-1- โครงงาน การเปรียบเทียบผลของสารเคลือบผิวจากเมล็ดแมงลัก ใบย่านาง แก้วมังกรและ กระเจี๊ยบเขียว ต่อคุณภาพของมะม่วงน้ำดอกไม้ โรงเรียนจอมสุรางค์อุปถัมภ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา คณะผู้จัดทำโครงงาน 1. นางสาวญาณิศา นรานุต 2. นางสาววริษฐา สัญญานุวัฒน์ รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงงานสาขาวิชาชีววิทยา การนำเสนอโครงงานของนักเรียนจากโรงเรียนในโครงการห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม เครือข่ายภาคกลางตอนบน ประจำปีการศึกษา 2566
-2- โครงงาน การเปรียบเทียบผลของสารเคลือบผิวจากเมล็ดแมงลัก ใบย่านาง แก้วมังกรและ กระเจี๊ยบเขียว ต่อคุณภาพของมะม่วงน้ำดอกไม้ โรงเรียนจอมสุรางค์อุปถัมภ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา คณะผู้จัดทำโครงงาน 1. นางสาวญาณิศา นรานุต 2. นางสาววริษฐา สัญญานุวัฒน์ อาจารย์ที่ปรึกษา 1. นายสัจจาพร ภู่ประดิษฐ์ 2. นางสาวมนัสนันท์ สังข์บุญชู รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงงานสาขาวิชาชีววิทยา การนำเสนอโครงงานของนักเรียนจากโรงเรียนในโครงการห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม เครือข่ายภาคกลางตอนบน ประจำปีการศึกษา 2566
-กบทคัดย่อ โครงงานนี้มีจุดประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาชนิดของสารเคลือบผิวที่เหมาะสมในการคงสภาพของ มะม่วงน้ำดอกไม้ หลังการเก็บผลผลิต โดยการเคลือบผิวผลมะม่วงน้ำดอกไม้ด้วยสารเคลือบผิวจากเมล็ด แมงลัก ใบย่านาง แก้วมังกร กระเจี๊ยบเขียว ซึ่งเป็นสารเคลือบผิวที่มีส่วนประกอบของมิวซิเลจและกัม และไม่ เคลือบผิว แล้วเก็บรักษาไว้ที่อุณหภูมิห้อง (25 องศาเซลเซียส) นาน 7 วัน จากผลการทดลองพบว่า ผลมะม่วง น้ำดอกไม้ที่เคลือบผิวด้วยสารเคลือบผิวจากเมล็ดแมงลัก มีลักษณะปรากฏ ค่าสีผิว ค่าการสูญเสียน้ำหนัก ปริมาณวิตามินซี และของแข็งทั้งหมดที่ละลายน้ำได้ดีที่สุด ตามด้วยสารเคลือบผิวจากแก้วมังกร กระเจี๊ยบ เขียว ใบย่านาง และไม่เคลือบผิว ตามลำดับและมีแนวโน้มว่าการเคลือบผิวด้วยสารเคลือบผิวที่มีส่วนประกอบ ของมิวซิเลจและกัมสามารถลดการเข้าทำลายของเชื้อราได้ดีกว่าการที่ไม่เคลือบผิว 2) เพื่อเปรียบเทียบความ เข้มข้นของสารเคลือบผิวที่เหมาะสมในการคงสภาพของมะม่วงน้ำดอกไม้หลังการเก็บ ผลของสารเคลือบผิว จากเมล็ดแมงลักที่มีความเข้มข้น 1:10 (w/v) 1:20 (w/v) และ 1:30(w/v) ต่อคุณภาพของมะม่วงน้ำดอกไม้ โดยการเคลือบผิวผลมะม่วงน้ำดอกไม้ด้วยสารเคลือบผิวจากเมล็ดแมงลัก ที่มีความเข้มข้น 1:10 (w/v) 1:20 (w/v) 1:30(w/v) ซึ่งเป็นสารเคลือบผิวที่มีส่วนประกอบของมิวซิเลจและกัม และไม่เคลือบผิว แล้วเก็บรักษา ไว้ที่อุณหภูมิห้อง (25 องศาเซลเซียส) นาน 7 วัน จากผลการทดลองพบว่าสารเคลือบผิวจากเมล็ดแมงลักที่มี ความเข้มข้น 1:10 (w/v) มีลักษณะปรากฏ ค่าสีผิว ค่าการสูญเสียน้ำหนัก ปริมาณวิตามินซี และของแข็ง ทั้งหมดที่ละลายน้ำได้ดีที่สุด ตามด้วยสารเคลือบผิวจากเมล็ดแมงลักที่มีความเข้มข้น 1:10 (w/v) 1:20 (w/v) และไม่เคลือบผิว ตามลำดับ ไม่พบการเข้าทำลายของเชื้อรา
-ขกิตติกรรมประกาศ โครงงานเรื่อง "การเปรียบเทียบผลของสารเคลือบผิวจากเมล็ดแมงลัก ใบย่านาง แก้วมังกรและ กระเจี๊ยบเขียว ต่อคุณภาพของมะม่วงน้ำดอกไม้" ฉบับนี้ สำเร็จลุล่วงลงได้ด้วยความกรุณาอย่างยิ่งจาก อาจารย์ สัจจาพร ภู่ประดิษฐ์ ที่ได้เสียสละเวลาอันมีค่าในการให้คำปรึกษา คำแนะนำ เสนอแนวคิด ให้ ความรู้อันเป็นประโยชน์ต่อโครงงานนี้ และยังเอาใจใส่ในทุกๆรายละเอียดทุกๆขั้นตอนของโครงงาน ตรวจสอบ แก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ เพื่อให้โครงงานสมบูรณ์ยิ่งขึ้น พร้อมทั้งยังช่วยพัฒนาการทำงาน ของคณะผู้จัดทำให้ เป็นไปอย่างมีคุณภาพ ทำให้ผู้วิจัยได้รับประสบการณ์ในการทำโครงงานครั้งนี้ รวมทั้งคณาจารย์ ทุกท่านที่ได้ ถ่ายทอดความรู้ให้แก่คณะผู้จัดทำ คอยให้กำลังใจ จนงานโครงงานนี้สำเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์ คณะผู้จัดทำ รู้สึกซาบซึ้งถึงความกรุณาดังกล่าว และ ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ ณ โอกาสนี้ ขอขอบพระคุณ อาจารย์มนัสนันท์ สังข์บุญชู และอาจารย์ดำรงศักดิ์ เพชรงามที่กรุณาให้ความรู้ คำแนะนำ พร้อมทั้งข้อคิดที่เป็นประโยชน์ และเป็นผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบแก้ไขเครื่องมือที่ใช้ในโครงงานครั้งนี้ ท้ายที่สุดของความสำเร็จในครั้งนี้คณะผู้จัดทำขอขอบพระคุณทุกท่านที่มีส่วนร่วมในงานวิจัยจนสำเร็จ ไปได้ด้วยดี ทั้งบุคคลที่ได้กล่าวมาและยังไม่ได้กล่าวถึง ขอขอบพระคุณ บิดา มารดาที่ให้ชีวิตและสติปัญญา ขอ ขอบใจเพื่อน ๆ ทุกคนที่คอยให้กำลังใจและความช่วยเหลือทุกอย่าง คุณค่าที่เกิดขึ้นจากการศึกษาโครงงานใน ครั้งนี้ ขอมอบคุณค่านั้นแด่บิดา มารดา ตลอดจนสมาชิกในครอบครัวทุกคน ที่ให้การสนับสนุน ให้ความ ช่วยเหลือ ความห่วงใย และให้กำลังใจแก่คณะผู้จัดทำมาตลอด หากมีสิ่งใดบกพร่องคณะผู้จัดทำขอน้อมรับไว้ และขออภัยไว้ ณ โอกาสนี้ คณะผู้จัดทำ
-คสารบัญ หน้า บทคัดย่อ ก กิตติกรรมประกาศ ข สารบัญ ค สารบัญตาราง จ บทที่ 1 บทนำ 1 1.1 ที่มาและความสำคัญ 1 1.2 วัตถุประสงค์ของโครงงาน 1 1.3 สมมติฐานของโครงงาน 1 1.4 ขอบเขตของโครงงาน 2 1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ 2 บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง 3 2.1 กัมและมิวซิเลจ 3 2.2 เมล็ดแมงลัก 4 2.3 ใบย่านาง 4 2.4 แก้วมังกร 5 2.5 กระเจี๊ยบเขียว 5 2.6 มะม่วงน้ำดอกไม้ 5 บทที่ 3 วิธีการดำเนินการ 6 3.1 วัตถุดิบที่ใช้ในการทดลอง 6 3.2 เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการทดลอง 6 3.3 สารเคมีและวิธีการเตรียมสารเคมี 6 3.4 วิธีการดำเนินการทดลอง 7 บทที่ 4 ผลการทดลอง 10 4.1 การทดลอง1 การศึกษาชนิดของสารเคลือบผิวที่เหมาะสมในการคงสภาพของมะม่วง 10 น้ำดอกไม้ หลังการเก็บผลผลิต 4.2 การทดลอง 2 การเปรียบเทียบความเข้มข้นของสารสกัดมิวซิเลจที่เหมาะสมใน 12 การคงสภาพ ของมะม่วงน้ำดอกไม้ หลังการเก็บผลผลิต
- ง - สารบัญ (ต่อ) หน้า บทที่ 5 สรุป อภิปราย และข้อเสนอแนะ 15 5.1 สรุปผลการศึกษา 15 5.2 อภิปรายผลการศึกษา 15 ข้อเสนอแนะ 21 บรรณานุกรม 22 ภาคผนวก 23
- จ - สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า1 แสดงการสูญเสียน้ำหนัก ปริมาณของแข็งทั้งหมดที่ละลายน้ำได้ 11 และปริมาณวิตามินซีของมะม่วงน้ำดอกไม้ที่ไม่ได้เคลือบผิว เคลือบผิวด้วยสารสกัดจากเมล็ดแมงลัก ใบย่านาง แก้วมังกร และกระเจี๊ยบเขียวแล้วเก็บรักษาไว้ที่อุณหภูมิห้อง นาน 7 วัน 2 แสดงการเข้าทำลายของเชื้อรา ลักษณะปรากฏ และค่า L* สีผิว 12 ของมะม่วงน้ำดอกไม้ที่ไม่ได้เคลือบผิว เคลือบผิวด้วยสารสกัดจาก เมล็ดแมงลัก ใบย่านาง แก้วมังกรและกระเจี๊ยบเขียว แล้วเก็บ รักษาไว้ที่อุณหภูมิห้อง นาน 7 วัน3 แสดงการสูญเสียน้ำหนัก ปริมาณของแข็งทั้งหมดที่ละลายน้ำได้ 14 และปริมาณวิตามินซีของมะม่วงน้ำดอกไม้ที่ไม่เคลือบผิว และเคลือบผิวด้วยด้วยสารสกัดมิวซิเลจความเข้มข้นต่างๆ แล้วเก็บรักษาไว้ที่อุณหภูมิห้อง นาน 7 วัน4 การเข้าทำลายของเชื้อรา ลักษณะปรากฏ และค่า L* สีผิว 14 ของมะม่วงน้ำดอกไม้ที่ไม่เคลือบผิว และเคลือบผิวด้วยด้วย สารสกัดมิวซิเลจความเข้มข้นต่างๆ แล้วเก็บรักษาไว้ที่อุณหภูมิห้อง นาน 7 วัน
-1- บทที่ 1 บทนำ ที่มาและความสำคัญ มะม่วงน้ำดอกไม้จัดเป็นพืชที่มีความสำคัญในประเทศไทย เป็นที่นิยมบริโภคกันทั่วไปปัจจุบันผลผลิต มะม่วงน้ำดอกไม้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การจัดการหลังการเก็บเกี่ยวมะม่วงน้ำดอกไม้มีปัญหาเกิดขึ้นหลาย ประการ ทั้งนี้เพราะมะม่วงน้ำดอกไม้ เป็นผลไม้ที่เน่าเสียได้ง่าย เมื่อเปรียบเทียบกับผลไม้ชนิดอื่น เนื่องจากมี ลักษณะผลนิ่ม ผิวบาง ง่ายต่อการชอกช้ำเสียหายทั้งในขณะที่เก็บเกี่ยว และระหว่างการขนส่ง รวมทั้งยังมี อัตราการหายใจสูงจึงทำให้ผลงอมอย่างรวดเร็ว รวมทั้งการเคลือบผิวผลิตผลด้วยสารที่บริโภคได้สามารถช่วย ลดการสูญเสีย ช่วยยืดอายุการเก็บรักษาของผลิตผลให้นานขึ้น มีรายงานผลการวิจัยหลายเรื่องที่แสดงให้เห็น ว่าสารเคลือบผิวที่มีส่วนประกอบของกัมและมิวซิเลจมีประสิทธิภาพในการคงสภาพของมะม่วงน้ำดอกไม้ได้ โดยมีการนำสารเคลือบผิวที่มีส่วนประกอบของมิวซิเลจมาเคลือบผิวผลิตผลทางพืชสวนเพื่อยืดอายุการเก็บ รักษาและควบคุมการเน่าเสียหลายชนิด เนื่องจากมะม่วงน้ำดอกไม้ซึ่งเป็นพืชที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ ชนิดหนึ่งของประเทศไทยในปัจจุบัน มักจะมีปัญหาสำคัญ คือ มีอายุการเก็บรักษาสั้นและเน่าเสียได้ง่าย จึง นำมาสู่การศึกษาในครั้งนี้ เพื่อหาวิธียืดอายุการเก็บรักษา โดยคาดว่าการเคลือบผิวมะม่วงน้ำดอกไม้ด้วยสาร เคลือบผิวจากเมล็ดแมงลัก ใบย่านางแก้วมังกรและกระเจี๊ยบเขียว น่าจะมีประสิทธิภาพในการยืดอายุการเก็บ รักษาและลดการเข้าทำลายของเชื้อราในมะม่วงน้ำดอกไม้ลงได้ วัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาชนิดของสารเคลือบผิวที่เหมาะสมในการคงสภาพของมะม่วงน้ำดอกไม้ หลังการเก็บผลผลิต 2) เพื่อเปรียบเทียบความเข้มข้นของสารเคลือบผิวที่เหมาะสมในการคงสภาพของมะม่วงน้ำดอกไม้ หลังการ เก็บผลผลิต สมมติฐาน 1) ถ้าชนิดของสารเคลือบผิวมีผลต่อการคงสภาพของมะม่วงน้ำดอกไม้ หลังการเก็บผลผลิต ดังนั้น สารเคลือบ ผิวที่ได้จากเมล็ดแมงลักจะสามารถคงสภาพของมะม่วงน้ำดอกไม้ได้ดีกว่าสารเคลือบผิวที่ได้จากใบย่านาง แก้ว มังกร และกระเจี๊ยบเขียวตามลำดับ 2) ถ้าความเข้มข้นของสารเคลือบผิวมีผลต่อการคงสภาพของมะม่วงน้ำดอกไม้ หลังการเก็บผลผลิต ดังนั้น สาร เคลือบผิวที่มีความเข้มข้น 1:10 (w/v) จะสามารถคงสภาพของมะม่วงน้ำดอกไม้ ได้ดีกว่าสารเคลือบผิวที่มี ความเข้มข้น 1:20 (w/v) และ 1:30(w/v) ตามลำดับ
