The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เล่มโครงการวิทยาศาสตร์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Chatpreeya Pasaleh, 2023-03-29 02:51:22

เล่มโครงการวิทยาศาสตร์

เล่มโครงการวิทยาศาสตร์

โครงงานกลุ่ม ลุ่ สาระการเรีย รี นรู้ วิท วิ ยาศาสตร์ โครงงานกลุ่ม ลุ่ สาระการเรีย รี นรู้ วิท วิ ยาศาสตร์ เรื่รื่ รื่รื่ อ รื่รื่ ง กระถางจากระดาษ โดย เด็กชายฐานพัฒพัน์ ทาทอง เด็กหญิงญิกรวรรณ เพิ่มพิ่พูล เด็กหญิงญินัทนัธ์ห ธ์ ทัย ชมชื่น ชื่ เด็กชายฐานพัฒพัน์ ทาทอง เด็กหญิงญิกรวรรณ เพิ่มพิ่พูล เด็กหญิงญินัทนัธ์ห ธ์ ทัย ชมชื่น ชื่ ครูรู รูรู ที่ที่ ที่ที่ปรึรึกษา รึรึ นางสาวพิรพิาภรณ์ สุภสุาโสต นางสาวฉัตฉัรปรียรีา ภาสะและ นางสาวพิรพิาภรณ์ สุภสุาโสต นางสาวฉัตฉัรปรียรีา ภาสะและ


ก บทคัดย่อ โครงงานวิทยาศาสตร์ ชื่อเรื่อง กระถางจากกระดาษ ชื่อผู้จัดทำ เด็กชายฐานพัฒน์ ทาทอง เด็กหญิงกรวรรณ เพิ่มพูล เด็กหญิงนัทธ์หทัย ชมชื่น ชื่อครูที่ปรึกษา นางสาวพิราภรณ์ สุภาโสต นางสาวฉัตรปรียา ภาสะและ โรงเรียนประตูชัย หมู่ 2 ตำบลท่าวาสุกรีอำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โครงงานวิทยาศาสตร์เรื่องกระถางจากกระดาษ มีวัตถุประสงค์เพื่อลดการใช้ถุงดำเพาะชำต้นไม้, เพื่อทำกระถางเพาะชำต้นไม้จากกระดาษเหลือใช้, เพื่อนำเส้นใยจากกาบกล้วยมาเพิ่มความแข็งแรงให้ กระถาง เพาะชำต้นไม้ ,และเพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของกาวลาเท็กซ์ และกาว แป้งเปียก ในการทำ กระถางเพาะชำต้นไม้ โดยการนำกระดาษมาปั่นให้ละเอียดแล้วผสมกับเส้นใยจากกาบกล้วย และกาว จากการทดลองปรากฏว่า กระถางเพาะชำต้นไม้ที่มีส่วนผสมของเส้นใยจากกาบกล้วย เนื้อกระถาง สามารถยึดเกาะกันได้ดีเมื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของกาวลาเท็กซ์ และกาวแป้งเปียก กระถางที่มี ส่วนผสมของกาวแป้งเปียก ทำให้กระถางมีคุณภาพดีที่สุด จากนั้นนำกระถางไปเพาะชำต้นไม้เป็นเวลา 7 วัน และนำไปปลูกลงดินเป็นเวลา 1 เดือน กระถางเพาะชำต้นไม้ที่มีส่วนผสมของกาวแป้งเปียก จะให้ ผลดีที่สุดต่อต้นไม้ประโยชน์ที่ได้จากการทำโครงงานนี้คือ ช่วยลดปริมาณขยะ ลดการใช้ถุงดำเพาะชำ ต้นไม้ และวัสดุที่ใช้ทำกระถางเพาะชำต้นไม้เมื่อนำปลูกลงในดินสามารถย่อยสลายเป็นปุ๋ยให้กับต้นไม้ได้


ข กิตติกรรมประกาศ โครงงานวิทยาศาสตร์เรื่องกระถางจากกระดาษ คณะผู้จัดทำขอขอบคุณ ครูพิราภรณ์ สุภาโสต และครูฉัตรปรียา ภาสะและ เป็นอย่างมากที่ให้คำแนะนำในการหาข้อมูล ในการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ตลอดจนอำนวยความสะดวกในเรื่อง วัสดุอุปกรณ์ และติดตามการทำงานจนกระทั่งสำเร็จเรียบร้อย และ ขอขอบคุณผู้อำนวยการโรงเรียนประตูชัย และคณะผู้ปกครองของผู้จัดทำที่ให้กำลังใจในการทำงานด้วยดี เสมอมา คณะผู้จัดทำขอขอบพระคุณทุกท่าน คณะผู้จัดทำ


ค สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อ............................................................................................................................................ ก กิตติกรรมประกาศ............................................................................................................................. ข สารบัญตาราง.................................................................................................................................... ง สารบัญภาพประกอบ......................................................................................................................... จ บทที่ 1 บทนำ - ที่มาและความสำคัญ.................................................................................................... 1 - วัตถุประสงค์............................................................................................................... 1 - สมมติฐาน................................................................................................................... 1 - ตัวแปรที่เกี่ยวข้อง........................................................................................................ 1 - ขอบเขตการทดลอง..................................................................................................... 2 บทที่2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง เอกสารที่เกี่ยวข้อง......................................................................................................... 3 บทที่ 3 วิธีดำเนินการทดลอง - วัสดุอุปกรณ์................................................................................................................ 15 - วิธีการทดลอง.............................................................................................................. 15 บทที่ 4 ผลการทดลอง ผลการทดลอง................................................................................................................ 18 บทที่ 5 สรุปผลและอภิปรายผลการทดลอง - สรุปผลการทดลอง...................................................................................................... 22 - อภิปรายผลการทดลอง................................................................................................ 23 - ข้อเสนอแนะ................................................................................................................ 23 - ประโยชน์ที่ได้รับ........................................................................................................ 23 เอกสารอ้างอิง.................................................................................................................................... 24 ภาคผนวก


ง สารบัญตาราง ตารางที่ เรื่อง หน้า 1 การทำกาวแป้งเปียก................................................................................................ 11 2 แสดงการเปรียบเทียบปริมาณกาวลาเท็กซ์ที่เหมาะสมในการทำกระถางเพาะชำ ต้นไม้...................................................................................................................... 17 3 แสดงการเปรียบเทียบชนิดของกาวที่มีผลต่อคุณภาพของกระถางเพาะชำต้นไม้.... 17 4 ระดับคุณภาพของกระถางเพาะชำต้นไม้................................................................. 18 5 ผลการเปรียบเทียบระดับคุณภาพของกระถางเพาะชำต้นไม้ที่มีส่วนผสมของ กาบกล้วยและไม่มีส่วนผสมของกาบกล้วย........................................................... 18 6 แสดงการเปรียบเทียบปริมาณปริมาณกาวลาเท็กซ์ที่เหมาะสมในการทำกระถาง เพาะชำต้นไม้.......................................................................................................... 19 7 เปรียบเทียบชนิดของกาวลาเท็กซ์ กาวแป้งเปียก ในการทำกระถางเพาะชำต้นไม้.. 19 8 เปรียบเทียบผลการเพาะชำต้นไม้ในกระถางเป็นเวลา 1 สัปดาห์............................. 20 9 ผลการสังเกตกระถางเพาะชำต้นไม้ เมื่อนำปลูกลงดินพร้อมต้นไม้เป็นเวลา 1 เดือน..................................................................................................................... 21


จ สารบัญภาพประกอบ ภาพที่ ชื่อภาพ หน้า 1 ต้นยูคาลิปตัส........................................................................................................ 5 2 ต้มไม้ในหม้อใหญ่................................................................................................ 5 3 ฟอกเยื่อ................................................................................................................. 6 4 กล้วยน้ำว้า............................................................................................................ 12 5 กล้วยหักมุข........................................................................................... 13 6 กล้วยเล็บมือนาง........................................................................................... 13 7-10 ภาพแสดงการทดลอง........................................................................................... 16 11-14 แสดงผลการทดลองเพาะชำต้นไม้เป็นเวลา 1 สัปดาห์.......................................... 20 ภาคผนวก 1 การเพาะชำต้นไม้ในถุงดำ 2 ถุงดำที่แกะต้นไม้ปลูกแล้วทำให้ต้องทิ้งกลายเป็นขยะทำลายสิ่งแวดล้อม 3 กระดาษและกาบกล้วยที่ปั่นเรียบร้อยแล้ว 4 นวดส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน 5 ตากกระถางเพาะชำต้นไม้ให้แห้งสนิท 6 กระถางที่นำมาเพาะชำต้นไม้เพื่อรอการปลูกลงดิน 7 กระถางเพาะชำต้นไม้ที่มีส่วนผสมของกาวแป้งเปียก 8 กระถางเพาะชำต้นไม้ที่มีส่วนผสมของกาวลาเท็กซ์


