หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 10 แสงเชิงคลื่น
วิชาเพ่มิ เตมิ คาอธบิ ายรายวิชา ภาคเรียนท่ี 1
ฟิสกิ ส์ 3 ว30203 จานวน 1.5 หนว่ ยกติ
3 ชัว่ โมง / สปั ดาห์ มัธยมศึกษาปที ่ี 5
60 ชว่ั โมง / ภาคเรียน
สาระฟิสิกส์ 2. เข้าใจการเคลื่อนท่ีแบบฮาร์มอนิกส์อย่างง่าย ธรรมชาติของคลื่น เสียงและการได้ยิน
ปรากฏการณ์ ที่เกี่ยวข้องกับเสียง แสงและการเห็น ปรากฏการณ์ท่ีเกี่ยวข้องกับแสง รวมท้ังนาความรู้ไปใช้
ประโยชน์
ทดลองและอธิบายการเคล่ือนท่ีแบบฮาร์มอนิกอย่างง่ายของวัตถุ ความถี่ธรรมชาติของวัตถุและการ
เกิดการส่ันพ้อง คลื่น สมบัติของคลื่น เสียง การเคลื่อนท่ีของเสียง อัตราเร็วของเสียง สมบัติของคล่ืนเสียง
ความเข้มเสียง ระดับเสียง องค์ประกอบของการได้ยิน คุณภาพเสียง และมลพิษทางเสียง การเกิดการส่ันพ้อง
ของอากาศในท่อปลายเปิดหน่ึงด้าน การเกิดบีต คล่ืนนิ่ง ปรากฏการณ์ดอปเพลอร์ คลื่นกระแทกของเสียง นา
ความรู้เร่อื งเสียงไปใช้ในชวี ิตประจาวัน แสงและสมบัติของแสง ทดกลองเขยี นรังสีของแสงและคานวณตาแหน่ง
และขนาดภาพของวัตถุเม่ือแสงตกกระทบกระจกเงาราบและกระจกเงาทรงกลม การสะท้อนของแสงจาก
กระจกเงาราบและกระจกเงาทรงกลม ดรรชนีหักเห มุมตกกระทบ และมุมหักเห ความลึกจริงและความลึก
ปรากฏ มุมวิกฤตและการสะท้อนกลับหมดของแสง ทดลองและเขียนรังสีของแสงแสดงภาพที่เกิดจากเลนส์
บาง หาตาแหน่ง ขนาด ชนิดของภาพ ระยะวัตถุ ระยะภาพและความยาวโฟกัส รวมท้ังคานวณปริมาณต่าง ๆ
ที่เก่ียวข้อง ปรากฏการณ์ธรรมชาติท่ีเก่ียวกับแสง การมองเห็นแสงสี สีของวัตถุ การผสมสารสี และการผสม
แสงสี สาเหตขุ องการบอดสี
เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์อย่างถูกต้องเหมาะสม เกิดความ
ตระหนักและจิตอาสาในการดูแลรักษาส่ิงแวดล้อมอย่างเหมาะสม เกิดความสามารถในการคิดความสามารถ
ออกแบบเชงิ วิศวกรรม ในการส่ือสาร ความสามารถในการแก้ปัญหา ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิตและ
ความสามารถในการใช้เทคโนโลยไี ดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธิภาพ และนาความรูไ้ ปใช้ประโยชน์
ผลการเรยี นรู้
1. ทดลองและอธบิ ายการเคลือ่ นที่แบบฮาร์มอนกิ อย่างง่ายของวัตถุติดปลายสปริงและลูกตุ้มอย่างง่าย
รวมทั้งคานวณปรมิ าณต่าง ๆ ท่เี กย่ี วข้อง
2. อธิบายความถธ่ี รรมชาติของวตั ถแุ ละการเกดิ การส่ันพ้อง
3. อธิบายปรากฏการณ์คลื่น ชนิดของคล่ืน ส่วนประกอบของคลื่น การแผ่ของหน้าคลื่นด้วยหลักการ
ของฮอยเกนส์ และการรวมกันของคล่ืนตามหลักการซ้อนทับ พร้อมทั้งคานวณอัตราเร็ว ความถี่ และความยาว
คล่นื
4. สังเกตและอธิบายการสะท้อน การหักเห การแทรกสอด และการเลี้ยวเบนของคลื่นผิวน้า รวมทั้ง
คานวณปรมิ าณตา่ งๆ ท่ีเก่ียวข้อง
5. อธิบายการเกิดเสียง การเคล่ือนที่ของเสียง ความสัมพันธ์ระหว่างคลื่นการกระจัดของอนุภาคกับ
คลน่ื ความดนั ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งอตั ราเรว็ ของเสยี งในอากาศท่ีขึ้นกับอุณหภูมิในหน่วยองศาเซลเซียส สมบัติ
ของคลื่นเสียง ได้แก่ การสะท้อน การหักเห การแทรกสอด การเล้ียวเบน รวมท้ังคานวณปริมาณต่าง ๆ ที่
เกย่ี วขอ้ ง
6. อธิบายความเข้มเสียง ระดับเสียง องค์ประกอบของการได้ยิน คุณภาพเสียง และมลพิษทางเสียง
รวมท้งั คานวณปริมาณตา่ ง ๆ ทเ่ี กี่ยวข้อง
7. ทดลองและอธิบายการเกิดการส่ันพ้องของอากาศในท่อปลายเปิดหน่ึงด้าน รวมท้ังสังเกตและ
อธิบายการเกดิ บีต คลื่นนิง่ ปรากฏการณ์ดอปเพลอร์ คลน่ื กระแทกของเสียง คานวณปริมาณต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้อง
และนาความรูเ้ ร่อื งเสียงไปใชใ้ นชีวติ ประจาวนั
8. ทดลองและอธบิ ายสมบตั ิการแทรกสอดของแสงผ่านสลติ คูแ่ ละเกรตติง สมบตั กิ ารเล้ียวเบนและการ
แทรกสอดของแสงผา่ นสลติ เด่ียว รวมทง้ั คานวณปริมาณต่าง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง
9. ทดลองและอธิบายการสะท้อนของแสงที่ผิววัตถุตามกฎการสะท้อน เขียนรังสีของแสงและคานวณ
ตาแหน่งและขนาดภาพของวตั ถุเมือ่ แสงตกกระทบกระจกเงาราบและกระจกเงาทรงกลม รวมท้ังอธิบายการนา
ความรเู้ รอื่ งการสะทอ้ นของแสงจากกระจกเงาราบและกระจกเงาทรงกลมไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจาวนั
10. ทดลองและอธบิ ายความสัมพนั ธ์ระหว่างดรรชนีหักเห มุมตกกระทบ และมุมหักเห รวมท้ังอธิบาย
ความสัมพันธ์ระหว่างความลึกจริงและความลึกปรากฏ มุมวิกฤตและการสะท้อนกลับหมดของแสง และ
คานวณปรมิ าณตา่ ง ๆ ที่เกี่ยวขอ้ ง
11. ทดลองและเขียนรังสีของแสงเพ่ือแสดงภาพที่เกิดจากเลนส์บาง หาตาแหน่ง ขนาด ชนิดของภาพ
และความสัมพันธ์ระหว่างระยะวัตถุ ระยะภาพและความยาวโฟกัส รวมทั้งคานวณปริมาณต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
และอธิบายการนาความรเู้ รือ่ งการหกั เหของแสงผ่านเลนสบ์ างไปใชป้ ระโยชนใ์ นชีวิตประจาวัน
12. อธบิ ายปรากฏการณ์ธรรมชาติท่ีเก่ยี วกบั แสง เช่น รุ้ง การทรงกลด มิราจ และการเห็นท้องฟ้าเป็น
สตี ่าง ๆ ในชว่ งเวลาต่างกนั
13. สงั เกตและอธบิ ายการมองเหน็ แสงสี สขี องวัตถุ การผสมสารสี และการผสมแสงสี รวมทั้งอธิบาย
สาเหตขุ องการบอดสี
รวมทงั้ หมด 13 ผลการเรยี นรู้
หนว่ ยการเรียนรู้ ตารางกาหนดการสอน จานวนชว่ั โมง
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 6 แสงเชงิ คลื่น
หน่วยที่ 10 6
เร่อื ง
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 1 แสงเชงิ คล่ืน 2
แผนการจัดการเรยี นร้ทู ่ี 2 การแทรกสอด 2
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 3 การเลี้ยวเบนของแสง 2
เกรตตงิ
แผนการจัดการเรียนรู้
รายวชิ าฟิสกิ ส์เพ่ิมเติม ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 5
หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 10
เรือ่ ง แสงเชงิ คลืน่
จดั ทาโดย
นางสาวกนกวรรณ บุญเกตุ
โรงเรยี นศรีสโมสรวิทยา
สานกั งานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษามัธยมศกึ ษาเขต 5
แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 1 ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 5
รายวชิ าฟิสกิ สเ์ พมิ่ เติม (ว30203) เวลา 6 ชัว่ โมง
กลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์ เวลา 2 ชัว่ โมง
หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ 10 แสงเชงิ ฟิสกิ ส์
เรื่อง การแทรกสอด
สาระสาคญั
คล่ืนแสงมีความถี่เท่ากันและมีเฟสเท่ากันหรือมีเฟสต่างกันคงตัวอยู่แล้วเรียกว่าคล่ืนอาพันธ์ เมื่อส่อง
คลื่นแสงผ่านสลิตคู่มาซ้อนทับกันบนฉาก จะสังเกตเห็นแถบมืดสว่างสลับกัน ซ่ึงเกิดจากการแทรกสอดแบบ
หกั ลา้ งและการแทรกสอดแบบเสรมิ
กรณีแถบสว่าง ผลต่างของระยะทางที่คล่ืนจากสลิตทั้งสองเคล่ือนที่มาถึงจุดใด ๆ บนฉากจะเท่ากับ
ความยาวคลื่น ดังสมการ
S1Q – S2Q =
กรณีแถบมืด ผลต่างของระยะทางท่ีคล่ืนจากสลิตทั้งสองเคล่ือนท่ีมาถึงจุดใด ๆ บนฉากจะเท่ากับ
ครง่ึ หนง่ึ ของความยาวคล่นื ดังสมการ
S1P– S2P = /2
สาหรบั แถบมืด ตาแหนง่ ของแถบมืดแถบแรกนับจากแนวกลางจะเกิดขึ้นเม่ือ
dsin = (n+½)
สาหรับแถบสว่าง ตาแหน่งของแถบสวา่ งแถบแรกนบั จากแนวกลางจะเกดิ ขึ้นเม่ือ
dsin = n
สาระการเรยี นรู้
- การแทรกสอด
สมรรถนะสาคัญ
1. ความสามารถในการสอื่ สาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแกป้ ญั หา
4. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์
1. มีวินัย
2. ใฝ่เรยี นรู้
3. ม่งุ ม่ันในการทางาน
4. มจี ิตสาธารณะ
5. อย่อู ย่างพอเพียง
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. ทาการทดลองการแทรกสอดของแสงและสรุปไดว้ า่ เมือ่ แสงผ่านสลติ คู่จะเกดิ การแทรกสอด
2. อธิบายการเกิดแถบมืดแถบสวา่ งบนฉาก ซงึ่ เกิดจากแสงผา่ นสลติ คู่
3. อธิบายได้วา่ เมอื่ แสงผา่ นสลติ คู่ ตาแหนง่ ของแถบสว่างใดๆ เป็นไปตามสมการ d sin n และ
ตาแหนง่ แถบมืดใด ๆ เป็นไปตามสมการ d sin n 1
2
4. ใช้สมการ d sin n และ d sin n 1 คานวณหาปริมาณท่ีเก่ียวข้องเม่ือกาหนด
2
สถานการณ์ให้
แนวทางในการบูรณาการ
บูรณาการกบั กลมุ่ สาระสังคมศกึ ษาเร่ืองทรพั ยากรธรรมชาติ
กระบวนการจัดการเรียนรู้
กจิ กรรมนาสู่การเรยี น
1. ขน้ั สร้างความสนใจ (15 นาท)ี
1.1 ใหน้ ักเรยี นดกู ารแทรกสอดของคล่ืนแสง
1.2 นักเรียนทั้งหมดร่วมกันยกตัวอย่างปรากฎการณ์การแทรกสอดของคลื่นแสง ร่วมกันอภิปราย
ลกั ษณะการเกิด รวมทัง้ การนาไปใช้ประโยชน์
1.3 ใหน้ ักเรียนร่วมกันต้ังคาถามเกี่ยวกับส่ิงทต่ี ้องการรู้ จากเนือ้ หาทเี่ ก่ียวกบั เรื่องการแทรกสอด
กิจกรรมพัฒนาการเรียนรู้
2. ขั้นสารวจและคน้ หา (60 นาท)ี
2.1 แบ่งนักเรียนเปน็ กลมุ่ ละ 4 คน
2.2 นกั เรียนแตล่ ะกลุ่มร่วมกันศึกษาการแทรกสอด
2.3 นกั เรียนแตล่ ะกลุ่มอภิปรายรว่ มกนั ถงึ การแทรกสอด
3. ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (45 นาท)ี
3.1 นักเรียนแตล่ ะกล่มุ นาเสนอผลการศกึ ษาการแทรกสอด
3.2 นักเรียนแต่ละกลมุ่ ได้ผลการศกึ ษาเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร เพราะเหตใุ ด
3.3 ครูตั้งคาถามว่า
