1
การสะทอ นคดิ ปรชั ญาการศึกษาและความเปนครู
โดย
นายปยะพงษ บัวแกว รหสั 64919402004
รายงานนี้เปน สว นหนึง่ ของรายวชิ านวัตกรรมและเทคโนโลยีฯ
สาขาหลักสูตรและการเรยี นการสอน รนุ ท่ี 8 (ภาคพเิ ศษ)
นักศึกษาหลักสตู รครุศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวชิ าหลกั สูตรและการเรียน
การสอนมหาวิทยาลัยราชภฏั รอยเอ็ด
2
การสะทอนคดิ หมายถงึ การคิดใครครวญอยางถถ่ี วน ยอนกลบั ในประเดน็ ตา งท่ี ๆ ที่ไดร ับประสบการณ
ไปแลว เพ่ือแลกเปลยี่ นประสบการณในเร่ืองนน้ั ใหเ ปนการเรยี นรูและความรู
1. รปู แบบการเรยี นการสอนท่ีเนนการพฒั นาดา นพุทธพิ สิ ัย
รปู แบบการเรียนการสอนทีเ่ นนการพัฒนาดานพทุ ธิพิสัย(cognitive domain)
รปู แบบการเรยี นการสอนในหมวดน้ี เปน รูปแบบการเรียนการสอนทีม่ ุงชวยใหผ ูเ รยี นเกิดความรู
ความเขา ใจในเน้ือหาสาระตา ง ๆ ซ่ึงเนือ้ หาสาระนน้ั อาจอยูในรปู ของขอมูล ขอ เท็จจรงิ มโนทศั น หรอื
ความคดิ รวบยอด รปู แบบท่คี ัดเลอื กมานําเสนอในทีน่ ม้ี ี 5 รปู แบบ ดงั น้ี
1.1 รูปแบบการเรยี นการสอนมโนทัศน (Concept Attainment Model)
ก. ทฤษฎ/ี หลกั การ/แนวคิดของรปู แบบ
จอยสแ ละวลี (Joyce & Weil, 1996: 161-178) พัฒนารปู แบบนขี้ ึ้นโดยใชแ นวคดิ ของบรุนเนอร กดู นาว
และออสตนิ (Bruner, Goodnow, และ Austin) การเรยี นรมู โนทศั นข องสง่ิ ใดส่งิ หนง่ึ น้นั
สามารถทําไดโดยการคนหาคุณสมบัตเิ ฉพาะที่สําคัญของสิ่งนั้น เพื่อใชเ ปนเกณฑในการจําแนกส่งิ ทใี่ ชแ ละ
ไมใ ชส ่งิ นัน้ ออกจากกันได
ข. วัตถปุ ระสงคข องรูปแบบ
เพ่ือชวยใหผ ูเรียนเกดิ การเรียนรมู โนทศั นข องเนื้อหาสาระตาง ๆ อยา งเขาใจ และสามารถให
คํานยิ ามของมโนทศั นน้ันดว ยตนเอง
ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
ขั้นท่ี 1 ผูส อนเตรยี มขอมูลสําหรบั ใหผ เู รยี นฝกหดั จาํ แนก
ขั้นท่ี 2 ผสู อนอธิบายกตกิ าในการเรียนใหผ เู รียนรูและเขาใจตรงกนั
ขน้ั ที่ 3 ผูสอนเสนอขอ มลู ตัวอยางของมโนทัศนทต่ี องการสอน และขอ มลู ทีไ่ มใ ชต วั อยา งของ
มโนทัศนที่ ตองการสอน
ข้ันที่ 4 ใหผ ูเรียนบอกคุณสมบตั เิ ฉพาะของสิ่งที่ตองการสอน
ขั้นท่ี 5 ใหผ เู รยี นสรุปและใหคําจํากดั ความของสง่ิ ท่ีตองการสอน
ขน้ั ที่ 6 ผูส อนและผเู รียนอภปิ รายรวมกนั ถึงวธิ กี ารทผี่ เู รยี นใชใ นการหาคําตอบ
1.2 รปู แบบการเรยี นการสอนตามแนวคดิ ของกานเย
ก. ทฤษฎ/ี หลกั การ/แนวคิดของรปู แบบ กานเย (Gagne, 1985: 70-90) ไดพัฒนาทฤษฎี
เงอื่ นไขการเรียนรู (Condition of Learning) ซงึ่ มี 2 สว นใหญ ๆ คือ ทฤษฎีการเรยี นรู และทฤษฎีการ
จัดการเรยี นการสอน ทฤษฎกี ารเรียนรขู องกานเย อธิบายวาปรากฏการณการเรยี นรูมีองคประกอบ 2
สว นคือ
1) ผลการเรยี นรหู รือความสามารถดานตา ง ๆ ของมนษุ ย ซ่ึงมอี ยู 5 ประเภทคือทักษะทาง
ปญ ญา (intellectual skill ) ซึง่ ประกอบดว ยการจาํ แนกแยกแยะ การสรางความคิดรวบยอด การสราง
3
กฎ การสรา งกระบวนการหรือกฎช้ันสงู ความสามารถดานตอไปคอื กลวิธใี นการเรียนรู
(cognitiveStrategy) ภาษาหรือ คาํ พูด (verbal information) ทักษะการเคลื่อนไหว(motor skill) และ
เจตคต(ิ attitude)
2) กระบวนการเรียนรูและจดจาํ ของมนุษย มนุษยมีกระบวนการจัดกระทาํ ขอมลู ในสมอง ซึ่ง
มนษุ ย จะอาศยั ขอ มลู ท่ีสะสมไวม าพิจารณาเลือกจดั กระทาํ สิ่งใดส่ิงหน่งึ และขณะทก่ี ระบวนการจดั
กระทาํ ขอมูล ภายในสมองกาํ ลังเกิดขึ้นเหตุการณภายนอกรางกายมนุษยมีอิทธิพลตอการสงเสรมิ หรอื การ
ยบั ยัง้ การเรยี นรูท่เี กดิ ขึ้นภายในได ดงั นั้นในการจัดการเรยี นการสอนกานเยจึงไดเสนอแนะวาควรมกี าร
จัดสภาพการเรยี นการสอนใหเหมาะสมกับการเรียนรูแตละประเภท ซ่ึงมลี กั ษณะเฉพาะทีแ่ ตกตางกนั
และสง เสรมิ กระบวนการเรยี นรู ภายในสมอง โดยจัดสภาพการณภ ายนอกใหเ อ้ือตอกระบวนการเรยี นรู
ภายในของผูเ รียน
ข. วัตถุประสงคของรูปแบบ
เพื่อชวยใหผ ูเรียนสามารถเรยี นรเู นื้อหาสาระตาง ๆ ไดอยา งดี รวดเร็ว และสามารถจดจําสิ่งที่
เรยี นไดน าน
ค. กระบวนการเรยี นการสอนของรปู แบบ การเรียนการสอนตามรูปแบบของกานเย
ประกอบดว ยการดาํ เนนิ การเปน ลาํ ดบั ข้นั ตอนรวม 9 ข้นั ดังนี้
ขั้นท่ี 1 การกระตุนและดึงดูดความสนใจของผูเ รียน เปน การชว ยใหผ เู รียนสามารถรบั สง่ิ เรา
หรอื สิ่งท่ี จะเรยี นรไู ดดี
ขนั้ ท่ี 2 การแจง วัตถปุ ระสงคของการเรยี นใหผูเ รียนทราบ เปน การชว ยใหผ เู รยี นไดรบั รคู วาม
คาดหวงั
ขนั้ ที่ 3 การกระตุนใหระลึกถึงความรเู ดิม เปน การชวยใหผ ูเ รยี นดึงขอ มลู เดมิ ท่ีอยใู น
หนวยความจําระยะยาวใหมาอยูในหนวยความจาํ เพื่อใชงาน(working memory) ซึ่งจะชวยใหผ ูเ รยี นเกิด
ความพรอมในการ เชือ่ มโยงความรใู หมกับความรเู ดิม
ขัน้ ที่ 4 การนําเสนอส่งิ เรา หรือเน้อื หาสาระใหม ผูสอนควรจะจดั สงิ่ เรา ใหผูเรียนเห็น
ความสําคญั ของส่งิ เราน้ันอยางชดั เจน เพอื่ ความสะดวกในการเลือกรบั รูของผเู รียน
ขน้ั ที่ 5 การใหแ นวการเรียนรู หรอื การจัดระบบขอมูลใหมีความหมาย เพื่อชว ยใหผเู รยี น
สามารถทําความเขา ใจกับสาระทเี่ รยี นไดง ายและเรว็ ข้ึน
ขั้นที่ 6 การกระตนุ ใหผ ูเรยี นแสดงความสามารถ เพื่อใหผูเ รียนมีโอกาสตอบสนองตอสิ่งเราหรอื
สาระท่ี เรยี น ซึง่ จะชวยใหท ราบถงึ การเรยี นรูทีเ่ กดิ ขึน้ ในตัวผูเ รยี น
ขั้นท่ี 7 การใหข อมูลปอ นกลับ เปนการใหก ารเสริมแรงแกผูเรยี น และขอมลู ท่เี ปนประโยชนกับ
ผเู รยี น
ข้นั ที่ 8 การประเมินผลการแสดงออกของผเู รยี น เพ่ือชวยใหผ ูเรียนทราบวา ตนเองสามารถ
บรรลุ วตั ถุประสงคม ากนอยเพยี งใด
4
ขัน้ ที่ 9 การสง เสรมิ ความคงทนและการถายโอนการเรียนรู โดยการใหโ อกาสผูเ รียนไดม กี าร
ฝก ฝน อยา งพอเพยี งและในสถานการณทหี่ ลากหลาย เพอื่ ชวยใหผูเรยี นเกดิ ความเขาใจท่ลี กึ ซง้ึ ข้นึ และ
สามารถถาย โอนการเรยี นรูไปสูสถานการณอื่น ๆ ได
ง. ผลท่ผี เู รยี นจะไดรบั จากการเรยี นตามรูปแบบ
เนอื่ งจากการเรยี นการสอนตามรูปแบบน้ี จัดขน้ึ ใหสง เสริมกระบวนการเรยี นรูแ ละจดจําของ
มนุษย ดังนั้น ผูเรยี นจะสามารถเรียนรูสาระทน่ี ําเสนอไดอยางดี รวดเร็วและจดจําสง่ิ ที่เรียนรูไดน าน
นอกจากนั้นผูเรยี นยังไดเ พ่ิมพูนทกั ษะในการจัดระบบขอมลู สรา งความหมายของขอมูล รวมทง้ั การแสดง
ความสามารถของตนดวย
1.3 รูปแบบการเรยี นการสอนโดยการนําเสนอมโนทศั นกวา งลวงหนา (Advance
Organizer Model)
ก. ทฤษฎี/หลกั การ/แนวคดิ ของรปู แบบ
การนาํ เสนอมโนทัศนก วา งลวงหนา (Advanced Organizer) เพอ่ื การเรยี นรูอยางมคี วามหมาย
(meaningful verbal learning) การเรยี นรจู ะมคี วามหมายเมือ่ สิง่ ทีเ่ รียนรสู ามารถเชอื่ มโยงกบั ความรู
เดิมของผเู รียน ดงั น้นั ในการสอนส่ิงใหม สาระความรใู หม ผูสอนควรวิเคราะหห าความคดิ รวบยอดยอย ๆ
ของสาระท่ีจะนาํ เสนอ จดั ทําผังโครงสรา งของความคิดรวบยอดเหลาน้นั แลววิเคราะหหามโนทศั นหรอื
ความคดิ รวบยอดท่ีกวางครอบคลมุ ความคิดรวบยอดยอย ๆ ท่ีจะสอน หากครูนาํ เสนอมโนทัศนทกี่ วาง
ดงั กลาวแกผ เู รยี นกอนการสอนเนือ้ หาสาระใหม ขณะที่ผเู รียนกําลังเรยี นรูส าระใหม ผเู รียนจะสามารถ
นําสาระใหมน นั้ ไปเกาะเกี่ยวเชอื่ มโยงกบั มโนทัศนกวา งที่ใหไวล ว งหนา แลว ทาํ ใหการเรยี นรนู ั้นมี
ความหมายตอผเู รียน
ข. วัตถุประสงคของรูปแบบ
เพอ่ื ชวยใหผเู รียนไดเรียนรเู น้ือหาสาระ ขอมูลตา ง ๆ อยา งมคี วามหมาย
ค. กระบวนการเรียนการสอน