1 บทที่ 1 บทนำ ที่มาและความสำคัญ ในปัจจุบันปัญหาสิ่งแวดล้อมถือว่าเป็นปัญหาที่สำคัญมาก เพราะสิ่งแวดล้อมที่ถูกทำลายจะทำให้ เกิดผลกระทบตามมาอีกมากมาย หลาย ๆ ด้าน ได้แก่ ภาวะโลกร้อน อุทกภัย ภัยแล้ง ฯลฯ จากการที่กลุ่ม ของข้าพเจ้าได้เห็นในโรงเรียนมีการใช้ถุงพลาสติกสีดำในการเพาะชำต้นไม้มากมาย และเมื่อใช้เสร็จแล้วถุง เหล่านี้ก็กลายเป็นขยะทำลายสิ่งแวดล้อม พวกเราจึงเกิดความคิดว่าจะนำวัสดุชนิดใดมาใช้ในการทำที่เพาะ ชำต้นไม้แทนถุงพลาสติกสีดำ พวกเราจึงเล็งเห็นว่ากระดาษ และกาบกล้วยเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะสามารถ ย่อยสลาย และหาได้ง่าย กระถางเพาะชำต้นไม้ที่พวกเราได้ทำขึ้นมานั้น สามารถที่จะนำลงไปปลูกในดินเพื่อเป็นการเพิ่มปุ๋ย ให้กับต้นไม้ได้อีกด้วย และนอกจากจะเป็นปุ๋ยให้กับต้นไม้แล้ว ยังเป็นการลดการใช้ถุงดำในการเพาะชำ ต้นไม้และเป็นการนำวัสดุเหลือใช้ คือ กระดาษ มาใช้ประโยชน์ใหม่ได้อีกด้วย วัตถุประสงค์ 1. เพื่อลดการใช้ถุงดำเพาะชำต้นไม้ 2. เพื่อศึกษาวิธีการทำกระถางเพาะชำต้นไม้จากกระดาษเหลือใช้ 3. เพื่อนำเส้นใยจากกาบกล้วยมาใช้เป็นส่วนผสมเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับกระถางเพาะชำ ต้นไม้ 4. เพื่อศึกษาอัตราส่วนที่เหมาะสมในการทำกระถางเพาะชำต้นไม้ 5. เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของกาวลาเท็กซ์ กาวแป้งเปียก ในการทำกระถางเพาะชำ ต้นไม้ 6. เพื่อนำสิ่งของเหลือใช้กลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ สมมติฐานของการศึกษาค้นคว้า 1. ถ้าชนิดของวัสดุมีผลต่อคุณภาพกระถาง ดังนั้นกระถางที่มีส่วนผสมของเส้นใยจากกาบกล้วย จะทำให้กระถางยึดเกาะกันได้ดีที่สุด 2. ถ้าชนิดของกาวมีผลต่อคุณภาพของกระถาง ดั้งนั้นกระถางที่มีส่วนผสมของกาวแป้งเปียกจะ ทำให้กระถางมีคุณภาพดีที่สุด ตัวแปรที่เกี่ยวข้อง ตัวแปรต้น 1. กระถางที่มีส่วนผสมของกาบกล้วย และกระถางที่ไม่มีส่วนผสมของกาบกล้วย 2. ปริมาณกาวลาเท็กซ์ 3. ชนิดของกาว ได้แก่กาวลาเท็กซ์ และกาวแป้งเปียก


2 ตัวแปรตาม 1. คุณภาพของกระถาง ตัวแปรควบคุม 1. ปริมาณกระดาษ 2. ปริมาณกาบกล้วย 3. ความเข้มข้นของกาวแป้งเปียก 4. ปริมาณของส่วนผสมในการปั้นกระถางเพาะชำต้นไม้ ขอบเขตของการทดลอง โครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่องกระถางจากกระดาษ 1. กาวที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่กาวลาเท็กซ์ และ กาวแป้งเปียก 2. เส้นใยของพืชที่ใช้ คือเส้นใยของต้นกล้วยน้ำว้า 3. การทดลองทั้งหมดมี 4 ตอน คือ ตอนที่ 1 การทำกระถางเพาะชำต้นไม้จากกระดาษ ตอนที่ 2 การนำเส้นใยจากกาบกล้วยมาผสมเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับกระถาง เพาะชำต้นไม้ ตอนที่ 3 เปรียบเทียบปริมาณกาวลาเท็กซ์ที่เหมาะสมในการทำกระถางเพาะชำต้นไม้ ตอนที่ 4 เปรียบเทียบชนิดของกาวที่มีผลต่อคุณภาพของกระถางเพาะชำต้นไม้


3 บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง จากการที่ทางกลุ่มได้ศึกษาค้นคว้า เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับโครงงานวิทยาศาสตร์ เรื่องกระถางจาก กระดาษ มีเนื้อเรื่องที่เกี่ยวข้องดังนี้ 1. การย่อยสลายของขยะแต่ละชนิด 2. การสลายตัวของพืช 3. กระดาษ 4. กาว 5. กล้วย 1. การย่อยสลายของขยะแต่ละชนิด ระยะเวลาในการย่อยสลายขยะแต่ละชนิดตามธรรมชาติ เศษกระดาษ 1-2 เดือน เปลือกส้ม 6 เดือน ถ้วยกระดาษเคลือบ 5 ปี ก้นบุหรี่ 12 ปี รองเท้าหนัง 25-40 ปี กระป๋องอะลูมิเนียม 80-100 ปี ถุงพลาสติก 450 ปี โฟม ไม่ย่อยสลาย 2. การสลายตัวของพืช ปัจจัยที่ช่วยในการสลายตัวของพืช พืชจะสลายตัวกลายเป็นอินทรียวัตถุในดินได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการ เพาะปลูกได้จะต้องอาศัยปัจจัยที่สำคัญดังต่อไปนี้ 1. อุณหภูมิอุณหภูมิสูงจะมีอัตราการย่อยสลายตัวของพืชได้เร็วกว่าบริเวณที่มีอุณหภูมิต่ำ ประเทศไทยอยู่ ในเกษตรเขตร้อนทำให้อัตราการย่อยสลายตัวของพืชสูง ตัวอย่างอุณหภูมิที่เหมาะสำหรับย่อยฟางข้าวอยู่ ในช่วง 37 – 39 องศาเซลเซียส 2. ความชื้น ความชื้นที่เหมาะสมกับการย่อยสลายพืชจะอยู่ในช่วง 50 – 60 เปอร์เซ็นต์ 3. อัตราส่วนระหว่างคาร์บอนต่อไนโตรเจน (C : N) ที่เหมาะสมจะอยู่ในอัตราส่วน10 : 1 ถ้าอัตราส่วน คาร์บอนต่อไนโตรเจนสูงหรือต่ำกว่านี้จะมีการดูดเอาไนโตรเจนจากดินนำมาใช้ทำให้ปริมาณไนโตรเจนที่ เป็นประโยชน์ต่อพืชลดลง 4. พีเอช พีเอชที่เหมาะสมต่อการย่อยสลายพืชให้กลายเป็นอินทรียวัตถุจะอยู่ในช่วง พีเอช 6.0 – 6.5


4 เนื่องจากพีเอชดังกล่าวเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ การสลายตัวของอินทรียวัตถุ จุลินทรีย์ที่อยู่ในดินสามารถผลิตเอนไซม์ออกมานอกเซลล์เพื่อใช้สลายซากพืชซากสัตว์ให้เป็น โมเลกุลเล็กๆ เพื่อใช้เป็นแหล่งอาหารและพลังงาน สิ่งที่เหลือจากการสลายตัวอาจจะรวมกับเซลล์จุลินทรีย์ ที่ตายแล้วและสิ่งจุลินทรีย์ขับถ่ายออกมา ซึ่งมีโครงสร้างที่ซับซ้อนเรียกว่าอินทรียวัตถุในดิน การย่อยสลาย อินทรียวัตถุในดินเกิดขึ้นโดยอาศัยจุลินทรีย์ในดินที่ต้องการออกซิเจนเป็นตัวการสำคัญผลที่ได้จากการ สลายตัวของอินทรียวัตถุมักเป็นพวกออกไซด์เช่นไนเตรต(NO3– ) คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) การ สลายตัวของอินทรียวัตถุในดินขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆดังนี้ 1. อัตราเร็วของการสลายตัว ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆเช่นอุณหภูมิการถ่ายเทอากาศ ระดับ ความชื้น พีเอช ปริมาณธาตุอาหารในดิน และอัตราส่วนระหว่างปริมาณคาร์บอนและปริมาณไนโตรเจน ทั้งหมด จุลินทรีย์ในดินใช้เวลาในการย่อยสลายองค์ประกอบของพืชและสัตว์ได้ไม่เท่ากัน สารประกอบใด ที่มีโครงสร้างสลับซับซ้อน (มีแรงยึดเหนี่ยวมาก) ก็จะถูกจุลินทรีย์ย่อยสลายได้ช้าหรือไม่สามารถย่อยสลาย ได้ส่วนสารประกอบใดที่มีโครงสร้างไม่สลับซับซ้อน( มีแรงยึดเหนี่ยวน้อย) ก็จะถูกจุลินทรีย์ย่อยสลายได้เร็ว 2. ขบวนการสลายตัวของอินทรียวัตถุ การสลายตัวของอินทรียวัตถุโดยอาศัยจุลินทรีย์ในดินผลิตภัณฑ์สุดท้ายที่ได้ประกอบด้วย คาร์บอนไดออกไซด์ น้ำ พลังงาน ดังสมการ 3. ผลที่ได้จากการสลายตัวของอินทรียวัตถุ ธาตุที่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของอินทรียวัตถุได้แก่คาร์บอน ไฮโดรเจน ออกซิเจน ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส กำมะถัน และธาตุอื่นๆ เมื่อถูกจุลินทรีย์ในดินที่ต้องการออกซิเจน และไม่ต้องการออกซิเจน ย่อยสลายแล้ว จะได้สารประกอบดังต่อไปนี้