- ในกรณีที่ใช้แสงสีแดงผ่านสลิตคู่ท่ีมีระยะห่างระหว่างช่อง 50, 100 และ 250 ไมโครเมตร
ภาพท่ีเห็นมลี ักษณะอยา่ งไร มีความแตกตา่ งกนั หรือไม่ อยา่ งไร
- เม่ือใช้แผ่นกรองแสงสีแดงเสียบท่ีกล่องแสง ภาพการแทรกสอดของแสงที่ได้ต่างจากกรณีที่
ไมใ่ ชแ้ ผน่ กรองแสงสแี ดงอยา่ งไร
- เง่อื นไขในการเกดิ แถบสวา่ งเป็นอย่างไร
- เงอื่ นไขในการเกดิ แถบมืดเป็นอยา่ งไร
- สลิตคู่มีช่องห่างกัน 500 ไมโครเมตร เมื่อแสงความยาวคลื่น 470 นาโนเมตร ผ่านสลิตเกิด
การแทรกสอดบนฉากซึง่ หา่ งสลิต 1.0 เมตร แถบสวา่ งท่ี 3 อยหู่ ่างจากจดุ ก่งึ กลางของแถบสว่างกลางเท่าใด
- แสงสีเดียวส่องผ่านสลิตคู่ ซ่ึงห่างกัน 450 ไมโครเมตร เกิดการแทรกสอดบนฉากท่ีอยู่ห่าง
สลิตคู่ 50 เซนติเมตร ถ้าระยะห่างระหว่างแถบมืดท่ีอยู่ถัดกันเท่ากับ 0.60 มิลลิเมตร ความยาวคล่ืนแสงเป็น
เทา่ ใด
3.4 นักเรียนทงั้ หมดรว่ มกนั สรุปผลจากการศกึ ษาการแทรกสอด
กจิ กรรมรวบยอด
4. ข้ันขยายความรู้ (30 นาท)ี
4.1 ใหน้ กั เรยี นเสนอแนวคดิ ในการแก้ปัญหาโจทย์เรอื่ งการแทรกสอด
4.2 ครถู ามวา่ จงเสนอแนวคิดในการนาความเขา้ ใจเกยี่ วกับการแทรกสอดไปใชป้ ระโยชน์
4.3 นกั เรียนแตล่ ะกลมุ่ รว่ มกนั สรุปเกี่ยวกับการแทรกสอด
5. ข้ันประเมนิ ผล (30 นาท)ี
5.1 ให้นักเรียนแต่ละคนย้อนกลับไปอ่านบันทึกประสบการณ์เดิม สิ่งท่ีต้องการรู้ และขอบเขต
เปา้ หมาย แล้วตรวจสอบว่าได้เรียนรู้ตามที่ตั้งเป้าหมายครบถ้วนหรือไม่เพียงใด ถ้ายังไม่ครบถ้วนจะทาอย่างไร
ต่อไป (อาจสอบถามใหค้ รอู ธิบายเพม่ิ เตมิ สอบถามให้เพ่ือนอธิบาย หรือวางแผนสืบค้นเพ่ิมเตมิ )
5.2 ใหน้ ักเรียนทาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นดา้ นพุทธิพิสยั
5.3 ใหน้ กั เรียนบนั ทกึ หลังเรียน
5.4 ครูให้คะแนนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และคะแนนจิตวิทยาศาสตร์ จากเกณฑ์การ
ให้คะแนน สมุดบันทึก รายงานการทดลอง และผลงาน หากข้อมูลไม่เพยี งพอใช้วธิ สี ัมภาษณเ์ พ่ิมเติม
สื่อการเรยี นรแู้ ละแหลง่ การเรยี นรู้
1. ชดุ การแทรกสอดของแสง
2. หนังสือแบบเรยี นรายวชิ าฟสิ ิกส์ เลม่ 3 (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560)
3. ใบงานที่ 11
4. ใบความรู้ เร่ือง การแทรกสอด
การวดั และประเมินผลการเรียนรู้
1. วิธีการวดั และประเมนิ ผล
1.1 สังเกตพฤติกรรมการปฏบิ ตั ิงานที่มอบหมาย
1.2 สังเกตพฤตกิ รรมในการฝกึ ปฏิบตั ิงานกลุ่ม
1.3 การทาแบบฝกึ ระหวา่ งเรียน
1.4 การทาแบบทดสอบหลังเรยี น
2. เครอื่ งมือการวัดและประเมินผล
2.1 แบบสงั เกตพฤติกรรมการปฏบิ ตั งิ านทม่ี อบหมาย
2.2 แบบสงั เกตพฤติกรรมในการฝกึ ปฏบิ ตั ิงานกล่มุ
2.3 แบบบันทกึ ผลการทาแบบทดสอบหลงั เรียน
3. เกณฑ์การวดั และประเมนิ ผล
3.1 กาหนดเกณฑ์ผ่านการประเมิน 70 %
การบรู ณาการหลักปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียง
1. ผู้สอนใชห้ ลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียงในการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้
หลกั พอเพียง พอประมาณ มเี หตผุ ลท่ดี ี มีภมู ิคุ้มกันในตัวท่ดี ี
ประเดน็
กิจกรรมการเรียนรู้ - มีการวางแผนการจัดกิจ - จัดการเรียนรู้ตรงตาม - มีการวางแผนการจัดกิจ
กรรมด้านต่างๆชัดเจน มีลา มาตรฐานตัวช้วี ดั ก ร ร ม อ ย่ า ง ชั ด เ จ น เ ป็ น
ดับขั้นตอน มีการกาหนด ลาดับ
เน้ือหาสาระ จัดกิจกรรม
ผ่านกระบวนการกลุ่ม
เวลา - กาหนดเน้ือหาสาระเหมาะ - เพ่ือให้กิจกรรมการเรียน - มีการเผ่ือเวลาในการทา
สอ่ื สมกับเวลา กิจกรรมการ การสอนบรรลุตัวช้ีวัดได้ตาม กิจกรรมแต่ละขั้นเพื่อให้
แหล่งเรียนรู้ เรียนรู้ใช้กระบวนการกลุ่ม เวลาทีก่ าหนด นักเรียนท่ีมีความสามารถ
ความรู้ทใ่ี ช้ในการจดั นักเรียนทางานได้ทันตาม ต่างกันสามารถทางานให้
กิจกรรมการเรียนรู้
เวลาท่ีกาหนด เสรจ็ ทนั เวลา
คณุ ธรรม
- จัดเตรียมและใช้ส่ือในการ - ใช้เคร่ืองมือเพือ่ ให้นักเรียน - มีลาดับขั้นตอนในการใช้
จัดกิจกรรมการเรียนการ ได้ร่วมอภิปรายในแบบฝึก ส่ือต่างๆอย่างคุ้มคา่
สอนเหมาะสมกับจานวน กิจกรรม
กลุม่
- กาหนดเน้ือหาสาระและ - เพ่ือให้การจัดการเรียนรู้ - มีการสืบค้นทางอินเทอร์
กิจกรรมการเรียนรู้เหมาะ สอดคล้องกับวิถีชีวิตทาให้ เน็ต การค้นคว้าในห้อง
สมกบั แหลง่ เรยี นรู้ สามารถนาความรู้มาใช้ใน สมุดก่อนจะออกแบบกิจ
ชวี ิตประจาวนั ได้ กรรมการเรียนรตู้ า่ งๆ
- สืบค้นเทคนคิ วิธีการสอน,รปู แบบการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้
- ศกึ ษาเน้ือหาด้านตา่ งๆให้ชัดเจน
- ศึกษาค้นควา้ และบรู ณาการหลกั ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี งกบั การจดั การเรยี นรู้
- มคี วามรับผิดชอบในการปฏิบัติหนา้ ทีก่ ารสอน ตรงต่อเวลา เตรียมการสอนลว่ งหนา้
- มีความเมตตา ให้ความเสมอภาค และยตุ ธิ รรมกบั นกั เรยี นทุกคน
- มคี วามเสยี สละ อดทน และใฝร่ ู้
2. ผเู้ รยี นมีคณุ ลักษณะ “ อยอู่ ยา่ งพอเพยี ง”
พอประมาณ มเี หตผุ ลที่ดี มีภมู ิค้มุ กันทด่ี ี
- แต่ละกลุ่มแบ่งหน้าที่ในกลุ่ม - มคี วามรู้ความเข้าใจเก่ียวกับเน้ือหา - ฝึกการมีส่วนร่วมในการทางาน
เหมาะ สมกับความสามารถและ ในเร่ืองที่ศึกษา สามารถวิเคราะห์ข้อ สร้างความสามคั คใี นการทางาน
พอเพียงกับจานวนสมาชกิ มูลตา่ งๆได้อย่างถกู ตอ้ ง
- วางแผนการทางานอย่างรอบคอบ - รู้จักทางานร่วมกับผู้อ่ืนโดยใช้กระ
โดยกาหนดเวลาในการทากิจกรรม บวนการกลุม่
อย่างเหมาะสม
ความรู้ (วิธีการ) - สบื ค้นขอ้ มลู เพือ่ เสรมิ สร้างความรู้ ความเขา้ ใจ
- ศึกษา คน้ คว้าวธิ กี ารทาแบบฝกึ หัดกิจกรรม และใบงาน
- วิเคราะห์ขอ้ มลู โดยใช้ทักษะกระบวนการคดิ
คณุ ธรรมท่เี กิดกับนักเรยี น - มีความรับผิดชอบในหน้าท่ี ท่ีได้รับมอบหมาย ทางานด้วยความเรียบร้อย
ถกู ต้อง และเสร็จทนั เวลา
- มีความสามัคคีในหมู่คณะ มีวินับเป็นผู้นาและผู้ตามที่ดีขณะปฏิบัติงานร่วม
กนั
- รว่ มกจิ กรรมการเรยี นรู้ดว้ ยความกระตอื รือรน้ สนใจ ตง้ั ใจ และใฝเ่ รียนรู้
3. ผลลพั ธ์ KPA 4 มิติ ที่เก่ียวขอ้ งกบั การอยู่อย่างพอเพียง
ผลลพั ธ์ สมดุลพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงในดา้ นตา่ งๆ
ดา้ นวัตถุ ดา้ นสังคม ดา้ นสิ่งแวดล้อม ดา้ นวฒั นธรรม
-
ด้านความรู้ - มีความรู้ความเข้าใจ - มีความรู้เกี่ยวกับการ - มีความรู้ความเข้าใจ
-
เกี่ยวกับการการแทรก ทางานเป็นกลุ่มและ ธรรมชาตขิ องฟิสิกส์
สอด การวางแผนร่วมกับ
ผู้อน่ื
ดา้ นทักษะ - มีความสามารถใน - สามารถทางานร่วม -
การอภิปราย ทาแบบ กับผู้อื่นในรูปแบบกลุ่ม
ฝกึ /ใบงาน และมีทัก ษะในกา ร
สร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้
อ่ืน
กิจกรรมเสนอแนะ
ให้นักเรียนทบทวนโดยค้นคว้าด้วยตนเองและฝึกปฏิบัติเพ่ิมเติม พร้อมทั้งแบบฝึกหัดเพ่ิมเติมจาก
หนังสอื แบบเรียน
บนั ทึกผลหลังการสอน
ผลการเรียนรู้
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
ปญั หาและอุปสรรค
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
ขอ้ เสนอแนะแนวทางแก้ไข
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ......................................................ผสู้ อน
(นางสาวกนกวรรณ บญุ เกตุ)
ความคดิ เหน็ ของผู้อานวยการโรงเรียนศรสี โมสรวทิ ยา
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
ลงชอ่ื …………………………………………
(นายเมธี วฒั นสงิ ห)์
ผอู้ านวยการโรงเรยี นศรีสโมสรวทิ ยา
ใบความรู้
เร่อื ง การแทรกสอด
การแทรกสอดของแสง (Interference)
การ แทรกสอดของแสง (Interference) เกิดได้ต่อเมื่อคล่ืนแสง 2 ขบวนเคลื่อนที่มาพบกัน จะ
เกิดการรวมตัวกันและแทรกสอดกันเกิดเป็นแถบมืดและแถบสว่างบนฉาก โดยแหล่งกาเนิดแสงจะต้อง
เป็นแหล่งกาเนิดอาพันธ์ (Coherent Source) คือเป็นแหล่งกาเนิดที่ให้คลื่นแสงความถี่เดียวกัน และ
ความยาวคล่ืนเท่ากัน นักวิทยาศาสตร์ท่ีประสบความสาเร็จในการทดลองเพื่อทดสอบทฤษฎี คือ โทมัส
ยัง นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ
โทมัส ยัง (Thomas Young - 14 มิถุนายน พ.ศ. 2316 – 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2372) เป็น
นักวิทยาศาสตร์และแพทย์ ชาวอังกฤษ
การทดลองเรื่องการแทรกสอดของแสง ทาได้โดย ให้แสงผ่านช่องแคบ (Slit) So แล้วเลี้ยวเบน
ตกกระทบช่องแคบคู่ S1 , S2 ซึ่งทาหน้าที่เป็นเสมือนแหล่งกาเนิดอาพันธ์ เมื่อแสงเคลื่อนที่ผ่าน S1 ,
S2 เดินทางไปพบกัน จะทาให้เกิดการแทรกสอดกันในลักษณะทั้งเสริมและหักล้างกัน โดยปรากฏภาพ
การแทรกสอดบนฉากเห็นเป็นแถบสว่างแถบมืด ดังรูป
สมการการแทรกสอดของแสง
ถ้าให้ ช่องแคบ S1 และ S2 เป็นแหล่งกาเนิดแสงห่างกันเป็นระยะ d เมื่อแสงเดินทางจากช่อง
แคบมาถึงฉากด้วยระยะทางที่ต่างกัน เดินทางมาพบกันบนจุดเดียวกันคือจุด P จะได้ผลต่าง S1P กับ
S2P เป็นดังสมการ
จากภาพการแทรกสอดของแสง พบว่า
S2P - S1P = d sinθ สามารถสรุปสมการที่ใช้คานวณ
เนื่องจากมุม เป็นมุมน้อย ๆ จะได้
เกี่ยวกับสลิตคู่ ดังนี้
1. เม่ือ S1 , S2 มีเฟสตรงกัน
การแทรกสอดแบบเสริมกัน (แนวกลางเป็นแนวปฏิบัพ A0)
S2P - S1P = n
d =n
d y/L = n
เมื่อ n = 0, 1, 2, 3, ....
