1 การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา เรื่อง รู้เท่าทันสินค้าและบริการ ของเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) นางสาววาสนา เมืองพวน 63040107128 วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
2 หัวข้อวิจัยในชั้นเรียน การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษาเรื่อง รู้เท่าทันสินค้าและบริการ ของเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มการเรียนรู้ แบบร่วมมือ(Cooperative Learning) ผู้วิจัย นางสาววาสนา เมืองพวน สาขาวิชา พระพุทธศาสนา อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุพัฒน์ ศรีชมชื่น ครูพี่เลี้ยง นางสาวปภาดา พรหมรินทร์ อาจารย์ประจ าหลักสูตรครุศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีอนุมัติให้นับวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรครุ ศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา ผู้ช่วยศาสตราจารย์.ดร. ไกรฤกษ์ ศิลาคม วันที่20 เดือน มกราคม พ.ศ 2567 คณะกรรมการผู้ประเมินรายงานวิจัยในชั้นเรียน .................................................................................. ประธานคณะกรรมการ (ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุพัฒน์ ศรีชมชื่น) กรรมการ (ผู้ช่วยศาตราจารย์สอนประจันทร์ เสียงเย็น) กรรมการ (นาวสาวปภาดา พรหมรินทร์) กรรมการ (นางวัชรีพร ชัยจักร์)
3 ชื่อเรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษาเรื่อง รู้เท่าทันสินค้าและบริการ ของเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มการเรียนรู้ แบบร่วมมือ(Cooperative Learning) ผู้วิจัย นางสาววาสนา เมืองพวน อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุพัฒน์ ศรีชมชื่น อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม ผู้ช่วยศาสตราจารย์.ดร ไกรฤกษ์ ศิลาคม ปีการศึกษา 2566 บทคัดย่อ รายงานนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1. เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษาศาสนาและ วัฒนธรรมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนโดยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่ม การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนกลุ่มเป้าหมายเป็น นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จังหวัดหนองคายได้จากการสุ่มแบบกลุ่ม จ านวน๓ คน เครื่องมือที่ใช้ในการ วิจัยได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้วิชาสังคมศึกศาสนาและวัฒนธรรม การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าเฉลี่ย ร้อย ละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีแบบไม่อิสระ 2.ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนโดยใช้โดยใช้ทักษะกระบวนการ กลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ(Cooperative Learning) ประชากรเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนโนนสง่าหนองแวงวิทยามีประชากรทั้งหมด 9 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) จ านวน 9 คนซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) ซึ่งประกอบด้วย นักเรียนที่มีระดับความสามารถทางการเรียนสูง ปานกลาง และต่ า แล้วแบ่งนักเรียนในกลุ่มตัวอย่าง ออกเป็นกลุ่มย่อยกลุ่ม 3 คนกลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนโนนสง่าหนองแวง วิทยา จังหวัดหนองคายได้จากการสุ่มแบบกลุ่ม จ านวน 9 คน เครื่องมือที่ใช้ในการประกอบด้วยสมาชิก กลุ่มที่มีระดับความสามารถทางการเรียนแตกต่างกัน โดยพิจารณาจากคะแนนผลสัมฤทธิ์ของภาคเรียนที่ ผ่านมา ซึ่งแต่ละกลุ่มประกอบด้วยนักเรียน เก่ง คน ปานกลาง ค โดยกลุ่มตัวอย่างได้รับการจัดการเรียนรู้ โดยใช้ชุดการเรียนประกอบการเรียนรู้แบบร่วมมือ(Cooperative Learning)
4 กิตติกรรมประกาศ การวิจัยครั้งนี้ส าเร็จสมบูรณ์ได้ด้วยความกรุณาและความช่วยเหลืออย่างสูงยิ่งจากคุณครูนวลบุปผา มูลสาร คุณครูธีรภัทร เหรียญทอง ผู้ช่วยศาสตราจารย์.ดร.ไกรฤกษ์ ศิลาคม และผู้ช่วยศาสตราจารย์สุพัฒน์ ศรีชมชื่น ที่กรุณาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย โดยให้ค าแนะน าอย่างดี ยิ่ง ซึ่งเป็นส่วนส าคัญที่ท าให้การวิจัยนี้ส าเร็จลุล่วงด้วยดี ขอขอบพระคุณ นางวันวิสา กองแก้ว ผู้อ านวยการโรงเรียนโนนสง่าหนองแวงวิทยาพร้อมทั้งคณะ ครูในโรงเรียนทุกท่านและนักเรียนทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ที่ได้ให้ก าลังใจและให้ความอนุเคราะห์เครื่องมือ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ในการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อการวิจัยคุณค่าและประโยชน์อันพึงมีจากการ วิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยขอน้อมร าลึกถึงคุณบิดามารดา ผู้ให้ชีวิต ให้การศึกษา ตลอดจนบูรพาจารย์และผู้มี พระคุณทุกท่าน ที่ได้ให้ความรู้และอบรมสั่งสอนแก่ผู้วิจัยจนประสบความส าเร็จในการศึกษา นางสาววาสนา เมืองพวน
5 สารบัญ หน้า บทคัดย่อ ภาษาไทย ........................................................................................................ กิตติกรรมประกาศ ............................................................................................... 4 สารบัญ ............................................................................................................... 5 บทที่ 1 บทน า ..................................................................................... ........................ 7 ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา ................................................. 7 วัตถุประสงค์ของการวิจัย ........................................................................ 8 สมมติฐานของการวิจัย ............................................................................ 8 ขอบเขตของการวิจัย ............................................................................... 9 นิยามศัพท์เฉพาะ ................................................................................... 10 ประโยชน์ที่จะได้รับ .................................................................................. 11 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ................................................................... 12 - เอกสารที่เกี่ยวข้องกับวิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม 12 - เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสอนแบบทักษะกระบวนการแบบร่วมมือ (Cooperative Learning) 15 - เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วิชาสังคม 22 3 วิธีด าเนินการวิจัย .................................................................................................... 22 กลุ่มเป้าหมาย ............................................................................................. 22 รูปแบบในการทดลอง ................................................................................. 22 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ............................................................................. 23 การเก็บรวบรวมข้อมูล ................................................................................ 25 การวิเคราะห์ข้อมูล ..................................................................................... 26
6 สารบัญ (ต่อ) บทที่ หน้า 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ............................................................................................. ---วิเคราะห์ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การวิจัย--- 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ......................................................................... วัตถุประสงค์ของการวิจัย ................................................................................. สมมติฐานของการวิจัย ..................................................................................... วิธีด าเนินการวิจัย .............................................................................................. สรุปผลการวิจัย ................................................................................................. อภิปรายผล ....................................................................................................... ข้อเสนอแนะ ..................................................................................................... เอกสารอ้างอิง ................................................................................................................. ภาคผนวก ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญ รายชื่อผู้ช่วยผู้วิจัย ............................................... ภาคผนวก ข ตารางวิเคราะห์แผนการจัดการเรียนรู้กับเนื้อหาและ แผนการจัดการเรียนรู้ ....................................................................................... ภาคผนวก ค แบบวัด................................................................................................. ภาคผนวก ง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ............................................ ภาคผนวก จ ผลการหาประสิทธิภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ................................ ประวัติย่อของผู้วิจัย ............................................................................................................... ภาพประกอบ
7 บทที่ 1 บทน า ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา การจัดการศึกษาในปีศตวรรษที่ 21 ผู้จัดการศึกษาจึงต้องมีความจ าเป็นที่จะต้องมีการปรับเปลี่ยน วิธีการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้ทันกับยุคสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านเทคโนโลยีที่เร็วมากฉะนั้นการ จัดการเรียนรู้จะต้องใช้กระบวนการต่างๆเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้เรียนเป็นส าคัญทั้งนี้เพื่อให้ ผู้เรียนได้น าความรู้ที่ได้รับไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์และอยู่ในสังคมปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่าง รวดเร็ว ดังพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ความตอนหนึ่ง ว่า “ การศึกษาเป็นปัจจัยในการสร้างและพัฒนาความรู้ ความคิด ความประพฤติและคุณธรรมของบุคคล สังคมและบ้านเมืองใดให้การศึกษาที่ดีแก่เยาวชนได้อย่างครบถ้วนพอเหมาะกันทุกๆด้าน สังคมและ บ้านเมืองนั้นจะมีพลเมืองที่มีคุณภาพ ซึ่งสามารถด ารงรักษาความเจริญมั่นคงของประเทศไว้และพัฒนา ก้าวหน้าต่อไปได้ตลอด ” (พระราชปณิธานด้านการจัดการศึกษา 2530 : 27 )การจัดการศึกษาตาม หลักสูตรขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ในปัจจุบันได้มุ่งเน้นไปที่ผู้เรียนเป็นส าคัญ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดทักษะ ทั้งทางด้านความรู้ ความคิด ความสามารถ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้และความรับผิดชอบต่อตนเอง และต่อสังคมเพื่อพัฒนาคนให้มีความสมดุลโดยยึดหลักผู้เรียนส าคัญที่สุดทุกคนมีความสามารถในการเรียนรู้ และสามารถพัฒนาตนเองได้ มุ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตนตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ ดังนั้น สถานศึกษาและผู้จัดกระบวนการเรียนรู้โดยมุ่งเน้นการฝึกทักษะกระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญ สถานการณ์ต่างๆเพื่อน าไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจ าวันได้ 2.รู้เท่าทันสินค้าและบริการ สินค้า คือ สิ่งที่จับต้องได้ สัมผัสได้สามารถน ามาซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนกันเพื่อตอบสนองความต้องการของ มนุษย์สิ่งที่มนุษย์จ าเป็นต่อการด ารงชีวิตเรียกว่าปัจจัยสี่เครื่องนุ่งห่ม อาหาร ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค ปัจจัย สี่หากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งอาจจะส่งผลต่อการด าเนินชีวิต บริการหมายถึง ปฏิบัติรับใช้ให้ความสะดวกต่างๆคือ สิ่งที่อ านวยความสะดวกสบายเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจับต้องได้ สัมผัสไม่ได้และไม่สามารถถ่ายโอนไปให้ผู้อื่นได้ ตัวอย่างของการบริการ บริการตัดผม บริการขนส่งสาธารณะ การเปรียบเทียบความเหมือนความแตกต่าง สินค้า - มาตรฐานได้ชัดเจน – มีความแน่นอน – เก็บรักษาได้ – จับต้องได้บริการ – มาตรฐานไม่ชัดเจน – ไม่มีความแน่นอน – เก็บรักษาไม่ได้– จับต้องไม่ได้ ความเหมือนสนองความต้องการของผู้บริโภค