5 3. กระดาษ กระดาษมีที่มาอย่างไร " รู้หรือไม่ว่า…กว่าที่เราจะได้กระดาษแผ่นขาวๆมาใช้ขีดเขียนสักแผ่นนั้น ต้องผ่านกระบวนการและ ขั้นตอนต่างๆมากมายจากโรงงานผู้ผลิตกระดาษ บริษัท แอดวานส์อะโกร ผู้ผลิตกระดาษรายใหญ่ ที่รู้จักกัน ในนามกระดาษดับเบิ้ลเอ จะเป็นผู้ให้คำตอบกว่าที่กระดาษหนึ่งแผ่นจะมาถึงมือผู้ใช้นั้น มีขั้นตอนและ วิธีการอย่างไรบ้าง! ยูคาลิปตัส จุดเริ่มต้นของกระดาษ " ต้นยูคาลิปตัสถือเป็นจุดเริ่มต้นของการผลิตกระดาษดับเบิ้ลเอที่โรงงานเลือกยูคาลิปตัสมาใช้ในการ ผลิตเพราะว่าต้นยูคาลิปตัส เป็นพืชที่มีเส้นใยสั้น เหมาะกับการทำกระดาษ มีการปลูกที่ง่ายใช้เวลาแค่ 3-4 ปี ก็สามารถนำมาตัดใช้งานได้เลย ดังนั้นจึงมีรถบรรทุกขนไม้ยูคาลิปตัสเข้ามา สู่โรงงานทุกวัน ภาพที่ 1 ต้นยูคาลิปตัส หลังจากที่ไม้ยูคาลิปตัสมาถึงโรงงานแล้ว ก็จะมีรถคีบไม้ใส่เข้าสายพานลำเลียงไม้เข้าอุโมงค์เพื่อ ปลอกเปลือกไม้ออก เหลือแต่เนื้อไม้อย่างเดียว จากนั้นก็จะสับไม้ยูคาลิปตัสออกเป็นชิ้นเล็กๆ ที่เรียกว่า “ชิ้นไม้สับ” ชิ้นไม้นี้จะนำไปผสมกับน้ำและสารเคมีที่แยกเยื่อไม้และน้ำมันยางดำออกจากชิ้นไม้ และจะนำ ชิ้นไม้ไปต้มในหม้อต้ม ภาพที่ 2 ต้มไม้ในหม้อใหญ่


6 การนำไม้มาต้มในหม้อต้ม คือ การทำให้ไม้เปลี่ยนสภาพไปเป็นเยื่อกระดาษ จะใช้เวลาต้ม ประมาณ 4-5 ชม. ในอุณหภูมิ 155oC เยื่อที่ต้มแล้วจะถูกนำไปล้างเอาน้ำมันยางดำที่เป็นตัวเชื่อไม้ให้ติดกัน ออก เยื่อที่ถูกล้างแล้วจะมีสีน้ำตาลยุ่ยๆคล้ายกับกระดาษสีน้ำตาลเปียกน้ำนั่นเอง ภาพที่ 3 ฟอกเยื่อ การฟอกเยื่อ หรือ whitening เป็นการทำให้เยื่อสีน้ำตาลกลายเป็นสีขาว ซึ่งจะฟอกด้วยก๊าซ ออกซิเจน คลอรีนไดออกไซด์ และน้ำ เพื่อให้ได้น้ำเยื่อที่มีความขาวประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ในการผลิต กระดาษน้ำเยื่อขาวๆที่ได้จะถูกนำไปใช้ในการผลิตกระดาษในโรงงานต่อไป เยื่อเปียกสีขาวจะถูกนำไปทำให้เป็นเยื่อแห้ง โดยนำเข้าเครื่องจักรขนาดใหญ่ขึ้นรูปเป็นแผ่น ดูดน้ำ ออกจากเยื่อ กดด้วยลูกกลิ้งรีดน้ำออก ซับน้ำ และนำไปอบให้แห้ง ในการทำให้แห้งนี้จะมีการเคลือบผิว กระดาษด้วยสารเคมี จากนั้นจะมีการฉาบผิวและเคลือบสีกระดาษด้วยน้ำแป้งและปูนขาว เมื่อได้กระดาษที่ แห้งเป็นแผ่นแล้วกระดาษจะถูกนำไปรีดผิวให้บางและเข้าม้วนเพื่อนำไปตัดเป็นม้วนขนาดเล็กหรือเป็นแผ่น เพื่อจำหน่ายต่อไป ประเภทกระดาษ แน่นอนทีเดียวในบรรดาขยะที่สามารถนำมารีไซเคิลได้นั้น ขยะประเภทกระดาษจะเป็นเสมือนวัสดุ ที่ย่อยสลายได้ง่ายมากที่สุด ประมาณ 2 – 5 เดือน เนื่องจากผลิตด้วยเยื่อไม้ธรรมชาติ แต่เป็นขนาดที่ สามารถย่อยสลายได้ง่าย ขยะกระดาษซึ่งถูกทับถมอยู่ใต้กองขยะจนแน่นทำให้ไม่มีแสงแดดไม่มีอากาศและ ความชื้นที่เป็นปัจจัยให้จุลินทรีย์สามารถเจริญเติบโตได้ ก็อาจจะต้องใช้เวลายาวนานถึง 50 ปี ในการย่อย สลาย กระดาษบางชนิดย่อยสลายได้ยากมากเนื่องจากมีวัสดุอื่น ๆ เคลือบหรือปะปนมาก เช่น ถ้วย กระดาษเคลือบ กระดาษห่อของขวัญที่เคลือบมันหรือปนฟอยล์ กล่องนมที่มีชั้นของพลาสติกและฟอยล์ที่ ต้องใช้เวลากว่า 10 ปีในการย่อยสลาย ทั้งไม่สามารถนำเข้าสู่ขบวนการรีไซเคิลได้ เพราะปริมาณทั้ง พลาสติกและฟอยล์ปนอยู่ในปริมาณที่สูง เมื่อนำมาย่อยจะได้เนื้อกระดาษน้อย ขณะที่ต้องแยกสิ่งเจือปนอื่น ออกไปฉะนั้นจึงทำให้ไม่คุ้มค่า กระดาษเหล่านี้เลยเป็นภาระของสิ่งแวดล้อมต่อไป บรรดากระดาษที่ติดกาว หรืออาบมันก็เช่นเดียวกันย่อยไม่สามารถนำมารีไซเคิลได้ เพราะความร้อนจะทำให้สารเคลือบกระดาษ ละลายแล้วไปอุดตันเครื่องจักร สร้างความเสียหายให้เกิดขึ้นได้