การแทรกสอดแบบหักล้างกัน
S2P - S1P = (n-1/2)λ
d = (n-1/2)λ
d y/L = (n-1/2)λ
เม่ือ n = 1, 2, 3, ....
2. เม่ือ S1 , S2 มีเฟสตรงข้ามกัน
การแทรกสอดแบบเสริมกัน
S2P - S1P = (n-1/2)λ
d = (n-1/2)λ
d y/L = (n-1/2)λ
เมื่อ n = 1, 2, 3, ....
การแทรกสอดแบบหักล้างกัน (แนวกลางเป็นแนวบัพ N0)
S2P - S1P = n
d =n
d y/L = n
เม่ือ n = 0, 1, 2, 3, ....
ตัวอย่าง ช่องแคบคู่มีระยะห่างระหว่างช่อง 0.1 มิลลิเมตร เมื่อฉายแสงความยาวคล่ืน 600 นา
โนเมตร ผ่านช่องแคบคู่ ปรากฏว่าแถบสว่างลาดับที่สองบนฉากห่างออกไป 80 เซนติเมตร จะอยู่ห่าง
จากแนวกลางเท่าใด
แนวคิด จากปัญหาน้ีเราทราบว่า d = 0.1 x 10-3 m, = 600 x 10-9 m , L = 0.8 m และ n = 2
ต้องการทราบระยะห่างของแถบสว่างท่ีสองจากตรงกลาง y = ?
จากความสัมพันธ์
d y/L = n
(0.1 x 10-3 m) y/(0.8 m) = 2 (600 x 10-9 m)
= 9.6 x 10-3 m
y
y = 9.6 mm
ตอบ แถบสว่างลาดับที่สองอยู่ห่างจากแนวกลาง 9.6 มิลลิเมตร
ใบงานท่ี 11
1. ขอบเขตและเปา้ หมายของประเดน็ ที่จะเรียนรู้ ทนี่ กั เรยี นและครกู าหนดร่วมกนั
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
2. ผลการทดลองการแทรกสอดของแสง
ปัญหา……………………………………………….…………………………………………………………………..…………………………….
สมมติฐาน……………………………………………….…………………………………………………………………..……………………….
ตวั แปรตน้ ……………………………………………….…………………………………………………………………..……………………….
ตวั แปรตาม……………………………………………….…………………………………………………………………..……………………..
ตัวแปรควบคมุ ……………………………………………….…………………………………………………………………..…………………
วธิ ีทดลอง……………………………………………….…………………………………………………………………..………………………..
ผลการทดลอง
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
3. แตล่ ะกล่มุ ได้ผลการศกึ ษาเหมอื นกนั หรอื ต่างกนั อยา่ งไร เพราะเหตใุ ด
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
4. ในกรณีที่ใช้แสงสีแดงผ่านสลิตคู่ท่ีมีระยะห่างระหว่างช่อง 50, 100 และ 250 ไมโครเมตร ภาพที่เห็นมี
ลักษณะอย่างไร มีความแตกต่างกันหรอื ไม่ อยา่ งไร
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
5. เม่ือใช้แผ่นกรองแสงสีแดงเสียบที่กล่องแสง ภาพการแทรกสอดของแสงที่ได้ต่างจากกรณีท่ี ไม่ใช้แผ่นกรอง
แสงสแี ดงอยา่ งไร
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
6. สรุปผลการทดลองการแทรกสอดของแสง
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
7. เงื่อนไขในการเกดิ แถบสว่างเปน็ อยา่ งไร
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
8. เงอ่ื นไขในการเกิดแถบมดื เป็นอย่างไร
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
9. สลิตคู่มีช่องห่างกัน 500 ไมโครเมตร เม่ือแสงความยาวคล่ืน 470 นาโนเมตร ผ่านสลิต เกิดการแทรกสอด
บนฉากซ่ึงหา่ งสลิต 1.0 เมตร แถบสวา่ งที่ 3 อยหู่ ่างจากจุดกงึ่ กลางของ แถบสวา่ งกลางเท่าใด
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
10. แสงสีเดียวส่องผ่านสลิตคู่ ซ่ึงห่างกัน 450 ไมโครเมตร เกิดการแทรกสอดบนฉากท่ีอยู่ห่างสลิตคู่ 50
เซนติเมตร ถา้ ระยะหา่ งระหวา่ งแถบมืดทอี่ ยู่ถัดกันเท่ากับ 0.60 มลิ ลิเมตร ความยาวคล่ืนแสงเปน็ เทา่ ใด
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
…………………….…………………………………………………………………………………..…………………………………………………
แผนการจดั การเรยี นรูท้ ี่ 2 ชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 5
รายวชิ าฟิสิกสเ์ พ่ิมเติม (ว30203) เวลา 6 ชัว่ โมง
กลมุ่ สาระการเรยี นร้วู ทิ ยาศาสตร์ เวลา 2 ช่ัวโมง
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 10 แสงเชิงคลน่ื
เรอื่ ง การเล้ียวเบนของแสง
สาระสาคญั
จากหลักการของฮอยเกนต์ถือว่าทุก ๆ จุดบนสลิตทาหน้าท่ีเสมือนแหล่งกาเนิดคลื่นอาพันธ์ใหม่ เม่ือ
เกดิ การเลยี้ วเบนแถบสวา่ งกลางจะกว้างมากที่สดุ
เงื่อนไขการเกิดแถบมดื หรอื เกิดการแทรกสอดแบบหกั ล้างเมอ่ื แสงผา่ นสลติ เด่ียวคือ
asin = n
ปรากฏการณ์การเลย้ี วเบนของแสงโดยสลติ เด่ยี วและการแทรกสอดของแสงโดยสลิตคู่จะเกิดข้ึนพร้อม
กนั เสมอ
สาระการเรียนรู้
- การเลีย้ วเบนของแสง
สมรรถนะสาคญั
1. ความสามารถในการส่อื สาร
2. ความสามารถในการคดิ
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
4. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
คุณลักษณะอนั พึงประสงค์
1. มีวนิ ยั
2. ใฝ่เรยี นรู้
3. มงุ่ มน่ั ในการทางาน
4. มจี ติ สาธารณะ
5. อยู่อย่างพอเพียง
จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
1. ทาการทดลองการเลย้ี วเบนของแสงและสรุปได้ว่า เมอ่ื ลาแสงผา่ นสลิตเดย่ี วจะเกดิ การเล้ยี วเบน
2. อธิบายการเกิดแถบมืด แถบสว่างบนฉาก ซึ่งเกิดจากแสงผา่ นสลติ เดีย่ ว
3. อธบิ ายได้ว่า เม่อื แสงผา่ นสลติ เด่ียว ตาแหน่งของแถบมืดใด ๆเปน็ ไปตามสมการ asin n
4. ใช้สมการ asin n คานวณหาปริมาณท่เี ก่ียวขอ้ งเมอ่ื กาหนดสถานการณ์ให้
แนวทางในการบูรณาการ
บรู ณาการกบั กลุ่มสาระสังคมศึกษาเรื่อง ทรพั ยากรธรรมชาติ
กระบวนการจดั การเรียนรู้
กิจกรรมนาสกู่ ารเรียน
1. ขน้ั สรา้ งความสนใจ (15 นาท)ี
1.1 ใหน้ ักเรยี นดกู ารเลย้ี วเบนของแสง
1.2 นักเรียนท้ังหมดร่วมกันยกตัวอย่างปรากฎการณ์การเลี้ยวเบนของแสง ร่วมกันอภิปราย
ลักษณะการเกิด รวมทั้งการนาไปใชป้ ระโยชน์
1.3 ให้นักเรยี นรว่ มกันต้งั คาถามเกย่ี วกับสงิ่ ทตี่ อ้ งการรู้ จากเนื้อหาที่เกี่ยวกับเร่ืองการเลี้ยวเบนของ
แสง
กจิ กรรมพฒั นาการเรยี นรู้
2. ขน้ั สารวจและคน้ หา (60 นาท)ี
2.1 แบ่งนกั เรยี นเป็นกลุ่มละ 4 คน
2.2 นกั เรียนแตล่ ะกล่มุ รว่ มกันศกึ ษาการเลี้ยวเบนของแสง
2.3 นกั เรยี นแตล่ ะกลุ่มอภปิ รายร่วมกนั ถึงการเล้ยี วเบนของแสง
3. ขนั้ อธิบายและลงข้อสรปุ (45 นาท)ี
3.1 นักเรียนแต่ละกลุ่มนาเสนอผลการศกึ ษาการเล้ยี วเบนของแสง
3.2 นกั เรียนแต่ละกลมุ่ ได้ผลการศกึ ษาเหมอื นกันหรือต่างกันอยา่ งไร เพราะเหตุใด
3.3 ครูต้ังคาถามวา่
- เพราะเหตใุ ดแถบสว่างกลางจึงมขี นาดใหญ่กวา่ ความกว้างของชอ่ งสลติ
- เมอ่ื ใชแ้ ผน่ กรองแสงสีแดงเสียบที่กล่อง ภาพการเลี้ยวเบนของแสงที่ได้แตกต่างกับกรณีที่ไม่
ใชแ้ ผ่นกรองแสงสแี ดงอยา่ งไร
- เง่ือนไขในการเกดิ แถบมดื เปน็ อย่างไร
- แสงมีความยาวคลื่น 600 นาโนเมตรตกต้ังฉากผ่านสลิตเด่ียวกว้าง 500 ไมโครเมตร ขอบ
ของแถบสวา่ งกลางอยเู่ หนือแนวกลางเป็นมุมเทา่ ใด
3.4 นกั เรยี นทงั้ หมดร่วมกนั สรุปผลจากการศึกษาการเลย้ี วเบนของแสง
กจิ กรรมรวบยอด
4. ขัน้ ขยายความรู้ (30 นาท)ี
4.1 ให้นักเรียนเสนอแนวคดิ ในการแก้ปัญหาโจทยเ์ ร่อื งการเลีย้ วเบนของแสง
4.2 ครูถามวา่ จงเสนอแนวคิดในการนาความเข้าใจเก่ียวกับการเล้ยี วเบนของแสงไปใช้ประโยชน์
4.3 นักเรียนแต่ละกลุ่มรว่ มกนั สรปุ เชอื่ มโยงความคดิ เกยี่ วกับการเลยี้ วเบนของแสง
5. ขัน้ ประเมนิ ผล (30 นาท)ี
5.1 ให้นักเรียนแต่ละคนย้อนกลับไปอ่านบันทึกประสบการณ์เดิม สิ่งที่ต้องการรู้ และขอบเขต
เป้าหมาย แลว้ ตรวจสอบว่าได้เรียนรู้ตามที่ตั้งเป้าหมายครบถ้วนหรือไม่เพียงใด ถ้ายังไม่ครบถ้วนจะทาอย่างไร
ต่อไป (อาจสอบถามใหค้ รอู ธบิ ายเพม่ิ เตมิ สอบถามใหเ้ พ่อื นอธิบาย หรือวางแผนสืบค้นเพ่มิ เตมิ )
5.2 ให้นกั เรยี นทาแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นดา้ นพุทธิพิสัย
5.3 ใหน้ กั เรยี นบนั ทกึ หลงั เรยี น
5.4 ครใู ห้คะแนนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และคะแนนจิตวิทยาศาสตร์ จากเกณฑ์การ
ให้คะแนน สมดุ บันทึก รายงานการทดลอง และผลงาน หากข้อมลู ไม่เพยี งพอใช้วิธสี ัมภาษณ์เพมิ่ เตมิ
สอ่ื การเรยี นรู้และแหลง่ การเรยี นรู้
1. ชุดการเล้ียวเบนของแสงผา่ นสลิตเด่ยี ว
2. หนังสอื แบบเรียนรายวิชาฟสิ ิกส์ เลม่ 3 (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560)
3. ใบงานท่ี 12
4. ใบความรู้ เร่อื งการเลี้ยวเบนของแสง
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้
1. วธิ ีการวัดและประเมนิ ผล
1.1 สังเกตพฤติกรรมการปฏบิ ตั ิงานท่ีมอบหมาย
1.2 สงั เกตพฤตกิ รรมในการฝกึ ปฏิบตั งิ านกลมุ่
1.3 การทาแบบฝกึ ระหว่างเรียน
1.4 การทาแบบทดสอบหลังเรียน
2. เคร่อื งมือการวัดและประเมินผล
2.1 แบบสังเกตพฤติกรรมการปฏิบตั งิ านทีม่ อบหมาย
2.2 แบบสังเกตพฤติกรรมในการฝกึ ปฏิบัติงานกลมุ่
2.3 แบบบันทกึ ผลการทาแบบทดสอบหลังเรยี น
3. เกณฑ์การวดั และประเมนิ ผล
3.1 กาหนดเกณฑ์ผ่านการประเมนิ 70%
การบรู ณาการหลักปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี ง