-2- ขอบเขตของการศึกษาค้นคว้า ตัวแปรที่ศึกษา การทดลองที่ 1 การศึกษาชนิดของสารเคลือบผิวที่เหมาะสมในการคงสภาพของมะม่วง น้ำดอกไม้ หลังการเก็บผลผลิต ตัวเเปรต้น คือ ชนิดของสารเคลือบผิว 1)สกัดสารเคลือบผิวจากเมล็ดแมงลัก 2) สกัดสารเคลือบผิวจากใบย่านาง 3)สกัดสารเคลือบผิวจากแก้วมังกร 4) สกัดสารเคลือบผิวจากกระเจี๊ยบเขียว ตัวเเปรตาม คือ การยืดอายุการเก็บรักษามะม่วงน้ำดอกไม้ ตัวเเปรควบคุม คือ ขนาดและน้ำหนักของมะม่วงน้ำดอกไม้ อายุของมะม่วง น้ำดอกไม้หลังการเก็บผลผลิตเวลาที่ใช้ในการเคลือบสารเคลือบผิว สภาพแวดล้อมในการ ทดลอง การทดลองที่ 2 การเปรียบเทียบความเข้มข้นของสารเคลือบผิวที่เหมาะสมในการคงสภาพ ของมะม่วงน้ำดอกไม้ หลังการเก็บผลผลิต ตัวเเปรต้น คือ ความเข้มข้นของสารเคลือบผิว 1) สารเคลือบผิวที่มีประสิทธิภาพ สูงสุดในตอนที่ 1 อัตราส่วน 1:10 (w/v) 2) สารเคลือบผิวที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในตอนที่ 1 อัตราส่วน 1:20 (w/v) 3) สารเคลือบผิวที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในตอนที่ 1 อัตราส่วน 1:30 (w/v) ตัวเเปรตาม คือ การยืดอายุการเก็บรักษามะม่วงน้ำดอกไม้ ตัวเเปรควบคุม คือ ขนาดและน้ำหนักของมะม่วงน้ำดอกไม้ อายุของมะม่วง น้ำดอกไม้หลังการเก็บผลผลิตเวลาที่ใช้ในการเคลือบสารเคลือบผิว สภาพแวดล้อมในการ ทดลอง ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษา ระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ.2565 ถึงเดือนเมษายน พ.ศ.2566 นิยามศัพท์เฉพาะ 1. การคงสภาพของมะม่วงน้ำดอกไม้ หมายถึง การรักษาคุณภาพของมะม่วงน้ำดอกไม้ สามารถวัดได้ จากปริมาณของแข็งที่ละลายน้ำได้ทั้งหมด (Total Soluble Solids: TSS) ปริมาณวิตามินซี ค่าสีผิว ของผล การสูญเสียน้ำหนักของมะม่วงน้ำดอกไม้ การเข้าทำลายของเชื้อรา และลักษณะปรากฏ
-3- บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง 1.กัมและมิวซิเลจ กัมและมิวซิเลจ เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เป็นไฮโดรคอลลอยด์ที่พบส่วนใหญ่ในพืชมีโครงสร้างทางเคมีที่ คล้ายคลึงกัน แต่มีสมบัติทางกายภาพแตกต่างกันโมเลกุลมีความโปร่งแสง และเป็นโพลิเมอร์ของน้ำตาล โมเลกุลเดี่ยวชนิดเดียวหรือหลายชนิดซึ่งจับกับส่วนของกรดยูโรนิก ทั้งกัมและมิวซิเลจไม่มีโครงสร้างทางเคมีที่ แน่นอน เป็นโมเลกุลที่ชอบน้ำ ซึ่งสามารถรวมตัวกับน้ำได้สารละลายที่มีความขันหนืดหรือเจลกัมเป็นสิ่งที่พืช สร้างขึ้น เมื่อเซลล์เกิดบาดแผลหรือในสภาวะที่ไม่เหมาะสม เช่น สภาวะแห้งแล้ง โดยถูกสร้างออกมาตามรอย แตกของผนังเซลล์ ในขณะที่มิวซิเลจ ถูกสร้างขึ้นจากกระบวนการเมทาบอลิซึม ภายในเซลล์และถูกเก็บภายใน ชั้นผนังเซลล์ ซึ่งพบว่าอาจมีส่วนช่วยในการเก็บน้ำ ทำหน้าที่เป็นสารเพิ่มความเหนียวของผนังเซลล์ 1.1 แหล่งของของกัมและมิวซิเลจ กัมและมิวซิเลจ พบได้จากหลากหลายแหล่งไม่ว่าจะเป็น พืช สัตว์ สาหร่าย เชื้อรา และ จุลินทรีย์บางชนิด พืชเป็นแหล่งของกัมและมิวซิเลจที่ใหญ่ที่สุดซึ่งสามารถพบในพืชเกือบทุกประเภทและทุก ส่วนของพืช ตัวอย่างของกัมจากเมล็ดของพืชบางชนิด เช่นโลคัสบีนกัม (locust bean gum) ทารากัม (tara gum)และกัวร์กัม (guar gum) ซึ่งเป็นสารกลุ่มกาแลคโตแมนแนน มีโครงสร้างหลักเป็นโพลิเมอร์สายยาวของ แมนโนสที่ต่อกันด้วยพันธะ 1,4 และมีกิ่งแขนงของกาแลคโตสต่อกันด้วยพันธะ 1,6 อัตราส่วนของแมนโนสต่อ กาแลโตส เป็น 4:1, 3:1 และ 2:1 ตามลำดับ (Figure 1a) กัมในกลุ่มนี้ใช้เป็นสารให้ความข้นหนืดและสารทำ ให้เกิดเจลในอุตสาหกรรมอาหาร ปรับปรุงลักษณะเนื้อสัมผัสของอาหาร และช่วยในการป้องกันการเกิดซินเนอ รีซิสได้ การใช้งานจะแตกต่างกันขึ้นกับชนิดของกัม ส่วนกัมจากเปลือกของผักและผลไม้บางชนิด ได้แก่ เพคติน (pectin) ซึ่งเป็นเฮเทอโรโพลี แซคคาไรด์ ประกอบด้วยโพลิเมอร์ของกรดกาแลคทูโรนิก (D-galacturonic acid) และมีกิ่งแขนงอาจเป็นกา แลคโตส อะราบิโนส และแรมโนส และบางส่วนของหมู่คาร์บอกซิล (-COOH) ของกรดกาแลคทูโรนิกจะถูกเอ สเทอริไฟด์ด้วยหมู่เมทธิล (-CH3) เป็นเมทธิลเอสเทอร์(Figure 1c) เพคตินทำหน้าที่หลักเป็นสารทำให้เกิดเจล ในอาหาร และยังช่วยให้ความคงตัวและให้ความข้นหนืดในอาหาร ส่วนต่างๆ ของพืชที่ให้มิวซิเลจ ได้แก่ ส่วนผนังเซลล์ของเมล็ดพืชบางชนิด เช่น เมล็ดป่าน (linseed) เมล็ดมัสตาสด์ (mustard seed) และเมล็ดเทียน เกล็ดหอย (psylium) ส่วนเอนโดสเปิร์ม (endosperm) ของเมล็ดมะขาม ส่วนผิวเซลล์ชั้นนอกของใบมะขามแขก (senna leaf) ส่วนรากของมาร์ชแมล โลว์ (marsh mallow) ส่วนเปลือกไม้ของต้นสลิปเปอร์รีล์ม (slipperyelm) และต้นอบเชย (cinnamon) เป็น ต้น โครงสร้างของมิวซิเลจจัดเป็นเฮเทอโรโพลีแชคคาไรด์ที่มีโครงสร้างซับซ้อน และคล้ายคลึงกับกัมที่ได้จาก
-4- ยางไม้ ซึ่งเป็นโพลิเมอร์ของน้ำตาลกรดในกลุ่มของกาแลดทูโรนิกและกลูคูโรนิก และมีกิ่งแขนงเป็นน้ำตาลโมโน แชคคาไรด์หลายชนิด 2. การประยุกต์ใช้กัมและมิวซิเลจ 2.1 การประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร หน้าที่ของกัมและมิวซิเลจแต่ละชนิดในอุตสาหกรรมอาหาร ตัวอย่างเช่น กัวร์กัมใช้เป็นสารให้ความ ข้นหนืดและให้ความคงตัวในผลิตภัณฑ์น้ำสลัดชและซอสกัมอะราบิก กัมทรากาแคนต์ เพคตินอัลจิเนต และ แซนแทนกัม ใช้ในผลิตภัณฑ์ลูกกวาด และขนมหวาน และผลิตภัณฑ์ซอส นอกจากนี้พบว่ามีการนำมิวซิเล จจากเมล็ดแมงลักมาใช้เป็นสารเพิ่มความข้นหนืด และความคงตัวของอิมัลชัน ในผลิตภัณฑ์ซอสพริกและมา ยองเนส รวมถึงใช้เป็นสารให้ความคงตัวในผลิตภัณฑ์ไอศกรีม และน้ำจิ้ม 2.2 การประยุกต์ทางด้านเภสัชกรรม ปัจจุบันกัมและมิวซิเลจถูกเลือกใช้สำหรับเป็นตัวช่วยทางด้านเภสัชกรรม ได้แก่ โดยสามารถใช้เป็นยา ระบาย และใช้เป็นส่วนผสมสำหรับการทำทันตกรรม ตัวอย่างของการใช้กัมและมิวซิเลจในอุตสาหกรรมยา ได้แก่ การใช้ในยาที่บรรเทาอาการระคายเคือง สำหรับลดอาการไอ เป็นสารที่ทำให้ชุ่มคอเป็นสารยึดเกาะยา เม็ด เป็นสารช่วยการแตกกระจายตัว อิมัลซิไฟเออร์ สารช่วยแขวนตะกอน สารที่ทำให้เกิดเจล สารเพิ่มความ คงตัว สารเพิ่มความหนืด เป็นสารทำให้เกิดฟิล์มในการผลิตแผ่นฟิล์มสำหรับการให้ยาผ่านผิวหนังและ แผ่นฟิล์มสำหรับรักษาโรคปริทันต์ ใช้เป็นสารช่วยในการปลดปล่อยยาในยาเม็ดมาทริกซ์ และยาอมกระพุ้งแก้ม และสารเคลือบผิวในไมโครแคปซูล รวมไปถึงการใช้นำส่งโปรตีน 2.เมล็ดแมงลัก แมงลัก (Ocimum canum Sims) มีลักษณะทรงต้นใบดอกและผลคล้ายโหระพาต่างกันที่กลิ่นเป็นพืชสมุนไพรที่พบได้ ทั่วไปในประเทศไทยสามารถนำมาเป็นอาหารได้ทั้งลำต้นใบและเมล็ตในเมล็ดมีส่วนที่เป็นมิวซิเลจหรือสารเมือกซึ่งสามารถ พองตัวในน้ำได้หลายเท่าเมล็ดแมงลักที่พองน้ำแล้วสามารถนำมารับประทานเพื่อช่วยให้ระบบการขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้นสำหรับ ประโยชน์ด้านอื่น ๆ ของเมล็ดแมงลักมี รายงานว่าสารเมือกจากเมล็ดแมงลักจัดเป็นสารที่ใช้เพิ่มความข้นหนืด 3. ใบย่านาง ใบมีลักษณะเป็นใบเดี่ยว แตกออกข้างลำต้นแบบสลับกันคนละข้าง ใบมีลักษณะเป็นรูปไข่ ขอบขนาน ปลายใบเรียว ส่วนฐานใบมน ใบยาว 5-10 เซนติเมตร กว้าง 2-4 เซนติเมตร ก้านใบยาว 1.0-1.5 เซนติเมตร ขอบใบเรียบ ไม่เป็นหยัก ผิวใบมีลักษณะเป็นมัน และเป็นคลื่นเล็กน้อย ใบอ่อนมีสีเขียวอ่อนออกเหลือง สีเขียว อ่อน และสีเขียวแก่ตามลำดับเมื่ออายุใบมากขึ้น สรรพคุณที่สำคัญคือ ลำต้นนำมาต้มหรือบดคั้นน้ำดื่ม บรรเทา อาการไข้ชนิดต่างๆ ใบ นำใบมาบดคั้นน้ำสด หรือนำมาต้มน้ำดื่ม รวมถึงใบตากแห้งอัดใส่แคปซูลรับประทาน มีฤทธิ์ในทางยาหลายด้าน ได้แก่ บรรเทาอาการร้อนใน บรรเทาอาการเป็นไข้