8 วัตถุประสงค์ของการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ ก าหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัย ดังนี้ 1.เพื่อศึกษาความพึงพอใจทางการเรียน เรียนรู้วิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มการเรียนรู้ แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning)ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน สมมติฐานของการวิจัย 1. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มการ เรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) มีไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 2. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่ม การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) มีความพึงพอใจหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 3. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มการ เรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษาศาสนาและ วัฒนธรรม หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
9 ขอบเขตของการวิจัย 1. ประชากรและกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในงานวิจัย 1.1 ประชากรที่ใช้ในงานวิจัย ประชากรที่ใช้ในการการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียน ที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนโนนสง่าหนองแวงวิทยา จ านวน 1 ห้องเรียน ทั้งหมด 9 คน 2. กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566โรงเรียนโรงเรียนโนนสง่าหนองแวงวิทยา ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาหนองคายเขต 1 จ านวน 1 ห้องเรียน จ านวนนักเรียน 9 คน 3. ตัวแปรที่ศึกษา 3.1 ตัวแปรต้น คือ กิจกรรมการเรียนรู้โดยโดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) 3.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ 3.2.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม 3.2.2 ความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยโดยใช้ทักษะ กระบวนการกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ(Cooperative Learning 4. เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย เนื้อหาที่ผู้วิจัยน ามาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในครั้งนี้คือวิชาสังคมศึกษาศาสนาและ วัฒนธรรม เรื่อง รู้เท่าทันสินค้าและบริการ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มีรายละเอียดดังนี้ 4.1 ความหมายสินค้าและบริการ จ านวน 1 ชั่วโมง 4.2 ประเภทของสินค้าและบริการ จ านวน 1 ชั่วโมง 4.3 ประโยชน์ของสินค้าและบริการ จ านวน 1 ชั่วโมง 4.4 การเลือกซื้อสินค้าและบริการ จ านวน 1 ชั่วโมง 4.5 ปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกซื้อสินค้าและบริการ จ านวน 1 ชั่วโมง 4.6 การคุ้มครองผู้บริโภค จ านวน 1 ชั่วโมง 4.7 สิทธิพื้นฐานของผู้บริโภค จ านวน 1 ชั่วโมง 4.8 เครื่องหมายรับรองคุณภาพสินค้าและบริการ จ านวน 1 ชั่วโมง 4.9 หลักการและวิธีการเลือกซื้อสินค้าและบริการ จ านวน 1 ชั่วโมง
10 5. ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย ผู้วิจัยด าเนินการทดลองในปีการศึกษา 2566 วิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม.เรื่อง รู้เท่าทันสินค้าและบริการ ตามแผนการจัดการเรียนรู้หน่วยที่ 1 1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ จ านวน 9 แผนใช้ เวลา 9 ชั่วโมง นิยามศัพท์เฉพาะ 1.กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) หมายถึง การจัดการ เรียนรู้แบบร่วมมือ(Cooperative Learning ) มีนักการศึกษาในต่างประเทศให้ความหมายไว้หลายท่าน อาทิเช่น Balkcom (1992), Slavin, Robert E. (1995) และ Abuseileek (2007) ซึ่งท่านทั้งหลายให้ ความหมายของการเรียนแบบร่วมมือไว้ว่าเป็นการเรียนที่เหมาะกับสมาชิกกลุ่มเล็กๆแล้วร่วมกันแก้ปัญหา หรือท างานที่ได้รับมอบหมายให้ส าเร็จสมาชิกในกลุ่มทุกคนเป็นส่วนส าคัญของกลุ่มที่จะต้องมีส่วนร่วมใน การช่วยเหลือซึ่งในการท างาน ความส าเร็จหรือความล้มเหลวของกลุ่มล้วนเป็นของทุกคนในกลุ่มส าหรับใน ประเทศไทยพบว่ามีการศึกษาหลายท่านให้ความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือไว้เช่นนักอาทิเช่น อาภรณ์ใจเที่ยง (2550), สุวทิย์มูลคา และอรทัย มูลค า (2552)และสมศักดิ์ ภู่วิภาดาวรรธน์ (2554) โดย ท่านได้กล่าวถึงการเรียนรู้แบบร่วมมือว่าเป็นวิธีการเรียนที่มีการจัดกลุ่มการท างาน เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ และเพิ่มพูนแรงจูงใจทางการเรียน การเรียนแบบร่วมมือไม่ใช่วิธีการจัดนักเรียนเข้ากลุ่มร่วมกันแบบ ธรรมดาแต่เป็นการร่วมกลุ่มอย่างมีโครงสร้างอย่างชัดเจนจากการที่สมาชิกแต่ละคนในทีมมีปฏิสัมพันธ์ต่อ กันในการเรียนรู้และสมาชิกทุกคนจะได้รับการกระตุ้น ให้เกิดแรงจูงใจเพื่อที่จะช่วยเหลือและเพิ่มพูนการ เรียนรู้ของสมาชิกในทีมจากค ากล่าวของนักการศึกษาหลายๆท่านที่ให้ความหมายของ“การจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือ(Cooperative Learning )” ไว้ข้างตนสามารถสรุป ความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบ ร่วมมือคือการจัดการเรียนรู้โดยจัดผู้เรียนออกเป็นกลุ่มย่อมมีความสามารถแตกต่างกันและใช้กระบวนการ ทางานเป็นทีมเพื่อร่วมกัน แลกเปลี่ยนเรียนรู้จากความรู้ที่ได้รับมอบหมายตามหัวข้อที่ก าหนดให้พร้อมนา ความรู้มาสรุปสาระการเรียนรู้และน าไปสู่เป้าหมายที่ก าหนดไว้ร่วมกัน โดยมีผู้สอนเป็นผู้ให้ค าปรึกษาการ ด าเนินการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสังเคราะห์ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ให้ความช่วยเหลือจัดหา และชี้แนะแหล่งค้นคว้าข้อ มูลเพิ่มเติม ซึ่งมีรูปแบบการจัดการเรียนรู้หลากหลายรูปแบบให้ผู้สอนเลือกใช้ ตามความเหมาะสมของเนื้อหา
11 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสังคมศึกษา หมายถึง ความรูความสามารถของนักเรียนที่เกิดจากการ เรียนเรื่อง สถานการณดานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม โดยพิจารณาจากคะแนนที่ไดจากการท า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ที่ผู้วิจัยสรางขึ้นตามหลักของ เบนจามนิ เอส บลูม (Bloom.1976: 139) กลาวว่า การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจะตองสอดคลองกับวัตถุประสงค์ดานความรูความคิด (Cognitive Domain) พฤติกรรมดานนี้เกี่ยวกับกระบวนการตางๆทางดานสติปญญาและสมอง ประกอบดวยพฤติกรรม 6 ด้าน ดังนี้ 2.1 ดานความรูความจ าหมายถึงความสามารถระลึกถึงเรื่องราวประสบการณ์ที่ผานมา 2.2 ดานความเขาใจ หมายถึง ความสามารถในการจับใจความ การแปลความ การตีความการ ขยายความของเรื่องได 2.3 การน าไปใชหมายถึง ความสามรถในการน าความรูหรือหลักวิชาที่เรียนมาแลว ในการสราง สถานการณจริงๆ หรือสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน 2.4 การวิเคราะหหมายถึง ความสามารถในการแยกแยะเรื่องราวตางๆ หรือวัตถุสิ่งของเพื่อตอง การคนหาสาเหตุเบื้องต้น หาความสัมพนธิ์ระหวางใจความ ระหว่างส่วนร่วมระหว่างตอนตลอดจนหา หลักการที่แฝงอยูในเรื่อง 2.5 การสังเคราะหหมายถึง ความสามารถในการน าความรูมาจัดระบบใหมเปนเรื่องใหมที่ไม เหมือนเดิมมีความหมายและประสิทธิภาพสูงกว่าเดิม 2.6 การประเมินค่าหมายถึงการวนิิจฉัยคุณค่าของบุคคลเรื่องราว วัสดุสิ่งของอยางมีหลักเกณฑ ประโยชน์ที่จะได้รับ 1 .ได้ใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) เรื่อง รู้เท่าทัน สินค้าและบริการ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีประสิทธิภาพสามารถน าไปใช้ในการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้และเป็นแนวทางในการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนาและ วัฒนธรรมในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
12 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเพื่อพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอน วิชาสังคมศาสนาธรรมที่ใช้ แนวความคิดในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ซึ่งผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารต ารา งานวิจัยและทฤษฎีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย มีรายละเอียดดังนี้ 1. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับวิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม 2. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสอนแบบทักษะกระบวนการแบบร่วมมือ (Cooperative Learning) 3. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วิชาสังคม เอกสารที่เกี่ยวข้องกับสังคมศึกษา 1. ความหมายของสังคมศึกษา ความหมายของวิชาสังคมศึกษามีนักวิชาการทั้งไทยและต่างประเทศได้กล่าวถึงความหมาย ของวิชาสังคมศึกษาไว้ ดังนี้ พนัส หันนาคินทร์ (2518: หน้า 6) ให้ความหมายว่า สังคม หมายถึง เนื้อหาวิชาที่เกี่ยวข้อง โดยตรงกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ บันลือ พฤกษะวัน (2519: หน้า 13) ได้ให้ความหมายว่า สังคมศึกษา หมายถึง การศึกษา ที่ว่าด้วยการอยู่ร่วมกันของหมู่ชนซึ่งมีปัจจัยที่ส าคัญเกี่ยวข้องกับคน สถานที่ วัฒนธรรม มุ่งให้เกิดการ ปรับตัว มีมโนทัศน์เกี่ยวกับการด ารงชีวิต และเป็นสมาชิกที่มีคุณค่าของสังคม จาโรลิเมค (Jarolimek. 1967: 4) ใหความหมายวาสังคมศึกษาเปนกลุ่มสาระที่ว่าด้วย ความสัมพันธของมนุษยกับสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติและสังคม และกลาวถึงวิธีทีิมนุษย์จะใชสิ่งแวดลอม เพื่อสนองความตองการของตนในการด ารงชีวิต พจนานุกรมฉบบราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ไดใหความหมายวาสังคมศึกษาหมายถึง กลุมสาระที่ประกอบดวยสาระภูมิศาสตร ประวัติศาสตร หน้าที่พลเมืองและศีลธรรม โกวิท วัรพิพฒน (วิเชียร อ าพนรักษ 2537: 5; อางอิงจากโกวิท วรพิพัฒน ม.ป.ป) กลาวถึงกลุมสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมวาเปนกลุมสาระที่มีความส าคัญ และมี ความสัมพันธ์กับการพัฒนาประเทศในดานการเตรียมคนใหเปนคนดีมีความรับผิดชอบและมีคุณธรรม เผด็จ กุลประดิษฐ 2540: 7) ใหความหมายวาสังคมศึกษาเป็นกลุ่มสาระที่เกี่ยวของ กับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม การอยูรวมกันของกลุ่มชนตลอดจนการปรับตัวให