ขนั้ ที่ 1 การจดั เตรียมมโนทัศนก วา ง
ข้ันที่ 2 การนาํ เสนอมโนทศั นกวาง
ข้นั ที่ 3 การนาํ เสนอเนือ้ หาสาระใหมข องบทเรียน
ข้ันที่ 4 การจัดโครงสรา งความรู
ง. ผลทีผ่ เู รียนจะไดรบั จากการเรียนรตู ามรูปแบบ
ผลโดยตรงทผี่ เู รียนจะไดรับก็คอื เกดิ การเรยี นรใู นเน้ือหาสาระและขอ มูลของบทเรียนอยางมี
ความหมาย เกิดความคิดรวบยอดในสิ่งท่เี รียน และสามารถจดั โครงสรางความรูของตนเองได
นอกจากน้นั ยังได พัฒนาทักษะและอปุ นสิ ยั ในการคิดและเพมิ่ พนู ความใฝรู
1.4 รปู แบบการเรียนการสอนเนนความจาํ (Memory Model)
ก. ทฤษฎี/หลกั การ/แนวคิดของรปู แบบ รปู แบบนี้พัฒนาข้ึนโดยอาศยั หลกั 6 ประการเก่ียวกบั
5
1) การตระหนักร(ู awareness) ซึง่ กลาววา การทบ่ี ุคคลจะจดจําสิ่งใดไดด ีนั้นจะตองเริม่ จาก
การรบั รูส ง่ิ นนั้ หรือการสังเกตสิง่ นน้ั อยางต้ังใจ
2) การเชอ่ื มโยง(association) กบั สงิ่ ทีร่ ูแลวหรอื จาํ ได
3) ระบบการเช่ือมโยง(link system) คือระบบในการเช่ือมความคิดหลายความคิดเขา ดว ยกนั
ในลกั ษณะท่ีความคดิ หน่ึงจะไปกระตนุ ใหสามารถจาํ อีกความคดิ หน่งึ ได
4) การเชอ่ื มโยงทีน่ าขบขัน(ridiculous association) การเช่ือมโยงที่จะชวยใหบ ุคคลจดจาํ ได
ดีนั้น มักจะเปนส่งิ ท่ีแปลกไปจากปกติธรรมดา การเชื่อมโยงในลกั ษณะที่แปลก เปน ไปไมได ชวนใหข บขัน
มกั จะประทับในความทรงจําของบุคคลเปนเวลานาน
5) ระบบการใชคาํ ทดแทน
6) การใชคาํ สําคัญ(key word) ไดแก การใชคํา อักษร หรือพยางคเ พียงตวั เดยี ว เพื่อชวย
กระตนุ ใหจ าํ สงิ่ อ่ืน ๆ ท่ีเกี่ยวกันได
ข. วัตถุประสงคของรปู แบบ รปู แบบนีม้ ีวัตถปุ ระสงคชวยใหผเู รยี นจดจาํ เนื้อหาสาระท่ีเรยี นรูไ ด
ดแี ละไดนาน และไดเ รยี นรู กลวิธีการจาํ ซ่งึ สามารถนําไปใชในการเรียนรูสาระอ่ืน ๆ ไดอีก
ค. กระบวนการเรยี นการสอนของรปู แบบ ในการเรียนการสอนเนอ้ื หาสาระใด ๆ ผสู อน
สามารถชวยใหผูเรียนจดจําเนอื้ หาสาระน้ันไดดแี ละ ไดน านโดยดําเนนิ การดงั น้ี
ขน้ั ที่ 1 การสงั เกตหรอื ศึกษาสาระอยา งตงั้ ใจ ผูสอนชวยใหผูเ รยี นตระหนักรใู นสาระที่เรียน
โดยการใชเทคนคิ ตา งๆ เชน ใหอ า นเอกสารแลว ขดี เสน ใตคาํ /ประเดน็ ทสี่ าํ คญั ใหตงั้ คาํ ถามจากเร่ืองที่
อา น ใหห าคําตอบของคาํ ถามตาง ๆ เปนตน
ขนั้ ท่ี 2 การสรางความเชือ่ มโยง เมอื่ ผูเรียนไดศึกษาสาระที่ตองการเรยี นรูแลว ใหผูเรียน
เช่อื มโยงเนอ้ื หาสว นตา ง ๆทต่ี องการจดจาํ กับส่งิ ท่ีตนคุนเคย เชน กบั คาํ ภาพ หรือความคิดตาง ๆ
(ตัวอยา งเชน เด็กจาํ ไมไดวาคายบางระจันอยูจังหวดั อะไร จึงโยงความคิดวา ชาวบางระจันเปน คนกลา
หาญ สัตวทีถ่ อื วา เกงกลา คือสิงโตบางระจันจงึ อยทู จ่ี งั หวัดสิงหบ รุ ี) หรอื ใหห าหรือคิดคําสาํ คญั ท่สี ามารถ
กระตนุ ความจําในขอมูลอื่น ๆทเ่ี กี่ยวของกนั เชน สตู ร 4 M หรือทดแทน คาํ ที่ไมค ุนดวย คาํ ภาพ หรอื
ความหมายอนื่ หรอื การใชการเช่อื มโยงความคิดเขา ดว ยกัน
ข้นั ที่ 3 การใชจ นิ ตนาการ เพ่อื ใหจ ดจาํ สาระไดดีขนึ้ ใหผูเรยี นใชเทคนิคการเชือ่ มโยงสาระตาง
ๆ ใหเห็นเปน ภาพทีน่ าขบขนั เกิน ความเปน จริง
ข้ันท่ี 4 การฝกใชเทคนิคตาง ๆ ท่ที ําไวข างตน ในการทบทวนความรแู ละเน้ือหาสาระตางๆ
จนกระท่งั จดจาํ ได
ง. ผลทผี่ เู รยี นจะไดร บั จากการเรยี นตามรูปแบบ การเรยี นโดยใชเ ทคนิคชว ยความจาํ ตาง ๆ
ของรปู แบบ นอกจากจะชวยใหผเู รียนสามารถจดจาํ เนอื้ หาสาระตางๆ ที่เรียนไดด แี ละไดนานแลว ยงั ชวย
ใหผ ูเ รียนเกดิ การเรียนรูกลวิธีการจําซง่ึ สามารถนําไปใชใ นการ เรยี นรูส าระอ่นื ๆ ไดอกี มาก
1.5 รูปแบบการเรยี นการสอนโดยใชผังกราฟก (Graphic Organizer Instructional
Model)
6
ก. ทฤษฎ/ี หลกั การ/แนวคิดของรปู แบบ
กระบวนการเรยี นรเู กิดข้ึนไดจากองคป ระกอบสาํ คญั 3 สว นดวยกันไดแ ก ความจําขอมูล
กระบวนการทางปญ ญา และเมตาคอคนชิ ัน่ ความจําขอ มูลประกอบดว ย ความจําจากการรสู ึกสัมผสั
(sensory memory) ซึ่งจะเก็บขอ มลู ไวเ พียงประมาณ 1 วนิ าทีเทาน้ัน ความจาํ ระยะสน้ั (short-term
memory) หรือความจาํ ปฏิบัติการ(working memory) ซึ่งเปนความจําที่เกิดขนึ้ หลังจากการตีความสิง่
เราท่ีรับรมู าแลว ซึ่งจะเก็บขอมลู ไวไ ดช ั่วคราวประมาณ 20 วนิ าที และทาํ หนาท่ใี นการคิด สว นความจาํ
ระยะยาว (long- term memory) เปน ความจาํ ที่มคี วามคงทน มีความจไุ มจํากัดสามารถคงอยเู ปน
เวลานาน เมอื่ ตอ งการใชจ ะสามารถเรยี กคนื ได สงิ่ ทอ่ี ยูในความจาํ ระยะยาวมี 2 ลกั ษณะ คอื ความจํา
เหตกุ ารณ (episodic memory) และความจําความหมาย(semantic memory) เก่ียวกับขอเท็จจริง
มโนทัศน กฎ หลกั การตาง ๆ องคประกอบดานความจําขอมูลน้ี จะมีประสิทธภิ าพมากนอยเพยี งใด
ขึน้ กับกระบวนการทางปญญาของบุคคลน้ัน ซ่ึงประกอบดวย
1) การใสใจ หากบุคคลมีความใสใจในขอมลู ทร่ี ับเขา มาทางการสมั ผสั ขอมูลนน้ั กจ็ ะถูก
นาํ เขาไปสูความจําระยะสน้ั ตอไป หากไมไดรับการใสใ จ ขอมูลนน้ั ก็จะเลือนหายไปอยา งรวดเร็ว
2) การรับรู เม่ือบุคคลใสใจในขอ มลู ใดท่ีรบั เขามาทางประสาทสัมผสั บุคคลก็จะรบั ขอมลู
นั้น และนาํ ขอมูลนเี้ ขา สูความจําระยะส้ันตอไป ขอ มูลทีร่ บั รูนี้จะเปนความจรงิ ตามการรับรูของบุคคลน้ัน
ซึง่ อาจไมใ ชค วามจริงเชิงปรนัย เน่ืองจากเปน ความจรงิ ทผี่ านการตีความจากบคุ คลนน้ั มาแลว
3) การทาํ ซ้ําหากบุคคลมีกระบวนการรักษาขอ มลู โดยการทบทวนซาํ้ แลว ซํา้ อีกขอมูล
น้ันกจ็ ะยังคงถูกเก็บรักษาไวใ นความจําปฏบิ ตั กิ าร
4) การเขารหัส หากบุคคลมกี ระบวนการสรา งตวั แทนทางความคดิ เกี่ยวกับขอ มลู นน้ั โดย
มีการน าขอมลู นั้นเขาสูค วามจาํ ระยะยาวและเชื่อมโยงเขากับส่ิงที่มีอยูแลวในความจําระยะยาว การ
เรียนรอู ยางมีความหมายก็จะเกิดข้นึ
5) การเรียกคืน การเรยี กคืนขอมูลทเ่ี ก็บไวใ นความจาํ ระยะยาวเพอื่ นาํ ออกมาใช มี
ความสมั พนั ธอยา งใกลชิดกบั การเขารหสั หากการเขา รหสั ทาํ ใหเ กิดการเกบ็ ความจําไดด ีมีประสทิ ธภิ าพ
การเรยี กคืนกจ็ ะมีประสิทธภิ าพตามไปดว ย
ดวยหลักการดงั กลาว การเรียนรจู งึ เปน การสรางความรูของบุคคล ซ่งึ ตองใชกระบวนการ
เรียนรอู ยางมีความหมาย 4 ข้ันตอนไดแก (1) การเลอื กรบั ขอ มูลท่ีสัมพันธกนั (2) การจดั ระเบียบขอมูล
เขาสโู ครงสราง (3) การบูรณาการขอมูลเดมิ และ (4) การเขารหสั ขอมลู การเรยี นรเู พื่อใหคงอยใู น
ความจาํ ระยะยาว และสามารถเรยี กคนื มาใชไ ดโ ดยงา ย ดว ยเหตนุ ้ี การใหผ ูเ รียนมโี อกาสเชื่อมโยงความรู
ใหมก บั โครงสรางความรเู ดมิ ๆ และนาํ ความรูความเขาใจมาเขา รหสั หรือสรางตัวแทนทางความคดิ ทมี่ ี
ความหมายตอตนเองข้ึน จะสงผลใหการเรียนรูนัน้ คงอยูในความจาํ ระยะยาวและสามารถเรียกคืนมาใชได
ข. วตั ถุประสงคข องรปู แบบ
เพ่ือชวยใหผ ูเรียนไดเชื่อมโยงความรูใหมกับความรูเดิมและสรา งความหมายและความ
7
เขาใจในเนื้อหาสาระหรือขอมูลท่เี รียนรู และจดั ระเบียบขอมลู ที่เรยี นรูด วยผังกราฟก ซงึ่ จะชวยใหงา ยแก
การจดจาํ
ค. กระบวนการเรียนการสอนของรปู แบบ
รูปแบบการเรยี นการสอนโดยใชผ ังกราฟก มีหลายรปู แบบ ในท่นี ีจ้ ะนาํ เสนอไว 3 รปู แบบดังนี้
1) รูปแบบการเรียนการสอนโดยใชผ ังกราฟกของ โจนสและคณะ(1989: 20-25)
ประกอบดวยขน้ั ตอนสําคัญ ๆ 5 ข้นั ตอนดงั นี้
1.1) ผสู อนเสนอตวั อยางการจดั ขอ มลู ดว ยผงั กราฟกทเ่ี หมาะสมกับเน้ือหาและวตั ถปุ ระสงค
1.2) ผสู อนแสดงวิธสี รา งผังกราฟก
1.3) ผูสอนช้แี จงเหตผุ ลของการใชผ งั กราฟกนน้ั และอธบิ ายวิธีการใช