-5- 4. แก้วมังกร แก้วมังกร (Dragon fruit) สกุล Hylocereus อยู่ในวงศ์ Cactaceae ซึ่งเป็นวงศ์เดียวกับตะบองเพชร มีพื้นเพดั้งเดิมอยู่ในเม็กซิโกเข้ามาในเอเชียที่เวียดนามก่อน โดยบาทหลวงชาวฝรั่งเศสเมื่อประมาณ 100 ปี มาแล้ว โดยปลูกมากตามแนวชายฝั่งทะเลตะวันออกจากเมืองญาตรังไปจนถึงไซ่ง่อน ในเปลือกมีส่วนที่เป็นมิว ซิเลจหรือสารเมือก 5.กระเจี๊ยบเขียว กระเจี๊ยบเขียว (okra) เป็นพืชล้มลุกอายุหลายปี เจริญเติบโตได้ดีในเขตอากาศกึ่งร้อน คือมีอุณหภูมิ ระหว่าง 18–35 องศาโดยประมาณ ในผลมีส่วนที่เป็นมิวซิเลจหรือสารเมือก และเป็นพืชที่สามารถนำมาเป็น สมุนไพรได้ เพราะมีสรรพคุณทางยาที่ช่วยรักษาเกี่ยวกับโรคกระเพาะอาหาร 6. มะม่วงน้ำดอกไม้ มะม่วงน้ำดอกไม้ (Nam Dok Mai) เป็นมะม่วงที่นิยมรับประทานสุก ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น เนื่องจาก ผลสุกมีสีเหลืองทอง สวยงาม เนื้อมีสีเหลืองอมครีม เนื้อแน่นปานกลาง มี ความนุ่ม และรสหวาน มะม่วงน้ำดอกไม้ถูกจัดเป็นผลไม้เมืองร้อน สามารถปลูกได้เกือบทุกประเทศที่มี ภูมิอากาศร้อนชื้นหลายแห่ง สำหรับประเทศไทย สามารถปลูกมะม่วงน้ำดอกไม้ได้ทั่วทุกภาค ซึ่งประเทศไทยมี การส่งออกมะม่วงน้ำดอกไม้ไปยังประเทศต่าง ๆ มากมาย เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ แต่ปัญหาของมะม่วงน้ำดอกไม้คือ มะม่วงน้ำดอไม้เป็นไม้ผลที่มีอายุการเก็บรักษาที่สั้น เนื่องจากมีเปลือกที่บางและช้ำได้ง่าย จึงส่งผลให้เกิดการเน่าเสียได้เร็วขึ้นไม่ทันต่อการนำไปจำหน่ายตาม ท้องตลา
-6- บทที่3 วิธีดำเนินการ 1. วัตถุดิบที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ เมล็ดแมงลัก, ใบย่านาง, แก้วมังกร, กระเจี๊ยบเขียว และมะม่วงน้ำดอกไม้ 2. เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการทดลอง 2.1 อุปกรณ์สำหรับทำสารเคลือบผิวจากเมล็ดแมงลัก ใบย่านางเขียว แก้วมังกร และกระเจี๊ยบ เขียว อุปกรณ์สำหรับทำสารเคลือบผิวได้แก่ ตะเเกรงร่อน, เครื่องปั่นไฟฟ้า, ผ้าขาวบาง, เครื่องชั่ง, เครื่อง แก้ว ได้แก่ บีกเกอร์ กระบอกตวง แท่งแก้วคนสารละลาย ขวดรูปชมพู่ บิวเรต ปิเปต หลอดหยด ช้อนตัก สารเคมี, เครื่องกวนสารและให้ความร้อน, ตู้เย็น, มีด, เขียง, กล้องถ่ายรูป, และ แผ่น Parafilm 2.2. อุปกรณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์คุณภาพทางเคมี 2.2.1 เครื่องวัดปริมาณของแข็งที่ละลายน้ำได้ทั้งหมด (Total Soluble Solids: TSS) โดยใช้ เครื่องวัด Brix Refractometer 2.3 เครื่องมือ และอุปกรณ์ประมวลผลข้อมูล 2.3.1 เครื่องคอมพิวเตอร์ และโปรแกรมสำหรับทางสถิติ 3.สารเคมีและวิธีการเตรียมสารเคมี 3.1 การเตรียมสารเคลือบผิว การเตรียมสารสกัดจากเมล็ดแมงลัก ใบย่านาง แก้วมังกร และกระเจี๊ยบเขียว โดยการเตรียมสารสกัด จากเมล็ดแมงลักอัตราส่วน 3:100 (w/v) ใช้เมล็ดแมงลัก 30 กรัม ต่อน้ำ 1,000 มิลลิลิตร การเตรียมสารสกัด จากใบย่านาง อัตราส่วน 1:5 (w/v) ใช้ใบย่านาง 200 กรัมต่อน้ำ 1,000 มิลลิลิตร การเตรียมสารสกัดจาก เปลือกแก้วมังกร อัตราส่วน 1:2 (w/v) ใช้เปลือกแก้วมังกร 500 กรัมต่อน้ำ 1,000 มิลลิลิตร การเตรียมสาร สกัดจากกระเจี๊ยบเขียวอัตราส่วน 1:5 (w/v) ใช้ผลกระเจี๊ยบเขียว 200 กรัมต่อน้ำ 1,000 มิลลิลิตร แล้วนำ ส่วนผสมแต่ละชนิดไปปั่นละเอียด โดยเครื่องปั่นน้ำไฟฟ้า แล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง 3.2 สารเคมีที่ใช้วิเคราะห์ปริมาณวิตามินซี สารละลายไอโอดีน เข้มข้น 1%
-7- 4.วิธีการดำเนินการทดลอง การทดลองที่ 1 การเปรียบเทียบสารสกัดมิวซิเลจจากเมล็ดแมงลัก ใบย่านาง แก้วมังกร และ กระเจี๊ยบเขียว ที่เหมาะสมต่อการคงสภาพของมะม่วงน้ำดอกไม้ หลังการเก็บผลผลิต วางแผนการทดลองแบบสุ่มในบล็อกสมบูรณ์ (Randomized Complete Block Design: RCBD) จัดการทดลองเป็น 5 ทรีทเมนต์ๆ ละ 3 ซ้ำโดยกำหนดให้ 1 ซ้ำเท่ากับ 1 ผล ประกอบด้วยทรีทเมนต์ ต่างๆ ดังนี้ ทรีทเมนต์ที่ 1 จุ่มในน้ำเปล่า (ชุดควบคุม) ทรีทเมนต์ที่ 2 จุ่มสารเคลือบผิวเมล็ดแมงลัก ทรีทเมนต์ ที่ 3 จุ่มสารเคลือบผิวใบย่านาง ทรีทเมนต์ที่ 4 จุ่มสารเคลือบผิวแก้วมังกร ทรีทเมนต์ที่ 5 จุ่มสารเคลือบผิว กระเจี๊ยบเขียว การเตรียมสารเคลือบผิว การเตรียมสารสกัดจากเมล็ดแมงลักอัตราส่วน 3:100 (w/v) ใช้เมล็ดแมงลัก 30 กรัม ต่อน้ำ 1,000 มิลลิลิตร การเตรียมสารสกัดจากใบย่านาง อัตราส่วน 1:5 (w/v) ใช้ใบย่านาง 200 กรัมต่อน้ำ 1,000 มิลลิลิตร การเตรียมสารสกัดจากเปลือกแก้วมังกร อัตราส่วน 1:2 (w/v) ใช้เปลือกแก้วมังกร 500 กรัมต่อน้ำ 1,000 มิลลิลิตร การเตรียมสารสกัดจากกระเจี๊ยบเขียวอัตราส่วน 1:5 (w/v) ใช้ผลกระเจี๊ยบเขียว 200 กรัมต่อ น้ำ 1,000 มิลลิลิตร แล้วนำส่วนผสมแต่ละชนิดไปปั่นละเอียด โดยเครื่องปั่นน้ำไฟฟ้า แล้วกรองด้วยผ้าขาว บาง การเคลือบมะม่วงน้ำดอกไม้ คัดเลือกผลมะม่วงน้ำดอกไม้ที่ระยะเขียว มีความแก่ประมาณร้อยละ 50-60 ขนาดผลกว้าง ประมาณ 8 เซนติเมตร ยาว 15เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 250 กรัม นำไปจุ่มด้วยสารเคลือบผิวชนิดต่างๆที่ เตรียมไว้ โดยจุ่มให้ทั่วทั้งผลแล้วนำขึ้นทันที จากนั้นนำไปผึ่งให้แห้งบนถาด เป็นเวลา 10 นาทีและเก็บรักษาที่ อุณหภูมิห้อง (25 oC) เป็นเวลา 7 วัน การทดลองที่ 2 การเปรียบเทียบความเข้มข้นของสารเคลือบผิวที่เหมาะสมในการคงสภาพของ มะม่วงน้ำดอกไม้ หลังการเก็บผลผลิต วางแผนการทดลองแบบสุ่มในบล็อกสมบูรณ์ (Randomized Complete Block Design: RCBD) จัดการทดลองเป็น 4 ทรีทเมนต์ๆ ละ 3 ซ้ำโดยกำหนดให้ 1 ซ้ำเท่ากับ 1 ผล ประกอบด้วยทรีทเมนต์ ต่างๆ ดังนี้ ทรีทเมนต์ที่ 1 จุ่มในน้ำเปล่า (ชุดควบคุม) ทรีทเมนต์ที่ 2 จุ่มสารเคลือบผิวที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ในตอนที่ 1 อัตราส่วน 1:10 (w/v) ทรีทเมนต์ที่ 3 จุ่มสารเคลือบผิวที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในตอนที่ 1 อัตราส่วน 1:20 (w/v) ทรีทเมนต์ที่ 4 จุ่มสารเคลือบผิวที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในตอนที่ 1 อัตราส่วน 1:30 (w/v) การเตรียมสารเคลือบผิว การเตรียมสารเคลือบผิวที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในตอนที่ 1 เตรียมสารเคลือบผิวที่มี ประสิทธิภาพสูงสุดในตอนที่ 1 อัตราส่วน 1:10 (w/v) ใช้พืชที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในตอนที่ 1 100 กรัมต่อน้ำ 1,000 มิลลิลิตร การสารเคลือบผิวที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในตอนที่ 1 อัตราส่วน 1:20 (w/v) ใช้พืชที่มี
-8- ประสิทธิภาพสูงสุดในตอนที่ 1 50 กรัม ต่อน้ำ 1,000 มิลลิลิตร และการเตรียมสารเคลือบผิวที่มีประสิทธิภาพ สูงสุดในตอนที่ 1 อัตราส่วน 1:30 (w/v) ใช้พืชที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในตอนที่ 1 33.33 กรัมต่อน้ำ 1,000 มิลลิลิตร นำส่วนผสมแต่ละชนิดไปปั่นละเอียด โดยเครื่องปั่นน้ำไฟฟ้า แล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง การเคลือบมะม่วงน้ำดอกไม้ คัดเลือกผลมะม่วงน้ำดอกไม้ที่ระยะสีขาวส้ม มีความแก่ประมาณร้อยละ 50-60 ขนาดผล กว้างประมาณ 8 เซนติเมตร ยาว 15เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 250 กรัม นำไปจุ่มด้วยสารเคลือบผิวชนิด ต่างๆที่เตรียมไว้ โดยจุ่มให้ทั่วทั้งผลแล้วนำขึ้นทันที จากนั้นนำไปผึ่งให้แห้งบนถาด เป็นเวลา 10 นาทีและเก็บ รักษาที่อุณหภูมิห้อง (25 oC) เป็นเวลา 7 วัน การบันทึกข้อมูลของการทดลองที่ 1 และการทดลองที่ 2 บันทึกข้อมูลทุกๆวัน ดังนี้ 1. ตรวจวัดค่าการสูญเสียน้ำหนัก วัดโดยใช้เครื่องชั่งละเอียดแบบทศนิยม 2 ตำแหน่งยี่ห้อ OHAUS รุ่น VALOR 1000 นำมาคำนวณหาเปอร์เซ็นต์การสูญเสียน้ำหนัก จากสูตร เปอร์เซ็นต์การสูญเสียน้ำหนัก= น้ำหนักผลก่อนการเก็บรักษา - น้ำหนักผลหลังการเก็บรักษา X 100 น้ำหนักผลก่อนการเก็บรักษา 2. ตรวจวัดปริมาณของแข็งทั้งหมดที่ละลายน้ำได้(total soluble solids ; TSS)โดยใช้ เครื่อง Brix Refractometer Refractometer อ่านค่าได้ตั้งแต่ 0-32 เปอร์เซ็นต์ โดยอ่านค่าจากน้ำของผล มะม่วงน้ำดอกไม้ที่ปั่นรวมกัน 3. ตรวจวัดปริมาณวิตามินซีในผล ทำการเก็บตัวอย่างพืชผลทางการเกษตร ตัวอย่างละ 3 ซ้ำ นำตัวอย่างมาสกัดเพื่อวิเคราะห์หาปริมาณวิตามินซีทันที โดยนำมา หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ นำไปชั่งให้ได้น้ำหนัก 10 g ใส่ลงในเครื่องปั่น เติมน้ำกลั่น 50 ml จากนั้นปั่นให้ละเอียด กรองผ่านผ้าขาวบาง ถ่ายสารสกัดพืชผล ทางการเกษตรลงในขวดวัดปริมาตร แล้วปรับปริมาตรให้ได้ 100 ml จากนั้นทำการหาปริมาณวิตามินซีใน พืชผลทางการเกษตรโดยใช้วิธีการไทเทรตกับสารละลายไอโอดีน (ดัดแปลงจาก Babashahi-Kouhanestani et al., 2014) โดยเริ่มจากการปิเปตสารสกัดพืชผลทางการเกษตรมา 2 ml ใส่ลงในขวดรูปชมพู่ เติมน้ำกลั่น 100 ml และน้ำแป้ง 5 ml ลงไปนำมาไทเทรต กับสารละลายไอโอดีนที่ทราบความเข้มข้นแน่นอน จนกระทั่ง ถึงจุดยุติ คือ สารละลายเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน บันทึกปริมาตรสารละลายไอโอดีนที่ใช้ในการไทเทรต ทำการ ทดลองซ้ำ 3 ครั้ง นำปริมาตรที่ได้มาคำนวณ หาปริมาณวิตามินซีในพืชผลทางการเกษตร คำนวณได้ดังนี้ 1. คำนวณปริมาตรเฉลี่ยของสารละลายไอโอดีนที่ใช้จากการไทเทรต 2. คำนวณโมลของไอโอดีนที่ทำปฏิกิริยา 3. ใช้สมการของการไทเทรต (ด้านล่าง) เพื่อคำนวณหาจำนวนโมลของกรดแอสคอร์บิกที่ทำปฏิกิริยา ascorbic acid + I2 → 2 I− + dehydroascorbic acid