7 จากข้อมูลการวิจัยได้พบว่า กระดาษที่เรานำมาใช้นั้นมากับต้นไม้ โดยในการผลิตกระดาษ 1 ตัน เราจะใช้ต้นไม้ 17 ต้น ใช้น้ำมัน 31,500 ลิตร ใช้กระแสไฟฟ้า 4,100 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง ใช้น้ำ 3,000,000 ลิตร แต่ถ้าเราหันกลับมาใช้กระดาษรีไซเคิล เราจะใช้น้ำน้อยกว่า 100,000 ลิตร ใช้พลังงานเพียง 50% เท่านั้นโดยไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองต้นไม้ต้นใหม่เลย! การผลิตกระดาษรีไซเคิลจะเริ่มนำขยะกระดาษมาตีให้ ยุ่ย แล้วนำไปกระจายตัวในน้ำ นำไปกรองผ่านเครื่องกำจัดสิ่งสกปรกแล้วใช้ไอน้ำอุณหภูมิ 80 – 90 องศา เซลเซียส เพื่อละลายไขมันและพลาสติกที่ปนมากับเยื่อกระดาษ บีบเอาน้ำออก ทำการอบแห้งที่อุณหภูมิ 120 องศาเซลเซียส จะทำให้เชื้อโรคตายหมด แล้วจึงรีดให้เรียบ นำไปเคลือบและอบแห้งอีกหนก็จะได้ กระดาษที่พร้อมนำไปใช้งาน เราสามารถนำกระดาษรีไซเคิลใหม่ได้ 2 – 3 ครั้ง ซึ่งทำให้คุณภาพไม่ เปลี่ยนแปลง แต่แน่นอนที่เยื่อกระดาษจะสั้นลงเรื่อย ๆ กระทั่งถูกแยกออกไปเองในกระบวนการผลิตพร้อม กันนั้นจะต้องเติมเยื่อใหม่ลงไปจึงจะทำให้กระดารีไซเคิลคงความแข็งแรงอยู่ได้ เป็นกระบวนการที่ซับซ้อน กว่าปกติ ส่วนพวกกระดาษกล่องเคลือบที่ใช้ทำกล่องผงซักฟอก ยาสีฟัน ฯลฯ ก็จะมีการใช้เยื่อกระดาษรี ไซเคิลประมาณ 70 % สำหรับทำกระดาษชั้นในที่มีสีน้ำตาล เพราะด้านในของกล่องก็ไม่ได้เน้นความ สวยงามแต่ชั้นนอกสุดนั้นจะต้องพิมพ์ด้วยระบบสี จึงต้องใช้กระดาษใหม่ทั้ง 100 % พวกกระดาษเก่าที่ นำมาใช้นั้นจะเป็นกระดาษกล่องเก่าหรือกระดาษหนังสือพิมพ์ก็ได้ กระดาษสำนักงานหรือกระดาษปอนด์ขาวที่ผลิตมาจากเยื่อใหม่ ในปัจจุบันได้มีการนำไปรีไซเคิล โดยทำให้ผ่านกระบวนการกำจัดหมึกและฟอกขาวให้สะอาด แล้วออกมาเป็นกระดาษทิชชู ซึ่งในประเทศ เราส่วนใหญ่นั้นจะเป็นกระดาษทิชชูเนื้อหยาบหรือทิชชูที่มีสีชมพู ปัญหาของผลิตภัณฑ์กระดาษรีไซเคิล นอกจากจะมีสีหม่นไม่ขาวสะอาดแล้วปัจจุบันในการทิ้งขยะ ของบ้านเรายังรวมเอาขยะประเภทอื่น ๆ ปะปนทิ้งรวมกัน ทำให้สกปรกเมื่อนำมารีไซเคิล จึงทำให้เกิดเม็ด สกปรกในเนื้อกระดาษ ทำให้ติดเครื่องพิมพ์ด้วยเหตุเช่นนี้เขาจึงไม่นิยมกันที่จะใช้ผลิตหนังสือพิมพ์ ซึ่งถ้า แก้ไขโดยการใช้เทคโนโลยีและเครื่องจักรก็ถือว่าไม่คุ้มค่า จำเป็นต้องลงทุนสูงมาก... ฉะนั้นในการทิ้งขยะถ้า เรามีการแยกกระดาษออกจากของที่เหลือทิ้งอย่างอื่นก็จะเกิดประโยชน์และเป็นการดีมากสำหรับ กระบวนการรีไซเคิล ประเภทกระดาษที่วงการรับซื้อขยะได้ทำธุรกิจรับซื้อจะแยกออกเป็นแต่ละอย่างได้ดังนี้ - กระดาษน้ำตาล - กระดาษหนังสือ (หนังสือเล่ม) กระดาษย่อย - กระดาษหนังสือพิมพ์ - กระดาษปอนด์ขาว-ดำ - กระดาษสมุดนักเรียน - กระดาษคอมพิวเตอร์


8 กระดาษทั้ง 6 อย่างที่กล่าวถึงข้างต้น นั้นเป็นกระดาษที่รับซื้อและสามารถนำมารีไซเคิล ป้อน เป็นวัตถุดิบเข้าสู่โรงงานที่ผลิตเยื่อกระดาษ ขณะเดียวกันนั้นยังคงมีกระดาษที่ไม่ได้รับซื้อ ขยะจำพวก เหล่านี้ก็มี เช่น... กระดาษที่เคลือบด้วยพลาสติก โดยมีรายละเอียดตัวอย่างหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น กระดาษห่อของขวัญ , กล่องนม , กระดาษเปื้อนน้ำมันเครื่อง... และอีกประเภทที่ไม่มีการรับซื้อก็คือ กระดาษที่ทำจากฟาง มีอยู่หลายจำพวกเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นกล่องกระดาษที่บรรจุแอ๊ปเปิ้ลบางชนิด ที่ นำเข้ามาจากประเทศจีน นั้นเป็นเบื้องแรกที่ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับสินค้าที่เป็นขยะกระดาษ กระดาษที่ใช้แล้วเมื่อนำมาผลิตขึ้นใช้ใหม่มีกระบวนการที่ซับซ้อน โดยเฉพาะจะต้องกำจัดสีที่ ปนเปื้อนออกไปให้หมด เพราะการเจือปนเพียงเล็กน้อยก็อาจจะทำให้กระดาษที่ผลิตใหม่ใช้ประโยชน์ไม่ได้ ไฟเบอร์ในเนื้อกระดาษจะลดน้อยลง ทุกขั้นตอนของกระบวนการรีไซเคิล กระดาษที่ผลิตขึ้นใหม่จึงมี คุณภาพด้อยลง แต่อย่างไรก็ตามมั้นมีข้อจำกัดเป็นอย่างมากของกระดาษรีไซเคิลเหล่านั้น โดยเฉพาะ กระดาษหนังสือพิมพ์จะมีเพียง 3% ที่สามารถนำไปผลิตเป็นสิ่งพิมพ์ได้ใหม่ เพราะส่วนใหญ่แล้วกระดาษรี ไซเคิลจะเหมาะสมสำหรับทำเป็นกล่องบรรจุสินค้า หรือทำเป็นฝ้าเพดานและฉนวนกันความร้อนเท่านั้นเอง โรงงานผลิตกระดาษรีไซเคิลที่รับซื้อวัตถุดิบ กระดาษอัดก้อนจากร้านค้าของเก่าต่าง ๆ เช่น โรงงานสยามคร๊าฟท์ จังหวัดกาญจนบุรี (บริษัทในเครือซีเมนต์ไทย) โรงงานกระดาษเอเชียคร๊าฟท์ โรงงาน กระดาษปัญจพล ฯลฯ ในบรรดาขยะ Recycle นั้น กระดาษเป็นวัสดุที่ย่อยง่ายที่สุดเพราะผลิตจากเยื่อไม้ธรรมชาติโดย ปกติกระดาษจะมีระยะเวลาที่ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติประมาณ 2 เดือน แต่ถึงกระนั้นขยะกระดาษที่ถูก ทับถมอยู่ในกองขยะจนแน่น ไม่มีแสงแดด อากาศและความชื้นสำหรับให้จุลินทรีย์เจริญเติบโต ก็อาจต้องใช้ เวลาถึง 50 ปีในการย่อยสลาย กระดาษบางชนิดย่อยสลายได้ยากมากเนื่องจากมีวัสดุอื่น ๆ เคลือบหรือ ปะปนมาก เช่น ถ้วยกระดาษเคลือบ กระดาษห่อของขวัญที่เคลือบมันหรือปนฟอยล์ กล่องนมที่มีชั้นของ พลาสติก และฟอยล์ที่ต้องใช้เวลากว่า 10 ปีในการย่อยสลาย และไม่สามารถนำเข้าสู่กระบวนการ Recycle ได้เพราะมีปริมาณพลาสติกหรือฟอยล์ปนอยู่มาก เมื่อนำมาย่อยจะได้เนื้อกระดาษน้อย ในขณะที่ ต้องแยกสิ่งเจือปนออกไปซึ่งไม่คุ้มค่า กระดาษเหล่านี้จึงกลายเป็นภาระของสิ่งแวดล้อมต่อไป กระดาที่ติด กาวหรืออาบมันก็ไม่สามารถ Recycle เนื่องจากความร้อนจะทำให้สารเคลือบกระดาษละลาย แล้วไปอุด ตันเครื่องจักรทำให้เกิดความเสียหาย กระดาษที่เราใช้นั้นมาจากต้นไม้ ซึ่งในการผลิตกระดาษ 1 ตันจะใช้ต้นไม้ 17 ต้น ใช้น้ำมัน 31,500 ลิตร ใช้กระแสไฟฟ้า 4,100 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง และใช้น้ำ 3,000,000 ลิตร แต่ถ้าเราหันกลับมาใช้กระดา Recycle เราจะใช้น้ำน้อยกว่า 100,000 ลิตร ใช้พลังงานเพียง 50% โดยไม่ต้องใช้ต้นไม้ใหม่เลย