1.4) ผเู รยี นฝกการสรา งและใชผ งั กราฟก ในการทําความเขาใจเนอ้ื หาเปนรายบุคคล
1.5) ผูเรยี นเขากลมุ และนําเสนอผังกราฟก ของตนแลกเปลี่ยนกัน
2) รูปแบบการเรยี นการสอนโดยใชผงั กราฟกของคลา ก(Clark,1991: 526-524)
ประกอบดวยขนั้ ตอนการเรยี นการสอนที่สําคัญ ๆ ดังน้ี
ก. ข้ันกอนสอน
2.1) ผสู อนพจิ ารณาลกั ษณะของเน้อื หาทีจ่ ะสอนสาระนัน้ และวตั ถปุ ระสงคของการสอน
เนือ้ หาสาระนั้น
2.2) ผสู อนพจิ ารณาและคิดหาผังกราฟกหรอื วิธหี รือระบบในการจดั ระเบยี บเน้ือหาสาระ
น้นั ๆ
2.3) ผูสอนเลอื กผังกราฟก หรือวิธกี ารจดั ระเบยี บเน้ือหาทีเ่ หมาะสมท่ีสดุ
2.4) ผูสอนคาดคะเนปญหาท่ีอาจจะเกิดขึ้นแกผ เู รียนในการใชผ ังกราฟกนน้ั
ข. ข้นั สอน
2.1) ผสู อนเสนอผังกราฟกทเ่ี หมาะสมกบั ลักษณะของเน้ือหาสาระแกผเู รยี น
2.2) ผูเ รยี นทาํ ความเขาใจเนื้อหาสาระและนําเน้ือหาสาระใสล งในผงั กราฟกตามความเขาใจ
ของตน
2.3) ผสู อนซกั ถาม แกไ ขความเขา ใจผิดของผเู รยี น หรอื ขยายความเพิ่มเตมิ
2.4) ผสู อนกระตุน ใหผูเรยี นคิดเพมิ่ เติม โดยนาํ เสนอปญหาท่เี กยี่ วของกับเนื้อหา
แลว ใหผเู รียนใชผงั กราฟก เปนกรอบในการคิดแกป ญ หา
2.5) ผสู อนใหข อมลู ปอนกลบั แกผูเรยี น
3) รปู แบบการเรยี นการสอนโดยใชผงั กราฟกของจอยสและคณะ(Joyce et al., 1992:
159-161) จอยสและคณะ นาํ รปู แบบการเรยี นการสอนของคลา กมาปรบั ใชโดยเพิ่มเติมข้ันตอนเปน
8 ข้นั ดังน้ี
3.1) ผสู อนช้ีแจงจุดมงุ หมายของบทเรียน
3.2) ผูส อนนําเสนอผงั กราฟกท่ีเหมาะสมกับเน้ือหา
8
3.3) ผสู อนกระตนุ ใหผเู รยี นระลกึ ถงึ ความรูเดมิ เพื่อเตรียมสรางความสัมพันธกับความรู
ใหม
3.4) ผสู อนเสนอเนื้อหาสาระทตี่ องการใหผเู รียนไดเ รยี นรู
3.5) ผสู อนเช่อื มโยงเนื้อหาสาระกบั ผังกราฟก และใหผ เู รียนนาํ เนื้อหาสาระใสล งในผัง
กราฟกตามความเขาใจของตน
3.6) ผูสอนใหความรูเ ชงิ กระบวนการโดยชแี้ จงเหตุผลในการใชผงั กราฟกและวธิ ีใชผ งั
กราฟก
3.7) ผสู อนและผเู รยี นอภิปรายผลการใชผงั กราฟกกับเน้ือหา
3.8) ผสู อนซักถาม ปรับความเขาใจและขยายความจนผูเรียนเกดิ ความเขา ใจกระจา งชัด
4) รูปแบบการเรียนการสอนโดยใชผงั กราฟกของสปุ รียา ตันสกลุ (2540: 40) สปุ รยี า ตนั สกุล
ไดศึกษาวิจัยเรือ่ ง ” ผลของการใชรูปแบบการสอนแบบการจดั ขอมลู ดวยแผนภาพ(Graphic Organizers)
ท่ีมตี อสัมฤทธ์ผิ ลทางการเรียนและความสามารถทางการแกปญหาของนักศกึ ษาระดับปรญิ ญาตรชี ้นั ปท ี่ 2
คณะสาธารณสุขศาสตร มหาวิทยาลยั มหิดล” ผลการวจิ ัยพบวา นักศึกษากลมุ ทดลองมีคะแนนเฉลย่ี
สมั ฤทธ์ผิ ลทางการเรียนและความสามารถทางการแกปญ หาสงู กวานักศึกษากลุม ควบคุมอยางมีนยั สาํ คญั
ทางสถติ ิทร่ี ะดบั .001 รปู แบบการเรยี นการสอนดงั กลา วประกอบดว ยขน้ั ตอนสาํ คญั 7 ขั้นตอนดังน้ี
4.1) การทบทวนความรูเดมิ
4.2) การช้แี จงวตั ถุประสงค ลักษณะของบทเรยี น ความรูท ี่คาดหวงั ใหเ กดิ แกผเู รยี น
4.3) การกระตนุ ใหผเู รยี นตระหนักถงึ ความรูเดมิ เพื่อเตรยี มสรางความสัมพันธกบั สงิ่ ท่เี รียน
และการจดั เนื้อหาสาระดว ยแผนภาพ
4.4) การนําเสนอตวั อยา งการจดั เน้ือหาสาระดวยแผนภาพ ท่เี หมาะกบั ลกั ษณะของเนื้อหา
ความรูท ี่คาดหวงั
4.5) ผเู รียนรายบคุ คลทําความเขาใจเน้ือหาและฝกใชแ ผนภาพ
4.6) การนาํ เสนอปญหาใหผูเรียนใชแผนภาพเปนกรอบในการแกป ญหา
4.7) การทําความเขา ใจใหกระจางชัด
ง. ผลท่ีผเู รียนจะไดรบั จากการเรยี นตามรูปแบบ
ผูเรียนจะมคี วามเขาใจในเน้ือหาสาระทีเ่ รยี นและจดจาํ ส่ิงท่ีเรียนรูไดด ี นอกจากนนั้ ยงั ไดเรยี นรูการ
ใชผ งั กราฟกในการเรียนรตู าง ๆ ซ่ึงผูเ รยี นสามารถนําไปใชในการเรยี นรเู น้ือหาสาระอ่ืน ๆ ไดอ ีกมาก
2. รปู แบบการเรยี นการสอนทเี่ นน การพฒั นาดา นจติ พิสยั (Affective Domain)
รปู แบบการเรยี นการสอนในหมวดนีเ้ ปนรูปแบบท่ีมุงชว ยพัฒนาผเู รียนใหเ กิดความรสู ึก เจตคติ
คา นิยม คณุ ธรรม และจรยิ ธรรมท่ีพงึ ประสงค ซึ่งเปน เร่อื งที่ยากแกการพฒั นาหรือปลกู ฝง การจัดการ
เรียนการสอนตามรูปแบบการสอนท่ีเพยี งใหเ กิดความรคู วามเขา ใจ มักไมเ พียงพอตอ การใหผเู รียนเกิดเจต
9
คตทิ ่ดี ีได จําเปนตองอาศัยหลักการและวธิ กี ารอ่นื ๆ เพมิ่ เติม รูปแบบทคี่ ัดสรรมาน าเสนอในทีน่ ี้มี 4
รูปแบบดังน้ี
2.1 รูปแบบการเรยี นการสอนตามแนวคดิ การพฒั นาดานจติ พสิ ัยของบลูม (Instructional
Model Based on Bloom’s Affective Domain)
ก. ทฤษฎ/ี หลักการ/แนวคดิ ของรูปแบบบลูม (Bloom, 1956) ไดจ าํ แนกจดุ มุงหมายทาง
การศกึ ษาออกเปน 3 ดา น คือดา นความรู (cognitive domain) ดานเจตคติหรือความรูสกึ (affective
domain) และดา นทักษะ (psycho-motor domain) ซึ่งในดานเจตคตหิ รือความรสู ึกนั้น บลมู ไดจัดขนั้
การเรยี นรไู ว 5 ขั้นประกอบดวย
1) ขั้นการรับรู ซึง่ ก็หมายถึง การทผี่ ูเ รยี นไดรับรูคา นิยมทตี่ องการจะปลกู ฝงในตัวผเู รียน
2) ขัน้ การตอบสนอง ไดแกก ารทผ่ี ูเรยี นไดร ับรูและเกดิ ความสนใจในคา นยิ มน้ัน แลวมี
โอกาสไดตอบสนองในลกั ษณะใดลักษณะหนงึ่
3.) ขัน้ การเห็นคุณคา เปนข้นั ที่ผูเรยี นไดร บั ประสบการณเ ก่ียวกับคา นยิ มน้นั แลวเกดิ เหน็
คณุ คา ของคานิยมนนั้ ทาํ ใหผ เู รยี นมเี จตคติที่ดีตอ คานิยมนน้ั
4) ขนั้ การจัดระบบ เปน ข้ันท่ีผูเรียนรับคานิยมทตี่ นเหน็ คณุ คานนั้ เขา มาอยใู นระบบคานิยม
ของตน
5) ขัน้ การสรางลักษณะนสิ ยั เปน ข้นั ทผี่ ูเรยี นปฏบิ ัตติ นตามคานยิ มทีร่ ับมาอยางสม่ําเสมอ
และทาํ จนกระทั่งเปน นสิ ัยถงึ แมว าบลูมไดนาํ เสนอแนวคดิ ดงั กลาวเพ่ือใชในการกําหนดวตั ถปุ ระสงคใ น
การเรยี นการสอนก็ตาม แตก ็สามารถนํามาใชในการจดั การเรียนการสอนเพอ่ื ชว ยปลูกฝง คานิยมใหแ ก
ผูเ รยี นได
ข. วัตถปุ ระสงคของรูปแบบ
เพ่อื ชวยใหผเู รยี นเกิดการพฒั นาความรสู ึก/เจตคต/ิ คานยิ ม/คณุ ธรรมหรอื จรยิ ธรรมที่พึง
ประสงค อนั จะนาํ ไปสูการเปล่ยี นแปลงพฤติกรรมใหเปนไปตามความตองการ
ค. กระบวนการเรยี นการสอนของรปู แบบ
การสอนเพ่ือปลูกฝงคา นยิ มใด ๆ ใหแ กผ เู รียน สามารถดําเนินการตามลําดบั ข้นั ของ
วัตถุประสงคทางดา นเจตคติของบลมู ไดด ังนี้
ขั้นท่ี 1 การรับรูคานิยม
ผสู อนจัดประสบการณหรือสถานการณที่ชว ยใหผเู รียนไดร ับรูค านยิ มนัน้ อยางใสใจ เชน เสนอ
กรณีตวั อยา งท่ีเปนประเดน็ ปญหาขัดแยงเกย่ี วกบั คานิยมน้ัน ค าถามที่ทา ทายความคิดเกี่ยวกับคานิยม
นัน้ เปน ตน ในข้ันนี้ผูสอนควรพยายามกระตุนใหผูเ รียนเกิดพฤติกรรมดงั น้ี
1) การรูตวั
2) การเตม็ ใจรับรู
3) การควบคุมการรบั รู
10
ขั้นที่ 2 การตอบสนองตอ คา นิยม
ผูสอนจัดสถานการณใหผ ูเ รียนมีโอกาสตอบสนองตอคา นยิ มน้นั ในลักษณะใดลักษณะหน่ึง
เชน ใหพดู แสดงความคิดเหน็ ตอ คา นยิ มนน้ั ใหล องทาํ ตามคานยิ มนั้น ใหส มั ภาษณห รอื พูดคยุ กับผูท ีม่ ี
คา นยิ มน้นั เปนตน ในขน้ั น้ีผูสอนควรพยายามกระตุนใหผเู รยี นเกดิ พฤตกิ รรมดงั นี้
1) การยนิ ยอมตอบสนอง
2) การเตม็ ใจตอบสนอง
3) ความพงึ พอใจในการตอบสนอง
ขัน้ ท่ี 3 การเห็นคณุ คาของคานยิ ม
ผสู อนจัดประสบการณห รือสถานการณทช่ี ว ยใหผ ูเ รยี นไดเหน็ คุณคาของคา นิยมนั้น เชน การ
ใหลองปฏิบตั ติ ามคานยิ มแลวไดร ับการตอบสนองในทางที่ดี เห็นประโยชนท ีเ่ กิดขึน้ กับตนหรอื บุคคล
อนื่ ทปี่ ฏิบตั ติ ามคา นยิ มนนั้ เห็นโทษหรอื ไดรบั โทษจากการละเลยไมปฏิบตั ติ ามคานยิ มนั้น เปน ตน ใน