1. ผูส้ อนใชห้ ลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้
หลกั พอเพยี ง พอประมาณ มีเหตุผลท่ดี ี มภี ูมิคมุ้ กันในตวั ท่ดี ี
ประเดน็
กจิ กรรมการเรยี นรู้ - มีการวางแผนการจัดกิจ - จัดการเรียนรู้ตรงตาม - มีการวางแผนการจัดกิจ
กรรมด้านต่างๆชัดเจน มีลา มาตรฐานตวั ชว้ี ัด กรรมอยา่ งชดั เจนเป็นลาดับ
ดับข้ันตอน มีการกาหนดเน้ือ
หาสาระ จัดกิจกรรมผ่าน
กระบวนการกลมุ่
เวลา - กาหนดเนื้อหาสาระเหมาะ - เพ่ือให้กิจกรรมการ - มีการเผ่ือเวลาในการทา
สมกับเวลา กิจกรรมการเรียน เรยี นการสอนบรรลุตัว ชี้ กิจกรรมแต่ละข้ันเพ่ือให้
รู้ใช้กระบวนการกลุ่มนักเรียน วัดได้ตามเวลาทกี่ าหนด นักเรียนท่ีมีความสามารถ
ทางานได้ทันตามเวลาท่ีกา ต่างกันสามารถทางานให้
หนด เสรจ็ ทนั เวลา
สอ่ื - จัดเตรียมและใช้ส่ือในการ - ใช้เคร่ืองมือเพื่อให้ - มีลาดับข้ันตอนในการใช้
จัดกิจกรรมการเรียนการสอน นักเรียนได้ร่วมอภิปราย ส่ือตา่ งๆอยา่ งคมุ้ คา่
เหมาะสมกับจานวนกลมุ่ ในแบบฝกึ กิจกรรม
แหลง่ เรยี นรู้ - กาหนดเน้ือหาสาระและ - เพ่ือให้การจัดการเรียน - มีการสืบค้นทางอินเทอร์
กิจกรรมการเรียนรู้เหมาะสม รู้สอดคล้องกับวิถีชีวิตทา เน็ต การค้นคว้าในห้องสมุด
กับแหล่งเรียนรู้ ให้สามารถนาความรู้มา ก่อนจะออกแบบกิจกรรม
ใช้ในชีวิตประจาวนั ได้ การเรียนรู้ตา่ งๆ
ความรทู้ ่ีใชใ้ นการจัด - สืบค้นเทคนคิ วธิ กี ารสอน,รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้
กิจกรรมการเรยี นรู้ - ศึกษาเนอ้ื หาดา้ นตา่ งๆให้ชัดเจน
- ศึกษาคน้ คว้าและบูรณาการหลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี งกับการจัดการเรียนรู้
คณุ ธรรม - มีความรับผิดชอบในการปฏิบตั ิหน้าทก่ี ารสอน ตรงต่อเวลา เตรียมการสอนล่วงหนา้
- มคี วามเมตตา ใหค้ วามเสมอภาค และยตุ ิธรรมกบั นักเรียนทุกคน
- มคี วามเสียสละ อดทน และใฝ่รู้
2. ผ้เู รยี นมคี ณุ ลักษณะ “ อย่อู ยา่ งพอเพียง”
พอประมาณ มเี หตผุ ลทีด่ ี มีภูมิคุ้มกันที่ดี
- แต่ละกลุ่มแบ่งหน้าท่ีในกลุ่ม - มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเน้ือหา - ฝึกการมีส่วนร่วมในการทางาน
เหมาะสมกับความสามารถและพอ ในเรื่องที่ศึกษา สามารถวิเคราะห์ข้อ สรา้ งความสามคั คีในการทางาน
เพยี งกบั จานวนสมาชิก มูลตา่ งๆได้อย่างถกู ต้อง
- วางแผนการทางานอย่างรอบคอบ - รู้จักทางานร่วมกับผู้อ่ืนโดยใช้กระ
โดยกาหนดเวลาในการทากิจกรรม บวนการกล่มุ
อยา่ งเหมาะสม
ความรู้ (วธิ ีการ) - สืบค้นขอ้ มลู เพ่อื เสรมิ สรา้ งความรู้ ความเข้าใจ
- ศึกษา ค้นคว้าวิธกี ารทาแบบฝึกหัดกจิ กรรม และใบงาน
- วเิ คราะหข์ อ้ มลู โดยใช้ทกั ษะกระบวนการคิด
คณุ ธรรมทีเ่ กิดกบั นักเรียน - มีความรับผิดชอบในหน้าท่ี ท่ีได้รับมอบหมาย ทางานด้วยความเรียบร้อย
ถกู ต้อง และเสร็จทนั เวลา
- มีความสามัคคีในหมู่คณะ มีวินับเป็นผู้นาและผู้ตามที่ดีขณะปฏิบัติงานร่วม
กนั
- รว่ มกิจกรรมการเรียนรู้ดว้ ยความกระตือรือรน้ สนใจ ต้งั ใจ และใฝเ่ รยี นรู้
3. ผลลพั ธ์ KPA 4 มติ ิ ทีเ่ ก่ียวข้องกับการอยู่อยา่ งพอเพียง
ผลลัพธ์ สมดุลพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ
ด้านวัตถุ ดา้ นสังคม ดา้ นสงิ่ แวดล้อม ดา้ นวฒั นธรรม
-
ดา้ นความรู้ - มีความรู้ความเข้า - มีความรู้เกี่ยวกับการทา - มีความรู้ความเข้า
-
ใจเก่ียวกับการเล้ียว งานเป็นกลุ่มและการวาง ใ จ ธ ร ร ม ช า ติ ข อ ง
เบนของแสง แผนรว่ มกบั ผ้อู ืน่ ฟสิ กิ ส์
ด้านทักษะ - มีความสามารถใน - สามารถทางานร่วมกับ -
การอภิปราย ทาแบบ ผู้อ่ืนในรูปแบบกลุ่มและมี
ฝึก/ใบงาน ทักษะในการสร้างปฏิสัม
พันธก์ ับผู้อื่น
กิจกรรมเสนอแนะ
ให้นักเรียนทบทวนโดยค้นคว้าด้วยตนเองและฝึกปฏิบัติเพ่ิมเติม พร้อมท้ังแบบฝึกหัดเพ่ิมเติมจาก
หนังสือแบบเรียน
บนั ทึกผลหลังการสอน
ผลการเรียนรู้
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
ปญั หาและอปุ สรรค
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
ขอ้ เสนอแนะแนวทางแกไ้ ข
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ......................................................ผสู้ อน
(นางสาวกนกวรรณ บุญเกตุ)
ความคดิ เหน็ ของผู้อานวยการโรงเรียนศรีสโมสรวทิ ยา
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
ลงชอ่ื …………………………………………
(นายเมธี วฒั นสิงห์)
ผอู้ านวยการโรงเรยี นศรีสโมสรวทิ ยา
ใบความรู้
เร่อื ง การเลีย้ วเบนของแสง
การเลย้ี วเบนของแสง
ถ้าเราวางวัตถุทึบแสงไว้ระหว่างฉากกับจุดกาเนิดแสงที่สว่างมากเราจะเห็นขอบของเงาวัตถุนั้นบนฉากพร่ามัว
เปน็ แถบมดื แถบสว่าง สลับกันดังรูปท่ี 46 ท่ีเป็นเช่นนี้ เพราะแสงเกิดการเลี้ยวเบนทาให้เกิดการเลี้ยวเบนทา
ให้เกดิ การแทรกสอดเปน็ แถบมืดและแถบสว่าง
การเลย้ี วเบนของแสงผา่ นวตั ถรุ ูปดาว
ที่มา ftp://smc.ssk.ac.th/intranet/OBEC-DigitalContent/sci/sec4/phy/cai/Light/e-%20light/Light/Light13.htm
จากรปู ถา้ ใหแ้ สงที่มีความสว่างมากผ่านวัตถุรูปดาวจะทาให้ เกิดแถบมืดและแถบสว่างที่ขอบในและ
ขอบนอกของรปู ดาวปรากฏบนฉาก เพราะคล่ืนแสงที่เลี้ยวเบนจากขอบในและขอบนอกของรูปดาวเป็นเสมือน
แหล่งกาเนิด แสงใหม่จึงเกิดการแทรกสอดกันเองทาให้เกิดแถบสว่างและแถบมืดทั้งขอบนอกและขอบ ในของ
วตั ถุรูปดาว
เงาของลกู ทรงกลมดันเสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลาง นิ้ว
ท่ีมา ftp://smc.ssk.ac.th/intranet/OBEC-DigitalContent/sci/sec4/phy/cai/Light/e-%20light/Light/Light13.htm
จากรปู แสดงการเล้ียวเบนของแสงโดยใหแ้ สงทมี่ ีความสวา่ งมากผา่ นทรงกลมตนั ทาให้เกิดเงาของทรง
กลมปรากฏบนฉาก และเกิดแถบมืดแถบสว่างท่ีขอบเน่ืองจากการเลี้ยวเบนของแสงท่ีจุดศูนย์กลางของเงาทรง
กลมจะเป็นจดุ สว่าง เพราะแสงทเี่ ลีย้ วเบนผ่านขอบของทรงกลมตนั จะเป็นเสมือนแหล่งกาเนิดใหม่ตามหลักการ
ของฮอยเกนส์จึงให้คล่ืนแสงไปพบกัน ท่ีจุดศูนย์กลางของเงาทรงกลมบนฉากทาให้เกิดการแทรกสอดกันใน
ลักษณะเสรมิ จึงเหน็ เปน็ จดุ สวา่ งขน้ึ
การเล้ียวเบนของแสงผา่ นชอ่ งเดีย่ ว
เม่ือให้แสงเล้ียวเบนผ่านช่องแคบเดียวจะได้แถบสว่างตรงกลางกว้างและมีความเข้มมากที่สุด
แถบสว่างข้างๆ ที่สลบั แถบมดื จะมคี วามเข้มลดลง ถา้ แสงทผ่ี า่ นช่องแคบเปน็ แสงสขี าวจะไดแ้ ถบสว่างเป็นสีขาว
และแถบสวา่ งขา้ งๆ จะเปน็ สเปคตรัมโดยเรียงจากมีม่วงไปจนถงึ สแี ดงแตถ่ า้ เป็นแสงสีเดียวแถบสีสว่างข้างๆจะ
เป็นสีเดิม แถบสว่างตรงกลางจะกว้างมากท่ีสุดและแถบสว่างข้างๆ จะลดลงคร่ึงหนึ่งและมีขนาดกว้างเกือบ
เท่ากันหมด
การเลย้ี วเบนของแสงผา่ นช่องเดี่ยว
ทมี่ า ftp://smc.ssk.ac.th
การหาตาแหนง่ แถบมดื แถบสว่างบนฉาก
ให้คล่ืนแสงสีเดียวความยาวคล่ืน ส่องผ่านช่องเดียวท่ีมีความกว้าง d ทาให้เกิดแทรกสอด เน่ืองจาก
การเลยี้ วเบนบนฉากที่ห่าง จากช่องเดียว D ดงั รูป
ทมี่ า ftp://smc.ssk.ac.th
จากรูปอาศัยหลักของฮอยเกนส์ ซึ่งกล่าวว่าทุกจุดบนหน้าคลื่นจะกระทาตัวเป็นแหล่งกาเนิดคล่ืนใหม่
ถ้าเราให้ฉากอยู่ห่างจาก ช่องเด่ียวมากๆ จะได้รังสีที่ออกจากช่องเดียวเป็นรังสีขนาน และตาแหน่งมืดบนฉาก
คือตาแหน่งทค่ี ลืน่ หกั ลา้ งกนั
รงั สขี นานจากช่องเดียว
ที่มา ftp://smc.ssk.ac.th
พิจารณารูป 50 (a) ถ้า เราแบ่งคร่ึงช่อง AB เราจะพบว่าถ้ารังสีออกจาก A และ C มีทางเดินต่างกัน
λ/2 แล้วทุกๆ คู่ท่ีอยใู่ ต้ A และ B ซึ่งหา่ งกัน d/2 เช่น D และ E จะมที างเดินต่างกัน λ/2 ดว้ ยเป็นผลทาให้
คลืน่ หักล้างกันหมด บนฉากจะได้ว่าแต่ละคู่มีเง่อื นไขดงั น้ี
d/2 = λ/2
d/2 = λ เปน็ ตาแหน่งบพั ท่ี 1
ทานองเดียวกันถ้าแบ่งตาแหน่งกว้าง d เป็น 4 ส่วนๆกัน ดังรูป 50 (b) จะได้ทุกๆคู่ มีระยะห่างกัน
d/4 และจะหกั ลา้ งกนั เมือ่ ทางเดนิ ตา่ งกัน λ/2 นัน่ คือ
d/4 = λ/2
d = λ/2 เป็นตาแหน่งบพั ที่ 2
ถ้าแบ่งชอ่ งกว้าง d เปน็ 6,8,10,…. จะได้ d/2 = λ /2 = 3 λ,4 λ,5 λ... ตามลาดบั
ฉะน้นั จะได้สูตรการหาสมการหาตาแหนง่ บัพ (node) ของการเลยี้ วเบนของแสงสวา่ งชอ่ งเดยี วดงั น้ี
d = n/2
หรือ d = = n λ สมการบัพของช่องเดียว
เงอ่ื นไขการเป็นปฏิบัพ (Antinode)
การพิจารณาหาตาแหน่งปฏบิ พั โดยตรง ไม่มีการพิจารณา ตาแหน่งปฏิบัพหาได้จากการเฉล่ียตาแหน่ง
บัพสมการปฏิบพั คือ
d = =( )λ สมการปฏบิ พั ช่องแคบเดีย่ ว
ขอ้ ควรจา
1. ในการพิจารณาการแทรกสอดของช่องคู่
สมการปฏิบัพ d = = nλ
สมการบัพ d = = ( )λ
2. ในการพจิ ารณาการเล้ียวเบนผา่ นชอ่ งแคบเดี่ยว จะได้ )λ
สมการปฏบิ พั d = = (
สมการบพั d = = n λ
โดย n เป็นตัวเลขแสดงลาดับที่ของบัพหรอื ปฏบิ พั มีคา่ ต้ังแต่ 1,2,3, . . .