9 การผลิตกระดาษ Recycle จะเริ่มนำเศษกระดาษเก่ามาตีให้ยุ่ย แล้วนำไปกระจายตัวในน้ำนำไป กรองผ่านเครื่องกำจัดสิ่งสกปรก แล้วใช้ไอน้ำอุณหภูมิ 80 – 90 ํC ละลายไขมันและพลาสติกที่ปนมากับ เยื่อกระดาษ บีบน้ำออก อบแห้งที่ 120 ํC ทำให้เชื้อโรคตายหมดแล้วรีดให้เรียบ นำไปเคลือบและอบแห้ง อีกครั้ง ก็จะได้กระดาษที่พร้อมจะนำไปใช้งานได้ เราสามารถนำกระดาษมา Recycle ใหม่ได้ 2 – 3 ครั้ง โดยคุณภาพไม่เปลี่ยนเมื่อ Recycle ใหม่ เยื่อกระดาษจะสั้นลงเรื่อย ๆ จนถูกแยกออกไปเองในกระบวนการผลิตขณะเดียวกันก็เติมเยื่อใหม่ลงไปด้วย กระดาษ Recycle จึงยังคงความแข็งแรงอยู่ได้ กระดาษกล่องเคลือบที่ใช้ทำกล่องผงซักฟอก ยาสีฟัน ฯลฯ ใช้เยื่อกระดาษ Recycle 70% สำหรับ ทำกระดาษชั้นในที่มีสีน้ำตาล เพราะด้านในกล่องไม่เน้นความสวยงาม แต่ชั้นนอกสุดที่ต้องพิมพ์สีนั้นใช้ กระดาษใหม่ 100% กระดาษเก่าที่นำมาใช้นั้นก็เป็นกระดาษกล่องเก่าหรือกระดาษหนังสือพิมพ์ก็ได้ กระดาษสำนักงานหรือกระดาษปอนด์ขาวที่มาจากเยื่อใหม่ ปัจจุบันได้มีการนำไป Recycle โดย นำไปผ่านกระบวนการกำจัดหมึกและฟอกขาวให้สะอาด ออกมาเป็นกระดาษทิชชูกันแล้วซึ่งในบ้านเราส่วน ใหญ่จะใช้เป็นทิชชูเนื้อหยาบหรือทิชชูที่มีสีชมพูนั่นเอง ปัญหาของกระดาษ Recycle นอกจากจะมีสีหม่นไม่ขาวแล้ว ปัจจุบันการทิ้งขยะในบ้านเรายังรวม กับขยะอื่น ๆ ทำให้สกปรก เมื่อนำมา Recycle จึงทำให้เกิดเม็ดสกปรกในกระดาษ ทำให้ติดเครื่องพิมพ์ เขาจึงไม่นิยมใช้ผลิตหนังสือพิมพ์ ซึ่งถ้าแก้ไขโดยใช้เทคโนโลยีและเครื่องจักรก็อาจจะยังไม่คุ้ม ต้องลงทุนสูง มากถ้าเรามีการแยกกระดาษออกจากของอย่างอื่นก็จะดีมาก ใครเป็นผู้คนพบการทำกระดาษ? ศิลปะของการทำกระดาษถูกค้นพบเริ่มแรกที่ประเทศจีน โดยนายเชียลุน ได้รับการยกย่องและ บันทึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นผู้คิดค้นการทำกระดาษ ตั้งแต่ในยุคก่อนคริสต์ศักราช 105 โดยเขาได้ถวาย รายงานต่อจักรพรรดิถึงการที่เขาสามารถทำกระดาษจากเปลือกไม้ เศษผ้า ป่าน ปอและแหตกปลาเก่า ๆ ชาวจีนได้เก็บความรู้ในการทำกระดาษนี้ไว้เป็นความลับ จนกระทั่งเมื่อปี ค.ศ. 600 ความลับนี้ก็ได้ถูก เปิดเผยที่ญี่ปุ่น ต่อมาความรู้ในการทำกระดาษก็ได้แพร่ขยายไปที่อาหรับในปี ค.ศ. 751 ที่ไคโรในปี ค.ศ. 1000 ที่สเปนในปี ค.ศ. 1150 ที่อังกฤษในปี ค.ศ. 1490 ที่สวีเดนในปี ค.ศ. 1532 และในอเมริกาค้นพบเมื่อ ปี ค.ศ. 1690 เครื่องผลิตกระดาษถูกค้นพบเมื่อ 200 ปีมาแล้ว และการใช้เยื่อไม้เป็นวัตถุดิบในการทำกระดาษ ด้วยเครื่องผลิตกระดาษเพิ่งจะเป็นที่รู้จักประมาณ 150 ปี นับตั้งแต่นั้นมาเทคโนโลยีได้พัฒนาไปอย่าง รวดเร็ว การทำกระดาษในปัจจุบันส่วนใหญ่ใช้ขบวนการผลิตที่ทันสมัย


10 4. กาว กาวธรรมชาติที่ผลิตจากหนังและกระดูกสัตว์ได้จากการเคี่ยวเอ็นหนังและกระดูกสัตว์ผสมกับน้ำ แล้วปล่อยให้ตกสะเก็ดจนสามารถ ลอกออกเป็นชั้น ๆ ได้กาวที่ทำจากชิ้นส่วนของปลา ปกติจะเป็น ของเหลว และกาวที่ได้จากพืชได้แก่ ยางเหนียวของต้นไม้และแป้ง วัสดุประสานธรรมชาติทั้งหมดจะเสื่อม คุณภาพเมื่อผึ่งลมกับอากาศ เช่นวัสดุที่เป็นแป้งเปียก ัสดุประสานเหล่านี้ปกติเป็นส่วนผสมของแป้งกับน้ำ เช่น กาว ยางไม้ (ยางสน)หรือน้ำยางเหนียว ยางไม้ถูกใช้งานมากเพราะว่ายางไม้จะไม่หดตัวการที่มีฐานเป็น แป้งสามารถลอกออกโดย การขัดถู กาวจำนวนมากทำจากแป้งมันสำปะหลังและใช้เป็นตัวประสาน เช่น ปิดฉลากและแสตมป์ รากของต้นมันสำปะหลังที่เป็นแป้ง แป้งข้าวโพดและแป้งจากมันฝรั่งใช้เป็นตัว ประสานในไม้อัด เกรดต่ำ ยางธรรมชาติมีการยึดเกาะกันสูงและติดกันอย่างแข็งแรง และมีความเหนียว เริ่มต้นดี กาวยางมีกรรมวิธีการผลิตโดยการใช้ยางที่ไม่ได้อบด้วยความร้อนผสมกับสารละลายเคมีกาวยาง ชนิดที่ไม่ได้อบด้วยความร้อนจะกันน้ำและ มีความแข็งแรงขั้นต้นดี และจะสลายตัวได้ดีกาวยางชนิดอบด้วย ความร้อนก็กันน้ำได้ด้วย และมีความแข็งแรงกว่ากาวยางชนิดที่ไม่ได้อบ กาวเซลลูโลส (cellulose glue) ตัวประสานไพรอกไซลีน (pyroxylin) ทำจากไนโตรเซลลูโลส (ฟิล์มภาพยนต์) และสารละลายเคมี เช่น อีเธอร์ แอลกอฮอล์มีลักษณะเป็นวุ้น ปกติจะยืดหยุ่นเมื่อผสมกับ ยางเหนียวหรือยางสน ทำให้มีคุณสมบัติติดแน่นมากในทุก ๆ ผิวงานมีความเหนียว เริ่มต้นต่ำมากจะต้องอบด้วยความร้อนโดยการกลายเป็นไอของสารละลายมีความต้านทานต่อความร้อน และเปลวไฟต่ำกาวเหล่านี้ใช้ในอุตสาหกรรม รองเท้า การสังเคราะห์เซลลูโลสอะซีเตตมีคุณสมบัติทนต่อ ความร้อนดีแต่มีคุณสมบัติต่ำมากต่อการตากแดดตากลมต่ำกว่ากาวไนโตรเซลลูโลส กาวเซลลูโลสอะซีเตตบิวไทเรตจะมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับกาวอะซีเตต ยกเว้นบิวไทเรตมีความ ต้านทานต่อความชื้นดีเป็นกาวที่ผลิตจากพลาสติกประเภทเทอร์โมเซตติงและประเภทเทอร์โมพลาสติก เทอร์โมเซตติงไม่สามาถให้ความร้อนได้อีกหลังจากมัน ได้รับการอบด้วยความร้อนแล้วแต่เทอร์โมพลาสติก สามารถทำให้อ่อนได้อีกโดยการให้ความร้อนอีกครั้ง หรือด้วยสารละลาย


11 กาวแป้งเปียก สมัยก่อนกาวแป้งเปียกนิยมมาก เพราะยังไม่มีกาวขายมากมายจนเลือกไม่ถูกเหมือนปัจจุบันนี้ แต่ปัจจุบันยังคงมีกลุ่มอาชีพหนึ่งที่ยังคงใช้กาวแป้งเปียกนี้อยู่คือช่างตัดเย็บเสื้อผ้า ลองนำไปทำดูครับอาจได้ ตลาดดีๆไม่มีใครแย่งก็ได้ สูตร แป้งสาลี 1/2 กก. น้ำสะอาด 2 ลิตร สารส้มบดละเอียด 2 ช้อนชา กลีเซอรีน 100 ซีซี กรดคาร์บอนิค 3 ซีซี น้ำมันกานพลู 3 ซีซี ตารางที่ 1 การทำกาวแป้งเปียก วิธีทำ 1. เทน้ำใส่ภาชนะ เทแป้งที่ร่อนแล้วและสารส้มลงไปละลายยกขึ้นตั้งไฟอ่อนๆ กวน ส่วนผสมไปเรื่อยๆจน ข้น ระหว่างนี้ห้ามหยุดกวนเพราะกาวจะไหม้ 2. ใส่ส่วนผสมที่เหลือลงไปทั้งหมด กวนให้เป็นเนื้อเดียวกัน เสร็จแล้วบรรจุลงภาชนะที่มีฝาปิด 5. กล้วย กล้วยเป็นไม้ผลเขตร้อน ที่มีถิ่นกำเนิดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผลสุกนอกจากจะใช้ รับประทานเป็นผลไม้แล้ว ยังสามารถนำมาปรุงอาหารคาวหวาน และแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป ชนิดต่าง ๆ อีกหลายชนิด ได้แก่ กล้วยตาก ท๊อปฟี่กล้วยทอด กล้วยบวชชีกระป๋อง กล้วยในน้ำเชื่อม กระป๋อง เป็นต้น ส่วนใบตองสดสามารถนำไปใช้ห่อของ ทำงานประดิษฐ์ศิลปต่าง ๆ ได้แก่ กระทง บายศรี ใบตองแห้งใช้ทำกระทงใส่อาหาร และใช้ห่อผลไม้เพื่อให้มีผิวสวยงามและป้องกันการทำลายของแมลงก้าน ใบและกาบกล้วยแห้งใช้ทำเชือก กาบสดใช้สำหรับการแทงหยวกประกอบเมรุในการฌาปนกิจศพ หัวปลี (ดอกกล้วยน้ำว้า) ยังใช้รับประทานแทนผักได้ดีอีกด้วย สำหรับคุณค่าทางอาหาร กล้วยเป็นผลไม้ที่อุดมไป ด้วยคาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินเอ เนื่องจากกล้วยเป็นพืชที่ใช้ต้นทุนการผลิตต่ำอีก ทั้งปลูกแล้วดูแลรักษาง่ายให้ผลผลิตเร็ว และเจริญเติบโตได้ดีในทุกภาคของประเทศไทย รวมทั้งตลาดยังมี ความคล่องตัวสูงทั้งตลาดภายในประเทศและตลาดส่งออก กล้วยจึงเป็นไม้ผลที่เกษตรกรควรพิจารณาปลูก เป็นการค้าทั้งในลักษณะพืชหลักหรือแซมพืชอื่น ๆ เป็นการเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรได้อีกทางหนึ่ง