13 สามารถดารงชีวิตอยู่ในสงคมนั้นๆไดอยางมีความสุข จรูญ คูณมี (2527: หน้า 27-30) ได้ให้ความหมายว่า วิชาสังคมศึกษาเน้นถึงความสัมพันธ์ ในลักษณะต่อไปนี้ (1) ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ (2) ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสถาบันทางสังคม (3) ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม (4) ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับปัจจัยแห่งการด าเนินชีวิตราฟ ซี เพรสตัน (Ralph C. Preston, 1960: pp. 1-2) ได้ให้ทัศนะเกี่ยวกับสังคมศึกษาว่าเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อหาวิชาสังคมศาสตร์ที่เลือกเฟ้น และปรับปรุงให้เหมาะสมที่จะใช้สอนในโรงเรียนระดับประถม และมัธยมศึกษา เนื้อหาส่วนใหญ่ ได้แก่ (1) ประวัติศาสตร์ เป็นการศึกษาเรื่องอดีตของมนุษย์ (2) ภูมิศาสตร์ เป็นการศึกษาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับแผ่นดินที่อยู่อาศัย (3) หน้าที่พลเมือง เป็นการศึกษาเรื่องสิทธิ และหน้าที่ของมนุษย์ (4) สังคมวิทยา เป็นการศึกษาเกี่ยวกับสถาบันของมนุษย์และกระบวนการทางสังคม (5) มานุษยวิทยา เป็นการศึกษาเกี่ยวกับวัฒนธรรมของกลุ่มชน (6) เศรษฐศาสตร์ เป็นการศึกษาเกี่ยวกับผลผลิต การแจกจ่าย การใช้สิ่งที่มีค่าใน การแลกเปลี่ยน และปรากฏการณ์ทางสังคมอันเกิดจากกิจกรรมดังกล่าว จอห์น จาโรไลเมค (John Jarolimek, ๑๙๖๗: p. ๔) ได้กล่าวไว้ว่า สังคมศึกษาเป็นวิชาที่ว่า ด้วยความสัมพันธ์ของมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติและทางสังคม ทั้งกล่าวถึงวิธีที่มนุษย์จะใช้ สิ่งแวดล้อมเพื่อสนองความต้องการของตนในการดฎรงชีวิต คาร์เตอร์วีกู๊ด (Carter V .Good, 1975: p. 541) กล่าวถึงสังคมศึกษาว่า เป็นส่วนต่าง ๆ ของเนื้อหาสาระของสังคมศาสตร์ โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ และ สังคมวิทยาได้เลือกให้เหมาะสมกับการศึกษาในระดับประถมศึกษาและระดับมัธยมศึกษา มีการ พัฒนาขึ้นเป็นรายวิชาต่างเพื่อการศึกษา ไม่ว่าจะบูรณาการแล้วหรือไม่ และต้องมีทั้งเนื้อหาสาระและ จุดหมายที่เกี่ยวข้องกับสังคม แต่ต้องไม่สับสนกับวิชาในสายสังคมศาสตร์ หรือวิชาอื่นที่มีจุดหมายทางสังคม แต่เนื้อหาไม่เกี่ยวกับสังคม หรือไม่อยู่ในขอบเขตที่แคบหรือตามตัวเกินไปในการศึกษาแบบบูรณาการ จอร์น ยู ไมเคิลลิส (John U. Michaelis, 1980: pp. 3-4) ได้ให้ความหมายของวิชาสังคม ศึกษาว่า “เป็นวิชาที่ช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้เกี่ยวกับสังคมมนุษย์ เศรษฐกิจ กิจกรรมทางการเมืองทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ตลอดจนสิ่งแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อมนุษย์ การเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมเพื่อน ามาใช้ ประโยชน์ การแก้ปัญหา และวางแนวทางส าหรับอนาคตของผู้เรียนด้วย” และยังกล่าวถึงความหมายของ วิชาสังคมศึกษาในเชิงปรัชญาและความเชื่อแบบต่าง ๆ สรุปไว้ 5 ประเภท ดังนี้คือ
14 (1) สังคมศึกษาในฐานะการถ่ายทอดความเป็นพลเมืองดี (Social Studies as Citizenship Transmission) ผู้ที่ยึดเช่นนี้เชื่อว่า สังคมศึกษาควรจะถ่ายทอดลักษณะพื้นฐานทางประวัติศาสตร์และ มรดกทางวัฒนธรรมของสังคม พลเมืองดีที่มีความรับผิดชอบควรจะได้พัฒนาจากความเข้าใจต่อสิ่งที่ดี ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของสังคมนั้น (2) สังคมศึกษาในฐานะเป็นการศึกษาทางสังคมศาสตร์ (Social Studies as Social Science Education) ผู้ที่ยึดเช่นนี้เชื่อว่า เนื้อหาของสังคมศึกษาและวิธีการศึกษาควรจะน ามาจาก สังคมศาสตร์ พลเมืองที่มีประสิทธิภาพควรจะรู้มโนมติพื้นฐาน และวิธีการศึกษาของสังคมศาสตร์ เพื่อ สามารถจัดการกับประเด็นเรื่องราวและปัญหาต่าง ๆ (3) สังคมศึกษาในฐานะการคิดอย่างไตร่ตรอง (Social Studies as Reflective Thinking) แนวคิดนี้ยึดถือโดยกลุ่มประจักษ์นิยม ซึ่งเชื่อว่าเป้าหมายของสังคมศึกษา คือ การพัฒนา ความสามารถในการคิดและการตัดสินใจ ซึ่งพลเมืองที่มีประสิทธิภาพจะใช้แบบและกระบวนการใน การคิดและการตัดสินใจเพื่อแก้ปัญหาและสรุปเรื่องราวต่าง ๆ ได้ (4) สังคมศึกษาในฐานะเป็นการวิพากษ์สังคม และการปฏิบัติ (Social Studies as Social Criticism and Action) ลักษณะนี้เป็นการเน้นของกลุ่มปฏิรูป ซึ่งเชื่อว่าเป้าหมายส าคัญของ สังคมศึกษา คือ เพื่อพัฒนาความรู้และทักษะที่จ าเป็นส าหรับการปรับปรุงสังคมและพลเมืองที่ รับผิดชอบ จะสามารถวิเคราะห์เรื่องราวเหตุการณ์ปัจจุบัน และปัญหาอย่างวิพากษ์และปฏิบัติการ อย่างเหมาะสม (5) สังคมศึกษาในฐานะเป็นการพัฒนาเอกัตบุคคล (Social Studies as Personal Development of the Individual) ลักษณะนี้เป็นแนวคิดของกลุ่มพิพัฒนาการนิยม และกลุ่ม อัตถิภาวนิยม ซึ่งเชื่อว่าเป็นโปรแกรมการเรียนควรยึดถือนักเรียนเป็นศูนย์กลางหรือให้ความส าคัญแก่ นักเรียน และควรจะพัฒนานักเรียนทั้งตัว ทั้งทางสังคม อารมณ์ สติปัญญา และกาย ความเข้าใจใน ตนเอง และการน าตนเอง ซึ่งเป็นลักษณะหรือคุณสมบัติที่จ าเป็นส าหรับความเป็นพลเมืองที่มีความ รับผิดชอบการสอนสังคมศึกษาของครูสังคมศึกษาควรเน้นทั้ง 5 ลักษณะ เพื่อให้กว้างขวางและ ครอบคลุมสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงในสังคมปัจจุบัน นอกจากนั้นยังสรุปความหมายของวิชา สังคมศึกษาว่า เป็นการบูรณาการความรู้และประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ต่าง ๆ ของ มนุษย์เพื่อวัตถุประสงค์ของการศึกษา และความเป็นพลเมืองดี จากทัศนะต่าง ๆ ของนักการศึกษาสามารถสรุปความหมายของวิชาสังคมศึกษาได้ว่า สังคมศึกษาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมศาสตร์ และเลือกสรรเนื้อหาวิชาจากสังคมศาสตร์ทุกแขนง และ สาขาวิชาที่เกี่ยวข้องมาจัดเป็นรายวิชาเพื่อศึกษาเล่าเรียนในระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษา เป็น วิชาที่มนุษย์ได้เรียนรู้และเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์และมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม เพื่อ พัฒนาให้เป็นพลเมืองดีมีประสิทธิภาพ
15 ส าหรับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ได้ระบุถึงความรู้สังคม ศึกษาที่ต้องศึกษาไว้ดังนี้ (ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2551 : หน้า 1-2) (1) ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม หลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือ การน าหลักธรรมค าสอนไปปฏิบัติในการพัฒนาตนเอง และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข เป็นผู้กระท าความดี มีค่านิยมที่ดีงาม พัฒนาตนเองอยู่เสมอ รวมทั้งบ าเพ็ญประโยชน์ต่อสังคมและส่วนรวม (2) หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม และการด าเนินชีวิตในสังคม ระบบการเมืองการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ลักษณะและ ความส าคัญ การเป็นพลเมืองดี ความแตกต่างและความหลากหลายทางวัฒนธรรม ค่านิยม ความเชื่อ ปลูกฝังค่านิยมด้านประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขสิทธิ หน้าที่ เสรีภาพ การด าเนินชีวิต อย่างสันติสุขในสังคมไทยและสังคมโลก (3) เศรษฐศาสตร์ การผลิต การแจกจ่าย และการบริโภคสินค้าและบริการ การบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจ ากัด อย่างมีประสิทธิภาพ การด ารงชีวิตอย่างมีคุณภาพ และการน าหลักเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในชีวิตประจ าวัน (4) ประวัติศาสตร์ เวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ วิธีการทางประวัติศาสตร์ พัฒนาการของมนุษยชาติจากอดีตถึง ปัจจุบัน ความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ผลกระทบที่เกิดจากเหตุการณ์ส าคัญใน อดีต บุคคลส าคัญที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในอดีต ความเป็นมาของชาติไทย วัฒนธรรมและ ภูมิปัญญาไทย แหล่งอารยธรรมที่ส าคัญของโลก (5) ภูมิศาสตร์ ลักษณะกายภาพของโลก แหล่งทรัพยากร และภูมิอากาศของประเทศไทยและภูมิภาคต่าง ๆ ของโลก การ ใช้แผนที่และเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ ความสัมพันธ์กันของสิ่งต่าง ๆ ในระบบธรรมชาติ ความสัมพันธ์ของ มนุษย์กับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น การน าเสนอข้อมูลภูมิสารสนเทศการอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนจะเห็นได้ว่าแม้ในปัจจุบันวิชาสังคมศึกษายังคงมีขอบเขตกว้างขวาง เป็นสหวิทยาการบูรณาการความรู้และประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ต่าง ๆ ของมนุษย์และเรียบ เรียงเนื้อหาเข้าด้วยกันอย่างสัมพันธ์สอดคล้องต่อเนื่อง
16 2.เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสอนแบบทักษะกระบวนการแบบร่วมมือ (Cooperative Learning) ความหมายการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ(Co-operative learning) การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ(Cooperative Learning ) มีนักการศึกษาในต่างประเทศให้ ความหมายไว้หลายท่าน อาทิเช่น Balkcom (1992), Slavin, Robert E. (1995) และ Abuseileek (2007) ซึ้งท่านทั้งหลายให้ความหมายของการเรียนแบบร่วมมือไว้ว่า เป็นการเรียนที่เหมาะกับสมาชิกกลุ่ม เล็กๆ แล้วร่วมกันแก้ปัญหาหรือทา งานที่ได้รับมอบหมายให้ส าเร็จ สมาชิกในกลุ่มทุกคนเป็นส่วนส าคัญ ของกลุ่มที่จะต้องมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในการทา งาน ความส าเร็จหรือความล้มเหลว ของกลุ่มล้วนเป็นของทุกคนในกลุ่ม ส าหรับในประเทศไทยพบว่ามีนักการศึกษาหลายท่านให้ความหมาย ของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือไว้เช่นกัน อาทิเช่น อาภรณ์ใจเที่ยง 2550), สุวิทย์มูลค า และอรทัย มูลคา (2552)และสมศักดิ์ภู่วิภาดาวรรธน์(2544) โดยท่านได้กล่าวถึงการเรียนรู้แบบร่วมมือว่าเป็นวิธีการเรียนที่มี การจัดกลุ่มการท างาน เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และเพิ่มพูนแรงจูงใจทางการเรียน การเรียนแบบร่วมมือไม่ใช่ วิธีการจัดนักเรียนเข้ากลุ่มร่วมกันแบบธรรมดาแต่เป็นการร่วมกลุ่มอย่างมีโครงสร้างอย่างชัดเจน จากการที่ สมาชิกแต่ละคนในทีมมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน ในการเรียนรู้และสมาชิกทุกคนจะได้รับการกระตุ้น ให้เกิด แรงจูงใจเพื่อที่จะช่วยเหลือและเพิ่มพูน การเรียนรู้ของสมาชิกในทีม จากค ากล่าวของนักการศึกษาหลายๆท่านที่ให้ความหมายของ “การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning )” ไว้ข้างตน สามารถสรุป ความหมายของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือคือการ จัดการเรียนรู้โดยจัดผู้เรียนออกเป็นกลุ่มย่อย ที่มีความสามารถแตกต่างกัน และใช้กระบวนการทา งานเป็น ทีมเพื่อร่วมกัน แลกเปลี่ยนเรียนรู้จากความรู้ที่ได้รับมอบหมายตามหัวข้อ ที่ก าหนดให้พร้อมนา ความรู้มา สรุปสาระการเรียนรู้และนา ไปสู่เป้าหมายที่ก าหนดไว้รวมกัน โดยมีผู้สอนเป็นผู้ให้ค าปรึกษา ให้ความ ช่วยเหลือจัดหาและชี้และแนะแหล่งค้นคว้าข้อมูล มูลเพิ่มเติม ซึ่งมีรูปแบบการจัดการเรียนรู้หลากหลาย รูปแบบให้ผู้สอนเลือกใช้ตามความเหมาะสมของเนื้อหา รูปแบบการจัดการเรียนแบบร่วมมือ การเรียนแบบร่วมมือมีทั้งเทคนิคที่น ามาใช้ได้ไม่ต้องปรับ และเทคนิคที่ต้องปรับเพื่อให้เหมาะสม กับผู้เรียนและเนื้อหาวิชาดังที่กล่าวไว้ในหัวข้อประเภทกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมืออย่างไรก็ตามการเรียน แบบร่วมมือจัดเป็นวิธีการสอนอย่างหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเองได้เป็นอย่างดีซึ่งรูปแบบ การเรียนแบบร่วมมือมีหลากหลายวิธี ซึ่งไสว ฟักขาว ( 2544 )กล่าวถึงรูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือที่นิยม ใช้ในปัจจุบันมี7 รูปแบบ