-9- 4. เปอร์เซ็นต์การเข้าทำลายของเชื้อรา โดยการนับจำนวนผลที่ปรากฏเชื้อราทุกวันจน หมดอายุการเก็บรักษา แล้วนำมาคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ โดยคำนวณจาก เปอร์เซ็นต์การเกิดเชื้อรา = จำนวนผลที่ถูกเชื้อราเข้าทำลาย X 100 จำนวนผลมะม่วงน้ำดอกไม้ทั้งหมด 5. ลักษณะปรากฏ บันทึกโดยการให้คะแนนลักษณะปรากฏตามระดับคะแนน ดังนี้ ระดับคะแนน 1 ผลมีความสด 81-100 เปอร์เซ็นต์ (ผิวมีสีเขียวสด) ระดับคะแนน 2 ผลมีความสดอยู่ระหว่าง 61 -80 เปอร์เซ็นต์ (ผิวเริ่มเหี่ยว สีผิวเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวอ่อน) ระดับคะแนน 3 ผลมีความสดอยู่ระหว่าง 41- 60 เปอร์เซ็นต์ (ผิวเหี่ยว ผิวเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวอมเหลืองหรือ เหลือง ยังไม่หมดอายุในการวางจำหน่าย) ระดับคะแนน 4 ผลมีความสดอยู่ระหว่าง 21 40 เปอร์เซ็นต์ ผิวเหี่ยวมาก ผิวเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทั้งลูกหรือ เขียวเข้ม ) ระดับคะแนน 5 ผลมีความสดอยู่ระหว่าง 0-20 เปอร์เซ็นต์ (ผิวเหี่ยวมาก ผิวมีสีเหลืองหรือเขียวน้ำตาล คล้ำ และเกิดเชื้อรา) 6. ค่าสีผิว ตรวจวัดโดยการถ่ายภาพด้วยโทรศัพท์มือถือ แล้วนำไปประมวลผลหาค่า สีในหน่วย L* โดยแอพ Photoshop
-10- บทที่ 4 ผลการทดลอง การทดลองที่ 1 การศึกษาชนิดของสารเคลือบผิวที่เหมาะสมในการคงสภาพของมะม่วงน้ำดอกไม้ หลัง การเก็บผลผลิต การสูญเสียน้ำหนัก การสูญเสียน้ำหนักของมะม่วงน้ำดอกไม้ที่ไม่ได้เคลือบผิว เคลือบผิวด้วยสารสกัดจากเมล็ดแมงลัก สารสกัดจากใบย่านาง สารสกัดจากเปลือกแก้วมังกรและสารสกัดจากกระเจี๊ยบเขียว แล้วเก็บรักษาไว้ที่ อุณหภูมิห้อง (25 oC) นาน 7 วัน มีค่าเท่ากับ 21.541, 12.7564, 17.1056, 14.9654 และ 16.0542 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ ในระหว่างการเก็บรักษานาน 7 วัน พบว่า ผลมะม่วงน้ำดอกไม้ในทุกกรรมวิธีมีการ สูญเสียน้ำหนักเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง (ตาราง 1 ตารางภาคผนวก 1 และกราฟภาคผนวก 1) ปริมาณของแข็งทั้งหมดที่ละลายน้ำได้ ปริมาณของแข็งทั้งหมดที่ละลายน้ำได้ของผลมะม่วงน้ำดอกไม้ที่ไม่ได้เคลือบผิว เคลือบผิวด้วยสาร สกัดจากเมล็ดแมงลัก สารสกัดจากใบย่านาง สารสกัดจากเปลือกแก้วมังกรและสารสกัดจากระเจี๊ยบ เขียว แล้วเก็บรักษาไว้ที่อุณหภูมิห้อง (25 oC) นาน 7 วัน มีค่าเท่ากับ10.6133, 8.1768, 9.8312, 8.5886 และ9.09334 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับในระหว่างการเก็บรักษานาน 7 วัน พบว่า ผลมะม่วงน้ำดอกไม้ในทุก กรรมวิธีมีปริมาณของแข็งทั้งหมดที่ละลายน้ำได้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง (ตาราง 1 ตารางภาคผนวก 2 และกราฟ ภาคผนวก 2) ปริมาณวิตามินซี ปริมาณวิตามินซีของผลมะม่วงน้ำดอกไม้ที่ไม่ได้เคลือบผิว เคลือบผิวด้วยสารสกัดจากเมล็ดแมงลัก สารสกัดจากใบย่านาง สารสกัดจากเปลือกแก้วมังกรและสารสกัดจากกระเจี๊ยบเขียว แล้วเก็บรักษาไว้ที่ อุณหภูมิห้อง (25 oC) นาน 7 วัน มีค่าเท่ากับ 8.4396, 4.0007, 7.6254, 4.5836 และ5.3205 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ในระหว่างการเก็บรักษานาน 7 วัน พบว่า ผลมะม่วงน้ำดอกไม้ในทุกกรรมวิธีมีปริมาณวิตามินซีลดลง อย่างต่อเนื่อง (ตาราง 1 ตารางภาคผนวก 3 และกราฟภาคผนวก 3) การเข้าทำลายของเชื้อรา ผลมะม่วงน้ำดอกไม้เคลือบผิวด้วยสารสกัดจากเมล็ดแมงลัก สารสกัดจากใบย่านาง สารสกัดจากเปลือกแก้ว มังกรและสารสกัดจากกระเจี๊ยบเขียว มีร้อยละการเข้าทำลายของเชื้อราที่เท่ากันคือ ร้อยละ 0 แต่ผลมะม่วง น้ำดอกไม้ที่ไม่ได้เคลือบผิวมีร้อยละการเข้าทำลายของเชื้อรา 33.33 (ตาราง 2 ตารางภาคผนวก 4 และกราฟ ภาคผนวก 4
-11- ลักษณะปรากฏ ผลต่างคะแนนลักษณะปรากฏของผลมะม่วงน้ำดอกไม้ที่ไม่ได้เคลือบผิว เคลือบผิวด้วยสารสกัดจาก เมล็ดแมงลัก สารสกัดจากใบย่านาง สารสกัดจากเปลือกแก้วมังกรและสารสกัดจากกระเจี๊ยบเขียว มีค่าเท่ากับ 2 ,0 , 2, 1 และ 1.3333 คะแนนตามลำดับ ตลอดระยะเวลาของการเก็บรักษา พบว่าคะแนนลักษณะปรากฏ ของมะม่วงน้ำดอกไม้ในทุกกรรมวิธีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง(ตาราง 2ตารางภาคผนวก 5และกราฟภาคผนวก 5) สีผิว การเก็บรักษาผลมะม่วงน้ำดอกไม้ที่ไม่ได้เคลือบผิว เคลือบผิวด้วยสารสกัดจากเมล็ดแมงลัก สารสกัด จากใบย่านาง สารสกัดจากเปลือกแก้วมังกรและสารสกัดจากกระเจี๊ยบเขียว แล้วเก็บรักษาไว้ที่อุณหภูมิห้อง นาน 7 วัน มีผลต่างค่า L* ของสีผิวเท่ากับ 21.1510, 4.4320, 12.2170, 8.0970 และ 9.9370 ตามลำดับ (ตาราง 2 ตารางภาคผนวก 6 และกราฟภาคผนวก 6) ตาราง 1 การสูญเสียน้ำหนัก ปริมาณของแข็งทั้งหมดที่ละลายน้ำได้ และปริมาณวิตามินซีของมะม่วง น้ำดอกไม้ที่ไม่ได้เคลือบผิว เคลือบผิวด้วยสารสกัดจากเมล็ดแมงลัก ใบย่านาง แก้วมังกรและกระเจี๊ยบเขียว แล้วเก็บรักษาไว้ที่อุณหภูมิห้อง นาน 7 วัน ชนิดของสารเคลือบผิว การสูญเสียน้ำหนัก ปริมาณของแข็งทั้งหมดที่ละลายน้ำได้ ปริมาณวิตามินซี (เปอร์เซ็นต์) (เปอร์เซ็นต์) (mg) ไม่เคลือบผิว 21.541 10.6133 8.4396 สารสกัดจากเมล็ดแมงลัก 12.7564 8.1768 4.0007 สารสกัดจากใบย่านาง 17.1056 9.8312 7.6254 สารสกัดจากแก้วมังกร 14.9654 8.5886 4.5836 สารสกัดจากกระเจี๊ยบเขียว 16.0542 9.0934 5.3205
-12- ตาราง 2 การเข้าทำลายของเชื้อรา ลักษณะปรากฏ และค่า L* สีผิวของมะม่วงน้ำดอกไม้ที่ไม่ได้ เคลือบผิว เคลือบผิวด้วยสารสกัดจากเมล็ดแมงลัก ใบย่านาง แก้วมังกรและกระเจี๊ยบเขียว แล้วเก็บรักษาไว้ที่ อุณหภูมิห้อง นาน 7 วัน ชนิดของสารเคือบผิว การเข้าทำลายของเชื้อรา ลักษณะปรากฏ ค่า L* สีผิว (เปอร์เซ็นต์) (คะแนน) ไม่เคลือบผิว 33.3333 2 21.1510 สารสกัดจากเมล็ดแมงลัก 0 0 4.4320 สารสกัดจากใบย่านาง 0 2 12.2170 สารสกัดจากแก้วมังกร 0 1 8.0970 สารสกัดจากกระเจี๊ยบเขียว 0 1.3333 9.9370 การทดลองที่ 2 การเปรียบเทียบความเข้มข้นของสารเคลือบผิวที่เหมาะสมในการคงสภาพของมะม่วง น้ำดอกไม้ หลังการเก็บผลผลิต การสูญเสียน้ำหนัก การสูญเสียน้ำหนักของมะม่วงน้ำดอกไม้ที่ไม่ได้เคลือบผิว เคลือบผิวด้วยสารสกัดจากเมล็ดแมงลัก ที่มี ความเข้มข้น 1:10 (w/v) 1:20 (w/v) และ 1:30(w/v) แล้วเก็บรักษาไว้ที่อุณหภูมิห้อง (25 oC) นาน 7 วัน มีค่าเท่ากับ 23.0307, 12.1562, 15.5124 และ 17.7012 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ ในระหว่างการเก็บรักษา นาน 7 วัน พบว่า ผลมะม่วงน้ำดอกไม้ในทุกกรรมวิธีมีการสูญเสียน้ำหนักเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง (ตาราง 3 ตารางภาคผนวก 7 และกราฟภาคผนวก 7) ปริมาณของแข็งทั้งหมดที่ละลายน้ำได้ ปริมาณของแข็งทั้งหมดที่ละลายน้ำได้ของผลมะม่วงน้ำดอกไม้ที่ไม่ได้เคลือบผิว เคลือบผิวด้วยสาร สกัดจากเมล็ดแมงลัก ที่มีความเข้มข้น 1:10 (w/v) 1:20 (w/v) และ 1:30(w/v) แล้วเก็บรักษาไว้ที่ อุณหภูมิห้อง (25 oC) นาน 7 วัน มีค่าเท่ากับ 9.989, 6.961,7.3671และ 8.0771 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับใน ระหว่างการเก็บรักษานาน 7 วัน พบว่า ผลมะม่วงน้ำดอกไม้ในทุกกรรมวิธีมีปริมาณของแข็งทั้งหมดที่ละลาย น้ำได้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง (ตาราง 3 ตารางภาคผนวก 8 และกราฟภาคผนวก 8)
-13- ปริมาณวิตามินซี ปริมาณวิตามินซีของผลมะม่วงน้ำดอกไม้ที่ไม่ได้เคลือบผิว เคลือบผิวด้วยสารสกัดจากเมล็ดแมงลัก ที่มี ความเข้มข้น 1:10 (w/v) 1:20 (w/v) และ 1:30(w/v) แล้วเก็บรักษาไว้ที่อุณหภูมิห้อง (25 oC) นาน 7 วัน มีค่าเท่ากับ 7.8392, 3.5, 3.6996 และ6.1964 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ ในระหว่างการเก็บรักษานาน 7 วัน พบว่า ผลมะม่วงน้ำดอกไม้ในทุกกรรมวิธีมีปริมาณวิตามินซีลดลงอย่างต่อเนื่อง (ตาราง 3 ตารางภาคผนวก 9 และกราฟภาคผนวก 9) การเข้าทำลายของเชื้อรา ผลมะม่วงน้ำดอกไม้ที่ไม่ได้เคลือบผิว เคลือบผิวด้วยสารสกัดจากเมล็ดแมงลัก ที่มีความเข้มข้น 1:10 (w/v) 1:20 (w/v) และ 1:30(w/v) แล้วเก็บรักษาไว้ที่อุณหภูมิห้อง (25 oC) นาน 7 วัน มีร้อยละการเข้า ทำลายของเชื้อราที่เท่ากันคือ ร้อยละ 0 (ตาราง 4 ตารางภาคผนวก 10 และกราฟภาคผนวก 10) ลักษณะปรากฏ ผลต่างคะแนนลักษณะปรากฏของผลมะม่วงน้ำดอกไม้ที่ไม่ได้เคลือบผิว เคลือบผิวด้วยสารสกัดจาก เมล็ดแมงลัก ที่มีความเข้มข้น 1:10 (w/v) 1:20 (w/v) และ 1:30(w/v) แล้วเก็บรักษาไว้ที่อุณหภูมิห้อง (25 oC) นาน 7 วัน มีค่าเท่ากับ 2.6667 ,0 , 1 และ 2 คะแนนตามลำดับ ตลอดระยะเวลาของการเก็บรักษา พบว่าคะแนนลักษณะปรากฎของผลมะม่วงน้ำดอกไม้ในทุกกรรมวิธีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (ตาราง 4 ตาราง ภาคผนวก 11 และกราฟภาคผนวก 11) สีผิว การเก็บรักษาผลมะม่วงน้ำดอกไม้ที่ไม่ได้เคลือบผิว เคลือบผิวด้วยสารสกัดจากเมล็ดแมงลัก ที่มีความ เข้มข้น 1:10 (w/v) 1:20 (w/v) และ 1:30(w/v) แล้วเก็บรักษาไว้ที่อุณหภูมิห้อง นาน 7 วัน มีผลต่างค่า L* ของสีผิวเท่ากับ 24.5610, 4.7990, 8.2450 และ 10.8560 ตามลำดับ (ตาราง 4 ตารางภาคผนวก 12 และ กราฟภาคผนวก 12) ความเข้มข้นของสารเคลือบผิว การสูญเสียน้ำหนัก ปริมาณของแข็งทั้งหมดที่ละลายน้ำได้ ปริมาณวิตามินซี