ข้ันน้ผี ูสอนควรพยายามกระตุนใหผ เู รียนเกิดพฤติกรรมดงั นี้
1) การยอมรับในคณุ คานนั้
2) การช่นื ชอบในคณุ คานน้ั
3) ความผกู พนั ในคณุ คา นน้ั
ขั้นท่ี 4 การจัดระบบคานิยม
เมอ่ื ผูเรียนเห็นคุณคา ของคา นิยมและเกดิ เจตคติท่ีดตี อคานิยมนั้น และมีความโนม เอียงที่จะ
รับคานยิ มนน้ั มาใชใ นชวี ิตของตน ผูส อนควรกระตุนใหผูเรยี นพจิ ารณาคานยิ มน้นั กับคา นิยมหรอื คุณคา
อ่ืน ๆ ของตน ในขั้นน้ผี ูสอนควรกระตุนใหผูเ รยี นเกดิ พฤติกรรมสําคัญดงั น้ี
1) การสรางมโนทัศนใ นคุณคานัน้
2) การจัดระบบในคุณคา น้ัน
ขัน้ ท่ี 5 การสรา งลักษณะนสิ ัย
ผูสอนสง เสริมใหผเู รยี นปฏิบัตติ นตามคานยิ มนั้นอยา งสมํา่ เสมอโดยตดิ ตามผลการปฏบิ ัติและ
ใหขอ มูลปอนกลับและการเสรมิ แรงเปน ระยะ ๆ จนกระท่งั ผูเ รยี นสามารถปฏบิ ัติไดจนเปนนสิ ัย ในขั้น
นผ้ี ูสอนควรพยายามกระตนุ ใหผ ูเรยี นเกดิ พฤติกรรมดังนี้
1) การมหี ลกั ยึดในการตดั สนิ ใจ
2) การปฏิบัติตามหลักยดึ นัน้ จนเปนนิสยั
3) การดําเนนิ การในขั้นตอนท้ัง 5 ไมส ามารถทาํ ไดในระยะเวลาอันสั้น ตอ งอาศัยเวลา
โดยเฉพาะในข้นั ท่ี 4 และ 5 ตองการเวลาในการปฏบิ ัติ ซง่ึ อาจจะมากนอยแตกตา งกนั ไปในผูเรยี นแตล ะ
คน
ง. ผลทผี่ ูเรียนจะไดร บั จากการเรียนตามรูปแบบ
11
ผเู รยี นจะไดร บั การปลูกฝงคานยิ มที่พงึ ประสงคจนถึงระดบั ทีส่ ามารถปฏบิ ตั ิไดจ นเปน นิสัย นอกจากนั้น
ผูเรียนยงั ไดเรยี นรกู ระบวนการในการปลูกฝง คานยิ มใหเ กิดขนึ้ ซ่งึ ผเู รยี นสามารถนาํ ไปปลูกฝง คานยิ มอืน่
ๆใหแ กต นเองหรือผูอ ืน่ ตอไป
2.2 รูปแบบการเรียนการสอนโดยการซักคา น (Jurisprudential Model)
ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคดิ ของรปู แบบจอยส และ วีล (Joyce & weil, 1996 :106-128)
พฒั นารูปแบบนี้ข้ึนจากแนวคิดของโอลเิ วอรแ ละ เชเวอร (Oliver and Shaver) เก่ยี วกับการตัดสนิ ใจ
อยา งชาญฉลาดในประเด็นปญหาขดั แยง ตาง ๆ ซ่ึงมสี ว นเก่ยี วพนั กบั เร่ืองคานิยมท่ีแตกตางกัน ปญ หา
ดังกลาวอาจเปน ปญหาทางสังคม หรือปญหาสวนตวั ทยี่ ากแกก ารตัดสนิ ใจ การตดั สินใจอยางชาญฉลาด
กค็ ือการสามารถเลือกทางท่เี ปน ประโยชนม ากทีส่ ดุ โดยกระทบตอสงิ่ อื่น ๆ นอยที่สดุ ผเู รียนควรไดรับ
การฝกฝนใหรจู ักวิเคราะหป ญหา ประมวลขอมลู ตดั สินใจเลอื กทางเลอื กอยา งมเี หตผุ ล และแสดงจดุ ยนื
ของตนได ผูสอนสามารถใชก ระบวนการซักคา นอนั เปนกระบวนการทใี่ ชกนั ในศาล มาทดสอบผเู รียน
วาจุดยนื ท่ตี นแสดงนัน้ เปน จุดยนื ที่แทจริงของตนหรือไม โดยการใชค ําถามซักคานทช่ี วยใหผ เู รียน
ยอ นกลับไปพิจารณาความคิดเห็นอนั เปนจุดยนื ของตน ซึ่งอาจทาํ ใหผ ูเรยี นปรบั เปลี่ยนความคดิ เห็น
หรอื จดุ ยืนของตน หรอื ยืนยนั จุดยืนของตนอยางม่ันใจขน้ึ
ข. วตั ถุประสงคข องรูปแบบ
รูปแบบน้ีเหมาะสาํ หรับสอนสาระทเ่ี ก่ยี วของกบั ประเด็นปญหาขัดแยงตาง ๆ ซ่งึ
ยากแกการตัดสินใจ การสอนตามรปู แบบนจี้ ะชว ยใหผเู รียนไดเรียนรูกระบวนการในการตัดสินใจ
อยางชาญฉลาด รวมท้ังวิธกี ารทาํ ความกระจา งในความคิดของตน
ค. กระบวนการเรยี นการสอนของรูปแบบ
ขั้นที่ 1 นําเสนอกรณีปญ หา
ประเดน็ ปญ หาทนี่ ําเสนอควรเปน ประเดน็ ที่มที างออกใหคดิ ไดหลายคําตอบ ควรเปน
ประโยคที่มีคาํ วา “ควรจะ..” เชน ควรมีกฎหมายใหมกี ารท าแทง ไดอยางเสรหี รือไม ควรมกี ารจด
ทะเบยี นโสเภณีหรอื ไม ควรออกกฎหมายหามคนสบู บุหรหี่ รือไม ? ควรอนุญาตใหน ักเรียนประกวด
นางงามหรอื ไม อยางไรกต็ ามควรหลีกเลีย่ งประเดน็ ปญ หาท่เี กยี่ วของกบั ความเช่อื ทางศาสนาท่ี
แตกตา งกนั วิธีการนําเสนออาจกระทาํ ไดหลายวิธี เชน การอานเรือ่ งใหฟง การใหด ภู าพยนตร การเลา
ประวัติความเปนมา ครตู อ งระลกึ เสมอวาการน าเสนอปญ หาน้นั ตอ งทาํ ใหนกั เรยี นไดรูขอเท็จจรงิ ที่
เกี่ยวขอ งกบั ปญหา รวู าใครทําอะไร เมื่อใด เพราะเหตุใด และมแี งมุมของปญหาที่ขัดแยงกนั อยา งไร
ใหผ เู รียนประมวลขอ เทจ็ จรงิ จากกรณีปญหาและวเิ คราะหหาคานิยมท่ีเกีย่ วของกัน
ขัน้ ท่ี 2 ใหผูเรยี นแสดงจุดยืนของตนเอง ผสู อนใชคําถามท่ีมีลกั ษณะดังตัวอยา งตอไปน้ี
2.1) ถา มีจุดยืนอื่น ๆ ใหเลือกอีก ผูเรยี นยงั ยนื ยนั ท่ีจะเลอื กจดุ ยืนเดมิ หรอื ไม เพราะอะไร
2.2) หากสถานการณแ ปรเปล่ยี นไปผเู รียนยังจะยืนยนั ทจี่ ะ เลอื กจดุ ยืนเดิมน้ีหรอื ไม เพราะ
อะไร
2.3) ถา ผูเรยี นตองเผชญิ กบั สถานการณอ่ืน ๆ จะยังยืนยันจุดยืนน้ีหรือไม
12
2.4) ผูเ รียนมีเหตุผลอะไรท่ยี ึดมัน่ กบั จุดยนื นนั้ จดุ ยืนนัน้ เหมาะสมกับสถานการณท เี่ ปน
ปญหาน้ันหรือไม
2.5) เหตผุ ลที่ยึดมั่นกบั จุดยืนนนั้ เปนเหตผุ ลที่เหมาะกับสถานการณท่ีเปน อยหู รือไม
2.6) ผเู รียนมีขอ มลู เพยี งพอที่จะสนบั สนุนจดุ ยนื นนั้ หรือไม
2.7) ขอ มูลท่ผี ูเรยี นใชเปนพืน้ ฐานของจุดยืนน้ันถูกตองหรือไม
2.8) ถายึดจดุ ยนื นีแ้ ลว ผลที่เกิดขน้ึ ตามมาคืออะไร
2.9) เมือ่ รูผลทีเ่ กดิ ตามมาแลว ผูเรยี นยงั ยืนยนั ทีจ่ ะยึดถือจุดยนื น้อี กี หรือไม
ข้นั ท่ี 4 ผูเรยี นทบทวนในคานิยมของตนเองผูสอนเปดโอกาสใหผเู รยี นพจิ ารณาปรบั เปลยี่ น
หรอื ยืนยันในคานิยมที่ยึดถอื
ขัน้ ท่ี 5 ผูเ รยี นตรวจสอบและยนื ยันจดุ ยนื ใหม/ เกา ของตนอีกคร้ัง
ผเู รยี นพยายามหาขอ เท็จจริงตา ง ๆ มาสนับสนนุ คานิยมของตนเพื่อยืนยันวาส่งิ ที่ตนยดึ ถืออยู
นนั้ เปนคานิยมที่แทจริงของตน
ง. ผลท่ผี ูเรียนจะไดรบั จากการเรียนตามรปู แบบ
ผูเรียนจะเกดิ ความกระจา งในความคดิ ของตนเองเกีย่ วกับคานิยม และเกิดความเขา ใจใน
ตนเอง รวมท้ังผูส อนไดเ รียนรูและเขาใจความคิดของผเู รยี น ชวยใหผ ูเ รยี นมกี ารมองโลกในแงม ุมกวา ง
ข้ึน นอกจากนยี้ งั ชว ยพัฒนาความสามารถในการตดั สินใจของผูเ รยี นดว ย
2.3 รปู แบบการเรียนการสอนโดยใชบทบาทสมมติ (Role Playing Model)
ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคดิ ของรปู แบบ
รปู แบบการเรยี นการสอนโดยใชบทบาทสมมติ พัฒนาขึ้นโดย แชฟเทลและแชฟเทล
(Shaftel and Shaftel, 1967: 67-71) ซึ่งใหความสําคัญกับปฏสิ มั พันธท างสงั คมของบคุ คล เขา
กลา ววา บุคคลสามารถเรียนรูเกย่ี วกับตนเองไดจ ากการปฏสิ ัมพนั ธก ับผูอ่ืน และความรูส ึกนกึ คิดของ
บคุ คลกเ็ ปนผลมาจากมีการปะทะสัมพนั ธก ับสิ่งแวดลอ มรอบขาง และไดส ัง่ สมไวภ ายในลกึ ๆ โดยท่ี
บคุ คลอาจไมรูตวั เลยก็ได การสวมบทบาทสมมตเิ ปน วธิ ีการที่ชวยใหบุคคลไดแสดงความรูสึกนกึ คิด
ตาง ๆ ทีอ่ ยูภายในออกมา ทาํ ใหส่ิงท่ซี อ นเรน อยูเปด เผยออกมา และนํามาศึกษาทาํ ความเขาใจกนั ได
ชวยใหบ คุ คลเกิดการเรียนรเู กี่ยวกับตนเอง เกดิ ความเขาใจในตนเอง ในขณะเดียวกนั การที่บุคคลสวม
บทบาทของผูอนื่ ก็สามารถชว ยใหผ เู รยี นเกิดความเขาใจในความคิด คานยิ ม และพฤติกรรมของผูอื่น
ไดเ ชนเดยี วกัน
ข. วัตถุประสงคของรูปแบบ
เพือ่ ชวยใหผูเรยี นเกดิ ความเขา ใจในตนเอง เขา ใจในความรสู ึกและพฤติกรรมของผูอ ื่น
และเกดิ การปรบั เปลีย่ นเจตคติ คา นยิ ม และพฤติกรรมของตนใหเ ปน ไปในทางทเ่ี หมาะสม
ค. กระบวนการเรียนการสอนของรปู แบบ
ขนั้ ที่ 1 น าเสนอสถานการณปญ หาและบทบาทสมมติ ผูส อนนาํ เสนอปญหา และบทบาท
สมมติ ท่มี ลี ักษณะใกลเ คียงกับความเปน จรงิ และมรี ะดบั ยากงา ยเหมาะสมกับวัยและความสามารถของ
13
ผูเรยี น บทบาทสมมติท่กี าํ หนด จะมรี ายละเอียดมากนอยเพยี งใดขึน้ อยูกบั วัตถปุ ระสงคในการเรียนการ
สอน ถาตอ งการใหผเู รยี นเปดเผยความคิด ความรูส ึกของตนมาก บทบาทท่ใี หควรมีลักษณะเปดกวา ง