d = ความกวา้ งของช่องสลติ (เมตร)
= มมุ ท่ีเบนไปจากแนวกลาง
n = จานวนเตม็ บวก ( 1, 2, 3, .... )
λ = ความยาวคลนื่ แสง (เมตร)
x = ระยะจากก่งึ กลางของแถบสว่างกลางถงึ กง่ึ กลางของแถบมืดที่ n ใด ๆ
L = ระยะจากช่องเดย่ี วถึงฉาก (เมตร)
ใบงานท่ี 12
1. ขอบเขตและเปา้ หมายของประเดน็ ท่จี ะเรยี นรู้ ท่ีนักเรยี นและครูกาหนดรว่ มกนั
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
2. ผลการทดลองการเลี้ยวเบนของแสง
ปญั หา………………………………………………………………………………………………..........................................................
สมมติฐาน…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
ตัวแปรตน้ ………………………………………………………………………………………………………………..................................
ตวั แปรตาม…………………………………………………………………………………………........................................................
ตัวแปรควบคมุ ………………………………………………………………………………………………………………………………………
วธิ ีทดลอง……………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
ผลการทดลอง
3. แต่ละกลุ่มได้ผลการศกึ ษาเหมอื นกันหรือตา่ งกนั อย่างไร เพราะเหตใุ ด
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
4. เพราะเหตใุ ดแถบสว่างกลางจึงมขี นาดใหญก่ วา่ ความกว้างของชอ่ งสลิต
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
5. เมอ่ื ใชแ้ ผ่นกรองแสงสแี ดงเสียบที่กลอ่ ง ภาพการเลย้ี วเบนของแสงท่ีได้แตกต่างกับกรณีท่ีไม่ใช้แผ่นกรองแสง
สแี ดงอยา่ งไร
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
6. สรปุ ผลการทดลองการเลีย้ วเบนของแสง
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
7. เง่ือนไขในการเกิดแถบมืดเป็นอยา่ งไร
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
8. แสงมคี วามยาวคลื่น 600 นาโนเมตรตกตงั้ ฉากผ่านสลิตเด่ยี วกวา้ ง 500 ไมโครเมตร ขอบของแถบสว่างกลาง
อยู่เหนือแนวกลางเป็นมุมเท่าใด
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
9. ความยาวคลน่ื และ K เปน็ จุดบนฉากทีท่ าให้ NK = /2
- ภาพที่ปรากฏบนฉากท่ีตาแหน่ง G และ K เป็นอยา่ งไร
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
- ถา้ ตอ้ งการให้แถบสว่างของภาพการแทรกสอดบนฉากอยู่ใกลก้ นั มากขน้ึ จะต้องทาอยา่ งไร
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
10. เมือ่ มีแสงตกกระทบสลิตคู่ในแนวต้ังฉาก ถ้าระยะ AC = n BC = (n+3) OM เป็นแนวกลาง ภาพการ
แทรกสอดท่ี C เปน็ แถบสวา่ งหรือแถบมืดทเ่ี ทา่ ไร
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
11. เม่ือใช้แสงสีเขียวความยาวคลื่น 5.2 x 10-7 เมตร ตกกระทบสลิตคู่ในแนวต้ังฉาก เกิดภาพแทรกสอดบน
ฉาก ถ้าแถบสว่าง 2 แถบ ท่ีติดกันอยู่ห่างกัน 0.2 มิลลิเมตร แต่ถ้าใช้แสงสีแดงท่ีมีความยาวคล่ืน 6.5 x 10-7
เมตร แทน แถบสว่าง 2 แถบทีอ่ ยูต่ ิดกนั จะอยหู่ า่ งกันกี่ มิลลเิ มตร
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..…………………………………………………
12. ใช้เกรตตงิ ท่ีมี 5,000 ช่อง/เซนติเมตร รบั แสงจากหลอดไฟท่ีอยู่ห่างออกไป 1 เมตร แถบสีม่วงในสเปกตรัม
แถบแรกกวา้ งกีเ่ ซนติเมตร ถ้าแสงสมี ่วงความยาวคลน่ื 380-450 นาโนเมตร
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 3 ชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 5
รายวชิ าฟิสิกส์เพ่มิ เติม (ว30204) เวลา 6 ช่ัวโมง
กลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ เวลา 2 ชว่ั โมง
หน่วยการเรียนรูท้ ี่ 10 แสงเชิงคลืน่
เร่ือง เกรตติง
สาระสาคัญ
จากปรากฏการณ์การเล้ียวเบนของแสง แถบสว่างจะอยู่ใกล้ชิดกันมาก ทาให้วัดขนาดได้ยาก เพื่อให้
วดั ไดง้ า่ ยจงึ ใช้วิธีลดระยะห่างระหว่างสลิต และเพม่ิ จานวนสลติ ใหม้ ากข้ึน โดยให้สลิตทั้งหมดมีขนาดเท่ากัน ซึ่ง
อุปกรณ์นี้คือเกรตติงท่ีใช้หาความยาวคล่ืนแสง จานวนช่องของเกรตติงมีตั้งแต่ 1,000 – 10,000 ช่อง ต่อ 1
เซนติเมตร
การพจิ ารณาเงื่อนไขของแถบสวา่ งในเกรตติงคือ
dsin = n
การเรียงแถบสีตา่ ง ๆ โดยแยกออกตามความยาวคล่ืนของแสงเรียกวา่ สเปกตรัม
การกระเจิงของแสงเกดิ จากการที่แสงอาทติ ยต์ กกระทบอนภุ าคของอากาศและฝุ่นละออง แล้วโมเลกุล
เหลา่ นีก้ จ็ ะกระจายออกไปโดยรอบ เช่น การมองเห็นสแี ดงรอบ ๆ ดวงอาทติ ยต์ อนเยน็
ปรากฏการณ์เรือนกระจกเกิดจากรังสีอินฟราเรดถูกโมเลกุลของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และไอน้า
ดูดกลนื ไว้แลว้ ปล่อยกลับไปไม่หมดโลกจึงรอ้ นข้ึนกวา่ ปกติ
สาระการเรียนรู้
- เกรตตงิ
สมรรถนะสาคญั
1. ความสามารถในการสอ่ื สาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
4. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์
1. มวี นิ ัย
2. ใฝ่เรียนรู้
3. ม่งุ ม่ันในการทางาน
4. มีจติ สาธารณะ
5. อยูอ่ ย่างพอเพยี ง
จดุ ประสงค์การเรียนรู้
1. ทาการทดลองและคานวณหาความยาวคล่ืนของแสงสตี า่ ง ๆโดยใชเ้ กรตติง
2. อธบิ ายการกระเจิงของแสงและนาไปใชอ้ ธบิ ายการมองเห็นท้องฟ้าเปน็ สีนา้ เงิน
แนวทางในการบูรณาการ
บรู ณาการกบั กลุม่ สาระสงั คมศกึ ษาเรอื่ งทรัพยากรธรรมชาติ
กระบวนการจดั การเรียนรู้
กจิ กรรมนาสู่การเรียน
1. ขน้ั สรา้ งความสนใจ (15 นาท)ี
1.1 ให้นกั เรียนดแู ถบแสงบนฉาก
1.2 นักเรียนท้ังหมดร่วมกันยกตัวอย่างปรากฏการณ์การเล้ียวเบนและแทรกสอดของแสง ร่วมกัน
อภิปรายลักษณะการเกิด รวมทง้ั การนาไปใช้ประโยชน์
1.3 ใหน้ กั เรียนรว่ มกนั ต้งั คาถามเกีย่ วกบั สง่ิ ที่ต้องการรู้ จากเน้ือหาที่เกย่ี วกบั เร่อื งเกรตติง
กจิ กรรมพัฒนาการเรยี นรู้
2. ขัน้ สารวจและค้นหา (60 นาท)ี
2.1 แบ่งนกั เรียนเป็นกลุม่ ละ 4 คน
2.2 นกั เรียนแตล่ ะกลมุ่ ร่วมกนั ศึกษาเกรตตงิ
2.3 นกั เรยี นแต่ละกลุ่มอภปิ รายร่วมกันถึงเกรตติง
3. ข้ันอธิบายและลงขอ้ สรปุ (45 นาท)ี
3.1 นักเรยี นแต่ละกลุ่มนาเสนอผลการศกึ ษาเกรตติง
3.2 นกั เรียนแตล่ ะกล่มุ ไดผ้ ลการศกึ ษาเหมอื นกนั หรือต่างกนั อยา่ งไร เพราะเหตุใด
3.3 ครูตั้งคาถามวา่
- แสงสีต่าง ๆ มคี วามยาวคลน่ื เทา่ ใดบ้าง
- เงือ่ นไขในการเกดิ แถบสว่างเป็นอย่างไร
- ฉายแสงเลเซอร์ซึ่งเป็นแสงสีเดียวตกกระทบเกรตติงแบบเล้ียวเบนในแนวตั้งฉาก เกรตติงมี
5,000 ช่องต่อเซนติเมตร ทาให้เกิดแถบสว่างที่ 1 ทามุม 18.5 องศากับแนวกลาง แสงเลเซอร์มีความยาวคลื่น
เท่าใด
- ฉายแสงขาวตกกระทบเกรตติงแบบเลี้ยวเบนในแนวต้ังฉาก ถ้าเกรตติงมี 10,000 ช่องต่อ
เซนตเิ มตร แถบสว่างท่ี 1 มีความกว้างโดยคิดเป็นมุมโตกี่องศา กาหนดให้ความยาว คลื่นของแสงสีแดงเท่ากับ
700 นาโนเมตร และความยาวคลืน่ ของแสงสีน้าเงนิ เทา่ กับ 400 นาโนเมตร
3.4 นกั เรยี นทั้งหมดรว่ มกนั สรปุ ผลจากการศึกษาเกรตติง
กจิ กรรมรวบยอด
4. ขน้ั ขยายความรู้ (30 นาท)ี
4.1 ครถู ามวา่
- การกระเจงิ ของแสงเปน็ อย่างไร
- ปรากฏการณเ์ รือนกระจกเกิดไดอ้ ยา่ งไร
4.2 ให้นกั เรียนเสนอแนวคดิ ในการแกป้ ัญหาโจทย์เรื่องเกรตตงิ
4.3 ครูถามวา่ จงเสนอแนวคดิ ในการนาความเข้าใจเกี่ยวกับเกรตตงิ ไปใช้ประโยชน์
4.4 นักเรียนแตล่ ะกลมุ่ รว่ มกนั สรุปเช่อื มโยงความคิดเกย่ี วกับเกรตติง
5. ขน้ั ประเมนิ ผล (30 นาท)ี
5.1 ให้นักเรียนแต่ละคนย้อนกลับไปอ่านบันทึกประสบการณ์เดิม ส่ิงที่ต้องการรู้ และขอบเขต
เปา้ หมาย แลว้ ตรวจสอบว่าได้เรียนรู้ตามท่ีต้ังเป้าหมายครบถ้วนหรือไม่เพียงใด ถ้ายังไม่ครบถ้วนจะทาอย่างไร
ต่อไป (อาจสอบถามให้ครูอธิบายเพ่มิ เติม สอบถามให้เพอื่ นอธบิ าย หรอื วางแผนสบื ค้นเพมิ่ เติม)
5.2 ใหน้ กั เรียนทาแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นด้านพุทธิพสิ ัย
5.3 ใหน้ กั เรยี นบนั ทึกหลังเรียน