-14- ตาราง 3 การสูญเสียน้ำหนัก ปริมาณของแข็งทั้งหมดที่ละลายน้ำได้ และปริมาณวิตามินซีของมะม่วง น้ำดอกไม้ที่ไม่เคลือบผิว และเคลือบผิวด้วยด้วยสารสกัดมิวซิเลจความเข้มข้นต่างๆ แล้วเก็บรักษาไว้ที่ อุณหภูมิห้อง นาน 7 วัน ตาราง 4 การเข้าทำลายของเชื้อรา ลักษณะปรากฏ และค่า L* สีผิวของมะม่วงน้ำดอกไม้ที่ไม่เคลือบ ผิว และเคลือบผิวด้วยด้วยสารสกัดมิวซิเลจความเข้มข้นต่างๆ แล้วเก็บรักษาไว้ที่อุณหภูมิห้อง นาน 7 วัน ความเข้มข้นของสารเคลือบผิว การเข้าทำลายของเชื้อรา ลักษณะปรากฏ ค่า L* สีผิว (เปอร์เซ็นต์) (คะแนน) ไม่เคลือบผิว 0 2.6667 24.5610 อัตราส่วน 1:10 (w/v) 0 0 4.7990 อัตราส่วน 1:20 (w/v) 0 1 8.2450 อัตราส่วน 1:30 (w/v) 0 2 10.8560 (เปอร์เซ็นต์) (เปอร์เซ็นต์) (mg) ไม่เคลือบผิว 23.0307 9.989 7.8392 อัตราส่วน 1:10 (w/v) 12.1562 6.961 3.500 อัตราส่วน 1:20 (w/v) 15.5124 7.3671 3.6996 อัตราส่วน 1:30 (w/v) 17.7012 8.0771 6.1964
-15- บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล สรุปผลการศึกษา 1. สารเคลือบผิวจากเมล็ดแมงลักสามารถคงสภาพของมะม่วงน้ำดอกไม้ หลังการเก็บผลผลิตได้ดีกว่าสาร สกัดมิวซิเลจจากแก้วมังกร กระเจี๊ยบเขียว ใบย่านางและไม่เคลือบผิวตามลำดับ 2. สารเคลือบผิวจากเมล็ดแมงลักที่มีความเข้มข้น 1:10 (w/v) สามารถคงสภาพของมะม่วงน้ำดอกไม้ ได้ ดีกว่าสารสกัดมิวซิเลจจากเมล็ดแมงลักที่มีความเข้มข้น 1:20 (w/v) และ 1:30 (w/v) ตามลำดับ อภิปรายผลการศึกษา การทดลองที่ 1 การเปรียบเทียบสารเคลือบผิวจากเมล็ดแมงลัก ใบย่านาง แก้วมังกรและ กระเจี๊ยบเขียว ที่เหมาะสมต่อการคงสภาพของมะม่วงน้ำดอกไม้ หลังการเก็บผลผลิต การสูญเสียน้ำหนัก ผลการทดลอง พบว่า เมื่อเก็บรักษาผลมะม่วงน้ำดอกไม้ไว้นานขึ้น ผลมะม่วงน้ำดอกไม้ในทุกกรรมวิธีมีการ สูญเสียน้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยผลมะม่วงน้ำดอกไม้ที่เคลือบผิวด้วยสารสกัดจากเมล็ดแมงลักมีการ สูญเสียน้ำหนักน้อยกว่าสารสกัดจากแก้วมังกร กระเจี๊ยบเขียว ใบย่านางและไม่เคลือบผิวตามลำดับ (ตาราง 4 ตารางภาคผนวก 10 และกราฟภาคผนวก 10) การสูญเสียน้ำหนักของผลิตผลที่เก็บรักษานั้น ส่วนใหญ่เกิดจาก การสูญเสียน้ำภายในผลิตผลซึ่งขึ้นอยู่กับความแตกต่างของความดันไอน้ำภายในผลิตผลกับภายนอกผลิตผล โดยการระเหยผ่านทางช่องเปิดต่างๆ เช่น stomata, Lenticel หรือรอยช้ำที่เกิดจากการกระทบกระเทือนซึ่ง ส่งผลให้เกิดการสูญเสียน้ำได้มากขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้การสูญเสียน้ำหนักของผลไม้ยังขึ้นอยู่กับชนิดของผล ขนาดของผล องค์ประกอบและโครงสร้างของผล อุณหภูมิที่เก็บรักษา และการไหลเวียนของอากาศภายใน ห้องเก็บรักษา เป็นต้น การเคลือบผิวผลิตผลบางชนิดหลังการเก็บเกี่ยว เป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยลดการสูญเสียน้ำ ของผลิตผลได้ แต่จากการทดลอง พบว่า การเคลือบผิวผลมะม่วงน้ำดอกไม้ด้วยสารสกัดมิวซิเลจจากเมล็ด แมงลัก สามารถลดการสูญเสียน้ำหนักของผลมะม่วงน้ำดอกไม้ได้ดีที่สุด ทั้งนี้เพราะมิวซิเลจสามารถจับตัวเป็น ไฟเบอร์ ที่สามารถเคลือบติดกับผิวของผลผลิตเสมือนฟิล์มเคลือบผลผลิตทางการเกษตรอีกชั้น เพื่อป้องกัน ไม่ให้แก๊สเอทิลีน ออกมากระตุ้นให้ผลอื่นสุกตามและป้องกันการสูญเสียน้ำหนักจากการระเหยของน้ำใน ผลผลิต พร้อมชะลอการสุกของผลผลิตได้ ปริมาณของแข็งทั้งหมดที่ละลายน้ำได้ ผลการทดลอง พบว่า ผลมะม่วงน้ำดอกไม้ที่เคลือบผิวด้วยสารเคลือบผิวจากเมล็ดแมงลัก มีปริมาณ ของแข็งทั้งหมดที่ละลายน้ำได้น้อยกว่าสารเคลือบผิวจากแก้วมังกร กระเจี๊ยบเขียว ใบย่านางและไม่เคลือบผิว ตามลำดับ (ตาราง 1 ตารางภาคผนวก 2 และกราฟภาคผนวก 2) ตลอดระยะเวลาที่เก็บรักษานาน 7 วัน
-16- พบว่า ปริมาณของแข็งทั้งหมดที่ละลายน้ำได้ของผลมะม่วงน้ำดอกไม้ในทุกกรรมวิธีมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น (ตาราง 1 ตารางภาคผนวก 2 และภาพ 2) ปริมาณของแข็งทั้งหมดที่ละลายน้ำได้ส่วนใหญ่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ หลักซึ่งได้แก่ น้ำตาลซูโครส กลูโคส และฟรักโทส ภายหลังการเก็บเกี่ยวปริมาณน้ำตาลอาจเพิ่มขึ้นหรือลดลง แล้วแต่ชนิดของพืชและสภาพแวดล้อม โดยปกติแล้วผลิตผลเมื่อมีความสุกเพิ่มขึ้น ก็จะมีการสะสมของน้ำตาล ในผลมากขึ้น จากผลการทดลอง พบว่า ปริมาณของแข็งที่ละลายน้ำได้ของผลมะม่วงน้ำดอกไม้ในทุกกรรมวิธี เพิ่มขึ้น ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะมะม่วงน้ำดอกไม้เป็นผลไม้ประเภท climacteric หลังการเก็บเกี่ยวจะมีอัตรา การหายใจเพิ่มขึ้นตามอายุ นับจากที่ผลไม้แก่จัด อัตราการหายใจจะเพิ่มสูงขึ้นจนถึงจุดสูงสุด เมื่อผลไม้เริ่มสุก จะมีการเปลี่ยนแปลงสภาพภายใน เช่น การเปลี่ยนสตาร์ชให้เป็นน้ำตาล ทำให้ผลไม้สุกมีรสหวาน นอกจากนี้ ยังพบว่าผลมะม่วงน้ำดอกไม้ที่ไม่ได้เคลือบผิวมีปริมาณของแข็งที่ละลายน้ำได้มากกว่าผลมะม่วงน้ำดอกไม้ที่ เคลือบผิวด้วยสารสกัดมิวซิเลจ นั่นคือการเคลือบผิวผลมะม่วงน้ำดอกไม้ด้วยมิวซิเลจ สามารถชะลอการ เปลี่ยนแปลงปริมาณของแข็งทั้งหมดที่ละลายน้ำได้ของผลมะม่วงน้ำดอกไม้ได้ดีกว่าที่ไม่ได้เคลือบผิว ปริมาณวิตามินซี ผลการทดลองที่ได้ พบว่า ผลมะม่วงน้ำดอกไม้ที่เคลือบผิวด้วยสารสกัดจากเมล็ดแมงลักมีปริมาณ วิตามินซีน้อยกว่าสารสกัดจากแก้วมังกร กระเจี๊ยบเขียว ใบย่านางและไม่เคลือบผิวตามลำดับ ซึ่งตลอด ระยะเวลาของการเก็บรักษานาน 7 วัน พบว่า ปริมาณวิตามินซีของผลมะม่วงน้ำดอกไม้ในทุกกรรมวิธีมีค่า ค่อนข้างลดลง (ตาราง 3 ตารางภาคผนวก 9 และกราฟภาคผนวก 9) ซึ่งผลิตผลส่วนใหญ่มีวิตามินซีอยู่ในรูป reducedascorbic acid ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ การสูญเสียวิตามินซีของผลิตผลมีสาเหตุมาจากการทำงาน ของเอนไซม์หลายชนิด เช่น ascorbic acid oxidase และการเก็บรักษาผลิตผลไว้ที่อุณหภูมิสูงจะสูญเสีย วิตามินซีมากกว่าที่อุณหภูมิต่ำ สำหรับส่วนประกอบของบรรยากาศที่เก็บรักษามีผลต่อการสูญเสียวิตามินซีของ ผลิตผลเช่นกัน กล่าวคือก๊าซออกซิเจนจะช่วยเร่งการสูญเสียวิตามินซีให้เกิดเร็วขึ้น เนื่องจากทำให้เกิดปฏิกิริยา ออกซิเดชั่น โดยเปลี่ยนจาก reduced ascorbic acid ไปเป็น 2, 3 deketogulonic acid ซึ่งไม่มีสมบัติของ วิตามินซี นอกจากนั้นการสูญเสียน้ำออกจากผลิตผล ทำให้ผลิตผลมีการสูญเสียวิตามินซีเพิ่มมากขึ้นด้วย ทั้งนี้ เป็นเพราะการเคลือบผิวมีแนวโน้มว่าสามารถช่วยลดการสูญเสียน้ำของผลมะม่วงน้ำดอกไม้ได้ รวมทั้งการ เคลือบผิวเป็นการลดอัตราการแลกเปลี่ยนก๊าซทำให้ผลมะม่วงน้ำดอกไม้อาจจะสัมผัสกับก๊าซออกซิเจนน้อยลง ผลมะม่วงน้ำดอกไม้ที่ไม่เคลือบผิวจึงมีปริมาณวิตามินซีต่ำกว่าผลมะม่วงน้ำดอกไม้ที่เคลือบผิวด้วยสารสกัดจาก มิวซิเลจ การเข้าทำลายของเชื้อรา ตลอดระยะเวลาของการเก็บรักษาผลมะม่วงน้ำดอกไม้ นาน 7 วัน พบว่า ผลมะม่วงน้ำดอกไม้ที่ เคลือบผิวด้วยสารสกัดจากเมล็ดแมงลัก แก้วมังกร กระเจี๊ยบเขียว ใบย่านาง แล้วเก็บรักษาไว้ที่อุณหภูมิห้อง ไม่พบการเข้าทำลายของเชื้อรา แต่ผลิตผลที่ไม่เคลือบผิวพบการเข้าทำลายของเชื้อรา 33.33 เปอร์เซ็นต์ (ตาราง 4 ตารางภาคผนวก 10 และกราฟภาคผนวก 10) การเคลือบผิวผลิตผลมีวัตถุประสงค์เพื่อ
-17- ทดแทนไขธรรมชาติที่สูญเสียไประหว่างการล้างทำความสะอาด ช่วยปรับปรุงให้ผิวของผลิตผลหลายชนิดมี ความมันวาวขึ้น นอกจากนี้สารเคลือบผิวบางชนิดยังมีคุณสมบัติช่วยลดการเน่าเสียที่มีสาเหตุมาจากการเข้า ทำลายของเชื้อจุลินทรีย์ต่าง ๆ ด้วย นอกจากนี้ยังพบว่าการใช้สารสกัดมิวซิเลจเคลือบผิวผลไม้ต่าง ๆ สามารถยับยั้งการเจริญของเชื้อราบนผิวเปลือกของผลไม้ได้ ทั้งนี้การที่มิวซิเลจสามารถยับยั้งการเข้าทำลาย ของเชื้อราได้ เป็นเพราะมิวซิเลจมีคุณสมบัติคล้ายกับสารป้องกันเชื้อรา โดยมิวซิเลจสามารถยับยั้งการเจริญ ของเชื้อราได้โดยตรง รวมทั้งยังมีผลกระตุ้นกระบวนการป้องกันตนเอง (defense mechanisms) ของพืช โดย กระตุ้นให้พืชสังเคราะห์เอนไซม์ในกลุ่ม hydrolase คือ chitinase, chitosanase และ B1,3-glucanase ซึ่งมี สมบัติในการย่อยสลายผนังเซลล์ของเชื้อรา ทำให้เชื้อราไม่สามารถเจริญหรือเจริญได้ช้าลง ซึ่งจากการ พิจารณาร้อยละความเสียหายอันเนื่องมาจากเชื้อราโดยไม่ได้จำแนกชนิดของเชื้อรา พบว่า ผลมะม่วง น้ำดอกไม้ที่เคลือบผิวด้วยสารสกัดมิวซิเลจจากพืชชนิดต่างๆ มีการเข้าทำลายของเชื้อราไม่แตกต่างกันทางสถิติ ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะสารสกัดมิวซิเลจสามารถรักษาคุณภาพและยับยั้งการเจริญของเชื้อราบนผิวเปลือกของ ผลไม่ได้ ดังนั้นการทดลองอาจมีระเวลาสั้นเกินไป ทำให้ยังไม่มีการเกิดเชื้อราบนผิวของมะม่วงน้ำดอกไม้ ลักษณะปรากฏ ผลการทดลอง พบว่า ผลมะม่วงน้ำดอกไม้ ที่เคลือบผิวด้วยสารสกัดมิวซิเลจจากเมล็ดแมงลัก แล้ว เก็บรักษานาน 7 วัน มีลักษณะผิวเริ่มเหี่ยว สีผิวเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวอ่อน แต่ยังไม่หมดอายุในการวาง จำหน่าย และคะแนนลักษณะปรากฎดีกว่าผลมะม่วงน้ำดอกไม้ที่เคลือบผิวด้วยสารสกัดมิวซิเลจจากแก้วมังกร