12 กล้วยน้ำว้า ตลาดส่วนใหญ่เป็นตลาดกล้วยสดเพื่อการบริโภคได้แก่ ตลาดท้องถิ่น ตลาดประจำจังหวัด และ ตลาดกลางกรุงเทพฯ ได้แก่ ตลาด อตก. ตลาดสี่มุมเมือง ตลาดไท ฯลฯ ราคาที่เกษตรกรขายได้ในปี 2537 กิโลกรัมละ 3.22 บาท นอกจากนี้ กล้วยน้ำว้ายังสามารถส่งโรงงานแปรรูปต่าง ๆ เช่น โรงงานทำกล้วยตาก กล้วยกวน กล้วยทอด กล้วยฉาบ ภาพที่ 4 กล้วยน้ำว้า พันธุ์กล้วยที่ปลูกเป็นการค้า 1. กล้วยน้ำว้า เป็นกล้วยที่มีการปลูกกันอย่างแพร่หลายทั่วทุกภาคของประเทศไทยสามารถทนทานสภาพ ดินฟ้าอากาศได้ดีกว่ากล้วยพันธุ์อื่น ๆ การดูแลรักษาง่าย การใช้ประโยชน์จากผล ต้น ใบ ดอก มากกว่า กล้วยชนิดอื่น ๆ ลำต้นสูงปานกลาง เมื่อสุก มีรสชาติหวาน เนื้อแน่น สีเหลืองอ่อน กล้วยน้ำว้าสามารถ จำแนกเป็นพันธุ์ต่าง ๆ ดังนี้ 1.1 กล้วยน้ำว้าแดง สีเนื้อของผลมีไส้กลางสีแดง 1.2 กล้วยน้ำว้าขาว สีเนื้อของผลมีไส้กลางสีเหลือง 1.3 กล้วยน้ำว้าเหลือง สีเนื้อของผลมีไส้กลางสีเหลือง 1.4 กล้วยน้ำว้าค่อม เป็นกล้วยที่ลำต้นเตี้ยหรือแคระ 2. กล้วยหอมทอง เป็นกล้วยที่มีลักษณะลำต้นใหญ่ แข็งแรง กาบใบชั้นในมีสีเขียวหรือชมพูอ่อน เครือได้ รูปทรงมาตรฐาน มีน้ำหนักมาก ผลยาวเรียว ปลายผลคอดเป็นแบบคอขวด เปลือกหนา ผลสุกผิวมีสีเหลือง ทอง เนื้อมีรสชาติหอมหวาน โดยเฉลี่ยเครือหนึ่ง ๆ จะมีประมาณ 6 หวี เป็นพันธุ์ที่ไม่ต้านทานโรคตาย พราย และโรคใบจุด 3. กล้วยหอมเขียว เป็นกล้วยที่มีลักษณะทั่ว ๆ ไป คล้ายกล้วยหอมทอง แต่กล้วยหอมเขียวกาบใบชั้นในมี สีแดงสด ปลายผลมน ผลสุกมีสีเหลืองอมเขียว เปลือกหนา เป็นที่นิยมของผู้บริโภคในตลาดต่างประเทศ นอกจากนี้ กล้วยหอมเขียวยังต้านทานโรคตายพรายได้ดี แต่อ่อนแอต่อโรคใบจุด 4. กล้วยหอมค่อม เป็นกล้วยหอมอีกชนิดหนึ่งลำต้นเตี้ย หรือแคระ ผลมีลักษณะคล้ายกล้วยหอมเขียว เนื้อ รสชาติดี จึงมีชื่อว่า กล้วยหอมเขียวเตี้ยอีกด้วย


13 5. กล้วยไข่ เป็นกล้วยที่มีลำต้นสูงบาง สีใบและก้านใบสีเหลืองอ่อน ไม่มีนวล กาบใบมีสีน้ำตาลหรือสีช็อค โกแลต เครือเล็ก ผลมีขนาดเล็ก เปลือกบาง เมื่อสุกมีสีเหลืองเข้ม เนื้อแน่ สีเหลืองรสหวาน เจริญเติบโตได้ ดีในที่ร่ม ต้านทานโรคตายพราย แต่อ่อนแอต่อโรคใบจุด 6. กล้วยหักมุข เป็นกล้วยที่มีลำต้นขนาดปานกลาง ลำต้นมีสีเขียวนวล ผลโต เป็นเหลี่ยม สีเขียวนวล ปลายผลเรียว ผลเมื่อสุกสีเหลืองนวล เปลือกหนามีรอยแตกลายงาเนื้อฟู สีเหลืองเข้มเหมาะสำหรับนำมา ทำกล้วยปิ้ง กล้วยเชื่อม ภาพที่ 5 กล้วยหักมุข 7. กล้วยเล็บมือนาง เป็นกล้วยที่มีลำต้นค่อนข้างเล็กไม่สูงมากนัก ผลขนาดเล็ก ปลายผลเรียวแหลม ผลสุก มีสีเหลืองเข้ม เนื้อแน่น รสชาดหอมหวาน ใช้สำหรับรับประทานสุก หรือทำเป็นกล้วยตา เป็นพันธุ์ที่ปลูก เป็นการค้าทางภาคใต้ของประเทศไทย จังหวัดที่ปลูกเป็นการค้ามากคือ จังหวัดชุมพร ภาพที่ 6 กล้วยเล็บมือนาง


14 ฤดูกาลปลูกกล้วย การปลูกกล้วยให้ได้ผลดี ควรปลูกในช่วงต้นฤดูฝน เริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ซึ่งดินมีความชุ่มชื้น ในช่วงฤดูฝนเหมาะสำหรับการเจริญเติบโตทางลำต้นและออกปลีจนสามารถเก็บเกี่ยวกล้วยได้ในช่วงปลาย ฤดูฝนพอดีแต่อย่างไรก็ตามสำหรับการปลูกกล้วยในเขตชลประทานที่มีน้ำเพียงพอ สามารถดำเนินการได้ ตลอดเวลา กล้วยที่กำหนดเวลาปลูกให้เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการของตลาดผู้บริโภค ได้แก่ 1. กล้วยไข่ควรได้ผลผลิตที่สามารถเก็บเกี่ยวได้ในช่วงสารทไทย ไหว้พระจันทร์ ชาวสวนส่วนใหญ่จะเริ่ม ปลูกในราวเดือนเมษายน-พฤษภาคม ซึ่งจะทำให้สามารถเก็บเกี่ยวกล้วยได้ในช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคม 2. กล้วยหอม การปลูกกล้วยเป็นการค้าสำหรับตลาดภายในประเทศก็เช่นเดียวกันกับกล้วยไข่ เกษตรกร คาดหวังว่าจะเก็บเกี่ยวกล้วยขายในช่วงสารทไทย ไหว้พระจันทร์ และกินเจ ซึ่งจะทำให้ราคากล้วยสูงกว่า ช่วงปกติ แต่สำหรับการผลิตกล้วยหอมเพื่อการส่งออกนั้น ส่วนใหญ่จะทำการผลิตในลักษณะรวมกลุ่มใหญ่ เพื่อผลิตกล้วยส่งให้ตลาดผู้ส่งออกอย่างต่อเนื่อง เช่น การผลิตกล้วยหอมทองของสหกรณ์การเกษตรท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี เป็นต้น ซึ่งการผลิตจะต้องมีการวางแผนการผลิตให้สามารถเก็บเกี่ยวตามที่ตลาดส่งออก