5.4 ครใู ห้คะแนนทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และคะแนนจิตวิทยาศาสตร์ จากเกณฑ์การ
ใหค้ ะแนน สมดุ บนั ทึก รายงานการทดลอง และผลงาน หากขอ้ มลู ไม่เพยี งพอใช้วิธสี ัมภาษณเ์ พิ่มเตมิ
สือ่ การเรียนรู้และแหลง่ การเรยี นรู้
1. ชุดการทดลองเกรตติง
2. ชดุ การทดลองการวัดความยาวคลื่นแสงเลเซอร์
3. ภาพการกระเจงิ ของแสง
4. หนงั สือแบบเรียนรายวิชาฟิสิกส์ เลม่ 3 (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560)
5. ใบงานที่ 13
6. ใบความรู้ เร่ือง เกรตติง
การวัดและประเมินผลการเรยี นรู้
1. วธิ กี ารวัดและประเมินผล
1.1 สังเกตพฤตกิ รรมการปฏบิ ัตงิ านทมี่ อบหมาย
1.2 สังเกตพฤติกรรมในการฝึกปฏิบัตงิ านกลมุ่
1.3 การทาแบบฝกึ ระหว่างเรียน
1.4 การทาแบบทดสอบหลงั เรียน
2. เครอ่ื งมอื การวดั และประเมนิ ผล
2.1 แบบสงั เกตพฤติกรรมการปฏบิ ตั ิงานทมี่ อบหมาย
2.2 แบบสงั เกตพฤติกรรมในการฝึกปฏบิ ัตงิ านกลุ่ม
2.3 แบบบนั ทึกผลการทาแบบทดสอบหลังเรียน
3. เกณฑก์ ารวดั และประเมนิ ผล
3.1 กาหนดเกณฑผ์ า่ นการประเมนิ 70%
การบรู ณาการหลักปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียง
1. ผ้สู อนใช้หลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี งในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
หลกั พอเพียง พอประมาณ มีเหตผุ ลทดี่ ี มภี ูมคิ ุ้มกนั ในตวั ทด่ี ี
ประเดน็
กจิ กรรมการเรียนรู้ - มีการวางแผนการจัดกิจ - จัดการเรียนรู้ตรงตาม - มีการวางแผนการจัดกิจ
กรรมด้านต่างๆชัดเจน มีลา มาตรฐานตัวช้วี ดั ก ร ร ม อ ย่ า ง ชั ด เ จ น เ ป็ น
ดับข้ันตอน มีการกาหนด ลาดับ
เน้ือหาสาระ จัดกิจกรรม
ผ่านกระบวนการกลุม่
เวลา - กาหนดเน้ือหาสาระเหมาะ - เพื่อให้กิจกรรมการเรียน - มีการเผ่ือเวลาในการทา
สมกับเวลา กิจกรรมการ การสอนบรรลุตวั ชี้วัดได้ตาม กิจกรรมแต่ละข้ันเพ่ือให้
เรียนรู้ใช้กระบวนการกลุ่ม เวลาท่ีกาหนด นักเรียนท่ีมีความสามารถ
นักเรียนทางานได้ทันตาม ต่างกันสามารถทางานให้
เวลาที่กาหนด เสรจ็ ทันเวลา
สอ่ื - จัดเตรียมและใช้สื่อในการ - ใชเ้ คร่ืองมอื เพ่อื ให้นักเรียน - มีลาดับขั้นตอนในการใช้
แหลง่ เรยี นรู้ จัดกิจกรรมการเรียนการ ได้ร่วมอภิปรายในแบบฝึก สื่อตา่ งๆอย่างคุ้มคา่
ความรทู้ ี่ใชใ้ นการจัด สอนเหมาะสมกับจานวน กิจกรรม
กิจกรรมการเรียนรู้
กลุ่ม
คณุ ธรรม
- กาหนดเน้ือหาสาระและ - เพื่อให้การจัดการเรียนรู้ - มีการสืบค้นทางอินเทอร์
กิจกรรมการเรียนรู้เหมาะ สอดคล้องกับวิถีชีวิตทาให้ เน็ต การค้นคว้าในห้อง
สมกบั แหลง่ เรยี นรู้ สามารถนาความรู้มาใช้ใน สมุดก่อนจะออกแบบกิจ
ชีวิตประจาวันได้ กรรมการเรียนรู้ตา่ งๆ
- สบื คน้ เทคนคิ วิธกี ารสอน,รปู แบบการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้
- ศกึ ษาเนอ้ื หาด้านต่างๆให้ชัดเจน
- ศึกษาค้นคว้าและบูรณาการหลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงกับการจดั การเรยี นรู้
- มีความรับผิดชอบในการปฏบิ ัติหนา้ ทีก่ ารสอน ตรงต่อเวลา เตรียมการสอนล่วงหน้า
- มีความเมตตา ใหค้ วามเสมอภาค และยตุ ิธรรมกับนกั เรยี นทกุ คน
- มีความเสียสละ อดทน และใฝ่รู้
2. ผูเ้ รียนมีคุณลกั ษณะ “ อย่อู ย่างพอเพียง”
พอประมาณ มเี หตผุ ลทด่ี ี มีภูมิคุม้ กันทดี่ ี
- แต่ละกลุ่มแบ่งหน้าท่ีในกลุ่ม - มคี วามรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเน้ือหา - ฝึกการมีส่วนร่วมในการทางาน
เหมาะสมกับความสามารถและพอ ในเรื่องที่ศึกษา สามารถวิเคราะห์ข้อ สร้างความสามัคคใี นการทางาน
เพียงกับจานวนสมาชิก มูลต่างๆไดอ้ ยา่ งถูกต้อง
- วางแผนการทางานอยา่ งรอบคอบ - รู้จักทางานร่วมกับผู้อ่ืนโดยใช้กระ
โดยกาหนดเวลาในการทากิจกรรม บวนการกลุม่
อยา่ งเหมาะสม
ความรู้ (วิธีการ) - สืบค้นข้อมลู เพอื่ เสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ
- ศึกษา ค้นควา้ วธิ กี ารทาแบบฝึกหดั กิจกรรม และใบงาน
- วิเคราะห์ข้อมูลโดยใชท้ กั ษะกระบวนการคดิ
คณุ ธรรมทเี่ กิดกบั นกั เรยี น - มีความรับผิดชอบในหน้าที่ ที่ได้รับมอบหมาย ทางานด้วยความเรียบร้อย
ถูกต้อง และเสร็จทนั เวลา
- มีความสามัคคีในหมู่คณะ มีวินับเป็นผู้นาและผู้ตามที่ดีขณะปฏิบัติงานร่วม
กัน
- ร่วมกจิ กรรมการเรียนรดู้ ้วยความกระตือรอื รน้ สนใจ ตง้ั ใจ และใฝ่เรยี นรู้
3. ผลลัพธ์ KPA 4 มติ ิ ทีเ่ ก่ียวขอ้ งกับการอยู่อยา่ งพอเพียง
ผลลพั ธ์ สมดุลพร้อมต่อการเปล่ยี นแปลงในดา้ นต่างๆ
ด้านวัตถุ ดา้ นสังคม ด้านสิง่ แวดลอ้ ม ดา้ นวฒั นธรรม
ด้านความรู้ - มีความรู้ความเข้าใจ - มีความรู้เก่ียวกับการ - มีความรู้ความเข้าใจ -
เกีย่ วกบั เกรตตงิ ทางานเป็นกลุ่มและการ ธรรมชาตขิ องฟสิ ิกส์
วางแผนรว่ มกบั ผ้อู น่ื
ดา้ นทกั ษะ - มีความสามารถในการ - สามารถทางานร่วมกับ - -
อภิปราย ทาแบบฝึก/ใบ ผู้อ่ืนในรูปแบบกลุ่มและ
งาน มีทกั ษะในการสรา้ ง
ปฏสิ ัมพนั ธ์กบั ผ้อู น่ื
กิจกรรมเสนอแนะ
ให้นักเรียนทบทวนโดยค้นคว้าด้วยตนเองและฝึกปฏิบัติเพ่ิมเติม พร้อมทั้งแบบฝึกหัดเพิ่มเติมจาก
หนังสอื แบบเรียน
บนั ทึกผลหลังการสอน
ผลการเรียนรู้
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
ปญั หาและอปุ สรรค
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
ขอ้ เสนอแนะแนวทางแกไ้ ข
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
ลงชอื่ ......................................................ผสู้ อน
(นางสาวกนกวรรณ บุญเกตุ)
ความคดิ เหน็ ของผู้อานวยการโรงเรียนศรีสโมสรวทิ ยา
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………….………………………………………………………………………………………………
ลงชอ่ื …………………………………………
(นายเมธี วฒั นสิงห์)
ผอู้ านวยการโรงเรยี นศรีสโมสรวทิ ยา
ใบความรู้
เรอื่ ง เกรตตงิ
เกรตติง (Grating)
เกรตติง คือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการตรวจสอบสเปรคของแสงและหาความยาวคลื่นแสงโดยอาศัย
คุณสมบัติการแทรกสอดของคลื่น ลักษณะของเกรตติง จะเป็นแผ่นวัสดุบางที่ถูกแบ่งออกเป็นช่อง
ขนานซึ่งอยู่ชิดกันมาก โดยทั่วไปใน 1 เซนติเมตร แบ่งออกเป็น 10,000 ช่อง ซึ่งจานวนช่องของเกรต
ติงอาจมี 100 ถึง 10,000 ช่อง/cm ในการทดลอง ถ้าเราให้แสงจากดวงอาทิตย์หรือแสงขาวจาก
หลอดไฟส่องผ่านเกรตติง เราจะเห็นสเปรคตรัมของแสงอาทิตย์หรือแสงขาวออกเป็น 7 สี โดยเกรตติง
ถูกพัฒนามาจากสลิตคู่ด้วยการเพิ่มจานวนช่วงทั้งสองให้มากข้ึน มีผลทาให้ระยะห่างระหว่างช่องอยู่ใกล้
กันมากขึ้นทาให้การเล้ียวเบนของแสงมากข้ึน
ภาพตัวอย่างของแผ่นเกรตติง
แสง ความยาวคลื่นเดียวตกกระทบเกรตติง แสงบางส่วนจะเบนออกจากแนวไปปรากฏบนฉาก
เป็นแถบสว่างเล็กๆ แถบสว่างนี้เกิดจากการแทรกสอดของแสงจากช่องอื่นๆทุกช่องที่เสมือนเป็นแหล่ง
กาเนิดแสงอาพันธ์ การหาตาแหน่งของแถบสว่างให้ถือว่าฉากอยู่ไกลจากเกรตติงมาก จนแสงจากช่อง
แต่ละช่องของเกรตติงที่เคล่ือนท่ีไปท่ีฉากสามารถประมาณได้ว่า เป็นแสงขนาน
เม่ือ มีแสงความถ่ีเดียว ความยาวคลื่น λ ผ่านเกรตติงในแนวตั้งฉากดังรูป จะเกิดการเลี้ยวเบน
และแทรกสอดเช่นเดียวกับกรณีสลิตคู่ (ช่องแคบคู่)
ภาพแสดงการเลี้ยวเบนของแสงผ่านเกรตติง
การเลี้ยวเบนของแสงผ่านเกรตติง
พิจารณา จากรูป ถ้าเกรตติงมีระยะห่างระหว่างช่องเท่ากับ d ที่ตาแหน่ง P เป็นตาแหน่งบน
แถบสว่าง ระยะทางจากช่องแต่ละช่องของเกรตติงถึงจุด P จะไม่เท่ากัน ช่องแต่ละช่องจะเป็นเสมือน
แหล่งกาเนิดแสงอาพันธ์ ที่ทาให้คลื่นแสงผ่านออกมามีเฟสตรงกัน การหาตาแหน่งของแถบมืดและ
แถบสว่างใช้หลักการเดียวกันกับการแทรกสอดของสลิต คู่ จึงได้ว่า
ตาแหน่งแถบสว่างใดๆ (A) บนฉาก (แนวกลางเป็นแนวปฏิบัพ A0)
d = nλ
d x/L = nλ
เม่ือ n = 0, 1, 2, 3, ....