17 1. รูปแบบ Jigsaw เป็นการสอนที่อาศัยแนวคิดการต่อภาพ ซึ่งบางครั้งเรียกรูปแบบนี้ว่าการเรียน แบบต่อชิ้นส่วน หรือการศึกษาเฉพาะส่วน วิธีการเรียนด้วยรูปแบบนี้ผู้สอนจะแบ่งกลุ่มผู้เรียนโดยการคละ ตามความสามารถ พร้อมกับมอบหมายให้ทุกกลุ่มทา กิจกรรมในหัวข้อเดียวกัน หลังจากนั้นในกลุ่มหลัก (Home Groups) ที่แบ่งไว้ให้แบ่งสมาชิกภายในกลุ่มศึกษาเพียงส่วนหนึ่งรับหรือหัวข้อย่อยของเนื้อหา ทั้งหมดหมดโดยขณะศึกษาหัวข้อย่อยนั้นผู้เรียนจะทา งานเป็นกลุ่มกับเพื่อนกลุ่มอื่นที่ได้รับมอบหมายให้ ศึกษาหัวข้อยอยู่เดียวกันเรียกกลุ่มนี้ว่า กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ (Expert Group) และเตรียมพร้อมที่จะกลับไป อธิบายหรือสอนเพื่อนสมาชิกในกลุ่มหลักของตนเอง 2. รูปแบบ STAD (Student Teams – Achievement Division) เป็นการเรียนแบบร่วมมือที่ใช้ ร่วมกับกิจกรรมการเรียนการสอนรูปแบบอื่นๆ หรือหลังจากที่ผู้สอนได้สอนผู้เรียนทั้งชั้นไปแล้ว และ ต้องการให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้าร่วมกันภายในกลุ่มสืบเนื่องจากสิ่งที่ผู้สอนได้สอนไปซึ่งได้ใช้กับทุกวิชาทุก วิชาที่ต้องการให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่เป็นข้อเท็จจริง เกิดความคิดรวบยอดค้นหาสิ่งที่มีคา ตอบชัดเจน แน่นอน ซึ่งสลาวิน (Slavin : 1980) ได้เสนอรูปแบบการเรียนแบบเป็นทีม (Student Teams LearningMethod) ไว้ 4 รูปแบบ คือ 1) student Teams – Achievement Divisions (STAD) 2) Teams – Games –Toumaments (TGT) ซึ่งเป็นรูปแบบที่สามารถปรับใช้กับ ทุกวิชาและระดับชั้น 3) Team AssistedIndividualization (TAI) เป็นรูปแบบที่เหมาะกับการสอนวิชาคณิตศาสตร์ และ 4) Cooperative IntegratedReading and Composition (CIRC) เป็นรูปแบบในการสอนอ่านและการเขียน โดยขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนรูปแบบ STAD มีขั้นตอนดังนี้ ขั้นที่1 : ขั้นสอน ผู้สอนด าเนินการสอนเนื้อหาทักษะหรือวิธีการเกี่ยวกับบทเรียนเน้น ๆ อาจเป็น กิจกรรมที่ผู้สอนบรรยายสาธิตใช้สื่อประกอบการสอน หรือให้นักเรียนท ากิจกรรม ขั้นที่2 :ขั้นทบทวนความรู้เป็นกลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มประกอบด้วยสมาชิก4 – 5 คนที่มีความสามารถ ทางการเรียนต่างกันสมาชิกในกลุ่มต้องมีความเข้าใจกันทุกคนจะต้องท างานร่วมกันเพื่อช่วยเหลือกันและ กัน ในการศึกษาเอกสารและทบทวนความรู้เพื่อเตรียมพร้อมสา หรับการสอบย่อย ขั้นที่3 :ขั้นทดสอบย่อยผู้สอนจัดให้ผู้เรียนท าแบบทดสอบย่อย หลังจากผู้เรียนได้เรียนและทบทวน เป็นกลุ่มเกี่ยวกับเรื่องที่ก าหนด โดยผู้เรียนท าแบบทดสอบคนเดียว ขั้นที่4 :ขั้นหาคะแนนพัฒนาการคะแนนพัฒนาการเป็นคะแนนที่ได้จากการพิจารณาความแตกต่าง ระหว่างคะแนนการทดสอบครั้งก่อนๆ กับคะแนนการทดสอบครั้งปัจจุบันมีเกณฑ์การให้คะแนนก าหนดไว้ ดังนี้จะต้องมีการก าหนดคะแนนฐานของนักเรียนแต่ละคนซึ่งอาจได้จากค่าเฉลี่ยของคะแนนทดสอบ 3 ครั้ง ก่อน หรืออาจใช้คะแนนทดสอบครั้งก่อนหากเป็นการหาคะแนนปรับปรุงโดยใช้รูปแบบการสอน STADเป็น ครั้งแรก ขั้นที่ 5 : ขั้นให้รางวัลกลุ่มโดยรางวัลผู้สอนอาจจะเป็นผู้ก าหนดร่วมกับผู้เรียน เช่น กลุ่มที่ได้ คะแนนพัฒนาการตามเกณฑ์ที่ก าหนดจะได้รับค่าชมเชยหรือติดประกาศที่บอร์ดในห้องเรียน
18 3. รูปแบบ LT (Learning Together) รูปแบบนี้ผู้สอนก าหนดสถานการณ์หรือโครงงาน พร้อม ก าหนดเงื่อนไข รายละเอียดของงาน เพื่อให้ผู้เรียนมีความคิดสร้างสรรค์ผลงานเอง หลังจากนั้นผู้สอน แบ่งกลุ่มผู้เรียนโดยคละกันตามความสามารถแล้วให้นักเรียนท าผลงานเป็นกลุ่ม ซึ่งสมาชิกกลุ่มรับผิดชอบ ในงานส่วนของตนเอง เมื่องานในส่วนของตนเองแล้วเสร็จจะน างานของทุกคนมารวมเป็นงานของกลุ่มดังนี้ ความส าเร็จของกลุ่มเกิดจากความร่วมมือของสมาชิกกลุ่มทุกคนให้นักเรียนแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและ แบ่งปันเอกสารการแบ่งงานที่เหมาะสม พร้อมนา เสนอผลงาน โดยมีผู้สอนเป็นผู้ประเมินผลการท างาน ของกลุ่ม เน้นผลงานและกระบวนการทา งาน วิธีการประเมินโดยคัดเลือกตัวแทนกลุ่มออกมาสอบถาม เกี่ยวกับงานที่ได้ท า และกระบวนการทา งานของกลุ่ม สุดท้ายมีการให้รางวัลกลุ่มที่ท าผ่านเกณฑ์ที่ก าหนด 4. รูปแบบ TAI (Team Assisted Individualization) คือวิธีการสอนที่ผสมผสานระหว่างเรียน แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) และการสอนรายบุคคล (Individualization Instruction) เข้า ด้วยกันโดยให้ผู้เรียนได้ลงมือทา กิจกรรมในการเรียนได้ด้วยตนเองตามความสามารถของตนและส่งเสริม ความร่วมมือภายในกลุ่ม มีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเรียนรู้และปฏิสัมพันธ์ทางสังคม 5. รูปแบบ TGT (Teams-Games-Tournaments) เป็นการเรียนแบบร่วมมือกันแข่งขันท า กิจกรรมกล่าวคือเป็นการเรียนที่มีการแข่งขันกันระหว่างกลุ่มด้วยเกม ซึ่งเป็นการจัดการเรียนการสอนที่ให้ ผู้เรียนได้เรียนในกลุ่มเล็กๆ คละความสามารถเช่นเดียวกับรูปแบบการเรียนการสอนแบบกลุ่มแข่งขันแบบ แบ่งตามผลสัมฤทธิ์(STAD) โดยมีความแตกต่างกันที่การเข้าร่วมกลุ่มจะมีลักษณะถาวรกว่า โดยสมาชิกแต่ ละคนของกลุ่มหนึ่งๆ ต้องแข่งขัน ตอบค าถามกับ สมาชิกของกลุ่มอื่นที่โต๊ะแข่ง (Tournament Tables) เป็นรายสัปดาห์โดยนักเรียนที่มีระดับผลสัมฤทธิ์เดียวกันจะแข่งขันกันเพื่อท าคะแนนให้กลุ่มของตน 6. รูปแบบ GI (Group Investigation) เป็นการเรียนแบบสืบสวนสอบสวน เน้นการสร้าง บรรยากาศการท างานร่วมกันเพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์การสอนแบบสืบสวนสอบสวนเป็นกลุ่มนี้ เป็นโครงสร้างการเรียนรู้ที่เน้นความส าคัญของทักษะการคิดระดับสูง เช่น การวิเคราะห์และการประเมินผล ผู้เรียนท างานเป็นกลุ่มเล็กๆ โดยใช้การสืบค้นแบบร่วมมือกันเพื่อการอภิปรายเป็นกลุ่มรวมทั้งวางแผนเพื่อ ผลิตโครงการของกลุ่ม 7. โปรแกรม CIRC (Cooperative Integrated Reading and Composition) เป็นโปรแกรม ส าหรับสอนการอ่าน การเขียนและทักษะทางภาษา (Language arts) นับว่าเป็นโปรแกรมที่ใหม่ที่สุดของ วิธีการเรียนรู้เป็นทีม และน่าสนใจเนื่องจากเป็นโปรแกรมการเรียนการสอนที่นา การเรียนแบบร่วมมือมาใช้ กับการอ่านและการเขียนโครงการเหมาะกับนักเรียนระดับประถมศึกษาตอนปลาย โดยเน้น ที่หลัก สูตร และวิธีการสอนในการพยายามนา การเรียนรู้แบบร่วมมือมาใช้สามารถอธิบายได้ดังนี้ - CIRC – Writing/Language Arts วิธีการที่ใช้ขั้นอยู่กับรูปแบบกระบวนการเขียน โดยใช้ รูปแบบทีมเหมือนกับโปรกรม CIRC ส าหรับการอ่าน ซึ่งวิธีการนี้ผู้เรียนท างานร่วมกัน เพื่อวางแผน (plan) ร่างต้นฉบับ (draft) ทบทวนแก้ไข(revise) รวบรวมและล าดับเรื่อง (edit) สุดท้ายพิมพ์หรือแสดงผลงาน
19 (publish) เรื่องที่แต่งออกมา โดยมีผู้สอนเป็นผู้เสนอเนื้อหาเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับแนวทางเนื้อหาและกลวิธี ของการเขียน - CIRC ส าหรับการอ่านและการเขียนนั้นโดยปกติแล้วจะใช้ควบคู่ไปด้วยกันแต่กระนั้นก็สามารถ ใช้โปรแกรมนี้แยกในการสอนอ่าน หรือสอนการเขียนเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งได้ การจัดการเรียนแบบร่วมมือมีรูปแบบของการจัดกิจกรรมที่หลากหลายขั้นอยู่กับผู้สอนที่จะเลือกใช้ รูปแบบใดที่เหมาะสมกับผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้บรรลุตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้ที่ผู้สอน ก าหนดไว้โดยแต่ละรูปแบบจะมีข้อ ดีแตกต่างกันไป แต่ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดล้วนแต่ส่งเสริมให้ผู้เรียน เกิดทักษะของการท างานเป็นทีม การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ยอมรับซึ่งกันและกัน รวมไปถึงเกิด กระบวนการคิดที่สร้างสรรค์น าไปสู่การพัฒนาทักษะทางสังคมเมื่อผู้เรียนออกไปสู่การใช้ชีวิตนอก ห้องเรียน ขั้นตอนจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Co-operative learning) การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือประกอบด้วยองค์ประกอบที่มีความสัมพันธ์กัน โดยมีเป้าหมาย คือเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่กลุ่มร่วมกัน ตั้งไว้ดังนั้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวจึงต้องมีขั้นตอนหรือ กระบวนต่างๆ เป็นตัวขับเคลื่อนซึ่งอาภรณ์ใจเที่ยง (2550)กล่าวถึงขั้นตอนการจัดกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือไว้ดังนี้ 1. ขั้นเตรียมการ ในขั้นตอนนี้เป็นการเตรียมความพร้อมก่อนเรียน เริ่มด้วยผู้สอนชี้แจง จุดประสงค์ของบทเรียน หลังจากนั้นผู้สอนจัดกลุ่มผู้เรียนเป็นกลุ่มย่อย โดยคละผู้เรียนในกลุ่มให้แตกต่าง กันในด้านสติปัญญาความถนัดและภูมิหลัง แบ่งจ านวนสมาชิกในกลุ่มละประมาณไม่เกิน 6 คนหลังจากนั้น ผู้สอนแนะน าวิธิิการท างานกลุ่มและบทบาทของสมาชิกในกลุ่ม 2. ขั้นสอน ในขั้นตอนนี้ผู้สอนเริ่มน าเข้าสู่บทเรียน โดยการสอนหรือบรรยายเนื้อหาตามบทเรียน หลังจากนั้นมอบหมายงานให้แต่ละกลุ่ม ซึ่งผู้สอนจะอธิบายถึงปัญหาหรืองานที่ต้องการให้กลุ่มแก้ไขหรือ คิดวิเคราะห์หาค าตอบพร้อมแนะน าแหล่งข้อมูลค้นคว้า หรือให้ข้อมูลพื้นฐานส าหรับการคิดวิเคราะห์อย่าง ชัดเจน 3. ขั้นท ากิจกรรมกลุ่ม เป็นขั้น ตอนที่สมาชิกภายในกลุ่มจะได้ฝึกทักษะการเรียนรู้ร่วมกันการ ท างานเป็นทีมการร่วมกันรับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมายร่วมกันแสดงความคิดเห็นร่วมกันท างานตาม บทบาทหน้าที่ที่ได้รับโดยผู้สอนอาจใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมแรงร่วมใจที่น่าสนใจและเหมาะสมกับ ผู้เรียน เช่น การเล่าเรื่องรอบวง มุมสนทนาคู่ตรวจสอบ คู่คิด ฯลฯ ผู้สอนสังเกตการณ์ท างานของกลุ่ม เป็น ผู้อ านวยความสะดวกให้ความกระจ่างในกรณีที่ผู้เรียนสงสัยหรือต้องการความช่วยเหลือ 4.ขั้นตรวจสอบผลงานและทดสอบ ขั้นตอนนี้สมาชิกภายในกลุ่มจะรายงานผลการดา เนินงาน กลุ่ม โดยผู้สอนและเพื่อนกลุ่มอื่นสามารถซักถามหรือแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อให้เกิดความชัดเจนมากขั้น เน้น การตรวจผลงานกลุ่มและผลงานรายบุคคลในบางกรณีผู้เรียนอาจต้องซ่อมเสริมสิ่งที่ยังต้องปรับปรุงแล้วจึง
20 ท าการทดสอบผลงานอีกครั้ง 5.ขั้นสรุปบทเรียนและประเมินผลการท างานกลุ่ม ขั้นนี้ผู้สอนและผู้เรียนช่วยกันสรุปบทเรียน ผู้สอนช่วยเสริมเพิ่มเติมความรู้ที่จ าเป็นหรือไม่ครอบคลุม เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายการเรียนที่ก าหนดไว้ และช่วยกันประเมินผลการท างานกลุ่มทั้งส่วนที่เด่นและส่วนที่ควรปรับปรุงแก้ไขให้การเสริมแรงโดยการ ชมเชย หรือมอบรางวัลกลุ่มที่ท าคะแนนได้ตามเกณฑ์และการให้ก าลังใจกับสมาชิกในกลุ่มที่ยังไม่สามารถ ท างานผ่านเกณฑ์ได้ จากที่กล่าวมาข้างต้นท าให้เห็นถึงขั้นตอนทั้งหมดของการจัดกิจกรรมในการเรียนรู้แบบร่วมมือ ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และฝึกทักษะกระบวนการกลุ่มตามบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบในการ ทา งานกลุ่ม รวมถึงได้ฝึกทักษะการคิด การค้นคว้า การแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง นอกจากนี้ผู้เรียนจะได้ ประสบการณ์ในด้านการอยู่ร่วมกับผู้อื่น การมีน้า ใจช่วยเหลือผู้อื่น การเสียสละการยอมรับกันและกัน การ ไวว้างใจซึ่งกัน และกัน การเป็นผู้น า และการท างานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพซึ่งภายในขั้นตอนต่างๆนี้ยัง ประกอบไปด้วยกลุ่มการเรียนที่แตกต่างก้นทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการเพื่อให้ผู้สอนสามารถวาง แผนการเรียนรู้ที่นา ไปสู่การเรียนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ประโยชน์ของการเรียนแบบร่วมมือ (Co-operative learning) การเรียนรู้แบบร่วมมือได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายมากผลจากการวิจัยต่าง ๆ พบว่าการเรียนรู้แบบ ร่วมมือส่งผลดีต่อผู้เรียนในหลายด้าน ซึ่งจอห์นสัน และจอห์นสัน (Johnson, D. W., & Johnson, R. T.,1987)กล่าวถึงประโยชน์ของการเรียนแบบร่วมมือไว้9 ประการ ดังนี้ 1.ผู้เรียนเก่งที่เข้าใจค าสอนของผู้สอนได้ดีสามารถเปลี่ยนค าสอนของผู้สอนเป็นภาษาพูดของ ผู้เรียนแล้วอธิบายให้เพื่อนฟังได้และทา ให้เพื่อนเข้าใจได้ดีขั้น 2.ผู้เรียนที่ท าหน้าที่อธิบายบทเรียนให้เพื่อนฟัง จะเข้าใจบทเรียนได้ดีขั้น 3.การสอนเพื่อนเป็นการสอนแบบตัวต่อตัวท าให้ผู้เรียน ได้รับความเอาใจใส่และมีความสนใจมาก ยิ่งขึ้น 4. ผู้เรียนทุกคนต่างก็พยายามช่วยเหลือซึ่งกันและกันเพราะผู้สอนคิดคะแนนเฉลี่ยของทั้งกลุ่มด้วย 5.ผู้เรียนทุกคนเข้าใจดีว่าคะแนนของตน มีส่วนช่วยเพิ่มหรือลดค่าเฉลี่ยของกลุ่ม ดังนั้น ทุกคนต้อง พยายามปฏิบัติหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มความสามารถ เพื่อให้กลุ่มประสบความส าเร็จ 6. ผู้เรียนทุกคนมีโอกาสฝึกทักษะทางสังคมมีเพื่อนร่วมกลุ่ม และเป็นการเรียนรู้วิธีการท างานเป็น กลุ่ม ซึ่งจะเป็นประโยชน์มากเมื่อเข้าสู่ระบบการทา งานอันแท้จริง 7.ผู้เรียนได้มีโอกาสเรียนรู้กระบวนการกลุ่ม เพราะในการปฏิบัติงานร่วมกันนั้นก็ต้องมีการทบทวน