15 บทที่ 3 วิธีดำเนินการทดลอง วัสดุอุปกรณ์ 1. กระดาษที่ปั่นละเอียดแล้ว 2. กาบกล้วยที่ปั่นละเอียด 3. กาวลาเท็กซ์ 4. กาวแป้งเปียก 5 ผ้าขาวบาง 6. ขวดน้ำพลาสติกหรือวัสดุเหลือใช้ที่สามารถนำมาทำเป็นแม่พิมพ์ได้ 7. เครื่องชั่ง 8. ถังน้ำ วิธีการทดลอง ตอนที่1 การทำกระถางเพาะชำต้นไม้จากกระดาษ 1. นำกระดาษ มาฉีกเป็นชิ้นเล็กๆแล้วแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน 2. นำกระดาษที่แช่น้ำทิ้งไว้มาปั่นให้ละเอียด 3. กรองเอาน้ำออกให้เหลือแต่กระดาษ แล้วชั่งกระดาษ 500 กรัม ผสมกันกาวลาเท็กซ์ 100 กรัม 4. นวดให้เข้ากัน และชั่งน้ำหนัก ให้ได้ชิ้นละ 250 กรัม จากนั้นนำไปบุในถ้วยพลาสติกรูปแบบ ต่างๆ 5. ตากแดด 1 วัน จากนั้นแกะพลาสติกออก และตากแดดต่อไปอีก 1-2 วันเพื่อให้แห้งสนิท 6. สังเกตลักษณะของกระถางที่ได้แล้วบันทึกผล ตอนที่ 2 การนำเส้นใยจากกาบกล้วยมาผสมเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับกระถาง เพาะชำต้นไม้ 1. นำกาบกล้วยมาขูดเอาแต่เส้นใยด้านนอก หั่นเป็นชิ้นเล็กๆแล้วนำไปปั่นให้ละเอียด 2. นำกระดาษที่ปั่นละเอียดแล้ว 500 กรัม ผสมกับกาบกล้วย 100 กรัม เติมน้ำลงไปเพื่อ ผสมให้เข้ากันแล้วกรองน้ำออกให้หมด แล้วผสมกับกาวลาเท็กซ์ 100 กรัม 3. นวดให้เข้ากัน จากนั้นนำไปชั่งให้ได้ชิ้นละ 250 กรัม นำไปบุในถ้วยพลาสติกรูปแบบต่างๆ นำไปตากแดด 1 วัน แล้วแกะออก ตากเพิ่มอีกประมาณ 1-2 วันเพื่อให้แห้งสนิท 4. สังเกตลักษณะของกระถางโดยนำไปเปรียบเทียบกันกับกระถางในการทดลองตอนที่ 1


16 ภาพแสดงการทดลอง ภาพที่ 7 กระดาษและกาบกล้วยที่แช่น้ำและนำมาปั่นให้ละเอียด ภาพที่8 กระดาษที่ปั่นละเอียดแล้ว 500 กรัม ผสมกับกาบกล้วย 100 กรัม เติมน้ำลงไปเพื่อผสม ให้เข้ากันแล้วกรองน้ำออกให้หมด ภาพที่ 9 นำส่วนผสมมาผสมกาวแล้วนวดให้เข้ากัน ภาพที่ 10 นำไปตากแดด 1 วัน แล้วแกะออกตากเพิ่มอีกประมาณ 1-2 วันเพื่อให้แห้งสนิท


17 ตอนที่ 3 เปรียบเทียบปริมาณกาวลาเท็กซ์ที่เหมาะสมในการทำกระถางเพาะชำต้นไม้ ตารางที่ 2 แสดงการเปรียบเทียบปริมาณกาวลาเท็กซ์ ที่เหมาะสมในการทำกระถางเพาะชำต้นไม้ ส่วนผสม ปริมาณ ( กรัม ) ส่วนผสมที่ 1 ส่วนผสมที่ 2 กระดาษ เส้นใยจากกาบกล้วย กาวลาเท็กซ์ 500 100 150 500 100 300 • หมายเหตุ ผสมส่วนผสมตามปริมาณที่กำหนด และทำการทดลอง เหมือนตอนที่ 2 ตอนที่ 4 เปรียบเทียบชนิดของกาวที่มีผลต่อคุณภาพของกระถางเพาะชำต้นไม้ ตารางที่ 3 แสดงการเปรียบเทียบชนิดของกาวที่มีผลต่อคุณภาพของกระถางเพาะชำต้นไม้ การทดลองชุดที่ 1 การทดลองชุดที่ 2 ส่วนผสม ปริมาณ (กรัม) ส่วนผสม ปริมาณ (กรัม) กระดาษ กาบกล้วย กาวลาเท็กซ์ 500 100 300 กระดาษ กาบกล้วย กาวแป้งเปียก 500 100 300 • หมายเหตุ ผสมส่วนผสมตามปริมาณที่กำหนด และทำการทดลอง เหมือนตอนที่ 2 1. จากนั้นนำกระถางเพาะชำต้นไม้ที่ประดิษฐ์ได้ไปทดลองเพาะชำต้นไม้ รดน้ำวันละ 50 มิลลิลิตร เช้าเย็นเป็นเวลา 1 สัปดาห์ สังเกตลักษณะของกระถางเพาะชำต้นไม้ แล้ว บันทึกผล 2. นำกระถางเพาะชำต้นไม้ในข้อที่ 1 ไปปลูกลงในดิน และสังเกตผลการทดลองเป็นเวลา 1 เดือน แล้วบันทึกผลลักษณะของกระถางเพาะชำต้นไม้ สัปดาห์และ 1 ครั้ง


18 บทที่ 4 ผลการทดลอง ตารางที่ 4 ระดับคุณภาพของกระถางเพาะชำต้นไม้ คุณภาพของกระถาง ระดับคุณภาพ เนื้อกระถางเรียบ ไม่มีรอยร้าว แกะออกจากพิมพ์ง่าย ดีมาก เนื้อกระถางเรียบ ไม่มีรอยร้าว แกะออกจากพิมพ์ยาก ดี เนื้อกระถางเรียบ มีรอยร้าวเล็กน้อย แกะออกจากพิมพ์ง่าย ปานกลาง เนื้อกระถางขรุขระ มีรอยร้าวเล็กน้อย แกะออกจากพิมพ์ยาก พอใช้ เนื้อกระถางขรุขระ มีรอยร้าวมาก แกะออกจากพิมพ์ยาก ปรับปรุง ตอนที่ 1 การทำกระถางเพาะชำต้นไม้จากกระดาษ ตอนที่ 2 การนำเส้นใยจากกาบกล้วยมาผสมเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับกระถาง เพาะชำ ต้นไม้ ตารางที่ 5 ผลการเปรียบเทียบระดับคุณภาพของกระถางเพาะชำต้นไม้ที่มีส่วนผสมของ กาบกล้วยและไม่มีส่วนผสมของกาบกล้วย ส่วนผสมของกระถาง ลักษณะของกระถาง ระดับคุณภาพ กระดาษ + กาวลาเท็กซ์ เนื้อกระถางขรุขระ มีรอยร้าวมาก และออกจากพิมพ์ยาก ปรับปรุง กระดาษ + กาบกล้วย + กาวลาเท็กซ์ เนื้อกระถางขรุขระเล็กน้อย มีรอยร้าวเล็กน้อย และออกจากพิมพ์ยาก พอใช้


19 ตอนที่ 3 เปรียบเทียบปริมาณกาวลาเท็กซ์ที่เหมาะสมในการทำกระถางเพาะชำต้นไม้ ตารางที่ 6 เปรียบเทียบปริมาณกาวลาเท็กซ์ที่มีผลต่อคุณภาพของกระถางเพาะชำต้นไม้จากกระดาษ ส่วนผสมของกระถาง (กรัม) ลักษณะของกระถาง ระดับคุณภาพ กระดาษ 500 กรัม กาบกล้วย 100 กรัม กาวลาเท็กซ์ 150 กรัม เนื้อกระถางมีรอยร้าวเล็กน้อย เนื้อเรียบ แกะออกจากพิมพ์ง่าย ปานกลาง กระดาษ 500 กรัม กาบกล้วย 100 กรัม กาวลาเท็กซ์ 300 กรัม เนื้อกระถางเรียบไม่มีรอยร้าว แกะออกจากพิมพ์ยาก ดี ตอนที่ 4 เปรียบเทียบชนิดของกาวที่มีผลต่อคุณภาพของกระถางเพาะชำต้นไม้ ตารางที่ 7 เปรียบเทียบชนิดของกาวลาเท็กซ์ และกาวแป้งเปียก ในการทำกระถางเพาะชำต้นไม้ ส่วนผสมของกาวที่ใช้ทำ กระถาง ลักษณะของกระถาง ระดับคุณภาพ กาวลาเท็กซ์ เนื้อกระถางเรียบไม่มีรอยร้าว แกะออกจากพิมพ์ยาก ดี กาวแป้งเปียก เนื้อกระถางเรียบไม่มีมีรอยร้าว แกะออกจากพิมพ์ง่าย ดีมาก


20 ตารางที่ 8 เปรียบเทียบผลการเพาะชำต้นไม้ในกระถาง เป็นเวลา 1 สัปดาห์ ส่วนผสมของกระถาง ลักษณะของกระถาง รูปภาพของกระถาง กระดาษ 500 กรัม กาบกล้วย 100 กรัม กาวลาเท็กซ์ 300 กรัม มีรอยร้าวเล็กน้อย ใช้มือกดยุบ ก้นกระถางนิ่มมาก กระดาษ 500 กรัม กาบกล้วย 100 กรัม กาวแป้งเปียก 300 กรัม มีรอยร้าวเล็กน้อย ใช้มือกดยุบ ก้นกระถางเปื่อยมาก ภาพที่ 15-18 แสดงผลการทดลองเพาะชำต้นไม้เป็นเวลา 1 สัปดาห์