กาํ หนดรายละเอยี ดใหนอย แตถ าตองการจะเจาะประเดน็ เฉพาะอยา ง บทบาทสมมติอาจกาํ หนด
รายละเอียด ควบคมุ การแสดงของผเู รียนใหมงุ ไปท่ีประเด็นเฉพาะน้ัน
ข้ันท่ี 2 เลอื กผูแสดง
ผูสอนและผูเ รยี นจะรวมกันเลือกผูแ สดง หรือใหผูเรียนอาสาสมัครก็ได แลว แตความเหมาะสม
กบั วตั ถุประสงค และการวนิ จิ ฉยั ของผูสอน
ขน้ั ที่ 3 จดั ฉาก การจดั ฉากนั้นจดั ไดตามความพรอมและสภาพการณท่ีเปน อยู
ขนั้ ที่ 4 เตรียมผูสงั เกตการณ กอนการแสดงผูสอนจะตองเตรยี มผชู มวา ควรสังเกตอะไร
และปฏิบัติตวั อยางไรเพ่อื ใหเกดิ การเรียนรูที่ดี
ขน้ั ท่ี 5 แสดง ผูแ สดงมีความสําคญั เปน อยา งยิ่งในการทีจ่ ะทําใหผชู มเขา ใจเรื่องราวหรือ
เหตุการณ ผูแสดงจะตอ งแสดงออกตามบทบาทท่ีตนไดรบั ใหดีทีส่ ุด
ข้ันที่ 6 อภปิ รายและประเมนิ ผล การอภิปรายผลสวนใหญจะแบง เปนกลุม ยอ ย การ
อภปิ รายจะเปน การแสดงความคิดเห็นเกยี่ วกับเหตกุ ารณก ารแสดงออกของผแู สดง และควรเปด
โอกาสใหผ แู สดงไดแ สดงความคดิ เหน็ ดว ย
ขน้ั ที่ 7 แสดงเพม่ิ เติม ควรมกี ารแสดงเพิม่ เติมหากผเู รยี นเสนอแนะทางออกอ่นื
นอกเหนือจากท่ไี ดแสดงไปแลว
ขน้ั ที่ 8 อภิปรายและประเมินผลอีกครัง้ หลังจากการแสดงเพิ่มเตมิ กลุม ควรอภิปราย
และประเมินผลเกย่ี วกับการแสดงครัง้ ใหมดวย
ขน้ั ที่ 9 แลกเปลยี่ นประสบการณและสรุปการเรียนรู แตล ะกลุมสรปุ ผลการอภิปรายของ
กลุมตน และหาขอสรปุ รวม หรือการเรียนรูท ่ีไดรับเก่ยี วกับความรูสกึ ความคิดเห็น คานิยม คณุ ธรรม
จริยธรรม และพฤติกรรมของบคุ คล
ง. ผลทผี่ ูเรยี นจะไดร ับจากการเรยี นรูตามรปู แบบ
ผเู รยี นจะเกิดความเขา ใจทล่ี กึ ซ้งึ เกี่ยวกบั ความรูส ึกนกึ คดิ ความคิดเหน็ คา นยิ มคุณธรรม
จรยิ ธรรม ของผูอืน่ รวมทง้ั มีความเขาใจในตนเองมากขึน้
3. รปู แบบการเรียนการสอนที่เนนการพฒั นาดา นทกั ษะพิสยั (Psycho-Motor Domain)
3.1 รูปแบบการเรยี นการสอนตามแนวคิดการพฒั นาทักษะปฏบิ ัตขิ องซิมพซ ัน
(Instructional Model Based on Simpson’s Processes for psycho-Motor Skill
Development)
ก. ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิดของรูปแบบ
ซิมพซัน (Simpson, 1972) กลา ววา ทกั ษะเปนเร่ืองที่มคี วามเก่ียวของกบั พัฒนาการ
ทางกายของผเู รียน เปน ความสามารถในการประสานการท างานของกลามเนื้อหรอื รา งกาย ในการ
ท างานที่มีความซับซอน และตอ งอาศยั ความสามารถในการใชก ลา มเน้ือหลาย ๆ สวน การทาํ งาน
14
ดงั กลาวเกิดข้ึนไดจ ากการสัง่ งานของสมอง ซึ่งตอ งมีความสัมพนั ธก ับความรสู ึกทีเ่ กดิ ขนึ้ ทกั ษะปฏิบตั ิ
นส้ี ามารถพฒั นาไดด ว ยการฝก ฝน ซึ่งหากไดรับการฝกฝนที่ดแี ลว จะเกิดความถูกตอง ความคลอ งแคลว
ความเชี่ยวชาญชํานาญการ และความคงทน ผลของพฤติกรรมหรอื การกระทาํ สามารถสังเกตไดจ ากความ
รวดเรว็ ความแมน ยาํ ความเร็วหรือความราบรืน่ ในการจัดการ
ข. วัตถุประสงคข องรปู แบบ
เพอื่ ชวยใหผเู รยี นสามารถปฏิบตั ิหรือทํางานทตี่ องอาศัยการเคล่อื นไหวหรือการประสานงาน
ของกลามเน้ือท้งั หลายไดอยางดี มีความถูกตองและมคี วามชํานาญ
ค. กระบวนการเรียนการสอนของรปู แบบ
ขน้ั ที่ 1 ขั้นการรับรู เปนข้ันการใหผ ูเ รียนรบั รใู นสิง่ ทจี่ ะทาํ โดยการใหผ เู รียนสังเกตการทํางาน
นัน้ อยา งตั้งใจ
ขน้ั ที่ 2 ข้นั การเตรียมความพรอม เปนขั้นการปรับตวั ใหพ รอมเพ่ือการทํางานหรือแสดง
พฤติกรรมนั้น ทั้งทางดานรา งกาย จติ ใจ อารมณ โดยการปรับตวั ใหพรอ มท่ีจะเคล่ือนไหวหรอื แสดง
ทกั ษะน้นั ๆ และมจี ติ ใจและสภาวะอารมณที่ดีตอการที่จะทําหรอื แสดงทักษะนัน้ ๆ
ขั้นท่ี 3 ขนั้ การสนองตอบภายใตก ารควบคุม เปนขนั้ ทีใ่ หโอกาสแกผ ูเ รียนในการตอบสนองตอ
ส่งิ ทร่ี บั รู ซ่งึ อาจใชว ิธกี ารใหผ ูเรียนเลยี นแบบการกระทาํ หรือการแสดงทักษะนนั้ หรืออาจใชวธิ ีการให
ผเู รียนลองผิดลองถูก จนกระท่ังสามารถตอบสนองไดอยางถูกตอง
ขนั้ ที่ 4 ข้นั การใหลงมือกระทําจนกลายเปนกลไกท่ีสามารถกระทําไดเอง เปนขัน้ ทช่ี ว ยให
ผเู รยี นประสบผลสาํ เรจ็ ในการปฏิบตั ิ และเกดิ ความเชอ่ื มน่ั ในการทําสิ่งนนั้ ๆ
ข้ันท่ี 5 ขั้นการกระทําอยา งชํานาญ เปน ข้นั ท่ีชว ยใหผ เู รยี นไดฝกฝนการกระทําน้นั ๆ จน
ผูเรยี นสามารถทําไดอยา งคลองแคลว ชาํ นาญ เปน ไปโดยอัตโนมัติ และดว ยความเชือ่ มั่นในตนเอง
ขน้ั ท่ี 6 ขัน้ การปรับปรุงและประยกุ ตใ ช เปน ขัน้ ทีช่ วยใหผ เู รยี นปรบั ปรงุ ทักษะหรือการ
ปฏิบัติของตนใหดีย่ิงขน้ึ และประยกุ ตใชทักษะทีต่ นไดรับการพฒั นาในสถานการณต าง ๆ
ข้นั ที่ 7 ขน้ั การคดิ ริเรมิ่ เม่อื ผูเรียนสามารถปฏิบตั หิ รือกระทําสิง่ ใดสงิ่ หนง่ึ อยางชํานาญ
และสามารถประยุกตใ ชในสถานการณท ี่หลากหลายแลว ผูปฏิบัติจะเร่ิมเกิดความคิดใหม ๆ ในการ
กระทํา หรือปรบั การกระทาํ นั้นใหเปน ไปตามทต่ี นตองการ
ง. ผลทผี่ ูเรยี นจะไดร บั จากการเรยี นตามรปู แบบ
ผูเรยี นจะสามารถกระทาํ หรือแสดงออกอยา งคลอ งแคลว ชํานาญ ในสงิ่ ท่ีตอ งการให
ผูเรยี นทําได นอกจากนนั้ ยังชว ยพฒั นาความคดิ สรางสรรค และความอดทนใหเกดิ ขน้ึ ในตัวผูเ รียนดว ย
3.2 รปู แบบการเรียนการสอนทกั ษะปฏบิ ตั ิของแฮรโ รว (Harrow’s Instructional
Model for psychomotor Domain)
ก. ทฤษฎี/หลกั การ/แนวคดิ ของรปู แบบ
แฮรโ รว (Harrow, 1972: 96-99) ไดจ ัดลาํ ดับขัน้ ของการเรียนรทู างดา นทักษะ
ปฏบิ ตั ไิ ว 5 ข้ัน โดยเร่ิมจากระดบั ทซ่ี ับซอ นนอยไปจนถงึ ระดบั ท่มี ีความซบั ซอนมาก ดังนั้นการกระทํา
15
จงึ เรม่ิ จากการเคลื่อนไหวกลามเน้ือใหญไปถึงการเคลือ่ นไหวกลามเน้ือยอย ลําดับขน้ั ดังกลา วไดแก
การเลยี นแบบ การลงมือกระทําตามคําสั่ง การกระทาํ อยา งถกู ตองสมบรู ณ การแสดงออกและการ
กระทาํ อยางเปน ธรรมชาติ
ข. วัตถปุ ระสงคข องรปู แบบ
รูปแบบน้ีมงุ ใหผ เู รียนเกดิ ความสามารถทางดา นทักษะปฏิบัติตา ง ๆ กลา วคือผเู รียน
สามารถปฏิบัตหิ รอื กระทาํ อยางถกู ตองสมบูรณแ ละชาํ นาญ
ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
ขนั้ ท่ี 1 ข้นั การเลยี นแบบ เปนขน้ั ทีใ่ หผูเรยี นสังเกตการกระทําท่ีตองการใหผ เู รียนทาํ ได ซงึ่
ผูเรยี นยอมจะรับรูหรือสังเกตเหน็ รายละเอยี ดตาง ๆ ไดไมค รบถว น แตอ ยา งนอยผูเ รยี นจะสามารถ
บอกไดว า ขั้นตอนหลักของการกระทํานนั้ ๆ มีอะไรบาง
ขัน้ ที่ 2 ขัน้ การลงมือกระทําตามคาํ ส่ัง เม่ือผเู รยี นไดเ ห็นและสามารถบอกขั้นตอนของการ
กระทําท่ีตองการเรียนรูแลว ใหผ เู รยี นลงมอื ทําโดยไมมีแบบอยา งใหเหน็ ผเู รยี นอาจลงมือทําตามคําส่ัง
ของผสู อน หรือทําตามคําส่ังท่ีผูสอนเขยี นไวในคมู ือก็ได การลงมือปฏบิ ัตติ ามคําสั่งนี้ แมผ เู รียนจะยงั
ไมส ามารถทาํ ไดอ ยางสมบูรณ แตอ ยางนอยผเู รียนก็ไดประสบการณใ นการลงมือทําและคน พบปญ หา
ตา ง ๆ ซึ่งชวยใหเกดิ การเรยี นรูและปรบั การกระทาํ ใหถูกตองสมบรู ณขึน้
ขั้นที่ 3 ขน้ั การกระทําอยางถูกตองสมบรู ณ ข้ันนี้เปนขนั้ ทผี่ ูเรียนจะตองฝกฝนจนสามารถ
ทําส่ิงนน้ั ๆ ไดอยา งถูกตองสมบรู ณ โดยไมจ าํ เปนตอ งมแี บบอยางหรอื มคี ําส่งั นําทางการกระทํา การ
กระทาํ ทถ่ี ูกตอ ง แมน ตรง พอดี สมบูรณแ บบ เปนส่ิงทผี่ เู รียนจะตอ งสามารถทาํ ไดในข้นั นี้
ขน้ั ที่ 4 ขั้นการแสดงออก ขนั้ นี้เปน ขั้นทผี่ ูเรยี นมโี อกาสไดฝกฝนมากขน้ึ จนกระท่งั สามารถ
กระทําสิง่ น้นั ไดถูกตองสมบูรณแ บบอยางคลองแคลว รวดเร็ว ราบร่นื และดว ยความมนั่ ใจ