กระเจี๊ยบเขียว ใบย่านางและไม่เคลือบผิว ตามลำดับ ซึ่งมีลักษณะผิวเหี่ยว ผิวเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวอมเหลือง หรือเหลือง ยังไม่หมดอายุในการวางจำหน่าย (ตาราง 4 ตารางภาคผนวก 11 และกราฟภาคผนวก 11)น้ำเป็น ส่วนประกอบที่สำคัญในเซลล์ของผักและผลไม้ ซึ่งผักและผลไม้โดยปกติแล้วมีน้ำเป็นส่วนประกอบ 80-95 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นเมื่อเก็บเกี่ยวผลิตผลมาจากต้นแล้วผลิตผลจะถูกตัดขาดจากแหล่งน้ำที่เคยได้รับจากราก และการสูญเสียน้ำของผลิตผลยังคงเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เมื่อผลิตผลสูญเสียน้ำมากในขณะที่ไม่มีแหล่งน้ำอื่น มาทดแทน จึงทำให้ผลิตผลเกิดการเหี่ยว รูปร่างลักษณะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เลวลง โดยทั่วไปที่ผิวของ ผลิตผลจะมี cuticle ปกคลุมเซลล์ผิวชั้นนอก ซึ่งเป็นเครื่องกีดขวางการผ่านเข้าออกของน้ำได้เป็นอย่างดี ฉะนั้นความหนาและการจัดเรียงตัวของสารที่เคลือบอยู่ตามผิวของผลิตผลเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดอัตรา การสูญเสียน้ำของผลิตผล มะม่วงน้ำดอกไม้เป็นผลไม้ที่สารเคลือบผิวน้อยมากหรือแทบจะไม่มีเลยจึงส่งผลให้มี การสูญเสียน้ำรวดเร็วและมากเมื่อเปรียบเทียบกับพืชชนิดอื่น ๆ นอกจากนี้การเก็บรักษาไว้ที่อุณหภูมิห้อง ยัง ส่งผลให้ผลมะม่วงน้ำดอกไม้มีการคายน้ำสูงขึ้น ส่งผลให้คุณภาพลดลง ผลเหี่ยว ลักษณะภายนอกอื่นๆผิดปกติ และอ่อนแอต่อการเข้าทำลายของเชื้อรา การเคลือบผิวผลด้วยมิวซิเลจช่วยลดการสูญเสียน้ำของผลมะม่วง น้ำดอกไม้ได้ โดยมิวซิเลจไปปิดรูเปิดต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นช่องทางของการสูญเสียน้ำของผล รวมทั้งมิวซิเลจยังมี สมบัติคล้ายสารต้านเชื้อรา ดังนั้นผลมะม่วงน้ำดอกไม้ที่เคลือบผิวด้วยสารสกัดมิวซิเลจจากสารสกัดจากเมล็ด แมงลัก แก้วมังกร กระเจี๊ยบเขียว ใบย่านาง จึงมีลักษณะปรากฎดีกว่าผลมะม่วงน้ำดอกไม้ที่ไม่เคลือบผิว
-18- สีผิว ผลการทดลองที่ได้ พบว่า การเคลือบผิวด้วยสารสกัดมิวซิเลจไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงค่า L* ของสี ผิวผลมะม่วงน้ำดอกไม้ เมื่อเปรียบเทียบกับมะม่วงน้ำดอกไม้ที่ไม่เคลือบผิว (ตาราง 4 ตารางภาคผนวก 12 และกราฟภาคผนวก 12) สำหรับการเคลือบผิวด้วยมิวซิเลจไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสีของผลมะม่วง น้ำดอกไม้ ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะผลมะม่วงน้ำดอกไม้ที่นำมาทำการทดลองในครั้งนี้เป็นมะม่วงดิบที่มีสีเขียว และการทดลองใช้ระยะเวลาเพียง 7 วัน การพัฒนาของสีในการเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือสีน้ำตาลคล้ำจึงเกิดขึ้น ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นการเคลือบผิวด้วยสารสกัดมิวซิเลจจึงไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสีของผลมะม่วง น้ำดอกไม้มากนัก การทดลองที่ 2 การเปรียบเทียบความเข้มข้นของสารเคลือบผิวที่เหมาะสมในการคงสภาพของ มะม่วงน้ำดอกไม้ หลังการเก็บผลผลิต การสูญเสียน้ำหนัก ผลการทดลอง พบว่า เมื่อเก็บรักษาผลมะม่วงน้ำดอกไม้ไว้นานขึ้น ผลมะม่วงน้ำดอกไม้ในทุก กรรมวิธีมีการสูญเสียน้ำหนักเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มว่าการเคลือบผิวผลมะม่วงน้ำดอกไม้ด้วย มิวซิเลจที่มีความเข้มข้น 1:10 (w/v) จะสามารถลดการสูญเสียน้ำหนักได้ดีกว่าผลมะม่วงน้ำดอกไม้ที่เคลือบผิว ด้วยสารสกัดมิวซิเลจที่มีความเข้มข้น 1:20 (w/v) 1:30 (w/v) เเละไม่เคลือบผิว (ตาราง 3 ตารางภาคผนวก 7 และกราฟภาคผนวก 7) ซึ่งการสูญเสียน้ำหนักของผลิตผลที่เก็บรักษานั้น ส่วนใหญ่เกิดจากการสูญเสียน้ำ ภายในผลิตผลซึ่งขึ้นอยู่กับความแตกต่างของความดันไอน้ำภายในผลิตผลกับภายนอกผลิตผล โดยการระเหย ผ่านทางช่องเปิดต่าง ๆ นอกจากนี้การสูญเสียน้ำหนักของผลไม้ยังขึ้นอยู่กับชนิดของผล ขนาดของผล องค์ประกอบและโครงสร้างของผล อุณหภูมิที่เก็บรักษา ความชื้นในบรรยากาศ และการไหลเวียนของอากาศ ภายในห้องเก็บรักษา การเคลือบผิวผลิตผลบางชนิดหลังการเก็บเกี่ยว เป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยลดการสูญเสียน้ำ ของผลิตผลได้ และจากการทดลอง พบว่า การเคลือบผิวผลมะม่วงน้ำดอกไม้ด้วยสารสกัดมิวซิเลจความเข้มข้น ต่างๆ แล้วเก็บรักษาไว้ที่อุณหภูมิห้อง สามารถลดการสูญเสียน้ำหนักของผลมะม่วงน้ำดอกไม้ได้ ทั้งนี้เพราะ สารสกัดมิวซิเลจความเข้มข้น 1:10 (w/v) มีปริมาณมิวซิเลจที่มากกว่าสารสกัดความเข้มข้นอื่น ๆ ซึ่งมิวซิเลจ สามารถจับตัวเป็นไฟเบอร์ หรือเป็นเยื่อบาง ๆ ที่สามารถเคลือบติดกับผิวของผลผลิตเสมือนฟิล์มเคลือบ ผลผลิตทางการเกษตรอีกชั้น เพื่อป้องกันไม่ให้แก๊สเอทิลีน (Ethylene) ออกมากระตุ้นให้ผลอื่นสุกตามและ ป้องกันการสูญเสียน้ำหนักจากการระเหยของน้ำในผลผลิต ทำให้ชะลอการสุกของผลผลิตได้ดีกว่า ปริมาณของแข็งทั้งหมดที่ละลายน้ำได้ ผลการทดลอง พบว่า มะม่วงน้ำดอกไม้ที่เคลือบผิวด้วยสารสกัดมิวซิเลจความเข้มข้น 1:10 (w/v) มีปริมาณของแข็งทั้งหมดที่ละลายน้ำได้น้อยกว่าผลมะม่วงน้ำดอกไม้ที่เคลือบผิวด้วยสารสกัดมิวซิเลจที่ มีความเข้มข้น1:20 (w/v) 1:30 (w/v) และไม่เคลือบผิว ตามลำดับ ตลอดระยะเวลาที่เก็บรักษา นาน 7 วัน พบว่า ปริมาณของแข็งทั้งหมดที่ละลายน้ำได้ของผลมะม่วงน้ำดอกไม้ในทุกกรรมวิธีมีแนวโน้มเพิ่ม(ตาราง 3
-19- ตารางภาคผนวก 8 และกราฟภาคผนวก 8) ปริมาณของแข็งทั้งหมดที่ละลายน้ำได้ส่วนใหญ่คือน้ำตาลเป็น ส่วนประกอบหลักซึ่งได้แก่ น้ำตาลซูโครส กลูโคส และฟรักโทส ภายหลังการเก็บเกี่ยวปริมาณน้ำตาลอาจ เพิ่มขึ้นหรือลดลงแล้วแต่ชนิดของพืชและสภาพแวดล้อม จากผลการทดลอง พบว่า ปริมาณของแข็งที่ละลาย น้ำได้ของผลมะม่วงน้ำดอกไม้ที่เคลือบผิวด้วยสารสกัดมิวซิเลจที่มีความเข้มข้น1:10 (w/v) มีปริมาณของเเข็ง ทั้งหมดที่ละลายน้ำได้น้อยที่สุด เนื่องจากมะม่วงน้ำดอกไม้เป็นผลไม้ประเภท climacteric หลังการเก็บเกี่ยว แล้วผลจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี อัตราการหายใจเพิ่มขึ้นตามอายุ นับจากที่ผลไม้แก่จัด หรือ ผลบริบูรณ์ (maturity) อัตราการหายใจจะเพิ่มสูงขึ้นจนถึงจุดสูงสุด เมื่อผลไม้เริ่มสุกจะมีการเปลี่ยนแปลงสภาพภายใน เช่น มีการเปลี่ยนสีของเปลือก การเปลี่ยนสตาร์ชให้เป็นน้ำตาล ทำให้ผลไม้สุกมีรสหวาน และเนื่องจากมิว ซิเลจมีสมบัติเป็น permeable films ทำให้เกิดสภาพดัดแปลงบรรยากาศขึ้น ทำให้มีปริมาณก๊ซออกซิเจนที่จะ นำไปใช้ในกระบวนการหายใจลดลง ดังนั้นอัตราการหายใจจึงลดต่ำลง ส่งผลให้มีการนำน้ำตาลซึ่งเป็นแหล่ง สำคัญของสารตั้งต้นในกระบวนการหายใจไปใช้น้อยลง ทำให้มีปริมาณน้ำตาลต่ำลง ปริมาณวิตามินซี ผลการทดลองที่ได้ พบว่า ผลมะม่วงน้ำดอกไม้ที่เคลือบผิวด้วยสารสกัดมิวซิเลจความเข้มข้น 1:10 (w/v) มีปริมาณวิตามินซีสูงกว่าผลมะม่วงน้ำดอกไม้ที่เคลือบผิวด้วยสารสกัดมิวซิเลจที่มีความเข้มข้น 1:20 (w/v) 1:30 (w/v) เเละไม่เคลือบผิว ตามลำดับ ซึ่งตลอดระยะเวลาของการเก็บรักษานาน 7 วัน พบว่า ปริมาณวิตามินซีของผลมะม่วงน้ำดอกไม้ในทุกกรรมวิธีมีค่าค่อนข้างลดลง วิตามินซีหรือกรดแอสคอร์บิกใน ผลิตผลมีอยู่ด้วยกัน 3 รูป คือ reduced ascorbic acid ซึ่งอาจถูกออกซิไดซ์ไปอยู่ในรูปที่ 2 คือ monohydroascorbic acid ซึ่งไม่เสถียร และมักจะถูกเปลี่ยนไปเป็นรูปที่ 3 คือ dehydroascorbic acid (DHA) ซึ่งผลิตผลส่วนใหญ่มีวิตามินซีอยู่ในรูป reducedascorbic acid ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ การสูญเสีย วิตามินซีของผลิตผลมีสาเหตุมาจากการทำงานของเอนไซม์หลายชนิด เช่น ascorbic acid oxidase, polyphenol oxidase และperoxidase และการเก็บรักษาผลิตผลไว้ที่อุณหภูมิสูงจะสูญเสียวิตามินซีมากกว่า ที่อุณหภูมิต่ำ สำหรับส่วนประกอบของบรรยากาศที่เก็บรักษามีผลต่อการสูญเสียวิตามินซีของผลิตผลเช่นกัน กล่าวคือก๊าซออกซิเจนจะช่วยเร่งการสูญเสียวิตามินซีให้เกิดเร็วขึ้น เนื่องจากทำให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น โดยเปลี่ยนจาก reduced ascorbic acid ไปเป็น 2, 3 deketogulonic acid ซึ่งไม่มีสมบัติของวิตามินซี นอกจากนั้นการสูญเสียน้ำออกจากผลิตผล ทำให้ผลิตผลมีการสูญเสียวิตามินซีเพิ่มมากขึ้นด้วย ทั้งนี้เป็นเพราะ การเคลือบผิวด้วยสารสกัดมิวซิเลจความเข้มข้น 1:10 (w/v) มีแนวโน้มว่าสามารถช่วยลดการสูญเสียน้ำของผล มะม่วงน้ำดอกไม้ได้ รวมทั้งการเคลือบผิวเป็นการลดอัตราการแลกเปลี่ยนก๊าซทำให้ผลมะม่วงน้ำดอกไม้อาจจะ สัมผัสกับก๊าซออกซิเจนน้อยลง ผลมะม่วงน้ำดอกไม้ที่ไม่เคลือบผิวจึงมีปริมาณวิตามินซีต่ำกว่าผลมะม่วง น้ำดอกไม้ที่เคลือบผิวด้วยสารสกัดจากมิวซิเลจความเข้มข้นอื่น ๆ