21 กระบวนการทา งานของกลุ่มเพื่อให้ประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน หรือคะแนนของกลุ่มดีขึ้น 8. ผู้เรียนเก่งจะมีบทบาททางสังคมในชั้นมากขึ้น เขาจะรู้สึกว่าเขาไม่ได้เรียนหรือหลบไปท่อง หนังสือเฉพาะตน เพราะเขาต้องมีหน้าที่ต่อสังคมด้วยนั่น คือเขาต้องอธิบายให้เพื่อนฟังอย่างเข้าใจ 9. ในการตอบค าถามในห้องเรียน หากตอบผิดเพื่อนจะหัวเราะเมื่อเป็นการตอบคา ถามรายบุคคล เมื่อทา งานเป็นกลุ่ม ผู้เรียนจะช่วยเหลือซึ่งกันและกันถ้าหากตอบผิดก็ถือว่าผิดทั้งกลุ่ม คนอื่น ๆ อาจจะให้ ความช่วยเหลือบ้าง ท าให้ผู้เรียนในกลุ่มมีความผูกพันกันมากขึ้น การเรียนรู้แบบร่วมมือมีประโยชน์หลาย ประการในการพัฒนาผู้เรียน นั่น คือ ช่วยพัฒนาความเชื่อมนั่นของผู้เรียน พัฒนาความคิดของผู้เรียน เกิด เจตคติที่ดีในการเรียน ช่วยยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สร้างความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน ส่งเสริม ทักษะในการท างานร่วมกัน ฝึกให้ร้ิจักรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นท าให้นักเรียนมีวิสัยทัศน์หรือมุมมองกว้าง ขั้น ส่งเสริมทักษะทางสังคม ตลอดจนช่วยให้ผู้เรียนมีการปรับตัวในสังคมได้ดีขั้น จากเนื้อหาข้างต้นผู้สอนสามารถนา หลักการของการเรียนรู้แบบร่วมมือไปจัดการเรียนการสอน ของตนได้ โดยการก าหนดวัตถุประสงค์ที่ต้องการพัฒนาผู้เรียน แล้วเริ่มทบทวนหัวข้อ หรือเนื้อหาที่ต้องการ พัฒนาผู้เรียนให้บรรลุวัตถุประสงค์หลังจากนั้นเลือกรูปแบบที่เหมาะสมกับหัวข้อ หรือเนื้อหาทั้งนี้ต้อง เลือกใช้รูปแบบที่เหมาะสมกับผู้เรียนด้วยเช่นกัน เพื่อให้ผู้เรียนสนุกและพร้อมที่จะเรียนรู้นอกจากนั้นผู้สอน ยังต้องค านึงถึงวิธีการประเมินผลภายหลังสิ้นสุดการเรียนรู้เพื่อวิเคราะห์ผลการเรียนรู้และส่งเสริมให้ผู้เกิด การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การประยุกต์ใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือ(Co-operative learning) ในการออกแบบจัดการเรียน การสอนการเรียนรู้แบบร่วมมือ(Co-operative learning) เป็นการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็น ส าคัญอีกวิธีหนึ่ง ที่ใช้กระบวนการกลุ่มให้ผู้เรียนมีโอกาสท างานร่วมกันส่งเสริมให้บรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกัน กระบวนการกลุ่มในที่นี้มิใช่เพียงจัดให้ผู้เรียนท างานเป็นกลุ่ม เช่น ทา รายงาน สร้างชิ้นงาน อภิปรายกลุ่ม หรือปฏิบัติการทดลองและมีผู้สอนท าหน้าที่สรุปความรู้เท่านั้นแต่ผู้สอนต้องออกแบบวิธีการสอนให้ผู้เรียน ได้ใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์องค์ความรู้ที่ได้จากการทา กิจกรรมต่างๆ มาจัดระบบความรู้และสรุปเป็น องค์ความรู้ด้วยตนเองที่ถือได้ว่าเป็นหลักการส าคัญ (พิมพ์พันธ์ เดชะคุปต์, 2544) การออกแบบการจัดการเรียนการสอนที่ผู้เขียนได้ถ่ายทอดประสบการณ์ครั้งนี้ได้น าการเรียนรู้แบบ ร่วมมือ(Co-operative learning) มาประยุกต์ใช้ในรายวิชาการพยาบาลบุคคลที่มีปัญหาสุขภาพ 2 หัวข้อ การพยาบาลบุคคลที่มีปัญหาสุขภาพที่เกิดจากโรคติดต่อโรคเขตร้อนและโรคอุบัติใหม่(Communicable Disease, tropical diseases and Emerging Infectious Disease) เนื่องจากเป็นหัวข้อ ที่มีเนื้อหา ค่อนข้างเยอะแต่ชั่วโมงของการสอนมีเวลาที่จ ากัดเพื่อให้เกิดการเรียนรู้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้คือ ภายหลังสิ้นสุดการเรียนการสอนผู้เรียนสามารถประเมินภาวะสุขภาพและการวิเคราะห์ปัญหาสุขภาพใน ผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้ซึ่งการที่ผู้เรียนจะสามารถจดจาและปฏิบัติได้จริงควรมาจากการลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง สอดคล้องกับแนวคิดปิรามิดแห่งการเรียนรู้(Learning Pyramid) (ภิญโญ รัตนาพันธุ์. 2561) ที่กล่าวว่า การ
22 เรียนในห้องเรียน (Lecture) นั่ง ฟังบรรยายจะจา ได้เพียง 5% การอ่านด้วยตัวเอง (Reading) จะจา ได้ เพิ่มขึ้นเป็น 10%การฟังและได้เห็น (Audiovisual) เช่นการดูโทรทัศน์ฟังวิทยุจา ได้20% การได้เห็นตัวอย่าง (Demonstration)จะช่วยให้จ าได้30%การได้แลกเปลี่ยนพูดคุยกัน(Discussion) เช่น การพูดคุยแลกเปลี่ยน ความรู้กัน ในกลุ่มจะช่วยให้จา ได้ถึง 50% การได้ทดลองปฏิบัติเอง (Practice doing) จะจ าได้ถึง 75% และ การได้สอนผู้อื่น (Teaching) เช่น การติว หรือการสอน จะช่วยให้จ าได้ถึง 90% นั่น คือ หากผู้เรียนลงมือ ปฏิบัติด้วยตนเองจะทา ให้เกิดการเรียนรู้ที่ดีกว่า การนั่งฟังผู้สอนบรรยายหรือให้มาอภิปรายนั่นเอง จาก แนวคิดนี้ผู้เขียนจึงเลือกวิธีการสอนที่ให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติโดยใช้กระบวนการท างานเป็นทีมเข้ามา ประกอบการทา กิจกรรม โดยเริ่มจากการเลือกวิธีการสอนที่เหมาะสมกับเนื้อหาและระยะเวลาผู้เขียนจึงนา วิธีการเรียนแบบร่วมมือมาใช้ในการออกแบบการจัดการเรียนสอนหัวข้อดังกล่าว โดยเลือกใช้รูปแบบ LT (Learning Together) ซึ่งเป็นรูปแบบที่ผู้สอนก าหนดสถานการณ์หรือโครงงาน พร้อมก าหนดเงื่อนไข รายละเอียดของงานเพื่อให้ผู้เรียนมีความคิดสร้างสรรค์ผลงานเอง โดยมีผู้สอนเป็นผู้ประเมินผลการทา งาน ของกลุ่ม เน้นผลงานและกระบวนการท างาน มีขั้นตอนกิจกรรม ดังนี้ 1. ขั้นเตรียมการ เป็นขั้นตอนของการเตรียมความพร้อมก่อนเรียน โดยมีกิจกรรมดังนี้ 1.1 ผู้สอนกล่าวทัก ทายผู้เรียนพร้อมบอกวัตถุประสงค์การเรียนและวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม, แนวทางการเรียนการสอนโดยในการเรียนครั้งนี้ผู้สอนมีการจัดการเรียนการสอนด้วยวิธีการเรียนแบบ ร่วมมือพร้อมบอกเกี่ยวกับหัวข้อที่จะเรียนรู้ได้แก่โรคไขม้าลาเรีย วณั โรคเลปโตสไปโรสิส โรคไทฟอยด์ โรคสครับไทฟัส โรคอีโบล่า โรคเท้าช้าง โรคพิษสุนัขบ้า โรคเมอร์ส โรคเมลิออยโดซิส และโรคไวรัสซิก้า และ บอกรายละเอียดแนวทางการประเมินผล 1.2ผู้สอนแบ่งกลุ่มผู้เรียนจากผลการเรียนโดยทุกกลุ่มจะมีผู้เรียนที่จัดอยู่ในกลุ่มเก่งกลางอ่อน กระจายอยู่ภายในกลุ่มทุกกลุ่ม จ านวน 3 กลุ่ม กลุ่มละ 3 คน ผู้เรียนทั้งหมดมีจ านวน 9 คน 1.3 ผู้สอนแบ่งกลุ่มผู้เรียนออกเป็น 3 กลุ่มๆ ละ 3 คน พร้อมมอบหมายงานให้แต่ละกลุ่ม 3 โรคเลปโตสหัวข้อ 3ข้อโรค วณั โรคกลุ่มที่2 หัวข้อโรคไขม้าลาเรียกลุ่มที่1 โดยวิธีการสุ่ม ดังนี้กลุ่มที่ หัวขอ โรคไทฟอยด์ 4 โปโรสิส 1.4 ผู้สอนแนะนา วิธีการทา งานของกลุ่มและบทบาทของสมาชิกภายในกลุ่ม โดยให้ผู้เรียนแต่ละ กลุ่มเลือกผู้น ากลุ่มและก าหนดบทบาทหน้าที่ของสมาชิกภายใน 2. ขั้นสอน ในขั้นตอนนี้ผู้สอนเริ่มนาเข้าสู่บทเรียน โดยโดยการสอบถามประสบการณ์ในการพบ เจอผู้ป่วยที่มีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับโรคติดต่อและโรคเขตร้อน พร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของสมาชิก ภายในชั้นเรียนหลังจากนั้นผู้สอนบรรยายเนื้อหาตามบทเรียนและให้ข้อมูลพื้นฐานส าหรับการเรียนรู้ที่ ผู้สอนได้ออกแบบไวนา ไปสู่กระบวนการคิดวิเคราะห์อย่างชัดเจน มีกิจกรรมดังนี้ 2.1 ผู้สอนมอบหมายให้แต่ละกลุ่มศึกษาโรคและรายละเอียดของโรคตามที่ได้รับมอบหมายตาม
23 บทบาทหน้าที่ของตนเองที่ได้รับมอบหมายภายในกลุ่มได้แก่ความหมาย สาเหตุการเกิดโรคอาการและ อาการแสดงการวินิจฉัยโรคและการรักษาพยาบาลรวมถึงการป้องกันโรค 2.2ผู้สอนแนะนา แหล่งสืบค้นข้อ มูลได้แก่ ห้องสมุด web site ต่าง ๆ รวมถึงฐานข้อ มูลต่างๆ ของ วิทยาลัย ได้แก่วารสารการพยาบาลและการศึกษา Thaijo, Cinahl, TDL - thailis เป็นต้น 2.3ผู้สอนอธิบายถึงการน ารายละเอียดของโรคที่ได้รับมอบหมายมาจัดท าเป็น Video เพื่อน ามา เป็นสื่อการสอนในชั้น เรียนโดยแต่ละกลุ่มน าเสนอในระยะเวลา 10 – 15 นาที 3. ขั้นท ากิจกรรมกลุ่ม ในขั้นตอนนี้ผู้สอนให้ผู้เรียนท าการศึกษาเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่กลุ่ม ได้รับมอบหมายแล้วน าเนื้อหาที่ได้ไปถ่ายท าเป็นVideoนอกเวลาในส่วนกิจกรรมของขั้นตอนนี้มี รายละเอียด ดังนี้ 3.1 สมาชิกภายในกลุ่มร่วมอภิปรายเนื้อหาที่ค้นคว้าได้แล้วน ามาออกแบบเขียนเป็น script ที่ ออกแบบใหม่เนื้อหาที่ครอบคลุมเกี่ยวกับโรคกลุ่มที่ได้รับมอบหมาย 3.2 ภายหลังสมาชิกภายในกลุ่มร่วมกันอภิปรายเนื้อหาจนไดข้อตกลงร่วมกันที่สามารถนา กลุ่ม ไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ได้แล้วแต่ละกลุ่มจัดท าVideo ความยาว 15 นาที ตาม script ที่เตรียมไว้เพื่อนา เสนอ ในชั้นเรียน โดยถ่ายทา นอกเวลาเรียน 3.3 ผู้สอนสังเกตการทา งานของกลุ่ม ให้ข้อเสนอแนะต่างๆเมื่อกลุ่มต้องการ หรือเมื่อผู้สอน สังเกตเห็นว่า สมาชิกภายในกลุ่มมีความคิดเห็นที่แตกต่าง ไม่ตรงประเด็น ตามเป้าหายที่ก าหนดไว้ 4. ขั้นตรวจสอบผลงานและทดสอบ ขั้นตอนนี้ผู้สอนให้แต่ละกลุ่มน าเสนอผลงานของกลุ่มที่ได้ ด าเนินการตามเงื่อนที่ตกลงไว้ตั้งแต่ในช่วงแรกของการเรียน รายละเอียดกิจกรรม มีดังนี้ 4.1 ผู้สอนให้ผู้เรียนกลุ่มที่1 - 3 เปิด Video ที่จัดท ามาให้กับเพื่อนร่วมชั้นเรียนซึ่งจัดเป็นกลุ่ม สังเกตการณ์ร่วมกันศึกษารายละเอียดและเนื้อหาจาก Video 4.2 ผู้เรียนในชั้นเรียนร่วมกัน อภิปรายเกี่ยวกับ รายละเอียดและเนื้อหาจาก Video โดยมีเนื้อหาใน ประเด็น สาเหตุการเกิดโรคอาการและอาการแสดงของโรค การวินิจฉัยโรค การรักษาและการพยาบาล รวมถึงการให้คา แนะนา ที่สอดคล้องกับ โรค โดยมีกลุ่มที่น าเสนอเป็นผู้ให้ความชัดเจนของเนื้อหาซึ่งผู้สอน จะคอยกระตุ้นให้ผู้เรียนแสดงบทบาทผู้น าผู้ตามในการอภิปรายนอกจากนี้ผู้สอนจะคอยอ านวยความ สะดวก(facilitator) และให้ความกระจ่างเกี่ยวกับข้อมูลเพิ่มเติม 5. ขั้นสรุปบทเรียนและประเมินผลการท างานกลุ่ม มีรายละเอียดของกิจกรรม คือ 5.1 ผู้สอนให้ตัวแทนในชั้นเรียนสรุปเนื้อหาที่ได้จากการดูVideo 5.2 ผู้สอนอ านวยความสะดวก (facilitator) และให้ความกระจ่างและข้อ มูลเพิ่มเติมภายหลังจาก ที่ตัวแทนในชั้นเรียนสรุปเนื้อหา 5.3 ผู้สอนมอบหมายให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มจัดท า สรุปความรู้รวบยอดเป็น mind map
24 5.4 ผู้สอนประเมินผลงานของกลุ่ม และการร่วมอภิปรายในการน าเสนอ โดยใช้แบประเมินการ น าเสนอผลงาน ที่มีรายการประเมินผลงาน คือน าเสนอเนื้อหาในผลงานได้ถูกต้องการล าดับขั้นตอนของ เนื้อหาการใช้วิธิิการสื่อสารที่เหมาะสม การน าเสนอผลงานอย่างสร้างสรรค์การควบคุมเวลา 5.5 ผู้สอนประเมินผลการเรียนรู้ด้านการประเมินภาวะสุขภาพและการวิเคราะห์ปัญหาสุขภาพ โดย ใช้แบบประเมินภาวะสุขภาพและการวิเคราะห์ปัญหา เพื่อตรวจสอบการบรรลุวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม ที่ตั้งไว้หรือไม่อย่างไร จากการน า วิธีการสอนการเรียนรู้แบบร่วมมือรูปแบบ LT (Learning Together) มาประยุกต์ใช้ใน วิชาการพยาบาลบุคคลที่มีปัญหาสุขภาพ 2 หัวข้อการพยาบาลบุคคลที่มีปัญหาสุขภาพที่เกิดจากโรคติดต่อ โรคเขตร้อน และโรคอุบัติใหม่ (Communicable Disease, tropical diseases and Emerging Infectious Disease)ดังมีรายละเอียดและขั้นตอนที่กล่าวไว้ข้างต้นนั้นผู้เขียนมุ่งหวังว่าภายหลังจากที่ผู้เรียนได้เรียนโดย วิธีนี้แล้ว ผู้เรียนสามารถประเมินภาวะสุขภาพและวิเคราะห์ปัญหาได้ดีกว่า ก่อนเรียน พบว่า ผลการเรียนรู้ เกี่ยวกับ เรื่องของการประเมินภาวะสุขภาพและวิเคราะห์ปัญหา พบว่า ก่อนเรียนผู้เรียนมีค่าเฉลี่ยโดยรวม คือ 2.56 คะแนน จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน และมีค่าเฉลี่ยต่ า สุดคือ1.6คะแนน ค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ3.8 คะแนน ส าหรับค่าเฉลี่ยหลังเรียนโดยรวมคือ2.86คะแนน จากคะแนนเต็ม 5คะแนน มีค่าเฉลี่ยต่ า สุดคือ1.8 คะแนน ค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ 4 คะแนน จากข้อมูลด้งกล่าวจะเห็นได้ว่าการเรียนรู้แบบร่วมมือซึ่งเป็นวิธีการเรียนที่มีผู้เรียนเป็นศูนย์กลางวิธี หนึ่งสามารถส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิดวิเคราะห์ที่ได้จากการศึกษาค้นคว้า และลงมือปฏิบัติจริง 3.เอกสารที่เกี่ยวของกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสังคมศึกษา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Achievement) เปนสรรถภาพของสมองในดานตางๆ ที่นักเรียนไดรับ จากประสบการณทั้งทางตรงและทางออมจากครูนักการศึกษาจึงไดใหความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนไวดังนี้ พวงรัตนทวีรัตน์(2530: 29) ไดใหความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไววา หมายถึง คุณลักษณะรวมทั้งความรูความสามารถหรือมวลประสบการณทั้งปวงทบี่ ุคคลไดรับจากประสบการณ การเรียนการสอน ท าใหบุคคลเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมดานตางๆ ไพศาล หวงพานชิ (2526: 9) กล่าวถึงผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนพอสรุปได้ว่าเป็นพฤติกรรม หรือความสามารถของบุคคลที่เกิดจากการเรียนการสอน เปนคุณลักษณะของผูเรียนที่พัฒนาขึ้นมา จากการฝกอบรมสั่งสอนโดยตรง คือ พฤติกรรมที่เปนผลการเรียนของเด็กซึ่งไดแก ความจ า ความเขาใจ การน าไปใช การวิเคราะห สังเคราะหและการประเมินคา เดโช สวนานนท ( กลาวถึงผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวา หมายถึง ความส าเร็จ ที่ไดรับจากความพยายาม จากการลงแรง เพื่อมุงในจุดหมายปลายทางที่ตองการ หรืออาจจะ หมายถึง