ข้ันท่ี 5 ขัน้ การกระทาํ อยา งเปนธรรมชาติ ขั้นน้ีเปนข้นั ท่ผี เู รียนสามารถกระทาํ สงิ่ นั้น ๆ
อยางสบาย ๆ เปน ไปอยา งอตั โนมตั โิ ดยไมรสู ึกวา ตองใชความพยายามเปนพิเศษ ซึง่ ตองอาศัยการ
ปฏบิ ัตบิ อย ๆ ในสถานการณตาง ๆ ทห่ี ลากหลาย
ง. ผลทผ่ี เู รียนจะไดร บั จากการเรยี นตามรปู แบบ
ผูเ รียนจะเกดิ การพัฒนาทางดา นทักษะปฏิบตั ิ จนสามารถกระทําไดอยา งถูกตองสมบรู ณ
3.3 รูปแบบการเรยี นการสอนทักษะปฏิบตั ิของเดวสี (Davies’ Instructional Model
for Psychomotor Domain)
ก. ทฤษฎ/ี หลกั การ/แนวคิดของรูปแบบ
เดวีส (Davies, 1971: 50-56) ไดนําเสนอแนวคิดเกี่ยวกับการพฒั นาทักษะปฏบิ ัติไววา
ทกั ษะสว นใหญจ ะประกอบไปดว ยทักษะยอ ย ๆ จํานวนมาก การฝก ใหผ ูเรียนสามารถทาํ ทักษะยอย ๆ
เหลาน้ันไดก อนแลว คอ ยเชื่อมโยงตอกนั เปน ทักษะใหญ จะชว ยใหผเู รยี นประสบผลสาํ เร็จไดด ีและเร็ว
ขึ้น
ข. วัตถุประสงคข องรปู แบบ
16
รูปแบบน้ีมงุ ชวยพฒั นาความสามารถดา นทักษะปฏิบัตขิ องผูเ รยี น โดยเฉพาะอยางย่งิ
ทกั ษะที่ประกอบดว ยทักษะยอยจาํ นวนมาก
ค. กระบวนการเรยี นการสอนของรูปแบบ
ขัน้ ท่ี 1 ขน้ั สาธิตทักษะหรือการกระทํา ข้นั น้ีเปน ขนั้ ท่ใี หผ เู รียนไดเ หน็ ทักษะหรือการ
กระทาํ ทีต่ องการใหผูเ รยี นทาํ ไดใ นภาพรวม โดยสาธติ ใหผ เู รียนดทู ้งั หมดต้งั แตต น จนจบ ทกั ษะหรอื
การกระทําทส่ี าธติ ใหผูเรยี นดูนน้ั จะตองเปน การกระทาํ ในลักษณะทเ่ี ปน ธรรมชาติ ไมช า หรือเรว็ เกิน
ปกติ กอนการสาธิต ครคู วรใหค ําแนะนาํ แกผ เู รียนในการสังเกต ควรชแี้ นะจดุ สาํ คัญที่ควรใหความ
สนใจเปน พเิ ศษในการสังเกต
ข้ันท่ี 2 ขัน้ สาธิตและใหผเู รยี นปฏิบตั ทิ กั ษะยอย เม่อื ผเู รยี นไดเ หน็ ภาพรวมของการ
กระทาํ หรือทักษะท้งั หมดแลว ผูสอนควรแตกทักษะทัง้ หมดใหเ ปน ทักษะยอย ๆ หรอื แบงสง่ิ ทกี่ ระทาํ
ออกเปน สวนยอ ย ๆ และสาธิตสวนยอยแตละสวนใหผ ูเ รียนสงั เกตและทําตามไปทีละสว นอยา งชา ๆ
ขน้ั ท่ี 3 ขัน้ ใหผ ูเรียนปฏบิ ัตทิ ักษะยอย ผเู รียนลงมือปฏบิ ัติทักษะยอ ยโดยไมม ีการสาธิต
หรือมแี บบอยางใหดู หากติดขดั จดุ ใด ผูสอนควรใหคําช้ีแนะ และชว ยแกไขจนกระท่ังผเู รยี นทําได เม่ือ
ไดแ ลวผสู อนจึงเรม่ิ สาธติ ทักษะยอ ยสวนตอ ไป และใหผ ูเ รยี นปฏิบตั ทิ ักษะยอยนนั้ จนทาํ ได ทาํ เชนนี้
เรอื่ ยไปจนกระท่ังครบทุกสว น
ขน้ั ท่ี 4 ขั้นใหเ ทคนคิ วธิ ีการ เมือ่ ผูเรียนปฏิบัตไิ ดแลว ผูส อนอาจแนะนาํ เทคนคิ วิธีการทจ่ี ะ
ชว ยใหผ เู รียนสามารถทาํ งานนั้นไดดขี นึ้ เชน ทาํ ไดประณตี สวยงามขนึ้ ทําไดร วดเรว็ ขึน้ ทาํ ไดงา ยขึน้
หรือสิ้นเปลอื งนอยลง เปน ตน
ขัน้ ท่ี 5 ขนั้ ใหผ ูเรยี นเช่ือมโยงทกั ษะยอ ย ๆ เปน ทกั ษะที่สมบูรณ เมอ่ื ผเู รียนสามารถปฏิบัติ
แตละสวนไดแ ลว จึงใหผ ูเ รยี นปฏบิ ตั ิทกั ษะยอย ๆ ตอเนื่องกนั ตงั้ แตตนจนจบ และฝก ปฏิบัติหลาย ๆ
ครงั้ จนกระทั่งสามารถปฏบิ ตั ิทักษะท่สี มบรู ณไ ดอยางชํานาญ
ง. ผลท่ผี เู รยี นจะไดร ับจากการเรยี นตามรูปแบบ
ผเู รียนจะสามารถปฏบิ ตั ิทักษะไดเปน อยางดี มปี ระสิทธิภาพ
4. หลักสูตรสถานศึกษา
4.1 ความหมายของหลักสูตรสถานศกึ ษา
หลักสตู รสถานศกึ ษา เปนแบบแผนหรือแนวทางหรือขอ กาํ หนดของการจัดการ ท่ีจะพฒั นาให
ผูเรยี นมคี วามรู ความสามารถโดยสงเสรมิ ใหแตละบคุ คลพัฒนาไปสูศ กั ยภาพสงู สุดของตนรวมถึงระดับข้นั
ของมวลประสบการณท่ีกอใหเกิดการเรยี นรสู ะสมซง่ึ จะชวยใหผ ูเรียนนาํ ความรูไ ปสูการปฏิบัติได
ประสบการณสําเร็จในการเรยี นรูดวยตนเอง รจู กั ตนเอง มชี ีวติ อยูในโรงเรียน ชมุ ชน สงั คม และโลกอยาง
มีความสขุ
4.2 ความสําคัญและความจําเปน ของหลักสตู รสถานศกึ ษา
17
สถานศึกษาจําเปน ตอ งจดั ทําหลักสตู รสถานศึกษาตามกรอบของหลักสูตรแกนกลางทกี่ รม
วชิ าการกาํ หนดไว พระราชบัญญตั สิ ถานศึกษาแหง ชาติ พ.ศ. 2542 ดว ยเหตุผลดังตอ ไปน้ี
มาตรา 27 ระบุขอความทม่ี สี วนเก่ียวของกับบทบาทหนาที่ของสถานศึกษา ในการนาํ หลกั สตู ร
ไปใชโดยตรง ซ่ึงกําหนดไวว า ใหคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพืน้ ฐานกาํ หนดหลักสตู รแนวทางการศึกษา
ขั้นพ้ืนฐานเพอื่ ความเปนไทย ความเปน พลเมืองที่ดขี องชาติ การดํารงชวี ิตและการประกอบอาชีพ
ตลอดจนเพื่อการศกึ ษาตอ และใหส ถานศึกษาขั้นพ้นื ฐาน มหี นาที่จัดทําสาระของหลกั สูตรตาม
วตั ถปุ ระสงคใ นวรรคหน่ึงในสวนท่ีเกย่ี วกบั ปญหาในชุมชนและสังคมภูมิปญ ญาทองถิ่น คุณลักษณะอันพึง
ประสงคเ พื่อเปนสมาชิกท่ีดีของครอบครวั ชุมชน สงั คม และประเทศชาติ
จะเหน็ วาในวรรคทีส่ อง เปนการกาํ หนดแนวทางการจัดทําหลกั สตู รสถานศึกษาข้ันพื้นฐาน
สถานศึกษา โดยใหสถานศึกษาจดั ทาํ สาระของหลักสตู ร จากหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพนื้ ฐาน ใน
สวนท่เี กีย่ วกับปญหาในชมุ ชนและสงั คมภมู ปิ ญญาทองถน่ิ คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค เพื่อเปนสมาชกิ ที่ดี
ของครอบครวั ชมุ ชนและประเทศชาติ รวมทั้งทําหลกั สูตรใหเ ปนไปตามความตองการของผูเรียน( มน
นิภา ชตุ ิบตุ ร. 2538 : หนา 16 – 18) ไดเสนอแนวทางการนําภูมปิ ญญาทองถน่ิ ไปใชใ นการจัดทํา
หลกั สูตรสถานศกึ ษาดงั น้ี
1. เนนการศกึ ษา วเิ คราะห ทําความเขาใจวิธคี ิดและความคิดของภูมปิ ญญาทอ งถิน่
2. นาํ กระบวนการหรือแนวคิดของภมู ปิ ญ ญาทองถนิ่ มาจัดทําหลักสูตรสถานศึกษา
3. นํากระบวนการคดิ ของภูมปิ ญญาชาวบานมาเสรมิ สรางใหสอดคลองกับแนวคิดแบบ
วิทยาศาสตร
4. สรา งกระบวนการคดิ หลายดา น หลายมมุ โดยสง เสรมิ ใหผ เู รยี นไดค ดิ อยา งอิสระแลว
เชื่อมโยงกบั ชวี ติ จริง
5. ใหภ ูมปิ ญญาทองถิน่ มสี ว นรว มในการจดั ทาํ หลักสตู ร
ตามหลกั การของหลักสูตรน้ัน หลักสตู รทสี่ รางข้ึนจําเปน ตองมีความสอดคลองกับสภาพปญ หา
และสนองความตองการของสังคมท่ีใชห ลกั สตู รนัน้ ๆ โดยเหตุนห้ี ลักสูตรทีส่ รางขนึ้ มุงหมายในการใชใ น
ชมุ ชนแหง ใดแหง หน่ึง โดยเฉพาะ ก็ยอ มสามารถตอบสนองตอ ความตองการของสังคมไดม ากท่ีสดุ
ทอ งถน่ิ และชุมชนมสี ภาพทีแ่ ตกตา งกนั การพัฒนาแตละทองถ่นิ ก็ตองมคี วามแตกตา งกัน เทคโนโลยี
เจริญเรว็ จะทาํ หลักสูตรระดับชาตไิ ปใชกับทองถ่ินก็ไมท นั กบั ความเจริญของเทคโนโลยี สถานศกึ ษาจึง
ตองจัดทําหลักสูตรสถานศึกษาเอง
4.3 จุดมงุ หมายท่สี ําคัญของหลักสตู รสถานศึกษา
1. หลกั สูตรสถานศกึ ษา ควรพัฒนาผเู รยี นใหเ รียนรอู ยางมีความสขุ เพื่อใหมีความรู
ความสามารถ มีทกั ษะการเรียนทสี่ าํ คญั ๆ มีกระบวนการคิดอยา งมีเหตุมีผล มีโอกาสใชข อมลู สารสนเทศ
และเทคโนโลยีสื่อสาร หลักสูตรสถานศึกษาควรสง เสรมิ จิตใจทอ่ี ยากรูอยากเห็น สรางความม่นั ใจและให
กาํ ลังใจในการเรยี นรูและเปนบุคคลท่สี ามารถเรียนรไู ดตลอดเวลา
18
2. หลักสูตรสถานศกึ ษาควรสง เสรมิ การพัฒนาดา นจติ วญิ ญาณ จริยธรรม สังคม และ
วฒั นธรรม โดยเฉพาะพัฒนาผเู รียนใหเกดิ ความเขา ใจและศรัทธาในความเช่ือของตน ความเช่อื และ
วัฒนธรรมท่ีแตกตา งกนั มอี ิทธิพลตอ บคุ คลและสังคมสถานศกึ ษาควรตองพฒั นาหลกั คุณธรรมและความ
อิสระของผูเรยี น มีความพรอมในการเปนผบู ริโภคที่ตดั สนิ ใจแบบมีขอมูลและเปนอสิ ระเขาใจในความ
รับผิดชอบทม่ี ตี อสังคมโดยรวม สามารถชว ยพัฒนาสงั คมใหความเปน ธรรม มีความเสมอภาค มีความ
ตระหนกั เขา ใจ และยอมรบั ทต่ี นดาํ รงอยูได ยดึ มั่นในขอตกลงรวมกนั ตอการพัฒนาทยี่ ่ังยืนท้งั ในระบบ
สวนตน ระดบั ทองถน่ิ ระดบั ชาติ และระดบั โลก