21 ตารางที่ 9 ผลการสังเกตกระถางเพาะชำต้นไม้ เมื่อนำปลูกลงดินพร้อมต้นไม้ เป็นเวลา 1 เดือน ส่วนผสมของกระถาง ลักษณะที่สังเกตได้ในในแต่ละสัปดาห์ สัปดาห์ที่ 1 สัปดาห์ที่ 2 สัปดาห์ที่ 3 สัปดาห์ที่ 4 กระดาษ 500 กรัม กาบกล้วย 100 กรัม กาวลาเท็กซ์ 300 กรัม กระถางนิ่ม กระถางนิ่มและ อ่อนตัวมากขึ้น กระถางนิ่มและ เปื่อยยุ่ย กระถางนิ่มเส้นใย กระดาษและเส้น ใยกล้วยหลุด ออกมา ต้นไม้ เจริญงอกงามดี กระดาษ 500 กรัม กาบกล้วย 100 กรัม กาวแป้งเปียก 300 กรัม กระถางนิ่มไม่ เป็นรูปทรง กระถางนิ่ม อ่อน ตัวเส้นใยกาบ กล้วยเริ่มหลุด กระถางนิ่มและ เปื่อยยุ่ยเส้นใย กาบกล้วยหลุด ออกมากขึ้น กระถางเปื่อยยุ่ย เส้นใยจากกาบ กล้วยหลุดออก มาก กระถางไม่ เป็นรูปทรง ต้นไม้ เจริญเติบโตดี


22 บทที่ 5 สรุปผลและอภิปรายผลการทดลอง สรุปผลการทดลอง ตอนที่ 1 การทำกระถางเพาะชำต้นไม้จากกระดาษ จากการทดลองนำกระดาษ และ กาวลาเท็กซ์ มาทำกระถางเพาะชำต้นไม้ กระถางมีเนื้อเรียบ มีรอยร้าวมาก และแกะออกจากพิมพ์ยาก คุณภาพกระถางอยู่ในระดับปรับปรุง ตอนที่ 2 การนำเส้นใยจากกาบกล้วยมาผสมเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับกระถางเพาะชำต้นไม้ จากการทดลอง นำกระดาษ เส้นใยจากกาบกล้วย และกาวลาเท็กซ์ มาทำกระถางเพาะชำต้นไม้ กระถางมีลักษณะ ขรุขระมีรอยร้าวเล็กน้อย แกะออกจากพิมพ์ยาก คุณภาพกระถางอยู่ในระดับพอใช้ ตอนที่ 3 เปรียบเทียบปริมาณกาวลาเท็กซ์ที่เหมาะสมในการทำกระถางเพาะชำต้นไม้ จากการทดลองเปรียบเทียบปริมาณ กาวลาเท็กซ์ที่เหมาะสมในการทำกระถางเพาะชำต้นไม้ กระถางที่ผสมกาวลาเท็กซ์ 150 กรัม กระถางมีรอยร้าว เล็กน้อย เนื้อเรียบแกะออกจากพิมพ์ง่ายคุณภาพ กระถางอยู่ในระดับปานกลาง ส่วนกระถางที่ผสมกาวลาเท็กซ์ 300 กรัม กระถางมีเนื้อเรียบไม่มีรอยร้าว แต่แกะออกจากพิมพ์ยากคุณภาพอยู่ในระดับดี ตอนที่ 4 เปรียบเทียบชนิดของกาวที่มีผลต่อคุณภาพของกระถางเพาะชำต้นไม้ จากการทดลอง เปรียบเทียบ ชนิดของกาว ในการทำกระถางเพาะชำต้นไม้ กระถางที่มี ส่วนผสมของกาวลาเท็กซ์ เนื้อกระถางเรียบ ไม่มีรอยร้าว และแกะออกจากพิมพ์ยากคุณภาพของกระถาง อยู่ในระดับดีกระถางที่มีส่วนผสมของกาวแป้งเปียกเนื้อกระถางเรียบ ไม่มีรอยร้าว แกะออกจากพิมพ์ ง่าย คุณภาพกระถางอยู่ในระดับ ดีมาก เมื่อนำกระถางไปเพาะชำต้นไม้เป็นเวลา 7 วัน กระถางเพาะชำต้นไม้ที่มีส่วนผสมของ กาวลาเท็กซ์กระถางมีรอยร้าว เมื่อใช้มือกดกระถางยุบ ก้นกระถางนิ่ม ส่วนกระถางที่มีส่วนผสมของ กาว แป้งเปียก กระถางมีรอยร้าว เนื้อกระถางนิ่ม ใช้มือกดยุบ ก้นกระถางเปื่อย และเมื่อนำกระถางเพาะชำต้นไม้ที่มีต้นไม้อยู่ไปปลูกลงดิน แล้วสังเกตการทดลองเป็นเวลา 1 เดือน ปรากฏว่ากระถางที่มีส่วนผสมของการลาเท็กซ์กระถางนิ่มเส้นใยกาบกล้วยหลุดออกมา ต้นไม้ เจริญเติบโตดี ส่วนกระถางที่มีส่วนผสมของกาวแป้งเปียก เนื้อกระถางเปื่อยยุ่ย เส้นใยกาบกล้วยหลุด ออกมาไม่เป็นรูปทรง ต้นไม้เจริญเติบโตดี


23 อภิปรายผลการทดลอง 1. กาวทั้ง 2 ชนิดที่นำเป็นส่วนผสมของกระถางมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน กาวลาเท็กซ์ทำให้ กระถางมีคุณภาพดีสะดวกในการใช้แต่มีราคาแพงและแกะออกจากพิมพ์ยาก กาวแป้งเปียกทำให้ กระถางมีคุณภาพดีที่สุดและประหยัดค่าใช้จ่าย แต่มีขั้นตอนในการทำยุ่งยาก 2. เมื่อผสมส่วนผสมในการทำกระถางเพาะชำต้นไม้เรียบร้อยแล้ว ควรนำไปบุในแม่พิมพ์พลาสติก ทันที เพราะถ้าบุช้าจะทำให้ส่วนผสมแข็งตัวและปั้นยาก ข้อเสนอแนะ 1. สามารถนำเส้นใยจากพืชชนิดอื่นมาเพิ่มความแข็งแรงให้กับกระถางได้ เช่น เส้นใยจากสับปะรด ผักตบชวา 2. เมื่อนำต้นไม้ไปเพาะชำในกระถาง ไม่ควรรดน้ำมากเกินไป จะทำให้อายุการใช้งานสั้นลง 3. ข้อดีของกระถางเพาะชำต้นไม้จากกระดาษนี้คือ สามารถปลูกลงไปในดินพร้อมกับต้นไม้ได้เลย โดยไม่ต้องแกะออกเหมือนถุงพลาสติกสีดำ 4. กระถางเพาะชำต้นไม้ที่ประดิษฐ์ได้นอกจากจะใช้เพาะชำ และปลูกต้นไม้แล้วสามารถระบายสีให้ สวยงามเพื่อใช้ประดับตกแต่งในห้องเรียนได้ ประโยชน์ที่ได้รับ 1. ลดการใช้ถุงพลาสติกสีดำในการเพาะชำต้นไม้ 2. กระถางเพาะชำต้นไม้ที่ประดิษฐ์เมื่อนำไปปลูกลงดินจะย่อยสลายกลายเป็นปุ๋ยให้กับต้นไม้ 3. สามารถนำสิ่งของที่เหลือใช้กลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ 4. ลดปัญหาขยะ ไม่ทำให้เกิดมลพิษทางดิน และช่วยลดภาวะโลกร้อน 5. ได้นำพืชที่มีอยู่ในท้องถิ่น คือกาบกล้วย มาช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับกระถางเพาะชำต้นไม้ 6. ช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม


24 บรรณานุกรม สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ.โครงงานกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์. สำนักพิมพ์พัฒนาคุณภาพวิชาการ,กรุงเทพ ฯ,2545. http:// www.school.net.th http:// www.oknation.net http:// www.ku.ac.th http:// www.material.chula.ac.th


ภาคผนวก


ภาพที่ 1 การเพาะชำต้นไม้ที่ใช้ถุงดำ ภาพที่ 2 ถุงดำที่แกะต้นไม้ปลูกแล้วทำให้ต้องทิ้งกลายเป็นขยะ และทำลาย สิ่งแวดล้อม


ภาพที่ 3 กระดาษและกาบกล้วยที่ปั่นเรียบร้อยแล้ว ภาพที่ 4 นวดส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน


ภาพที่ 5 ตากกระถางเพาะชำให้แห้งสนิท ภาพที่ 6 กระถางที่นำมาเพาะชำต้นไม้เพื่อรอปลูกลงดิน


ภาพที่ 7 กระถางเพาะชำที่มีส่วนผสมของกาวแป้งเปียก ภาพที่ 8 กระถางเพาะชำที่มีส่วนผสมของกาวลาวเท็กซ์


Click to View FlipBook Version