25 ความส าเร็จที่ไดรับแตละดาน อารมณเพชรชื่น ( 2527: 46) กลาววา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลที่เกิดขึ้น จากการเรียนการสอน การฝกฝนหรือประสบการณตางๆ ทั้งที่โรงเรียน ที่บาน และสิ่งแวดลอมอื่นๆ จากที่กลาวมาขางตนสรุปไดวา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คุณลักษณะ ความรู ความสามารถของบุคคลที่มีการพัฒนาขึ้น หลังจากไดรับการจัดการเรียนรูการฝกฝนและการอบรมจน ประสบความส าเร็จในดานความรูทักษะและสรรถภาพดานตางๆ การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสังคมศึกษา ไพศาล หวังพานิช (2526: 89) ไดแบ่งผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามจุดหมาย และลักษณะ สาระที่จัดการเรียนรูซึ่งสามารถวัดได 2 แบบ ตามจุดมุงหมายและลักษณะสาระ ดังนี้ 1. การวัดผลดานปฏิบัติเปนการตรวจสอบความสามารถในการปฏิบัติหรือทักษะของผูเรียน โดยมุ งเนนใหผูเรียนได้แสดงความสามารถในรูปแบบของการกระท าจริงเปนผลงาน เชนวิชาศิลปศึกษา พลศึกษา การงาน เปนตน การวัดผลแบบนี้จึงตองใชขอสอบภาคปฏิบัติ (PerformanceTest ) 2. การวัดผลดานเนื้อหา เปนการตรวจสอบความสามารถเกี่ยวกับเนื้อหา อันเปนประสบการณของ การเรียนรูของผูเรียนอันรวมถึงพฤติกรรมความสามารถดานต่างๆสามารถวัดผลไดโดยใชขอสอบวัด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ( Achievement Test) บลูม (Bloom. 1976: 139) กลาววาการวดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจะตองสอดคลอง กับวัตถุประสงคเชิงพฤติกรรม 3 ดาน คือ 1. ดานความรูความคิด (Cognitive Domain) พฤติกรรมดานนี้เกี่ยวกับกระบวนการ ตางๆ ทางดานสติปญญาและสมอง ประกอบดวยพฤติกรรม 6 ดาน ดังนี้ 1.1 ดานความรูความจ าหมายถึง ความสามารถระลึกถึงเรื่องราวประสบการณที่ผานมา 1.2 ดานความเขาใจ หมายถึง ความสามารถในการจับใจความ การแปลความ การตีความ การขยายความของเรื่องได 1.3 การน าไปใชหมายถึง ความสามรในการนาความรู้หรือหลักวิชาที่เรียนมาแลว ในกาสารสรางสถานการณจริงๆ หรือสถานการณที่คลายคลึงกัน 1.4 การวิเคราะหหมายถึง ความสามารถในการแยกแยะเรื่องร่าวต่างๆ หรอื วัตถุสิ่งของเพื่อตองการคนหาสาเหตุเบื้องตน หาความสัมพันธระหวางใจความ ระหวางสวนรวม ระหวางตอนตลอดจนหาหลักการที่แฝงอยูในเรื่อง 1.5 การสังเคราะหหมายถึง ความสามารถในการน าความรู้มาจัดระบบใหมเปนเรื่องใหมที่ไม เหมือนเดิม มีความหมายและประสิทธิภาพสูงกวาเดิม 1.6 การประเมินค่าหมายถึงการวนิจฉัยคุณคาของบุคคลเรื่องราววัสดุสงของอยางมีหลักเกณฑ
26 2. ดานความรูสึก (Affective Domain) พฤติกรรมดานนี้เกี่ยวของกับการเจริญเติบโตและ พัฒนาการในดานความสนใจ คุณคาความซาบซึ้งและเจตคติตางๆของนักเรียน 3. ดานการปฏิบัติการ (Psycho – motor Domain) พฤติกรรมดานนี้เกี่ยวข้องกับ การพัฒนาทักษะในการปฏิบัติและการด าเนินการ เชน การทดลองสรุปไดวาการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน นั้น สามารถวัดไดทั้งดานทักษะปฏิบัติโดยการใชแบบทดสอบภาคปฏิบัติและการวัดทางดานเนื้อหาโดยใช แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนใหสอดคลองกับวัตถุประสงคเชิงพฤติกรรม 3 ดาน 1. ดานความรูความคิด (Cognitive Domain) โดยวัดพฤติกรรมดานความรู– ความจ าความเขาใจ การน าไปใช การวิเคราะหและการประเมินคา 2. ดานความรูสึก (Affective Domain) พฤติกรรมดานนี้เกี่ยวของกับการเจริญเติบโตและ พัฒนาการในดานความสนใจ คุณคาความซาบซึ้งและเจตคติตางๆของนักเรียน 3. ดานการปฏิบัติการ (Psycho – motor Domain) พฤติกรรมด้านนี้เกี่ยวข้องกับการพัฒนา ทักษะในการปฏิบัติและการด าเนินการ การประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุมสาระสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม กรมวิชาการ (2544: 56) กลาววา ในการวัดและประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เพื่อใหไดขอมูลที่ เนนความสามารถและคุณลักษณะที่แทจริงของผูเรียนจะตองใชวิธีการและเครื่องมือที่หลากหลาย เชน 1. การทดสอบ เปนการประเมินเพื่อตรวจสอบความรูความคิด ความกาวหนาในสาระการเรียนรูมี เครื่องมือวัดหลายแบบ เชน แบบทดสอบเลือกตอบ แบบเติมค าสั้นๆ แบบถูกผิดแบบจับคูเปนตน 2. การสังเกต เปนการประเมินพฤติกรรมการมีปฏิสัมพันธของผู้เรียน เชน ความสัมพันธในการ ท างานกลุม การวางแผน ความอดทน วิธีการแกปญหาการใชเครื่องมืออุปกรณตางๆในระหวาง การเรียนการสอนและการทากิจกรรมต่างๆโดยผู้สอนสามารถสังเกตไดตลอดเวลาซึ่งจะบันทึกข้อมูล ลงในแบบสังเกตสร้างขึ้น 3. การสัมภาษณ เปนการสนทนาซักถามพูดคุย เพื่อคนหาขอมูลที่ไมอาจพบเห็น ไดอยางชัดเจนในสิ่งที่นักเรียนประพฤติปฏิบัติ 4. การประเมินภาคปฏิบัติเปนการประเมินการกระท า การปฏิบัติงานในการสรางผลงานใหส าเร็จ โดยผูสอนตองจัดทาประเด็นการประเมินและเครื่องมือเพื่อประกอบการประเมินด้วยเชน Scoring Rubric, Rating Scale หรือ Checklist เปนตนสังเกตที่สรางขึ้น 5.การประเมินแฟมสะสมผลงาน เปนการประเมนความสามารถในการผลิตผลงานการบูรณาการ ความรูรวบรวมผลงาน การคัดเลือกผลงานและศักยภาพในการเรียนรู วันเพ็ญ วรรณโกมล (2542: 19 –22) ไดกลาวว่า ในยุคที่มการปฏิรูปการศึกษาของไทยตั้งแตปพ.ศ. 2540เปนตนมาสังคมไทยจึงมีความตองการคนที่มีความสามารถในการคิดวิเคราะหสังเคราะหตัดสิน ประเมินคาเลือกรับขอมูลขาวสารอยางเหมาะสมมีความรูทั้งหลกการและทักษะดังนั้นมิติใหม่ของการ
27 จัดการเรียนรูกลุมสาระสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรมจึงควรพัฒนาใหผูเรียนไดเกิดทักษะกระบวนการ คิดที่หลากลาย ซึ่งแนวความคิดดังกลาวไดสอดคลองกับ ประนอม เดชชัย (2521: 78 – 79) ที่กลาววาทักษะที่ควร ไดรับการฝกฝนในกลุมสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมที่ส าคัญอีกประการหนึ่งคือ ทักษะในการคิด (Thinking Skill ) คือ การฝกใหคิดอยางมีเหตุผลรูวาอะไรคือ ขอเท็จจริง หรือความเห็น ซึ่งการฝกใหมี ความคิดแบบนี้จะชวยใหนักเรียนรูจักเลือกและรูจักการตัดสินใจจากการศึกษาคนควาดังกลาว จึงสรุปไดวา การเรียนกลุมสาระสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรมตองพยายามยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางผู้สอนตองแสวง หาวธิิการจัดการเรียนรู้แบบตางๆใหเหมาะสมสอดคลองกับเนื้อหาความสามารถ และความสนใจของผูเรยนี เพื่อสงเสริมใหผูเรียนเกิดการเรียนรูมีทักษะในการคิดอยางมีเหตุผล มีคานิยมที่ถูกตอง สามารถน าความรูไป ปรับใชกับการด าเนินชีวิตไดอยางมีความสุข หลักการสรางขอทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสังคมศึกษา วารีวองพินัยรัตน 2530: 10) กลาวว่า เมื่อครูท าการสอนนักเรียนจบ จ าเป็นต้องมีเครื่องมือที่มี ความเชื่อมั่นและความเที่ยงตรงในการประเมินผลการเรียนการสอนนั้นซึ่งขอทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนนับว่าเปนเครื่องมือในการประเมินการเรียนการสอนอย่างหนึ่งดังนั้นการสรางขอทดสอบที่ดีจะตองมี การวางแผนหลักการสรางขอทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์อยางมีประสิทธิภาพดังนี้ 1. กอนที่จะลงมือสรางขอทดสอบ จะตองทาตารางวิเคราะห์หลักสูตร (A Table ofSpecification) ตารางวิเคราะหหลักสูตรเปนตารางที่แสดงความสัมพันธระหวางพฤติกรรมกับเนื้อหาวิชาซึ่งจะชวยใหครู ทราบดีวาจะตองสรางขอทดสอบวัดเนื้อหาหรือพฤติกรรมอยางละเทาไรเพราะแตละเนื้อหาแตละพฤติกรรม มีความส าคัญตางกันตารางวิเคราะหหลักสูตรจึงควรเตรียมไวกอนเริ่มสอนและเมื่อสรางเสร็จแลว ควรน าไป ปรึกษาผูเชี่ยวชาญดานการสรางขอสอบ เพื่อตรวจความถูกตองอีกครั้ง 2. แบบทดสอบทั้งฉบับจะตองประกอบดวยขอทดสอบหลายๆ ขอ และหลายรูปแบบทั้งนี้เพราะ ธรรมชาติของเนื้อหาวิชาบางตอนอาจจะเหมาะกับรูปแบบหนึ่งโดยเฉพาะแลวรวบรวมขอทดสอบใหเป็น หมวดหมูตามประเภทของขอสอบ เชน แบบเติมค า แบบถูกผิด หรือแบบหลายตัวเลือก เปนตน 3. เขียนค าชี้แจงในการท าขอสอบแตละประเภทใหรัดกุมชัดเจน เพื่อใหนักเรียนทราบวาแตละ ขอตองท าอะไร 4. ควรใหขอทดสอบแตละขอจบในหนาเดียวกัน ไมควรมีค าถามอยูหนาหนึ่งค าตอบอยูอีกหนาหนึ่ง เพราะอาจท าใหเกิดการสับสน หรือเสียเวลาพลิกไปพลิกมา 5. สรางขอสอบทันทีภายหลังที่สิ้นสุดการสอน เพื่อท าใหขอสอบวัดไดตรงตามเนื้อหามากยิ่งขึ้น 6. ควรสรางขอสอบใหมีความยากพอเหมาะ ทั้งนี้เพื่อใหไดขอทดสอบที่มีประสิทธิภาพและเพื่อให แบบทดสอบมีความเชื่อมั่นสูงสุด
28 7. ควรสรางขอทดสอบใหมีจ านวนมากกวาที่ตองการในตารางวิเคราะห์หลักสูตรประมาณ25 – 50 % เพราะภายหลงจากการตรวจทานหรือการวิเคราะหขอทดสอบแลวอาจมการตัดขอทดสอบบางขอที่ ใชไมไดออกไป 8. หลังจากสรางขอทดสอบเสร็จแลวควรตรวจทานแกไขขั้นสุดทายโดยพิจารณาในสิ่งตอไปนี้ 8.1 ขอทดสอบจะตองวัดพฤติกรรมและเนื้อหาตามตารางวิเคราะหหลักสูตร 8.2 ขอทดสอบจะตองมีค าถามที่เป็นขอเท็จจริงที่ถูกตองและมีตัวเลือกที่ถูกตองเพียงตัวเดียว 8.3 ขอทดสอบทุกขอตองมีความอิสระจากกัน 8.4 ขอทดสอบจะตองเขียนใหถ ูกหลักภาษา 8.5 ค าถามในแตละขอตองชัดเจน รัดกุมและเขาใจงาย 8.6 ถาเปนขอทดสอบแบบหลายตัวเลือกตองพิจารณาถึงสิ่งตอไปนี้ 8.6.1 ค าถามตองเปนประโยคค าถามที่สมบูรณ 8.6.2 ค าตอบที่ถูกตองมีเพียงตัวเดียว 8.6.3 ตัวลวงตองเปนค าตอบผิดจริงๆ 8.6.4 ตัวเลือกทุกตัวมีลักษณะเปนเอกพันธุจากกัน 9. ควรใหเพื่อนครูดวยกันช่วยอ่านและตรวจทางอีกครั้ง เพื่อตรวจสอบดานภาษาและปองกันการ แปลความหมายที่คลาดเคลื่อน 10. น าขอทดสอบที่เสร็จสมบูรณไปทดสอบกับผูเรียนดังนั้นจะเห็นไดวาขอทดสอบเปนเครื่องมือใน การวัดผลการศึกษาที่สามารถวัดคุณลักษณะและความสามารถตางๆของนักเรียนการเขียนขอสอบใหมี คุณภาพดีนั้น จะตองอาศัยองคประกอบหลายประการ โดยเริ่มตั้งแตการวางแผนจนกระทั่งไดขอทดสอบ ซึ่ง ครูตองมีความช านาญในเนื้อหาและมีความรอบคอบในการสรางขอทดสอบอยางยิ่งเพื่อจะไดใหผูเรียนเกิด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามเปาหมายตอไป
29 บทที่ 3 วิธีด าเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เพื่อศึกษาความพึงพอใจทางการเรียน เรียนรู้วิชาสังคม ศึกษาศาสนาและวัฒนธรรมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ทักษะ กระบวนการกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning)โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ทั้งนี้ ผู้วิจัยได้ด าเนินตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ คือ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง แบบแผนการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การเก็บรวบรวมข้อมูล และการ วิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2566 โรงเรียนโรงเรียนโนนสง่าหนองแวงวิทยา ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา หนองคายเขต 1 จ านวน 1 ห้องเรียน จ านวนนักเรียน 9 คนได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) รูปแบบในการทดลอง ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ใช้รูปแบบในการทดลองแบบกลุ่มเดียว (One Group Pretest – Posttest Design) โดยมีการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ดังนี้ (พวงรัตน์ ทวีรัตน์, 2540 : 60) T1 X T2 T1 แทน การทดสอบก่อนเรียน (Pretest) X แทน จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) T2 แทน การทดสอบหลังเรียน (Posttest) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