4.4 องคประกอบท่สี าํ คัญของหลกั สูตรสถานศกึ ษา
1.1 วสิ ัยทศั น
1.2 พนั ธกจิ
1.3 เปา หมาย
1.4 สมรรถนะสาํ คัญของผูเรยี นและคณุ ลักษณะอันพึงประสงค
1.5 โครงสรา ง (เวลาเรียน)
1.6 มาตรฐานการเรยี นรู
1.7 ตวั ช้วี ดั ชั้นป/ ตัวช้ีวดั ชว งชน้ั
1.8 สาระการเรยี นรแู กนกลาง / สาระการเรยี นรทู องถนิ่
1.9 คําอธิบายรายวิชา
1.10 หนว ยการเรียนรู
1.11 สอื่ และแหลง การเรยี นรู
1.12 กระบวนการจัดการเรยี นรู
1.13 ระเบียบการวดั และประเมนิ ผลของโรงเรียน และเอกสารหลักฐานทางการศึกษา
องคป ระกอบของหลักสูตรสถานศกึ ษาทัง้ 13 องคประกอบ ลว นแลว แตมคี วามสาํ คัญตอผูสอน
ท่จี ะนําไปพฒั นาตอใหเ ปนแผนการจัดการเรียนรูได ถา วเิ คราะหใหล ะเอียดจะพบวา องคป ระกอบทัง้ หมด
จะมลี ักษณะท่สี ัมพนั ธกนั ซึ่งสามารถจัดออกเปน 3 กลมุ ดังน้ี
1. กลมุ ท่เี ปน เปา หมายของการจดั การเรยี นรูทีผ่ ูเรียนตองบรรลหุ ลังจากที่การจดั การเรียนรู
สิน้ สดุ ลง เชน วิสัยทศั น เปาหมาย สมรรถนะสําคญั ของผูเ รียน คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค และมาตรฐาน
การเรยี นรู
2. กลุม ท่ีเปน ขอบเขตของเน้ือหาหรอื สาระการเรียนรทู ่ีผสู อนตองนาํ ไปดําเนินการจดั การ
เรยี นรูตลอดทั้งปการศึกษา เชน ตัวชี้วดั ชั้นป/ ตวั ชว้ี ดั ชวงชน้ั สาระการเรียนรูแกนกลางสาระการเรยี นรู
ทอ งถน่ิ คําอธิบายรายวชิ า และหนวยการเรยี นรู
3. กลมุ ที่เปน กระบวนการจดั การเรยี นรแู ละสง่ิ สนบั สนนุ การจดั การเรียนรู เชน ส่ือและ
แหลงการเรยี นรู กระบวนการจดั การเรยี นรู ระเบยี บการวดั และประเมินผลของโรงเรยี น และเอกสาร
หลกั ฐานทางการศึกษา
19
5. แผนการจัดการเรียนรู
5.1 ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู
อาภรณ ใจเที่ยง (2546: 213) ไดก ลา วไววาแผนการจัดการเรียนรู หรือแผนการเรยี นรู
เปน คาํ ใหมท่ีนาํ มาใชใ นหลักสูตรการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน พุทธศักราช 2544 เหตุท่ใี ชค าํ “แผนการจดั การ
เรยี นรู” แทนคาํ “แผนการสอน” เพราะตองการใหผสู อนมงุ จดั กิจกรรมการเรียนการสอนโดยเนน ผเู รยี น
เปนสาํ คญั เพื่อใหสอดคลอ งกับเปาหมายของการจดั การศึกษาทีบ่ ง ไวในมาตรา 22 ของพระราชบัญญตั ิ
การศกึ ษาแหง ชาติ พุทธศักราช 2544 ทกี่ ลาวไวว า “การจัดการศึกษาตองยดึ หลกั วาผเู รียนทกุ คนมี
ความสามารถเรยี นรูและพฒั นาตนเองได และถอื วา ผเู รียนสาํ คัญที่สดุ ”
กรมวชิ าการ (2546: 1 - 2) ไดใหค วามหมายของแผนการจัดการเรยี นรูไวว า
แผนการจัดการเรียนรู หมายถึง แผนซงึ่ ครเู ตรียมการจดั การเรยี นรูใหแ กนกั เรยี น โดยวางแผนการจัดการ
เรียนรู แผนการใชส ือ่ การเรียนรูหรือแหลงเรียนรู แผนการวดั ผลประเมินผล โดยการวเิ คราะหจาก
คําอธบิ ายรายวชิ าหรอื หนวยการเรยี นรู ซ่งึ ยดึ ผลการเรยี นรูท คี่ าดหวงั และสาระการเรยี นรทู ก่ี าํ หนด อนั
สอดคลอง กบั มาตรฐานการเรียนรูชวงช้นั
สวุ ิทย มลู คาํ (2549: 58) ไดกลาวไววา แผนการจดั การเรียนรู คือ แผนการเตรียมการสอน
หรอื กําหนดกจิ กรรมการเรยี นรูไวล วงหนาอยา งเปน ระบบและจดั ทําไวเปน ลายลักษณอกั ษร โดยมีการ
รวบรวมขอ มลู ตา ง ๆ มากาํ หนดกิจกรรมการเรียนการสอน เพอื่ ใหผูเรยี นบรรลจุ ดุ มุง หมายที่กาํ หนดไว
พรชัย ผาดไธสง (2560: 288) ไดใ หความหมายของแผนการจดั การเรียนรูว า หมายถงึ
กระบวนการนาํ หลักสตู รสถานศกึ ษาไปสูก ารจดั การเรียนรูในชั้นเรียน โดยผสู อนดาํ เนนิ การอยางเปน ลาย
ลกั ษณอกั ษร มีการวเิ คราะหหลักสตู รสถานศึกษา การวเิ คราะหห นวยการเรียนรแู ละการจัดทํา
กาํ หนดการจดั การเรยี นรเู พ่ือพฒั นาไปสูการจดั ทาํ แผนการจัดการเรยี นรู
จากความหมายขา งตนสรุปไดวา แผนการจัดการเรยี นรู หมายถึง แผนการจดั การเรยี นการ
สอนทผ่ี สู อนจดั ทําขึน้ จากคูม ือครทู ําใหท ราบวา จะสอนเน้ือหาใด อยา งไร ใชสอื่ การเรียนอยา งไร มกี าร
ประเมนิ อยา งไร
5.2 ความสาํ คัญของแผนการจดั การเรียนรู
เอกรินทร สี่มหาศาล (2545: 409) ไดก ลา วถงึ ความสําคญั ของแผนการจดั การเรยี นรู
ไวว า การวางแผนจดั การเรยี นรูจะชวยใหผูสอนทราบวา ในแตล ะสัปดาหหรอื แตล ะชว่ั โมงผูสอนควรจะ
สอนรายวิชาใด ขอบขายสาระการเรยี นรูค รอบคลุมเร่ืองราวอะไรบาง รวมทัง้ การสาํ รวจสภาพปญหาตา ง
ๆ ที่จะชว ยใหผูส อนเกิดความมน่ั ใจในการจัดการเรียนรแู ละสามารถทําการประเมินผลผเู รยี นทําใหผ เู รียน
สามารถพัฒนาตนเองในดา นตาง ๆ ไดต ามเปาหมาย
พรชยั ผาดไธสง (2560: 277) ไดก ลาวถึงความสาํ คัญของแผนการจัดการเรียนรู ไวด ังน้ี
1. ชวยใหผสู อนเห็นความตอ เนอื่ งของการจดั การเรยี นรตู ามหลักสูตร
20
2. สามารถออกแบบการจัดการเรยี นรไู ดส อดคลองกับความถนัด ความสนใจและความ
ตองการของผูเรียน
3. ชวยใหผูสอนสามารถเลือกรูปแบบและเทคนิคการจัดการเรียนรไู ดส อดคลองกับ
เนือ้ หา
4. ชว ยใหการจดั เตรยี มวัสดุ อุปกรณและแหลง การเรยี นรใู หพรอมกอนดําเนินการ
จดั การเรยี นรูจ ริง
5. ผูสอนมคี วามมั่นใจและเชอื่ ม่ันในการจัดการเรยี นรู
6. ชวยใหผ สู อนสามารถปรบั ปรุง แกไขขอบกพรอ งจากการจัดการเรียนรูท่ีพบ
7. ผอู ื่นสามารถสอนแทนไดในกรณีท่ีมีเหตจุ าํ เปนที่ผจู ัดทําแผนการจัดการเรยี นรูไม
สามารถดาํ เนนิ การได
8. เปนหลกั ฐานสําหรบั การพิจารณาผลงานและคุณภาพในการปฏิบัตกิ ารสอน
9. เปนเคร่ืองบง ช้คี วามเปนวชิ าชพี ของครูผูสอน
5.3 องคประกอบของแผนการจัดการเรียนรู
เอกรินทร สีม่ หาศาล และคณะ. 2552: องคป ระกอบของแผนการจัดการเรียนรเู ปน ส่ิงท่ีควร
ตระหนกั ถึงเปน อยางยิ่ง เนือ่ งจากการเขยี นแผนการจัดการเรียนรจู ําเปน ตองเขยี นตามลําดับองคป ระกอบ
และหากขาดองคป ระกอบใดกม็ อิ าจทําใหแผนการจดั การเรยี นรนู ้นั สมบรู ณ เมอื่ พิจารณาแลว การศกึ ษา
วเิ คราะหองคประกอบของแผนโดยทั่วไปจะมี 7 องคประกอบดงั นี้
1. สาระสําคัญ เปน การเขยี นในลักษณะเปน ความคดิ รวบยอด หรือ Concept
2. จดุ ประสงคการเรยี นรู เขียนในลักษณะจดุ ประสงคเ ชิงพฤติกรรม ซ่ึงเม่ือผูเรยี นไดล งมือ
ปฏบิ ตั ิทุกพฤติกรรมในแตล ะแผนการเรียนรขู องหนวยการเรยี นรู แลว บรรลผุ ลตามวัตถุประสงค
ตัวชว้ี ดั และมาตรฐานผลการเรยี นรูท กี่ ําหนดไวใ นแตละหนวย
3. สาระการเรียนรู เปนการเขียนเน้อื หาสาระในลกั ษณะเปนประเด็นสาํ คญั ส้ัน ๆ สอดคลอ ง
กบั เนอื้ หาสาระที่กาํ หนดไวในแผนการจัดการเรยี นรู
4. กิจกรรมการเรียนรู ระบุวิธสี อน กระบวนการจดั กิจกรรมการเรยี นรู เทคนิคการสอนที่
หลากหลาย เมือ่ จัดกจิ กรรมการเรียนรู ครบถว นบรรลุวตั ถุประสงคในการเรียนรู เมื่อเรยี นครบทุก
แผนการจัดการเรียนรู ผเู รยี นจะไดรับความรู ทักษะกระบวนการ และคุณลกั ษณะท่พี ึงประสงค
ครบถว นตามเปาหมายการเรียนรขู องตวั ชว้ี ัด และมาตรฐานการเรยี นรทู ่กี ําหนดไว โดยออกแบบการ
จัดกจิ กรรมการเรยี นรูทีผ่ ูเรยี นตอ งปฏิบัติในแตล ะรายช่ัวโมงอยา งชัดเจน
5. สอื่ แหลง การเรยี นรูในแตละแผนการจัดการเรียนรู จะกําหนดสือ่ การเรยี นรูทใ่ี ช
ประกอบการเรยี นการสอนไวอยา งชดั เจน มใี บความรู ใบงาน แบบฝกทกั ษะการเรยี นรูเอกสาร
เพม่ิ เติมสาํ หรับผสู อนตามความเหมาะสมและบอกแหลง เรียนรูที่สาํ คญั ที่จะชว ยใหการจัดกิจกรรมการ
เรยี นรูเปน ไปตามเปาหมายท่ีกาํ หนด
21
6. การวัดและประเมินผล ทกุ แผนการจดั การเรยี นรู จะระบุรายละเอียดเก่ยี วกับเร่ือง การ
วัดและประเมนิ ผล ทุกแผนการการจดั การเรยี นรูจะระบรุ ายละเอยี ดเกยี่ วกบั เร่อื งการวดั และประเมนิ ผล