-20- การเข้าทำลายของเชื้อรา ตลอดระยะเวลาของการเก็บรักษาผลมะม่วงน้ำดอกไม้ นาน 7 วัน พบว่า สารสกัดมิวซิเลจความ เข้มข้น 1:10 (w/v) 1:20(w/v) 1:30(w/v) และไม่เคลือบผิว แล้วเก็บรักษาไว้ที่อุณหภูมิห้อง นาน 7 วัน ไม่ พบการเข้าทำลายของเชื้อรา (ตาราง 4 ตารางภาคผนวก 10 กราฟภาคผนวก 10) การเคลือบผิวผลิตผลมี วัตถุประสงค์เพื่อทดแทนไขธรรมชาติที่สูญเสียไประหว่างการล้างทำความสะอาด นอกจากนี้สารเคลือบผิวบาง ชนิดยังมีคุณสมบัติช่วยลดการเน่าเสียที่มีสาเหตุมาจากการเข้าทำลายของเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ ด้วยซึ่งจากการ พิจารณาเปอร์เซ็นต์ความเสียหายอันเนื่องมาจากเชื้อรา พบว่า ผลมะม่วงน้ำดอกไม้ที่เคลือบผิวด้วยสารสกัดมิว ซิเลจความเข้มข้น 1:10 (w/v) 1:20(w/v) และ 1:30(w/v) มีการเข้าทำลายของเชื้อราไม่แตกต่างกันสำหรับ การเคลือบผิวด้วยสารสกัดมิวซิเลจจากเมล็ดแมงลักที่ความเข้มข้นต่างๆ ไม่มีผลต่อการเกิดเชื้อราของผล มะม่วงน้ำดอกไม้ ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะสารสกัดมิวซิเลจสามารถรักษาคุณภาพและยับยั้งการเจริญของเชื้อรา บนผิวเปลือกของผลไม้ใด้ ดังนั้นการทดลองอาจมีระเวลาสั้นเกินไป ทำให้ยังไม่มีการเกิดเชื้อราบนผิวของ มะม่วงน้ำดอกไม้ ลักษณะปรากฏ ผลการทดลอง พบว่า ผลมะม่วงน้ำดอกไม้ที่เคลือบผิวด้วยสารสกัดมิวซิเลจความเข้มข้น 1:10 (w/v) มีคะแนนลักษณะปรากฏดีกว่าผลมะม่วงน้ำดอกไม้ที่เคลือบผิวด้วยสารสกัดมิวซิเลจความเข้มข้น 1:20 (w/v) 1:30 (w/v) และไม่เคลือบผิวตามลำดับ (ตาราง 4 ตารางภาคผนวก 11 และกราฟภาคผนวก 11) เมื่อ เก็บเกี่ยวผลิตผลมาจากต้นแล้วผลิตผลจะถูกตัดขาดจากแหล่งน้ำที่เคยได้รับจากราก และการสูญเสียน้ำของ ผลิตผลยังคงเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เมื่อผลิตผลสูญเสียน้ำมาก จึงทำให้ผลิตผลเกิดการเหี่ยวหรือหดตัว โดยทั่วไปที่ผิวของผลิตผลจะมี cuticle ปกคลุมเซลล์ผิวชั้นนอก ซึ่งเป็นเครื่องกีดขวางการผ่านเข้าออกของน้ำ ได้เป็นอย่างดี ฉะนั้นความหนาและการจัดเรียงตัวของสารที่เคลือบอยู่ตามผิวของผลิตผลเป็นปัจจัยสำคัญใน การกำหนดอัตราการสูญเสียน้ำของผลิตผล นอกจากนี้การเก็บรักษาไว้ที่อุณหภูมิห้อง ยังส่งผลให้ผลมะม่วง น้ำดอกไม้มีการคายน้ำสูงขึ้น ส่งผลให้คุณภาพลดลง ผลเหี่ยว ลักษณะภายนอกอื่นๆ ผิดปกติ และอ่อนแอต่อ การเข้าทำลายของเชื้อรา การเคลือบผิวผลด้วยสารสกัดมิวซิเลจจากเมล็ดแมงลักช่วยลดการสูญเสียน้ำของผล มะม่วงน้ำดอกไม้ได้ โดยสารสกัดมิวซิเลจจะไปปิดรูเปิดต่างๆ ซึ่งจะเป็นช่องทางของการสูญเสียน้ำของผล สีผิว ผลการทดลองที่ได้ พบว่า การเคลือบผิวด้วยสารสกัดมิวซิเลจไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงค่า L* ของสี ผิวผลมะม่วงน้ำดอกไม้ เมื่อเปรียบเทียบกับมะม่วงน้ำดอกไม้ที่ไม่เคลือบผิว (ตาราง 4 ตารางภาคผนวก 12) สำหรับการเคลือบผิวด้วยมิวซิเลจไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสีของผลมะม่วงน้ำดอกไม้ ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะ ผลมะม่วงน้ำดอกไม้ที่นำมาทำการทดลองในครั้งนี้เป็นมะม่วงดิบที่มีสีเขียวและการทดลองใช้ระยะเวลาเพียง 7 วัน การพัฒนาของสีในการเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือสีน้ำตาลคล้ำจึงเกิดขึ้นได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นการ เคลือบผิวด้วยสารสกัดมิวซิเลจจึงไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสีของผลมะม่วงน้ำดอกไม้มากนัก
-21- ข้อเสนอแนะ อุปสรรค 1) ต้องใช้อุปกรณ์จำนวนมาก ต้องซื้ออุปกรณ์บางอย่างเพิ่ม ทำให้ต้องเสียเวลาสำหรับการขนส่ง ข้อเสนอแนะ 1) ควรมีการศึกษาถึงปัจจัยอื่นที่มีอิทธิพลต่อการรักษาคุณภาพของผลมะม่วงน้ำดอกไม้ ซึ่งจะทำให้ ได้ข้อมูลที่ชัดเจนและหลากหลายกว่า เพราะจะทำให้ทราบว่าปัจจัยสำคัญใดบ้างที่ส่งผลต่อคุณภาพของผล มะม่วงน้ำดอกไม้ เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงและวางแผนให้สอดคล้องกับความต้องการของ เกษตรกรได้มากขึ้น 2) ควรมีการศึกษาวิธีในการเก็บผลให้หลายหลาย เพื่อทำให้ผลที่ได้มีความแม่นยแเละชัดเจนมาก ยิ่งขึ้น ประโยชน์ของการศึกษา 1)วิธีการสกัดสารเคลือบผิวที่ได้จากธรรมชาติ จากเมล็ดแมงลัก ใบย่านาง แก้วมังกร และกระเจี๊ยบเขียว 2)การใช้สารเคลือบผิวที่ได้จากธรรมชาติ ในการคงสภาพของมะม่วงน้ำดอกไม้หลังการเก็บผลผลิต เพื่อการ บริโภคหรือการจำหน่ายตามท้องตลาด
-22- บรรณานุกรม ปัณฑารีย์ธรรมจันทร์. (18 กรกฎาคม 2563). การยืดอายุการเก็บรักษากล้วยหอมด้วยไคโตซาน. คณะ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร. Storage-life of cavendish banana with chitosan (rmutp.ac.th) ปิยนุสร์ น้อยด้วง. (1 มิถุนายน 2548). การใช้มิวซิเลจแห้งจากเมล็ดแมงลักเป็นสารให้ความคงตัวใน ผลิตภัณฑ์ไอศกรีมกล้วยหอม. วารสารเทคโนโลยีการอาหาร มหาวิทยาลัยสยาม. การใช้มิวซิเล จแห้งจากเมล็ดแมงลักเป็นสารให้ความคงตัว (siam.edu) กรรณิการ์ อ่อนสาลี. (4 เมษายน 2561). การใช้มิวซิเลจของเมล็ดแมงลักทดแทนไขมันในน้ำสลัดเพื่อ สุขภาพ. CMUIntellectualRepository. http://cmuir.cmu.ac.th/jspui/handle/6653943832/ 64561 Babashahi-Kouhanestani et al., 2014. Quantitative evaluation of vitamin C in industrial lemon juice by titration method. Journal of Biology and Today's World. Quantitative evaluation of vitamin C in industrial lemon juice by titration method (iomcworld.org) นิตยา บุญทิม. (4 มีนาคม 2556). ย่านางสุดยอดอาหารและยา. สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี. Storage-life of cavendish banana with chitosan (rmutp.ac.th)
-23- ภาคผนวก
-24- ตอนที่ 1 การศึกษาชนิดของสารเคลือบผิวที่เหมาะสมในการคงสภาพของมะม่วงน้ำดอกไม้ หลังการเก็บ ผลผลิต ตารางภาคผนวก 1 การสูญเสียน้ำหนัก (เปอร์เซ็นต์) ของมะม่วงน้ำดอกไม้ ที่ไม่ได้เคลือบผิว เคลือบผิวด้วย สารสกัดจากเมล็ดแมงลัก สารสกัดจากใบย่านาง สารสกัดจากแก้วมังกรและสารสกัดจาก กระเจี๊ยบเขียว แล้วเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้อง นาน 7 วัน ตารางภาคผนวก 2 ปริมาณของแข็งทั้งหมดที่ละลายน้ำได้(เปอร์เซ็นต์)ของมะม่วงน้ำดอกไม้ ที่ไม่ได้เคลือบ ผิว เคลือบผิวด้วยสารสกัดจากเมล็ดแมงลัก สารสกัดจากใบย่านาง สารสกัดจากแก้วมังกร และสารสกัดจากกระเจี๊ยบเขียว แล้วเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้อง นาน 7 วัน ชนิดของสารเคลือบผิว การสูญเสียน้ำหนัก (เปอร์เซ็นต์) ระยะเวลาเก็บรักษา (วัน) ผลต่าง 0 1 2 3 4 5 6 7 ไม่เคลือบผิว 0 1.7652 6.1967 8.328 14.2580 18.2310 20.452 21.541 21.541 สารสกัดจากเมล็ดแมงลัก 0 1.6521 5.012 9.5410 11.2560 12.0540 12.4582 12.7564 12.7564 สารสกัดจากใบย่านาง 0 1.7416 5.9718 6.2350 8.9426 10.9875 13.2106 17.1056 17.1056 สารสกัดจากแก้วมังกร 0 1.6844 5.5185 6.2100 8.1564 10.5263 12.8943 14.9654 14.9654 สารสกัดจากกระเจี๊ยบเขียว 0 1.7185 5.7854 6.6584 8.3598 10.6239 12.9678 16.0542 16.0542 ชนิดของสารเคลือบผิว ปริมาณของแข็งทั้งหมดที่ละลายน้ำได้(เปอร์เซ็นต์) ผลต่าง ระยะเวลาเก็บรักษา (วัน) 0 1 2 3 4 5 6 7 ไม่เคลือบผิว 12.1533 15.6667 18.8312 19.6667 20.0226 20.4456 21.2003 22.7666 10.6133 สารสกัดจากเมล็ดแมงลัก 15.1566 15.26557 17.2114 17.6667 18.5333 19.2255 21.7778 23.3334 8.1768 สารสกัดจากใบย่านาง 13.2355 14.6637 15.4526 17.7051 19.3333 19.6777 20.6142 23.0667 9.8312 สารสกัดจากแก้วมังกร 14.2566 15.33333 16.7333 18.6333 19.4255 20.6851 21.6544 22.8452 8.5886 สารสกัดจากกระเจี๊ยบเขียว 12.5733 13.6667 15.4666 19.2457 20.7776 21.4426 21.9541 21.6667 9.0934
-25- ตารางภาคผนวก 3 ปริมาณวิตามินซี (mg) ในผลมะม่วงน้ำดอกไม้ ที่ไม่ได้เคลือบผิว เคลือบผิวด้วยสารสกัด จากเมล็ดแมงลัก สารสกัดจากใบย่านาง สารสกัดจากแก้วมังกรและสารสกัดจากกระเจี๊ยบ เขียว แล้วเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้อง นาน 7 วัน ชนิดของสารเคลือบผิว ปริมาณวิตามินซี (mg) ผลต่าง ระยะเวลาเก็บรักษา (วัน) 0 1 2 3 4 5 6 7 ไม่เคลือบผิว 35.4521 34.1532 32.4557 31.6752 29.4426 29.1546 28.478 27.0125 8.4396 สารสกัดจากเมล็ดแมงลัก 35.4522 35.1552 34.3655 34.1025 33.7451 33.0125 32.4513 31.4515 4.0007 สารสกัดจากใบย่านาง 32.6777 31.1523 30.452 29.5462 29.4512 27.9152 26.4867 25.0523 7.6254 สารสกัดจากแก้วมังกร 36.1457 36.0156 34.5486 33.4516 33.1245 32.4562 32.0562 31.5621 4.5836 สารสกัดจากกระเจี๊ยบเขียว 35.5766 35.2563 34.1569 33.4526 33.1056 32.6452 31.4567 30.2561 5.3205 ตารางภาคผนวก 4 เปอร์เซ็นต์การเข้าทำลายเชื้อราของมะม่วงน้ำดอกไม้ ที่ไม่ได้เคลือบผิว เคลือบผิวด้วย สารสกัดจากเมล็ดแมงลัก สารสกัดจากใบย่านาง สารสกัดจากแก้วมังกรและสารสกัดจาก กระเจี๊ยบเขียว แล้วเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้อง นาน 7 วัน ชนิดของสารเคลือบผิว การเข้าทำลายเชื้อรา (%) ผลต่าง ระยะเวลาเก็บรักษา (วัน) 0 1 2 3 4 5 6 7 ไม่เคลือบผิว 0 0 0 0 0 0 0 33.33 33.33 สารสกัดจากเมล็ดแมงลัก 0 0 0 0 0 0 0 0 0 สารสกัดจากใบย่านาง 0 0 0 0 0 0 0 0 0 สารสกัดจากแก้วมังกร 0 0 0 0 0 0 0 0 0 สารสกัดจากกระเจี๊ยบเขียว 0 0 0 0 0 0 0 0 0