ตาแหน่งแถบมืดใดๆ (N) บนฉาก
d = (n-1/2)λ
d x/L = (n-1/2)λ
เม่ือ n = 1, 2, 3, ....
x แทนเป็นระยะจากแถบสว่างตรงกลางถึงจุด P
L แทนระยะห่างจากเกรตติงถึงฉากรับ
λ แทนความยาวของคลื่นแสง
d แทนระยะห่างระหว่างช่องของเกรตติง
การหาระยะระหว่างช่องของเกรตติง (d) เราสามารถหาระยะระหว่างช่องของเกรตติง ได้โดย
ใช้การเทียบอัตราส่วน
เม่ือให้ N แทนจานวนช่องของเกรตติงใน 1 m.
d แทนระยะห่างระหว่างช่องของเกรตติง
ประโยชน์ของเกรตติง
1. ใช้แยกแสงสีต่างๆ ท่ีเคล่ือนท่ีรวมกัน เช่น การหาสเปกตรัมของแสงขาว
2. ใช้หาความยาวคลื่นของแสงสีต่างๆ โดยแสงสีต่างๆ จะมีความยาวคลื่นแตกต่างกัน ทาให้
เกิดการเลี้ยวเบนเมื่อผ่านเกรตติงได้แตกต่างกัน โดยแสงสีม่วงเลี้ยวเบนได้น้อยที่สุด ส่วนแสงสีแดงมี
ความยาวคลื่นมากที่สุดจะเลี้ยวเบนได้มากท่ีสุด
ตารางแสดงความยาวคล่ืนของแสงสีต่างๆ
แสงสี ความยาวคลน่ื (nm)
ม่วง 380-450
น้าเงิน 450-500
เขียว 500-570
เหลอื ง 570-590
แสด 590-610
แดง 610-700
ใบงานที่ 13
1.
ขอบเขตและเป้าหมายของประเดน็ ทีจ่ ะเรยี นรู้ ท่ีนกั เรยี นและครูกาหนดร่วมกัน
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
2. ผลการทดลองเกรตตงิ ตอนที่ 1
ปัญหา……………………………………………………………………………………………….....................................................
สมมติฐาน…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
ตัวแปรตน้ …………………………………………………………………………………………………………………………………………….
ตวั แปรตาม…………………………………………………………………………………………..................................................
ตวั แปรควบคุม………………………………………………………………………………………………………………………………………
วธิ ีทดลอง……………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
ผลการทดลอง
3. แต่ละกลุ่มไดผ้ ลการศกึ ษาเหมอื นกันหรือต่างกันอย่างไร เพราะเหตใุ ด
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
4. แสงสีต่าง ๆ มีความยาวคลน่ื เทา่ ใดบ้าง
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
5. สรุปผลการทดลองเกรตติงตอนที่ 1
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
6. ผลการทดลองเกรตตงิ ตอนท่ี 2
ปัญหา……………………………………………………………………………………………….....................................................
สมมติฐาน…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
ตัวแปรต้น…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
ตวั แปรตาม…………………………………………………………………………………………..................................................
ตัวแปรควบคุม………………………………………………………………………………………………………………………………………
วิธที ดลอง……………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
ผลการทดลอง
7. แต่ละกลุ่มไดผ้ ลการศกึ ษาเหมือนกนั หรือตา่ งกนั อย่างไร เพราะเหตใุ ด
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
8. แสงเลเซอรท์ ใี่ ช้ในการทดลองมคี วามยาวคล่นื เท่าใด
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
9. สรุปผลการทดลองเกรตติงตอนที่ 1
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
10. เงื่อนไขในการเกดิ แถบสวา่ งเป็นอย่างไร
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
11. ฉายแสงเลเซอร์ซึ่งเป็นแสงสีเดียวตกกระทบเกรตติงแบบเลี้ยวเบนในแนวต้ังฉาก เกรตติงมี 5,000 ช่องต่อ
เซนตเิ มตร ทาใหเ้ กดิ แถบสว่างท่ี 1 ทามมุ 18.5 องศากับแนวกลาง แสงเลเซอร์มคี วามยาวคล่นื เทา่ ใด
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
12. ฉายแสงขาวตกกระทบเกรตติงแบบเลี้ยวเบนในแนวตั้งฉาก ถ้าเกรตติงมี 10,000 ช่องต่อเซนติเมตร
แถบสว่างท่ี 1 มีความกว้างโดยคิดเป็นมุมโตกี่องศา กาหนดให้ความยาว คล่ืนของแสงสีแดงเท่ากับ 700 นาโน
เมตร และความยาวคลื่นของแสงสนี ้าเงนิ เท่ากับ 400 นาโน เมตร
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
13. การกระเจิงของแสงเปน็ อย่างไร
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
14. ปรากฎการณเ์ รอื นกระจกเกดิ ได้อย่างไร
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
15. เม่ือให้แสงท่ีเปล่งจากหลอดบรรจุไฮโดรเจนตกกระทบแผ่นเกรตติงเลี้ยวเบนอันหน่ึงในแนวต้ังฉาก เส้น
สเปกตรัมลาดับท่ี 2 ที่เกดิ เน่ืองจากแสงสแี ดงความยาวคล่นื 656 นาโน เมตร ซ้อนทับสเปกตรัมลาดับท่ี 3 ของ
แสงอีกสหี น่ึง แสงสีนนั้ มคี วามยาวคลื่นเทา่ ใด ในหน่วยนาโนเมตร
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………..………………………………………………….
แบบทดสอบกอ่ นเรียน – หลงั เรยี น
เร่ือง แสงเชิงฟิสกิ ส์
1. ขอ้ ใดสรุปไดถ้ กู ต้องเก่ียวกับผลการทดลองการเล้ียวเบนของแสงผ่านช่องเปิดเดี่ยวในน้าเปรียบเทียบกับการ
เลีย้ วเบนของแสงผา่ นช่องเปิดเด่ยี วในอากาศ
ก. แถบสวา่ งกลางมคี วามกว้างเพิม่ ข้นึ ข. สีของแถบสวา่ งบนฉากเปล่ียนแปลงไป
ค. ผลการทดลองทีไ่ ด้เหมอื นกันทุกประการ ง. ระยะห่างระหว่างแถบมดื บนฉากมีค่าลดลง
2. แสงความยาวคล่ืน 500 นาโนเมตร ตกต้ังฉากผ่านช่องเปิดเดี่ยวที่มีความกว้าง 0.01 เซนติเมตร จงหาระยะ
ระหว่างแถบมืดลาดบั ที่ 1 โดยอยสู่ องขา้ งแถบสว่างทีป่ รากฏบนฉากซ่ึงอยหู่ า่ งออกไป 1.5 เมตร
ก. 1.0 × 10-2 เมตร ข. 1.5 × 10-2 เมตร
ค. 2.0 × 10-2 เมตร ง. 2.5 × 10-2 เมตร
3. ใช้แสงความยาวคล่ืน 450 นาโนเมตร ตกต้ังฉากผ่านช่องเปิดเด่ียว ปรากฏว่าแถบมืดแรกบนฉากซึ่งอยู่ห่าง
ออกไป 1 เมตร เบนออกจากแถบสวา่ งกลาง 6 มิลลเิ มตร จงหาวา่ ช่องเปิดเด่ยี วมีความกว้างเท่าใด
ก. 15 ไมโครเมตร ข. 30 ไมโครเมตร
ค. 60 ไมโครเมตร ง. 75 ไมโครเมตร
4. ถ้าภาพการแทรกสอดจากช่องเปิดเด่ียวท่ีปรากฏบนฉาก ดังภาพ โดยฉากอยู่ห่างจากช่องเปิดเดี่ยวเท่ากับ
1.5 เมตร และความกว้างของชอ่ งเปิดเปน็ 0.3 มลิ ลเิ มตร จงหาความยาวคลนื่ ของแสงท่ีใช้
ก. 200 นาโนเมตร ข. 400 นาโนเมตร
ค. 600 นาโนเมตร ง. 800 นาโนเมตร
5. เมื่อให้แสงสีหน่ึงผ่านช่องเปิดเด่ียวท่ีความกว้าง 0.03 มิลลิเมตร ปรากฏว่าแถบมืดแรกที่อยู่สองข้างของ
แถบสว่างกลางอยู่ห่างกัน 20 มิลลิเมตร บนฉากที่อยู่ห่างออกไป 1 เมตร ถ้านาเกรตติงขนาด 1,200 เส้นต่อ
เซนตเิ มตร มาวางแทนทีช่ ่องเปิดเดี่ยว แถบสว่างอันดบั ท่ี 2 จะเบนจากแนวกลางเป็นมมุ เท่าใด
ก. sin-1 0.12 ข. sin-1 0.72
ค. sin-1 0.36 ง. sin-1 0.48
6. ถ้าต้องการให้ร้ิวมืดท่ี 2 ของช่องเปิดเด่ียวตรงกับตาแหน่งมืดท่ี 3 ของการแทรกสอดของแสงผ่านช่องเปิดคู่
ระยะห่างของช่องเปดิ คตู่ อ้ งเป็นกเี่ ทา่ ของความกว้างของชอ่ งเปิดเด่ยี ว
ก. ข. ค. ง.