30 1. ประเภทของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ประกอบด้วย 1.1 แผนการจัดการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรมที่ใช้กิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ(Cooperative Learning) 1.2 ความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยโดยใช้ทักษะ กระบวนการกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ(Cooperative Learning) 1.3 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม 2. การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือ การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย มีรายละเอียด ดังนี้ 2.1 แผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการ เรียนรู้โดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ(Cooperative Learning) มีขั้นตอนการ ด าเนินการ ดังนี้ 2.1.1 ศึกษาทฤษฎี หลักการ และแนวคิดที่เกี่ยวกับการจัดกิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ(Cooperative Learning) 2.1.2 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551หลักสูตร สถานศึกษา คู่มือครู แบบเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ของกระทรวงศึกษาธิการและเอกสารที่เกี่ยวข้อง 2.1.3 วิเคราะห์ 2.1.4 สร้างแผนการจัดการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรมที่จัด กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) เรื่อง รู้เท่าทันสินค้าและบริการละ 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ จ านวน 9 แผน ใช้เวลา 9ชั่วโมง ซึ่งมีสาระการเรียนรู้ ดังนี้ 2.1.4.1 ความหมายสินค้าและบริการ จ านวน 1 ชั่วโมง 2.1.4.2 ประเภทของสินค้าและบริการ จ านวน 1 ชั่วโมง 2.1.4.3 ประโยชน์ของสินค้าและบริการ จ านวน 1 ชั่วโมง 2.1.4.4 การเลือกซื้อสินค้าและบริการ จ านวน 1 ชั่วโมง 2.1.4.5 ปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกซื้อสินค้าและบริการ จ านวน 1 ชั่วโมง 2.1.4.6 การคุ้มครองผู้บริโภค จ านวน 1 ชั่วโมง 2.1.4.7 สิทธิพื้นฐานของผู้บริโภค จ านวน 1 ชั่วโมง
31 2.1.4.8 เครื่องหมายรับรองคุณภาพสินค้าและบริการ จ านวน 1 ชั่วโมง 2.1.4.9 หลักการและวิธีการเลือกซื้อสินค้าและบริการ จ านวน 1 ชั่วโมง ซึ่งแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วย สาระส าคัญ จุดประสงค์การเรียนรู้ (รายชั่วโมง) สาระการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ และการวัดและประเมินผล 2.1.5 น าแผนการจัดการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษาที่สร้างขึ้นเสนอต่อหัวหน้ากลุ่มสาระ ที่ปรึกษาแล้วน าเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนวิชาสังคมศึกษา เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องระหว่างผล การเรียนรู้ที่คาดหวัง สาระการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ และการวัดและประเมินผล โดยใช้ผู้เชี่ยวชาญแต่ ละท่านพิจารณาลงความคิดเห็นแล้วให้คะแนน ดังนี้ ให้คะแนน +1 หมายถึง แน่ใจว่ามีความเหมาะสมและสอดคล้อง กับจุดประสงค์การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ และการวัดผลประเมินผล ให้คะแนน 0 หมายถึง ไม่แน่ใจว่ามีความเหมาะสมและสอดคล้องกับ จุดประสงค์การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ และการวัดผลประเมินผล ให้คะแนน -1 หมายถึง แน่ใจว่ามีความเหมาะสมและสอดคล้อง กับจุดประสงค์การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ และการวัดผลประเมินผล แล้วน าคะแนนที่ได้มาหาค่าดัชนีความสอดคล้องขององค์ประกอบ ของแผนการจัดการเรียนรู้ (Index of Item-objective Congruence : IOC) โดยมีค่าดัชนีความสอดคล้อง ตั้งแต่ 0.01 2.1.6 ปรับปรุงแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษาตามข้อเสนอแนะ 2.1.7 น าแผนการจัดการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษาที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ(Cooperative Learning) ไปใช้กับ กลุ่มเป้าหมาย 2.3 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรมชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๔ เรื่อง รู้เท่าทันสินค้าและบริการ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีลักษณะเป็นแบบปรนัยชนิด เลือกตอบมี ๔ ตัวเลือก ในการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษาศาสนาและ วัฒนธรรมผู้วิจัยได้ด าเนินการสร้างตามล าดับขั้นตอน ดังนี้ 2.3.1 ศึกษาเอกสารหลักสูตร ได้แก่ คู่มือครู คู่มือวัดและประเมินผลวิชาสังคม ศึกษาศาสนาและวัฒนธรรมระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 การสร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตรเอกสารที่ เกี่ยวข้องเทคนิคการเขียนข้อสอบ การสร้างแบบทดสอบแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ
32 2.3.2 วิเคราะห์เนื้อหา เรื่องรู้เท่าทันสินค้าและบริการ เพื่อแบ่งเนื้อหาออกเป็น เนื้อหาย่อยๆ แล้วเขียนจุดประสงค์การเรียนรู้ 2.3.3 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษาศาสนาและ วัฒนธรรมแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือกจ านวน 10 ข้อ อัตนัยถูกผิด จ านวน 20 ข้อ ให้ครอบคลุม เนื้อหาและจุดประสงค์การเรียนรู้ตามตารางวิเคราะห์หลักสูตร 2.3.4 น าแบบทดสอบที่สร้างขึ้นเสนอต่อหัวหน้ากลุ่มสาระ เพื่อตรวจสอบความ ถูกต้องเหมาะสม และให้ข้อเสนอแนะในด้านความเหมาะสมของเนื้อหากับจุดประสงค์การเรียนรู้แล้วน ามา ปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะ 2.3.5 น าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษาศาสนาและ วัฒนธรรมที่ปรับปรุงแล้วไปทดลองใช้กับนักเรียนกลุ่มเป้าหมายต่อไป การเก็บรวบรวมข้อมูล การด าเนินการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยด าเนินการทดลองและเก็บข้อมูลกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนโนนสง่าหนองแวงวิทยา อ าเภอเมือง จังหวัดหนองคาย การด าเนินการทดลองและเก็บข้อมูลในแต่ ละขั้น มีดังนี้ ๑. เตรียมนักเรียนก่อนด าเนินการสอน โดยแนะน าวิธีการเรียนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ ทักษะกระบวนการกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ(Cooperative Learning) ให้นักเรียนมีความรู้การสร้าง ข้อตกลงเบื้องต้นเกี่ยวกับการเรียน ขั้นตอนการเรียนและบทบาทวิธีการปฏิบัติตนในการเรียนวิชาสังคม ศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม ใช้เวลา 1 ชั่วโมงในสัปดาห์แรกก่อนท าการทดลอง ๒. ท าการทดสอบก่อนเรียน (Pretest) โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคม ศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม ใช้เวลา 1 ชั่วโมงในสัปดาห์แรกก่อนท าการทดลอง ๓. ด าเนินการทดลองการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรมโดย ใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ(Cooperative Learning) วิเคราะห์เรื่องรู้เท่าทันสินค้าและบริการ กับนักเรียนตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น จ านวน ๙ แผน ใช้เวลา ๙ ชั่วโมง ๔. ท าการทดสอบหลังเรียน (Posttest) หลังจากการทดลองสอนสิ้นสุดลง โดยใช้แบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรมฉบับเดียวกันกับที่ใช้ทดสอบก่อน การ ทดลอง โดยใช้เวลา ๙ ชั่วโมง ๕. น าคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและคะแนนจากแบบวัดความสามารถในการแก้โจทย์ ปัญหา โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มการเรียนรู้
33 แบบร่วมมือ(Cooperative Learning)วิเคราะห์ทางสถิติโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ส าเร็จรูปทางสถิติ ส าหรับวิเคราะห์ข้อมูลทางสังคมศาสตร์ (SPSS for Windows) การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้น าคะแนนจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและจากแบบวัดทักษะทักษะ กระบวนการกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ(Cooperative Learningมาวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการทางสถิติ ดังนี้ 1. สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ใช้ในการหาค่าร้อยละของ.๑ 1.1 ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ในเรื่อง รู้เท่าทันสินค้าและบริการ 1.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ส าเร็จรูปทางสถิติส าหรับวิเคราะห์ข้อมูลทางพฤติกรรมศาสตร์และ สังคมศาสตร์ (SPSS for window) 2. การทดสอบสมมติฐาน น าคะแนนที่ได้จากการท าแบบทดสอบมาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมและ 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม หลังจากที่ได้รับกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรมโดยใช้ กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ(Cooperative Learning) โดยใช้ การทดสอบทีแบบไม่อิสระ (Dependent Sample t-test) ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ส าเร็จรูปทางสถิติ ส าหรับวิเคราะห์ข้อมูลทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์ (SPSS for Windows) การประยุกต์ใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือ(Co-operative learning) ในการออกแบบจัดการเรียน การสอนการเรียนรู้แบบร่วมมือ(Co-operative learning) เป็นการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็น ส าคัญอีกวิธีหนึ่ง ที่ใช้กระบวนการกลุ่มให้ผู้เรียนมีโอกาสทา งานร่วมกันส่งเสริมให้บรรลุวัตถุประสงค์ ร่วมกันกระบวนการกลุ่มในที่นี้มิใช่เพียงจัดให้ผู้เรียนท างานเป็นกลุ่ม เช่น ทา รายงาน สร้างชิ้นงาน อภิปรายกลุ่ม หรือปฏิบัติการทดลองและมีผู้สอนท าหน้าที่สรุปความรู้เท่านั้นแต่ผู้สอนต้องออกแบบวิธีการ สอนให้ผู้เรียนได้ใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์องค์ความรู้ที่ได้จากการท ากิจกรรมต่างๆ มาจัดระบบความรู้ และสรุปเป็นองค์ความรู้ด้วยตนเองที่ถือได้ว่าเป็นหลักการส าคัญ (พิมพ์พันธ์ เดชะคุปต์, 2544)การออกแบบ การจัดการเรียนการสอนที่ผู้เรียนได้ถ่ายทอดประสบการณ์ครั้งนี้ได้น าการเรียนรู้แบบร่วมมือ(Cooperative learning) มาประยุกต์ใช้ในรายวิชาการพยาบาลบุคคลที่มีปัญหาสุขภาพ 2 หัวข้อ การพยาบาล
34 บุคคลที่มีปัญหาสุขภาพที่เกิดจากโรคติดต่อโรคเขตร้อน และโรคอุบัติใหม่ (Communicable Disease,tropical diseases and Emerging Infectious Disease) เนื่องจากเป็นหัวข้อที่มีเนื้อหาค่อนข้าง เยอะแต่ชั่วโมงของการสอนมีเวลาที่จ ากัดเพื่อให้เกิดการเรียนรู้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้คือภายหลังสิ้นสุด การเรียนการสอนผู้เรียนสามารถประเมินภาวะสุขภาพและการวิเคราะห์ปัญหาสุขภาพในผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้ซึ่ง การที่ผู้เรียนสามารถจดจา และปฏิบัติได้จริงควรมาจากการลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง สอดคล้องกับแนวคิด ปิรามิดแห่งการเรียนรู้(Learning Pyramid) (ภิญโญ รัตนาพันธุ์. 2561) ที่กล่าวว่าการเรียนในห้องเรียน (Lecture) นั่งฟังบรรยายจะจา ได้เพียง 5% การอ่านด้วยตัวเอง (Reading) จะจา ได้เพิ่มขั้นเป็น 10% การ ฟังและได้เห็น (Audiovisual) เช่นการดูโทรทัศน์ฟังวิทยุจา ได้20% การได้เห็นตัวอย่าง (Demonstration) จะช่วยให้จา ได้30% การได้แลกเปลี่ยนพูดคุยกัน (Discussion) เช่น การพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้กันใน กลุ่มจะช่วยให้จา ได้ถึง 50% การได้ทดลองปฏิบัติเอง (Practice doing) จะจ าได้ถึง 75% และการได้สอน ผู้อื่น (Teaching) เช่น การติว หรือการสอน จะช่วยให้จ าได้ถึง 90% นั้น คือ หากผู้เรียนลงมือปฏิบัติด้วย ตนเองจะทา ให้เกิดการเรียนรู้ที่ดีกว่า การนั่ง ฟังผู้สอนบรรยาย หรือให้มาอภิปรายนั้น เอง จากแนวคิดนี้ ผู้เขียนจึงเลือกวิธีการสอนที่ให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติโดยใช้กระบวนการทา งานเป็นทีมเข้ามาประกอบการ ทา กิจกรรม โดยเริ่มจากการเลือกวิธีการสอนที่เหมาะสมกับเนื้อหาและระยะเวลาผู้เขียนจึงนา วิธีการเรียน แบบร่วมมือมาใช้ในการออกแบบการจัดการเรียนสอนหวังดังกล่าว โดยเลือกใช้รูปแบบ LT (Learning Together) ซึ่งเป็นรูปแบบที่ผู้สอนก าหนดสถานการณ์หรือโครงงาน พร้อมก าหนดเงื่อนไข รายละเอียดของ งาน เพื่อให้ผู้เรียนมีความคิดสร้างสรรค์ผลงานเอง โดยมีผู้สอนเป็นผู้ประเมินผลการทา งานของกลุ่ม เน้น ผลงานและกระบวนการท างานมีขั้นตอนกิจกรรม ดังนี้ 1. ขั้นเตรียมการ เป็นขั้น ตอนของการเตรียมความพร้อมก่อนเรียน โดยมีกิจกรรมดังนี้ 1.1 ผู้สอนกล่าวทัก ทายผู้เรียนพร้อมบอกวัตถุประสงค์การเรียนและวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม, แนวทางการเรียนการสอนโดยในการเรียนครั้งนี้ผู้สอนมีการจัดการเรียนการสอนด้วยวิธีการเรียนแบบ ร่วมมือพร้อมบอกเกี่ยวกับ หัวข้อที่จะเรียนรู้ได้แก่โรคไขม้าลาเรีย วัณ โรคเลปโตสไปโรสิส โรคไทฟอยด์ โรคสครับไทฟัส โรคอีโบล่า โรคเท้าช้าง โรคพิษสุนัขบ้า โรคเมอร์ส โรคเมลิออยโดซิส และโรคไวรัสซิกาิ และบอกรายละเอียดแนวทางการประเมินผล