-26- ตารางภาคผนวก 5 คะแนนลักษณะปรากฏของมะม่วงน้ำดอกไม้ ที่ไม่ได้เคลือบผิว เคลือบผิวด้วยสารสกัด จากเมล็ดแมงลัก สารสกัดจากใบย่านาง สารสกัดจากแก้วมังกรและสารสกัดจากกระเจี๊ยบ เขียว แล้วเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้อง นาน 7 วัน ตารางภาคผนวก 6 ค่าสีผิวของมะม่วงน้ำดอกไม้ ที่ไม่ได้เคลือบผิว เคลือบผิวด้วยสารสกัดจากเมล็ดแมงลัก สารสกัดจากใบย่านาง สารสกัดจากแก้วมังกรและสารสกัดจากกระเจี๊ยบเขียว แล้วเก็บ รักษาที่อุณหภูมิห้อง นาน 7 วัน ชนิดของสารเคลือบผิว ค่า L* สีผิว ระยะเวลาเก็บรักษา (วัน) ผลต่าง 0 1 2 3 4 5 6 7 ไม่เคลือบผิว 91.116 89.734 86.055 84.325 81.129 79.645 74.985 69.965 21.1510 สารสกัดจากเมล็ดแมงลัก 91.397 89.231 89.12 88.457 87.985 87.652 87.125 86.965 4.4320 สารสกัดจากใบย่านาง 91.869 90.563 89.956 88.562 86.524 81.521 79.235 79.652 12.2170 สารสกัดจากแก้วมังกร 90.951 89.74 88.562 87.542 86.423 85.52 83.365 82.854 8.0970 สารสกัดจากกระเจี๊ยบเขียว 88.291 88.237 87.123 85.985 84.326 82.356 81.542 78.354 9.9370 ชนิดของสารเคลือบ ผิว ลักษณะปรากฏ (คะแนน) ผลต่าง ระยะเวลาเก็บรักษา (วัน) 0 1 2 3 4 5 6 7 ไม่เคลือบผิว 2.6667 2.6667 2.6667 2.6667 3 3.3333 3.3333 4.6667 2.0000 สารสกัดจากเมล็ด แมงลัก 2 2 2 2 2 2 2 2 0.0000 สารสกัดจากใบ ย่านาง 2 2 2 2 2 2 2 4 2.0000 สารสกัดจากแก้ว มังกร 2 2 2 2 2 2 2 3 1.0000 สารสกัดจาก กระเจี๊ยบเขียว 2 2 2 2 2 2 2 3.3333 1.3333
-27- ตอนที่ 2 การเปรียบเทียบความเข้มข้นของสารเคลือบผิวที่เหมาะสมในการคงสภาพของมะม่วง น้ำดอกไม้ หลังการเก็บผลผลิต ตารางภาคผนวก 7 การสูญเสียน้ำหนัก (เปอร์เซ็นต์) ของมะม่วงน้ำดอกไม้ ที่ไม่ได้เคลือบผิว เคลือบผิวด้วย สารสกัดจากเมล็ดแมงลักอัตราส่วน1:10 (w/v) เคลือบผิวด้วยสารสกัดจากเมล็ดแมงลักอัตราส่วน1:20 (w/v) เคลือบผิวด้วยสารสกัดจากเมล็ดแมงลักอัตราส่วน1:30 (w/v) แล้วเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้อง นาน 7 วัน ตารางภาคผนวก 8 ปริมาณของแข็งทั้งหมดที่ละลายน้ำได้(เปอร์เซ็นต์) ของมะม่วงน้ำดอกไม้ ที่ไม่ได้เคลือบผิว เคลือบผิวด้วยสารสกัดจากเมล็ดแมงลักอัตราส่วน1:10 (w/v) เคลือบผิวด้วยสารสกัดจากเมล็ดแมงลัก อัตราส่วน1:20 (w/v) เคลือบผิวด้วยสารสกัดจากเมล็ดแมงลักอัตราส่วน1:30 (w/v) แล้วเก็บรักษาที่ อุณหภูมิห้อง นาน 7 วัน ความเข้มข้นของสารเคลือบผิว การสูญเสียน้ำหนัก (เปอร์เซ็นต์) ระยะเวลาเก็บรักษา (วัน) ผลต่าง 0 1 2 3 4 5 6 7 ไม่เคลือบผิว 0 1.9867 5.9644 6.3897 8.9521 11.2158 13.9687 23.0307 23.0307 อัตราส่วน 1:10 (w/v) 0 1.4521 5.1467 5.9821 8.4536 10.4782 12.0781 12.1562 12.1562 อัตราส่วน 1:20 (w/v) 0 1.5874 5.4287 6.0321 8.6974 10.6524 12.4106 15.5124 15.5124 อัตราส่วน 1:30 (w/v) 0 1.8431 5.5185 6.2480 8.7010 10.9874 12.6945 17.7012 17.7012 ความเข้มข้นของสารสกัดมิวซิเลจ ปริมาณของแข็งทั้งหมดที่ละลายน้ำได้(เปอร์เซ็นต์) ระยะเวลาเก็บรักษา ผลต่าง (วัน) 0 1 2 3 4 5 6 7 ไม่เคลือบผิว 12.4566 13.1562 14.7821 16.0125 17.8997 19.3334 20.6667 22.4456 9.989 1:10 (w/v) 13.1846 14.1562 16.7819 17.6671 18.15215 19.4139 20.1562 20.1456 6.961 1:20 (w/v) 13.7881 14.2568 16.1564 16.7784 17.2688 18.1567 18.789 21.1552 7.3671 1:30(w/v) 12.4125 12.667 13.2586 15.0564 16.4872 18.1652 20.1248 20.4896 8.0771
-28- ตารางภาคผนวก 9 ปริมาณวิตามินซี (mg) ของมะม่วงน้ำดอกไม้ ที่ไม่ได้เคลือบผิว เคลือบผิวด้วยสารสกัดจาก เมล็ดแมงลักอัตราส่วน1:10 (w/v) เคลือบผิวด้วยสารสกัดจากเมล็ดแมงลักอัตราส่วน1:20 (w/v) เคลือบผิว ด้วยสารสกัดจากเมล็ดแมงลักอัตราส่วน1:30 (w/v) แล้วเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้อง นาน 7 วัน ตารางภาคผนวก 10 เปอร์เซ็นต์การเข้าทำลายเชื้อราของมะม่วงน้ำดอกไม้ ที่ไม่ได้เคลือบผิว เคลือบผิวด้วย สารสกัดจากเมล็ดแมงลักอัตราส่วน1:10 (w/v) เคลือบผิวด้วยสารสกัดจากเมล็ดแมงลักอัตราส่วน1:20 (w/v) เคลือบผิวด้วยสารสกัดจากเมล็ดแมงลักอัตราส่วน1:30 (w/v) แล้วเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้อง นาน 7 วัน ความเข้มข้นของสารสกัดมิวซิเลจ ปริมาณวิตามินซี (mg) ผลต่าง ระยะเวลาเก็บรักษา (วัน) 0 1 2 3 4 5 6 7 ไม่เคลือบผิว 34.2548 33.9458 31.2561 29.0456 28.4895 27.0452 27.4562 26.4156 7.8392 1:10 (w/v) 35.1562 34.6562 34.2546 33.7776 32.4561 32.0457 31.8426 31.6562 3.5 1:20 (w/v) 33.1562 32.4561 31.4562 31.1488 30.9485 30.4516 29.314 29.4566 3.6996 1:30(w/v) 33.4526 33.0045 32.4691 31.1562 30.1855 29.4304 28.1546 27.2562 6.1964 ความเข้มข้นของสารสกัดมิวซิเลจ การเข้าทำลายเชื้อรา (%) ผลต่าง ระยะเวลาเก็บรักษา (วัน) 0 1 2 3 4 5 6 7 ไม่เคลือบผิว 0 0 0 0 0 0 0 0 0 1:10 (w/v) 0 0 0 0 0 0 0 0 0 1:20 (w/v) 0 0 0 0 0 0 0 0 0 1:30(w/v) 0 0 0 0 0 0 0 0 0
-29- ตารางภาคผนวก 11 คะแนนลักษณะปรากฏของมะม่วงน้ำดอกไม้ ที่ไม่ได้เคลือบผิว เคลือบผิวด้วยสารสกัด จากเมล็ดแมงลักอัตราส่วน1:10 (w/v) เคลือบผิวด้วยสารสกัดจากเมล็ดแมงลักอัตราส่วน1:20 (w/v) เคลือบ ผิวด้วยสารสกัดจากเมล็ดแมงลักอัตราส่วน1:30 (w/v) แล้วเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้อง นาน 7 วัน ตารางภาคผนวก 12 ค่าสีผิวของมะม่วงน้ำดอกไม้ ที่ไม่ได้เคลือบผิว เคลือบผิวด้วยสารสกัดจากเมล็ดแมงลัก อัตราส่วน1:10 (w/v) เคลือบผิวด้วยสารสกัดจากเมล็ดแมงลักอัตราส่วน1:20 (w/v) เคลือบผิวด้วยสารสกัด จากเมล็ดแมงลักอัตราส่วน1:30 (w/v) แล้วเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้อง นาน 7 วัน ความเข้มข้นของสารเคลือบผิว ลักษณะปรากฏ (คะแนน) ผลต่าง ระยะเวลาเก็บรักษา (วัน) 0 1 2 3 4 5 6 7 ไม่เคลือบผิว 2 2.3333 2.3333 2.6667 2.6667 3 4 4.6667 2.6667 อัตราส่วน 1:10 (w/v) 2 2 2 2 2 2 2 2 0.0000 อัตราส่วน 1:20 (w/v) 2 2 2 2 2 2 2 3 1.0000 อัตราส่วน 1:30 (w/v) 2 2 2 2 2 2 3.3333 4 2.0000 ความเข้มข้นของสารเคลือบผิว ค่า L* สีผิว ผลต่าง ระยะเวลาเก็บรักษา (วัน) 0 1 2 3 4 5 6 7 ไม่เคลือบผิว 90.526 86.325 85.231 85.165 84.987 82.365 76.965 65.965 24.5610 อัตราส่วน 1:10 (w/v) 92.231 91.965 90.635 89.742 88.968 88.035 87.632 87.432 4.7990 อัตราส่วน 1:20 (w/v) 88.365 87.652 86.365 86.012 84.986 84.356 83.541 80.12 8.2450 อัตราส่วน 1:30 (w/v) 92.102 90.965 90.145 89.542 88.965 86.21 85.429 81.246 10.8560
-30- กราฟภาคผนวก 7 การสูญเสียน้ำหนัก (เปอร์เซ็นต์) ของมะม่วงน้ำดอกไม้ ที่ไม่ได้เคลือบผิว เคลือบผิวด้วย สารสกัดจากเมล็ดแมงลักอัตราส่วน1:10 (w/v) เคลือบผิวด้วยสารสกัดจากเมล็ดแมงลักอัตราส่วน1:20 (w/v) เคลือบผิวด้วยสารสกัดจากเมล็ดแมงลักอัตราส่วน1:30 (w/v) แล้วเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้อง นาน 7 วัน กราฟภาคผนวก 8 ปริมาณของแข็งทั้งหมดที่ละลายน้ำได้(เปอร์เซ็นต์) ของมะม่วงน้ำดอกไม้ ที่ไม่ได้เคลือบผิว เคลือบผิวด้วยสารสกัดจากเมล็ดแมงลักอัตราส่วน1:10 (w/v) เคลือบผิวด้วยสารสกัดจากเมล็ดแมงลัก อัตราส่วน1:20 (w/v) เคลือบผิวด้วยสารสกัดจากเมล็ดแมงลักอัตราส่วน1:30 (w/v) แล้วเก็บรักษาที่ อุณหภูมิห้อง นาน 7 วัน
-31- กราฟภาคผนวก 9 ปริมาณวิตามินซี (mg) ของมะม่วงน้ำดอกไม้ ที่ไม่ได้เคลือบผิว เคลือบผิวด้วยสารสกัดจาก เมล็ดแมงลักอัตราส่วน1:10 (w/v) เคลือบผิวด้วยสารสกัดจากเมล็ดแมงลักอัตราส่วน1:20 (w/v) เคลือบผิว ด้วยสารสกัดจากเมล็ดแมงลักอัตราส่วน1:30 (w/v) แล้วเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้อง นาน 7 วัน กราฟภาคผนวก 10 เปอร์เซ็นต์การเข้าทำลายเชื้อราของมะม่วงน้ำดอกไม้ ที่ไม่ได้เคลือบผิว เคลือบผิวด้วย สารสกัดจากเมล็ดแมงลักอัตราส่วน1:10 (w/v) เคลือบผิวด้วยสารสกัดจากเมล็ดแมงลักอัตราส่วน1:20 (w/v) เคลือบผิวด้วยสารสกัดจากเมล็ดแมงลักอัตราส่วน1:30 (w/v) แล้วเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้อง นาน 7 วัน
-32- กราฟภาคผนวก 11 คะแนนลักษณะปรากฏของมะม่วงน้ำดอกไม้ ที่ไม่ได้เคลือบผิว เคลือบผิวด้วยสารสกัด จากเมล็ดแมงลักอัตราส่วน1:10 (w/v) เคลือบผิวด้วยสารสกัดจากเมล็ดแมงลักอัตราส่วน1:20 (w/v) เคลือบ ผิวด้วยสารสกัดจากเมล็ดแมงลักอัตราส่วน1:30 (w/v) แล้วเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้อง นาน 7 วัน กราฟภาคผนวก 12 ค่าสีผิวของมะม่วงน้ำดอกไม้ ที่ไม่ได้เคลือบผิว เคลือบผิวด้วยสารสกัดจากเมล็ดแมงลัก อัตราส่วน1:10 (w/v) เคลือบผิวด้วยสารสกัดจากเมล็ดแมงลักอัตราส่วน1:20 (w/v) เคลือบผิวด้วยสารสกัด จากเมล็ดแมงลักอัตราส่วน1:30 (w/v) แล้วเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้อง นาน 7 วัน