7. คลื่นแสงมีความยาวคล่ืน 600 นาโนเมตร เคล่ือนที่ผ่านช่องเปิดเดี่ยวมีความกว้าง 1,200 นาโนเมตร พบว่า
แถบมดื แถบหนง่ึ เบนเปน็ มมุ 30 องศากบั แนวกลาง จงหาวา่ แถบมืดน้ีเป็นแถบมืดลาดับที่เท่าไร
ก. ลาดับท่ี 1 ข. ลาดับท่ี 2
ค. ลาดบั ท่ี 3 ง. ลาดับท่ี 4
8. แสงความยาวคลนื่ 500 นาโนเมตร ตกตั้งฉากผ่านชอ่ งเปิดเดีย่ วทีม่ ีความกว้าง a ปรากฏแถบมืดแถบแรกตก
ทม่ี มุ 30 องศากบั แนวกลาง จงหาความกว้างของชอ่ ง a
ก. 500 นาโนเมตร ข. 1,000 นาโนเมตร
ค. 1,500 นาโนเมตร ง. 2,000 นาโนเมตร
9. ขอ้ ความใดกล่าวผดิ เก่ียวกับการแทรกสอดของแสงเมื่อผา่ นชอ่ งเปิดค่แู ละเดยี่ ว
ก. ความเข้มแสงตา่ งกัน
ข. แถบสวา่ งบนฉากเป็นตาแหนง่ ที่คลื่นมเี ฟสตรงกัน
ค. ถา้ ฉากอยไู่ กลออกไปจานวนแถบมืดและแถบสว่างจะมกี ารเปลีย่ นแปลง
ง. ถ้าความกว้างของช่องแคบเด่ียวกับระยะห่างของช่องแคบคู่เพิ่มข้ึน ระยะห่างระหว่างแถบมืดและ
แถบสว่างจะเพิ่มขน้ึ ดว้ ย
10. เม่ือให้แสงความยาวคลื่น 400 นาโนเมตร ผ่านช่องเปิดคู่ที่มีระยะห่าง 200 นาโนเมตร จะเกิดการแทรก
สอดบนฉากที่วางหา่ งออกไป 1 เมตร จงหาระยะของแถบสว่างที่อยูต่ ดิ กนั
ก. 1.0 × 10-3 เมตร ข. 2.0 × 10-3 เมตร
ค. 3.0 × 10-3 เมตร ง. 4.0 × 10-3 เมตร
11. แสงสีเหลืองความยาวคลื่น 550 นาโนเมตร ตกตั้งฉากผ่านช่องเปิดคู่อันหนึ่ง พบว่าบนฉากท่ีห่างออกไป
1.5 เมตร แถบสว่างลาดับที่ 3 และละดบั ที่ 7 อยหู่ ่างกนั 6 มิลลเิ มตร ระยะหา่ งระหวา่ งชอ่ งเปิดคนู่ ี้มคี า่ เทา่ ใด
ก. 500 ไมโครเมตร ข. 550 ไมโครเมตร
ค. 600 ไมโครเมตร ง. 650 ไมโครเมตร
12. ชอ่ งเปิดคทู่ ม่ี ีระยะระหวา่ งชอ่ งเปดิ 0.5 มิลลิเมตร มีฉากอยู่ห่างจากช่องเปิด 1 เมตร ถ้าระยะระหว่างแถบ
มืดท่อี ยูต่ ดิ กันเปน็ 1 มิลลเิ มตร จงหาความยาวคล่นื แสง
ก. 100 นาโนเมตร ข. 500 นาโนเมตร
ค. 1,000 นาโนเมตร ง. 1,500 นาโนเมตร
13. แสงสีเดียวความยาวคล่ืน 600 นาโนเมตร ช่องเปิดคู่มีระยะห่างระหว่างช่องเปิด 0.2 มิลลิเมตร วางห่าง
จากฉากเป็นระยะ 1 เมตร จงหาระยะห่างระหว่างแถบสว่างจากการแทรกสอดที่เกดิ ข้นึ บนฉาก
ก. 2 มิลลิเมตร ข. 3 มลิ ลเิ มตร
ค. 4 มิลลิเมตร ง. 6 มิลลเิ มตร
14. ฉายแสงสองค่าความถ่ีผ่านตั้งฉากกับช่องเปิดคู่ไปยังฉาก ปรากฏว่าแถบสว่างที่สามของแสงซึ่งมีความยาว
คลน่ื 420 นาโนเมตร ซอ้ นอยูก่ บั แถบสวา่ งท่สี องของแสงอกี สหี นง่ึ จงหาวา่ แสงสีนนั้ มคี วามยาวคลืน่ เทา่ ไร
ก. 280 นาโนเมตร ข. 360 นาโนเมตร
ค. 560 นาโนเมตร ง. 630 นาโนเมตร
15. เมื่อฉายแสงสีหนึ่งจากช่องเปิดคู่ไปยังฉาก พบแสงเสริมกันคร้ังแรกเบนจากแนวกลางทามุม 30 องศา ถ้า
เปล่ียนช่องเปิดโดยช่องเปิดคู่อันท่ีสองมีระยะห่างระหว่างช่องเป็น 2 เท่าของช่องเปิดคู่อันแรกแล้วแสงสีน้ีจะ
เสรมิ กันอกี เป็นครั้งทีส่ องโดยเบนจากแนวกลางทามุมเทา่ ใด
ก. 15 องศา ข. 30 องศา
ค. 45 องศา ง. 60 องศา
16. เมื่อแสงสีเดียวผ่านตั้งฉากกับช่องเปิดคู่อันหน่ึง ความเข้มสูงสุดครั้งที่สองเบนจากแนวกลางบนฉากเป็น
ระยะ 6 เซนติเมตร ถ้านาช่องเปิดคู่ที่มีระยะห่างของช่องเป็นครึ่งหน่ึงของช่องเปิดคู่อันเดิม จงหาว่าความเข้ม
สงู สดุ คร้งั ที่สามจะเบนจากแนวกลางบนฉากเป็นระยะเท่าใด
ก. 4 เซนติเมตร ข. 6 เซนติเมตร
ค. 12 เซนตเิ มตร ง. 18 เซนตเิ มตร
17. หากทาการทดลองของยงั โดยใชแ้ สงทม่ี ีความยาวคล่นื 650 นาโนเมตร และระยะห่างระหว่างช่องเปิดคู่กับ
ฉากเปน็ 2.0 เมตร เม่ือทาการวัดระยะหา่ งของแถบสวา่ งจากแนวกลางบนฉาก ได้ผลดังภาพ จงหาว่าช่องเปิดคู่
ทีม่ ีระยะห่างช่องเป็นกี่มิลลิเมตร
ก. 0.26 มิลลเิ มตร ข. 0.37 มิลลเิ มตร
ค. 0.46 มิลลเิ มตร ง. 0.52 มิลลิเมตร
18. ในการศึกษาการเลี้ยวเบนโดยใช้แหล่งกาเนิดแสงส่องผ่านเกรตติงขนาด 10,000 เส้นต่อเซนติเมตร พบว่า
แถบสว่างแรกทามุม 20 องศากับแนวกลาง จงหาความยาวคล่ืนของแหล่งกาเนิดแสง (กาหนดให้ sin 20o =
0.342)
ก. 234 นาโนเมตร ข. 243 นาโนเมตร
ค. 342 นาโนเมตร ง. 432 นาโนเมตร
19. แหล่งกาเนิดแสงแหลง่ ทห่ี น่ึง มคี วามยาวคลนื่ 500 นาโนเมตร ตกกระทบเกรตติงในแนวตั้งฉาก พบว่าเส้น
สเปกตรัมลาดับแรกเบนจากแนวกลางไป 30 องศา เม่ือทดลองด้วยแหล่งกาเนิดแสงแหล่งที่สอง พบว่าเส้น
สเปกตรัมลาดับแรกเบนจากเส้นแนวกลาง 45 องศา จงหาว่าแหล่งกาเนิดแสงแหล่งท่ีสองมีความยาวคล่ืน
เทา่ ใด
ก. 707 นาโนเมตร ข. 777 นาโนเมตร
ค. 866 นาโนเมตร ง. 952 นาโนเมตร
20. ในการทดลองหาความยาวคลืน่ แสง เมอื ใช้แสงสีเดียวส่องผา่ นเกรตตงิ จะสังเกตเห็นแถบสว่างลาดับท่ี 1 ณ
ตาแหน่ง 10 เซนติเมตร และ 90 เซนติเมตร บนไม้เมตรที่หางจากเกรตติงเป็นระยะ 1 เมตร ถ้าเกรตติงท่ีใช้มี
จานวน 104 ชอ่ งต่อความยาว 1 เซนติเมตร จงหาความยาวคล่ืนแสง
ก. 400 นาโนเมตร ข. 450 นาโนเมตร
ค. 500 นาโนเมตร ง. 550 นาโนเมตร
เฉลย
เร่อื ง แสงเชงิ ฟสิ ิกส์
1. ง 11. ข
2. ข 12. ข
3. ง 13. ข
4. ข 14. ง
5. ข 15. ข
6. ง 16. ง
7. ก 17. ก
8. ข 18. ค
9. ง 19. ก
10. ข 20. ก
แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการปฏิบัตงิ านที่มอบหมาย
ที่ ช่อื -สกลุ พฤติกรรมการปฏบิ ตั ิงาน รวม
1 สนใจ มสี ว่ นร่วม ตรงเวลา ถูกต้อง (20 คะแนน)
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
เกณฑ์การให้คะแนน ให้ 5 คะแนน
1) นกั เรียนมีพฤตกิ รรมการปฏบิ ตั งิ านที่มอบหมายอย่างสมา่ เสมอ ให้ 4 คะแนน
2) นักเรยี นมีพฤติกรรมการปฏบิ ัตงิ านทม่ี อบหมายบอ่ ยคร้งั ให้ 3 คะแนน
3) นักเรยี นมพี ฤติกรรมการปฏิบตั งิ านทมี่ อบหมายบางครง้ั ให้ 2 คะแนน
4) นกั เรยี นมพี ฤติกรรมการปฏิบตั งิ านทมี่ อบหมายนอ้ ยคร้ัง ให้ 1 คะแนน
5) นักเรยี นมพี ฤตกิ รรมการปฏบิ ัตงิ านทม่ี อบหมายนอ้ ยครง้ั
การประเมนิ คุณภาพของการปฏบิ ตั งิ าน ผลการประเมนิ
ช่วงคะแนน ดีมาก
18-20 ดี
14-17 พอใช้
10-13 ปรบั ปรุง
ตา่ กว่า 10
แบบสังเกตพฤตกิ รรมในการปฏบิ ตั ิงานกล่มุ
ชื่อสมาชกิ ในกลุ่มท.่ี .............................
1……………………………………………. 2…………………………………………….
3……………………………………………. 4…………………………………………….
5……………………………………………. 6…………………………………………….
รายการท่ีประเมนิ คะแนนทไ่ี ดจ้ ากการประพฤติ รวม
12345 (20 คะแนน)
วธิ ดี าเนินการทดลอง
การปฏบิ ัติการทดลอง
ความคลอ่ งแคลว่ ในขณะปฏบิ ัติงาน
การนาเสนอ
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
รายการท่ปี ระเมนิ ผลการประเมิน คะแนน
1
1. วธิ ดี าเนินการทดลอง - ดาเนินการน้อยมากหรอื ไม่มี
2
- ต้องให้ความช่วยเหลืออย่างมากในการกาหนด วิธีการ ขั้น ตอน และการใช้
3
เครอ่ื งมอื
4
- กาหนดวธิ กี ารและขน้ั ตอนไมถ่ กู ตอ้ ง ต้องให้ความชว่ ยเหลอื
5
- กาหนดวิธีการและขั้นตอนถูกต้อง การใช้เครื่องมือและวัสดุอุปกรณ์ยังไม่ 1
2
เหมาะสม 3
4
- กาหนดวิธีการถกู ต้อง เลือกใช้เครื่องมอื และวัสดอุ ุปกรณ์ตา่ งๆไดอ้ ยา่ งถูกต้อง 5
1
2. การปฏิบตั ิการทดลอง - ปฏิบัตนิ อ้ ยมากหรอื ไมม่ ี 2
- ตอ้ งใหค้ วามช่วยเหลืออย่างมากในการดาเนนิ การทดลองและการใช้อุปกรณ์ 3
- ตอ้ งให้การช่วยเหลอื ในการดาเนินการทดลองและการใชอ้ ุปกรณ์ 4
- ดาเนนิ การทดลองเป็นข้นั ตอน และใชอ้ ุปกรณ์ไดอ้ ย่างถกู ตอ้ งถ้าใหค้ าแนะนา
- ดาเนินการทดลองเป็นขัน้ ตอน และใชอ้ ปุ กรณต์ า่ งๆไดอ้ ย่างเหมาะสม
3. ความคล่องแคล่วใน - ปฏบิ ัตินอ้ ยมากหรอื ไม่มี
ขณะปฏบิ ตั งิ าน - ทาการทดลองไม่ทันเวลาทีก่ าหนด และทาอุปกรณเ์ ครื่องใชแ้ ตกหักเสยี หาย
- ทาการทดลองไมท่ นั ท่เี วลากาหนด เน่ืองจากขาดความคล่อง แคล่วในการใช้
อปุ กรณ์
- มคี วามคล่องแคล่วในการทดลอง และการใช้อุปกรณ์ แต่ต้องช้ีแนะเรื่องการ
ใช้อุปกรณ์อย่างปลอดภัย
4. การนาเสนอ - มีความคล่องแคล่วในการทดลอง และการใช้อุปกรณ์ ดาเนิน การทดลองได้ 5
อยา่ งปลอดภยั เสรจ็ ทันเวลา 1
2
- นาเสนอนอ้ ยมากหรอื ไมม่ ี
3
- ต้องใหค้ วามชว่ ยเหลอื อยา่ งมากในการบนั ทกึ ผลการทดลอง สรุปผล และการ
นาเสนอ 4
5
- ต้องใหค้ าชแ้ี นะในการบันทกึ ผลการทดลอง การสรุปการทดลอง และการนา
เสนอจงึ ปฏิบัติได้
- บนั ทกึ ผลการทดลองและสรุปผลการทดลองอย่างถูกต้อง แต่การนาเสนอยัง
ไม่เป็นขั้นตอน
- บันทึกผลการทดลองและสรุปผลการทดลองอย่างถูกต้อง รัดกุม บันทึกการ
รายการทปี่ ระเมิน ผลการประเมนิ คะแนน
นาเสนอเป็นข้ันเป็นตอนชดั เจน
การประเมนิ คณุ ภาพของการปฏิบตั ิงาน ผลการประเมิน
ช่วงคะแนน ดมี าก
18-20 ดี
14-17 พอใช้
10-13 ปรบั ปรงุ
ตา่ กว่า 10
แบบบันทึกผลการทาแบบทดสอบประจาหนว่ ยการเรียนรู้
ที่ ชอ่ื -สกุล คะแนนการทาแบบทดสอบ (10 คะแนน)
1 กอ่ นเรยี น หลงั เรียน สอบซอ่ มเสรมิ
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
วธิ ีการประเมนิ วัดผลและประเมนิ ผล
นักเรียนแต่ละคนจะต้องทาแบบทดสอบหลังเรียนให้ผ่านเกณฑ์ 80% หากไม่ผ่านเกณฑ์ให้นักเรียนกลับไปทบทวน
เนื้อหาเดิมอีกคร้ังหน่ึง แล้วจึงทาแบบทดสอบหลังเรียนซ้าอีกจนกว่าจะผ่านเกณฑ์เพ่ือแก้ไขคะแนนให้เป็นไปตามเกณฑ์ท่ี
กาหนดไว้ (สอบซ่อมเสริม)