35 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้มุ่ง 1.เพื่อศึกษาความพึงพอใจทางการเรียน เรียนรู้วิชาสังคมศึกษาศาสนาและ วัฒนธรรมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่ม การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ทักษะ กระบวนการกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) เรื่อง รู้เท่าทันสินค้าและบริการ ตาม หลักสูตรแกนกลางของโรงเรียนโนนสง่าหนองแวงวิทยา ผู้วิจัยได้ทดลองกับกลุ่มเป้าหมาย เป็นนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนโนนสง่าหนองแวงวิทยา ที่ได้จากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) ผลการศึกษาและเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม เรื่องรู้เท่าทัน สินค้าและบริการ โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) ผู้วิจัยได้ด าเนินการเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มการเรียนรู้ แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) มีรายละเอียดดังแสดงในตาราง ตารางที่1 ผลการศึกษาผลการศึกษาและเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษาศาสนา และวัฒนธรรมทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง รู้เท่าทันสินค้าและบริการ ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เลขที่ คะแนน ก่อนเรียน หลังเรียน ความก้าวหน้า 1 25 33 7.5 2 20 30 6
36 3 29 40 11.6 4 25 40 7.5 5 29 40 11.6 6 30 40 12 7 29 40 11.6 8 29 40 11.6 9 27 34 9.18 ร้อยละ 7.272 7.898 8.21 จากตารางที่ 1 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษาของ นักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มการเรียนรู้แบบ ร่วมมือ(Cooperative Learning) เรื่อง รู้เท่าทันสินค้าและบริการมีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ7.272 คิดเป็นร้อยละ29.088และหลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ย 7.898 คะแนนความก้าวหน้าเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อน เรียนเพิ่มขึ้น7.898คะแนน ไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ตารางที่ 2 การเปรียบเทียบคะแนนของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน การทดสอบ คะแนนเต็ม คะแนนเฉลี่ย S.D. t ก่อนเรียน 50 18..8 5.53 1.824 หลังเรียน 50 19.05 6.69 ** มีนัยส าคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01 จากตารางที่ 2 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคม ศึกษาของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มการ เรียนรู้แบบร่วมมือ(Cooperative Learning) เรื่องรู้เท่าทันสินค้าและบริการมีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ 5.53 คิดเป็นร้อยละ 18.8 และหลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ย 6.69 คิดเป็นร้อยละ 19.05 และเมื่อเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01
37 ตารางที่ 3 การเปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียนและหลงเรียน การทดสอบ คะแนนเต็ม คะแนนเฉลี่ย ร้อยละ S.D. t ก่อนเรียน 40 19.05 4.61 4.61 14.25** หลังเรียน 40 36.78 6.71 6.71 ** มีนัยส าคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01 จากตารางที่ 3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคม ศึกษาของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มการ เรียนรู้แบบร่วมมือ(Cooperative Learning) เรื่อง รู้เท่าทันสินค้าและบริการ มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน เท่ากับ 19.05 คิดเป็นร้อยละ 4.61 และหลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ย 36.78 คิดเป็นร้อยละ6.71 และเมื่อ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01
38 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัยเรื่อง ผลการใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) ในรายวิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรมเรื่อง รู้เท่าทันสินค้าและบริการ ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนโนนสง่าหนองแวงวิทยา อ าเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัด หนองคายเป็นการวิจัยเชิงทดลอง สรุปได้ดังนี้ วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1.เพื่อศึกษาความพึงพอใจทางการเรียน เรียนรู้วิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มการเรียนรู้ แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning)ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน สมมติฐานการวิจัย 1. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มการ เรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) มีไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 2. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่ม การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) มีความพึงพอใจหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 3. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มการ เรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษาศาสนาและ วัฒนธรรม หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน วิธีด าเนินการวิจัย 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนโนนสง่าหนองแวง วิทยาจังหวัดหนองคายปีการศึกษา 2567 จ านวน 1 ห้องเรียน ทั้งหมด 9 คน ซึ่งกลุ่มตัวอย่างได้จากการสุ่ม แบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) จ านวน 1 ห้องเรียน จ านวน 9 คนเพื่อเป็นกลุ่มตัวอย่างในการ วิจัยครั้งนี้
39 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ประกอบด้วย 2.1 แผนการจัดการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรมที่จัดกิจกรรมการเรียนการ สอนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นประกอบ จ านวนทั้งสิ้น 9 แผน รวม 9 ชั่วโมง 2.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม เรื่อง รู้เท่า ทันสินค้าและบริการ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเป็นแบบทดสอบปรนัยมี4 ตัวเลือก จ านวน 40 ข้อ แต่ละข้อมีค่าดัชนี ความสอดคล้อง (IOC) เท่ากับ 1.00 มีความยากง่ายระหว่าง .35 - .85 ค่าอ านาจจ าแนกของข้อสอบรายข้อ มีค่าตั้งแต่ .26 - .40 และค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับมีค่า .81 3. การเก็บรวบรวมข้อมูล การด าเนินการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยด าเนินการทดลองและเก็บข้อมูลกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 4 โรงเรียนโนนสง่าหนองแวงวิทยา อ าเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย การด าเนินการทดลองและ เก็บข้อมูลในแต่ละขั้น มีดังนี้ 3.1 เตรียมนักเรียนก่อนด าเนินการสอน โดยแนะน าวิธีการเรียนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดย ใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) ให้นักเรียนมีความรู้การสร้าง ข้อตกลงเบื้องต้นเกี่ยวกับการเรียน ขั้นตอนการเรียนและบทบาทวิธีการปฏิบัติตนในการเรียนวิชาสังคม ศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม ใช้เวลา 1 ชั่วโมงในสัปดาห์แรกก่อนท าการทดลอง 3.2 ท าการทดสอบก่อนเรียน (Pretest) โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา สังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม ใช้เวลา 2 ชั่วโมงในสัปดาห์แรกก่อนท าการทดลอง 3.3 ด าเนินการทดลองการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) เรื่อง รู้เท่าทันสินค้าและบริการ กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น จ านวน 9 แผน ใช้เวลา 9 ชั่วโมง 3.4 ท าการทดสอบหลังเรียน (Posttest) หลังจากการทดลองสอนสิ้นสุดลง โดยใช้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม ฉบับเดียวกันกับที่ใช้ทดสอบ ก่อนการทดลอง โดยใช้เวลา 2 ชั่วโมง และใช้แบบวัดทักษะการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น
40 สรุปผลการวิจัย งานวิจัย เรื่อง การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา เรื่อง รู้เท่าทันสินค้าและบริการ ของเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ(Cooperative Learning)ผู้วิจัยเสนอการสรุปผลการวิจัย การอภิปราย และข้อเสนอแนะตามล าดับ ดังนี้ ความมุ่งหมายของการวิจัย 1.เพื่อศึกษาความพึงพอใจทางการเรียน เรียนรู้วิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม ของรู้เท่าทันสินค้าและบริการที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มการเรียนรู้แบบ ร่วมมือ (Cooperative Learning) 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning)ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน สมมติฐานการวิจัย 1. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มการ เรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) มีไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 2. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่ม การเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) มีความพึงพอใจหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 3. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มการ เรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษาศาสนาและ วัฒนธรรม หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อภิปรายผล ผลการศึกษาการใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา วิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม เรื่อง รู้เท่าทันสินค้าและบริการ ส าหรับนักเรียนชั้นชั้นประถมศึกษา ปีที่ 4 มีประเด็นในการน ามาอภิปรายผลตามล าดับ ดังนี้ 1.เพื่อศึกษาความพึงพอใจทางการเรียน เรียนรู้วิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มการเรียนรู้ แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรม ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ทักษะกระบวนการกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning)ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน
41
42 ข้อเสนอแนะ จากผลการใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ิทักษะกระบวนการกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) วิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่อง รู้เท่าทันสินค้าและบริการ ผู้วิจัยให้ข้อเสนอแนะในการวิจัย และข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป ดังนี้ 1. ข้อเสนอแนะในการน าผลการวิจัยไปใช้ จากผลการวิจัย พบว่า นักเรียนที่มีพฤติกรรมที่ค่อนข้างหลากหลายจ าเป็นต้องใช้กระบวนการ จัดการเรียนการสอนที่หลากหลายเพื่อความเหมาะสมต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนแต่ละคนตามถนัดและ ความสามารถของผู้เรียน หากผู้เรียนมีความสนใจหรือถนัดในสิ่งใด ผู้เรียนย่อมมีเจตคติที่ดีและมีความ คงทนในการเรียนรู้ 2. ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 2.1 ควร
43 รายการอ้างอิง https://ir.swu.ac.th/jspui/bitstream/123456789/764/1/Thapakorn_K.pdf