คือ หลกั ฐานการเรียนรู รองรอยการเรียนรู วธิ ีการวัดและประเมนิ ผล เครอ่ื งมือในการวดั และประเมินผล
7. บันทกึ ผลการจดั การเรยี นรู เปน การบันทึกผลการจัดกิจกรรมการเรยี นรใู นแตล ะแผนการ
จดั การเรียนรเู พื่อนําไปปรบั ปรงุ และพฒั นาวธิ กี ารจัดการเรียนรูใหบ รรลเุ ปา หมาย
พรชยั ผาดไธสง (2560 : 296 – 297) กลาววา แผนการจัดการเรียนรูจ ะมีองคประกอบท่ี
สอดคลองกับหลกั สตู รในแตละระดบั เชน ระดับการศึกษาปฐมวยั ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ระดับ
อาชวี ศกึ ษาและระดบั อุดมศึกษา โดยผูส อนสามารถดําเนนิ การปรับเปลี่ยนไดตามบริบทของหลักสตู ร ใน
ข้ันน้จี ะนาํ เสนอแผนการจัดการเรยี นรูท ส่ี อดคลองกับหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พื้นฐาน
พุทธศกั ราช 2551 และฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. 2560 ซ่ึงควรมีองคป ระกอบ ดังน้ี
1. สว นหวั ของแผนฯ
2. สาระการเรียนรู (เนือ้ หา)
3. สาระสาํ คญั
4. ตวั ชีว้ ดั
5. มาตรฐานการเรียนรู
6. จดุ ประสงคก ารเรยี นรู
7. สมรรถนะสาํ คัญของผูเรยี น
8. คุณลกั ษณะอันพึงประสงค
9. กระบวนการจัดการเรยี นรู
10. สื่อ/แหลง เรยี นรู
11. กระบวนการวัดและประเมนิ ผล
11.1 การวัดผล
11.1.1 วธิ ีการวดั
11.1.2 เคร่ืองมือทใี่ ชว ดั
11.1.3 เกณฑการใหคะแนน
11.2 การประเมินผล
11.2.1 เกณฑการตัดสนิ
11.2.2 เกณฑการกาํ หนดระดับคณุ ภาพ
12. ขอ เสนอแนะและความคิดเห็นเพิ่มเติมของผูตรวจ
13. บนั ทึกผลหลังการจัดการเรยี นรู
13.1 ผลการเรียนรู
13.2 ปญ หาและอปุ สรรค
13.3 แนวทางการแกไขปญหา
22
14. กิจกรรมเสนอแนะ
15. คะแนนท่ีไดจ ากการวัดผล
16. ภาคผนวก
6. การวัดและประเมินผลการเรยี นรู
6.1 การวดั ผล (Measurement) คอื การกําหนดตวั เลขใหกับวัตถุ สิ่งของ เหตกุ ารณ
ปรากฎการณ หรือพฤตกิ รรมตา ง ๆ หรอื อาจใชเ คร่ืองมือไปวัดเพือ่ ใหไดต ัวเลขแทนคุณลักษณะตา ง ๆ
เชน ใชไ มบ รรทัดวดั ความกวางของหนังสอื ได 3.5 นิว้ ใชเคร่ืองชง่ั วัดนํ้าหนักของเน้ือหมูได 0.5 กโิ ลกรัม
ใชแบบทดสอบวัดความรอบรูในวชิ าภาษาไทยของเด็กชายแดงได 42 คะแนน เปนตน
การวดั ผลแบงเปน 2 ประเภทคือ
1. วัดทางตรง วดั คุณลกั ษณะท่ตี องการโดยตรง เชน สว นสงู นํา้ หนัก ฯลฯ มาตราวดั จะอยใู น
ระดับ Ratio Scale
2. วัดทางออม วัดคุณลักษณะทตี่ องการโดยตรงไมได ตองวัดโดยผา นกระบวนการทางสมอง
เชน วดั ความรู วัดเจตคติ วดั บคุ ลกิ ภาพ ฯลฯ มาตราวัดจะอยใู นระดับ Interval Scale
การวดั ทางออ มแบง ออกเปน 3 ดานคอื
2.1 ดานสติปญญา (Cognitive Domain) เชน วดั ผลสัมฤทธิท์ างการเรียน วดั เชาวนปญญา
วดั ความถนดั ทางการเรยี น วัดความคิดสรา งสรรค ฯลฯ
2.2 ดา นความรสู กึ (Affective Domain) เชน วัดความสนใจ วดั เจตคติ วดั บุคลกิ ภาพ วัด
ความวิตกกงั วล วัดจริยธรรม ฯลฯ
2.3 ดา นทักษะกลไก (Psychomotor Domain) เชน การเคลือ่ นไหว การปฏบิ ัติโดยใช
เครื่องมือ ฯลฯ
6.2 การประเมนิ ผล (Evaluation) หมายถงึ การนาํ เอาขอมลู ตา ง ๆ ท่ีไดจ ากการวดั รวมกับ
การใชวิจารณญาณของผปู ระเมนิ มาใชในการตดั สนิ ใจ โดยการเปรยี บเทียบกบั เกณฑ เพื่อใหไดผ ลเปน
อยา งใดอยา งหนึง่ เชน เน้อื หมชู น้ิ นี้หนกั 0.5 กโิ ลกรัมเปน เนอ้ื หมูชน้ิ ทเี่ บาที่สดุ ในรา น (เปรยี บเทียบกัน
ภายในกลมุ ) เด็กชายแดงไดค ะแนนวิชาภาษาไทย 42 คะแนนซง่ึ ไมถงึ 50 คะแนนถอื วาสอบไมผ า น (ใช
เกณฑท่ีครูสรา งขึ้น) เปนตน
การประเมินผลแบงไดเปน 2 ประเภท การประเมนิ แบบองิ กลมุ และการประเมินแบบอิงเกณฑ
1. การประเมินแบบองิ กลุม เปนการเปรยี บเทียบคะแนนจากแบบทดสอบหรอื ผลงานของ
บคุ คลใดบุคคลหนงึ่ กบั บคุ คลอนื่ ๆ ทีไ่ ดทาํ แบบทดสอบเดยี วกนั หรอื ไดทํางานอยางเดียวกัน น่ันคอื เปน
การใชเ พื่อจาํ แนกหรือจัดลาํ ดับบคุ คลในกลุม การประเมินแบบนมี้ ักใชกบั การ การประเมินเพ่อื คัดเลอื ก
เขาศึกษาตอ หรอื การสอบชงิ ทุนตา ง ๆ
23
2. การประเมินแบบอิงเกณฑ เปน การเปรียบเทียบคะแนนจากแบบทดสอบหรือผลงานของ
บคุ คลใดบุคคลหนง่ึ กบั เกณฑหรอื จดุ มุงหมายท่ไี ดก ําหนดไว เชน การประเมินระหวา งการเรยี นการสอนวา
ผูเ รยี นไดบ รรลวุ ตั ถุประสงคการเรยี นรทู ไ่ี ดกําหนดไวห รอื ไม
ขอ แตกตางระหวา งการประเมนิ ผลแบบองิ กลุมและอิงเกณฑ
2.1 การประเมินผลแบบองิ กลมุ
1. เปนการเปรียบเทียบคะแนนท่ีไดกับคะแนนของคนอนื่ ๆ
2. นิยมใชในการสอบแขงขัน
3. คะแนนจะถูกนําเสนอในรูปของรอยละหรือคะแนนมาตรฐาน
4. ใชแบบทดสอบเดียวกันทาํ หรบั ผูเรยี นท้ังกลมุ หรอื อาจใชแบบทดสอบคูขนาน เพอื่ ให
สามารถเปรียบเทยี บกันได
5. แบบทดสอบมีความยากงา ยพอเหมาะ มีอาํ นาจจําแนกสูง
6. เนน ความเทย่ี งตรงทกุ ชนิด
2.2 การประเมนิ แบบองิ เกณฑ
1. เปน การเปรยี บเทยี บคะแนนที่ไดกับเกณฑท ่ีไดก ําหนดไว
2. สําหรับการเรยี นการสอนเพ่ือพฒั นาผเู รียนหรอื เพอ่ื ปรบั ปรงุ การเรียนการสอน
3. คะแนนจะถกู นําเสนอในรูปของผา น-ไมผ านตามเกณฑทกี่ ําหนดไว
4. ไมไ ดเ ปรียบเทยี บกับคนอ่นื ๆ จงึ ไมจ ําเปน ตองใชแ บบทดสอบฉบบั เดียวกันกบั ผูเ รยี นทั้ง
ชนั้
5. ไมเนนความยากงาย แตอาํ นาจจาํ แนกควรมีพอเหมาะ
6. เนนความเท่ยี งตรงเชงิ เนื้อหา
7. สถิติและการวจิ ัย
ในการวจิ ัยนัน้ เมอื่ ผูวจิ ยั ไดคนควา เก็บรวบรวมขอ มลู มาแลว จาํ เปน ทจี่ ะตองนําขอมูลนน้ั มา
วิเคราะห และแปลความหมายจากขอมูลทีเ่ กบ็ รวบรวมมาได ซ่ึงตรงนีเ้ องท่ี "สถติ ิ" จะเขา มามบี ทบาทใน
การวิจยั สถติ จิ ะเขามาชว ยในการจดั การกับขอมูลท่ีมอี ยูอยางกระจัดกระจายมารวบรวมไวเ ปน หมวดหมู
โดยใชว ิธีการตา ง ๆ เชน การแจกแจงความถ่ี การหารอยละ เปนตน ตลอดจนถึงชว ยใหทราบเกยี่ วกบั
คณุ ลกั ษณะตาง ๆ ของขอมลู เชน การวัดแนวโนมเขา สสู ว นกลาง การวดั การกระจายของขอมลู เปนตน
ถาหากขอมลู มจี ํานวนมาก ก็อาจจะใชคอมพวิ เตอรเ ขา มาชว ยในการจัดหมวดหมู และวเิ คราะหแปลผลได
อยา งรวดเรว็ ดังนนั้ สถติ ิ จงึ มีความเกี่ยวของกับการวจิ ยั จนแทบจะแยกกนั ไมออก นอกจากน้ียังมีบทบาท
ในการนําเสนอในรายงานการวจิ ยั เชน การจดั ทาํ ตาราง การสรางเสน ภาพ แผนภมู ติ า ง ๆ ซ่ึงตอ งใชสถติ ิ
เขามาชว ยจะเห็นไดวา วิจยั และสถิติ ยอมจะเกย่ี วของสัมพันธ ดงั น้นั ในการทาํ วจิ ยั ผูทําวิจยั จึงควรมี
ความรูเร่อื งสถิติดว ย ถาผวู ิจยั ไมมีความรเู รอ่ื งสถติ ิ ก็อาจจะหาผรู ว มวจิ ัยท่มี คี วามรูเร่อื งสถติ ิเขา มารว ม
วิจยั ดว ยกไ็ ด
24
บรรณานกุ รม
ชาญชยั อนิ ทรประวตั ิ. 2534. รปู แบบการสอน.พิมพคร้งั ท่ี3 สงขลา : มหาวทิ ยาลัยศรีนรนิ ทรว โิ รต
สงขลา.
ทศิ นา แขมมณ.ี 2551. รูปแบบการเรยี นการสอน : ทางเลือกทห่ี ากหลาย. พิมพครั้งที่5. กรุงเทพฯ
: สาํ นกั พมิ พจ ุฬาลงกรณม หาวิทยาลัย.
ทศิ นา แขมมณ.ี (2553).ศาสตรก ารสอนองคือความรูเพ่ือการจดั กระบวนการเรียนรทู ่ีมี
ประสทิ ธิภาพ. กรุงเทพฯ.สํานักพทิ พแหง จุฬาลงกรณม หาวิทยาลยั 2553
รตั นา สิงหกลู . (2547). รูปแบบการสอน. [Online]. Available :
http://sps.Ipruac.th/script/show article.plimas id-11&eroup id-50&article id
=910 [1 กุมภาพนั ธ 2558]
รปู แบบการเรยี นการสอน. [Online]. Available :
facebook.com/lsr.php?u=http%3A%2F%2Fstudent.nu.ac.th [6 กมุ ภาพันธ
2558]
สวุ ทิ ย มูลคาํ และอรทยั มลู คาํ . (2545). 21 วธิ ีจดั การเรยี นรู. กรุงเทพฯ : โรงพิมพภาพพมิ พ.